Thursday, November 6, 2014

ดอกฟ้ากับหมาวัด (Out Of Reach) ตอนพิเศษวันลอยกระทง






***ตอนพิเศษ วันลอยกระทง***




-พฤศจิกายนปีที่แล้ว-


เย็นวันนั้นเรามาเดินซื้อของกันที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต

“พี่เอย์กินอันนี้ไหมครับ” ผมประคองกล้วยหอมแบบแปลกๆ ขึ้นมาให้พี่เขาดู พี่เอย์หันมายิ้ม มันกำลังสนอกสนใจเลือกมะเขือเทศออสเตรเลียที่เพิ่งมาลงใหม่

“อะไร? ทำไมมันเป็นแบบนั้น หวีเล็กจัง”

“อันนี้เป็นกล้วยหอมแบบธรรมชาติค่ะ เราปลูกไว้ที่สวนของพืชผักสวนครัว ปล่อยให้มันเจริญเติบโตเอง ถึงหวีจะเล็กไปหน่อยแต่อร่อยมากเลยนะคะ” พนักงานสาวเขาแนะนำ

“กล้วยหอมธรรมชาติเหรอครับ?” ผมทวนคำถาม

“ใช่ค่ะ ปลูกแบบธรรมชาติไม่ใช้ยาฆ่าแมลงหรือสารเคมีเลย”

“พี่ลองกินดูไหมครับ ผมว่าท่าทางอร่อยนะ หวีไม่ใหญ่มากน่ารักดี” ผมหันไปถาม  พี่เอย์ขยับเข้ามาหาผม

“สักสองหวีดีไหมคะ” พนักงานประคองส่งให้เรา พี่เอย์ใช้สองมือรับมาเลยนะ มันน่ะกินเป็นอยู่แค่ไม่กี่อย่างกล้วยหอมก็ถือว่าเป็นของที่มันชอบเพราะงั้นมันจะทะนุถนอมมากเป็นพิเศษ กลัวช้ำ

“รับอย่างอื่นเพิ่มอีกไหมคะ”

“ไม่ครับขอบคุณ” มันกอดเอวผมแล้วพาเข็นรถเดินออกมา พนักงานเธอมองเราสองคนด้วยสายตาซุกซนผมจึงยิ้มหวานให้ จะแกะมือมันออกจากเอวก็เดี๋ยวงอนขึ้นมาอีกเลยปล่อย ไม่ใช่ว่าชินหรืออะไรแต่วันนี้พิเศษหน่อยไม่อยากดื้อให้มันโกรธ

“ปิง ของมึงเป็นกล้วยหอมแบบไหนวะ แบบธรรมชาติหรือแบบใส่สารเคมี”

“เฮ้ยพี่พูดไรอ่ะ” ผมหน้าตาเหรอหรา จู่ ๆ พี่เอย์มันพูดเรื่องบ้าอะไร พอผมถามคุณชายมีขำอีก ดีนะยังพูดเสียงเบา

“ก็ถามดูไง มึงว่าของมึงเป็นแบบไหน แบบธรรมชาติมะ หรือเป็นแบบใส่สารเคมีแบบกู กล้วยหอมยักษ์ คึคึ”

“บ้า ลามก พี่แม่ง” ผมขยับหนีมัน พี่เอย์ดึงผมเข้ามากอดคอไว้อีก ผมมุดออกทำท่าไปยืนเลือกน้ำผลไม้แช่เย็น

“ลามกที่ไหน กูพูดถึงเรื่องกล้วยมึงคิดไปไกลเอง” ฟาดผัวะลงกลางหลังมันแก้เขิน ลืมไปเลยว่าอยู่กลางซุปเปอร์ พี่เอย์เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ มันวกรถเข็นกลับไปเอาขนมปัง ผมเลยมองหน้ามันตอนเข้ามาก็ไม่สนใจพอเห็นว่าซื้อกล้วยมันคงเพิ่งนึกออกว่ากล้วยหอมต้องกินกับขนมปังนิ่มๆ

“เอาเยอะๆ” มันบอกตัวเองแล้วคีบๆๆๆขนมใส่ถาด ผมเองก็ชี้ๆสิ่งที่ผมอยากกิน เราซื้อเยอะมากจนพูนถาดเพราะกินจุทั้งคู่  กำลังต่อคิวจ่ายตังค์ ผมเห็นแผ่นหลังใครสักคนไวๆ เลยสะกิดเรียกพี่เอย์ให้ดู

