Special part - I want you (2)
เช้าวันใหม่
หลังวารินส่งน้องขิงที่หน้าโรงเรียนเสร็จเขารออยู่ครู่หนึ่งมองดูเจ้าจินเจอร์เดินเข้าไปจนลับสายตาจึงค่อยบอกทินกรให้ออกรถ
“เย็นนี้ผมมีนัดคงต้องให้ลุงทินกรมารับเจ้าขิงแทนนะครับ”
“แล้วคุณทรายจะกลับยังไงครับ”
“ไปทำธุระกับทนายปวีย์น่ะครับ
รายนั้นคงจะไปส่งผมที่บ้านอยู่แล้ว”
ไม่มีอะไรวุ่นวายมากไปกว่าการตระเตรียมเอกสารและเรื่องที่จะต้องพูดหว่านล้อมอีกฝ่ายให้ยอมขายตึกและที่ดินให้ได้อีกแล้ว
วารินคิดแล้วคิดอีกวางแผนในใจไว้คร่าว ๆ ว่าจะพูดจาไปในแนวทางไหน
ในที่สุดช่วงเวลาเย็นย่ำก็มาถึง
“ธาร
พี่กลับค่ำๆนะ มีคุยงานกับลูกค้า”
วารินโทรหาธาราธาร “พี่ไปกับปวีย์ ธารไม่ต้องเป็นห่วงคุยเรื่องตึกนั่นแหละที่ปวีย์โทรมาเมื่อคืนไง”
“อือฮึ”
“ธารกลับบ้านก็ทานข้าวก่อนเลย
เดี๋ยวพี่กลับไปค่อยว่ากันอีกที ไม่ค่ำมากหรอกจะรีบคุยรีบเสร็จ”
“ไม่เป็นไรครับผมเองก็มีงานเหมือนกัน
อาจจะได้กลับพร้อม ๆ กันเลยก็ได้”
“อ้าวงั้นเหรอ
แล้วเจอกันครับธาร” วารินไม่ได้เอะใจเรื่องที่ธารพูดเลยแม้แต่นิดเดียว
ใช้เวลาไม่นานปวีย์กับวารินก็มาถึงโรงแรมที่อีกฝ่ายนัดแนะไว้
“ครั้งนี้ผมไม่อนุญาตให้คุณปวีย์แยกตัวออกไปนะครับ
ถึงทางนั้นจะว่ายังไงคุณก็ห้ามหนี โอเคนะ”
วารินบอกไว้แค่นั้นขณะที่ปวีย์เองก็รับคำในใจคิดสารพัด
ไม่รู้ที่ธาราธารบอกไว้เมื่อคืนหมายความว่าอย่างไร หรือว่าจะตามมาสบทบด้วยอีกคน
“สวัสดีครับคุณนาวา”
นัดหมายคราวนี้เป็นห้องทำงานของอีกฝ่าย
นาวายังคงนั่งอยู่ที่เก้าอี้ประธานตัวใหญ่
มองมาที่วารินและปวีย์ขณะที่อากิระเดินนำเข้ามาส่ง
เขาเชิญคนทั้งคู่นั่งที่โซฟารับรอง
“ผมอยากจะคุยธุระให้รู้เรื่องภายในวันนี้เลยครับ
ทางเรามีทนายตามมาด้วยหวังว่าคราวนี้คุณจะไม่........
“จะไม่ อะไรเหรอครับ
กลัวผมไล่ทนายคุณกลับอีกหรือไง”
นาวาแทรกขึ้นดักทางวารินไว้
สายตาที่มองลงมาที่คนตัวเล็กทำเอาปวีย์ที่มองอยู่นึกเอะใจ
มันแพรวพราวเสียจนเขาเองยังนึกกลัว
“เรามาเข้าเรื่องกันดีกว่าครับ
คือผมอยากจะขอความกรุณาจากคุณมากๆเรื่องตึกและที่ดินตรงนั้น
ทางคุณลองเสนอมาดีไหมครับ ไหนๆคุณก็รับปากว่าจะโอนคืนให้ทางเราแล้ว”
“ผมรับปากแล้วงั้นเหรอ? เท่าที่ผมจำได้ ผมขอคำตอบจากคุณนะ
ภายใต้เงื่อนไขซะด้วย อย่าแกล้งทำเป็นลืมมันสิครับ”
“ผมไม่คิดว่าเรื่องที่คุณพูดวันนั้นจะจริงจังนะครับ
นั่นน่ะมันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้แน่นอนอยู่แล้ว
คนเก่งขนาดคุณไม่น่าจะมองผมพลาดขนาดนั้นนะ”
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็คงจะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว
ไม่เห็นต้องมาพบผมให้เสียเวลาเลยนี่ แค่โทรบอกผมกริ๊งเดียว ทุกอย่างก็จบแล้ว”
ทันทีที่นาวาพูดจบอากิระที่รู้งานวางสัญญาเอกสารว่าจ้างรื้อถอนลงตรงหน้าเจ้านายเขาทันที
“ดีเหมือนกัน
