บทที่27 Try to use your heart
looking to me
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น
วารินสะดุ้งตื่นจากห้วงความคิดทั้งหมด เป็นสายเข้าจากนับดาวโทรเข้ามารายงานว่ายังติดต่อธาราธารไม่ได้
วารินจึงบอกกลับไปว่าไม่เป็นไรให้นับดาวพักผ่อนได้แล้ว
พรุ่งนี้จะได้มีแรงตื่นมาทำอาหารช่วยป้าวันเอามาให้คุณภัครท่านแต่เช้า ก่อนจะกดวางสายลงไป
“คุณหมออกมาแล้วครับ”
เตโชลุกขึ้นเรียกวารินให้เดินเข้าไปด้วยกัน คุณหมอเจ้าของไข้ที่ดูแลภัครจิราอยู่
“ไม่เป็นอะไรมากหรอกนะ
เกิดภาวะช็อคแทรกซ้อนนิดหน่อยไม่มีอะไรมากแล้ว เดี๋ยวพวกคุณตามพยาบาลขึ้นไปเลยก็ได้
นอนค้างที่นี่สักคืนแล้วกันผมขอดูอาการต่ออีกหน่อยถ้าพรุ่งนี้ไม่มีปัญหาเย็นๆก็กลับได้แล้ว”
ทั้งวารินและเตโชยกมือไหว้อย่างสำนึกในบุญคุณ
มองดูบุรุษพยาบาลเข็ญเตียงที่มีเจ้านายของพวกเขาทั้งคู่ออกมา สีหน้าเธอดีขึ้นมาก
พวงแก้มเริ่มมีสีแดงระเรื่องแต้มแต่ง วารินค่อยหายใจโล่งไปเปราะหนึ่ง
“เดี๋ยวผมเอารถลงไปจอดดี
ๆ แล้วจะตามคุณทรายขึ้นไปนะครับ” เตโชเอ่ยขึ้นก่อนเขาจะเดินแยกออกไป
พอขึ้นมาถึงบนห้อง
วารินรีบเข้าไปล้างมือ ออกมากระชับผ้าห่มคลุมลงที่หน้าอกให้ภัครจิราอย่างเบามือ
ขณะที่เธอนอนจ้องหน้าเขานิ่ง ภัครจิราพูดไม่ได้แม้แต่ร่างกายก็ไม่ขยับ เพราะฉะนั้นความรู้สึกทุกอย่างจะแสดงออกมาทางแววตาเท่านั้น
...ไม่ใช่ว่าวารินไม่สังเกต...
ตลอดทางที่นั่งรถมาเป็นวารินที่คอยหลบเลี่ยงที่จะสบสายตากับเธออยู่ตลอด
ความรู้สึกผิดตีตื้นอยู่เต็มอก
แต่ทว่าก็อยากช่วยอยากดูแลอยากทำทุกอย่างให้เท่าที่เขาจะสามารถทำได้
ทั้งที่กลัวว่าเธอจะรังเกียจดังนั้นเขาจึงคอยหลีกเลี่ยงที่จะสบสายตากับเธออยู่ตลอด
ฉับพลันคนตัวเล็กตัดสินใจมองดูหน้าเธอแวบหนึ่ง
น้ำตาหยดหนึ่งไหลตกลงมาที่หางตาสวย...ภัครจิรากำลังร้องไห้...วารินคุกเข่าลงทันที
“คุณภัครครับ”
เขาว่าเสียงสั่นก้มหน้านิ่ง สองมือกำจิกเนื้อตัวเองจนสั่น
“ผมรู้ถึงพูดไปก็เหมือนกับแก้ตัว
แต่ผมอยากให้คุณรู้นะครับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นผมกับคุณทัตไม่ได้ตั้งใจ เราสองคนโดนวางยาโดยใครบางคนที่คุณทัตเองก็บอกออกมาไม่ได้
ผมไม่รู้เหตุผลของเขาแต่ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นมาแล้ว
ทั้งเลวร้ายและยอมรับได้ยากแต่ผม..อยากจะขอให้คุณให้อภัย
ถ้าตอนนั้นสติสัมปชัญญะยังครบถ้วน ไม่มีวัน ที่ผมจะทำเรื่องราวแบบนั้นแน่นอนครับ! ผมเองก็เสียใจ ยกโทษให้ผมด้วยเถอะนะครับ”
วารินหลั่งน้ำตากล่าวขอโทษเธอ
ความผิดครั้งนี้ใหญ่หลวงมากนักจริง ๆ
หากเขาเป็นเธอไม่แน่ว่าจะสามารถยกโทษให้ได้หรือไม่
วารินค่อยๆเงยหน้าขึ้น
เขากล้าที่จะมองดูภัครจิราเต็มตาเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เธอล้มป่วย