“เฮ้ย! พี่เอย์ครับ โน่นๆพี่โน่น” พี่เอย์หันไปมอง เสียงผมคงตื่นเต้นน่าดู บุ้ยใบ้ดึงมันให้รู้ว่าผมกำลังมองไปทางไหน

“มันมาด้วยกันได้ไงวะ” พี่เอย์พึมพำ

“เข็นรถช่วยกันด้วยอ่ะพี่” จะไม่ให้ผมตกใจได้ไง พี่เชนพี่ซ่าร์กำลังเลือกซื้ออะไรกันสักอย่างอยู่ไม่ไกล ตอนแรกเห็นแค่แผ่นหลังยังไม่แน่ใจเท่าไหร่ แต่พอเห็นว่าเป็นพี่เชนปุ๊ปแล้วคนข้าง ๆ ใส่ผ้าปิดปากสีดำกับหมวกแคปดำผมรู้ทันที อยากจะบอกว่าพี่ซ่าร์หล่อมากนะขนาดปิดหมดยังแผ่ออร่าความหล่อออกมาได้ ผิวงี้อื้อหือสวยเนียนคือไม่เหมือนคนธรรมดา คุณเคยเห็นแจจุงของดงบังไหม แบบนั้นแหละพี่ซ่าร์พี่ชายพี่เอย์หล่อแบบนั้นเลย

“ตามๆ หมาปิงตาม” ผมน้อมรับบัญชาเลยครับ เราเข็นตามแบบห่าง ๆ ผมพยายามแอบดูสุดฤทธิ์มาซื้ออะไรกันวะ พี่เอย์มันบอกตามก็จริงนะแต่มันไม่ค่อยสนใจหรอกมันหยิบโน่นหยิบนี่ สนใจพวกปลาญี่ปุ่นที่เขากำลังแร่อะไรของมันไปตามเรื่อง บางทีก็ไม่หยุดยืนดูอะไรแปลกๆพวกกุ้งหอยปูอะไรที่มันอาจไม่เคยเห็น แต่ผมนี่สิชะเง้อจนคอแทบเป็นกะเหรี่ยงยาวๆแล้ว

“พอแล้วมึงคอยืดคอยาวเชียว”

“พี่อ่ะ ไปใกล้กว่านี้อีกนิดได้ไหม”

“ไม่เอาพอแล้ว ไปซื้อกระทงไป ซุ้มอยู่ทางโน้น เดี๋ยวดึกๆคนไปลอยเยอะกูไม่ค่อยชอบ เรารีบซื้อรีบออกไปกันดีกว่า สองคนนั้นช่างหัวมันเหอะ”

ผมแอบกัดปากด้วยความเสียดายก้มหน้าเรียกคะแนนเห็นใจอยากดูต่ออีกสักหน่อยแต่พี่เอย์มันไม่หลงกล แต่เอาวะจะตามดูไปไม่มีอะไรดีขึ้นมาแค่รู้ว่าพี่สองคนมาช็อปด้วยกันผมก็มีแต้มต่อไว้ล้อพี่เชนได้สบายแล้ว  คึคึ

วันนี้คนเยอะมาก เราเข็นรถกันไปเรื่อย ๆ จนจะถึงซุ้มกระทงอยู่แล้ว

ตายห่า!!!!

“พี่เอ๊ย์!!! ” ผมอุทานเสียงแหลม ไม่ดังมากนะแต่จับแขนมันเขย่าๆๆ พี่เอย์ตกใจหน้าเหวอเลย

“อะไรของมึง”

“เหี้ยเหอะพี่  สองคนนั้นแวะซื้อกระทงกัน”  พี่ซ่าร์กำลังเลือกกระทงขนมปังสีชมพูกับสีฟ้า เหมือนพี่เชนจะพูดอะไรสักอย่างในที่สุดวางสีชมพูลงเอาสีฟ้าใส่รถเข็นแทน  เฮ้ยเอาจริงดิ่หยิบลงรถเข็นแล้วด้วย  อันเดียว!!

“สงสัยจะไปลอยคืนนี้มั้ง” พี่เอย์พูดเสียงเรียบๆธรรมดา แต่ผมตาโต  “หืม?”

“เขาซื้อกระทงกันแสดงว่าจะไปลอยด้วยกันอ่ะดิ  มึงก็รู้อยู่แล้ววันนี้วันอะไร”

“เฮ้ยพี่ แต่ว่า....”

