Sunday, August 24, 2014

ดอกฟ้ากับหมาวัด (Out Of Reach) # 29 ความในใจของผม...เอย์ตั้น




# 29 ความในใจ




ก๊อกๆ

“คุณเอย์ครับ” เสียงเคาะประตูดังขึ้นผมเงยหน้าจากกองงาน คุณภีมเลขาผมเปิดนำให้คุณแม่ผมก้าวเข้ามา

“คุณแม่” เธอนั่งลงตรงข้ามกับผม เราไม่เจอกันสองอาทิตย์แล้วคุณแม่มีคิวยาวเดินทางต่างประเทศตลอด เธอทำงานหนักมากจริง ๆ  

“คุณแม่กลับมาเมื่อไหร่ครับ” ผมถาม คุณภีมเอาแก้วน้ำเข้ามาวางให้ แล้วปิดประตูให้จนเรียบร้อย

“เมื่อวานนี้เอง เห็นซ่าบอกว่าน้องเอย์ไปนอนที่คอนโด แม่เลยถือโอกาสแวะมาหาที่นี่วันนี้”

“คุณแม่มีอะไรรึเปล่าครับ”

“น้องเอย์ไปอยู่คนเดียวแบบนั้นทานข้าวได้บ้างไหมลุก เอย์ผอมลงนะ”

“ได้ครับ คุณแม่ไม่ต้องห่วงผมหรอก”

“งั้นก็ดีแล้ว”

“คุณแม่มีเรื่องจะพูดกับผมใช่ไหมครับ” ผมถามเข้าเรื่องเลย เธอพยักหน้าให้เบา ๆ

“เอย์เซ็นสัญญาอุ้มทุนบริษัทรถญี่ปุ่นเหรอลูก” ในที่สุดเธอก็เข้าเรื่อง

“ใช่ครับ”

“เพราะอะไร”

ผมจ้องหน้าเธอนิ่ง ชั่งใจว่าจะตอบออกไปอย่างไรให้ถนอมน้ำใจเธอที่สุด แต่ในที่สุดผมตัดสินใจพูดความจริง

“เพราะคนรักของผมทำงานอยู่ที่นั่น ปิงเป็นคนที่รักศักดิ์ศรีของตัวเองมากถ้าผมแค่บอกว่าให้เขาย้ายมาทำงานด้วยกันกับผมน้องคงไม่มีทางยอมแน่ ๆ ผมจึงต้องทำอย่างนั้น ตอนนี้ผมย้ายเขามาทำงานที่นี่ได้แล้ว บริษัทนั้นก็ไม่ได้เสียหายอะไรนะครับแม่ เราแค่ทำสัญญาร่วมกันไว้ในระดับที่ผมสามารถจะยอมรับได้ก็แค่นั้น”

“สรุปคือเพราะเด็กคนนั้น”

“ใช่ครับ”

คุณแม่ลุกขึ้นเดินช้า ๆ ไปยืนที่ริมกระจกก้มมองลงไปด้านล่าง วิวโชว์รูมรถยุโรปหลากหลายญี่ห้อ ศูนย์รถยนต์นำเข้าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยยังเป็นที่นี่เสมอ เพดานหลังคาของโชว์รูมหรูเป็นกระจกใสทำให้ห้องของผมที่ชั้นนี้สามารถเห็นทุกๆความเคลื่อนไหวที่นั่นได้ แน่นอนว่าอัศวคอนฯเป็นผู้ออกแบบโครงสร้างเรียบหรูแบบนี้

“แล้วเรื่องที่ลูกว่าจ้างยูเซย์ให้มาทำการออกแบบและพัฒนาระบบของที่นี่ใหม่ทั้งหมดล่ะ เพราะอะไร?” คุณแม่ถามผมแต่ไม่หันมา เธอยังคงมองลงไปที่เบื้องล่าง

“เพราะยูเซย์เก่งครับ ที่สำคัญคนที่ผมรักเป็นหุ้นส่วนของที่นั่น ผมคิดว่าก่อนที่คุณแม่จะมาหาผมคงจะรู้เรื่องราวมาบ้างแล้ว ปิงเป็นโปรแกรมเมอร์ของที่นั่นครับแล้วยังมีหุ้นอยู่ในนั้นด้วย ผมอยากจะเปิดโอกาสให้น้องบริษัทของน้องเขากำลังโต ถ้าผมให้ยูเซย์ได้เข้ามารับผิดชอบที่นี่ ชื่อเสียงของเขาจะได้รับความไว้วางใจให้รับงานที่ใหญ่ขึ้นไปอีก”

“พูดตรงดีนี่ โตขึ้นมากแล้วจริง ๆ นะ” คุณแม่หันกลับมามอง เราสองคนแม่ลูกจ้องหน้ากันนิ่ง

“คุณแม่บอกผมเองถ้าหากผมทำตามสัญญา เราจะมาคุยเรื่องนี้กันใหม่อีกครั้ง สามปีที่ผ่านมาผมว่าคุณแม่เองก็ต้องรู้ว่าทั้งผมและน้องซื่อสัตย์ต่อกันแค่ไหน เรารักกันครับแม่” ได้โปรดอย่าทำร้ายหัวใจของพวกเราอีกเลย คำพูดนี้คงจะโหดร้ายเกินไปถ้าหากผมจะพูดมันออกมา คุณแม่เดินกลับมานั่งที่เดิม เธอหยิบแฟ้มงานบนโต๊ะผมมาพลิกเปิดดู แล้วกดเรียกคุณภีมเข้ามาหา

“ภีม เด็กคนนั้นขึ้นมาที่นี่บ่อยไหม” ต่อหน้าต่อตาผม เธอถามเลขาผมอย่างนั้น

“ครั้งเดียวครับ ต้องเรียกนานมากกว่าจะยอมขึ้นมา พิชยเป็นเด็กดีนะครับคุณท่าน ทำงานอยู่ที่ศูนย์ซ่อมบำรุงของบีเอ็มทั้งที่เป็นถึงโปรแกรมเมอร์ของยูเซย์ ตอนแรกที่ผมสังเกตดูคิดว่าจะขึ้นมาหาคุณเอย์ตลอดแต่ไม่เคยเลยครับถ้าหากคุณเอย์ไม่เรียกไป เขาไม่เคยขึ้นมายุ่งวุ่นวายเลย”

“งานเขาเป็นยังไงบ้างขยันดีไหม”

“งานดีครับ ขยันขันแข็ง พิชยเป็นเด็กดีมีความรับผิดชอบหัวหน้าศักดาเองก็ยังชม”

“ออกไปทำงานต่อเถอะ ขอบใจมาก”

คุณภีมโค้งแล้วเดินออกไป มีสายเรียกเข้ามาคุณแม่กดรับพูดอยู่สักครู่แล้วกดวาง เธอลุกขึ้น