บัดนี้แววตาที่เคยแข็งกร้าวทุกครั้งที่เขาคอยแอบมองเธอตลอดมา ค่อยเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นมาบ้างแล้ว ถึงจะไม่เหมือนเดิมเหมือนอย่างเคย
แต่ก็ไม่เย็นชาไร้ความรู้สึกเหมือนที่ผ่านมา
“คุณทรายนอนเถอะครับ
เดี๋ยวผมจะดูคุณภัครต่อให้เอง”
เตโชเข้ามาแตะลงที่บ่าเล็ก
วารินที่คุกเข่าอยู่ถึงกับสะดุ้งรีบเช็ดรอยน้ำตา ไม่รู้ว่าเขาเข้ามาตอนไหน รีบลุกขึ้นเทน้ำเปล่าใส่แก้วเสียบหลอดใส่ขณะที่เตโชเข้าไปขยับปรับเตียงให้สูงขึ้นอีกนิดเพื่อให้เธอดื่มน้ำได้สะดวก
เมื่อยื่นแก้วไปชิดที่ริมฝีปากสวย
ภัครจิราชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งในที่สุดยอมเปิดปากรับหลอดเล็กๆ ดูดน้ำสะอาดผ่านลำคอเข้าไป
“ไม่เป็นไรหรอกนายเตพักเถอะ
เดี๋ยวฉันจะนอนตรงนี้นี่แหละ วารินว่าแล้วหมุนเตียงลงปรับตำแหน่งให้เหาะสมเพื่อให้คนป่วยนอนได้สะดวกสบายขึ้น
ขณะที่เตโชเลี่ยงมานั่งลงที่โซฟาตัวยาว เวลาผ่านไปได้สักครู่เขายกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูตอนนี้ตีสี่ครึ่งแล้ว
แผ่นหลังเล็ก ๆ ฟุบหลับอยู่ที่ข้างเตียง ไฟในห้องถูกหรี่เป็นสีส้ม เตโชเดินไปแตะลงที่หลังเรียกวารินเบา ๆ
คนตัวเล็กงัวเงียแล้วเดินตามเขาออกมากึ่งนั่งกึ่งนอนลงที่โซฟา เตโชเองก็เอนตัวอยู่ข้างกัน
พักเดียวทั้งคู่ก็หลับไป
ตุ่บบบบ!!!!!!
“จะนอนพิงกันต่ออีกนานไหม!”
น้ำเสียงฉุนเฉียวมาพร้อมกับเสียงฟาดหมอนลงใส่ที่ตักของทั้งคู่
ทั้งวารินทั้งเตโชสะดุ้งขึ้นพร้อมกัน
ไม่รู้เมื่อคืนนั่งกันอิท่าไหนตอนเช้าหัวเลยเอนพิงกันอยู่แบบนั้น
ช่างแสลงใจสำหรับผู้มาใหม่อย่างที่สุด เขาถึงกับจับหมอนเขวี้ยงใส่ทันที
วารินรีบยืนขึ้นขณะที่เตโชเดินเลี่ยงออกไปแถวหน้าประตูสบทบกับทินกรพ่อของเขา
นับดาวและวันนา ที่เพิ่งเดินเข้ามาเช่นกัน
“เต
นายพานับดาวกลับไปก่อนก็ได้ไม่ใครอยู่เฝ้าบ้านเดี๋ยวทางนี้ฉันจัดการเอง”
นับดาวสะดุ้งเฮือกทั้งที่เพิ่งมาถึงก็ถูกไล่ให้กลับเสียแล้ว
เธอรีบเดินเข้ามาดูภัครจิรา
แล้วเลี่ยงออกไปหาเตโชทันที ท่าทางนายน้อยของบ้านอารมณ์เสียเป็นอย่างมาก
หากดื้อดึงจะขออยู่ต่อรังแต่จะหาเรื่องใส่ตัวเธอจึงได้แต่เงียบไว้
“ถ้าอย่างนั้นพี่กลับพร้อมดาวเลยก็แล้ว.....”
“ไม่ต้องไป! เดี๋ยวกลับพร้อมผม”
เขาว่าขึ้นเสียงแข็ง
แทรกขึ้นทันทีที่วารินกำลังจะลุกขึ้น ใบหน้าเล็กมองเขากล้า
ๆ กลัว ๆ
ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรเพราะปกติแล้วเขาจะไม่อนุญาตให้วารินเข้ามาใกล้ภัครจิราได้แม้แต่นิดเดียว
แต่ครั้งนี้วารินถึงกับมานอนเฝ้าอาจทำให้เขาดูโกรธเอามากๆแบบนี้ เขาเดินเข้าไปหาภัครจิราที่เตียง
วารินจำต้องนั่งลงที่เดิม โบกมือให้ดาวกับเตโชที่กำลังจะกลับไปก่อน
เขาบีบมือคุณแม่เขาเบา
ๆ แล้วพูดเสียงอ่อน “คุณแม่ครับ ผมมาแล้วนะ” ภัครจิราขยับตัวลืมตาตื่น รอยยิ้มน้อย
ๆ ถูกจุดขึ้นทันทีที่เห็นใบหน้าของลูกชายคนเดียวของตน
“ขอโทษนะครับที่เมื่อคืนไม่ได้อยู่.....”
