Friday, April 11, 2014

..พี่เลี้ยง..THE DAY' I was your man(Yaoi-drama) พิเศษ Unseen 5 (ทัตซี)



Unseen-5 (ทัตซี)



“ครับ แล้วว่างๆพี่ซีจะแวะไปหานะ”


ภูวดลกดวางสายลงไป  วารินโทรมาบอกเขาว่าเมื่อคืนภัครจิราเข้าโรงพยาบาลเพราะอาการชักกะทันหันแต่ตอนนี้ไม่เป็นไรมากแล้ว เย็น ๆ เขากับธาราธารจะไปรับเธออกมาด้วยกัน ภูวดลจึงบอกเล่าเรื่องราวที่ได้รู้ให้กับทัตพลฟังด้วย


วันนี้คน ๆ นี้ก็มาอาศัยท้องที่บ้านเขาอีกตามเคย


“ซี ฉันอยากไปเยี่ยมภัครเขา ซีถือโอกาสไปหาทรายด้วยกันเลยดีไหม พรุ่งนี้เป็นไง ว่างหรือเปล่า”


“ไหนคุณว่าพรุ่งนี้คุณจะไปพังงาไงครับ”ภูวดลว่าแล้วเดินเข้าไปในครัว เขากำลังทำอาหารค้างอยู่


“จริงสิ ลืมไปเลย ยังไงดีล่ะทีนี้?” ทัตพลทำหน้าเหมือนคนกำลังคิดชั่งใจอย่างหนัก


“คุณภัครไม่เป็นอะไรแล้วล่ะครับ ทรายเขาบอกว่าอาการชักแบบนี้อาจเกิดขึ้นได้บ่อย ๆ คุณหมอเลยบอกวิธีดูแลโดยละเอียดมาแล้ว ผมว่าคุณกลับมาแล้วค่อยไปหาเธอก็คงได้  แล้วแต่นะ...แล้วแต่คุณ”


“ถ้าอย่างนั้นเราไปกันเสาร์หน้าดีไหม ฉันกลับมาประมาณวันพุธไม่ก็พฤหัส รอไปพร้อมซีก็แล้วกัน”


“เสาร์อาทิตย์หน้าผมไม่ว่างนะครับ คุณไม่ต้องมาก็ได้ผมไปลงเรียนคอร์สเพิ่มเติมกับรุ่นพี่ที่ศูนย์ศิลป์ฯไว้ ถ้าคุณอยากไปวันไหนก็ไปเถอะครับ”


“ไม่เอาอ่ะ  ฉันจะรอไปพร้อมซี ไม่อยากไปคนเดียวนี่ เจ้าลูกชายฉันจะได้เกรงใจเธอไม่ไล่ตะเพิดฉันกลับอย่างคราวที่แล้วอีก อย่างน้อย ๆซีก็เป็นพี่ชายทรายเขา และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นถึงฉันจะเป็นห่วงภัครเขาแค่ไหนแต่ก็คงไม่อยู่ในฐานะที่จะใกล้ชิดกันได้อีกต่อไปแล้ว คนเลวที่ทิ้งลูกทิ้งเมียมาตั้งยี่สิบปี ซีคิดว่าฉันยังจะกล้าเข้าไปใกล้ชิดเขาสองแม่ลูกอีกอย่างนั้นหรือ”  มือที่กำลังหมุนเจ้ารูบิคอันเล็กหยุดนิ่งอยู่อย่างนั้นเมื่อเรื่องอดีตผุดขึ้นในหัว


“ฉันกำลังลงโทษคนที่ทำให้ภัครเขาต้องเป็นแบบนี้ด้วยวิธีการของฉันอยู่ มันคงยังไม่เหมาะหากว่าฉันจะเดินเข้าไปที่นั่นเพื่อขอเข้าไปดูภัครเขาด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะคิดอย่างไรธารเขาต้องไม่ยอมรับฉันแน่นอนอยู่แล้ว”


“คุณก็เลยจะพาผมไปด้วย ใช้เป็นฉากบังหน้า เพราะกลัวตัวเองจะโดนไล่ตะเพิดออกมาอย่างนั้นหรือครับ”


“ไม่ใช่อย่างนั้นนะ  ฉันแค่อยากชวนเธอไปด้วยเท่านั้นเอง คิดอะไรเนี่ย” เขามองไปที่ภูวดลทันทีที่ได้ยินอีกคนใช้น้ำเสียงจริงจังถาม


“งั้นอีกสองอาทิตย์เราไปด้วยกัน ระหว่างนั้นฉันจะโทรไปถามทรายเขาเรื่อย ๆว่าภัครเขาดีขึ้นบ้างไหม”


ภูวดลมองหน้าเขาแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรต่อ ขณะที่มือก็หั่นมะเขือเทศเรียงจัดใส่จานไว้ เมื่อก่อนเป็นวารินที่ชอบกินมะเขือเทศหั่นจิ้มซอสพริกมาก แต่ตอนนี้ไม่น่าเชื่อว่ามะเขือเทศหั่นจะกลายเป็นเมนูโปรดของทัตพลไปเสียแล้ว ไม่ว่าจะไปตลาดด้วยกันเมื่อไหร่เขาจะต้องรีบชี้ๆให้ภูวดลซื้อมะเขือเทศลูกใหญ่ ๆ ให้ทุกครั้ง


“เอ๊ะ! แต่เดี๋ยว เมื่อกี้ซีว่าจะไปเรียนอะไรเพิ่มกับรุ่นพี่ที่ไหนนะ”


“อ๋อ ที่ศูนย์ศิลป์ครับ เขาสอนเรื่องลงสีเพิ่มเติม ผมอยากได้เทคนิคแนวคิดจากเขาหน่อยเลยลองไปติดต่อไว้ เขาเลยนัดให้ไปเรียนเสาร์อาทิตย์หน้า”


“อืมม เสาร์อาทิตย์หน้างั้นหรือ??” เขาทำท่านึก


“เสาร์อาทิตย์หน้าฉันว่างนะ เดี๋ยวไปส่งให้ดีไหม? แถวนั้นมีร้านกาแฟที่ฉันติดใจอยู่ เดี๋ยวไปนั่งรอซีอยู่ที่นั่นก็แล้วกัน”


“ไม่ต้องหรอกครับ คุณจะไปด้วยทำไมกันรบกวนเปล่า ๆ”


“รบกวนที่ไหน เรารู้จักกันแล้ว สนิทสนมถึงขั้นฉันมาทานข้าวที่นี่เกือบทุกวัน นี่ยังเห็นฉันเป็นคนอื่นคนไกลอีกหรือไง”