“ลูกโตพอที่จะตัดสินใจเองได้แล้วว่าลูกจะเลือกคบหาหรือรักกับใคร แต่ถ้าหากถามว่าแม่สนับสนุนไหมแม่ตอบได้เลยว่าไม่ แม่ก็ยังคงเป็นแม่อยากให้ลูกมีคนรักที่เป็นเหมือนคนปกติทั่วไปแต่งงานได้อย่างเปิดเผยมีลูกเต้าสืบทอดวงศ์ตระกูล ด้วยความจริงอีกอย่างที่ลูกต้องไม่ลืมก็คือลูกมีคู่หมั้นคู่หมายอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าทั้งลูกและหนูเดียร์จะเคยมาเปรยกับแม่ไว้แล้วว่าลูกทั้งสองคนคงจะรักกันในแบบที่ผู้ใหญ่คาดหวังไม่ได้

น้องเอย์ แม่รู้ว่าคนที่ลูกรักเป็นเด็กดี ด้วยสายตาของแม่มีหรือที่จะดูไม่รู้ว่าเด็กคนนั้นเป็นยังไง แม่ไม่เคยรังเกียจฐานะหรือว่าชาติตระกูลหรือครอบครัวอะไรเลย สิ่งที่ยังค้างคาใจแม่มีอยู่อย่างเดียวเท่านั้นในตอนนี้ก็คือ เด็กนั่นเป็นผู้ชาย ลูกจะรับได้ไหมหากต่อไปสังคมจะตีแผ่ชีวิตส่วนตัวของลูก  ลูกจะพาคนที่ลูกเรียกว่าคนรัก ออกงานสังคมอย่างเปิดเผยได้หรือ เดินไปไหนต่อไหนด้วยกันลูกจะกล้าเดินจับมือเขาไหม ต่อไปลูกต้องเดินทางต่างประเทศบ่อยคนรักของลูกอาจจะต้องติดตามไปด้วย ลูกจะบอกใครต่อใครว่าอย่างไร พิธีแต่งงานยิ่งใหญ่ ทะเบียนสมรสที่ถูกต้อง ลูกสาวลูกชายแสนน่ารัก ลูกจะยอมละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อใครคนนั้นได้จริงหรือ?? เอย์ตั้น แม่รักลูกนะ ภูมิใจทุกอย่างที่ลูกเป็น ถ้ามั่นใจว่าเลือกทางนี้แล้ว ลูกก็จงเดินหน้าสู้ให้ถึงที่สุด จับมือกันไว้ให้แน่นๆก้าวข้ามอุปสรรคทุกอย่างผ่านไปให้ได้ สู้กับสังคมหรือใครๆก็ไม่น่ากลัวเท่ากับสู้กับใจของตัวเอง จำคำของแม่ไว้นะ”

“แม่ครับ” คุณแม่กำลังจะเดินกลับออกไปแต่ผมเรียกท่านไว้ แล้วเดินตามออกไปหา

“ผม...สามารถทิ้งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่ง ฐานะ ครอบครัว หรือแม้แต่ชาติตระกูล ผมเองก็อยากจะให้คุณแม่รู้ไว้เหมือนกัน”









หนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้นมีประชุมใหญ่ที่อัศวคอนสตรัคชั่น หนึ่งในวาระการประชุมที่ออกมาก็คือ เราจะทำการว่าจ้างยูเซย์เข้ามารับงานออกแบบและวางระบบคอมพิวเตอร์ใหม่ทั้งหมด ผมตกใจมาก ทันทีที่เลิกประชุมผมขอคุยกับคุณแม่ทันที

“ลูกบอกเองไม่ใช่เหรอว่ายูเซย์เก่ง ชื่อเสียงของคเชนทร์นั้นแม่รู้ดีอยู่แล้ว คราวนี้อาจจะต้องให้คนรักของลูกโชว์ฝีมือให้แม่ได้เห็นสักหน่อย ความรับผิดชอบสูงสุดจะมาพร้อมกับจิตใจที่แข็งแกร่ง”

“แม่ครับ” ผมส่ายหน้าอ่อนใจมากจริง ๆ คุณแม่คิดจะทดสอบปิงแน่ ๆ แล้ว แต่คุณแม่เหมือนกับจะไม่รับฟังอะไรเลย

“เย็นมากแล้ววันนี้เราประชุมกันยาวนานจริง ๆ กลับไปพักผ่อนเถอะนะ”

เย็นวันนั้นผมขับรถเข้าคอนโดเพื่อแวะไปเอาน้องหมีโดยเฉพาะ ผมแวะซุปเปอร์เล็กๆซื้อหาข้าวของที่จำเป็นก่อนจะขับตรงไปยังออฟฟิศที่ผมเคยมายืนตากฝนและคุกเข่าขอโทษต่อหน้าคนที่ผมรัก รถจอดลงที่ฝั่งตรงข้ามของถนน ผมหนีบน้องหมีใส่เอวอีกมือหิ้วถุงพลาสติกพะรุงพะรังที่เต็มไปด้วยของสดสำหรับเมนูข้าวผัดกุ้งก่อนจะผลักบานประตูเข้าไป


....เรื่องราวหลังจากนั้นคุณเองก็คงจะรู้ดีอยู่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง...


“เรามาเริ่มกันใหม่นะ ที่ผ่านมากูขอโทษ”


ผมกอดมันไว้แน่น เป็นครั้งแรกในรอบสามปีกว่าที่ผมได้ใกล้ชิดมันมากขนาดนี้ มันอุ้มน้องหมีไว้เลยไม่ได้ยกมือขึ้นมากอดตอบผม ปิงร้องไห้หนักมันคงจะโมโหผมมากที่ผมแทงใจมันเรื่องการรอคอยของเราสองคน

ผมรู้ครับผมผิด ผิดทุกอย่างที่ปล่อยให้มันต้องคอยโดยไม่รู้อะไรเลย ซ้ำคำพูดก่อนไปของผมยังบอกกับมันไว้ว่าไม่ต้องคอย ผมเห็นแก่ตัวที่ผมอยากจะผูกมันมันไว้ด้วยคำๆนี้ ผูกมัดมันไว้ด้วยร่างกายนี้ของผม คนเราถ้ายิ่งบอกว่าไม่ยิ่งอยากจะทำให้ถึงที่สุด ผมรู้มันเป็นคนแบบนั้นถึงได้ตั้งใจพูดคำว่าไม่ออกไป

.

.


