Monday, June 2, 2014

..พี่เลี้ยง..THE DAY' I was your man Special Part - I WANT YOU(2)





Special part - I want you (2)




เช้าวันใหม่ หลังวารินส่งน้องขิงที่หน้าโรงเรียนเสร็จเขารออยู่ครู่หนึ่งมองดูเจ้าจินเจอร์เดินเข้าไปจนลับสายตาจึงค่อยบอกทินกรให้ออกรถ


“เย็นนี้ผมมีนัดคงต้องให้ลุงทินกรมารับเจ้าขิงแทนนะครับ”


“แล้วคุณทรายจะกลับยังไงครับ”


“ไปทำธุระกับทนายปวีย์น่ะครับ รายนั้นคงจะไปส่งผมที่บ้านอยู่แล้ว”


ไม่มีอะไรวุ่นวายมากไปกว่าการตระเตรียมเอกสารและเรื่องที่จะต้องพูดหว่านล้อมอีกฝ่ายให้ยอมขายตึกและที่ดินให้ได้อีกแล้ว วารินคิดแล้วคิดอีกวางแผนในใจไว้คร่าว ๆ ว่าจะพูดจาไปในแนวทางไหน


ในที่สุดช่วงเวลาเย็นย่ำก็มาถึง


“ธาร พี่กลับค่ำๆนะ มีคุยงานกับลูกค้า”  วารินโทรหาธาราธาร “พี่ไปกับปวีย์ ธารไม่ต้องเป็นห่วงคุยเรื่องตึกนั่นแหละที่ปวีย์โทรมาเมื่อคืนไง”


“อือฮึ”


“ธารกลับบ้านก็ทานข้าวก่อนเลย เดี๋ยวพี่กลับไปค่อยว่ากันอีกที ไม่ค่ำมากหรอกจะรีบคุยรีบเสร็จ”


“ไม่เป็นไรครับผมเองก็มีงานเหมือนกัน อาจจะได้กลับพร้อม ๆ กันเลยก็ได้”


“อ้าวงั้นเหรอ แล้วเจอกันครับธาร” วารินไม่ได้เอะใจเรื่องที่ธารพูดเลยแม้แต่นิดเดียว


ใช้เวลาไม่นานปวีย์กับวารินก็มาถึงโรงแรมที่อีกฝ่ายนัดแนะไว้


“ครั้งนี้ผมไม่อนุญาตให้คุณปวีย์แยกตัวออกไปนะครับ ถึงทางนั้นจะว่ายังไงคุณก็ห้ามหนี โอเคนะ”


วารินบอกไว้แค่นั้นขณะที่ปวีย์เองก็รับคำในใจคิดสารพัด ไม่รู้ที่ธาราธารบอกไว้เมื่อคืนหมายความว่าอย่างไร หรือว่าจะตามมาสบทบด้วยอีกคน


“สวัสดีครับคุณนาวา”


นัดหมายคราวนี้เป็นห้องทำงานของอีกฝ่าย นาวายังคงนั่งอยู่ที่เก้าอี้ประธานตัวใหญ่ มองมาที่วารินและปวีย์ขณะที่อากิระเดินนำเข้ามาส่ง เขาเชิญคนทั้งคู่นั่งที่โซฟารับรอง


“ผมอยากจะคุยธุระให้รู้เรื่องภายในวันนี้เลยครับ ทางเรามีทนายตามมาด้วยหวังว่าคราวนี้คุณจะไม่........


“จะไม่ อะไรเหรอครับ  กลัวผมไล่ทนายคุณกลับอีกหรือไง” นาวาแทรกขึ้นดักทางวารินไว้ สายตาที่มองลงมาที่คนตัวเล็กทำเอาปวีย์ที่มองอยู่นึกเอะใจ มันแพรวพราวเสียจนเขาเองยังนึกกลัว


“เรามาเข้าเรื่องกันดีกว่าครับ คือผมอยากจะขอความกรุณาจากคุณมากๆเรื่องตึกและที่ดินตรงนั้น ทางคุณลองเสนอมาดีไหมครับ ไหนๆคุณก็รับปากว่าจะโอนคืนให้ทางเราแล้ว”


“ผมรับปากแล้วงั้นเหรอ?  เท่าที่ผมจำได้ ผมขอคำตอบจากคุณนะ ภายใต้เงื่อนไขซะด้วย อย่าแกล้งทำเป็นลืมมันสิครับ”


“ผมไม่คิดว่าเรื่องที่คุณพูดวันนั้นจะจริงจังนะครับ นั่นน่ะมันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้แน่นอนอยู่แล้ว คนเก่งขนาดคุณไม่น่าจะมองผมพลาดขนาดนั้นนะ”


“ถ้าอย่างนั้นคุณก็คงจะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว ไม่เห็นต้องมาพบผมให้เสียเวลาเลยนี่ แค่โทรบอกผมกริ๊งเดียว ทุกอย่างก็จบแล้ว”