“ก็เหมือนกับเราไง ไปเหอะ สนใจไรนักหนาวะ”

จริง ๆ แล้ววันนี้พี่เอย์มันชวนผมไปลอยกันในสถานที่แห่งนึง ผมถามมันว่าที่ไหนคุณชายเก็บเงียบไม่ยอมบอก จนกระทั่งถึงตอนนี้ผมยังไม่รู้เลยว่ามันจะพาผมไปที่ไหน  อะไรนะ เอเชียทีคเหรอ? ไม่ใช่หรอกครับ พี่เขาไม่ชอบที่ๆคนพลุกพล่านแบบนั้น

ตอนที่เราไปต่อคิวจ่ายตังค์คนค่อนข้างเยอะทุกช่องต่อคิวเต็มกันหมด ผมแอบมองไปที่อีกช่องไกลๆเห็นพี่เชนกำลังยื่นบัตรจ่ายตังค์ ขณะที่พี่ซ่าร์ยืนเฉยๆ มองโน่นนี่นั่นรอ ผมแอบอยู่ที่ไหล่ด้านหลังของพี่เอย์ กางขาให้ตัวเองเตี้ยลงอีกนิด ดีนะพี่ซ่าร์ไม่หันมาทางนี้ ยิ่งกลัวเห็นพวกเรา เพราะพี่เอย์เองเองก็ดูโดดเด่นไม่แพ้กัน พี่ซ่าร์เดินไปยืนล้วงกระเป๋ามองที่แผงหนังสือตรงช่องทางออก คงกำลังดูรูปตัวเองมั๊ง เพราะหนังสือที่ลงปกพี่เขามีเยอะมาก

สักพักพี่เชนจ่ายเงินเสร็จเดินออกมาหามีแค่ถุงกระทงกับขนมไม่กี่อย่าง  พี่เชนเอามือไปจับฮู๊ดที่เสื้อพี่ซ่าร์ขึ้นมาคลุมใส่หัวไว้ให้ คงกลัวคนจำได้เพราะมีน้อง ๆ ผู้หญิงกลุ่มนึงมองมาที่พี่ซ่าร์แล้วซุบซิบอะไรกันสักอย่าง สองคนนั้นเดินกันออกไปแล้วเร็วมากๆ  ผมยืนดูจนตาลอย พี่เอย์ดึงแขนให้เดินตามออกไปบ้าง

“มองอะไรนักหนาวะ ชักหึงนิดๆ” พี่เอย์หน้าตาไม่สบอารมณ์แล้วผมรีบดึงๆเสื้อมันไว้

“เฮ้ยพี่ ไม่ใช่แบบนั้น” เราใช้รถเข็นๆข้าวของที่ซื้อมา คุณชายทำท่างอนเป็นเด็กๆ ผมตัดเรื่องพี่เชนกับพี่ซ่าร์ออกไปในทันที

“พี่เอย์ครับผมเข็นให้นะ” ผมอ้อนมัน

“จิ๊ มึงมันแย่ที่สุด” มันปล่อยรถเข็นออกผมขยับเข้าไปเข็นแทน

“เดี๋ยวคืนนี้นวดให้ด้วย” ผมพูดเอาใจอีก  จริง ๆ ชอบนวดให้มันนะ เราเล่นกันแบบนี้ประจำผมนวดให้มัน มันนวดให้ผม สุดท้ายวันไหนคิวมันนวดให้ผมนี่ยาวกันทุกทีเพราะพี่เอย์ชอบลวนลาม มือมันจะชอนไชไปเรื่อย

“งั้นหายงอนก็ได้” คุณชายยิ้มร่าเป็นเด็กๆ  เราเดินกันออกมาที่ลานจอดรถ พอปลอดคนพี่เอย์มันกอดปุ๊บซ้อนตัวเข้ามาช่วยเข็น

“กูช่วย” เร็วกว่าคำพูดปากร้อน ๆ งับลงที่หูอย่างหยอกล้อผมขนลุกซู่ไปหมด จะหันไปด่ามัน อิพี่เอย์หัวเราะร่วนเลย ผมชกพุงมันไปที วันนี้พี่เขาอารมณ์ดีนะ เห็นที่ทำงอนเมื่อกี้คงแกล้งให้ผมสนใจน่ะแหละ ผมง้อแค่นิดเดียวคุณชายก็ยิ้มแล้ว