“ไม่เอาหรอกครับ ผมเรียนเป็นครึ่ง ๆ วันคุณจะนั่งรออยู่ที่นั่นตลอดได้ยังไง”


“ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่  ตามนี้ล่ะ”


เขาว่าแล้วหันไปสนใจรูบิคในมือเขาต่อ ของเล่นชิ้นใหม่ที่เขาเพิ่งได้มันมาจากตลาดเมื่อเช้าตอนยืนรอภูวดลซื้อของ เขาเห็นคนแก่ ๆ น่าสงสารหอบมันใส่ตะกร้ามาขาย คนรวยอย่างเขาเลยยื่นแบงค์พันส่งให้แล้วบอกไม่ต้องทอน


“ซี วันหลังไปเที่ยวพังงากับฉันสิ” จู่ ๆ เขาพูดขึ้น


“ไม่เอาหรอกครับ ผมไม่ชอบเที่ยวทะเล”


“เขาว่ากันว่าถ้าเราไม่ชอบอะไรก็จะได้อย่างนั้น  ฉันว่าเผลอๆต่อไปซีอาจจะได้ไปใช้ชีวิตแถว ๆ ทะเลก็ได้นะ” เขาว่าไปเรื่อยเหมือนคนพูดเล่น ไม่จริงจังอะไร


“จะให้ผมไปเป็นชาวเลหรือครับ หาปลามาทำกับข้าวให้คุณกินงั้นสิ”


“เธอพูดเองนะซี พูดแล้วทำให้ได้ด้วย” เขาละสายตาขึ้นมามอง


“ผมก็พูดไปเรื่อยแหละครับ  ใครจะมาทำกับข้าวให้คุณกินกัน คุณมีเงินก็ซื้อกินเองเถอะ”


“อะไรเนี่ยฉันแซวเล่นแค่นี้ต้องกระแทกเสียงใส่กันด้วย โกรธเหรอ??” เขาลุกขึ้นมาแล้ว


“เปล่านะครับ” ภวดลรีบก้าวถอยเมื่อเขารุกเข้าหา “คุณอย่าทำอะไรแบบนี้นะ”


“ทำไม!  ฉันกำลังจะทำอะไร ซีรู้ด้วย??” เขาจ้องอย่างเจ้าเล่ห์ แกล้งเดินเข้าหาใกล้จนเกือบชิด  ภูวดลถอยจนสะโพกชนกับเคาน์เตอร์ เขาเข้ามาประชิดแล้วเอื้อมมือมาจับเอาแก้วน้ำที่ถูกภูวดลยืนบังไว้อยู่ ดูแล้วเหมือนเขากอดอีกคนไว้ไม่มีผิด ภูวดลรีบมุดออกใต้ท้องแขนเขาทันที  ทัตพลอมยิ้ม อดจะขำไม่ได้


“กับข้าวเสร็จหรือยังหิวแล้วนะ”


“คุณก็มาช่วยสิครับ กวนผมอยู่แบบนี้จะได้ทานกันตอนไหน ผมเองก็หิวเหมือนกันนะ เอานี่! จานนี้เสร็จแล้ววางลงบนโต๊ะได้เลยแล้วคุณก็ครอบฝาชีไว้ด้วย”


“เมื่อไหร่ซีจะเรียกฉันว่าพี่ทัตเสียทีล่ะ  เรียกคุณแบบนี้ฉันรู้สึกแปลกๆนะ”


“ไม่เอาหรอกครับ เรียกแบบนั้นสิที่แปลกน่ะ”


“แปลกตรงไหน? ฉันเป็นพี่ ซีก็ต้องเรียกฉันว่าพี่ นี่คือถูกต้องที่สุดแล้วนะ ที่ไม่ยอมเรียกนี่เพราะซีคิดอะไรมากไปหรือเปล่า หืม?” เขาแกล้งว่าอีกฝ่าย ลอบมองปฏิกิริยาของภูวดล


“ผมเปล่าคิดนะ” ภูวดลโต้


“ถ้าไม่ได้คิดอะไรมากก็เรียกซะ ฉันรอฟังอยู่”


ความเงียบเข้าปกคลุมห้องครัวทั้งห้องอีกครั้ง ทัตพลที่รอฟังกับภูวดลที่ไม่ยอมเอ่ยคำพูดอะไรต่ออีก


“ทานเลยนะ โอ้โหวันนี้มีแต่ของโปรดพี่ทัตทั้งนั้นเลย”


เขาเริ่มเรียกชื่อตัวเองแล้ว รอฟังอีกฝ่ายจะพูดออกมาว่ายังไง


“ก็ ค...คุณ....”


“ฮึ่มม...เรียกพี่ว่า พี่ทัต ไม่อย่างนั้นวันนี้พี่ไม่ยอมกลับจริงนะ ทานข้าวแล้วจะค้างที่นี่เลย”


ทัตพลขัดคอขึ้น พูดจาเอาแต่ใจแกมบังคับไปในตัว ภูวดลเงยหน้ามองเขาทันทีแทบจะอยากเขวี้ยงช้อนที่อยู่ในมือใส่ ถ้าไม่ติดว่าเกรงใจที่เขาเป็นแขกและอายุมากกว่าแถมพ่วงความเอาแต่ใจเหมือนลูกชายเขาไม่มีผิด ขืนต่อปากต่อคำไปมีแต่จะเรื่องยาว


“พ...พี่ทัตจะกลับตอนไหนครับ กินข้าวเสร็จแล้วกลับเลยก็ดีนะ ฝนทำท่าจะตกแล้วด้วย”


ทัตพลขำแทบจะสำลัก พอเขาเรียกตัวเองว่าพี่เป็นครั้งแรกกลับเอ่ยปากไล่เขาเสียได้ ภูวดลที่พูดจบแล้วก้มหน้าก้มตากินไม่มองเขาอีก เสียงฟ้าคำรามดังมาให้ได้ยิน กลิ่นฝนลอยมาติดปลายจมูก ฝนตั้งเค้ามาแต่ไกลแล้วแน่ พักเดียวก็ตกเทลงมาอย่างแรง ภูวดลรีบวิ่งไปปิดประตูหน้าบ้านเพราะกลัวว่าฝนจะสาด ทัตพลที่กำลังช่วยเขาล้างจาน จึงเดินมาช่วยงับหน้าต่างลงอีกแรง


ไฟกระพริบ ๆ เหมือนทำท่าว่าจะดับ


“เดี๋ยวรอฝนซาสักหน่อยแล้วพี่ไปเลื่อนรถมาจอดไว้ด้านในดีกว่า พรุ่งนี้ซีไปส่งพี่ที่สนามบินแต่เช้านะ เอารถจอดไว้ที่นี่เลยก็แล้วกัน”


“นี่ตกลงคุณทะ  เอ้ย  พี่ทัตจะค้างที่นี่อีกเหรอครับ”



“ค้างสิครับ  ฝนตกหนักแบบนี้อย่าบอกว่าจะใจร้ายให้พี่ขับรถกลับคอนโดนะครับซี”



*****************************************************


Unseen >>> Tbc.