ทันทีที่นาวาพูดจบอากิระที่รู้งานวางสัญญาเอกสารว่าจ้างรื้อถอนลงตรงหน้าเจ้านายเขาทันที


“ดีเหมือนกัน ผมรู้คำตอบของคุณจะได้เซ็นอนุมัติให้มันจบ ๆ ไปสักที ทางนั้นเขารอมาเป็นเดือนแล้ว ผมนี่ก็แย่จริง ๆ ไม่รู้ว่าจะดึงเวลาไปเพื่ออะไร ชาวบ้านแถวนั้นผมเองก็ไม่รู้จักมักจี่สักคนด้วยสิ”


เขาว่าแล้วทำท่าจะเซ็นชื่อลงไปจริงจัง วารินหน้าเสียรีบลุกขึ้นรั้งมือเขาไว้


“เดี๋ยวครับ กรุณาหยุดก่อน”


“ทำไมล่ะ หรือว่าคุณจะเปลี่ยนใจ”


นาวาชะงักมือ มองดูมือเล็ก ๆ ที่กุมรั้งข้อมือเขาไว้ก่อนที่เงยหน้าไปสบเข้ากับนัยน์ตาสีอ่อนที่กำลังจ้องมองเขาอยู่ราวกับว่ากำลังประเมินค่าวัดใจกันอยู่อะไรแบบนั้น


“นี่คุณคิดจะเซ็นจริง ๆ เหรอครับ”


“ผมไม่ใช่เพื่อนเล่นคุณนะ เรื่องแบบนี้ล้อเล่นได้ด้วยหรือ”


นาวาคล้ายจะประหม่าขึ้นมานิด ๆ เมื่อวารินขยับเลื่อนมานั่งใกล้เขามากเกินไป แถมยังรั้งข้อมือเขาไว้ไม่ยอมปล่อย  เขาแทบไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะพ่ายแพ้ให้กับสายตาอ้อนวอนของอีกคน


“อากิระ”   เขาหันไปเรียกเลขาคนสนิท


“พาทนายปวีย์ออกไปดื่มกาแฟที่ห้องรับรองก่อน ผมมีธุระส่วนตัวจะคุยกับคุณวาริน”


พอได้ยินคำสั่งแบบนั้นของนาวา วารินถึงกับหันหาปวีย์ทันที เขารีบจับแขนเสื้อปวีย์เอาไว้ ใช้สายตาบอกให้รู้ว่าไม่ให้ปวีย์ออกไป


“เชิญครับ คุณปวีย์ อาหารว่างของคุณเตรียมพร้อมไว้ที่ห้องนั้นเรียบร้อยแล้ว”


อากิระทำหน้าที่ได้อย่างไม่บกพร่อง ปวีย์มองวารินอย่างครุ่นคิด พาลนึกไปถึงคำพูดของธาราธารที่สั่งเขาไว้เมื่อคืน แสดงว่าบอสคงกำลังตามมา เขาจะเล่นตามเกมส์ของทางนี้ไปก่อน


“ไม่ได้นะครับ ผมมาเจรจาธุรกิจกับคุณจำเป็นที่ต้องมีทนาย ผม....


“พาไปได้แล้วอากิระ เชิญครับคุณปวีย์   ถ้าอยากให้ผมรีบคุยรีบเสร็จคุณต้องยอมให้คุณทนายออกไปรอด้านนอกนะ เรื่องที่จะคุยมันส่วนตัวซะด้วยหรือคุณอยากให้ทนายความคุณรู้เห็นทุก ๆ อย่างระหว่างคุณกับผม”


“นี่คุณ!”


“หรือจะให้ผมเซ็นเลย จะเอาแบบนั้นก็ได้นะ”


“คุณนี่ขู่คนเก่งจริง ๆ นะ”


“ก็แล้วแต่จะคิด”



*



“คุณทานของว่างกับกาแฟรอที่นี่นะครับ บอสผมคงใช้เวลาคุยกับคุณวารินสักครู่ นี่ครับหนังสือพิมพ์เผื่อคุณอยากจะอ่านเพื่อฆ่าเวลาระหว่างรอ”


อากิระยื่นหนังสือพิมพ์ธุรกิจส่งให้ปวีย์ ก่อนจะขอตัวออกไปด้านนอก ปล่อยให้ปวีย์นั่งมองส่งแผ่นหลังเล็กที่กำลังจะเดินหายออกไปด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกังขา


“แอบรักเจ้านายตัวเองสินะ”


“ว่าไงนะครับ” แม้เสียงปวีย์จะเบามากหากแต่อากิระไม่น่าหูดีขนาดนี้


“เปล่า  ผมว่าคุณหน้าซีด ๆ นะ กินข้าวบ้างรึเปล่าผอมขนาดนี้”


ปวีย์รีบเปลี่ยนเรื่อง แต่ใบหน้าของอากิระซีดเซียวมากจริง ๆ คล้ายคนไม่ได้นอน เขาได้ยินเสียงอากิระถอนหายใจเฮือกใหญ่กับคำพูดของเขา