ผมรู้คำตอบของคุณจะได้เซ็นอนุมัติให้มันจบ ๆ ไปสักที ทางนั้นเขารอมาเป็นเดือนแล้ว
ผมนี่ก็แย่จริง ๆ ไม่รู้ว่าจะดึงเวลาไปเพื่ออะไร ชาวบ้านแถวนั้นผมเองก็ไม่รู้จักมักจี่สักคนด้วยสิ”
เขาว่าแล้วทำท่าจะเซ็นชื่อลงไปจริงจัง
วารินหน้าเสียรีบลุกขึ้นรั้งมือเขาไว้
“เดี๋ยวครับ
กรุณาหยุดก่อน”
“ทำไมล่ะ
หรือว่าคุณจะเปลี่ยนใจ”
นาวาชะงักมือ
มองดูมือเล็ก ๆ ที่กุมรั้งข้อมือเขาไว้ก่อนที่เงยหน้าไปสบเข้ากับนัยน์ตาสีอ่อนที่กำลังจ้องมองเขาอยู่ราวกับว่ากำลังประเมินค่าวัดใจกันอยู่อะไรแบบนั้น
“นี่คุณคิดจะเซ็นจริง
ๆ เหรอครับ”
“ผมไม่ใช่เพื่อนเล่นคุณนะ เรื่องแบบนี้ล้อเล่นได้ด้วยหรือ”
นาวาคล้ายจะประหม่าขึ้นมานิด
ๆ เมื่อวารินขยับเลื่อนมานั่งใกล้เขามากเกินไป แถมยังรั้งข้อมือเขาไว้ไม่ยอมปล่อย เขาแทบไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะพ่ายแพ้ให้กับสายตาอ้อนวอนของอีกคน
“อากิระ” เขาหันไปเรียกเลขาคนสนิท
“พาทนายปวีย์ออกไปดื่มกาแฟที่ห้องรับรองก่อน
ผมมีธุระส่วนตัวจะคุยกับคุณวาริน”
พอได้ยินคำสั่งแบบนั้นของนาวา
วารินถึงกับหันหาปวีย์ทันที เขารีบจับแขนเสื้อปวีย์เอาไว้
ใช้สายตาบอกให้รู้ว่าไม่ให้ปวีย์ออกไป
“เชิญครับ
คุณปวีย์ อาหารว่างของคุณเตรียมพร้อมไว้ที่ห้องนั้นเรียบร้อยแล้ว”
อากิระทำหน้าที่ได้อย่างไม่บกพร่อง
ปวีย์มองวารินอย่างครุ่นคิด พาลนึกไปถึงคำพูดของธาราธารที่สั่งเขาไว้เมื่อคืน
แสดงว่าบอสคงกำลังตามมา เขาจะเล่นตามเกมส์ของทางนี้ไปก่อน
“ไม่ได้นะครับ
ผมมาเจรจาธุรกิจกับคุณจำเป็นที่ต้องมีทนาย ผม....
“พาไปได้แล้วอากิระ
เชิญครับคุณปวีย์
ถ้าอยากให้ผมรีบคุยรีบเสร็จคุณต้องยอมให้คุณทนายออกไปรอด้านนอกนะ
เรื่องที่จะคุยมันส่วนตัวซะด้วยหรือคุณอยากให้ทนายความคุณรู้เห็นทุก ๆ
อย่างระหว่างคุณกับผม”
“นี่คุณ!”
“หรือจะให้ผมเซ็นเลย
จะเอาแบบนั้นก็ได้นะ”
“คุณนี่ขู่คนเก่งจริง
ๆ นะ”
“ก็แล้วแต่จะคิด”
*
“คุณทานของว่างกับกาแฟรอที่นี่นะครับ
บอสผมคงใช้เวลาคุยกับคุณวารินสักครู่ นี่ครับหนังสือพิมพ์เผื่อคุณอยากจะอ่านเพื่อฆ่าเวลาระหว่างรอ”
อากิระยื่นหนังสือพิมพ์ธุรกิจส่งให้ปวีย์
ก่อนจะขอตัวออกไปด้านนอก
ปล่อยให้ปวีย์นั่งมองส่งแผ่นหลังเล็กที่กำลังจะเดินหายออกไปด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกังขา
“แอบรักเจ้านายตัวเองสินะ”
“ว่าไงนะครับ”
แม้เสียงปวีย์จะเบามากหากแต่อากิระไม่น่าหูดีขนาดนี้
“เปล่า ผมว่าคุณหน้าซีด ๆ นะ
กินข้าวบ้างรึเปล่าผอมขนาดนี้”
ปวีย์รีบเปลี่ยนเรื่อง
แต่ใบหน้าของอากิระซีดเซียวมากจริง ๆ คล้ายคนไม่ได้นอน
เขาได้ยินเสียงอากิระถอนหายใจเฮือกใหญ่กับคำพูดของเขา
“คุณรอที่นี่นะครับ
ผมขอตัวลงไปเอาของที่รถสักครู่เดี๋ยวจะขึ้นมาอยู่เป็นเพื่อน”
อากิระใช้เวลาไม่นานในการควานหาเอกสารที่ถูกวางไว้อย่างเป็นระเบียบที่กระโปรงหลังรถ
จู่ ๆ ไม่รู้ทำไมกลับรู้สึกหน้ามืดขึ้นมาเสียอย่างนั้น