ขณะที่เด็กหนุ่มคุยกับคุณแม่ของเขาไปเรื่อยๆ
วารินเพิ่งจะสังเกตเห็นใครบางคนที่เดินตามหลังเขาเข้ามา
เด็กหนุ่มคนนั้นยืนรออยู่ใกล้ประตู
ชนาธิป ?
เด็กที่พี่ซีรับวาดรูปให้คนนั้น
“สวัสดีครับ”
เป็นชนาธิปที่ทักขึ้นก่อนเขายกมือไหว้วาริน รู้สึกคุ้นหน้าวารินมาก นึกอยู่พักเดียวเขาก็จำวารินได้
แต่กระนั้นก็ยังจำไม่ได้ว่าน้องชายของภูวดลคนนี้ชื่ออะไร
“นั่งก่อนสิ”
วารินรับไหว้ขยับออกนิดหน่อยเพื่อให้เขานั่งลงข้างกันได้
ชนาธิปจึงถามไถ่ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นทำไมภัครจิราถึงต้องมาที่โรงพยาบาลกลางดึก
อีกฝ่ายจึงบอกเล่าไปเท่าที่จะบอกให้ฟังได้ ครู่หนึ่งคุณหมอเจ้าของไข้เข้ามาตรวจอาการ
“วันนี้จะกลับตอนเย็นเลยก็ได้เดี๋ยวอาหมอทำเรื่องไว้ให้
ดูแลคุณภัครให้ดีนะธารมีอะไรโทรด่วนหาอาได้ยินดีรับใช้เสมอ” คุณหมอกำชับกับลูกชายของเธอก่อนขอตัวออกไป
“คุณธารกลับไปทานข้าวทานปลาก่อนเถอะค่ะ
เดี๋ยวป้าดูแลทางนี้ให้เอง” วันนาเสนออกมา ธาราธารจึงพยักหน้ารับเขามองไปที่วาริน
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมจะแวะไปส่งเพื่อนก่อน
ช่วงเย็นจะแวะเข้ามารับคุณแม่นะครับ”
เขาก้มลงบอกคุณแม่ของเขา ชนาธิปรีบเดินเข้าไปที่เตียงยกมือไหว้ภัครจิราด้วยใจที่แสนหดหู่
เขารู้ทั้งรู้ว่าคนที่ทำให้เธอต้องนอนป่วยอยู่แบบนี้คือวิลาสินีคุณแม่ของเขาเอง แต่จะให้พูดออกมาก็คงไม่ได้
ธาราธารพาชนาธิปเดินออกไปแล้ว
แต่วารินยังคงนั่งเฉยอยู่เขาเลยเดินเข้ามาพยักหน้าเรียกอีกหน
“ธารไปส่งเพื่อนเถอะ
เดี๋ยวพี่กลับ....”
“อย่าเรื่องมาก
ลุกขึ้นแล้วตามมา”
เขาพูดแค่นั้นแล้วเดินออกไป วารินจำใจคว้ากระเป๋าแล้วลุกตามบอกป้าวันว่าไม่รู้ตอนเย็นจะได้มารับไหม
แต่จะลองขอให้ธาราธารพามาด้วยจะได้มาช่วยวันนาถือของเธอจึงลูบหลังเขาเบา ๆ
ขอบคุณในความมีน้ำใจ วารินเข้าไปที่เตียงยกมือไหว้ภัครจิราบอกว่าจะกลับแล้ว เดี๋ยวช่วงเย็นธารจะมารับเธอกลับบ้าน
ภัครจิรามองเขานิ่ง ๆ
“กว่าจะออกมาได้นะ
ไม่อยากนั่งหรือไงเบนซ์สปอร์ตสี่ที่นั่งแบบนี้ หรือชอบนั่งรถกระบะเก่า ๆ มากกว่า”
พอขึ้นรถมาได้เขาก็แขวะทันที
“ธารทำไมไปว่าพี่เขาแบบนั้น”
ชนาธิปที่นั่งหน้าคู่กับเขาเอามือแตะที่หน้าขาเขาไว้ส่งเสียงปราม
และหันมามองวารินที่ทำทีเหมือนไม่สนใจ จากนั้นมองดูหน้าคนขับอีกครั้ง
“ไปไงมาไงถึงมาด้วยกันได้
ทำไมไม่ให้ดาวพาคุณแม่มาหรือว่าอยากจะออกมากับไอ้เต เลยเสนอตัวงั้นสิ”
“ธาร! หยุดนะ
พูดอะไรน่ะ”
วารินหน้าเครียดรีบปรามเขาไว้เพราะชนาธิปก็นั่งอยู่ด้วยทำไมเขาถึงกล้าพูดออกมาไม่คิดแบบนั้น
“เมื่อคืนพวกเราตกใจกันมาก
ธารเองก็ไม่อยู่ไม่ใช่หรือไง ไม่มีใครเขาคิดเรื่องอะไรแบบนั้นกันหรอก”
“ไม่ทันคิดเรื่องแบบนั้นแต่พี่ก็เลือกที่จะออกมากับไอ้เตมัน”
“ธาร!”