“ว่าไงมึง ป๋าฟิวส์ หึหึ” ไอ้ฟิวส์เพื่อนผมโทรหาเช้าวันต่อมา จริง ๆ ผมควรเรียกมันเสี่ยฟิวส์ได้แล้วมั้ง  ไม่รู้คุณจะจำมันได้ไหมนะ เพื่อนคนนี้ที่ผมพาปิงไปงานแต่งพี่สาวมันที่อัมพวา มันจบโยธาเหมือนผมตอนนี้ทำธุรกิจส่วนตัวอยู่ที่สมุทรสงคราม

“สัส กวนตีนนะมึง”

“โทรมามีไร มีธุระรีบพูดกูขับรถ”

“จะถามย้ำอีกครั้ง มึงเอาจริงใช่ไหมเรื่องที่คุยกันเมื่อคืน”

“จริงดิ่”

“แต่ถ้ามีอะไรขึ้นมา คนที่ต้องรับไปคือมึงนะเอย์ มันร้ายแรงถึงขั้นล้มละลายได้นะ ชื่อเสียงของมึง”

“ทำตามที่กูบอกให้แล้วกัน เรื่องหลังจากนี้กูรับผิดชอบเองทุกอย่าง”

“เอาแบบนั้นก็ได้กูจะให้อากูเดินเรื่องให้เร็วที่สุด มึงดึงทางบริษัทแม่มึงไว้ก่อน”

“รู้แล้ว”

ผมกดวางสาย ครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่ผมวานให้เพื่อนผมมันจัดการให้ คือผมจะตั้งบริษัทลมขึ้นมาโดยมีผู้ถือหุ้นสามคนคือผมกับเพื่อนและเพื่อนอีกคน ทุนจดทะเบียนครั้งแรกที่ยี่สิบล้านบาท โดยใช้บัญชีผมเองทั้งหมดที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ และผลประกอบการที่เมคขึ้นมาสองปีผมใช้ผลประกอบการของบริษัทไอ้ฟิวส์ คือมันเป็นแค่บริษัทลอย ๆ ไม่มีอยู่จริงโดยมีคุณอามันที่เป็นทนายซิกแซกให้  แต่เมื่อถึงวันที่ยูเซย์ทำสัญญากับอัศวคอนฯ บริษัทลมที่ผมสร้างขึ้นมาจะเข้าไปเป็นนายหน้าค้ำประกันให้กับทางยูเซย์ เพราะผมดูข้อสัญญามาแล้ว หากเกิดกรณีผิดพลาดยูเซย์ถูกฟ้องร้องจากทางอัศว จำนวนเงินมากมายมหาศาลพวกนั้น บริษัทลมของผมจะเป็นผู้รับผิดชอบเองทั้งหมด เครดิตของยูเซย์จะยังคงเดิม เป็นบริษัทนายหน้าอย่างบริษัทผมที่จะต้องโดนแทนทุกอย่างทั้งชื่อเสียงการดิสเครดิตรวมถึงทรัพย์สินที่จะถูกศาลสั่งปรับ

มันมหาศาลถึงขนาดที่ว่าผมคงจะต้องกลายเป็นบุคคลล้มละลาย

ผมบอกแล้วว่าผมยอมทิ้งได้ทุกอย่าง ผมต้องป้องกันไว้ก่อนเผื่อคุณแม่ผมเล่นตุกติก คนที่จะถูกฟ้องเป็นบุคคลล้มละลายจะไม่ใช่ยูเซย์ ไม่ใช่ปิง แต่จะเป็นผมคนนี้ ลูกชายของท่านเอง “เอย์ตั้น อัศวเหมมินทร์”

อาจจะดูเหมือนว่าเป็นการหักหลังคุณแม่ตัวเอง แต่ทั้งหมดทั้งปวงถ้าคุณแม่ไม่เล่นนอกเกมส์ผมเชื่อว่าปิงและคเชนทร์จะพายูเซย์ก้าวผ่านอัศวไปได้ บริษัทน้องจะเติบโตขึ้นไปอีก และถึงแม้ว่าแม่จะเล่นตุกติกก็จะเป็นผมเท่านั้นที่จะถูกฟ้องล้มละลาย ยูเซย์จะไม่มาเกี่ยวข้องอะไรเลย แค่วงการธุรกิจรู้ว่ายูเซย์ถูกอัศวคอนฯจ้างงาน ระดับของการรับงานของบริษัทน้องก็จะอัพตัวเองขึ้นมามากมายอยู่แล้ว

ถึงตอนนั้นผมจะกลายเป็นแค่คนธรรมดา บุคคลล้มละลายคงจะต้องถูกขับออกจากวงศ์ตระกูล เรื่องราวคงจะใหญ่โต ขณะเดียวกันปิงจะกลายเป็นนักธุรกิจยิ่งใหญ่ที่มีชื่อเสียงมากขึ้นไปแล้ว แต่ผมไม่แคร์ ผมบอกไปแล้วว่า..

ผมทิ้งได้ทุกอย่าง...เพื่อมัน

ถ้าหากเรื่องราวเป็นแบบนั้นจริงผมรู้หมาปิงจะต้องมั่นคง ถึงผมจะเหลือแต่ตัวเปล่า ๆ ผมก็ยังเชื่อว่าความรักของสองเราก็ยังจะวางอยู่ที่เดิมเสมอ ปิงจะต้องไม่เปลี่ยนใจ  หัวใจของเราเชื่อมต่อกัน

จะดีแค่ไหน....ถ้าหากวันนั้นผมกับมันเราสองคนจะเป็นแค่คนธรรมดาไม่มีชื่อเสียงไม่ต้องมีใครรู้จัก ไม่ต้องแบกคำว่าอัศวไว้กับตัว ผมจะจับมือมันเดินไปทุกที่ ยืดอกบอกกับใครต่อใครว่า คน ๆ นี้คือคนรักของผม

หวังว่าวันนั้นความรักของเราจะยังคงอยู่เป็นหัวใจของกันและกัน มีมันอยู่ข้างผม มีผมอยู่ข้างมัน เดินไปด้วยกันจนแก่จนเฒ่า


.


.


เที่ยงวันนี้ผมเรียกปิงขึ้นมาหาใช้มารยาบอกว่าปวดท้องนิดหน่อย ไม่อย่างนั้นจะได้กินข้าวด้วยกันสักทีเหรอมันเลี่ยงผมตลอดอ่ะ

ผมรั้งเอวมันลงมานั่งตักปิดใช้มือข้างนึงปิดตามันไว้สวมสร้อยข้อมือด้วยมือเพียงข้างเดียวยากมากนะบอกเลยแต่ไม่ว่าอย่างไรผมก็ต้องทำให้ได้ในความเร็วที่ต้องรวดเร็วที่สุดพอใส่เสร็จปิงมันดิ้นผมกำข้อมือมันไว้แน่น

“ทุกอย่างที่ผิดพลาด ที่กูทำให้มึงเสียใจ หวาดกลัว และเสียความรู้สึกรวมถึงเสียศรัทธาในรัก  สิ่งดี ๆ ต่อจากนี้ไป ได้โปรดจงกลับมาอยู่กับหัวใจของเราสองคน” ผมจูบมันที่แก้มเบา ๆ ก่อนเอ่ยอีกถ้อยคำเพื่อขอโอกาสให้เราสองคนกลับมาคบกัน


“เปิดหัวใจให้กูอีกสักครั้ง”


ปิงนิ่งไปนานผมไม่รู้มันคิดอะไรแต่สังเกตว่าหน้ามันแดงนิดๆคิดว่าคงจะเขินอาย เราสองคนไม่ได้ใกล้ชิดขนาดนี้นานมากแล้ว