เขารู้สึกเหมือนจะวูบจนต้องรีบคว้ามือยึดตัวรถเอาไว้ ก่อนจะสะบัดศีรษะไล่ความงุนงงเบา
ๆ
“เป็นอะไรเนี่ย
รู้สึกแน่นหน้าอกชะมัดเลย”
บ่นพึมพำกับตัวเองเบา
ๆ ก่อนจะกดเรียกลิฟต์ ขณะก้าวเข้าไปด้านในกลับมีอีกคนที่เดินตามเขาเข้ามาด้วย
อากิระรีบหันมองผู้ชายหน้าตาดีรูปร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่ด้วยกันภายในลิฟต์
รู้สึกคุ้นหน้าบอกไม่ถูก
คนหน้าตาดีขนาดนี้ถ้าเป็นแขกที่มาพักที่โรงแรมน่าจะใช้ลิฟต์ทั่วไปแต่นี่เป็นลิฟต์เฉพาะพนักงานถ้าหากว่าคน
ๆ นี้ทำงานที่นี่ทำไมเขาถึงไม่รู้จัก
ที่สำคัญมาดแบบนี้จะเป็นแค่พนักงานธรรมดาคงจะไม่ใช่
เขาแอบมองอีกคนผ่านกระจกภายในลิฟต์
นานจน.....
คุณธาราธาร!
“เฮ้......”
“เฮ้! คุณ”
พอรู้สึกตัวอีกทีเขาก็อยู่ในอ้อมแขนใหญ่ของคนที่เขาเพิ่งแอบมองไปเสียแล้ว
อากิระพยายามปรือตาขึ้นมอง
“เป็นอะไรมากรึเปล่าคุณเป็นลมนะ”
เสียงเขาสุภาพและนุ่มนวลมากๆ
อากิระพยายามทรงตัวลุกขึ้น แต่ยืนได้ไม่ถึงสามวิฯก็ทรุดลงอีก ธาราธารรีบเข้ามารับเขาไว้อีกหน
“ห้องพยาบาลอยู่ชั้นไหนเดี๋ยวผมจะพาไปส่งก่อน”
“ผม....ผมแน่นหน้าอกครับ
รู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก”
“เฮ้คุณ!” ธาราธารร้องเรียกขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเห็นอีกฝ่ายขยุ้มที่หน้าอกจนเสื้อยับและมีอาการหอบร่วมด้วยอีก
เขาที่เป็นหมอเริ่มจะเดาอาการอีกฝ่ายได้แล้วจึงกดเรียกลิฟต์ย้อนลงไปที่ชั้นล่างอีกครั้ง
“ไปโรงพยาบาลดีกว่านะ
เดี๋ยวผมไปส่งคุณเอง คุณมีโรคประจำตัวรึเปล่า”
“ผ....
ผมไม่ทราบ” อากิระตอบเสียงขาด ๆ หาย ๆ ธาราธารจึงพยักหน้าให้เขาเบา ๆ
“มีสติหน่อย เดี๋ยวผมจะพาคุณไปที่รถเดินไหวไหม”
ลิฟต์เปิดออกที่ชั้นลานจอดรถ อากิระตาเริ่มปรือส่ายหน้าอย่างหมดแรง ธาราธารเห็นแบบนั้นได้แต่ช้อนตัวเขาไว้แล้วพาไปที่รถของตัวเองก่อนที่จะมุ่งไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด
*
ทันทีที่อากิระพาปวีย์ก้าวออกไปจากห้อง
เมื่อประตูบานใหญ่ถูกเลื่อนปิดลง นาวาที่นั่งอยู่ในท่าสบาย ๆ
เอนหลังพิงพนักของโซฟา
“ตรง ๆ
เลยละกัน คุณจะมาอยู่กับผมไหม” เขาจ้องวาริน
“เป็นไปไม่ได้หรอกครับ
ถ้าคุณคิดว่าจะมีเงื่อนไขขอความกรุณาเปลี่ยนเงื่อนไขให้ผมพิจารณาด้วย”
“ปีเดียว! แค่ปีเดียวมาทำงานกับผม”
“ไม่ใช่ปีเดียวเดือนเดียวหรือวันเดียว
แต่ผมไม่สามารถทำแบบนั้นได้จริง ๆ”
“เพราะอะไร”
“ผมไม่จำเป็นต้องอธิบายกับคุณหรอก
มาเข้าเรื่องซื้อขายของเราต่อเถอะครับคุณอย่าพาผมเฉไฉไปเรื่องอื่นเลย”
“ถ้าอย่างนั้นผมก็ไม่มีอะไรต้องพูด
ที่ดินกับตึกหลังนั้นถูกผมซื้อมาเพื่อใช้ยื่นเป็นข้อเสนอสำหรับตัวคุณ
ถ้าหากคุณปฏิเสธผมขนาดนี้ ทุกๆอย่างก็คงจบ”
เขาว่าสีหน้าจริงจังกว่าทุกครั้ง
ขณะที่มือขยับปากกาแน่นอนแล้วว่าเขาคงต้องเซ็นอนุมัติลงไปจริง ๆ วารินรีบคว้าจับมือเขาไว้อีกครั้ง
“ผมขอร้องล่ะครับ
กรุณาเห็นแก่ชาวบ้านด้วย พวกเขาเดือดร้อนกันมากจริง ๆ ผม....