เราขับรถออกจากซุปเปอร์ไม่นาน ก็มาถึงร้านอาหารเล็กๆแห่งหนึ่ง  ข้างนอกนี่ธรรมดามากๆ แต่พอเดินเข้าไปด้านในอยากบอกว่าสวยงามมากกกกกกก โรแมนติกที่สุด  ระเบียงไม้สีขาวที่ยื่นออกไปรับลมริมแม่น้ำเจ้าพระยายามดึกประดับไว้ด้วยโคมไฟสีส้มดวงเล็กๆตลอดทั้งแนว  วันนี้คนเยอะเป็นพิเศษอาจเพราะเป็นคืนวันลอยกระทง  เสียงเพลงวันเพ็ญเดือนสิบสองดังมาตลอดทางเดินเข้าร้าน พอจับจองหาที่นั่งได้ มีพนักงานเข้ามาต้อนรับ พี่เอย์แนะนำผมให้พี่เขารู้จัก ที่แท้เป็นร้านของครอบครัวเพื่อนพี่เอย์ มิน่าเราสองคนถึงได้ที่นั่งวิวดีมากๆเป็นส่วนตัว ผมก็สงสัยนะทำไมเรามากันค่ำๆแต่โต๊ะนี้ดูเหมือนถูกจองไว้ก่อนแล้ว ซึ่งจริงอย่างที่คิดเลย เพื่อนฝูงเยอะกว้างขวางนี่มันดีแบบนี้เอง

“ตามสบายนะมึง เดี๋ยวกูไปดูแลแขกก่อน”

“เฮ้ย ว่าจะไปสวัสดีพ่อกับแม่อ่ะ”

“อยู่ในครัวโน่นแน่ะ ไปป่ะล่ะ”

“ไปดิ่วะ ปิงรอที่นี่แปปนะ”

“ครับ” ผมพยักหน้ารับ  พี่เอย์ลุกออกไปแล้ว ผมก็นั่งมองโน่นนี่นั่นไปตามเรื่องมีหลายคู่หลายคนทยอยเอากระทงลงไปนั่งลอยกันที่บันไดทางลงริมแม่น้ำ ผมมองดูวิวริมเจ้าพระยาที่มุมนี้แล้วสวยงามมากๆ ไม่คิดว่าจะมีร้านแบบนี้ซ่อนตัวอยู่ ผมมองไปที่ตึกสูงๆหลายสิบที่ฝั่งตรงข้าม มีอยู่อันนึงสะดุดใจผมมากเลย ตึกกระจกสูงเสียดฟ้ามาก

“รอนานไหม” มันเดินกลับมานั่งลงฝั่งเดียวกับผม เราสองคนนั่งหันหน้าไปชมวิวกลางคืนของลำน้ำเจ้าพระยาด้วยกัน สายลมพัดผ่านเข้ามาอีกครั้ง เส้นผมสีอ่อนของผมพลิ้วไสวเสียจนต้องเอามือขึ้นมาเสยเหน็บไว้  เสียงเพลงถูกเปลี่ยนเป็นดนตรีบรรเลงช้าเบา ๆ คู่รักหลายคู่ที่บนโต๊ะเริ่มจุดเทียนขึ้นมาแล้ว มีน้องพนักงานเข้ามาจุดที่โต๊ะผมบ้าง ที่ครอบเทียนเป็นแก้วใสเผยให้เห็นเปลวไฟเริงระบำเป็นเงาสวยงามอยู่ภายใน

ผมแอบคิดนะ ทำไมเปลวไฟไม่กลายเป็นรูปหัวใจวะ แบบนั้นจะโรแมนติกน่าดูขึ้นอีกสิบเท่าเลย ดอกกุหลาบสีแดงดอกโตปักลงที่แก้วทรงสูง

“หนาวไหม” มันถามขึ้น พาดแขนขึ้นมาที่พนักเก้าอี้ผม

“ไม่ครับ อากาศกำลังเย็นสบายเลย” ความจริงหนาวนิดๆแต่ผมชอบ

“ปิง” พี่เขายกแก้วเบียร์ขึ้นจิบท่าทีสบายๆ เอนหัวลงลงที่ไหล่ผม เราสั่งอาหารกันไม่กี่อย่างดูเหมือนเพื่อนพี่เอย์จะรู้เลยให้เวลาเราเป็นส่วนตัวมากๆ ไม่มีพนักงานมารบกวน

“ดูตรงนั้นสิ โน่นน่ะมึงจำได้ไหม” ผมมองตามที่พี่เขายกแก้วขึ้นชี้  ที่ฝั่งตรงข้ามเยื้องไปทางขวานิดๆ ตึกสวยมากสูงชันมองไกลๆเห็นแสงไฟระยิบระยับดวงเล็กๆเต็มไปหมด