..พี่เลี้ยง..THE DAY' I was your man(Yaoi-drama) บทที่ 27 Try to use yr heart look




บทที่27  Try to use your heart looking to me



เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น วารินสะดุ้งตื่นจากห้วงความคิดทั้งหมด เป็นสายเข้าจากนับดาวโทรเข้ามารายงานว่ายังติดต่อธาราธารไม่ได้  วารินจึงบอกกลับไปว่าไม่เป็นไรให้นับดาวพักผ่อนได้แล้ว พรุ่งนี้จะได้มีแรงตื่นมาทำอาหารช่วยป้าวันเอามาให้คุณภัครท่านแต่เช้า  ก่อนจะกดวางสายลงไป


“คุณหมออกมาแล้วครับ” เตโชลุกขึ้นเรียกวารินให้เดินเข้าไปด้วยกัน คุณหมอเจ้าของไข้ที่ดูแลภัครจิราอยู่


“ไม่เป็นอะไรมากหรอกนะ เกิดภาวะช็อคแทรกซ้อนนิดหน่อยไม่มีอะไรมากแล้ว เดี๋ยวพวกคุณตามพยาบาลขึ้นไปเลยก็ได้ นอนค้างที่นี่สักคืนแล้วกันผมขอดูอาการต่ออีกหน่อยถ้าพรุ่งนี้ไม่มีปัญหาเย็นๆก็กลับได้แล้ว”


ทั้งวารินและเตโชยกมือไหว้อย่างสำนึกในบุญคุณ มองดูบุรุษพยาบาลเข็ญเตียงที่มีเจ้านายของพวกเขาทั้งคู่ออกมา สีหน้าเธอดีขึ้นมาก พวงแก้มเริ่มมีสีแดงระเรื่องแต้มแต่ง วารินค่อยหายใจโล่งไปเปราะหนึ่ง


“เดี๋ยวผมเอารถลงไปจอดดี ๆ แล้วจะตามคุณทรายขึ้นไปนะครับ” เตโชเอ่ยขึ้นก่อนเขาจะเดินแยกออกไป


พอขึ้นมาถึงบนห้อง วารินรีบเข้าไปล้างมือ ออกมากระชับผ้าห่มคลุมลงที่หน้าอกให้ภัครจิราอย่างเบามือ ขณะที่เธอนอนจ้องหน้าเขานิ่ง ภัครจิราพูดไม่ได้แม้แต่ร่างกายก็ไม่ขยับ เพราะฉะนั้นความรู้สึกทุกอย่างจะแสดงออกมาทางแววตาเท่านั้น



...ไม่ใช่ว่าวารินไม่สังเกต...



ตลอดทางที่นั่งรถมาเป็นวารินที่คอยหลบเลี่ยงที่จะสบสายตากับเธออยู่ตลอด ความรู้สึกผิดตีตื้นอยู่เต็มอก แต่ทว่าก็อยากช่วยอยากดูแลอยากทำทุกอย่างให้เท่าที่เขาจะสามารถทำได้  ทั้งที่กลัวว่าเธอจะรังเกียจดังนั้นเขาจึงคอยหลีกเลี่ยงที่จะสบสายตากับเธออยู่ตลอด


ฉับพลันคนตัวเล็กตัดสินใจมองดูหน้าเธอแวบหนึ่ง น้ำตาหยดหนึ่งไหลตกลงมาที่หางตาสวย...ภัครจิรากำลังร้องไห้...วารินคุกเข่าลงทันที


“คุณภัครครับ”  เขาว่าเสียงสั่นก้มหน้านิ่ง สองมือกำจิกเนื้อตัวเองจนสั่น 


“ผมรู้ถึงพูดไปก็เหมือนกับแก้ตัว แต่ผมอยากให้คุณรู้นะครับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นผมกับคุณทัตไม่ได้ตั้งใจ  เราสองคนโดนวางยาโดยใครบางคนที่คุณทัตเองก็บอกออกมาไม่ได้ ผมไม่รู้เหตุผลของเขาแต่ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นมาแล้ว ทั้งเลวร้ายและยอมรับได้ยากแต่ผม..อยากจะขอให้คุณให้อภัย ถ้าตอนนั้นสติสัมปชัญญะยังครบถ้วน ไม่มีวัน ที่ผมจะทำเรื่องราวแบบนั้นแน่นอนครับ!  ผมเองก็เสียใจ ยกโทษให้ผมด้วยเถอะนะครับ”


วารินหลั่งน้ำตากล่าวขอโทษเธอ ความผิดครั้งนี้ใหญ่หลวงมากนักจริง ๆ หากเขาเป็นเธอไม่แน่ว่าจะสามารถยกโทษให้ได้หรือไม่


วารินค่อยๆเงยหน้าขึ้น เขากล้าที่จะมองดูภัครจิราเต็มตาเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เธอล้มป่วย บัดนี้แววตาที่เคยแข็งกร้าวทุกครั้งที่เขาคอยแอบมองเธอตลอดมา  ค่อยเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นมาบ้างแล้ว ถึงจะไม่เหมือนเดิมเหมือนอย่างเคย แต่ก็ไม่เย็นชาไร้ความรู้สึกเหมือนที่ผ่านมา


“คุณทรายนอนเถอะครับ เดี๋ยวผมจะดูคุณภัครต่อให้เอง”


เตโชเข้ามาแตะลงที่บ่าเล็ก วารินที่คุกเข่าอยู่ถึงกับสะดุ้งรีบเช็ดรอยน้ำตา ไม่รู้ว่าเขาเข้ามาตอนไหน รีบลุกขึ้นเทน้ำเปล่าใส่แก้วเสียบหลอดใส่ขณะที่เตโชเข้าไปขยับปรับเตียงให้สูงขึ้นอีกนิดเพื่อให้เธอดื่มน้ำได้สะดวก เมื่อยื่นแก้วไปชิดที่ริมฝีปากสวย ภัครจิราชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งในที่สุดยอมเปิดปากรับหลอดเล็กๆ ดูดน้ำสะอาดผ่านลำคอเข้าไป