มือหนาของนาวาสอดเข้ามาที่เอวเล็กก่อนที่วารินจะได้พูดอะไรต่อ
นาวาโน้มใบหน้าเข้าหาขณะอีกมือรั้งเอววารินเข้ามาใกล้
“คืนเดียว” เขากระซิบ
วารินตกใจแทบบ้า
!!!!!!!
“คุณกำลังพูดอะไร”
“แค่คืนเดียว
อยู่กับผม”
แม้แต่ตัวเองยังไม่เข้าใจ
เงินเจ็ดร้อยกว่าล้านจะแลกกับความสุขทางกายแค่คืนเดียว คนอย่างเขา...คนอย่างนาวา ทำไมถึงยอมยื่นข้อเสนอโง่ ๆ แบบนั้นออกมา
เงินขนาดนั้นเขาจะหาใครมาเชยชมสักกี่ร้อยคนก็ได้ แต่กลับมาเสนอให้กับคน ๆ นี้
คนที่เขารู้ทั้งรู้ว่ามีเจ้าข้าวเจ้าของอยู่แล้ว
นาวาแค่นยิ้มในใจ
รู้สึกสมเพชตัวเองบอกไม่ถูก
“คุณกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร!”
วารินผลักเขาออก
น่าเสียดายยิ่งผลักเขายิ่งรัดให้ร่างกายแนบแน่นเข้าไปอีก
“อยู่กับผมแค่คืนเดียวแล้วผมจะคืนทุกอย่างให้”
“มันเป็นไปไม่ได้คุณก็รู้อยู่แล้ว
ผม.....
“อย่าปฏิเสธผมได้ไหม”
นาวาซบใบหน้าลงที่ไหล่เล็ก น้ำเสียงคล้ายคนอ่อนล้าแทบจะหมดแรง
“ผมไม่รู้จะใช้วิธีไหนเพื่อดึงตัวคุณให้มาอยู่กับผมได้แล้ว
ถ้าไม่มีที่ดินตรงนั้นคุณคิดว่าผมจะสามารถเจอกับคุณได้อีกงั้นเหรอ
ผมนะ.....ผม......
“คุณนาวา”
“ขอให้ผมได้อยู่แบบนี้สักพักนะ”
“อย่าทำแบบนี้ครับ”
วารินไม่ได้ฟังคำขอร้องของเขา มือเล็กพยายามผลักไหล่หนาของเขาออกจากตัว
ไม่อยากให้เขาคิดเข้าใจอะไรผิดไป
“เพราะคุณมีเขาอยู่แล้วอย่างนั้นเหรอ”
“เรื่องนั้นจะยังไงก็ไม่เกี่ยวกับคุณนี่ครับ
ผมกำลังคุยกับคุณเรื่องธุระอยู่นะ นี่คุณลุกออกจากตัวผมสักทีสิ”
“จริงอย่างที่เขาลือกันสินะ
เรื่องคุณกับบอสของคุณ”
“คุณนาวา
ผมว่าคุณนอกเรื่องไปไกลแล้วนะครับ โอ๊ยยยย!!!”
วารินอุทานอย่างดังปฏิกิริยาของร่างกายขณะตกใจสุดขีดทำให้สามารถผลักเขาออกไปจนกระเด็นได้
นาวาบ้ามากจริง ๆ เมื่อจู่ ๆ กระชากเสื้อนอกเขาออกแล้วฝังคมเขี้ยวลงที่ลำคอขาว ๆ
ที่โผล่พ้นปกเสื้อเชิ้ตออกมา วารินรีบเลี่ยงไปยืนอยู่ในจุดที่ห่างออกไป
ความรู้สึกเจ็บจี๊ดที่ลำคอทำให้คิดไปได้ว่าต้องเป็นรอยฟันชัดเจนแน่ ๆ
คราวนี้แย่แน่
ถ้าธารเห็นเป็นเรื่องแน่ ๆ บ้านแตก
“คุณนี่มันแย่ที่สุด
ผมตั้งใจจะคุยธุระแต่คุณกลับทำเรื่องพรรค์นั้น
จิตใจคุณทำด้วยอะไรแค่อยากได้ตัวผมถึงขนาดทำให้ชาวบ้านหลายร้อยครอบครัวต้องเดือดร้อน
คุณมันร้ายกาจ”
วารินเม้มปากแน่นยิ่งพูดยิ่งโมโห
ขณะที่อีกคนกลับนั่งอมยิ้มไม่รู้สึกรู้สาคล้ายกับคนไม่ได้ทำอะไรผิด วารินยิ่งเดือดคว้าเอากระเป๋าเอกสารกำลังจะเดินออกจากห้อง
“ผมจะชะลอเรื่องรื้อถอนออกไปอีกหน่อยก็ได้
พอดีว่าเมื่อกี้ได้ค่ามัดจำลำคอขาว ๆ
ของคุณไว้แล้วถือว่าเป็นค่าต่อเวลาให้ชาวบ้านพวกนั้นก็แล้วกัน”
เขาว่าแล้วเดินเข้าไปใกล้
วารินรีบถอยจนแผ่นหลังเกือบชิดบานประตู
“แต่ถ้ายอมจ่ายผมทั้งตัว
ผมคืนให้คุณได้ในทันทีเลยนะ ง่ายๆแค่นั้นเอง แหมก็รู้ๆกันอยู่
ไม่ใช่ว่าไม่เคยสักหน่อย”
เพี๊ยะ!!
