Sunday, September 14, 2014

ดอกฟ้ากับหมาวัด (Out Of Reach) Unseen -01 "รัก" ไม่มีเหตุผล





Unseen - 01 “รัก” ไม่มีเหตุผล - เชนซ่าร์




“ผมต้องขอโทษจริง ๆ ครับพี่จูดี้ ไว้เคลียร์ทางนี้เสร็จผมจะลองพิจารณาเรื่องงานโฆษณาตัวนี้ดูอีกที”

“จ้าพี่ฝากน้องซ่าร์ด้วยนะ ถือว่าช่วยพี่นิดนึงเพราะทางนั้นเขาระบุมาเลยว่าอยากได้เรา พี่เองก็จนปัญญา บอกไปแล้วนะว่าซ่าร์ทำงานไม่เกี่ยวกับเรื่องเงินเลย จะมากจะน้อยถ้าน้องเขาอยากทำเขาก็ทำ แต่ทางนั้นก็ไม่เข้าใจเสนอราคาสูงลิ่วจนพี่นี่ปวดหัว เกรงใจเขามากเกรงใจซ่าร์ด้วย เอเยนซี่ของเรามีซ่าร์นี่แหละที่ขายดีสุดแต่ก็เล่นตัวสุดเหมือนกัน คนอะไร๊รวยอยู่ขนาดนี้ยังจะมาเล่นหนังเล่นละครอีก”

“ไม่หรอกครับพี่”

“ถ่อมตัวทำไม หนูรวยจริงนี่ลูก”

“อา ตกลงจะแซะผมใช่ป่ะเนี่ย”

“ว๊าย! ปล่าวจ๊ะเปล่า พี่จูดี้กล้าเหรอ ไม่กล้าแหย่อัศวหรอก เอาเป็นว่าฝากดูงานตัวนี้ให้พี่ด้วยน๊านะ แล้วเดี๋ยวยังไงรับไม่รับซ่าร์โทรบอก พี่ขอตัวไปจัดคิวของน้องติวเตอร์ก่อนนะจ๊ะ”

“ได้ครับ โอเคแล้วเดี๋ยวผมโทรไปบอกอีกที”


ผมกดวางสายจากพี่จูดี้สาวประเภทสองคนเก่งที่ตอนนี้ทางบริษัทส่งมาดูแลคิวงานให้ผม จริง ๆ ผมรับงานอิสระนะแต่ตอนช่วงที่ทำแรก ๆ มีเอเยนซี่รายนี้ดูแลให้ หลังจากหมดระยะของสัญญาผมเริ่มรับงานเองเขาไม่ค่อยพอใจนักแต่ก็ยังส่งคนมาคอยดูแลคิวให้เหมือนเดิม ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอกเพราะเขาก็หางานป้อนให้ตลอดถึงไม่มีสัญญาเป็นทางการแต่ตอนนี้เราโตกันมากขึ้นมันเป็นเรื่องของสัญญาใจกันมากกว่า ส่วนเรื่องเงินทองก็ปกติทั่วไปมีการหักจ่ายจากผมให้ ซึ่งผมก็ถือว่าเหมือนเป็นการจ้างผู้จัดการส่วนตัวก็แล้วกัน

เอเยนซี่รายนี้ค่อนข้างแฟร์และตามใจผมเพราะงั้น ผมจึงปล่อยให้เขาจัดการเรื่องตารางงานไปแค่โทรมาบอกว่าผมจะโอเคกับงานอะไรแค่นั้นจบ

“คุณนิ้งเข้ามาหาผมหน่อยครับ” ผมกดเรียกเลขาส่วนตัว ครู่นึงเธอเคาะประตูแล้วเปิดเข้ามา

“เดี๋ยวผมจะออกไปข้างนอก ถ้ามีงานอะไรที่ด่วนมากจริง ๆ โทรเข้ามือถือผมเลยนะ”

“ได้ค่ะ คุณซ่าร์จะไปถ่ายละครเหรอคะ”

ผมส่งยิ้มให้ปิดแฟ้มงานบนโต๊ะพร้อมเลื่อนแบบพิมพ์เขียวสามเซทของโครงการคอนโดมิเนียมใจกลางกรุง ส่งให้

“อันนี้ผมแก้ไขให้เรียบร้อยแล้ว ส่งไปให้คุณนิชาฝ่ายวิศวกรรมเกลาแปลนให้ผมอีกทีเดี๋ยวสัปดาห์หน้าให้เขาส่งกลับมาผมจะเช็คใหม่อีกรอบ”

“ได้ค่ะ” เธอยิ้มหวานหยด คุณนิ้งเธอเป็นแฟนคลับผมด้วยนะเห็นแบบนี้ไม่ใช่อ้อยหรืออะไรหรอกเธอมีสามีมีลูกแล้วแต่บ้าละครแค่นั้นเอง ไม่ว่าเมื่อไหร่เธอก็เขินอายผมได้ตลอด ทั้งที่ผมมาทำงานที่นี่ก็บ่อยมากแท้ ๆพักหลังเข้าบริษัทแทบทุกวันแต่อย่างไรเสียเธอคงยังไม่ชินกับผมอยู่ดี 

“คุณซ่าร์จะออกไปถ่ายละครเหรอคะ” เธอยังถามมาอีก เออ ตารางงานผมเอาไปดูเลยดีไหม หื้มม??

“เปล่าครับ วันนี้มีสัมภาษณ์หนังสือนิดหน่อย แต่คิวไม่ชนกับนัดตอนสี่โมงเย็นเพราะงั้นคุณเทคแคร์ลูกค้ารอผมได้เลย ออนไทม์”

“ได้ค่ะคุณซ่าร์”

ผมสั่งงานไว้แค่นั้นก่อนลุกเดินออกมาจากห้อง เสื้อสูทเหรอ? ผมไม่ใส่หรอกถอดพาดไว้ที่พนักเก้าอี้นั่นแหละ แค่เชิ้ตสวย ๆ สักตัวกับรูปร่างแบบนี้ของผม สาว ๆ ทั้งบริษัทก็กรี๊ดกันแทบจะตายห่าอยู่แล้ว ลงลิฟต์มายี่สิบกว่าชั้น ตอนนี้ผมยืนอยู่หน้าห้องทำงานห้องหนึ่งของชั้นสาม

ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา ก่อนเคาะประตูสองทีแล้วเปิดเข้าไป

หนาว....ห้องนี้เย็นมาก   ผู้ชายรูปร่างสูงโปร่งคนหนึ่งกำลังวุ่นอยู่กับการจัดแฟ้มเอกสารเรียงเข้าตู้ สายไฟเครื่องคอมพิวเตอร์จากโต๊ะทำงานสองสามโต๊ะระโยงระยางเหมือนกับว่ายังจัดการไม่เสร็จ เซิร์ฟเวอร์เครื่องใหญ่ตั้งอยู่มุมหนึ่งของห้อง

วันนี้เป็นวันแรกที่ยูเซย์จะต้องเข้ามาทำงานที่นี่และผมก็รู้มาแล้วว่าห้องที่ชั้นสามห้องนี้ถูกเซทไว้เป็นห้องทำงานเกี่ยวกับระบบคอมทั้งหมดของบริษัท

“มีอะไร”

เจ้าของห้องเงยหน้าถามเสียงห้วนสายตาแปลกใจนิดๆที่เห็นผมมาปรากฏตัวแบบนี้  ผมเบะปากแล้วยักไหล่ถือวิสาสะเดินดูโน่นนี่นั่นจนทั่วห้อง ตั้งใจกวนประสาทเดินวกไปวนมารอฟังว่ามันจะพูดอะไรต่อ หากแต่คเชนทร์ไม่ได้พูดอะไรอีก เขานั่งลงเปิดแฟ้มงานแล้วขีดเขียนอะไรบางอย่างลงไปอีกมือหนึ่งลากเมาท์แล้วคลิกๆๆชำนาญมาก  ทำเหมือนกับว่าผมเป็นแค่อากาศธาตุไม่มีตัวตน ผมรู้สึกฉุนนิดๆ เดินไปนั่งลงข้างมันเลยดิ่

แต่อย่า....คุณอย่าคิดว่าผมจะนั่งแบบธรรมดา ผมทิ้งตูดนั่งลงบนโต๊ะ ข้าง ๆแฟ้มงานมันน่ะแหละผลักแป้นคีย์บอร์ดออกนิด ๆ  มันเงยหน้ามองตาเขียว ได้ผลแฮะยั่วแบบนี้ทำคนเสียประสาทได้จริง ๆ ผมแอบยิ้มนิด ๆ คือคเชนทร์น่ะเป็นคนที่แปลกมากสำหรับผมนะ ทำไมกันวะมันทำเหมือนรังเกียจไม่สนใจผมแบบมาก ๆ ถึงมากที่สุด ถึงผมจะรู้ความจริงแล้วว่ามันทำแบบนั้นเพราะสาเหตุอะไรแต่คือเรื่องมันนานนมมาแล้วใช่ไหมมันคิดแค้นเรื่องเด็ก ๆ แบบนั้นเลย??  ไม่ชอบขี้หน้าผม? รำคาญผม?  แล้วไม่เคยมีใครทำแบบนี้กับผมไง ผมเลยอยากจะเอาชนะมัน 

ความจริงแล้วเรื่องคืนนั้นที่เชียงใหม่เอาจริง ๆ เลยนะ ตรง ๆ เลย ตอนแรกผมก็ไม่ยอมหรอกคล้ายกับว่ามันบังคับผมใช่ไหม แต่ไปๆมา ๆ คือเคลิ้ม ผมก็ไม่ใช่จะบริสุทธิ์ไร้เดียงสาอะไรนะ มากอดมาจูบกันขนาดนี้ใครไม่เคลิ้มวะยิ่งได้ทั้งหญิงทั้งชายอยู่แล้ว แต่ติดอยู่นิดเดียวแค่ว่าท่าทางมันเหมือนกำลังเป็นฝ่ายกอดผม ผมเลยพยายามที่จะพลิกแต่สู้แรงมันไม่ไหว เชนเป็นคนที่จูบเก่งนะ เก่งมาก เก่งจนผมหลับตาลงแล้วปล่อยเลย คิดไปว่ากูไม่สนแล้วจะอยู่บนหรืออยู่ล่างขอให้ได้ถูกไอ้เหี้ยนี่กอดเป็นพอ 