“ไม่เป็นไรหรอกนายเตพักเถอะ เดี๋ยวฉันจะนอนตรงนี้นี่แหละ วารินว่าแล้วหมุนเตียงลงปรับตำแหน่งให้เหาะสมเพื่อให้คนป่วยนอนได้สะดวกสบายขึ้น ขณะที่เตโชเลี่ยงมานั่งลงที่โซฟาตัวยาว เวลาผ่านไปได้สักครู่เขายกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูตอนนี้ตีสี่ครึ่งแล้ว แผ่นหลังเล็ก ๆ ฟุบหลับอยู่ที่ข้างเตียง ไฟในห้องถูกหรี่เป็นสีส้ม  เตโชเดินไปแตะลงที่หลังเรียกวารินเบา ๆ คนตัวเล็กงัวเงียแล้วเดินตามเขาออกมากึ่งนั่งกึ่งนอนลงที่โซฟา เตโชเองก็เอนตัวอยู่ข้างกัน พักเดียวทั้งคู่ก็หลับไป







ตุ่บบบบ!!!!!!


“จะนอนพิงกันต่ออีกนานไหม!


น้ำเสียงฉุนเฉียวมาพร้อมกับเสียงฟาดหมอนลงใส่ที่ตักของทั้งคู่ ทั้งวารินทั้งเตโชสะดุ้งขึ้นพร้อมกัน ไม่รู้เมื่อคืนนั่งกันอิท่าไหนตอนเช้าหัวเลยเอนพิงกันอยู่แบบนั้น ช่างแสลงใจสำหรับผู้มาใหม่อย่างที่สุด เขาถึงกับจับหมอนเขวี้ยงใส่ทันที


วารินรีบยืนขึ้นขณะที่เตโชเดินเลี่ยงออกไปแถวหน้าประตูสบทบกับทินกรพ่อของเขา นับดาวและวันนา ที่เพิ่งเดินเข้ามาเช่นกัน


“เต  นายพานับดาวกลับไปก่อนก็ได้ไม่ใครอยู่เฝ้าบ้านเดี๋ยวทางนี้ฉันจัดการเอง”  


นับดาวสะดุ้งเฮือกทั้งที่เพิ่งมาถึงก็ถูกไล่ให้กลับเสียแล้ว  เธอรีบเดินเข้ามาดูภัครจิรา แล้วเลี่ยงออกไปหาเตโชทันที ท่าทางนายน้อยของบ้านอารมณ์เสียเป็นอย่างมาก หากดื้อดึงจะขออยู่ต่อรังแต่จะหาเรื่องใส่ตัวเธอจึงได้แต่เงียบไว้


“ถ้าอย่างนั้นพี่กลับพร้อมดาวเลยก็แล้ว.....”


“ไม่ต้องไป!  เดี๋ยวกลับพร้อมผม”


เขาว่าขึ้นเสียงแข็ง แทรกขึ้นทันทีที่วารินกำลังจะลุกขึ้น  ใบหน้าเล็กมองเขากล้า ๆ กลัว ๆ ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรเพราะปกติแล้วเขาจะไม่อนุญาตให้วารินเข้ามาใกล้ภัครจิราได้แม้แต่นิดเดียว แต่ครั้งนี้วารินถึงกับมานอนเฝ้าอาจทำให้เขาดูโกรธเอามากๆแบบนี้  เขาเดินเข้าไปหาภัครจิราที่เตียง วารินจำต้องนั่งลงที่เดิม โบกมือให้ดาวกับเตโชที่กำลังจะกลับไปก่อน


เขาบีบมือคุณแม่เขาเบา ๆ แล้วพูดเสียงอ่อน “คุณแม่ครับ ผมมาแล้วนะ” ภัครจิราขยับตัวลืมตาตื่น รอยยิ้มน้อย ๆ ถูกจุดขึ้นทันทีที่เห็นใบหน้าของลูกชายคนเดียวของตน


“ขอโทษนะครับที่เมื่อคืนไม่ได้อยู่.....”


ขณะที่เด็กหนุ่มคุยกับคุณแม่ของเขาไปเรื่อยๆ วารินเพิ่งจะสังเกตเห็นใครบางคนที่เดินตามหลังเขาเข้ามา เด็กหนุ่มคนนั้นยืนรออยู่ใกล้ประตู


ชนาธิป ?


เด็กที่พี่ซีรับวาดรูปให้คนนั้น


“สวัสดีครับ” เป็นชนาธิปที่ทักขึ้นก่อนเขายกมือไหว้วาริน รู้สึกคุ้นหน้าวารินมาก นึกอยู่พักเดียวเขาก็จำวารินได้  แต่กระนั้นก็ยังจำไม่ได้ว่าน้องชายของภูวดลคนนี้ชื่ออะไร


“นั่งก่อนสิ”


วารินรับไหว้ขยับออกนิดหน่อยเพื่อให้เขานั่งลงข้างกันได้ ชนาธิปจึงถามไถ่ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นทำไมภัครจิราถึงต้องมาที่โรงพยาบาลกลางดึก อีกฝ่ายจึงบอกเล่าไปเท่าที่จะบอกให้ฟังได้  ครู่หนึ่งคุณหมอเจ้าของไข้เข้ามาตรวจอาการ


“วันนี้จะกลับตอนเย็นเลยก็ได้เดี๋ยวอาหมอทำเรื่องไว้ให้ ดูแลคุณภัครให้ดีนะธารมีอะไรโทรด่วนหาอาได้ยินดีรับใช้เสมอ” คุณหมอกำชับกับลูกชายของเธอก่อนขอตัวออกไป


“คุณธารกลับไปทานข้าวทานปลาก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวป้าดูแลทางนี้ให้เอง” วันนาเสนออกมา ธาราธารจึงพยักหน้ารับเขามองไปที่วาริน


“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมจะแวะไปส่งเพื่อนก่อน ช่วงเย็นจะแวะเข้ามารับคุณแม่นะครับ”


เขาก้มลงบอกคุณแม่ของเขา  ชนาธิปรีบเดินเข้าไปที่เตียงยกมือไหว้ภัครจิราด้วยใจที่แสนหดหู่ เขารู้ทั้งรู้ว่าคนที่ทำให้เธอต้องนอนป่วยอยู่แบบนี้คือวิลาสินีคุณแม่ของเขาเอง แต่จะให้พูดออกมาก็คงไม่ได้


ธาราธารพาชนาธิปเดินออกไปแล้ว แต่วารินยังคงนั่งเฉยอยู่เขาเลยเดินเข้ามาพยักหน้าเรียกอีกหน


“ธารไปส่งเพื่อนเถอะ เดี๋ยวพี่กลับ....”