“มึงเห็นไหม ตึกสูงๆตรงโน้น” เรือสวยงามประดับโคมไฟสีส้มเป็นของโรงแรมอะไรสักอย่างเคลื่อนตัวลอยผ่านเข้ามา ผมอดไม่ได้ที่จะยกมือถือขึ้นมาถ่ายภาพไว้ พี่เอย์จิ้มปุ่มสลับเปิดกล้องหันมาฝั่งพวกผม มันขยับเข้ามาอีกนิดขณะที่ผมฉีกยิ้มแบบเอาให้ขี้เหร่สุด คุณชายเก็กสีหน้าเท่ๆ ก่อนผมจะกดปุ่มแชะลงไป

“อะไรครับ พี่จะชี้ให้ผมดูอะไร”

“ตึกสูงๆนั่นน่ะ คอนโดกูไงมึงจำได้ไหม” มันคว้าเอามือผมไปจับไว้ที่ตัก

“เอ๊า จริงดิ่” ผมตกใจนิดๆ พอเพ่งมองดี ๆ ถึงได้รู้ว่าใช่ คือฝั่งด้านนั้นตึกสูงสวยงามเยอะมากอันไหนเป็นคอนโดอันไหนเป็นโรงแรมผมนี่มองมั่วมาก พี่เอย์เงียบไปพักมันหยิบดอกกุหลาบสีแดงที่ปักอยู่ในแก้วออกมา

“นานมาแล้วกูเคยบอกเด็กกะโปโลคนนึงว่าจะพามาที่นี่สักครั้ง”

“หืมม??”

“ตอนนั้นเราสองคนยืนอยู่ที่ริมกระจกห้องกูที่ชั้นห้าสิบ สูงมากมึงตื่นเต้นใหญ่มองมาฝั่งนี้ไม่ยอมหยุด กูเลยบอกไปว่าวันนึงจะพามาที่นี่ไง จำได้ไหม หื้ม?” มันเอาดอกไม้มาตีหัวผมเบา ๆ  ในขณะที่หัวสมองผมไหลเร็วยิ่งกว่าตอนรันโปรแกรมแล้วดึงความเร็วสุดยอดออกมาใช้ พยายามดึงข้อมูลเก่า ๆ ออกมา

แต่ผมจำไม่ได้ ให้ตายเหอะ

“ตอนนั้นกูชี้มาทางฝั่งนี้ มึงยังถามเลยว่าที่ไหน”

ผมพยายามนึกใหม่อีก แต่ทำยังไงก็นึกไม่ออก ตายๆนี่ผมช่างไม่ละเอียดอ่อนเอาซะเลย เคยจำได้ลาง ๆ เหมือนกันว่ามันเคยพูดว่าจะพาไปที่ไหนสักแห่งแต่ก็ไม่ค่อยชัดเจน

ผมจ้องหน้ามัน พี่เอย์ยกมือขึ้นมาไล้เข้าที่แก้ม  “พี่เอย์หมายถึงร้านนี้เหรอครับ?”

“ใช่ ตอนเรียนพวกกูมานั่งดื่มกันที่นี่บ่อยมาก เวลามองไปที่ฝั่งตรงข้ามจะสวยงามและเห็นห้องนั้นชัดเจน” ผมเพ่งสายตามองไปส่วนบนของตึกนั้นมืดเกือบหมดมีแสงไฟสีส้มดวงเล็กๆบ้างประปราย

“ไม่อยากเชื่อเลย หลังจากนั้นตั้งเกือบสี่ปีถึงได้พามึงมาที่นี่” มันขยับเข้ามาอีก จากที่เราใกล้กันอยู่แล้วชิดเข้าไปอีก ปลายจมูกมันใกล้แก้มผมมากเฉียดไปเฉียดมา ลมหายใจอุ่นร้อนทำเอาผมขนลุกไปหมด ดีนะมุมที่เรานั่งอยู่ค่อนข้างปลอดคนและเป็นส่วนตัว พี่เอย์ยกมือผมขึ้นมาจูบ มันแลบลิ้นร้อนออกมาเลียไล้ที่หัวนิ้วโป้งเบา ๆขณะที่สายตานี่จ้องหน้าผมอยู่

“พี่เอย์อย่าครับคนเยอะ” ผมขยับออก ใบหน้าร้อนฉ่าดึงมืออกจากมัน รีบทำทีเป็นยกมือถือขึ้นดู พี่เอย์หัวเราะนิดๆ