เราสองคนถอดเสื้อกันแล้วด้วย กางเกงผมเกือบจะหลุดอยู่แล้วในขณะที่หัวเข็มขัดมันถูกผมปลดออกเรียบร้อยแล้วด้วย แต่ไหงไปๆมา ๆ กลายเป็นว่ามันพลิกตัวลงมานอนกอดผมไว้แล้วก็หลับไป คืนนั้นผมมองดวงหน้ามันผ่านแสงสลัวของดวงจันทร์ตลอดทั้งคืน กว่าจะหลับลงได้เกือบเช้า ทำไมก็ไม่รู้โชคชะตาเล่นตลกกับผมจริง ๆ ผมดันรู้สึกดีกับมันขึ้นมา คนแปลกประหลาด คนที่ไม่ต้องมาคอยเอาใจผม คนที่พูดจากับผมแบบตรง ๆ ด่าก็ด่าเลยไม่มายาปากหวานเหมือนวงการที่ผมเคยพบเจอ

ที่สำคัญที่สุด ผมติดใจมันตรงที่มันทำให้ผมไม่สุดนี่แหละ แม่งน่าค้นหาอยากจะรู้ว่าสุดๆของมันแล้วมันจะรู้สึกยอดเยี่ยมขนาดไหน

เพราะอย่างนั้นผมจึงสนใจมัน ตามมันไปถึงออฟฟิศหวังว่าจะคุยดี ๆ ด้วยสักครั้ง แต่ทุกอย่างคือผิดพลาดไปหมด คเชนทร์ไม่ชอบผมอย่างน่าตกใจ ทั้งที่เราทำกันไปได้ครึ่งทางแล้วแท้ ๆ มันไม่ได้รู้สึกอะไรกับร่างกายผมเลย?? ร่างกายที่ใครต่อใครก็ชมแล้วบอกว่าสวยงามเพอร์เฟค ไร้ที่ติทั้งหน้าทั้งหลัง ผมรู้สึกว่าตัวผมหมดเสน่ห์เข้าแล้วจริง ๆ ผมเฟลนิด ๆ บอกกับตัวเอง ไม่ว่าอย่างไรผมต้องเอามันมาเป็นของผมให้ได้

รสจูบของมัน...เรียวลิ้นร้อน ๆ ที่เกี่ยวกระหวัดดูดดึงปลายลิ้นผม

ทุกสัมผัสของมัน....มือหนาที่ไล้ลูบบนเรือนกาย ทั้งนวดทั้งเฟ้น

ไรฟันขาว ๆ ที่กัดแล้วเลียผมจนขึ้นรอยไปตามจุดกระสันทุกส่วนสัดของร่างกาย

ผมยังจำได้ดีเสมอ....

คืนนั้นผมสงสัยว่ามันเมามากหรือไม่ได้เมาเลยกันแน่ ทั้ง ๆ ที่เรากอดกันแล้วแบบนั้น  เสียงหอบหายใจถี่และหนักจากมันคล้ายคนกำลังข่มใจ ก่อนที่ทุกอย่างจะจบลงด้วยการสวมกอดคว้าเอาตัวผมซุกเข้ากับอ้อมอกมันจนถึงเช้า ผมเผลอหลับลึกลงไปตื่นมาอีกทีคือเชนออกไปจากห้องแล้ว

ความอบอุ่นจากร่างกาย...ผมไม่เคยลืมและอยากได้รับจากมันอีก


....ผมผิดไหม....





“มีธุระอะไร” เสียงมันห้วนมากจริง ๆ

ตอนนี้คเชนทร์คงกำลังโกรธที่ผมนั่งบนโต๊ะทำงานมัน แต่ผมไม่สนใจ เราสองคนจ้องกันอีกแล้ว และทุกครั้งต้องเป็นมันที่หลบสายตาผมก่อนเสมอ ก้มมองงานของตัวเอง

 “เปล่า” ผมตอบ

“แล้วมึงมาทำไม”

“มาหามึงไง”

“มาหาทำไม”

“กูมาหาแฟนกูผิดตรงไหนล่ะ ก็แค่มาดู นี่บริษัทของที่บ้านกูนะ กูจะเดินดูทุกห้องตรวจทุกลิ้นชักทุกโต๊ะเลยก็ยังได้” ผมแกล้งมัน ทำตัวเหมือนพวกลูกคุณหนูพูดจาเอาแต่ใจ มันคงหมั่นไส้ผมน่าดูนั่นแหละ เออเกลียดกูอีกแหง ๆ ผมก็โฮ้ย กวนตีนมันแล้วสนุก ห้ามใจตัวเองไม่ไหวจริง ๆ ชอบมันนะแต่ก็ชอบยั่วโมโหมันด้วย

คเชนทร์ส่ายหัวใส่ผมอย่าระอาใจ  ผมเลื่อนแฟ้มงานมันออกนิด ๆ เจอมันเงยหน้าขึ้นมองอีก ผมเลยตีคิ้วกวนตีนส่งไป

“มึงกำลังทำอะไรอยู่” ผมถาม

“รดน้ำต้นไม้มั้ง หรือมึงเห็นกูกำลังอาบน้ำอยู่ล่ะ”

“แบบนั้นก็อยากเห็นเหมือนกันนะ ที่เชียงใหม่ได้เห็นแค่ท่อนบน บอกตรง ๆ กูไม่อิ่มเลย ถ้าหากว่า....

“ซีซ่าร์!” มันตะคอกขึ้นขัดกลางประโยค ผมพูดไม่ทันจบ

“มีธุระอะไรพูดมาแล้วกลับออกไปซะ ตอนนี้เป็นเวลางานคนที่มีตำแหน่งเป็นถึงรองประธาน มาก่อกวนพนักงานธรรมดาอย่างผมนี่แย่นะ”

“เฮ้ยมึงพูดเพราะเป็นด้วยเว้ย น่ารักนี่นา” ผมเอียงหน้าเข้าไปใกล้ ทำทีว่าจะหยิกแก้ม มันเอียงหลบเร็วมากลุกพรวดพราดขึ้นเลย

“เหี้ยเอ้ย กวนประสาทกูดีจริง ๆ นะมึง ต้องการอะไร ตรง ๆ เลยอย่ามาอ้อมโลก พูดมาให้มันตรง”

“ใจเย็นดิ๊ มึงนี่ยั่วขึ้นเร็วจริง แค่จะบอกว่าตอนนี้ห้าโมงครึ่งแล้ว” ผมชี้ ๆ ที่นาฬิกา

“แล้วไง”

“แดกข้าวด้วยกันดิ”

“ไม่!

“ทำไม หรือเที่ยงนี้มึงจะไม่กิน”

“กินดิ่ ทำไมจะไม่กิน แต่กินกับคนอื่นนะไม่ใช่กับมึง”

“กินกับกูไม่ดีตรงไหน” ผมคิ้วกระตุกนิด ๆ

“ทุกตรง” มันตอบไม่สนใจ ผมเหล่ตามองมันแล้วลากเก้าอี้อีกตัวมานั่ง เชนหยิบเอาแฟ้มอันใหม่เรียงขึ้นใส่ตู้

“เฮ้อเหนื่อยจัง ถ้างั้นขอหลับอยู่ตรงนี้ละกันนะ” ผมว่าแล้วแกล้งฟุบลงที่โต๊ะทำมือวัดขนาดความหนาของแฟ้มงานกองใหญ่ที่เจ้าของห้องกำลังหยิบเอาไปจัดเรียง มันมองผมตาเขียวปั๊ด ผมไม่สนเบะปากใส่มัน มันส่ายหัว

“ดาราแบบมึงทำงานออฟฟิศอย่างคนอื่นเขาเป็นด้วยหรือไง”

“ต้องเป็นสิวะ มึงไม่รู้ดิ่ กูเรียนจบอะไรมา”

“กูไม่สนใจ ถ้าเป็นไปได้ไม่ต้องบอกนะ”

“สถาปัตย์ไง กูเป็นสถาปนิกของที่นี่ ทำงานก่อนเอตั้นสามปี จบแค่ปริญญาตรีไม่ได้ไปต่อโทเหมือนไอ้เอย์หรอก เพราะงั้นกูถึงทำงานเร็ว”  มันตวัดสายตามองมาที่ผมอย่างไม่อยากจะเชื่อมั้ง

“แล้วตอนนี้โครงการก่อสร้างหลายร้อยโครงการของอัศวคอน ก็มีกูเป็นหัวหน้าทีมออกแบบรวมไปถึงแบบงานก่อสร้างและตกแต่งที่พวกเราต้องดิวและประสานงานกับทั้งพวกวิศวกรและอินทีเรีย  กูเก่งนะคเชนทร์ ไม่ใช่เป็นแค่ดารานายแบบที่วัน ๆ ยิ้มใส่แต่หน้ากล้องอย่างที่มึงว่าหรอก งานอย่างอื่นกูก็ทำเป็นเหมือนกัน”

มันนิ่งไปนิดก่อนหันกลับมาบอกผมช้า ๆ ชัด ๆ  “บอกทำไม กูอยากฟัง??”

“กูจะบอกแฟนกู ผิดตรงไหน”

“ใครแฟนมึง พูดให้ดี” มันสวนพรวดเลย

“อ้าวใครฟังก็คนนั้นแหละ เมื่อกี้ถ้ามึงไม่ได้ฟังก็อย่าร้อนตัวสิ”

“กวนตีนฉิบหาย” มันเดินมาดึงเก้าอี้ผมให้ไถลออกไปแล้วเลื่อนเก้าอี้ตัวเองมานั่งลงแทน

“กวนแต่กับมึงคนเดียวเหอะ” ผมว่า

“เออ กูควรภูมิใจงั้นดิ่”

“เต็มที่เลยครับเชน มีแฟนเก่งแบบนี้น้องเชนต้องปลื้ม ถูกต้องที่สุด” ผมยกยิ้มยั่วพร้อมกับคำพูดกวนประสาท คเชนทร์จ้องผมนิ่ง ก่อนลุกขึ้นแล้วเดินหน้าเข้าหา อะไรวะแค่เรียกน้องเชนก็โกรธ เรื่องจริงไม่ใช่ไงมันอายุน้อยกว่าผมปีนึงนะ

“หึ  อยากเป็นแฟนกูจริงเหรอ ซีซ่าร์”  มันถามเสียงเย็นเฉียบ ผมเริ่มสยองนิด ๆ ตายห่าอยากไปยั่วมันก่อนจริง ๆ รอยยิ้มมันทำไมเหี้ยมเกรียมแบบนี้วะเนี่ย

“จริงจริ๊ง”

ผมหลุดปากตอบไป นึกอยากตบปากตัวเองสักสิบรอบ รู้สึกเริ่มตกใจนะเชนเดินเข้ามาใกล้มาก ก้มลงมาจนปลายจมูกมันจะชนกับแก้มผมอยู่แล้ว  ผมหลับตาเลยดิ่

โดนจูบแก้มแน่ ๆ แล้วกู อึ๋ยยยย ผมนับเลย สาม สอง หนึ่ง  ศะ...