วารินฟาดฝ่ามือใส่หน้าเขาทันที
นาวาเร็วไม่แพ้กันคว้าจับแขนเล็กบีบไว้แน่น ไม่เคยมีใครกล้าตบหน้าเขาแบบนี้ วารินเป็นคนแรก
เขาหรี่ตาพยายามบังคับลมหายใจให้เป็นปกติทั้งที่ในใจตอนนี้เดือดมากจริง ๆ
“เพราะคนอย่างคุณมันดูถูกคนแบบนี้สินะเลยไม่มีใครอยากอยู่ด้วยเลยสักคนใช่ไหม
เห็นผมซื่อสัตย์ภักดีกับบอสของผมคุณเลยคิดอยากได้เลขาแบบผมงั้นเหรอ แล้วเลขาคุณล่ะ บริการคุณได้ไม่ถึงอกถึงใจคุณหรือไง
ผมน่ะอายุมากกว่าคุณตั้งหลายปีนะให้เกียรติกันบ้าง
ถ้าคุณอยากเรื่องพรรค์นั้นมากล่ะก็ เชิญไปหาเด็กสด ๆ ซิง ๆ มานอนอ้าขาให้เสียสิ
อย่ามายุ่งกับผม ผมรักบอสผมคนเดียว.....อื้อออ”
นาวาหมดความอดทน
เขากดริมฝีปากบดลงไปที่ปากนุ่มนิ่มที่กำลังต่อว่าเขาอยู่
ความโกรธแล่นพล่านตั้งแต่มือเล็ก ๆ นั่นฟาดลงบนใบหน้าเขาแล้ว
“อื้อออ
ปล่อยนะ” วารินยิ่งดิ้นเขายิ่งดันจนแผ่นหลังเล็กชิดบานประตู กระเป๋าเอกสารที่ถืออยู่ร่วงลงบนพื้น
ใบหน้าเล็กเหยเกเนื่องจากโดนเขาบีบปลายคางจนปวดร้าวไปหมด
นาวาต้อนจูบจนพอใจ
ทั้งกัดทั้งดูดคล้ายคนหิวโหยมานาน
กว่าจะปล่อยริมฝีปากเล็กออกได้วารินก็นิ่งไปนานแล้ว
“เจ็บใช่ไหม” ปากเล็กบวมเจ่อ
เขายอมรับว่าไม่ได้อ่อนโยนเลยสักนิด น้ำที่คลอนัยน์ตาคู่สวย
ทำเอาเขาใจอ่อนยวบไปหมด
ปลายนิ้วหนาปาดเช็ดเลือดที่ซึมอยู่ที่มุมปากออกให้อย่างเบามือ
วารินรีบหันหน้าหนียกแขนขึ้นกันไว้
“คุณมันขี้โกง
คุณอยากได้ตัวผมจนคิดเอาแต่ตัวเอง
ทำตามความต้องการของตัวเองโดยไม่คิดเลยใช่ไหมว่าผมจะเดือดร้อนมากมายขนาดไหน
ไม่คิดถึงความรู้สึกของผมเลย!”
วารินตะโกนใส่อย่างเหลืออด
เลือดที่มุมปากเล็กยังซึมออกมาอีก นาวาปวดแปลบที่หัวใจรีบยกมือขึ้นปาดเช็ดให้
วารินรีบหันหนีอีกครั้ง
“คุณมันแย่ที่สุด
ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วยนะ...ฮึกก”
ไม่อยากจะให้เห็นว่าห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลตกลงมาไม่ได้ ในขณะที่นาวายังกอดเอาไว้ไม่ยอมปล่อยเขารู้สึกได้ว่าคนในอ้อมกอดตัวเริ่มสั่น
“ถอยออกไปนะ! ผมไม่เอาแล้ว
ไม่อยากได้อะไรแล้วทั้งนั้น คุณจะทำอะไรกับตึกนั่นก็เชิญ ผมจะหาทางอื่น ถอยไป
ถอยออกไปจากตัวผมนะ!”