“คุณรอที่นี่นะครับ ผมขอตัวลงไปเอาของที่รถสักครู่เดี๋ยวจะขึ้นมาอยู่เป็นเพื่อน”


อากิระใช้เวลาไม่นานในการควานหาเอกสารที่ถูกวางไว้อย่างเป็นระเบียบที่กระโปรงหลังรถ จู่ ๆ ไม่รู้ทำไมกลับรู้สึกหน้ามืดขึ้นมาเสียอย่างนั้น เขารู้สึกเหมือนจะวูบจนต้องรีบคว้ามือยึดตัวรถเอาไว้ ก่อนจะสะบัดศีรษะไล่ความงุนงงเบา ๆ


“เป็นอะไรเนี่ย รู้สึกแน่นหน้าอกชะมัดเลย”


บ่นพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ก่อนจะกดเรียกลิฟต์ ขณะก้าวเข้าไปด้านในกลับมีอีกคนที่เดินตามเขาเข้ามาด้วย อากิระรีบหันมองผู้ชายหน้าตาดีรูปร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่ด้วยกันภายในลิฟต์ รู้สึกคุ้นหน้าบอกไม่ถูก คนหน้าตาดีขนาดนี้ถ้าเป็นแขกที่มาพักที่โรงแรมน่าจะใช้ลิฟต์ทั่วไปแต่นี่เป็นลิฟต์เฉพาะพนักงานถ้าหากว่าคน ๆ นี้ทำงานที่นี่ทำไมเขาถึงไม่รู้จัก ที่สำคัญมาดแบบนี้จะเป็นแค่พนักงานธรรมดาคงจะไม่ใช่


เขาแอบมองอีกคนผ่านกระจกภายในลิฟต์ นานจน.....


คุณธาราธาร!










“เฮ้......


“เฮ้! คุณ”


พอรู้สึกตัวอีกทีเขาก็อยู่ในอ้อมแขนใหญ่ของคนที่เขาเพิ่งแอบมองไปเสียแล้ว อากิระพยายามปรือตาขึ้นมอง


“เป็นอะไรมากรึเปล่าคุณเป็นลมนะ”


เสียงเขาสุภาพและนุ่มนวลมากๆ อากิระพยายามทรงตัวลุกขึ้น แต่ยืนได้ไม่ถึงสามวิฯก็ทรุดลงอีก ธาราธารรีบเข้ามารับเขาไว้อีกหน


“ห้องพยาบาลอยู่ชั้นไหนเดี๋ยวผมจะพาไปส่งก่อน”


“ผม....ผมแน่นหน้าอกครับ รู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก”


“เฮ้คุณ!” ธาราธารร้องเรียกขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเห็นอีกฝ่ายขยุ้มที่หน้าอกจนเสื้อยับและมีอาการหอบร่วมด้วยอีก เขาที่เป็นหมอเริ่มจะเดาอาการอีกฝ่ายได้แล้วจึงกดเรียกลิฟต์ย้อนลงไปที่ชั้นล่างอีกครั้ง


“ไปโรงพยาบาลดีกว่านะ เดี๋ยวผมไปส่งคุณเอง คุณมีโรคประจำตัวรึเปล่า”


“ผ.... ผมไม่ทราบ” อากิระตอบเสียงขาด ๆ หาย ๆ ธาราธารจึงพยักหน้าให้เขาเบา ๆ


“มีสติหน่อย  เดี๋ยวผมจะพาคุณไปที่รถเดินไหวไหม” ลิฟต์เปิดออกที่ชั้นลานจอดรถ อากิระตาเริ่มปรือส่ายหน้าอย่างหมดแรง ธาราธารเห็นแบบนั้นได้แต่ช้อนตัวเขาไว้แล้วพาไปที่รถของตัวเองก่อนที่จะมุ่งไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด



*



ทันทีที่อากิระพาปวีย์ก้าวออกไปจากห้อง เมื่อประตูบานใหญ่ถูกเลื่อนปิดลง นาวาที่นั่งอยู่ในท่าสบาย ๆ เอนหลังพิงพนักของโซฟา


“ตรง ๆ เลยละกัน คุณจะมาอยู่กับผมไหม” เขาจ้องวาริน


“เป็นไปไม่ได้หรอกครับ ถ้าคุณคิดว่าจะมีเงื่อนไขขอความกรุณาเปลี่ยนเงื่อนไขให้ผมพิจารณาด้วย”


“ปีเดียวแค่ปีเดียวมาทำงานกับผม”


“ไม่ใช่ปีเดียวเดือนเดียวหรือวันเดียว แต่ผมไม่สามารถทำแบบนั้นได้จริง ๆ”


“เพราะอะไร”


“ผมไม่จำเป็นต้องอธิบายกับคุณหรอก มาเข้าเรื่องซื้อขายของเราต่อเถอะครับคุณอย่าพาผมเฉไฉไปเรื่องอื่นเลย”


“ถ้าอย่างนั้นผมก็ไม่มีอะไรต้องพูด ที่ดินกับตึกหลังนั้นถูกผมซื้อมาเพื่อใช้ยื่นเป็นข้อเสนอสำหรับตัวคุณ ถ้าหากคุณปฏิเสธผมขนาดนี้ ทุกๆอย่างก็คงจบ”


เขาว่าสีหน้าจริงจังกว่าทุกครั้ง ขณะที่มือขยับปากกาแน่นอนแล้วว่าเขาคงต้องเซ็นอนุมัติลงไปจริง ๆ  วารินรีบคว้าจับมือเขาไว้อีกครั้ง


“ผมขอร้องล่ะครับ กรุณาเห็นแก่ชาวบ้านด้วย พวกเขาเดือดร้อนกันมากจริง ๆ ผม....