“มึงนี่มันง่ายจริง ๆ นะ รู้ว่ากูไม่ได้รักแล้วยังจะตื้อ รู้ไหมคนประเภทนี้เขาเรียกว่าอะไร”

ไอ้เหี้ยไม่จูบกูแล้วยังจะมาพูดมาก ผมลืมตาโตใส่มัน  ผิดหวังนะสัส นับถอยหลังจนจะถึงศูนย์อยู่แล้ว

 “คนหน้าด้านไง”ผมเริ่มคิ้วขมวด เกลียดรอยยิ้มที่เหมือนกับว่ามันรู้ทันผมไปเสียทุกอย่าง

“ไม่ต้องมาว่า” ผมตะโกนออกไป

“คนหน้าด้าน มีอยู่ทุกที่สินะในวงการมายา ขนาดถอดผ้าถ่ายแบบกับใครต่อใครที่ไม่รู้จักมึงก็ยังทำได้ ด้านนนนน ดีจริงๆ”

“ไอ้คเชนทร์!” มันกำลังจะถอยออกแต่ผมดึงคอเสื้อมันไว้กระชากเลย ตรง ๆ คือโกรธนะมันด่าผมด้าน ไม่ชอบเว้ย นั่นมันคืองานไม่ใช่รึไง ผมก็แค่ทำไปตามหน้าที่ความรับผิดชอบ แก้ผ้าที่ไหนถอดหมดที่ไหน ผมเหลือกางเกงในไว้ทุกครั้งเหอะ

“มึงเกลียดกูขนาดนั้น?” ผมถามโพล่งขึ้น

“ยิ่งกว่าคำว่าเกลียด”

“ไม่เคยมองกูเลย?”

“มึงไม่เคยอยู่ในสายตา”

“เคยคิดถึงกูบ้างไหม? ตั้งแต่วันนั้นที่เชียงใหม่”

“เสี้ยววินาทีเดียวกูก็ไม่เอามาคิดให้เสียเวลา”

“แล้วมึงมาจูบกูทำไม กอดกูทำไม ทั้งดูดทั้งเลียทั้งกัด ทำให้ร่างกายกูตอบสนองกับมึงทำไม” ผมโพล่งออกมาจนหมด แต่ล่ะคำตอบของมันนี่โคตรเจ็บเลยไอ้เหี้ย ผมอยากจะร้องไห้

“......” มันเงียบไป แต่จ้องผมนิ่ง ผมรู้สึกโกรธปะปนกับความไม่เข้าใจ  เอาดิ่ถ้าเกลียดกัน ถ้าไม่รู้สึกอะไรเลย แล้วคุณมาทำแบบนั้นกับผมทำไม แน่นอนมันไม่ถึงขั้นสุดท้ายหรอกที่เราทำกันแต่มันก็เกินเลยไปกว่าขอบเขตของคำว่าเกลียดมากเลยใช่ไหม  

ผมไม่ใช่คนไร้เดียงสานะ อ้อมกอดนั่นร่างกายผมอ่านไม่ผิดหรอกมันอ่อนโยนมาก มากๆเลยด้วยซ้ำ

“มึงมันใจร้าย”

“กูไม่เคยใจดีกับคนที่กูเกลียด”

“แล้วมึงใจดีกับใคร กับคนที่มึงรักงั้นสิ” ผมสวนขึ้น

“มันก็ต้องใช่แน่อยู่แล้ว” มันตอบชัดเจนน้ำเสียงคือมั่นคงชัดมาก 

ใจผมหล่นวาบ เมื่อนึกขึ้นได้ในทันทีว่าคนที่มันใจดีด้วยที่สุดคือใคร ไม่ว่าใครก็ดูรู้ ทั้งๆที่ไม่ใช่พี่น้องกันแท้ ๆ แต่คเชนทร์ใจดีกับปิงมากที่สุด มากเป็นพิเศษ แทบจะไร้ทุกๆเงื่อนไขเสียด้วยซ้ำ

“ออกไปได้แล้วกูจะทำงาน” มันว่าแล้วจะหันหลังเดินไป ผมดึงมือมันไว้

“ไม่ออก เที่ยงแล้วมึงต้องกินข้าวกับกู”

“ไม่กิน ออกไป”

“ไม่ไปกูจะรอมึง” ผมไม่ยอมปล่อยมือมันหรอกจับไว้แม่งงี้แหละ

“ห้องมึงอยู่ชั้นไหน” มันหันมาถาม

“ยี่สิบสาม ห้องรองประธานฝั่งขวา”

“มีเลขาไหม”

“มี  ทำไม?” ผมเงยหน้ามองมัน มันบิดมือออกจากผมได้ยกหูโทรศัพท์เครื่องภายในขึ้นกำลังกดหมายเลขผมรีบตะครุบมือมันเอาไว้อีก

“มึงจะโทรหาเลขากูทำไม”

“จะให้มาพาเจ้านายงี่เง่ากลับห้องไง กวนกูอยู่เนี่ยจะได้ทำไหมงาน”

“ก็กูบอกว่าหิวข้าวไง มาชวนไปกินแค่นี้เองมึงออกไปกินข้าวกับกูบ่ายเข้ามาก็ไม่กวนแล้ว ใครจะไปนั่งเฝ้ามึงได้ทั้งวัน กูเองก็ต้องทำงานเหมือนกันนะ”

เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ ดังออกมา ผมรู้มันเบื่อผมจะตายแล้ว แต่ผมเป็นคนแปลกมากนะ ยิ่งยากๆผมยิ่งอยากได้ เอาดิ่

“ออกไปซะซีซ่าร์หัดอายซะบ้างนี่กูไล่มึงเป็นรอบที่สิบแล้วมั้งเนี่ย”

“ไม่เอา” ผมว่าเอาแต่ใจ   “ทำไมมึงถึงออกไปกินข้าวกับกูไม่ได้ แค่ชั่วโมงเดียว”

“ไม่ได้! กูนัดปิงไว้แล้ว เดี๋ยวน้องมาถึงไม่เจอกูเขาจะตกใจ”

ผมชะงักไปนิด รู้สึกน้อยใจในทันทีที่ได้ยินมันพูดแบบนั้น อะไรวะทำไมอะไรๆต้องปิงมาก่อนผมทุกทีเลย ผมหน้างอ มันหันมามองแล้วส่ายหัวก่อนทิ้งตัวนั่งลงอีกโต๊ะจัดการกับสายพ่วงต่าง ๆ ของเครื่องคอมตัวใหม่ที่กำลังจะติดตั้ง ผมจ้องมันไม่วางตาเกิดคำถามมากมายขึ้นในใจ

ผมต้องถาม

“คเชนทร์ มึงเคยจูบปิงไหม”

“ไอ้เหี้ย! ถามเห้ไรของมึง”  มันลุกพรวดขึ้นหน้าตาคือตกใจมาก

“มึงเคยกอดปิงรึเปล่า”

“ซีซ่าร์! มันตะคอกขึ้น สองมือมันกำหมัดแน่น

“แล้วมึงเคยดูด เคยเลียตัวน้องแบบที่มึงเคยทำกับกูไหม?”

“ซีซ่าร์มึงหุบปากนะ” เสียงมันสั่นแล้ว  ปราดเข้ามากระชากคอเสื้อผมแรงมาก ผมเจ็บนะปมเนคไทกับกระดุมเม็ดบนสุดคือติดคอหอยมากอยู่แล้ว แต่คเชนทร์ดูท่าทางโกรธจัด ชิ ผมไม่สนหรอก

“จี้ใจดำมึงหรือไง ความจริงคนที่มึงอยากจะทำอย่างนั้นด้วยคือปิงใช่ไหม วันนั้นที่เชียงใหม่ถ้าหากไม่มีกูคอยห้ามไว้ มึงก็คงจะทำกับน้องไปแล้วดิ่  หึ แต่เจอกูเบรกไว้ก่อน มึงโมโหเลยทำแบบนั้นกับกูแทนใช่ไหม”

“.........” มันไม่ตอบเงียบไป ข่มกรามแน่นจนผมเห็นว่าตัวมันสั่น

“ใช่ไหม! ผมตะคอกขึ้นเสียงดัง เหลืออดมากจริง ๆ ถ้าเรื่องจริงเป็นแบบนั้นนะ มันเลวมาก

“มึงคิดแบบนั้นเหรอ?  คิดมาตลอดเลย?? ตั้งแต่กลับมาจากเชียงใหม่นี่มึงคิดแบบนี้มาตลอดเลย??”

ความจริงแล้วผมไม่ได้คิดมาตลอดหรอก แต่คำพูดของมันถึงปิงเมื่อครู่ทำให้ผมรู้สึกอิจฉาขึ้นมาจริง ๆ ทุกแววตาทุกคำพูดกับน้อง ทำไมถึงให้ผมแบบนั้นบ้างไม่ได้

...ความอบอุ่นแบบนั้น...

“กูไม่ใช่ตัวแทนใครนะ”

“มึงคิดเองทั้งนั้น”

ผมดึงมือมันที่จับคอเสื้อผมอยู่ออก ไอโขลกออกมาสองสามทีก่อนหันกลับมาหามันอีกครั้ง คเชนทร์ยืนนิ่งพิงโต๊ะไว้ มันมองออกไปที่ด้านนอกด้วยสายตาที่ผมไม่สามารถอ่านออกจริง ๆ  ม่านพลาสติกบานเกล็ดที่ถูกชักปิดไว้จนทึบ เราสองคนสามารถมองเห็นคนภายนอกได้  แต่ที่ด้านนอกนั้นจะไม่มีทางมองเห็นคนด้านในได้เลย ผมพยายามจัดการกับอารมณ์ตัวเอง ดูเหมือนผมจะคิดมากไปจริง ๆ ผมบอกตัวเองว่าคเชนทร์ก็แค่ดีกับปิง  รักปิงเหมือนน้องเหมือนกับที่ผมรัก ผมมันบ้าคิดโน่นนี่ไปเรื่อยเปื่อย

“งั้นกูจะสั่งให้เขาเอาข้าวเข้ามาให้กูกินที่นี่ มึงจะเอาอะไรกูจะสั่งเผื่อ”

“ที่นี่ไม่ได้ ออกไปกินที่ห้องมึง”

“แต่กูจะกินที่นี่”

“อย่ากวนนะซีซ่าร์”

“มึงไม่ยอมออกไปกับกู แล้วกูก็เอาเข้ามากินที่นี่ไม่ได้?”