“อย่าเรื่องมาก ลุกขึ้นแล้วตามมา”


เขาพูดแค่นั้นแล้วเดินออกไป  วารินจำใจคว้ากระเป๋าแล้วลุกตามบอกป้าวันว่าไม่รู้ตอนเย็นจะได้มารับไหม แต่จะลองขอให้ธาราธารพามาด้วยจะได้มาช่วยวันนาถือของเธอจึงลูบหลังเขาเบา ๆ ขอบคุณในความมีน้ำใจ วารินเข้าไปที่เตียงยกมือไหว้ภัครจิราบอกว่าจะกลับแล้ว  เดี๋ยวช่วงเย็นธารจะมารับเธอกลับบ้าน ภัครจิรามองเขานิ่ง ๆ


“กว่าจะออกมาได้นะ ไม่อยากนั่งหรือไงเบนซ์สปอร์ตสี่ที่นั่งแบบนี้ หรือชอบนั่งรถกระบะเก่า ๆ มากกว่า” พอขึ้นรถมาได้เขาก็แขวะทันที


“ธารทำไมไปว่าพี่เขาแบบนั้น”


ชนาธิปที่นั่งหน้าคู่กับเขาเอามือแตะที่หน้าขาเขาไว้ส่งเสียงปราม และหันมามองวารินที่ทำทีเหมือนไม่สนใจ จากนั้นมองดูหน้าคนขับอีกครั้ง


“ไปไงมาไงถึงมาด้วยกันได้  ทำไมไม่ให้ดาวพาคุณแม่มาหรือว่าอยากจะออกมากับไอ้เต  เลยเสนอตัวงั้นสิ”


“ธาร! หยุดนะ พูดอะไรน่ะ”  

วารินหน้าเครียดรีบปรามเขาไว้เพราะชนาธิปก็นั่งอยู่ด้วยทำไมเขาถึงกล้าพูดออกมาไม่คิดแบบนั้น


“เมื่อคืนพวกเราตกใจกันมาก ธารเองก็ไม่อยู่ไม่ใช่หรือไง ไม่มีใครเขาคิดเรื่องอะไรแบบนั้นกันหรอก”


“ไม่ทันคิดเรื่องแบบนั้นแต่พี่ก็เลือกที่จะออกมากับไอ้เตมัน”


“ธาร!”


“ว่าไงครับ! พี่ทราย!


เขาเน้นเสียงใส่ชัดถ้อยชัดคำ คำพูดของเขายิ่งกว่าด่ากันตรง ๆ  วารินหัวเสียยิ่งกว่าเดิม เขาเป็นบ้าอะไรนับวันพูดไม่รู้เรื่อง แค่เรื่องออกมากับเตโชแค่นี้ก็ทำเขาของขึ้นเป็นหมาบ้ากัดไม่เลือกแบบนี้


วารินกัดริมฝีปากเลือกที่จะเงียบ คนขับอย่างเขาจึงทำเสียงฮึดฮัดในลำคออย่างขัดใจเมื่ออีกคนไม่ส่งเสียงอะไรโต้ตอบกลับมา    ชนาธิปที่นั่งฟังสองคนพูดใส่กันแบบนั้นเริ่มฉุกใจคิดถึง ความสัมพันธ์ของทั้งสองคน   ธาราธารกับวาริน


ธาร...กับ...พี่ทราย



พี่ทราย ?!!!!



             “พี่ทราย...ผมขอโทษ...รักมาตลอด ไม่เคยมีวันไหนที่ไม่รัก...ขอโทษ..”



ชนาธิปปะติดปะต่อเรื่องได้ทันที แต่ก็อดที่จะตกใจไม่ได้เมื่อรู้ว่าคนที่ธาราธารรักมาตลอดคือวาริน เขารีบเอ่ย


“พี่ทรายอย่าว่าธารเลยนะครับ เมื่อคืนเราทั้งคู่ดื่มหนักไปหน่อยเลยเปิดห้องค้างคืนกันเสียเลย กว่าจะได้นอนก็เกือบเช้าแล้ว”


ทันทีที่พูดจบ วารินมองธาราธารทันที คำว่าเปิดห้องค้างด้วยกันมันมีความหมายอะไรที่ลึกซึ้งมากกว่านั้นอีกหรือเปล่า?  วารินกวาดตามองที่คนตัวเล็กกว่าเขาที่นั่งอยู่เบาะหน้า  ชนาธิปหันมาส่งรอยยิ้มไร้เดียงสาให้ พร้อมเอื้อมลำตัวมาคว้าเอากระเป๋าสะพาย   สร้อยเส้นเล็กรูปกุญแจซอลโผล่พ้นคอเสื้อออกมาให้วารินได้เห็นชัดๆเต็มสองตา



วารินเบิกตาขึ้นทันที!



....สร้อยเส้นที่ธาราธารสวมใส่ไว้ที่คอเป็นประจำ บัดนี้เปลี่ยนไปอยู่ที่ลำคอเล็กสวยงามของใครอีกคนที่นั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถอยู่ข้างเขา   ใบหน้าเล็กชาวาบ ขอบตาร้อนผ่าว    เมื่อวานเขายังเห็นมันอยู่บนลำคอที่เปล่าเปลือยที่คร่อมทับร่างกายของเขาอยู่  แต่บัดนี้....บัดนี้เปลี่ยนไปอยู่กับใครอีกคนแล้ว...



“ไปนะครับพี่ทราย  ขอบใจนะธาร แล้วเจอกัน เดี๋ยวธิปโทรหา” ชนาธิปบอกลาวาริน แล้วโบกมือให้คนขับพร้อมส่งรอยยิ้มกว้าง เขาก้าวลงไปพร้อมหันหลังกลับมามองเมื่อรถแล่นออกไปจนลับตา ดวงตากลมหรี่ลงด้วยความริษยา  เฝ้าคิดวนเวียนซ้ำ ๆ


ทำไมต้องเป็นคน ๆ นี้ที่ธารรัก?  ทำไมต้องเป็นผู้ชายที่อายุมากกว่าธารเยอะขนาดนั้น?  ตัวเขาที่น่ารักกว่า ดูดีกว่า เด็กกว่า พร้อมกว่าแทบจะทุกอย่าง ธารกลับไม่เคยหันมามอง....ไม่เคยอยู่ในสายตาเลยสักครั้ง


พี่ทรายคน ๆ นี้คือคนที่ธาราธารรักมาตลอดอย่างนั้นหรือ??