มือหนาของนาวาสอดเข้ามาที่เอวเล็กก่อนที่วารินจะได้พูดอะไรต่อ นาวาโน้มใบหน้าเข้าหาขณะอีกมือรั้งเอววารินเข้ามาใกล้


“คืนเดียว” เขากระซิบ วารินตกใจแทบบ้า


!!!!!!!


“คุณกำลังพูดอะไร”


“แค่คืนเดียว  อยู่กับผม”


แม้แต่ตัวเองยังไม่เข้าใจ เงินเจ็ดร้อยกว่าล้านจะแลกกับความสุขทางกายแค่คืนเดียว  คนอย่างเขา...คนอย่างนาวา  ทำไมถึงยอมยื่นข้อเสนอโง่ ๆ แบบนั้นออกมา เงินขนาดนั้นเขาจะหาใครมาเชยชมสักกี่ร้อยคนก็ได้ แต่กลับมาเสนอให้กับคน ๆ นี้ คนที่เขารู้ทั้งรู้ว่ามีเจ้าข้าวเจ้าของอยู่แล้ว


นาวาแค่นยิ้มในใจ รู้สึกสมเพชตัวเองบอกไม่ถูก


“คุณกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร!”


วารินผลักเขาออก น่าเสียดายยิ่งผลักเขายิ่งรัดให้ร่างกายแนบแน่นเข้าไปอีก


“อยู่กับผมแค่คืนเดียวแล้วผมจะคืนทุกอย่างให้”


“มันเป็นไปไม่ได้คุณก็รู้อยู่แล้ว ผม.....


“อย่าปฏิเสธผมได้ไหม” นาวาซบใบหน้าลงที่ไหล่เล็ก น้ำเสียงคล้ายคนอ่อนล้าแทบจะหมดแรง


“ผมไม่รู้จะใช้วิธีไหนเพื่อดึงตัวคุณให้มาอยู่กับผมได้แล้ว ถ้าไม่มีที่ดินตรงนั้นคุณคิดว่าผมจะสามารถเจอกับคุณได้อีกงั้นเหรอ ผมนะ.....ผม......


“คุณนาวา”


“ขอให้ผมได้อยู่แบบนี้สักพักนะ”


“อย่าทำแบบนี้ครับ” วารินไม่ได้ฟังคำขอร้องของเขา มือเล็กพยายามผลักไหล่หนาของเขาออกจากตัว ไม่อยากให้เขาคิดเข้าใจอะไรผิดไป


“เพราะคุณมีเขาอยู่แล้วอย่างนั้นเหรอ”


“เรื่องนั้นจะยังไงก็ไม่เกี่ยวกับคุณนี่ครับ ผมกำลังคุยกับคุณเรื่องธุระอยู่นะ นี่คุณลุกออกจากตัวผมสักทีสิ”


“จริงอย่างที่เขาลือกันสินะ เรื่องคุณกับบอสของคุณ”


“คุณนาวา ผมว่าคุณนอกเรื่องไปไกลแล้วนะครับ โอ๊ยยยย!!!”


วารินอุทานอย่างดังปฏิกิริยาของร่างกายขณะตกใจสุดขีดทำให้สามารถผลักเขาออกไปจนกระเด็นได้ นาวาบ้ามากจริง ๆ เมื่อจู่ ๆ กระชากเสื้อนอกเขาออกแล้วฝังคมเขี้ยวลงที่ลำคอขาว ๆ ที่โผล่พ้นปกเสื้อเชิ้ตออกมา วารินรีบเลี่ยงไปยืนอยู่ในจุดที่ห่างออกไป ความรู้สึกเจ็บจี๊ดที่ลำคอทำให้คิดไปได้ว่าต้องเป็นรอยฟันชัดเจนแน่ ๆ 


คราวนี้แย่แน่  ถ้าธารเห็นเป็นเรื่องแน่ ๆ บ้านแตก


“คุณนี่มันแย่ที่สุด ผมตั้งใจจะคุยธุระแต่คุณกลับทำเรื่องพรรค์นั้น จิตใจคุณทำด้วยอะไรแค่อยากได้ตัวผมถึงขนาดทำให้ชาวบ้านหลายร้อยครอบครัวต้องเดือดร้อน คุณมันร้ายกาจ”