“ใช่”

“ไอ้เหี้ย ใจร้าย”

“กูไม่เคยใจดี กูบอกไปแล้ว”

“มึงมันเหี้ย”

“อือ ลุกขึ้นได้ยังกูจะทำงาน” มันอือออยอมรับว่าตัวเองเหี้ย  ลุกขึ้นมาดึงแขนผมให้ลุกออกจากโต๊ะ ตัวมันเข้าไปนั่งแทนที่ ไม่สนใจผมเลยสักนิด

“ออกไปเหอะ กลับไปได้แล้ว”

“......”  หน้าผมร้อนผ่าว ๆ ควันจนจะขึ้นหัว คือโกรธมาก ไม่เคยมีใครไล่ผมเหมือนหมูเหมือนหมาแบบนี้เลย ตั้งแต่เกิดมาทุกคนคอยเอาใจตลอด คนที่ผมตามจีบทุกคนยิ้มรับไม่เคยมีแม้แต่คนเดียวหยาบคายแบบนี้กับผม ผมฟิวส์ขาดคว้าเอาเก้าอี้ที่มันนั่งอยู่กระชากหมุนมาทางผม กระโดดคร่อมตักแม่งเลย โมโหสุดแล้ว เสียงเชนร้องดังอุ๊ก! อย่างดัง มันคงหนักมากแหละผมไม่ใช่ตัวเล็กด้วยนะ

“ทำเหี้ยไร ลุกออกไป” มันว่าแล้วผลักตัวผมออก  ผมส่ายหน้า ยกสองแขนกอดคอมันไว้  “กูหิว”

“เถียงกับกูแล้วมึงอิ่มไหม หิวก็ออกไปหาอะไรกินดิ่ อย่ามางี่เง่า”

“จะกินมึง” ผมแกล้งยื่นปากทำท่าจะงับจมูกโด่ง ๆ ของมัน ไอ้เชนจับเอวผมรั้งออกทันทีแต่ผมไม่ยอมยิ่งกอดคอมันแน่นยิ่งกว่าเดิม

“มึงมันน่าขย้ำ” ผมว่า

!!???!?!!” มันทำหน้าตกใจกับคำพูดผม

“กูจะกินมึง อ้ำๆ” ผมทำปากเหมือนสิงโตจะขย้ำเหยื่อ มันเอียงหน้าหลบ

“พูดเห้ไร ลุกออกไปกูหนัก” มันทั้งพูดทั้งผลักผมให้ลุกออกจากตักแต่ผมไม่สนใจได้ที่นั่งดี ๆ แล้ว ผมซบเลยดิ่ กอดคอมันไว้เอาคางตั้งลงที่ไหล่แล้วแอบดูนาฬิกาที่ข้อมือของตัวเอง เที่ยงแล้วคงไม่มีใครเปิดเข้ามามั้ง ไม่งั้นได้ตายห่าแน่ นั่งอยู่ท่านี้ไม่ค่อยดีมันแปลกๆอยู่

“ลุกๆๆ หนักเหี้ยๆเลย”

“มึงจูบกูก่อน  แล้วกูจะออกไป” ผมพูดแล้วกัดปากยั่วมัน ไอ้เชนตาเขียวปั๊ด ผมแอบขำในใจ คึคึ ก็แค่แกล้งหร๊อกใครจะไปให้จูบจริงว๊า

“จูบดิ่ จูบแล้วกูออกไปเลยกูสัญญา หิวจะตายห่าแล้วเนี่ย ข้าวเช้าไม่ได้กินรอมากินเที่ยงกับแฟนหน่อยก็เล่นตัวฉิบหาย เฮ้อออมีแฟนแบบนี้ต้องทำใจ”

“ลุกออกไป รำคาญพูดจาไร้สาระ” ผมส่ายหน้า

“โอ๊ยเหี้ยเจ็บ!” มันร้องขึ้นอย่างดัง เจอผมกัดไหล่มันดิ่

“หยุดนะไอ้ซ่าดิสต์!!  ลงไปจากตักกูเลย!

“ใครซาดิสต์กว่า มึงไม่ใช่ไงวันนั้นกัดกูจนเป็นรอยไปทั้งตัว” แววตามันชะงักนิดๆ

“ลุกๆ รำคาญกูหนัก ซ่าร์ลุกออกไป”

“ไม่เอา” ผมส่ายหน้า

“แล้วมึงจะเอาอะไรวะ”

“อยากทำเหมือนวันนั้น” ผมขยับตัวเลื่อนขึ้นไป ท่าทางนี่เหมือนผมกำลังกดมันอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ ๆ นั่นแหละ เก้าอี้เอนไปด้านหลังนิด ๆ ตามน้ำหนักตัวของเราสองคน

“มึงจะให้กูซั่ม?”

เพี๊ยะ!! “ลามกพูดจาแม่ง” ผมตบหน้ามันไม่แรงนักหรอก มันตาเขียวเชียวยกมือขึ้นมาบีบปากผม ใครจะให้มึงซ่ำ ถ้ากุไม่เคลิ้ม มีแต่กูนี่แหละที่จะซ่ำมึง

“แล้วมึงมายั่วกูทำไม”

“อยากยั่ว” ผมว่าเสียงไม่เป็นศัพท์โดนมันบีบปากไว้นี่ มันแกล้งผมบีบแรงขึ้นอีกผมเลยทุบ ๆมัน

“ออกไปได้แล้วไป รำคาญ” ในที่สุดมันเอาจริง เชนแรงเยอะมากจับเอวผมยกขึ้นจากตักมันแล้วตัวมันลุกออกจากโต๊ะไป ผมรีบคว้าแขนมันเอาไว้

“ไปกินข้าวด้วยกันนะ เร็ว”

“ไม่ไป”

“แต่มึงต้องไป”

“ไม่เอา ออกไปกูจะทำงาน”

“คเชนทร์”

“วุ๊ย! น่ารำคาญฉิบหาย มานี่!

มันตะคอกขึ้น มือใหญ่คว้าหมับดึงเอาผมแล้วเหวี่ยงไปจนชิดผนังตัวมันพุ่งเข้ามาใกล้คเชนทร์ขายาวมาก เราสองคนยืนอยู่ข้างประตูพอดี มันกักเอาตัวผมไว้ในอ้อมแขนจ้องหน้าผมนิ่งพอมายืนเทียบกันแบบนี้เลยรู้ว่ามันสูงกว่าผมอยู่นิดหน่อย ผมทำจมูกฟุดฟัด กลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ จากตัวมันแตะปลายจมูกผมพอดี๊พอดี

กลิ่นเหี้ยไรวะ โคตรมีเสน่ห์เลย

“มึงหิวมากใช่ไหม” มันถามขึ้น ผมพยักหน้ารับ

“อยากกินข้าวกับกูใช่ไหม”

ผมพยักหน้าหงึกๆอีก

“ถ้ากูไม่ยอมกินด้วยมึงจะไม่ออกไปใช่ไหม”

พยักรัวเลยคราวนี้

“งั้นหลับตาลงซิ”

“ทะ.....ทำไม” ผมงง

“ไอ้เหี้ยถามมากนะมึง กูบอกให้หลับตาลงจะแดกไหมข้าว”

“มึงก็พูดให้มันดีดิ่ แดกข้าวทำไมต้องหลับตา แล้วไหนข้าวมึงอ่ะ”

“จะหลับไม่หลับ”

“ไม่”

“ดื้อฉิบหาย งี่เง่าแล้วยังน่ารำคาญ ไม่หลับงั้นมึงก็ออกไปเลยไป รีบไป!” มันทำท่าจะละตัวออกจากผม ผมเลยรีบดึงเสื้อมันไว้

“เออกูหลับก็ได้” มันจะทำเหี้ยไร ผมก็คิด

ผมจ้องมันนิ่ง คือไม่เข้าใจ ปากบอกว่าจะหลับตานะแต่บ้าฉิบตาผมยังจ้องมันแป๋วอยู่เลย ดวงตาคมกริบจ้องผมแน่นิ่ง จู่ ๆ คเชนทร์เลื่อนมือเข้ามาทาบปิดดวงตาผมไว้ เมื่อความมืดมิดเข้ามาแทนที่ทุกอย่าง ขณะที่นัยน์ดวงตาไม่สามารถมองเห็นภาพได้ ความรู้สึกรับรู้ในจุดอื่นจึงไวมากเป็นพิเศษ

บางสิ่งหยุ่นและนุ่มทาบทับที่ริมฝีปากผมแล้วขบเม้มอยู่แบบนั้น ลิ้นร้อนสอดแทรกเข้ามาขณะที่ผมเผยอริมฝีปากขึ้นเพื่อตอบสนองสิ่งเร้านั้น มันกำลังจูบผมอีกแล้ว เราสองคนจูบกันเหมือนวันนั้นทุกอย่าง มือที่มันทาบปิดดวงตาผมไว้ กดแน่น ผมไม่สามารถมองเห็นอะไรได้ ไม่มีแสงสว่างเล็ดลอดเข้ามาได้แม้แต่น้อย จูบที่ค่อยแรงขึ้นและรวดเร็ว ลิ้นร้อนกวาดต้อนทุกสิ่งทุกอย่างในโพรงปากอุ่น ผมยกมือขึ้นขยุ้มหน้าอกเสื้อมันไว้แน่น ลมหายใจแทบขาดห้วงเมื่อความหวามไหวไปกับรสสัมผัสทำเอาผมรู้สึกเคลิ้ม  ผมอยากจะเริ่มนับมาก ว่ามันจูบผมกี่วินทีไปแล้วหากแต่ทุกสิ่งอย่างกลับจบลง

รวดเร็วเหมือน ๆ กับคำพูดของมัน เย็นชาไร้หัวใจ ไม่แคร์ผมเลยแม้แต่นิด

“ออกไปได้แล้วใช่ไหม” มันถอดมือออกจากดวงตา ผมหน้าผมร้อนผ่าวๆ ขณะที่ตัวมันกลับแสดงสีหน้าเฉยเมยมาก เหมือนกับว่าจูบที่มันมอบให้มา เป็นเหมือนกับเพื่อนฝูงหยิบยื่นขนมขวานให้กันแบบธรรมดาไม่ได้มีความหมายพิเศษอะไรเลยทั้งสิ้น

“มะ...มึง....”

“อย่าพูดนะ”

“มึงจูบ....