.


“มานั่งนี่สิ หรืออยากให้ผมเป็นคนขับรถให้”


เมื่อรถขับออกมาได้สักครู่เห็นวารินยังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมเขาจึงว่าใส่  วารินจึงย้ายมานั่งที่เบาะหน้าแทน ตัดสินใจหันไปมองที่ลำคอเขาแบบชัด ๆ พลางคิดไปว่านั่นอาจไม่ใช่สร้อยเส้นเดียวกันก็ได้ ของเด็กวัยรุ่นเหมือนกันเยอะแยะไป  แต่ทว่าวารินจ้องเท่าไหร่กลับไม่เห็นสร้อยเส้นนั้นสวมอยู่ที่ตำแหน่งเดิมของมันแล้ว



....มันหายไปจากคอเขา ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกับคนทั้งคู่...



ขณะความคิดวนเวียนซ้ำๆ รอยขบสีแดงจางๆ ก็ปรากฏให้เห็นแว๊บๆอยู่แถวเนินหน้าอกกว้าง เพราะเขาติดกระดุมไม่ครบทุกเม็ด วารินพุ่งเข้าชาร์ตกระชากคอเสื้อเขาดูทันที ธาราธารเบรกรถเกือบไม่ทัน


แววตาผิดหวังถึงที่สุดจ้องหน้าเขานิ่ง ขณะที่ธาราธารกำลังตกใจมากที่จู่ ๆ วารินเป็นอะไรไปมากระชากเสื้อกันแบบนี้  เขารีบตีไฟเข้าข้างทาง


“มีอะไร?!” เขาถามหน้าตื่น   วารินนั่งเงียบสีหน้าเรียบเฉย  เลี่ยงมองไปที่กระจกด้านข้างเพราะกลัวว่าเขาจะเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความปวดร้าว   จิตใจชอกช้ำสุดจะเปรียบน้ำ ตารื้นขึ้นมาคลอหน่วย กัดฟันอดทนให้ถึงที่สุด


ชนาธิป?


 เด็กคนนั้นเป็นลูกชายของทัตพล ถ้าธาราธารนอนกับเด็กนั่นจริง? ก็เท่ากับว่าธารหลับนอนกับน้องชายตัวเอง!!! วารินที่ไม่รู้ว่าชนาธิปไม่ใช่ลูกที่แท้จริงของทัตพลถึงกับหน้าซีดตกใจสุดขีดรีบโพล่งถามขึ้น


“ธาร! ธารรู้ใช่ไหมว่าชนาธิปเป็นลูกชายของคุณทัต”  ทันทีที่วารินเอ่ยชื่อทัตพล เขาเหมือนถูกสะกิดแผลในหัวใจทันที  


“ทำไม!? พูดถึงเขาทำไม!


“คุณทัตเป็นพ่อของชนาธิป แล้วธาร.. ค...คือเขาเป็นน้องธารนะ  ชนาธิปน่ะเขาเป็นน้องชายของธาร” วารินพูดไม่ออกเฉไฉไปอีกทาง ถ้าหากว่าธาราธารทำลงไปแล้วจริง คงจะต้องทนรับความผิดบาปไปไม่ได้แน่


“เขาไม่ใช่น้องชายผมหรอก ชนาธิปไม่ใช่ลูกที่แท้จริงของผู้ชายคนนั้น เมื่อคืนเขาบอกผมเอง”


วารินหันมองเขาทันที อีกฝ่ายก็จ้องกลับมาไม่ลดละเช่นกัน เขาต่างฝ่ายต่างไม่รู้ความคิดของกันและกัน  ธาราธารไม่ชอบให้วารินเอ่ยถึงทัตพล  ใครหน้าไหนจะพูดถึงคน ๆ นี้เขาก็ไม่แสลงใจเท่ากับที่วารินพูดสักครั้ง ขณะที่วารินกลับคิดไปว่าทั้งคู่คงรู้ว่าไม่ใช่พี่น้องกันจริง ๆ หากมีอะไรกันไปคงไม่แปลก  รถหรูเคลื่อนตัวออกไปอีกครั้ง


“....เข้าใจแล้ว....”  เสียงเล็กเอ่ยเบา เอนแผ่นหลังพิงเบาะอย่างหมดแรง  เขารีบหันมาดู


“เป็นอะไร!


“.....เปล่า”






“เดี๋ยวอีกสักครึ่งชั่วโมง เอากาแฟขึ้นไปให้ผมด้วยนะ เมื่อคืนไม่ค่อยได้นอน ง่วงมากเลย”

เมื่อรถจอดลงที่หน้าบ้านเขาบอกวารินไว้ก่อนลง กรามเล็กข่มแน่น คำว่าไม่ค่อยได้นอนของเขา ทำร้ายหัวใจกันได้ดีจริง ๆ


“พี่ทราย” เขาเรียก รั้งแขนเล็กไว้ยังไม่ให้ก้าวลงไป เพราะสีหน้าวารินไม่ค่อยดี


“เป็นอะไร ไหนหันมามองหน้าผมซิ”


วารินยังเฉยเขาเลยดึงแขนเล็กให้แรงขึ้นอีกเพื่อให้หันมาหาเขาดี ๆ ทว่าอีกฝ่ายก็ยังเลี่ยงที่จะสบตา  ทำสีหน้าเหมือนคนไม่พอใจอะไรบางอย่าง ความรู้สึกหึงหวงที่ยังเกาะกุมอยู่ในจิตใจเลยพาลพูดเรื่องไม่เข้าท่าขึ้นมาอีก


“หรือไม่พอใจที่ไม่ได้กลับมากับไอ้เต มากับผมแบบนี้ลำบากใจมาก ต้องนั่งรถไปกับมันใช่ไหมถึงจะยิ้มแย้มได้”


วารินหันขวับมองใบหน้าเขา และที่รวดเร็วยิ่งกว่าทั้งหมดคือมือเล็กคว้ากระเป๋าสะพายของตัวเองขึ้นมาฟาดใส่หน้าเขาอย่างหมดความอดทน แล้วก้าวลงจากรถอย่างรวดเร็ว  ธาราธารตกใจสุดขีดไม่คิดว่าวารินจะกล้าทำกับเขาถึงขนาดนี้  รีบตามเข้าไปในบ้านกระชากแขนเล็กไว้


“ผมถามว่าเป็นอะไร!” เขาตะคอกใส่


“หลีกไป! พี่จะไปหลังบ้าน ปล่อย!”