เราแลกเปลี่ยนความคิดเห็นผมเล่าเรื่องราวทุกอย่างที่บริษัทให้มันฟังรวมถึงเรื่องที่อัศวคอนฯมีผลสรุปออกมาเรื่องการว่าจ้างยูเซย์ ปิงชะงักไปนิดแต่ฉลาดมากที่สามารถประเมินสถานการณ์ออก ใจจริงผมไม่อยากให้มันรับงานนี้แต่ไม่ว่าอย่างไรทางเลขาคุณแม่จะต้องติดต่อไปแล้วพิมกับคเชนทร์จะต้องไม่พลาดงานในครั้งนี้แน่นอนอยู่แล้ว

ปิงบอกว่ามันจะทำมันจะสู้ ผมเองก็ได้แต่ภาวนาว่าคุณแม่จะไม่เล่นตุกติกดิสเครดิตของยูเซย์ไม่อย่างนั้นสุดท้ายแล้วคนที่คุณแม่จะทำลายให้พังลงไปกับมือก็คือตัวของผมเอง อย่างที่ผมบอกไปก่อนหน้าในวันทำสัญญาระหว่างยูเซย์กับอัศวคอนสตรัคชั่น ตัวแทนจากบริษัทของผมจะเข้ามาเป็นคนค้ำประกันและเป็นนายหน้าให้การรับงานในครั้งนี้ ซึ่งเรื่องนี้ผมจะให้ไอ้ฟิวส์มันเป็นคนดำเนินการติดต่อกับคเชนทร์และพิม บางครั้งผมอาจจะต้องขอคุยกับคเชนทร์เป็นการส่วนตัว

RRRRRR
RRRRRRRRRRR


“ว่าไง”  กัสมา เลขาของผมที่อัศวคอนโทรเข้า ผมกดรับมองดูหมาปิงมันกินข้าวจนเกือบจะหมดจานแล้ว

“.......” เราคุยกันหลายเรื่องมีแต่เรื่องงานล้วน ๆ กัสต้องรายงานเรื่องสำคัญกับผมเพราะส่วนใหญ่แล้วผมจะประจำอยู่ที่ศูนย์รถ เพราะฉะนั้นถ้ามีงานผมจะดิวกับกัส เขาค่อนข้างที่จะละเอียดและรู้งานของผมดีอาจเพราะเราจบมาในงานเดียวกัน

“เอย์อย่าลืมว่าบ่ายสี่โมงเย็นเอย์ต้องไปตรวจโครงการก่อสร้างคอนโดทาวน์เฟสสามผู้ประกอบการนัดรออยู่อยู่ที่นั่น เอย์ห้ามลืมเดี๋ยวกัสจะเตรียมเอกสารทุกอย่างไว้รอ จะให้กัสเอารถแวะไปหาที่นั่นแล้วออกไปพร้อมกันหรือเอย์จะแวะมาที่นี่ก่อนหรือจะ....”

“ไม่เป็นไรเจอกันที่บริษัทเลย กัสรอผมอยู่ที่นั่นเดี๋ยวผมแวะเข้าไปรับแล้วเราออกไปด้วยกัน สักบ่ายสามโมงนะ”

ผมบอกไว้แค่นั้นแล้วกดวางสาย ปิงมองหน้าผมนิ่ง ผมเลยยกมือลูบหัวมันบอกให้รู้ในสไตล์ผมว่าไม่มีอะไรเราคุยกันเรื่องงานผมอยากให้มันสบายใจ ผมไม่ใช่คนที่จะมาพูดมาก ผมไม่เคยนอกใจรักมันคนเดียวแค่นั้นจบแล้วสำหรับผม

เย็นวันนั้นผมแวะไปที่อัศวคอนรับกัสมาเพื่อออกไปตรวจงานที่โครงการก่อสร้างคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่ง เราใช้เวลาไม่นานคุยกับผู้ประกอบการและลูกค้าจนทุกอย่างลงตัวและน่าพอใจ ผมดูเวลาตอนนี้ห้าโมงกว่า ๆ นัดกับหมาปิงไว้ประมาณสองทุ่มผมยังมีเวลาพอที่จะกลับไปเอาแฟ้มงานที่อัศวออกมาด้วยมีหลายอย่างที่จะต้องเอากลับไปเคลียร์ต่อที่ห้อง

“เออ” ผมกดรับสายเป็นไอ้ฟิวส์มันโทรมา

“เอย์คุณอากูเขาอยากจะคุยกับมึงเรื่องบริษัทลมของมึงน่ะ วันนี้มึงแวะเข้ามาได้ไหม” อาไอ้ฟิวส์เป็นทนายความ มันให้อามันรับผิดชอบเรื่องบริษัทลอย ๆ กับชื่อหุ้นส่วนปลอม ๆ ของผม

“ที่ไหน บ้านมึงเหรอ” ผมหมายถึงสมุทรสงคราม

“ใช่ ตอนนี้เลยนะ”

“ทำไมถึงด่วนอย่างนั้นวะ”

“อ้าวไหนมึงว่าต้องการด่วน ๆ นี่เรียกอากูกลับมาจากเพชรบุรีเลยนะเว้ย เอาน่าคุยแปปเดียวยังไงเสียแกก็อยากจะเห็นหน้าค่าตารู้จักมึงไว้บ้าง เจ้าของเหี้ยไรวะมึงต้องมาคุยกับทนายเองดิ่ มีอะไรขึ้นมาคนที่จะช่วยมึงได้ก็คือเขาคนนี้นะ เข้ามาหน่อยคุณอาเพิ่งเดินทางมาถึงรอมึงอยู่เนี่ย”

ผมมองดูเวลาทันที กะไว้คร่าว ๆ คิดว่าน่าจะทัน

“ได้ โอเคเดี๋ยวเจอกัน” ผมชะลอรถลงที่ข้างทางบอกกัสให้เรียกแท็กซี่กลับเอง กัสค่อนข้างตกใจผมเลยบอกมีธุระเข้าไปส่งที่บริษัทไม่ได้จริง ๆ เขาโวยวายใหญ่แต่ผมสนเหรอ? ฝ่ายนั้นต่างหากที่ต้องทำใจ ผมก็คนดีเกินไปจอดส่งเลขาตัวเองก่อนจะถึงบริษัทนิ๊ดเดียว  ความจริงคือเหลืออีกแค่สองแยกก็ถึงหน้าบริษัทแล้วล่ะ แต่ถ้าทำแบบนั้นผมต้องไปกลับรถอีกไกลมากอ้อมเลยทีนี่ คุณก็รู้กรุงเทพกลับรถทีนี่ เปลี่ยนชีวิตเลยนะ ผมรีบด้วยกว่าจะไปกว่าจะกลับไม่อยากจะผิดนัดปิง  อาจจะเลทสักสิบห้านาทีไม่เกินครึ่งชั่วโมงหมาปิงคงไม่งอนผมหรอก