“กูบอกว่าอย่าพูดไง”

“แต่ว่าเรา...”

“เงียบซีซ่าร์!

ผมก้มหน้านิ่งกัดปากไม่เข้าใจมัน  กำลังจะเอื้อมมือออกไปจับเสื้อมันอีก แต่มันเดินหนีไปนั่งลงที่โต๊ะก่อน

“ออกไปดิ่” มันไล่อีก

“จูบของมึงหมายความว่ายังไง” ผมตัดสินใจถามออกไปรวดเดียว

“ไม่มีความหมาย” มันก้มหน้าเขียนอะไรไม่รู้ ผมเดินฉับเข้าไปหาดึงแฟ้มงานออก เชนเงยหน้าขึ้นมองผม

“ตะ...แต่  แต่ว่าจูบ...”

“ไม่-มี-ความ-หมาย-อะ-ไร-เลย” มันเน้นเสียงชัดๆ

“ไม่มี..ความหมาย?” ผมทวนคำพูดมัน

“ใช่”

“แล้วมึง...

“ไม่มีความหมายอะไรทั้งนั้น อยากคิดอะไรก็คิดไป รู้ไว้อย่างเดียว กูไม่เคยคิดว่าใครเป็นตัวแทนของใคร มึงก็คือมึง แค่นั้นแหละที่กูรู้สึก”

คเชนทร์เป็นคนที่แปลกประหลาดมากไปแล้วจริง ๆ ต่อให้ผมคิดจนหัวแตกก็คงไม่มีทางรู้ความรู้สึกภายในใจของมันได้ มันบอกว่าผมไม่ใช่ตัวแทนของใครแต่มันก็ไม่ยอมให้ผมได้ใกล้ชิดมากไปกว่านี้ทั้งที่เราทำเรื่องสนิทชิดเชื้อขนาดนั้นไปแล้ว


อะไรวะ โปรแกรมเมอร์แม่งเป็นแบบนี้เหรอวะ อินดี้  ติสแตก แปลกคน หมาปิงทำไมไม่เห็นเป็น เอ๊ะหรือว่ามันเองก็ติสแบบนี้เพียงแต่ผมไม่เคยรู้ ไอ้เอย์ทำใจแบบไหนวะ

“ซีซ่าร์เที่ยงกว่าแล้ว ไหนมึงว่าได้กินแล้วจะออกไปไง”

“หือ?.....ห๊ะ?” ผมกำลังเบลอจากรสจูบ

“กูจะทำงาน”

“เออ กูรู้แล้ว” ผมกระแทกเสียงใส่ ก่อนเดินเข้าไปใกล้ ๆ แล้วทิ้งก้นนั่งลงที่ตักมันอีกครั้งแบบมึน ๆ ช่างดิ่ ผมคิดว่าผมจะจีบมันแล้ว มันเป็นของผมอ่ะ

“เชนครับ”

“โฮ้ยไอ้เหี้ย กูจะอ้วก พูดเพราะทำพ่อง!

“อย่าผลักกูนักดิ่วะ รู้แล้วเหอะว่าไม่อยากให้นั่ง หวงไปทำไมกะอีแค่นั่งตัก กูแฟนมึงนะต้องนั่งได้ดิ่ นั่งได้คนเดียวด้วย”

“มีอะไร!” มันว่าอย่างอารมณ์เสีย

“กูสืบมาแล้วมึงยังไม่มีแฟน”

“ชอบเสือกนะมึงเรื่องของกูไม่ใช่หรือไง”

“ไม่ได้หรอกเรื่องนี้กูจำเป็นต้องเสือก ไม่ชอบจีบคนมีเจ้าของแล้ว มึงดันว่างเองความผิดมึงเพราะงั้นกูจีบได้”

“ประสาท ใครจะยอมถูกมึงจีบ”

“นี่ขนาดไม่ยอม” ผมอมยิ้มเลิกคิ้วเย้ยมันนิดๆ นึกถึงรอยจูบนั่นแล้วหน้าร้อนขึ้นมาอีก เหี้ยเหอะผมจะอายมันทำไมวะ จูบคนมาก็เยอะแยะ ผมงงกับตัวเองจริงจริ๊ง

“พูดมาก”

“พูดมากกับมึงคนเดียว” ผมทำปากยื่นมันบีบปากผมอีก ผมเลยชกพุงมัน หมาบ้ามันปัดมือผมทิ้งแรงมากไม่ถนอมกูเล๊ย

“กูจะออกไปเดี๋ยวนี้แหละ ขออีกแค่อย่างเดียว”

“มีอะไรอีก”

“กู....เอ่อ...”

“พูดไม่ออกก็ไม่ต้องพูด ลุกดิ่กูหนัก”

“อย่าผลักดิ่วะ พูดเดี๋ยวนี้แล้วแม่ง”

“ว่ามา อย่าลีลานะมึง กูจับโยนออกไปแล้วมึงได้อายพนักงานแน่ๆ”

ผมยกสองมือประคองหน้ามันจ้องตา  ตัวมันเองก็เหมือนจะรอฟังว่าผมจะพูดอะไร

“กูเป็นพี่มึงแค่ปีเดียว”

“แล้วไง”

“แต่ว่า....กูก็อยากเรียกมึงว่า พี่เชน เหมือนกันนะ” ผมพูดรัวมาก รวดเดียวจบ มันตาเขียวปั๊ดจ้องผมอย่างกับจะจับกินอย่างนั้นแหละ

“ไอ้.........!

เรื่องอะไรจะรอให้มันด่า ผมรีบลุกขึ้นเลยดิ่ ก้าวปรู๊ดเดียวถึงหน้าประตู แอบขำมันนิด ๆ เอาวะวันนี้ได้กำไรแล้วล่ะว๊าได้จูบคนฟรีๆ ได้ดูหน้ามุ่ย ๆ ของคนโกรธ มันกำลังนั่งคั่งแค้นผมอยู่ที่โต๊ะแน่ ๆเผลอๆอาจมีอะไรลอยฟาดออกมา  ผมรีบเปิดประตูออกมาแล้วยืนพิงอยู่อีกฝั่งด้านนอก เรื่องอะไรจะรอให้โดยเขวี้ยงล่ะเผ่นก่อนดีที่สุดเข้าไปกวนเขามากขนาดนี้ไม่โดนตีนมาก็ดีตายแล้ว 

แต่คำพูดของผมเมื่อกี้คือจริงจังนะ พี่เชนครับ เหมือนหมาปิงมันเรียกนั่นไง บางทีถ้าหากเรียกแบบนั้นแล้วมันจะใจดีกับผมบ้างไหม??

“นี่...” ผมเปิดประตูเข้ามาอีกครั้งเมื่อนึกบางอย่างขึ้นได้ มันเงยหน้าขึ้นจากแฟ้มงาน ทำท่าตกใจนิดๆเมื่อเห็นว่าผมยังไม่ไปจริง

“มึง อาหารที่มึงป้อนกูวันนี้รสอะไร??”

มันขมวดคิ้วทำหน้าสงสัยผมเลยทำปากจู๋ยื่นส่งไปให้ เห็นมันยกยิ้มร้าย ๆ ก่อนวางปากกาลงบนโต๊ะเสียงดัง

“รสยาพิษไง กินแล้วมึงมีสิทธิ์ตายได้นะ”

“อ้อเหรอ รสยาพิษงั้นดิ่”

“อือ”

“แต่กูชอบนะยิ่งกินยากๆนี่ยิ่งชอบเลย วันหลังซ่าร์ขอกินอีกนะครับ พี่เชน”

“เหี้ย!

ปัง! ผมปิดประตูห้องมันแล้วรีบเดินออกมาเลยดิ่คราวนี้  ล้วงกระเป๋าอมยิ้มตลอดทางเจอพนักงานด้านนอกทักทายก็ทักไปตามปกติส่งยิ้มให้ กดลิฟต์เพื่อรอลงไปที่ชั้นใต้ดิน มองดูรอบด้านลิฟต์อีกตัวฝั่งตรงข้ามเห็นเจ้าเอย์เดินออกมากับปิง มีเลขาของมันเดินรั้งท้ายหอบแฟ้มเต็มอกไปหมด กำลังมุ่งหน้าไปห้องที่ผมเพิ่งจะเดินออกมา ผมยกมือลูบริมฝีปากตัวเอง

หึหึ จูบแม่งหวานเหี้ย ๆ เลย เล่นตัวแบบนี้สิกูชอบมาก

ยกมือถือขึ้นมาต่อสายออกหาพี่จูดี้ คนดูแลคิวงานของผมเอง

“พี่จูดี้ครับขอโทษจริงนะ ผมคงไม่รับงานชิ้นนั้นนะครับ รบกวนช่วยแคนเซิ่ลให้ด้วย”

“ต๊ายยยทำไมล่ะจ๊ะ ผิดหวังนะเนี่ย”

“ขอโทษจริง ๆครับผมว่าลองให้เด็กใหม่ ๆ เข้าไปออดิชั่นก่อนดีกว่า ผมทำงานมานานแล้วชักเบื่อแล้วด้วย พี่ก็รู้ช่วงนี้ผมรับงานน้อยลงมากแล้ว”

“เข้าใจจ้า พ่อคนรวย เดี๋ยวถ้ามีตัวใหม่สำคัญชิ้นใหญ่ ๆ เข้ามาพี่จูดี้โทรบอกซ่าร์นะ รับไม่รับค่อยว่ากัน”

“ได้ครับ ขอบคุณครับพี่”

เห็นทีงานในวงการบันเทิงอาจจะต้องลดลงบ้างแล้ว หมาบ้าบางตัวมันไม่ชอบคนวงการนี้เสียด้วยสิ พูดถึงทีไรนี่หน้าหงิกหาว่ามายาบ้างล่ะเสแสร้งบ้างล่ะ  ผมไม่ได้ทำเพื่อใครหรอกนะแต่คืออยากจะเฟดตัวออกมาอยู่แล้ว งานที่บริษัทยุ่งมากจริง ๆ น้องชายผมเองก็เรียนจบกลับมาแล้วทุ่มให้แบบเต็มที่ ผมเป็นถึงพี่ชาย ถ้ามัวแต่เหลาะแหละไม่จับอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอันสักที คงไม่ดีแน่ๆ







Unseen -01 เอย์ปิง



“ฮัลโหลปิงมึงอยู่ไหนเนี่ย”

“สนามบอลครับ ผมเพิ่งมาถึงพี่” ผมคาบป๊อกกี้ไว้แล้วปิดรถให้พี่เชน โบกมือนิดหน่อยพี่เชนพยักหน้า ซีอาร์วีสีดำก็เคลื่อนตัวออกไป