“ว่าไงครับ! พี่ทราย!”
เขาเน้นเสียงใส่ชัดถ้อยชัดคำ
คำพูดของเขายิ่งกว่าด่ากันตรง ๆ
วารินหัวเสียยิ่งกว่าเดิม เขาเป็นบ้าอะไรนับวันพูดไม่รู้เรื่อง
แค่เรื่องออกมากับเตโชแค่นี้ก็ทำเขาของขึ้นเป็นหมาบ้ากัดไม่เลือกแบบนี้
วารินกัดริมฝีปากเลือกที่จะเงียบ
คนขับอย่างเขาจึงทำเสียงฮึดฮัดในลำคออย่างขัดใจเมื่ออีกคนไม่ส่งเสียงอะไรโต้ตอบกลับมา
ชนาธิปที่นั่งฟังสองคนพูดใส่กันแบบนั้นเริ่มฉุกใจคิดถึง
ความสัมพันธ์ของทั้งสองคน ธาราธารกับวาริน
ธาร...กับ...พี่ทราย
พี่ทราย ?!!!!
“พี่ทราย...ผมขอโทษ...รักมาตลอด ไม่เคยมีวันไหนที่ไม่รัก...ขอโทษ..”
ชนาธิปปะติดปะต่อเรื่องได้ทันที
แต่ก็อดที่จะตกใจไม่ได้เมื่อรู้ว่าคนที่ธาราธารรักมาตลอดคือวาริน เขารีบเอ่ย
“พี่ทรายอย่าว่าธารเลยนะครับ
เมื่อคืนเราทั้งคู่ดื่มหนักไปหน่อยเลยเปิดห้องค้างคืนกันเสียเลย
กว่าจะได้นอนก็เกือบเช้าแล้ว”
ทันทีที่พูดจบ
วารินมองธาราธารทันที
คำว่าเปิดห้องค้างด้วยกันมันมีความหมายอะไรที่ลึกซึ้งมากกว่านั้นอีกหรือเปล่า? วารินกวาดตามองที่คนตัวเล็กกว่าเขาที่นั่งอยู่เบาะหน้า ชนาธิปหันมาส่งรอยยิ้มไร้เดียงสาให้
พร้อมเอื้อมลำตัวมาคว้าเอากระเป๋าสะพาย สร้อยเส้นเล็กรูปกุญแจซอลโผล่พ้นคอเสื้อออกมาให้วารินได้เห็นชัดๆเต็มสองตา
วารินเบิกตาขึ้นทันที!
....สร้อยเส้นที่ธาราธารสวมใส่ไว้ที่คอเป็นประจำ
บัดนี้เปลี่ยนไปอยู่ที่ลำคอเล็กสวยงามของใครอีกคนที่นั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถอยู่ข้างเขา ใบหน้าเล็กชาวาบ ขอบตาร้อนผ่าว เมื่อวานเขายังเห็นมันอยู่บนลำคอที่เปล่าเปลือยที่คร่อมทับร่างกายของเขาอยู่
แต่บัดนี้....บัดนี้เปลี่ยนไปอยู่กับใครอีกคนแล้ว...
“ไปนะครับพี่ทราย ขอบใจนะธาร แล้วเจอกัน เดี๋ยวธิปโทรหา” ชนาธิปบอกลาวาริน
แล้วโบกมือให้คนขับพร้อมส่งรอยยิ้มกว้าง
เขาก้าวลงไปพร้อมหันหลังกลับมามองเมื่อรถแล่นออกไปจนลับตา
ดวงตากลมหรี่ลงด้วยความริษยา เฝ้าคิดวนเวียนซ้ำ
ๆ
ทำไมต้องเป็นคน
ๆ นี้ที่ธารรัก?
ทำไมต้องเป็นผู้ชายที่อายุมากกว่าธารเยอะขนาดนั้น? ตัวเขาที่น่ารักกว่า ดูดีกว่า เด็กกว่า
พร้อมกว่าแทบจะทุกอย่าง ธารกลับไม่เคยหันมามอง....ไม่เคยอยู่ในสายตาเลยสักครั้ง
พี่ทราย? คน ๆ
นี้คือคนที่ธาราธารรักมาตลอดอย่างนั้นหรือ??
.