วารินเม้มปากแน่นยิ่งพูดยิ่งโมโห ขณะที่อีกคนกลับนั่งอมยิ้มไม่รู้สึกรู้สาคล้ายกับคนไม่ได้ทำอะไรผิด วารินยิ่งเดือดคว้าเอากระเป๋าเอกสารกำลังจะเดินออกจากห้อง


“ผมจะชะลอเรื่องรื้อถอนออกไปอีกหน่อยก็ได้ พอดีว่าเมื่อกี้ได้ค่ามัดจำลำคอขาว ๆ ของคุณไว้แล้วถือว่าเป็นค่าต่อเวลาให้ชาวบ้านพวกนั้นก็แล้วกัน”


เขาว่าแล้วเดินเข้าไปใกล้ วารินรีบถอยจนแผ่นหลังเกือบชิดบานประตู


“แต่ถ้ายอมจ่ายผมทั้งตัว ผมคืนให้คุณได้ในทันทีเลยนะ ง่ายๆแค่นั้นเอง แหมก็รู้ๆกันอยู่ ไม่ใช่ว่าไม่เคยสักหน่อย”


เพี๊ยะ!!


วารินฟาดฝ่ามือใส่หน้าเขาทันที นาวาเร็วไม่แพ้กันคว้าจับแขนเล็กบีบไว้แน่น ไม่เคยมีใครกล้าตบหน้าเขาแบบนี้ วารินเป็นคนแรก เขาหรี่ตาพยายามบังคับลมหายใจให้เป็นปกติทั้งที่ในใจตอนนี้เดือดมากจริง ๆ


“เพราะคนอย่างคุณมันดูถูกคนแบบนี้สินะเลยไม่มีใครอยากอยู่ด้วยเลยสักคนใช่ไหม เห็นผมซื่อสัตย์ภักดีกับบอสของผมคุณเลยคิดอยากได้เลขาแบบผมงั้นเหรอ  แล้วเลขาคุณล่ะ บริการคุณได้ไม่ถึงอกถึงใจคุณหรือไง ผมน่ะอายุมากกว่าคุณตั้งหลายปีนะให้เกียรติกันบ้าง ถ้าคุณอยากเรื่องพรรค์นั้นมากล่ะก็ เชิญไปหาเด็กสด ๆ ซิง ๆ มานอนอ้าขาให้เสียสิ อย่ามายุ่งกับผม ผมรักบอสผมคนเดียว.....อื้อออ”


นาวาหมดความอดทน เขากดริมฝีปากบดลงไปที่ปากนุ่มนิ่มที่กำลังต่อว่าเขาอยู่ ความโกรธแล่นพล่านตั้งแต่มือเล็ก ๆ นั่นฟาดลงบนใบหน้าเขาแล้ว


“อื้อออ ปล่อยนะ” วารินยิ่งดิ้นเขายิ่งดันจนแผ่นหลังเล็กชิดบานประตู  กระเป๋าเอกสารที่ถืออยู่ร่วงลงบนพื้น ใบหน้าเล็กเหยเกเนื่องจากโดนเขาบีบปลายคางจนปวดร้าวไปหมด


นาวาต้อนจูบจนพอใจ ทั้งกัดทั้งดูดคล้ายคนหิวโหยมานาน กว่าจะปล่อยริมฝีปากเล็กออกได้วารินก็นิ่งไปนานแล้ว


“เจ็บใช่ไหม”  ปากเล็กบวมเจ่อ เขายอมรับว่าไม่ได้อ่อนโยนเลยสักนิด น้ำที่คลอนัยน์ตาคู่สวย ทำเอาเขาใจอ่อนยวบไปหมด


ปลายนิ้วหนาปาดเช็ดเลือดที่ซึมอยู่ที่มุมปากออกให้อย่างเบามือ วารินรีบหันหน้าหนียกแขนขึ้นกันไว้


“คุณมันขี้โกง คุณอยากได้ตัวผมจนคิดเอาแต่ตัวเอง ทำตามความต้องการของตัวเองโดยไม่คิดเลยใช่ไหมว่าผมจะเดือดร้อนมากมายขนาดไหน ไม่คิดถึงความรู้สึกของผมเลย!


วารินตะโกนใส่อย่างเหลืออด เลือดที่มุมปากเล็กยังซึมออกมาอีก นาวาปวดแปลบที่หัวใจรีบยกมือขึ้นปาดเช็ดให้ วารินรีบหันหนีอีกครั้ง


“คุณมันแย่ที่สุด ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วยนะ...ฮึกก”


ไม่อยากจะให้เห็นว่าห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลตกลงมาไม่ได้ ในขณะที่นาวายังกอดเอาไว้ไม่ยอมปล่อยเขารู้สึกได้ว่าคนในอ้อมกอดตัวเริ่มสั่น


“ถอยออกไปนะ! ผมไม่เอาแล้ว ไม่อยากได้อะไรแล้วทั้งนั้น คุณจะทำอะไรกับตึกนั่นก็เชิญ ผมจะหาทางอื่น ถอยไป ถอยออกไปจากตัวผมนะ!”