มือเล็ก ๆ
ทั้งผลักทั้งดึงให้เขาออกห่างหากแต่ก็ไร้ผล วารินตัวเล็กกว่าเขามาก
แค่เขากอดไว้ร่างเล็ก ๆ ก็จมอยู่ในอกเขาแล้ว เมื่อเริ่มรู้สึกแล้วว่าสู้ไม่ได้แน่
ๆ น้ำตาก็พาลไหลตกลงมา ริมฝีปากเล็กเม้มแน่นกลั้นสะอื้นไม่ให้อีกฝ่ายได้เห็น
“พอแล้ว
อย่าร้อง ผมยอมแล้ว ยอมแล้วทุกอย่างจริง ๆ อย่าร้องนะ ไม่เอาไม่ร้อง”
“ถอยออกไปจากตัวผมได้โปรด
คุณไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้ ผมมีคนที่ผมรักอยู่แล้วกรุณาเข้าใจผมด้วย” วารินเสียงสั่นเครียดจัดเมื่อเขาไม่ยอมปล่อยไม่พอยังเอายกมือขึ้นมาลูบหัวเขาทำทีเหมือนปลอบประโลมซึ่งเขาไม่ได้ต้องการให้เป็นแบบนี้เลย
“ วันเดียว อยู่กับผมแค่วันเดียว เรื่องนี้จะจบลงทันที ผมสัญญาว่าจะไม่ทำให้คุณลำบากใจอีกเลย
ผมพูดแล้วไม่เคยคืนคำ ผมขอเวลาคุณแค่วันเดียวเท่านั้น รับปากผมแล้วผมจะปล่อยคุณไป”
จะอย่างไรคงไม่มีอะไรดีกว่าการเอาตัวรอดกับสถานการณ์เฉพาะหน้าอีกแล้ว
ในเมื่ออธิบายไปแล้วเขาก็ยังดื้อดึงและไม่ยอมเข้าใจ
“ มื้อเดียว
ผมจะทานข้าวกับคุณมื้อเดียว
ผมให้ได้มากสุดแค่นี้”
นาวานิ่งไปครู่หนึ่ง
ขณะที่สายตาตรึงอยู่กับใบหน้าอ่อนวัยนั้นไม่ยอมให้หลุดไปได้สักวินาที ในที่สุดเขาค่อยคลายอ้อมกอดออก วารินรีบก้มลงไปคว้าเอากระเป๋าเอกสารที่ตกอยู่
แต่ก่อนที่จะได้ก้าวเดินออกจากห้องไปมือของนาวาก็คว้าแขนเขาเอาไว้
“แล้วผมจะโทรไป”
ในลิฟต์แก้วที่ดูหรูหรา
วารินยกโทรศัพท์ขึ้นกดโทรออกหาปวีย์ทันที ก่อนที่ลิฟต์จะเปิดออกที่ชั้น 1 เขาแวะเข้าห้องน้ำตรวจเช็คบางอย่างในกระจกเงาบานใหญ่
ริมฝีปากที่ยังมีรอยกัดเล็ก ๆ
อยู่ที่มุมปากด้านซ้าย ซ้ำร้ายที่ลำคอยังมีรอยฟันที่ฝังลงไปอย่างชัดเจน ลึกจนเลือดสีแดงเลอะเข้าที่ปกเชิ้ต
“ซาดิสต์หรือไงวะเนี่ย เลวจริง ๆ ” วารินสบถในลำคอเบา
ๆ กระชับเสื้อนอกปิดร่องรอยให้มิด พยายามนึกว่าทำยังไงจะไม่ให้ธาราธารเห็นร่องรอยเหล่านี้เมื่อกลับไปถึงบ้าน
ก่อนแผ่นหลังเล็กจะเดินลงบันไดไปที่ชั้นใต้ดินเพื่อตรงไปที่รถของทนายปวีย์อย่างที่นัดแนะกันไว้
*
“คุณป๋ากลับมาแล้วเหรอครับ”
เจ้าตัวยุ่งส่งเสียงกรี๊ดลั่นพร้อมวิ่งหน้าระรื่นออกมารับวารินที่หน้าบันไดหินอ่อนหน้าบ้านเมื่อได้ยินเสียงรถปวีย์จอดลง
วารินรีบคว้าเอาเอกสารที่หอบมาจากโรงแรมใสไว้ในอ้อมแขน แล้วก้าวลงมา
เจ้าขิงรีบเข้ามากอดขาเขาไว้ซุกๆหน้ากลม ๆ ออดอ้อน วารินก้มลงไปหอมแก้มใสนั้นเบา ๆ
ปวีย์ที่เดินตามเข้ามาส่งยิ้มอ่อนโยนให้กับภาพสองคนตรงหน้า
“ขอบคุณมากครับคุณปวีย์
อยู่ทานข้าวด้วยกันก่อนไหม”
ปวีย์ยิ้มให้วารินพร้อมส่ายหน้าเบา
ๆ และบอกขอตัวกลับวารินจึงเดินออกมาส่งเขาที่หน้าบ้านอีกหน “หาพลาสเตอร์ยามาติดไว้ก็ดีนะครับ
รอยมันชัดมากเลย”
วารินตกใจรีบจ้องเขาทันที
ขนาดปวีย์ยังรู้แล้วถ้าธารเห็นล่ะ
“คุณคงต้องหาข้อแก้ตัวดี