“มานั่งนี่สิ
หรืออยากให้ผมเป็นคนขับรถให้”
เมื่อรถขับออกมาได้สักครู่เห็นวารินยังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมเขาจึงว่าใส่
วารินจึงย้ายมานั่งที่เบาะหน้าแทน
ตัดสินใจหันไปมองที่ลำคอเขาแบบชัด ๆ พลางคิดไปว่านั่นอาจไม่ใช่สร้อยเส้นเดียวกันก็ได้
ของเด็กวัยรุ่นเหมือนกันเยอะแยะไป แต่ทว่าวารินจ้องเท่าไหร่กลับไม่เห็นสร้อยเส้นนั้นสวมอยู่ที่ตำแหน่งเดิมของมันแล้ว
....มันหายไปจากคอเขา
ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกับคนทั้งคู่...
ขณะความคิดวนเวียนซ้ำๆ
รอยขบสีแดงจางๆ ก็ปรากฏให้เห็นแว๊บๆอยู่แถวเนินหน้าอกกว้าง เพราะเขาติดกระดุมไม่ครบทุกเม็ด
วารินพุ่งเข้าชาร์ตกระชากคอเสื้อเขาดูทันที ธาราธารเบรกรถเกือบไม่ทัน
แววตาผิดหวังถึงที่สุดจ้องหน้าเขานิ่ง
ขณะที่ธาราธารกำลังตกใจมากที่จู่ ๆ วารินเป็นอะไรไปมากระชากเสื้อกันแบบนี้ เขารีบตีไฟเข้าข้างทาง
“มีอะไร?!” เขาถามหน้าตื่น
วารินนั่งเงียบสีหน้าเรียบเฉย เลี่ยงมองไปที่กระจกด้านข้างเพราะกลัวว่าเขาจะเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความปวดร้าว
จิตใจชอกช้ำสุดจะเปรียบน้ำ ตารื้นขึ้นมาคลอหน่วย
กัดฟันอดทนให้ถึงที่สุด
ชนาธิป?
เด็กคนนั้นเป็นลูกชายของทัตพล
ถ้าธาราธารนอนกับเด็กนั่นจริง? ก็เท่ากับว่าธารหลับนอนกับน้องชายตัวเอง!!!
วารินที่ไม่รู้ว่าชนาธิปไม่ใช่ลูกที่แท้จริงของทัตพลถึงกับหน้าซีดตกใจสุดขีดรีบโพล่งถามขึ้น
“ธาร!
ธารรู้ใช่ไหมว่าชนาธิปเป็นลูกชายของคุณทัต”
ทันทีที่วารินเอ่ยชื่อทัตพล เขาเหมือนถูกสะกิดแผลในหัวใจทันที
“ทำไม!?
พูดถึงเขาทำไม!”
“คุณทัตเป็นพ่อของชนาธิป
แล้วธาร.. ค...คือเขาเป็นน้องธารนะ ชนาธิปน่ะเขาเป็นน้องชายของธาร”
วารินพูดไม่ออกเฉไฉไปอีกทาง ถ้าหากว่าธาราธารทำลงไปแล้วจริง
คงจะต้องทนรับความผิดบาปไปไม่ได้แน่
“เขาไม่ใช่น้องชายผมหรอก
ชนาธิปไม่ใช่ลูกที่แท้จริงของผู้ชายคนนั้น เมื่อคืนเขาบอกผมเอง”
วารินหันมองเขาทันที
อีกฝ่ายก็จ้องกลับมาไม่ลดละเช่นกัน เขาต่างฝ่ายต่างไม่รู้ความคิดของกันและกัน ธาราธารไม่ชอบให้วารินเอ่ยถึงทัตพล ใครหน้าไหนจะพูดถึงคน ๆ
นี้เขาก็ไม่แสลงใจเท่ากับที่วารินพูดสักครั้ง ขณะที่วารินกลับคิดไปว่าทั้งคู่คงรู้ว่าไม่ใช่พี่น้องกันจริง
ๆ หากมีอะไรกันไปคงไม่แปลก รถหรูเคลื่อนตัวออกไปอีกครั้ง
“....เข้าใจแล้ว....” เสียงเล็กเอ่ยเบา
เอนแผ่นหลังพิงเบาะอย่างหมดแรง เขารีบหันมาดู
“เป็นอะไร!”