ผมเหยียบเลยนะใช้ทางด่วนแล้วเหยียบมิดเลยพักเดียวก็ถึงสมุทรสาครขับต่อมาอีกหน่อยก็เป็นสมุทรสงคราม ผมเลี้ยวเข้าไปตามถนนที่จะไปหาบ้านของไอ้ฟิวส์ทันที

ผมคุยกับคุณอาของมันเล่าเรื่องราวคร่าว ๆ คือจริง ๆ แกคงจะสงสัยนะว่าทำไมผมต้องยอมทำอะไรโง่ ๆ แบบนั้นความเสี่ยงที่จะมีสูงมากถึงขนาดจะทำให้ผมล้มละลายได้ถ้าหากอัศวจะเอาจริงขึ้นมา แต่ผมก็ไม่ได้อธิบายอะไรมากแค่ขอให้ช่วยเหลือในวันทำสัญญาจริง คุณอาทนายความซักถามข้อมูลมีเอกสารหลายอย่างที่ผมต้องเตรียมส่ง ท่านรับปากจะทำงานนี้ให้ดีมากที่สุด ผมจึงว่าจ้างท่านให้รับงานนายหน้าแทนไอ้ฟิวส์ซึ่งจะปลอดภัยมากกว่า บางทีในวันเซ็นสัญญาปิงอาจจะมานั่งอยู่ด้วยเดี๋ยวจำไอ้ฟิวส์ได้ทุกอย่างจะไปกันใหญ่

ความจริงแล้วเรื่องนี้ไม่มีอะไรเลยนะถ้าหากว่าคุณแม่ไม่เล่นตุกติกกับยูเซย์ทุกอย่างก็คือไม่มีอะไรเปลี่ยน ชิลมาก แต่ผมต้องป้องกันไว้ก่อน หากมีอะไรขึ้นมาเป็นผมที่รับความเสี่ยงเอาไว้เองแค่นั้นคือจบ

“ขับรถดีๆนะมึง อย่ารีบมาก” ไอ้ฟิวส์เดินออกมาส่ง ผมยกนาฬิกาขึ้นดู พอเห็นว่าสามทุ่มแล้วตกใจมาก รีบบอกลามันขึ้นรถแล้วกดส่งข้อความไลน์ไปหาปิง กลัวมันจะหิ้วท้องรอผมจนดึก



“ติดงานด่วนจริง ๆ กินข้าวซะนะ”



ผมเหยียบเต็มที่อีกนั่นแหละแปลกใจมากเหมือนกันทำไมเวลาดึกแบบนี้รถลายิ่งติดมากกว่าช่วงหัวค่ำเสียอีก รู้สึกปวดท้องหิวข้าวเพราะตั้งแต่บ่ายก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย บอกให้ปิงรอกินข้าวป่านนี้มันเองก็คงจะหิวไม่ต่างไปจากผม แต่ไม่ว่าอย่างไรคือผมก็ต้องไปหามันอาจจะไปถึงสักสี่ทุ่มกว่าแน่ ๆ แต่คือผมก็จะเข้าไป ขอแค่บอกมันไว้ว่าให้กินข้าวไปก่อน ผมกินตอนไหนก็ได้

ก่อนเข้าไปถึงออฟฟิศผมกดโทรหามัน อยากจะถามว่าจะเอาอะไรไหมจะซื้อเข้าไปด้วย แต่ปิงไม่รับสาย ผมก็คิดสิโกรธไหมหรือว่าจะเมินผมเกลียดผมแล้วหรือปิงจะไม่อยู่ไปไหนขับรถหรืออะไร คือความคิดผมตีกันมั่วมาก ผมผิดนัดมัน

ในที่สุดรถจอดลงที่หน้าออฟฟิศ แต่ทุกอย่างคือปิดเงียบ ผมไม่เห็นซีอาร์วีสีดำจอดอยู่ทั้งที่ปกติมาทีไรรถนั่นจะต้องจอดอยู่แถว ๆ นี้ทุกครั้ง เห็นรถมอไซด์คันเก่าคันเดิมของปิงจอดไว้ด้านใน ผมโทรหามันอีกรอบสายก็ยังคงเรียกแต่ไม่มีการตอบรับอีก ผมเลยเดินลงไปถามยามเห็นว่าปิงกับคเชนทร์ออกไปข้างนอกด้วยกันตั้งแต่สี่ทุ่ม

อารมณ์ขึ้นนิดๆเลยนะ เอาตรงๆคือหวง ไม่อยากให้มันไปไหนมาไหนกับนายคเชนทร์อะไรนี่สองต่อสองเลย แต่ใจก็คิดว่าสองคนอาจจะออกไปกินข้าวกันก็ได้ บางทีมันคงรอผมจนสามทุ่มพอผมไลน์มาบอกเลยตัดสินใจชวนกันออกไปกินข้าว

ผมจะคิดในแง่ดีไว้ก่อน ผมนั่งรออยู่ในรถนานมากจนตัดสินใจออกมายืนรอด้านนอก ดึกมากแล้วสายลมอ่อน ๆ พัดผ่านเข้ามา ดอกโมกของที่นี่ปลูกเรียงเป็นแนวยาวขนานไปกับรั้วด้านข้างทั้งสองฝั่ง คือสวยแล้วก็หอมมาก ๆ ยิ่งดึกยิ่งหอม ผมยืนพิงราวเหล็กไม่ไกลจากรถมากนัก พับแขนเสื้อขึ้นอีกหน่อยล้วงกระเป๋าหาลูกอมเย็นๆขึ้นมาเคี้ยวเล่นฆ่าเวลา เอามือถือขึ้นมากดโทรหามันอีก แต่แล้วก็เหมือนเดิมมีแต่เสียงเรียกจนผมเริ่มคิดไปว่าปิงคงจะเผลอวางโทรศัพท์ไว้ด้านในแล้วออกไปโดยลืมหยิบมือถือติดตัวไปด้วย

ผมไม่รู้ว่าตัวเองยืนรออยู่นานขนาดนั้นได้อย่างไร เวลาตอนนี้เกือบ ๆ จะตีหนึ่ง ยี่สิบกว่าสายที่ผมเรียกไปไม่มีเสียงตอบรับกลับมา จนในที่สุดแสงไฟจากรถสีดำคันหนึ่งก็ค่อยชะลอเข้ามาจอดลงที่ฝั่งตรงข้าม ที่หน้ารถผมเอง คุณเชื่อไหมผมนี่นิ่งไปเลยนะทันทีที่เห็นว่าไอ้คนขับมันวิ่งไปประคองใครเดินลงมาจากรถทั้งที่ตัวเองนี่คือก็เซไม่ต่างจากอีกคนสักเท่าไหร่