ๆ แล้วล่ะครับ ไม่ก็บอกความจริงไปเลย คุณธารคงเอาเรื่องผมตายแน่ที่ปล่อยคุณทรายไว้กับไอ้เจ้านาวาสองต่อสองแบบนั้น”
เขาพูดแล้วส่ายหัวอย่างระอาใจ นึกเกลียดไอ้เจ้านาวานี้เข้าไส้ บังอาจมาทำอะไรแปลก
ๆ กับคุณทรายคนที่คุณธาราธารของเขารัก
“คนแบบนี้ก็มีอยู่จริง
ๆ สินะครับ”
“คุณปวีย์รีบกลับเถอะครับ
ขอบคุณอีกครั้งที่มาส่งผม” วารินรีบตัดบทก่อนเดินเข้าไปด้านใน
“คุณธารยังไม่กลับมาเหรอดาว”
จริง ๆ
เขายังไม่เห็นรถของธาราธารจอดอยู่ก็พอจะรู้ว่าธารยังไม่กลับมาแต่วันนี้ไม่มีเวรกลางคืนปกติแล้วธารจะต้องโทรมาบอกเขาก่อนถ้าหากจะไปดื่มหรือเที่ยวต่อที่ไหน
“คุณทรายโทรศัพท์ในกระเป๋าดังแน่ะค่ะ”
นับดาวกำลังสอนการบ้านขิงอยู่ได้ยินเสียงมือถือในกระเป๋าเอกสารของวารินดังเรียกอยู่นานแล้ว
กว่าจะแน่ใจว่ามันดังมาจากไหน สายก็ถูกตัดไปแล้วเรียบร้อย
วารินล้วงออกมาดูจึงรีบโทรกลับ ขณะก้าวขึ้นไปบนบ้าน
“ว่าไงธาร
พี่ถึงบ้านแล้วนะ”
“พี่ทรายเดี๋ยวผมทำธุระอยู่ที่โรงพยาบาล..........นะครับ
อีกสักสองสามชั่วโมงจะกลับนะ นอนไปก่อนเลยไม่ต้องรอนะ”
“ทำไมถึงไปอยู่แถวนั้นได้ล่ะธาร
มันคนละทางกับที่ทำงานของธารนี่”
“เจอคนป่วยน่ะครับเลยพามาส่ง
เดี๋ยวผมขอดูอาการเขาก่อนละกัน ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็จะกลับ พี่ทรายไม่ต้องห่วงนะ
เดี๋ยวกลับไปคุยให้ฟังอีกที
“ธารขับรถกลับดี
ๆ นะ ดึกๆแถวนั้นรถเยอะ”
“ครับผม”
ร่างเล็ก ๆ
ทิ้งตัวลงบนที่นอน คิดไม่ตกจริง ๆ
ถ้าธารเห็นรอยกัดที่ปากกับที่คอของเขาจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง วารินหลับตาลงแน่น
นึกถึงคำพูดบ้า ๆ ของไอ้เจ้านาวานั่น
วันเดียวคืนเดียวอะไรของมัน
เขาให้ได้มากสุดก็แค่อาหารมื้อเดียวเท่านั้นแหละ
มันจะฝันเฟื่องมากไปแล้ว!
คนฉวยโอกาสแบบนั้นอย่าคิดว่าเขาจะไปเจอเป็นการส่วนตัวอีกเลย!
*
“คงต้องให้นอนค้างคืนที่นี่นะ
พรุ่งนี้จะมีหมอเฉพาะทางมาตรวจให้ นายดูก็น่าจะรู้นี่มีปัญหาที่หัวใจแน่นอนอยู่แล้ว”
ที่โรงพยาบาลเอกชน
บังเอิญมากจริง ๆ หมอที่ดูแลอากิระดันเป็นรุ่นพี่ที่ธาราธารรู้จักกันดี เขามองดูเจ้าหน้าที่เข็นอากิระออกมาจากห้องฉุกเฉิน
กำลังตรงไปที่ห้องพัก เมื่อกล่าวขอบคุณกับรุ่นพี่
เขาก็เดินตามหลังเจ้าหน้าที่เข็นเตียงนั้นไป
“จะให้ผมติดต่อญาติคุณให้ไหม”
“ผมไม่มีญาติที่ไหนหรอกครับ
รบกวนคุณมากแล้ววันนี้ขอบคุณมากจริง ๆ ผมอยู่คนเดียวได้ครับ”
ธาราธารมองดูนาฬิกาที่ข้อมือก่อนหย่อนตัวนั่งลงข้าง
ๆ เตียง รินน้ำในเหยือกใส่แก้วแล้วปรับเตียงส่งให้คนป่วยดื่ม
“คุณต้องมีคนรู้จักมาดูแลนะ
พ่อแม่พี่น้อง หรือไม่ก็เพื่อน ๆของคุณ”
“ผมไม่เป็นไรจริง
ๆ ครับ รบกวนคุณธาราธารมากเลย ผมขอโทษนะครับ”
“ทำไมคุณถึงรู้จักผม
เอ๊ะ! เดี๋ยวนะ
คุณเองก็หน้าคุ้น ๆ แล้วยังเจอคุณอยู่ที่โรงแรมนั่น หรือว่า...