มือเล็ก ๆ ทั้งผลักทั้งดึงให้เขาออกห่างหากแต่ก็ไร้ผล วารินตัวเล็กกว่าเขามาก แค่เขากอดไว้ร่างเล็ก ๆ ก็จมอยู่ในอกเขาแล้ว เมื่อเริ่มรู้สึกแล้วว่าสู้ไม่ได้แน่ ๆ น้ำตาก็พาลไหลตกลงมา ริมฝีปากเล็กเม้มแน่นกลั้นสะอื้นไม่ให้อีกฝ่ายได้เห็น


“พอแล้ว อย่าร้อง ผมยอมแล้ว  ยอมแล้วทุกอย่างจริง ๆ อย่าร้องนะ ไม่เอาไม่ร้อง”


“ถอยออกไปจากตัวผมได้โปรด คุณไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้ ผมมีคนที่ผมรักอยู่แล้วกรุณาเข้าใจผมด้วย” วารินเสียงสั่นเครียดจัดเมื่อเขาไม่ยอมปล่อยไม่พอยังเอายกมือขึ้นมาลูบหัวเขาทำทีเหมือนปลอบประโลมซึ่งเขาไม่ได้ต้องการให้เป็นแบบนี้เลย


“  วันเดียว   อยู่กับผมแค่วันเดียว เรื่องนี้จะจบลงทันที ผมสัญญาว่าจะไม่ทำให้คุณลำบากใจอีกเลย ผมพูดแล้วไม่เคยคืนคำ ผมขอเวลาคุณแค่วันเดียวเท่านั้น รับปากผมแล้วผมจะปล่อยคุณไป”


จะอย่างไรคงไม่มีอะไรดีกว่าการเอาตัวรอดกับสถานการณ์เฉพาะหน้าอีกแล้ว ในเมื่ออธิบายไปแล้วเขาก็ยังดื้อดึงและไม่ยอมเข้าใจ


 มื้อเดียว   ผมจะทานข้าวกับคุณมื้อเดียว ผมให้ได้มากสุดแค่นี้”


นาวานิ่งไปครู่หนึ่ง ขณะที่สายตาตรึงอยู่กับใบหน้าอ่อนวัยนั้นไม่ยอมให้หลุดไปได้สักวินาที  ในที่สุดเขาค่อยคลายอ้อมกอดออก วารินรีบก้มลงไปคว้าเอากระเป๋าเอกสารที่ตกอยู่ แต่ก่อนที่จะได้ก้าวเดินออกจากห้องไปมือของนาวาก็คว้าแขนเขาเอาไว้


“แล้วผมจะโทรไป”


ในลิฟต์แก้วที่ดูหรูหรา วารินยกโทรศัพท์ขึ้นกดโทรออกหาปวีย์ทันที ก่อนที่ลิฟต์จะเปิดออกที่ชั้น 1 เขาแวะเข้าห้องน้ำตรวจเช็คบางอย่างในกระจกเงาบานใหญ่


ริมฝีปากที่ยังมีรอยกัดเล็ก ๆ อยู่ที่มุมปากด้านซ้าย ซ้ำร้ายที่ลำคอยังมีรอยฟันที่ฝังลงไปอย่างชัดเจน ลึกจนเลือดสีแดงเลอะเข้าที่ปกเชิ้ต “ซาดิสต์หรือไงวะเนี่ย เลวจริง ๆ ” วารินสบถในลำคอเบา ๆ กระชับเสื้อนอกปิดร่องรอยให้มิด พยายามนึกว่าทำยังไงจะไม่ให้ธาราธารเห็นร่องรอยเหล่านี้เมื่อกลับไปถึงบ้าน  ก่อนแผ่นหลังเล็กจะเดินลงบันไดไปที่ชั้นใต้ดินเพื่อตรงไปที่รถของทนายปวีย์อย่างที่นัดแนะกันไว้



*



“คุณป๋ากลับมาแล้วเหรอครับ” 


เจ้าตัวยุ่งส่งเสียงกรี๊ดลั่นพร้อมวิ่งหน้าระรื่นออกมารับวารินที่หน้าบันไดหินอ่อนหน้าบ้านเมื่อได้ยินเสียงรถปวีย์จอดลง วารินรีบคว้าเอาเอกสารที่หอบมาจากโรงแรมใสไว้ในอ้อมแขน แล้วก้าวลงมา เจ้าขิงรีบเข้ามากอดขาเขาไว้ซุกๆหน้ากลม ๆ ออดอ้อน วารินก้มลงไปหอมแก้มใสนั้นเบา ๆ ปวีย์ที่เดินตามเข้ามาส่งยิ้มอ่อนโยนให้กับภาพสองคนตรงหน้า


“ขอบคุณมากครับคุณปวีย์ อยู่ทานข้าวด้วยกันก่อนไหม”