ที่สำคัญที่สุดไอ้หมาของผมมันไม่สวมเสื้อแต่ดันถือเสื้อของตัวเองไว้อยู่กับมือ กางเกงนี่หัวเข็มขัดหลุดลุ่ยออกมา กระดุมเปิดแยกเห็นแต่ขอบกางเกงใน เออดี! ผมคิด ให้มันได้แบบนี้ ผมนี่ขาหนักอึ้งเลยก้าวไม่ออกคือโมโหมากๆ

ผมมองดูไอ้ขี้เมาสองคนกอดคอกันข้ามถนนแคบ ๆ กำหมัดแน่นพยายามข่มกลั้นอารมณ์ไว้ แต่แล้วสิ่งที่ทำให้ความอดทนผมหมดลงก็คือตอนที่มันหันไปพูดคุยหัวเราะเหี้ยห่าไรกันข้าง ๆ หูไอ้คนที่มันเรียกกันว่าพี่เชนเหี้ยไรนั่นแหละ

หมาปิงมันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่หัวนี่ชิดชนกันเลย  ผมเดินเลยสิตอนแรกอึ้งขาก้าวไม่ออกใช่ไหม แต่ตอนนี้คือกูจะเอาของ ๆ กูคืนแล้ว มึงเป็นใครถอยออกไปให้หมด อารมณ์ประมาณนี้เลย


ผั๊วะ!!


ผมกระชากคอเสื้อไอ้พี่เชนของมันออกมาแล้วซัดเลย มันทรุดกองลงที่พื้นผมสนเหรอ? ไม่มี๊ ผมเอาไหล่ผมรับท่อนแขนปิงไว้แล้วลากมันจับยัดขึ้นรถเลย มองดูในกระจกยามสองคนช่วยกันเข้ามาดูเจ้านายมัน มันลุกขึ้นยืนมองดูรถผมนิ่ง แต่ตอนนั้นรถผมก็ขับออกมาไกลโขแล้ว








ปัง!

ผมกระชากแขนมันลงมาแล้วปิดประตูรถ ปิงนอนมาตลอดทางกว่าผมจะจับมันใส่เสื้อได้นี่คือฟัดกันอยู่ตั้งสองแยกไฟแดงนะบอกเลย ผมทั้งทำทั้งโมโห สำรวจตรวจทุกซอกมุม ปิงเป็นคนผิวขาวแล้วก็เนียน สีผิวมันจะเหมือนผิวผู้หญิงมากขาวอมชมพูนิดๆ ถ้าเจอเหล้าเข้าไปคงจะแดงซึ่งมันก็จริง แต่ผมไม่คิดว่ามันจะแดงระเรื่อได้ขนาดนี้แล้วคือตัวร้อนมากเหมือนกับว่าจะลวกมือเวลาที่สัมผัสผ่านผิวมัน ผมลากมันมายืนได้ที่หน้าลิฟต์ มันทำท่าจะถกเสื้อขึ้นอีกขณะเดียวกันเหมือนกับว่ามันจะพยายามเดินหนีออกไปจากตรงนี้แต่คือมันไม่สามารถเดินไหวเดินแล้วเซ เซแล้วเดิน ผมก็ลากคอมันกลับมายืนอยู่ที่เดิม

“ไม่เอา!” มันตะคอกแบบเมา ๆ คือเสียงยานมาก ลิฟต์เปิดออกผมจับมันยัดเข้าไปเลย ห้าสิบชั้นให้มันอ้วกตายอยู่ในนี้ล่ะ ผมกอดอกมองมันปิงทรุดนั่งยอง ๆ ลงที่พื้นมือข้างนึงยันผนังลิฟต์ไว้

“คนใจร้าย” มันต่อว่า ก้มหน้าก้มตานิ่ง ผมรู้มันไม่ไหวแต่อยากจะทำโทษ มันกินไม่รู้ลิมิตตัวเองแบบนี้ได้ยังไง ผมไม่เคยว่านะถ้าจะดื่มจะเที่ยวคุณกินเลยแต่ต้องรู้ลิมิตของตัวเอง แล้วนี่คืออะไรเสื้อไม่ใส่ซ้ำยังปลดกระดุมกางเกงออก กอดคอกับผู้ชายเดินยิ้มร่าจะพากันเข้าห้อง

ผมมองดูตัวเลขเปลี่ยนชั้น ภาวนาให้มันขึ้นไปไวยิ่งกว่านี้แต่ห้าสิบชั้นคือต้องทำใจ

“ปิงร้อน ปิงร้อน ปิงจะอ้วก” มันครางแล้วนั่งเผละลงที่พื้นพิงผนังไว้ ทำท่าจะถกเสื้อขึ้นมาอีก เอาเข้าไปมันจะถอดเสื้อแต่ติดขัดอะไรบางอย่างทำให้ถอดออกไม่ได้ฮึดฮัดโมโหตัวเอง

“ถึงแล้วลุกขึ้นมา” ผมยื่นมือจะไปจับมันปัดออกคือแรงมาก แล้วลุกขึ้นเอง เซจนจะลุกไม่ไหวผมเลยดื้อเข้าไปจับเอาตัวมันเจอมันทั้งจิกทั้งข่วนทั้งตี

“ปิงไม่เอานะอย่าทำกูเจ็บ” ผมพามันออกมาทั้งลากทั้งดึงมาที่หน้าห้อง ปิงชะงักทันทีที่ผมผลักประตูเปิดเข้าไปมันไม่ยอมก้าวตามเข้ามา ยืนค้างนิ่งอยู่แบบนั้น สักพักน้ำตาก็ไหลตกออกมาผมตกใจมาก

“...ฮอึกก...” มันส่ายหน้าแล้วก้าวถอยหลัง ผมดึงแขนมันไว้

“ปิง?”

มันส่ายหน้าอีกคล้ายคนหวาดกลัวอะไรสักอย่าง

“ปิงเข้าไปกัน นี่ห้องเราไง ห้องของมึงกับกู”

มันนิ่งเงียบเบะปาก น้ำตายังไหลตกลงมาเรื่อย ๆ

“ปิง??”

“ไม่เอา...ปิงไม่เข้าไป....ฮอึ่กก....ฮือๆๆ...ปิงไม่เข้าไป...ฮือๆ..ปิงกลัว ปิงไม่เข้า ปิงกลัว ฮือๆๆๆ”  ปิงแถกตัวออกจากมือผม ทรุดนั่งลงที่พื้นชันเข่าขึ้นมาซบหน้าลงแล้วร้องไห้ ผมย่อตัวนั่งลงไปลูบหลังมันแล้วถาม

“ปิง  มึงร้องไห้ทำไม?” คือผมไม่เข้าใจ

“ปิงไม่เข้า ปิงกลัว ฮือๆ ปิงไม่อยากเข้าไป  ปิงกลัว  ปิงกลัวห้องนี้ ปิงไม่เข้าไป ฮอึ่กก ฮือๆๆ ปิงกลัว...” ผมเริ่มทำอะไรไม่ถูก คือผมไม่เข้าใจมัน ผมดึงมันให้ลุกขึ้นยืน มันไม่ยอม

“ปิงเข้าห้.....