“ทำไม! พอมาถึงก็จะรีบเข้าหลังบ้านเชียวนะ คิดถึงมันขนาดนั้น? ห่างกันแค่ไม่กี่ชั่วโมงนี่ไม่ได้เลยใช่ไหม!”


“ธาร!”


ปากเขายังคงทำร้ายกันไม่เลิก วารินโมโหหนักสะบัดแขนออกอย่างแรง แรงกว่าทุกครั้งที่เคยทำเพราะความโกรธที่เขาพูดจาไม่น่าฟังแบบนี้ ทีตัวเองไปนอนค้างคืนกับใครต่อใครทำไมไม่คิดจะว่าตัวเองบ้าง  เขาออกไปกลางดึกกับเตโชก็เพราะพาภัครจิราเข้าโรงพยาบาลทำไมต้องมาพูดใส่กัน


แขนเล็กหลุดจากพันธนาการของเขาได้ วารินรีบจ้ำอ้าวเข้าหลังบ้านทันที


“พี่ทราย!” เขาเรียกเสียงดังขณะเดินตามมาด้วยความโมโห แขนเล็กถูกเขาคว้าจับเอาไว้ได้  “คุยกันให้รู้เรื่อง!


“ไม่คุย! นายมันบ้าไปแล้วธาร พี่กับนายเตไม่ได้เป็นแบบที่ธารคิดอะไรทั้งนั้น!” วารินบอกเป็นครั้งสุดท้ายแล้วบิดแขนออกจากมือของเขาได้อีกครั้ง สายตาสบประสานกันครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจก้าวตัดออกไปที่หน้าห้องรับรอง


เขาจะคิดอย่างไรก็เชิญ  วารินไม่สนใจอะไรอีกแล้ว


“ไม่ให้ไป!”


มือใหญ่ตรงเข้ากระชากท่อนแขนบางอีกครั้งอย่างโกรธเกรี้ยว จนวารินที่กำลังจะเลี้ยวเข้าห้องหลังบ้านเซถลาลงที่พื้น แขนบาดเข้ากับหินประดับที่วางไว้แถวนั้นยาวเป็นทาง วารินล้มลงนั่งในทันที  ความเจ็บปวดแล่นพล่านไปลามทั้งแขน แผลถูกบาดเป็นรอยยาวเกือบคืบมีเลือดไหลทะลักออกมา มือเล็กอีกข้างบีบลงที่ข้อมือข้างที่เจ็บด้วยความทรมาน


ธาราธารยืนตะลึงตาค้างกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หัวใจเขาเหมือนร่วงหล่นลงไปกองอยู่ที่พื้น ความเจ็บปวดของคนที่ล้มลงบนพื้นโอบรัดให้เขาเจ็บปวดตามไปด้วยอย่างไม่รู้ตัว เขาตั้งสติได้รีบเข้าประคองสอดมือเข้าช้อนร่างของอีกคนพาอุ้มเข้าไปที่ด้านในอย่างรวดเร็ว เขาพาวารินเข้าไปล้างแผลในห้องน้ำจากนั้นพาออกมานั่งลงที่โซฟา สายตาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงฉายชัดออกมา เขารีบออกไปคว้าเอากล่องปฐมพยาบาลเข้ามาด้วยตัวเอง


“ยื่นแขนมา” เขาบอกหน้าเครียด


“ไม่ต้อง! พี่ทำเองได้” วารินปัดมือเขาออก พูดอย่างแข็งขืน


แต่เขาหรือจะฟังจับแขนวารินให้ยื่นออกมา ค่อยแต้มแอลกอฮอลล์ล้างแผลแตะลงไป แขนเล็กสั่นขึ้นนิดๆ


มองสบนัยน์ตาดุเข้มของเขาเหมือนความเจ็บช้ำจะตีตื้นขึ้นมา หัวใจเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส เขาเคยรู้สึกรู้สากับการกระทำของตนเองบ้างหรือเปล่า? สะใจมากไหมที่เห็นเขาต้องเจ็บแบบนี้ หรือว่ากลัวว่าเขาจะตายไปเสียก่อนจึงได้ลงทุนเอายาล้างแผลมาทำให้กัน  ความอ่อนโยนจอมปลอม อยากรู้นักว่าหัวใจของเขาทำด้วยอะไร??


ธาราธารเปลี่ยนเป็นทิงเจอร์ไอโอดีนชุบสำลีแต้มลงที่แผล วารินกระตุกแขนนิดๆ ด้วยความแสบปากแผลที่ลากยาวเจ็บปวดขึ้นเป็นระยะ


“ธารไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้หรอก แผลแค่นี้พี่จัดการเองก็ได้”


น้ำเสียงเล็กสั่นเครือปนน้อยใจเมื่อความอ่อนโยนของเขากำลังเข้าทำร้ายกันอีกครั้ง ทั้ง ๆ ที่สิ่งที่เกิดขึ้นมันมาจากน้ำมือของเขาล้วน ๆ


“ทำไม! หรืออยากให้ไอ้เตมันมาทำให้”


ปากของเขามันช่างทำร้ายจิตใจกันได้ไม่เลือกเวลาจริง ๆ เขาจะเคยรู้สึกบ้างไหมว่าสิ่งที่เขาพูดออกมามันทำให้อีกฝ่ายรวดร้าวแค่ไหน


“เมื่อไหร่ธารจะมองพี่ในแง่ดีบ้าง เมื่อไหร่จะเลิกเข้าใจพี่แบบนั้นเสียที”


วารินเงยหน้ามองเขาแล้วพูดจริงจัง มือที่ทำแผลชะงักลงทันที ใบหน้าคมแหงนเงยขึ้นสบดวงตากลมโตที่บัดนี้มีน้ำรื้นเอ่อขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด


เขาทาบผ้าปิดแผลแล้วปิดเทปพาดลงไปเป็นขั้นตอนสุดท้าย วารินหลับตาลงแน่นก่อนจะข่มอารมณ์ความเสียใจไว้ภายใน  เมื่อมองที่ดวงหน้าเขาอย่างจริงจังอีกครั้ง จึงเอื้อนเอ่ยประโยคที่อยากจะใช้มันเพื่อให้เขารับรู้ว่าตอนนี้ในหัวใจดวงเล็กคิดกับเขาเช่นไร เมื่อความอดทนที่ทำมาทั้งหมดมันไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นมาได้เลย



“ธาร...พี่อยากให้ความสัมพันธ์ระหว่างเรามันดีขึ้นกว่านี้   โปรดมองพี่ด้วยหัวใจสักครั้งจะได้ไหม?