“.....เปล่า”
“เดี๋ยวอีกสักครึ่งชั่วโมง
เอากาแฟขึ้นไปให้ผมด้วยนะ เมื่อคืนไม่ค่อยได้นอน ง่วงมากเลย”
เมื่อรถจอดลงที่หน้าบ้านเขาบอกวารินไว้ก่อนลง
กรามเล็กข่มแน่น คำว่าไม่ค่อยได้นอนของเขา ทำร้ายหัวใจกันได้ดีจริง ๆ
“พี่ทราย”
เขาเรียก รั้งแขนเล็กไว้ยังไม่ให้ก้าวลงไป เพราะสีหน้าวารินไม่ค่อยดี
“เป็นอะไร ไหนหันมามองหน้าผมซิ”
วารินยังเฉยเขาเลยดึงแขนเล็กให้แรงขึ้นอีกเพื่อให้หันมาหาเขาดี
ๆ ทว่าอีกฝ่ายก็ยังเลี่ยงที่จะสบตา ทำสีหน้าเหมือนคนไม่พอใจอะไรบางอย่าง
ความรู้สึกหึงหวงที่ยังเกาะกุมอยู่ในจิตใจเลยพาลพูดเรื่องไม่เข้าท่าขึ้นมาอีก
“หรือไม่พอใจที่ไม่ได้กลับมากับไอ้เต
มากับผมแบบนี้ลำบากใจมาก ต้องนั่งรถไปกับมันใช่ไหมถึงจะยิ้มแย้มได้”
วารินหันขวับมองใบหน้าเขา
และที่รวดเร็วยิ่งกว่าทั้งหมดคือมือเล็กคว้ากระเป๋าสะพายของตัวเองขึ้นมาฟาดใส่หน้าเขาอย่างหมดความอดทน
แล้วก้าวลงจากรถอย่างรวดเร็ว ธาราธารตกใจสุดขีดไม่คิดว่าวารินจะกล้าทำกับเขาถึงขนาดนี้ รีบตามเข้าไปในบ้านกระชากแขนเล็กไว้
“ผมถามว่าเป็นอะไร!” เขาตะคอกใส่
“หลีกไป! พี่จะไปหลังบ้าน ปล่อย!”
“ทำไม! พอมาถึงก็จะรีบเข้าหลังบ้านเชียวนะ
คิดถึงมันขนาดนั้น? ห่างกันแค่ไม่กี่ชั่วโมงนี่ไม่ได้เลยใช่ไหม!”
“ธาร!”
ปากเขายังคงทำร้ายกันไม่เลิก วารินโมโหหนักสะบัดแขนออกอย่างแรง
แรงกว่าทุกครั้งที่เคยทำเพราะความโกรธที่เขาพูดจาไม่น่าฟังแบบนี้
ทีตัวเองไปนอนค้างคืนกับใครต่อใครทำไมไม่คิดจะว่าตัวเองบ้าง
เขาออกไปกลางดึกกับเตโชก็เพราะพาภัครจิราเข้าโรงพยาบาลทำไมต้องมาพูดใส่กัน
แขนเล็กหลุดจากพันธนาการของเขาได้
วารินรีบจ้ำอ้าวเข้าหลังบ้านทันที
“พี่ทราย!” เขาเรียกเสียงดังขณะเดินตามมาด้วยความโมโห แขนเล็กถูกเขาคว้าจับเอาไว้ได้ “คุยกันให้รู้เรื่อง!”
“ไม่คุย! นายมันบ้าไปแล้วธาร
พี่กับนายเตไม่ได้เป็นแบบที่ธารคิดอะไรทั้งนั้น!” วารินบอกเป็นครั้งสุดท้ายแล้วบิดแขนออกจากมือของเขาได้อีกครั้ง
สายตาสบประสานกันครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจก้าวตัดออกไปที่หน้าห้องรับรอง
เขาจะคิดอย่างไรก็เชิญ
วารินไม่สนใจอะไรอีกแล้ว
“ไม่ให้ไป!”
มือใหญ่ตรงเข้ากระชากท่อนแขนบางอีกครั้งอย่างโกรธเกรี้ยว
จนวารินที่กำลังจะเลี้ยวเข้าห้องหลังบ้านเซถลาลงที่พื้น
แขนบาดเข้ากับหินประดับที่วางไว้แถวนั้นยาวเป็นทาง วารินล้มลงนั่งในทันที ความเจ็บปวดแล่นพล่านไปลามทั้งแขน
แผลถูกบาดเป็นรอยยาวเกือบคืบมีเลือดไหลทะลักออกมา
มือเล็กอีกข้างบีบลงที่ข้อมือข้างที่เจ็บด้วยความทรมาน
ธาราธารยืนตะลึงตาค้างกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
หัวใจเขาเหมือนร่วงหล่นลงไปกองอยู่ที่พื้น ความเจ็บปวดของคนที่ล้มลงบนพื้นโอบรัดให้เขาเจ็บปวดตามไปด้วยอย่างไม่รู้ตัว
เขาตั้งสติได้รีบเข้าประคองสอดมือเข้าช้อนร่างของอีกคนพาอุ้มเข้าไปที่ด้านในอย่างรวดเร็ว
เขาพาวารินเข้าไปล้างแผลในห้องน้ำจากนั้นพาออกมานั่งลงที่โซฟา สายตาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงฉายชัดออกมา
เขารีบออกไปคว้าเอากล่องปฐมพยาบาลเข้ามาด้วยตัวเอง
“ยื่นแขนมา” เขาบอกหน้าเครียด
“ไม่ต้อง! พี่ทำเองได้” วารินปัดมือเขาออก พูดอย่างแข็งขืน
แต่เขาหรือจะฟังจับแขนวารินให้ยื่นออกมา
ค่อยแต้มแอลกอฮอลล์ล้างแผลแตะลงไป แขนเล็กสั่นขึ้นนิดๆ
มองสบนัยน์ตาดุเข้มของเขาเหมือนความเจ็บช้ำจะตีตื้นขึ้นมา
หัวใจเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส เขาเคยรู้สึกรู้สากับการกระทำของตนเองบ้างหรือเปล่า?