“อะไรของมึง กูโทรบอกแล้วไงว่าจะเข้าไปรับทำไมถึงออกมาก่อนแบบนี้วะ”

“พี่เอย์ครับผมรีบ นัดพวกไอ้บาสไอ้วุฒิไว้กลัวว่ามันจะดึกเลยออกมาก่อน ผมโทรบอกพี่แล้วนี่ตอนนั้นพี่ยังตอบเออๆอยู่เลย  พี่เอย์ถึงไหนแล้วครับ”

“ถึงบริษัทแล้ว เพิ่งถึงนี่แหละ งานกูแม่งพอไปถึงไซด์งานแถวคลองเตยไซด์บางนาดันเรียกมาให้ไปดู กูนี่วิ่งรอกเลย รถติดสัสๆไกลฉิบหาย” เสียงมันขุ่นมากท่าทางจะเหนื่อยช่วงนี้ออกพื้นที่ตลอด งานของอัศวในความรับผิดชอบของพี่เอย์เยอะมากจริง ๆ ยิ่งผลงานดีทางลูกค้าก็ยิ่งต้องการตัว พักหลังมานี่พี่เขาบอกว่าบางบริษัทระบุตัววิศวกรเลยนะ  

“มึงแม่ง ไม่รอกู” น้ำเสียงกระเง้ากระงอดต่อว่ามาจากปลายสายผมจินตนาการหน้างอๆของมันออกเลยแหละ หมาบาสวิ่งเข้ามาตบหลังผมดังผั๊วะผมเลยยกขาจะถีบมันเจอมันดึงขาไว้เลย

“ไอ้เหี้ยบาสกูเกือบล้ม” ผมอุทานเบา ๆ

“หมาปิงเจอเพื่อนมึงแล้ว?”  

“ครับใช่ บาสกับวุฒิ แล้วก็พรรคพวกเก่าน่ะครับ” ผมทิ้งของที่อุ้มมาลงที่พื้นนั่งลงเริ่มเปลี่ยนรองเท้า เสื้อผ้าเปลี่ยนมาแล้วตอนแวะเอาสตั๊ดที่บ้านก่อนมาถึงนี่

“มีเพื่อนแล้วลืมกูแล้วดิ่”

“อะไรอีกนิ่” ผมแนบมือถือเข้าที่หูแล้วใช้ไหล่ดัน รองเท้าใส่ยากต้องยกขาชี้ ๆ ขึ้นสูง ๆ ให้ทายว่าสตั๊ดผมสีอะไร แฮ่ ๆ ดำฟ้าสวยนะ

“ง้อดิ่ง้อ กูโกรธอ้ะ”

“โอ๋เอ๋ๆ อย่าโกรธน๊ะจ๊ น้องเอย์ไม่งอแงกับพี่ปิงนะครับนะเดี๋ยววันนี้เลี้ยงติม โอเค๊” ผมมองซ้ายมองขวาพวกไอ้บาสโบกมือเรียกแล้ว พยักหน้าให้

“เพี้ยนแล้วมึง” ได้ยินเสียงปลายสายหัวเราะนิดๆ ตอนนี้คงกัดปากอายกลั้นยิ้มอยู่ดิ่ มันชอบให้ผมพูดเพราะๆหยอกมันแบบนี้แหละ

“พี่เอย์หายโกรธยังครับ”

“ยังเว้ย”

“ว๊าแย่จัง งั้นคืนนี้ไม่ชวนไปนอนค้างที่บ้านด้วยหรอกโกรธกันแบบนี้กลับไปก็มีแต่เถียงกันเปล่า ๆ แยกไปนอนออฟฟิศดีกว่าเนาะ”

“หมา”

“อะไรเล่าพูดจริงเหอะ”

“ลองมึงไม่ให้กูไปค้างด้วยดิ่ คืนนี้กูขย้ำมึงบนรถจริงด้วย”

“ผมกลัวเหรอ”

“กลัวไม่กลัวมึงร้องเสียงหลงลั่นนรถเลยแหละ ให้กูอัดเสียงไว้ป่ะละ”

“พี่แม่ง พูดจา”

“เรื่องจริงนี่” มันหัวเราะเบา ๆ มาตามสาย ผมมองไปกลางสนามสองหนุ่มเท้าสะเอวด่าผมแน่แล้ว

“พี่เอย์ครับวางแล้วนะจะเตะบอลแล้ว เพื่อนรอเดี๋ยวเจอกัน พี่เอย์ตามผมมานะ ซื้อโค้กมาฝากด้วยของไอ้หมาบาสมันเอาน้ำเขียว หมาวุฒิเอาสไปรท์ เลย์สามถุง ขาไก่สองถุง แล้วก็อย่าลืมป๊อกกี้ของผม”

“ได้ทีสั่งใหญ่เลยนะมึง หมาเอ๊ย”

“เจอกันพี่” ผมบอกแล้วโยนมือถือวางไว้แถวนั้น ก่อนวิ่งเข้าไปหาพรรคพวกเตะบอกันเสียงโหวกเหวก ไม่ต้องห่วงนะครับว่าโทรศัพท์ผมจะหายคนรู้จักกันทั้งนั้น ทั้งนั่งทั้งนอนกองกันอยู่แถวริมสนาม ผมเล่นจนลืมเวลาไอ้วุฒิเดินเข้ามาหาแล้วบอกพี่เอย์มาแล้วนั่งรอผมอยู่ตรงโน้น ผมเลยมองตามออกไปมันยังอยู่ในชุดทำงานแต่ถอดเนคไทกับพับแขนเสื้อขึ้นแล้ว ยืนพิงมอไซด์ใครสักคนมองมาทางผม  ผมวิ่งเหยาะๆออกไปหามัน

พี่เอย์ยื่นน้ำส่งให้ผมยกซดเลยใช้ล้างหน้าด้วย อากาศเย็นนะแต่เตะบอลจนเหงื่อเต็มตัวไปหมดนั่นแหละ

“พี่เอย์มานานยังครับ”

“เหนื่อยไหม”

“หือ?”

“เหงื่อมึงท่วมตัวเลย ผ้าเช็ดหัวเอามาป่ะวะเนี่ย” ผมสะบัดๆหัวที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ ไอ้บาสเดินมาถึงพอดีมันโยนผ้าเช็ดตัวเล็ก ๆ ส่งให้พร้อมยกมือไหว้พี่เขา  ผมกำลังจะเอาผ้าเช็ดหน้าเช็ดหัวพี่เอย์เดินเข้ามาดึงเอาไป ทำท่าจะเช็ดให้เองผมรีบหลบ

“เฮ้ยพี่คนเยอะแยะ”

“มึงอาย?”

“อย่าหาเรื่องดิ่” ผมจับข้อมือมันไว้พี่เอย์แม่งแสดงออกสุดอ่ะ

“ตกลงว่าอาย ที่มีกูเป็นแฟนแบบนี้คืออาย”

“ไม่ใช่แบบนั้น พี่เอย์ครับ..” ผมส่ายหน้าปฏิเสธไป บอกมันไม่เอาไม่ทะเลาะ ดูสถานที่ด้วยถ้ามีแต่พรรคพวกเพื่อนฝูงผมนี่คือไม่เคยอายเลย แต่เด็กๆสนามบาสข้าง ๆ คนเยอะมาก 

พี่เอย์ล็อคคอผมไว้

“เดี๋ยวจะเช็ดให้แบบเนียน ๆ”ไอ้บาสไอ้วุฒิรู้งานมันถอยหลังชิดๆเข้ามาบังสายตาคนให้ พี่เอย์แม่งไม่เช็ดธรรมดานะมันน่ะก้มหน้าเข้ามาจนจมูกนี่จะชนหน้าผมอยู่แล้ว ผมรีบถอยออกคือตัวผมมีแต่เหงื่อกลัวมันว่าเหม็นน่ะ

“คุณพี่เอย์ขอรับ เช็ดให้ผมบ้างดิ่พี่” จู่ ๆ ไอ้บาสพูดขึ้น พี่เอย์เงยหน้าจ้องมันใหญ่

“เช็ดให้แต่ลูกพี่ปิงได้ไง คุณพี่ลำเอียงนี่ผมกับไอ้วุฒิก็เหนื่อยเหงื่อท่วมตัวเหมือนกันนะ” ไอ้บาสมึงกล้ามากเหี้ย ผมมองมันตาโต

“เอองั้นมึงเข้ามาดิ่ เดี๋ยวกูเช็ดให้ มานี่มา”

“เอาจริงดิ่พี่” ขนาดตัวมันเองยังตกใจ

“เอ้อ เข้ามาดิ่” พี่เอย์ยื่นแขนที่ไม่ได้กอดคอผมไว้ออกไปหามันแล้วยิ้มกวักมือเรียก  ไอ้บาสทำหน้าสยองปากเบะแต่ก็ก้าวเข้าหานะ

“จะ...จะเช็ดให้จริงเหรอ”

“จริ๊ง” ดูเสียงพี่เอย์มันตอบแค่นี้ก็รู้แล้วว่ามันมีแผน ไอ้วุฒิหัวเราะออกมาก่อนทิ้งตัวนั่งลงที่พื้นหญ้า ผมยกแขนหนักๆของพี่เขาออกจากคอแล้วลงไปนอนแผ่อยู่ข้างมัน เงยหน้ามองท้องฟ้า ไอ้บาสเห็นแบบนั้นวิ่งเข้ามานอนด้วยอีกคน

เราสามคนมองขึ้นไปข้างบนนั้น บนฟากฟ้าที่วันนี้เต็มไปด้วยหมู่ดาวมากมายแข่งกันทอประกายแสงระยิบระยับ ผมลองยื่นมือขึ้นไปทาบวัดขนาดของดาว สะดุ้งตกใจแทบแย่เมื่อใบหน้าหล่อเหลาของใครบางคนปรากฏอยู่ในนั้น ไม่ไกลแต่ก็ไม่ใกล้ ใบหน้าพี่เขาอยู่ในกรอบมือที่ผมทาบขนาดของดาวพอดี พี่เอย์ก้มมองผมอยู่ก่อนเดินเข้าหานั่งลงเหนือหัวผมแล้วจับศีรษะผมให้หนุนลงที่ตักมัน

สายลมเย็นพัดผ่านเข้ามา เวลาตอนนี้จวนจะสามทุ่มแล้ว มือใหญ่เสยผมผมเล่น มันก้มลงมากระซิบอะไรบางอย่างไม่รู้ใกล้มาก ผมเลยเงยหน้าถามไปอีกว่าพูดอะไรผมไม่ได้ยิน พี่เอย์ยิ้มแล้วดีดหน้าผากผมมาที ผมบอกให้มันพูดอีกมันส่ายหน้าแล้วอมยิ้มหวาน ผมลุกขึ้นเลย