“พี่เชนอยู่ไหน ปิงจะหาพี่เชน ฮอึ่กก ปิงจะกลับ  ปิงจะหาพี่เชน ปิงจะหาพี่เชน ปิงจะกลับ พี่เชนบอกว่าจะแบกปิงถ้าปิงเมาพี่เชนใจดี เดี๋ยวพี่เชนจะปูที่นอนให้ปิงอาบน้ำเสร็จแล้วปิงจะเข้านอนเลยให้พี่เชนห่มผ้าให้ ปิงจะนอนเฝ้าพี่เชนเขียนโปรแกรม”

ผมนิ่งไปทันทีกับคำพูดของมัน ขาสั่นไปหมด ปิงสลัดมือผมออกแล้วเรียกหาคนอื่น ผมตื้อไปหมดยืนนิ่ง มันลุกขึ้นแล้วพยายามจะเดินไปที่ลิฟต์ แต่คือมันเซเกาะผนังไปเรื่อย ๆ ในที่สุดก็ทรุดลงอีก ก้มหน้าร้องไห้ ผมจึงค่อย ๆ เดินเข้าไปหามัน

“ปิงครับ”

“ปิงกลัว.....” มันร้องไห้หนักสะอึกสะอื้น

“มึงกลัวอะไร ห้องนี้ห้องของเรา ห้องของมึงกับกูไง เราเคยอยู่ด้วยกัน”

“ปิงกลัวห้องนี้...ห้องนี้เป็นห้องของคนใจร้าย...คนที่ทิ้งปิงไป  ปิงมารอพี่เขาทุกวันเลย  ปิงอดทน ปิงไม่รู้ว่าพี่เขาจะกลับมาตอนไหน ปิงตื่นมาปิงไม่เห็นพี่เขาแล้ว ปิงโทรไปหาปิงส่งข้อความไป ปิงพยายาม...ฮอึกก...ปิงอดทน...ฮอึ่กก... แต่พี่เขาก็ยังใจร้าย  ปิงไม่อยากเข้าไป  ปิงไม่อยากนึกถึงหน้าพี่เขาอีก ปิงจะลืมให้หมด ลืมไปให้หมด ปิงจะลืม ปิง.......”

“พี่รู้แล้ว พี่เอย์รู้แล้วว่าปิงรอ พี่เอย์ใจร้าย พี่เอย์คนไม่ดี พี่เอย์ทำให้ปิงเสียใจ” ผมดึงมันเข้ามากอดลูบหัวมัน ปิงตัวสั่นร้องไห้โฮออกมา ผมอยากให้มันระบายสิ่งที่ยังติดค้างอยู่ในใจของมันออกมาให้หมด นึกขอบคุณฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่ทำให้มันกล้าพูดในสิ่งที่มันเก็บกดเอาไว้ภายในใจโดยมีผมคนนี้อยู่ข้าง ๆมัน  

“เข้าห้องกันนะ เดี๋ยวพี่เอย์ให้ปิงจัดการคนใจร้ายดีไหมครับ ปิงทำได้ทุกอย่าเลยอยากลงโทษคนใจร้ายยังไงปิงทำเลยนะ” ผมตะล่อมจะพามันเข้าห้องปิงส่ายหน้า แต่ก็ยอมลุกขึ้นตามแรงดึงค่อย ๆ ก้าวขาเข้าไป ทว่าพอประตูปิดลงแค่นั้นมันร้องไห้หนักออกมาอีก ผมรีบกอดมันเอาไว้

“ไม่ร้องนะปิงไม่ร้องนะครับพี่เอย์อยู่นี่แล้วนะ ปิงไม่ร้อง” มันงอแงเป็นเด็ก ผมพามันเดินมายืนอยู่แถว ๆ ริมกระจก มองลงไปเห็นเจ้าพระยาแบบมืด ๆ มีแสงไฟสีส้มเป็นจุดเล็กๆเต็มไปหมด ผมกอดมันเอาไว้แน่นๆ

“ปิงคิดถึง....ฮอึ่กก....ปิงคิดถึง.....” มันมองไปข้างหน้าที่ท้องฟ้ากว้าง ๆ ปิงค่อยยกมือขึ้นมาทาบกระจกใส แล้วร้องไห้ออกมาอีก

“ปิงคิดถึงใคร” ผมก้าวตามชิดเข้าไปกอดมันไว้แน่น นึกโทษตัวเองอยู่ตลอด สามปีมันคงมายืนอยู่ที่ตรงนี้แล้วมองขึ้นไปบนท้องฟ้ารอคอยผม

“ปิงคิดถึง....ฮอึ่กก....ปิงคิดถึง....”

“พี่เอย์รู้แล้วว่าปิงคิดถึง”

“ปิงคิดถึง.....”

“ปิงคิดถึงใคร ไหนบอกซิ ปิงคิดถึงใครครับ” ผมตะล่อมถามรู้ทั้งรู้ว่ามันหมายถึงผมแต่ก็ยังอยากจะได้ยิน....สักครั้ง


อั่ก!!!


มันทุบหลังผมแรงมาก เอาจนผมจุก ซุกหน้าลงมาฝังเขี้ยวจมหัวไหล่ “โอ๊ยยยย ปิงกูเจ็บ!!!

“ปิงคิดถึง...ฮอึ่กก...ปิงคิดถึง....”

“ครับรู้ๆ รู้ว่าปิงคิดถึง แล้วปิงบอกพี่เอย์ได้ไหมว่าปิงคิดถึงใคร” ผมตะล่อมอีกครั้ง คราวนี้มันหยุด ผมผละลำตัวออกมาแล้วจ้องหน้ามัน ปิงเมาตาเยิ้มมองหน้าผมแล้วขมวดคิ้วผมยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาให้มัน มันจ้องแล้วก็จ้องอีกยกมือมาขยี้ตาค่อย ๆ เอามือขึ้นมาลูบใบหน้าผมแล้วจ้องมอง คงจะดูว่าใช่ผมแน่หรือ แต่ทุกอย่างก็คือใช่


อั่ก!! ผั๊วะ!! ปั่ก!!! อั่กๆๆๆๆๆ


ผมไม่หลบเลยนะปล่อยให้มันทุบๆๆจนมันพอใจ ปิงไม่ได้ทุบตีรุนแรงหรอกแต่ก็คือมันทุบในแบบของมันนั่นแหละ ผมกอดมันไว้มันก็ทุบได้เท่าที่มันจะทุบ มือไม้ฟาดไปถึง ฟันแหลม ๆ กัดคอกัดไหล่ผมนี่คือตลอด

ทั้งทุบทั้งร้อง

“หายคิดถึงกูหรือยังหืม?” ผมถาม มันยังทุบ ๆ ต่อ

“อื้อออ....” มันส่ายหน้า ผมยืนให้มันทุบจนมันพอใจ หยุดนิ่ง ผมเลยจับไหล่มันไว้ให้มั่น จ้องหน้าแล้วถาม