สะใจมากไหมที่เห็นเขาต้องเจ็บแบบนี้ หรือว่ากลัวว่าเขาจะตายไปเสียก่อนจึงได้ลงทุนเอายาล้างแผลมาทำให้กัน
ความอ่อนโยนจอมปลอม อยากรู้นักว่าหัวใจของเขาทำด้วยอะไร??
ธาราธารเปลี่ยนเป็นทิงเจอร์ไอโอดีนชุบสำลีแต้มลงที่แผล
วารินกระตุกแขนนิดๆ ด้วยความแสบปากแผลที่ลากยาวเจ็บปวดขึ้นเป็นระยะ
“ธารไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้หรอก
แผลแค่นี้พี่จัดการเองก็ได้”
น้ำเสียงเล็กสั่นเครือปนน้อยใจเมื่อความอ่อนโยนของเขากำลังเข้าทำร้ายกันอีกครั้ง
ทั้ง ๆ ที่สิ่งที่เกิดขึ้นมันมาจากน้ำมือของเขาล้วน ๆ
“ทำไม!
หรืออยากให้ไอ้เตมันมาทำให้”
ปากของเขามันช่างทำร้ายจิตใจกันได้ไม่เลือกเวลาจริง
ๆ เขาจะเคยรู้สึกบ้างไหมว่าสิ่งที่เขาพูดออกมามันทำให้อีกฝ่ายรวดร้าวแค่ไหน
“เมื่อไหร่ธารจะมองพี่ในแง่ดีบ้าง
เมื่อไหร่จะเลิกเข้าใจพี่แบบนั้นเสียที”
วารินเงยหน้ามองเขาแล้วพูดจริงจัง
มือที่ทำแผลชะงักลงทันที
ใบหน้าคมแหงนเงยขึ้นสบดวงตากลมโตที่บัดนี้มีน้ำรื้นเอ่อขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด
เขาทาบผ้าปิดแผลแล้วปิดเทปพาดลงไปเป็นขั้นตอนสุดท้าย
วารินหลับตาลงแน่นก่อนจะข่มอารมณ์ความเสียใจไว้ภายใน เมื่อมองที่ดวงหน้าเขาอย่างจริงจังอีกครั้ง จึงเอื้อนเอ่ยประโยคที่อยากจะใช้มันเพื่อให้เขารับรู้ว่าตอนนี้ในหัวใจดวงเล็กคิดกับเขาเช่นไร
เมื่อความอดทนที่ทำมาทั้งหมดมันไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นมาได้เลย
“ธาร...พี่อยากให้ความสัมพันธ์ระหว่างเรามันดีขึ้นกว่านี้
โปรดมองพี่ด้วยหัวใจสักครั้งจะได้ไหม?”
น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด
กับใบหน้าที่เต็มไปด้วยการร้องขอ ดวงตาที่ไหวระริกคู่หนึ่งกำลังจ้องมองที่เขา วารินหยิบยื่นสิ่งเหล่านั้นส่งให้เขาอย่างช้าๆ
เขากำกล่องปฐมพยาบาลไว้จนแน่น คิ้วเข้มขมวดมุ่น เขากำลังใช้ความคิดอย่างหนัก
มองด้วยหัวใจอย่างนั้นหรือ?
ใช่! ตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นมาเขามองวารินด้วย
‘อคติ’ มาตลอด แต่แท้จริงแล้วความจริงลึกๆในใจเขาย่อมรู้ดีว่าวารินเป็นเช่นไร
แล้วทำไมเขายังทำสิ่งโหดร้ายกับคนตรงหน้าได้อีก ทั้งคำพูด ทั้งการกระทำของเขา
หรือทั้งหมดเป็นเพียงเพราะเขาไม่อยากจะยอมรับความเป็นจริงว่า แท้จริงแล้วเขาอภัยให้กับความผิดของวารินได้อย่างง่าย
ๆ
“แค่สักครั้ง
ได้โปรดใช้หัวใจมองมาที่พี่ แล้วธารจะได้เห็นถึงความเป็นจริง อย่าใช้แค่ดวงตาตัดสินกัน
ให้ใช้ใจลองมองดู ขอเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ความจริงใจของพี่จะได้ไหม
ได้โปรด....”