“ใช่ครับ
ผมเป็นเลขาของคุณนาวา คนที่กำลังเจรจาธุรกิจอยู่กับคุณวารินเลขาของคุณ”
“ถ้าอย่างนั้นก็โทรบอกเขาสิ
หรือจะให้ผมโทรให้เอาไหม”
“อย่านะครับ” อากิระรีบแย่งมือถือของตัวเองมาถือไว้เมื่อเห็นธาราธารคว้าเอามันไปจากเตียง
เขาวางไว้ข้าง ๆ ตัว
“ผ...ผมไม่อยากให้คุณนาวารู้
คือผมกลัวว่าบอสผมจะ....เอ่อจะเป็นห่วง ผมน่ะแค่ผมน่ะไม่เป็นอะไรหรอกครับ
ผมดูแลตัวเองได้”
พูดแล้วเขาก็ต้องนิ่วหน้าเมื่อรู้สึกเจ็บจี๊ดที่หัวใจขึ้นมาอีก ขณะคิดได้ว่าคนอย่างนาวาน่ะหรือจะมาเป็นห่วงคนอย่างเขา ต่อให้โทรแจ้งว่าเขาตายหรือหายไปนาวาคนนั้นจะเสียน้ำตาให้เขาสักหยดบ้างรึเปล่าก็ยังไม่รู้เลย
“คนเป็นบอสเขาก็ต้องเป็นห่วงคุณอยู่แล้วเป็นเรื่องธรรมดา
คุณจำเป็นต้องโทรบอกเขานะเพราะงานที่ต้องทำต่อเนื่องในวันพรุ่งนี้เขาจะต้องหาคนมาทำแทนคุณ
อย่าคิดแต่เรื่องส่วนตัว งานของบอสคุณเดินหน้าทุกวินาทีหากมัวแต่จะมาคิดเรื่องส่วนตัวเล็ก
ๆ น้อย ๆ คุณก็ไม่เหมาะที่จะมาทำงานเป็นเลขาคนกว้างขวางแบบบอสของคุณได้หรอก”
“ค....คุณรู้?”
“รู้สิ
แค่เห็นแววตาและน้ำเสียงของคุณเวลาพูดถึงบอสของคุณแบบนั้น
ผมก็พอจะเดาได้แล้วว่าคุณคิดอะไรแบบไหน จะว่าไปคุณนี่ก็ซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเองดีนะ
ผมว่าบอสของคุณคงเห็นความจริงใจของคุณเข้าสักวันแน่ ๆ”
“ไม่มีวันนั้นหรอกครับ
เพราะว่าบอส.........” อากิระหยุดคำพูดไว้แค่นั้น เขาเงยหน้ามองธาราธารเต็ม ๆ
สองตา
อยากจะพูดออกมาเหลือเกินว่าคงไม่มีวันนั้นที่นาวาจะมองเขาเพราะคนที่นาวารักก็คือ
‘ คนของคุณ ’
“ดึกแล้วผมคงต้องขอตัวกลับก่อน
ถ้าเป็นบอสของคุณเดี๋ยวผมจะให้คนติดต่อเขาให้ อย่า! คิดจะปฏิเสธ แล้วผมจะแวะมาดูคุณอีก พักผ่อนนะ”
เขาว่าแล้วกระชับผ้าห่มให้ที่หน้าอก เมื่อบานประตูปิดลง อากิระค่อยหลับตาลงได้ เสียงของธาราธารทั้งนุ่มนวลและหนักแน่น เขาเป็นคนที่เหมาะกับการเป็นคุณหมอมากกว่าเป็นนักธุรกิจมากจริง
ๆ ความอ่อนโยนของเขาพลันทำให้อากิระคิดไปไกลว่าถ้าหากนาวาพูดจาปลอบประโลมเขาให้ได้แบบนี้บ้าง
ระหว่างเขาสองคน...บางที....
แต่ว่านะ...คนเรามันก็แตกต่างกันอยู่แล้ว
ถึงนาวาจะเป็นคนแบบนั้น แต่เขาก็รักที่นาวาเป็น
ถึงคนอื่นจะดีเลิศเลอยังไงขนาดไหน...ถ้าหากไม่รัก........ก็คือไม่รักอยู่ดี!
Tbc.
อหห ไอ้คุณนาวาแอบเลวนะคะนะ จริง ๆ อยากเขียนให้นาวาเลวกว่านี้แต่มันเป็นแค่สเปฯเลยทำไรมากไม่ได้เดี๋ยวเรื่องยาว อิอิ
อหห ไอ้คุณนาวาแอบเลวนะคะนะ จริง ๆ อยากเขียนให้นาวาเลวกว่านี้แต่มันเป็นแค่สเปฯเลยทำไรมากไม่ได้เดี๋ยวเรื่องยาว อิอิ
Ps. มาอ่านกันให้สนุกนะ