“ปิงคิดถึงใครไหนบอกซิ ปิงคิดถึงใครครับ”

“.......” มันกัดปากแน่น คิ้วนี่ขมวดแทบจะเป็นปม

“ปิง” ผมเรียกมันอีก

“ปิงคิดถึงใครครับ คนนั้นที่ปิงมายืนรอเขาทุกวัน ใครคนนั้นที่ปิงอยากจะเจอเขาทุกคืน  คนใจร้ายคนนั้น”

“....ฮอึ่กก.....” ปิงก้มหน้ากัดปากแน่นสะอื้นขึ้นมาอีก ผมเลยคิดว่าจะหยุดไม่ถามอะไรแล้ว แต่จู่ ๆ เสียงอูอี้ของหมามันก็ดังแทรกขึ้นมา


ปิงคิดถึง....พี่เอย์


น้ำตาผมไหลตกลงมาทันทีที่คำว่า พี่เอย์หลุดออกมาจากปากมัน ปิงร้องไห้ผมเองก็ร้องไห้ ผมดึงมันเข้ามากอดเราสองคนกอดกันแน่นร้องไห้อยู่แบบนั้นนานหลายนาที ผมซึมซับเอาความรู้สึกทุกอย่างให้มันระบายออกมาให้เต็มที่ น้ำตาของวันนี้จะชะล้างความเศร้าสร้อยของเราสองคนทิ้งไป ปิงร้องไห้จนเหนื่อยผมว่ามันคงกำลังจะหลับ


ผมจึงค่อยทิ้งตัวลงที่พื้นพรหมในขณะที่กอดมันไว้ ดึงหมอนอิงที่โซฟาใกล้ ๆ เข้ามารองแผ่นหลังให้มัน ผ้าห่มผืนเล็กถูกคลี่ออกโดยมือข้างเดียวของผมคลุมร่างกายมันไว้ ปิงอาจจะง่วงนอนแต่ผมจะนั่งกอดมันไว้ตรงนี้ เอื้อมมือไปผลักม่านให้กว้างออกอีกกดรีโมทปิดไฟแสงสว่าง  จุดนี้เป็นจุดที่สามารถมองเห็นพระจันทร์และดวงดาวได้ชัดเจนมากที่สุด ถ้าเราปิดไฟจากด้านในเราจะมองเห็นวิวกลางคืนได้แบบชัดเจนมากๆเป็นมุมมองแบบโอเพ่นวิวจุดเด่นของห้องนี้โดยเฉพาะ ผมกระชับกอดมันให้แน่น ปิงอยู่ในอ้อมกอดผมแล้ว ถ้าหากว่าความทรงจำที่แล้ว ๆ มาของมันในห้อง ๆ นี้เลวร้าย ผมจะขอชดเชยส่วนดี ๆ ในวันนี้ให้ อาจจะไม่สามารถทดแทนกันได้ทั้งหมดในคราเดียว แต่ถ้ามันให้โอกาสผมได้ทำในทุกๆวันของเราขึ้นมาใหม่ นับจากนี้ที่ห้อง ๆ นี้จะมีแต่ความทรงจำดี ๆ ของผมกับมันเท่านั้น


ผมสอดมือเข้าที่กลุ่มผมนุ่มของมัน ปิงผมยาวขึ้นมาก มันชอบบ่นว่าร้อนพอผมยาวขึ้นหน่อยจะต้องรีบไปซอยออกทันที แต่ตอนนี้ยาวจนระลงมาจนปิดหน้าปิดตาไปหมดแล้ว


ผมเลื่อนมือเข้าไปลูบที่แก้มมัน ปิงหลับตาพริ้ม มันหลับไปแล้วดึงหมอนอิงเอามากอดแล้วขยับหัวหนุนตักผมให้ดี ๆ มุมปากเล็กๆของมันจุดรอยยิ้มขึ้นนิดๆ แค่นั้นก็ทำให้หัวใจของผมลิงโลด ไม่ว่าต่อจากนี้ไปเรื่องราวของเราสองคนจะเป็นอย่างไรแบบไหน คน ๆ นี้คือคนที่ผมเลือกแล้วจริง ๆ


คุณคิดว่าผมไม่อยากใกล้ชิดมันยิ่งกว่านี้?? ผมสามารถดึงมันเข้ามาจูบได้ สามารถที่จะฉวยโอกาสกับร่างกายของมัน สามารถทำทุกอย่างได้เท่าที่ใจและร่างกายผมอยากนั่นแหละ แต่ผมไม่ทำ!  ผมรักมันไม่ใช่แค่ร่างกาย ผมอยากได้หัวใจของมัน ผมรอมันมาตลอดสามเดือนก็ยังรอ สามปีก็รอมาแล้ว จากวันนี้ไปมันจะให้ผมรออีกนานแค่ไหน ผมคนนี้ก็จะรอ ขอแค่ให้มันเต็มใจให้ผมกอดแค่นั้นเองที่ผมต้องการ


ตอนนี้จวนจะตีสามแล้ว ผมทอดสายตามองไปที่ท้องฟ้ากว้าง อธิฐานขอให้หมู่ดาวและพระจันทร์ช่วยเป็นสักขีพยาน


ผมจะประกาศความรักของผมสองคนขึ้นมาใหม่อีกครั้ง.....รักแท้....รักเดียว...คนสุดท้ายในชีวิตของผม


“...ขอแลกทุกอย่างที่มี เพื่อวินาทีของเธอ ขอเจอคนที่รักเหลือเกินได้ไหม ฉันแทบจะกราบอ้อนวอนร้องไห้จนเหือดหายไป เสี้ยวนาทีเท่านั้นที่ต้องการ....”
  
ริมฝีปากขยับเอื้อนเอ่ยบทเพลงรักความหมายเศร้าสร้อย เมื่อครั้งหนึ่งที่นิวยอร์กผมจำได้ดี ฟังเพลงนี้ทีไรผมร้องไห้โฮคาโต๊ะหนังสือทุกที ทุกครั้งที่มองเห็นหมู่ดาวและแสงจันทร์ผมจะหวนนึกถึงใบหน้าที่กำลังนอนหลับตาพริ้มอยู่ตรงนี้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ที่ไหนกับใคร  แต่บัดนี้ทุกอย่างของเรากลับคืนมาแล้ว ผมจะไม่มีวันปล่อยมือนี้ของมันอีก เราสองคนจะจับมันเอาไว้ให้ถึงที่สุด ต่อให้ต้องตายลงไปหมดสิ้นทุกสิ้นทุกอย่าง คนที่ผมจะเลือกก็คือมัน.....ปิง



ขอแลกทุกอย่างที่มี....เพื่อวินาทีของเธอ

ขอเจอคนที่รักเหลือเกินได้ไหม

ฉันแทบจะกราบอ้อนวอน

ร้องไห้จนเหือดหายไป

เสี้ยวนาทีเท่านั้นที่ต้องการ
....






Tbc.