“พี่เอย์หิวเหรอครับ พี่พูดว่าหิวใช่ไหม”

“หิวนะ แต่เมื่อกี้ไม่ได้พูดว่าหิวหรอก”

“อ้าวแล้วพูดอะไร”

มันยิ้มแล้วก้มหน้าทำท่าอาย ๆ  ผมพี่เอย์ยาวขึ้นอีกแล้วลมพัดโกรกเข้ามาเส้นผมสีอ่อนของมันพลิ้วสลวย พี่เขายกมือขึ้นเสยผมตัวเองแล้วสะบัดหน้านิด ๆ มันจ้องหน้าผมเราสองคนสบตากันอีกแล้ว ผมตีคิ้วใส่มันแก้เขิน จะทำอะไรได้ล่ะเพื่อนก็อยู่ข้าง ๆ เนี่ยอย่าหวังเรื่องสวีท

“ไปกินข้าวกันไหม กินที่ไหนก็ได้ข้างทางริมรั้วหรือว่าร้านเพิงเล็ก ๆที่พวกมึงชอบไป”

“พี่กินแบบนั้นได้เหรอครับ นึกยังไง” มันขยับเข้ามาอีกนิดคว้าเอาคอผมไปกอดไว้อีกแล้ว เรื่องกอดคอผมเฉย ๆ นะ ในที่สาธารณะเราสองคนรู้กันเลยว่า กอดคอ กอดเอว โอบบ่า ย่อมดีกว่าเดินจับมือเป็นไหน ๆ ผู้ชายกับผู้ชายอ่ะข้อจำกัดก็นะ

“กินได้สิวะ ขอแค่มีมึงนั่งอยู่ด้วย กูกินที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น”

“จริงดิ่”

“จริง”

“งั้นชวนเพื่อนผมไปด้วยนะ พี่ชวนพวกมันดิ่” ผมกับพี่เอย์ลุกขึ้นแล้ว สองหมายังนอนยัดหูฟังเพลงอยู่ พี่เอย์เขี่ยๆพวกมันแล้วส่งสัญญาณบอกจะพาไปกินข้าว ไอ้บาสกระโดดจนตัวลอยบอกวันนี้จะมีลาภปากได้กินของอร่อย ๆ หมาวุฒิเลยโบกหัวมันไปที ผมบอกจะกินต้มเส้นข้างรั้วสนามกีฬานี่แหละ พี่เอย์ขมวดคิ้วเลย

“ต้มเส้นอะไร แบบไหนกูกินได้เหรอ”

“อ้าว” ผมเอ๋อไปนิดๆอะไรวะไหนบอก กูกินอะไรก็ได้ขอแค่มีมึงนั่งอยู่ด้วย  อะโด่วพอบอกจะพาไปกินต้มเส้นคุณชายนี่ซักฟอกตูอีก ผมก็ลื๊มลืมไปได้ไงว่าคุณชายกินยาก

“ต้มเส้นร้อนน่ะครับ พี่เคยกินไหมหม้อใหญ่ ๆ ที่ใส่เลือดใส่ขาไก่ใส่ลูกชิ้น เวลากินต้องปรุงรส”

“ไม่เคยหรอก”

“อ้าวแล้วเอาไงเนี่ย” ไอ้วุฒิมันอยากมีบท ปล่อยมันพูดบ้าง มันคงหิวจัด

“เออไหนว่ากินได้ทุกอย่างไง” ผมถามอีก

“ใช่ๆเมื่อกี้ผมก็ได้ยินนะ พี่ว่ากินที่ไหนก็ได้ขอแค่มีมึงนั่งกินด้วย” หมาบาสมันลอกเลียนคำพุดพี่เอย์มาทั้งประโยคผมขำพรืดเลยเจอพี่เอย์ยกขาเตะก้นมันร้องดอดโอยใหญ่

“พี่เอย์ครับ แล้วตกลงไงเนี่ย”

“อะ...เออ คิดว่ากินได้เดี๋ยวดูก่อน”

“กินได้แน่นะครับ”

“อือๆ”

ผมว่าไม่ใช่แล้วล่ะ  แต่ก็ลองดูกันก่อน เราทั้งหมดเดินไปที่รถ บาสกับวุฒิมันมามอไซด์เลยขับนำไปก่อนบอกจะไปสั่งรอ พี่เอย์เปิดท้ายรถเพื่อให้ผมเอาของใส่เข้าไปผมเปลี่ยนจากสตั๊ดเป็นแตะ แล้วถอดเสื้อบอลออกพี่เอย์ตาเขียวปั๊ดใส่ผมทันที

“ไอ้เหี้ย มึงถอดเสื้อทำไม”

“เหม็นเหงื่อเดี๋ยวผมเปลี่ยนตัวใหม่ผมเอามานะ” ผมว่าแล้วเปิดกระเป๋าเอาเสื้อยืด พี่เอย์แม่งรีบเอาผ้ามาห่มคลุมหลังให้ผม ผมหยิบออก

“หูยพี่ผมผู้ชายครับ ถอดเสื้อโชว์สาวทั่วสนามมาแล้วกะอิแค่เปลี่ยนเสื้อท้ายรถนี่แบบ ธรรมด๊าธรรมดามากๆ”

“เออดี พูดจาดีเดี๋ยวมึงโดน”

“ผมพูดความจริงเหอะ”

“มึงไม่อาย”

“ไม่เห็นอาย อายทำไม”

“แน่ใจว่าไม่อาย”

“ไม่อาย” ผมตอบมั่นใจ

“เอองั้นรอยดูดที่ไหล่ที่ต้นคอกับที่หลังมึงสองสามรอยนี่โชว์ใครก็ได้งั้นดิ่”

“เฮ้ย! มีจริงอ่ะ” ผมสะดุ้งรีบจับดูทันที หน้าเสียเลยดิ่ อิพี่เอย์แม่งแกล้งหัวเราะผมใหญ่ ผมรีบสวมเสื้อตัวใหม่ให้เรียบร้อยมิดชิดอาจจะมีจริงหรือไม่มีใครจะรู้เมื่อเช้าไม่ได้ส่องดูด้วย พี่เอย์แม่งเวลามันได้ที่นะดูดแรงเหี้ยๆ  ผมปรายตามองมันอย่างไม่วางใจ จากนั้นเราสองคนตามออกมาหาไอ้วุฒิกับบาสที่ร้านต้มเส้นกัน

“ปิง” พี่เอย์สะกิด หลังจากที่เรานั่งลงที่โต๊ะ ร้านเพิงหมาแหงนริมรั้วแต่คนเยอะมากต้องใช้บัตรคิวนะ ผมรับประกันร้อยเปอร์เซ็นต์คุณชายไม่เคยมา ถ้วยต้มเส้นร้อนวางอยู่ต่อหน้าพวกเราเรียบร้อย ไอ้วุฒิกับไอ้บาสแดกล่วงหน้าไปแล้วมันบอกหิวรอไม่ไหว

“อะไรครับพี่เอย์” ผมเอียงหัวเข้าไปใกล้ พี่เอย์เหมือนหน้าเสียนิดๆอยากจะพูดไรวะ

“ที่นี่มีข้าวผัดกุ้งป่ะวะ”

“ห๊ะ!” ผมอุทานขึ้นมาอย่างดัง จ้องหน้าคนถามอย่างมัน

“เออนั่นแหละ ที่นี่น่ะ เขาขายข้าวผัดกุ้งด้วยไหม เผื่อสั่งที่อื่นให้ได้อะไรแบบนี้”

ร้านต้มเส้น ถามหาข้าวผัดกุ้ง?? ตอนนั้นที่ร้านส้มตำแม่ผม มันก็ถามหาข้าวผัดกุ้ง??

คือไรวะ ??

“พี่ๆ พี่ปิง” ไอ้บาสก้ม ๆ กระซิบเสียงเบา

“ลูกสาวร้านนี้สวยเช้งเลยพี่โน่นน่ะโตเป็นสาวแล้วนะเดี๋ยวนี้ กำลังตักต้มเส้นช่วยแม่เขาอยู่โน่นไง ผมเล็งไว้ตั้งแต่มาสั่งแล้วไม่เห็นเขาสนใจ  พอพี่สองคนเดินเข้ามาน้องเขามองพวกพี่นะ มองนานแล้วด้วย”

“ไหน ๆ” ไอ้วุฒิมันเผือก ผมเองก็หันดูบ้าง พี่เอย์รีบคว้าหมับบีบต้นคอผมไว้  

“จะดูเหี้ยไร เด็กปฐม” พี่เอย์ออกความเห็นได้พลาดอย่างแรง

“ปฐมที่ไหนพี่ นั่นมันเด็กมหาลัยแล้วชัดๆดูนมดิ่”

ผมกระทืบเท้ามันไปทีมันร้องจ๊ากลั่นขึ้นเลย มันเสือกพูดคำว่านมดังมากจนโต๊ะข้าง ๆ หันมอง ผมมองดูเธอใหม่อีกครั้งเสื้อแม่นางคือคับติ้วรัดจริงแหละลายหมีที่หน้าอกนี่หัวกว้างเชียว  นมมหาลัยอย่างว่าจริงวุ๊ย นมปอโทเลยไหมเนี่ย

“พูดจริง” ไอ้บาสงึมงำต่อ ผมนึกอะไรดี ๆ

“พี่เอย์จะกินข้าวผัดกุ้งใช่ไหมครับ เดี๋ยวผมเดินไปถามน้องเขาให้นะ” ผมทำท่าลุกขึ้นเจอคุณชายดึงพรวดลงที่เดิม มันจ้องผมตาเขียวเลย

“กูรู้ทันนะปิงเดี๋ยวเหอะมึง เดี๋ยวเหอะ”

“นิดเดียวอยากดูใกล้ ๆ” สเปคผมด้วยนะขาวสวยหมวยอึ๋ม ที่สำคัญคุณคงไม่ลืมใช่ไหมผู้หญิงสไตล์ผมทุกคนต้องแรง นี่ทิ้งลายมาหลายปีเพราะมันคนเดียวเลยนะ

“ชอบนมเขาดิ่มึงอ่ะ” มันพูดเบา ๆ ผมยักคิ้วตอบ อิพี่คิ้วขมวดหน้าบูดหันหน้าหนีเฉยเลย

“รีบกินรีบกลับ” มันก้มลงตักต้มเส้นเข้าปากสองสามคำ คิดว่าไม่ถูกใจลุกขึ้นแล้วไปยืนรอที่รถเลย ไอ้บาสกับไอ้วุฒิเซ่อไปมันถามผมว่าพี่เอย์เป็นไรทะเลาะกันอีกอ่อ? ผมส่ายหัวบอกไม่ใช่ ความจริงคือพี่เอย์ร้อนมั้ง เหงื่อมันออกมาเยอะมาก คุณชายไม่กินของร้อน ๆ แบบนี้ถึงแม้อากาศจะหนาวแต่ร้านมันเล็กไปคนเยอะคงอึดอัดเลยเดินไปยืนรอที่รถ

“แค่นั้นเหรอ แค่ร้อน” หมาบาสยังสงสัย

“มีอีกอย่างด้วย”

“อะไรวะพี่”

“หึงไง”

“หึงใคร?”