ปวีย์ยิ้มให้วารินพร้อมส่ายหน้าเบา ๆ และบอกขอตัวกลับวารินจึงเดินออกมาส่งเขาที่หน้าบ้านอีกหน “หาพลาสเตอร์ยามาติดไว้ก็ดีนะครับ รอยมันชัดมากเลย”


วารินตกใจรีบจ้องเขาทันที ขนาดปวีย์ยังรู้แล้วถ้าธารเห็นล่ะ


“คุณคงต้องหาข้อแก้ตัวดี ๆ แล้วล่ะครับ ไม่ก็บอกความจริงไปเลย คุณธารคงเอาเรื่องผมตายแน่ที่ปล่อยคุณทรายไว้กับไอ้เจ้านาวาสองต่อสองแบบนั้น” เขาพูดแล้วส่ายหัวอย่างระอาใจ นึกเกลียดไอ้เจ้านาวานี้เข้าไส้ บังอาจมาทำอะไรแปลก ๆ กับคุณทรายคนที่คุณธาราธารของเขารัก


“คนแบบนี้ก็มีอยู่จริง ๆ สินะครับ”


“คุณปวีย์รีบกลับเถอะครับ ขอบคุณอีกครั้งที่มาส่งผม” วารินรีบตัดบทก่อนเดินเข้าไปด้านใน


“คุณธารยังไม่กลับมาเหรอดาว” จริง ๆ เขายังไม่เห็นรถของธาราธารจอดอยู่ก็พอจะรู้ว่าธารยังไม่กลับมาแต่วันนี้ไม่มีเวรกลางคืนปกติแล้วธารจะต้องโทรมาบอกเขาก่อนถ้าหากจะไปดื่มหรือเที่ยวต่อที่ไหน


“คุณทรายโทรศัพท์ในกระเป๋าดังแน่ะค่ะ”


นับดาวกำลังสอนการบ้านขิงอยู่ได้ยินเสียงมือถือในกระเป๋าเอกสารของวารินดังเรียกอยู่นานแล้ว กว่าจะแน่ใจว่ามันดังมาจากไหน สายก็ถูกตัดไปแล้วเรียบร้อย วารินล้วงออกมาดูจึงรีบโทรกลับ ขณะก้าวขึ้นไปบนบ้าน


“ว่าไงธาร พี่ถึงบ้านแล้วนะ”


“พี่ทรายเดี๋ยวผมทำธุระอยู่ที่โรงพยาบาล..........นะครับ อีกสักสองสามชั่วโมงจะกลับนะ นอนไปก่อนเลยไม่ต้องรอนะ”


“ทำไมถึงไปอยู่แถวนั้นได้ล่ะธาร มันคนละทางกับที่ทำงานของธารนี่”


“เจอคนป่วยน่ะครับเลยพามาส่ง เดี๋ยวผมขอดูอาการเขาก่อนละกัน ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็จะกลับ พี่ทรายไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวกลับไปคุยให้ฟังอีกที


“ธารขับรถกลับดี ๆ นะ ดึกๆแถวนั้นรถเยอะ”


“ครับผม”


ร่างเล็ก ๆ ทิ้งตัวลงบนที่นอน คิดไม่ตกจริง ๆ ถ้าธารเห็นรอยกัดที่ปากกับที่คอของเขาจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง วารินหลับตาลงแน่น นึกถึงคำพูดบ้า ๆ ของไอ้เจ้านาวานั่น


วันเดียวคืนเดียวอะไรของมัน เขาให้ได้มากสุดก็แค่อาหารมื้อเดียวเท่านั้นแหละ


มันจะฝันเฟื่องมากไปแล้ว!  


คนฉวยโอกาสแบบนั้นอย่าคิดว่าเขาจะไปเจอเป็นการส่วนตัวอีกเลย!



*



“คงต้องให้นอนค้างคืนที่นี่นะ พรุ่งนี้จะมีหมอเฉพาะทางมาตรวจให้ นายดูก็น่าจะรู้นี่มีปัญหาที่หัวใจแน่นอนอยู่แล้ว”


ที่โรงพยาบาลเอกชน บังเอิญมากจริง ๆ หมอที่ดูแลอากิระดันเป็นรุ่นพี่ที่ธาราธารรู้จักกันดี เขามองดูเจ้าหน้าที่เข็นอากิระออกมาจากห้องฉุกเฉิน กำลังตรงไปที่ห้องพัก  เมื่อกล่าวขอบคุณกับรุ่นพี่ เขาก็เดินตามหลังเจ้าหน้าที่เข็นเตียงนั้นไป


“จะให้ผมติดต่อญาติคุณให้ไหม”


“ผมไม่มีญาติที่ไหนหรอกครับ รบกวนคุณมากแล้ววันนี้ขอบคุณมากจริง ๆ ผมอยู่คนเดียวได้ครับ”


ธาราธารมองดูนาฬิกาที่ข้อมือก่อนหย่อนตัวนั่งลงข้าง ๆ เตียง รินน้ำในเหยือกใส่แก้วแล้วปรับเตียงส่งให้คนป่วยดื่ม


“คุณต้องมีคนรู้จักมาดูแลนะ พ่อแม่พี่น้อง หรือไม่ก็เพื่อน ๆของคุณ”


“ผมไม่เป็นไรจริง ๆ ครับ รบกวนคุณธาราธารมากเลย ผมขอโทษนะครับ”


“ทำไมคุณถึงรู้จักผม เอ๊ะ! เดี๋ยวนะ คุณเองก็หน้าคุ้น ๆ แล้วยังเจอคุณอยู่ที่โรงแรมนั่น หรือว่า...