เสียงเล็กสั่นเครือ มีแต่ความเงียบงันเท่านั้นที่เป็นคำตอบ
ริมฝีปากของเขายังนิ่งสนิทขณะที่เขากำลังพยายามที่จะหลบหลีกสายตาของอีกคน ร่างสูงลุกขึ้นยืนช้า
ๆ หันหลังให้อย่างเยือกเย็น วารินเงยหน้ามองแผ่นหลังกว้างที่กำลังก้าวเดินออกไปด้วยจิตใจที่ร้าวรานเกินจะเปรียบ
....ขอแค่โอกาส....
.....สักครั้ง.....
....ขอแค่โอกาส
หยิบยื่นมันให้แก่กัน แค่นั้นไม่ได้เชียวหรือ....
“รีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเดี๋ยวเราออกไปรับคุณแม่ด้วยกัน”
จู่ ๆ
เขาพูดขึ้น วารินพอได้ยินอย่างนั้นถึงกับตกตะลึงเงยหน้ามองเขาทันที
เขาใช้คำว่า ‘เรา’ ?
เขาจะอนุญาตให้ไปรับภัครจิราได้หรือ?
“ถ้าพี่อยากจะไถ่โทษกับคุณแม่ผมจริง
ก็แสดงให้ผมเห็น ต่อไปช่วยป้าวันดูแลท่าน”
ความผิดของวารินถ้าเฉพาะเรื่องของทัตพลพ่อของเขา คงจะยกโทษให้ได้ไม่ยากเย็นอะไรเพราะทั้งคู่ก็ยืนยันถึงความไม่ตั้งใจ
แล้วเขาก็พอจะดูรู้สองคนนี้ไม่น่ามีอะไรที่มาเกี่ยวพันกันได้ แต่ทว่าความผิดที่ทั้งสองคนก่อกลับส่งผลร้ายกับแม่ของเขาโดยตรงทำให้พอมองดูที่ภัครจิราทีไรใจของเขาเหมือนโดนตอกย้ำอยู่เสมอว่าที่เธอต้องกลายมาอยู่ในสภาพนี้
นั่นเพราะใคร??
แต่วันนี้วารินกลับต้องลำบากพาภัครจิราไปโรงพยาบาลดึกๆดื่น
ๆ ดูแลเฝ้าไข้ ขณะที่เขาซึ่งเป็นถึงลูกกลับไปนั่งกินเหล้าทำตัวเหลวไหลอยู่นอกบ้านพอกลับมา
แทนที่จะกล่าวขอบคุณสักคำเขาดันไปพูดจาประชดประชันบ้า ๆ ใส่
แล้วยังทำเรื่องจนวารินต้องได้เลือดมาแบบนั้น
ความรู้สึกผิดตีตื้นขึ้นมาจนจุก
หัวใจรวดร้าวเจ็บปวดอย่างที่สุด
เขาตัดสินใจจะมองคน
ๆ นี้ใหม่อีกสักครั้ง
ใช้ใจมองกันอย่างนั้นหรือ??
อย่างน้อยคำว่า
‘ให้โอกาส’ อาจนำมาซึ่งสิ่งดีๆหลายอย่างมากมายในชีวิต
สำหรับวารินแล้วนี่เป็นเสมือนคำอนุญาตที่ยิ่งใหญ่จากเขา หลงลืมเรื่องชนาธิปไปในบัดดล รอยยิ้มกว้างประดับขึ้นบนใบหน้าหวานพยักหน้าขอบคุณเนื่องเพราะตื้นตันเกินจะเอ่ย
ไม่มีเกี่ยงงอนใดๆอีกแล้ว
ในเมื่อเขาอนุญาตให้เข้าไปดูแลภัครจิราได้แบบนี้นั่นแสดงว่าความโกรธเกลียดที่เขามีต่อกันคงจะลดทอนลงไม่มากก็น้อย
“แต่ผมจะดูทีท่าของคุณแม่ด้วย
ถ้าหากท่านต่อต้านไม่ยอมรับ พี่ก็ต้องทำใจเอาไว้ด้วย”
ใบหน้าเล็กพยักรับอีกครั้งอย่างเข้าใจ
วารินมองแผ่นหลังกว้างที่เลี้ยวหายออกไปด้วยความรู้สึกชื้นใจขึ้นมาบ้างอย่างบอกไม่ถูก
สิ่งที่เขาพูดมานั้นมันตีความได้ว่าเขาจะลองมองกันใหม่อีกสักครั้ง
เขาจะหยิบยื่นโอกาสให้กันแล้วนับจากนี้ ขณะที่คนที่ก้าวเดินออกมานอกห้องกลับครุ่นคิดอย่างหนัก
ชั่งใจระหว่าง ‘มองกันด้วยใจ’ กับ ‘มองกันด้วยอคติ’
วาริน...คนที่เป็นความรักครั้งแรกของเขา...และเป็นคนๆ เดียว
ที่เขาเคยเอ่ยปากจะยอมให้เป็นรักครั้งสุดท้ายเช่นกัน....
Tbc.