“หึงกูนี่ไงไอ้เหี้ย แฟนกูจะไปหึงมึงงั้นดิ่” ผมแทบจะเอาส้อมจิ้มตามัน แหม่..ถามออกมาได้

“แล้วหึงไรอ่ะ ยังไม่เห็นมีอะไรน่าหึงเลย”

“ก็เรื่องนั้นแหละ เรื่องเดียวที่มึงพูด กูแค่จะล่อให้กินต้มเส้นเลยแกล้งบอกว่าจะเดินไปถามเรื่องข้าวผัดกุ้งให้ แค่นั้นแหละ”

“หึงเลยดิ่”

“ก็เออ ขี้หึงฉิบหายไม่มีเหตุผลเลย ถ้าเป็นกูนะเรื่องแค่นี้ใจกว้างใช่ไหม มีเหตุผลกูไม่หึงงี่เง่าเด็ดขาด กูแฟร์ กูชิล”

“จริงอ่อ”

“จริงดิ่วะ”

ผมหันไปมองอีกทีอ้าวพี่เอย์หายไปไหนแล้ววะ  ไอ้วุฒิเตะขาป๊าบๆมาที่ใต้โต๊ะแล้วบุ้ยใบ้ให้ดู  หน๊อย... คุณชายยืนกอดอกพิงรถออดี้คันงามของมันโดยมีอิลูกเจ้าของร้านนี่ยืนคุยอะไรบางอย่างอยู่ด้วย ยิ้มให้มันอีกนะเห้ยๆๆ มีชี้มาทางผม เดี๋ยวเหอะๆใครกันแน่นที่จะโดน ผมคิ้วกระตุกสุดๆ หน้าตานี่คือไปแล้ว ถลึงตาใส่มันเลยดิ่ชี้ส้อมจิ้มๆไปทางมัน อิพี่เอย์ยิ้มใหญ่มันเรียกน้องเขาให้หันมาดูผมอีกครั้ง ผมกำลังจะเบะปากใส่มันไอ้บาสแม่งเขย่าเรียกไว้ก่อน

“เรียกเหี้ยไร” ผมตะคอกออกไป คนยิ่งอารมณ์ไม่ดีแดกให้ไวๆหน่อยก็ไม่ได้ไอ้พวกช้าชีวิตมึงเติมน้ำมันตราเต่าหรือไง

“ลูกพี่เป็นไรอ่ะ”

“ไม่ได้เป็นไร” ผมตอบเสียงห้วน ดูไอ้วุฒิมันแทะขาไก่เป็นอันสุดท้าย เออผมพาลผมรู้ตัว

“หึงพี่เอย์เขาดิ่”

“ก็เออ”

“ไหนว่าไม่ขี้หึงไง มีเหตุผล แฟร์ ชิล”

“กะ.....” กูพูดไม่ออก เข้าตัวทุกอย่าง

“ขี้หึงเหมือนกันนะเนี่ย”

“ก็แฟนกูอ่ะ”

“นั่นๆ น้องเขาเดินออกไปแล้ว หน้าจ๋อยเลยดิ่ เจอพี่เอย์พี่ปฏิเสธชัวร์”

ผมมองไปที่มันอีกครั้งคุณชายกวักมือเรียกแล้วทำปากบอกให้ไวๆ พวกผมเสร็จพอดีเลยลุกกันออกไปจ่ายตังค์ เราแยกย้ายกันกลับ วุฒิตัวดีมันมีการนัดพี่เอย์กินเหล้ากันอีกคุณชายก็เออออไปกับมัน

“นอนไหน” รถเลี้ยวออกมาแล้ว

“นอนบ้านครับ วันนี้บอกแม่ไว้แล้ว”

“แล้วกูอ่ะ นอนไหน”

“ห้องพี่ดิ่”

“จิ๊! เออมึงไม่ต้องชวน กูไม่อยากนอนกับมึงหรอก เดี๋ยวกลับห้องนอนกอดน้องหมีดีกว่า ตัวใหญ่ ๆ นิ่ม ๆ กอดแล้วอุ๊นอุ่น ”

“น้องหมีไหน”

“น้องหมียักษ์”

ผมหน้างอ มันหัวเราะหึหึ ไม่มีง้อต่อเลยนะแค่เอามือเอื้อมมายีๆหัวผมแล้วก็เงียบ ผมก็เออไม่ได้โกรธหรอกเราเล่นกันแบบนี้บ่อยฟังเพลงไปเรื่อย ๆ จนรถจอดลงที่รั้วหน้าบ้าน

“พี่เอย์นอนไหนครับ” ผมถามมันจริงจัง

“นอนนี่ได้ป่ะ เดี๋ยวเข้าไปบอกแม่”

“ถ้านอนนี่ห้ามนะ ผมบอกไว้ก่อน”

“ห้ามอะไรอ่ะ”

“อย่าๆ อย่ามาเนียน” ก็รู้อยู่แท้ ๆ

“แต่วันนี้กูอยากนะ” มันทำเสียงอ้อน

“ไม่เอาหรอก ผมเหนื่อยขี้เกียจด้วย”

“มึงนอนเฉย ๆ เดี๋ยวกูจัดการเองมึงจะเหนื่อยอะไรล่ะ”

“ไม่เอา”

“หมาปิงครับ”

“อย่า ไม่ต้องเลย”

“ครั้งเดียว”

“งั้นพี่ให้ผมกอดพี่เอาป่ะล่ะ”

“เฮ้ย ไม่เอ้า” ดูดิ่ทีตัวเองยังรีบปฏิเสธ

“ทั้งปี นี่ถามจริงเมื่อไหร่ผมจะได้พี่บ้างวะ พี่เอย์ขี้อ้อน น่ารัก เสียงก็เพราะ ผมว่าพี่เป็นฝ่ายรับนี่อนาคตไกลรุ่งพุ่งจู๊ดเลยนะพี่”

“ไอ้เหี้ย!” มันฟาดหมอนที่ผมกอดอยู่ตีหัวผมแรงมาก ผั๊วะๆๆ

“โอ๊ยๆๆๆเจ็บๆๆๆ พี่เอย์พอแล้วพี่ พอแล้วครับ” ผมยกแขนกัน ๆ ไว้ พี่เอย์ไม่หยุดง่าย ๆ

“มึงพูดเหี้ยไรล่ะ”

“เอ๊าพูดเรื่องจริง ผมแมนกว่าพี่เหอะ”

“กูแมนกว่ามึงร้อยเปอร์เซ็นต์”

“ผมแมนกว่า”

“กูนี่แมน แมนโคตรโคตรแมน”

“ลองป่ะล่ะ ลองที่นี่เลย แม่จะรู้ก็ช่างถ้าพี่ยอมให้ผมกอดผมสัญญา ผมจะมีพี่คนเดียวรักเดียวใจเดียวไม่มองใครหน้าไหนอีกเลย เอาดิ่”

“หมาปิงมึงมันแย่ที่สุด นี่แสดงว่ามึงยังมองคนนั้นคนนี้อีกใช่ไหม กูกอดมึงนี่ยังไม่พอใจดิ่ แย่มากมึงมันแย่ที่สุด แย่ๆๆ”

“อะไรอีกเล่า พูดเล่นนนนนน” โอ่ยยยยตายกูตายมือมันหนักจริงไรจริงแขนผมนี่เขียวไปหมดแล้ว

“พี่เอย์พอแล้วครับผมพูดเล่น”

“พูดเล่นก็ไม่ชอบ มึงมันเจ้าชู้”

“เจ้าชู้ที่ไหน”

“เจ้าชู้เหอะ มึงพูดเองเมื่อกี้”

“ปิงพูดเล่นครับ จะมีใครได้ไงรักพี่เอย์คนเดียวเลอออออออออ”

เงียบเว้ยคราวนี้ คุณชายกอดหมอนแน่นหน้ายังงออยู่ แต่หยุดตีผมแล้ว

“จริงนะ”

“จริงสิครับ”

“งั้นมึงไปเปิดบ้าน กูนอนนี่แหละ”

“เห้ยพี่นอนนี่จริงอ่ะ จะให้ผมกอดอ่อ”

“กูดิ่จะกอดมึง เตรียมหาผ้ามาอุดปากไว้ให้ดี แม่มึงได้ยินแน่คืนนี้กูซอยไม่ยั้งทำโทษมึงพูดจาไม่เข้าท่า เดี๋ยวจะพิสูจน์ให้เห็นแมนไม่แมนวัดกันที่ตรงนี้ สะโพกมึงกับกูใครพลิ้วกว่ากัน”

“โฮ่ยพูดแบบนี้ผมสู้ตายอ่ะ สะโพกผมไม่มีขาดตอนครับขอบอก พี่นั่นแหละที่จะแพ้”

“เออเดี๋ยวเรามาสู้กัน”

“ได้เล๊ย” ผมตอบรับอิพี่เอย์ยิ้มกว้างเชียว มันขำผมหน่อย ๆ ด้วยนะ ผมรีกระโดดลงจากรถแล้วกดกริ่งเปิดรั้วทันที พี่เอย์ขับเข้ามาจอดไว้ด้านใน จิตใจนี่นึกถึงศึกประลองสะโพกคืนนี้ สนามแข่งคือห้องนอนผมเอง ใครพลิ้วกว่ากันเหรอ??? มันต้องผมแน่อยู่แล้ว หึหึ พี่เอย์ก็พี่เอย์เหอะ จะสู้ผมคนนี้ได้ไง



ปล. หมาปิงลืมไปนิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายรับ จะไปซอยถี่ ๆ สู้พี่เขาได้ไงล๊าา หมาเอ้ยย
 




**************Unseen Complete*************