“ใช่ครับ ผมเป็นเลขาของคุณนาวา คนที่กำลังเจรจาธุรกิจอยู่กับคุณวารินเลขาของคุณ”


“ถ้าอย่างนั้นก็โทรบอกเขาสิ หรือจะให้ผมโทรให้เอาไหม”


“อย่านะครับ”  อากิระรีบแย่งมือถือของตัวเองมาถือไว้เมื่อเห็นธาราธารคว้าเอามันไปจากเตียง เขาวางไว้ข้าง ๆ ตัว


“ผ...ผมไม่อยากให้คุณนาวารู้ คือผมกลัวว่าบอสผมจะ....เอ่อจะเป็นห่วง ผมน่ะแค่ผมน่ะไม่เป็นอะไรหรอกครับ ผมดูแลตัวเองได้”


พูดแล้วเขาก็ต้องนิ่วหน้าเมื่อรู้สึกเจ็บจี๊ดที่หัวใจขึ้นมาอีก ขณะคิดได้ว่าคนอย่างนาวาน่ะหรือจะมาเป็นห่วงคนอย่างเขา ต่อให้โทรแจ้งว่าเขาตายหรือหายไปนาวาคนนั้นจะเสียน้ำตาให้เขาสักหยดบ้างรึเปล่าก็ยังไม่รู้เลย


“คนเป็นบอสเขาก็ต้องเป็นห่วงคุณอยู่แล้วเป็นเรื่องธรรมดา คุณจำเป็นต้องโทรบอกเขานะเพราะงานที่ต้องทำต่อเนื่องในวันพรุ่งนี้เขาจะต้องหาคนมาทำแทนคุณ อย่าคิดแต่เรื่องส่วนตัว งานของบอสคุณเดินหน้าทุกวินาทีหากมัวแต่จะมาคิดเรื่องส่วนตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ คุณก็ไม่เหมาะที่จะมาทำงานเป็นเลขาคนกว้างขวางแบบบอสของคุณได้หรอก”


“ค....คุณรู้?”


“รู้สิ แค่เห็นแววตาและน้ำเสียงของคุณเวลาพูดถึงบอสของคุณแบบนั้น ผมก็พอจะเดาได้แล้วว่าคุณคิดอะไรแบบไหน จะว่าไปคุณนี่ก็ซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเองดีนะ ผมว่าบอสของคุณคงเห็นความจริงใจของคุณเข้าสักวันแน่ ๆ”


“ไม่มีวันนั้นหรอกครับ เพราะว่าบอส.........” อากิระหยุดคำพูดไว้แค่นั้น เขาเงยหน้ามองธาราธารเต็ม ๆ สองตา  อยากจะพูดออกมาเหลือเกินว่าคงไม่มีวันนั้นที่นาวาจะมองเขาเพราะคนที่นาวารักก็คือ คนของคุณ


“ดึกแล้วผมคงต้องขอตัวกลับก่อน ถ้าเป็นบอสของคุณเดี๋ยวผมจะให้คนติดต่อเขาให้ อย่า! คิดจะปฏิเสธ แล้วผมจะแวะมาดูคุณอีก พักผ่อนนะ”


เขาว่าแล้วกระชับผ้าห่มให้ที่หน้าอก  เมื่อบานประตูปิดลง อากิระค่อยหลับตาลงได้  เสียงของธาราธารทั้งนุ่มนวลและหนักแน่น เขาเป็นคนที่เหมาะกับการเป็นคุณหมอมากกว่าเป็นนักธุรกิจมากจริง ๆ ความอ่อนโยนของเขาพลันทำให้อากิระคิดไปไกลว่าถ้าหากนาวาพูดจาปลอบประโลมเขาให้ได้แบบนี้บ้าง ระหว่างเขาสองคน...บางที....


แต่ว่านะ...คนเรามันก็แตกต่างกันอยู่แล้ว ถึงนาวาจะเป็นคนแบบนั้น แต่เขาก็รักที่นาวาเป็น


ถึงคนอื่นจะดีเลิศเลอยังไงขนาดไหน...ถ้าหากไม่รัก........ก็คือไม่รักอยู่ดี!




Tbc.

อหห  ไอ้คุณนาวาแอบเลวนะคะนะ  จริง ๆ อยากเขียนให้นาวาเลวกว่านี้แต่มันเป็นแค่สเปฯเลยทำไรมากไม่ได้เดี๋ยวเรื่องยาว อิอิ

Ps. มาอ่านกันให้สนุกนะ