น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด กับใบหน้าที่เต็มไปด้วยการร้องขอ ดวงตาที่ไหวระริกคู่หนึ่งกำลังจ้องมองที่เขา วารินหยิบยื่นสิ่งเหล่านั้นส่งให้เขาอย่างช้าๆ เขากำกล่องปฐมพยาบาลไว้จนแน่น คิ้วเข้มขมวดมุ่น เขากำลังใช้ความคิดอย่างหนัก



มองด้วยหัวใจอย่างนั้นหรือ?



ใช่! ตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นมาเขามองวารินด้วย อคติมาตลอด แต่แท้จริงแล้วความจริงลึกๆในใจเขาย่อมรู้ดีว่าวารินเป็นเช่นไร แล้วทำไมเขายังทำสิ่งโหดร้ายกับคนตรงหน้าได้อีก ทั้งคำพูด ทั้งการกระทำของเขา หรือทั้งหมดเป็นเพียงเพราะเขาไม่อยากจะยอมรับความเป็นจริงว่า แท้จริงแล้วเขาอภัยให้กับความผิดของวารินได้อย่างง่าย ๆ



“แค่สักครั้ง ได้โปรดใช้หัวใจมองมาที่พี่ แล้วธารจะได้เห็นถึงความเป็นจริง อย่าใช้แค่ดวงตาตัดสินกัน ให้ใช้ใจลองมองดู  ขอเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ความจริงใจของพี่จะได้ไหม ได้โปรด....”



เสียงเล็กสั่นเครือ  มีแต่ความเงียบงันเท่านั้นที่เป็นคำตอบ ริมฝีปากของเขายังนิ่งสนิทขณะที่เขากำลังพยายามที่จะหลบหลีกสายตาของอีกคน ร่างสูงลุกขึ้นยืนช้า ๆ หันหลังให้อย่างเยือกเย็น วารินเงยหน้ามองแผ่นหลังกว้างที่กำลังก้าวเดินออกไปด้วยจิตใจที่ร้าวรานเกินจะเปรียบ


....ขอแค่โอกาส....


.....สักครั้ง.....


....ขอแค่โอกาส หยิบยื่นมันให้แก่กัน แค่นั้นไม่ได้เชียวหรือ....




“รีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเดี๋ยวเราออกไปรับคุณแม่ด้วยกัน”



จู่ ๆ เขาพูดขึ้น วารินพอได้ยินอย่างนั้นถึงกับตกตะลึงเงยหน้ามองเขาทันที


เขาใช้คำว่า เรา?


เขาจะอนุญาตให้ไปรับภัครจิราได้หรือ?


“ถ้าพี่อยากจะไถ่โทษกับคุณแม่ผมจริง ก็แสดงให้ผมเห็น ต่อไปช่วยป้าวันดูแลท่าน”


ความผิดของวารินถ้าเฉพาะเรื่องของทัตพลพ่อของเขา  คงจะยกโทษให้ได้ไม่ยากเย็นอะไรเพราะทั้งคู่ก็ยืนยันถึงความไม่ตั้งใจ แล้วเขาก็พอจะดูรู้สองคนนี้ไม่น่ามีอะไรที่มาเกี่ยวพันกันได้  แต่ทว่าความผิดที่ทั้งสองคนก่อกลับส่งผลร้ายกับแม่ของเขาโดยตรงทำให้พอมองดูที่ภัครจิราทีไรใจของเขาเหมือนโดนตอกย้ำอยู่เสมอว่าที่เธอต้องกลายมาอยู่ในสภาพนี้ นั่นเพราะใคร?? 


แต่วันนี้วารินกลับต้องลำบากพาภัครจิราไปโรงพยาบาลดึกๆดื่น ๆ ดูแลเฝ้าไข้ ขณะที่เขาซึ่งเป็นถึงลูกกลับไปนั่งกินเหล้าทำตัวเหลวไหลอยู่นอกบ้านพอกลับมา แทนที่จะกล่าวขอบคุณสักคำเขาดันไปพูดจาประชดประชันบ้า ๆ ใส่ แล้วยังทำเรื่องจนวารินต้องได้เลือดมาแบบนั้น   


ความรู้สึกผิดตีตื้นขึ้นมาจนจุก หัวใจรวดร้าวเจ็บปวดอย่างที่สุด


เขาตัดสินใจจะมองคน ๆ นี้ใหม่อีกสักครั้ง


ใช้ใจมองกันอย่างนั้นหรือ??


อย่างน้อยคำว่า ให้โอกาส อาจนำมาซึ่งสิ่งดีๆหลายอย่างมากมายในชีวิต


สำหรับวารินแล้วนี่เป็นเสมือนคำอนุญาตที่ยิ่งใหญ่จากเขา  หลงลืมเรื่องชนาธิปไปในบัดดล รอยยิ้มกว้างประดับขึ้นบนใบหน้าหวานพยักหน้าขอบคุณเนื่องเพราะตื้นตันเกินจะเอ่ย ไม่มีเกี่ยงงอนใดๆอีกแล้ว ในเมื่อเขาอนุญาตให้เข้าไปดูแลภัครจิราได้แบบนี้นั่นแสดงว่าความโกรธเกลียดที่เขามีต่อกันคงจะลดทอนลงไม่มากก็น้อย


“แต่ผมจะดูทีท่าของคุณแม่ด้วย ถ้าหากท่านต่อต้านไม่ยอมรับ พี่ก็ต้องทำใจเอาไว้ด้วย”


ใบหน้าเล็กพยักรับอีกครั้งอย่างเข้าใจ  วารินมองแผ่นหลังกว้างที่เลี้ยวหายออกไปด้วยความรู้สึกชื้นใจขึ้นมาบ้างอย่างบอกไม่ถูก สิ่งที่เขาพูดมานั้นมันตีความได้ว่าเขาจะลองมองกันใหม่อีกสักครั้ง เขาจะหยิบยื่นโอกาสให้กันแล้วนับจากนี้   ขณะที่คนที่ก้าวเดินออกมานอกห้องกลับครุ่นคิดอย่างหนัก




ชั่งใจระหว่าง  มองกันด้วยใจ  กับ  มองกันด้วยอคติ





วาริน...คนที่เป็นความรักครั้งแรกของเขา...และเป็นคนๆ เดียว ที่เขาเคยเอ่ยปากจะยอมให้เป็นรักครั้งสุดท้ายเช่นกัน....



Tbc.