“จะสามทุ่มแล้วพี่” ผมพูดเขิน ๆ หยิบกระทงส่งให้ พี่เอย์ขยี้หัวผมก่อนขยับตัวนั่งดี ๆ  

“งั้นไปลอยเลยไหม”มันถาม

พี่เอย์ปักเทียนลงไป ผมเป็นคนจุดไฟนำทาง เราขยับออกมาจากเก้าอี้นิดเดียวก็เจอบันไดทางลงสู่แม่น้ำสายสำคัญ  เพราะว่าเป็นที่นั่งแบบพิเศษ บันไดฝั่งนี้จึงเป็นที่ส่วนตัวมากๆ เฉพาะของสองเราเท่านั้น

“พี่เอย์อธิฐานพร้อมกันนะครับ” พี่เขาประคองกระทงอย่างระมัดระวัง ผมใช้สองมือโอบรอบมือมันไว้


เราสบสายตากัน ถ้อยคำนับล้านความหมายถูกร้อยเรียงบอกเล่าความในใจมากมาย โดยที่ไม่มีแม้แต่คำพูดจาสักคำ


ในที่สุดทั้งผมทั้งมันหลับตาลงทั้งคู่


คำอธิฐานแห่งรักถูกสายลมเย็นพัดผ่านทุกอณูของผิวกาย  มิตรภาพกำลังถักทอโอบกอดสองหัวใจให้อบอุ่นอิ่มเอม  ไอหมอกแห่งความเข้าใจล่องลอยขึ้นเป็นสายใยบาง ๆเรียงร้อยเข้าสู่ห้วงหัวใจที่โหยหาซึ่งกันและกัน  มือใหญ่เลื่อนเข้ามาประคองฝ่ามือเล็ก กระทงสวยงามค่อยบรรจงวางลงไปที่สายน้ำเย็นฉ่ำ


“มึงคือคนสุดท้ายในหัวใจของกู”


เปลวเทียนล่องลอยนำทางความรักไปจนสู่จุดสุดท้ายแห่งรักนิรันดร์


“พี่คือหัวใจของผม”




ขอพระแม่คงคาอวยพรให้เราสองคนประคองความรักที่มีให้แก่กันและกัน.....ยาวนาน..........มั่นคง.............ตลอดไป



...แต่เราก็หากันจนเจอ


มันนานแค่ไหนที่คอยเธอมา


รู้สึกไหมว่าชีวิตคุ้มค่า เมื่อมีใครสักคนข้างกาย


...เกิดมาเพื่อหาใครคนหนึ่ง เป็นคนที่ฟ้าสร้างมาตรงใจ


เราต่างรู้โลกมันแสนกว้างใหญ่ แต่มันคงไม่ยากเกินไป.....ที่ฉันจะพบเธอ





*************Special Complete***************





แถมๆ



“มึงอธิฐานอะไรวะเชน”

“ไม่บอก” มันหันมามองหน้าผมพักนึง ก่อนปล่อยน้ำเสียงรั้นๆปฏิเสธ ทำเอาผมอยากจะยื่นมือไปบิดหูมันให้เขียว หมั่นไส้นักทำท่าเป็นไม่อยากจะลอยสุดท้ายบอกเอาแค่อันเดียว ผมกะจะซื้อสองอันแท้ๆกระทงน่ะ

“จิ๊ ถ้างั้นกูก็ไม่บอกว่ากูอธิฐานอะไร”

“เออกูไม่อยากรู้หรอก เชิญมึงเก็บเงียบไว้คนเดียวเหอะ ไม่ต้องพูดนะ! ไม่ต้องพูดออกมา เดี๋ยวกูจะปล่อยมึงให้เดินกลับเองก็ไม่ต้องพูดออกมาเลยนะ”

“.....” ผมหน้างอ หยุดเดินทันที เราเกือบจะถึงรถกันอยู่แล้ว หงุดหงิดมันแม่ง

“ว่าไงล่ะ จะพูดไหม”

“ก็ไหนมึงว่าไม่อยากรู้”

“ก็ไม่อยากรู้ดิ่ ถึงได้บอกว่าไม่ต้องพูดไง”

“คเชนทร์ มึงมันนิสัยแย่ที่สุด พูดกับกูดีๆปากมึงจะเปื่อยรึไง”

“แล้วกูพูดไม่ดีตรงไหน”

“ทุกตรง”

“ไม่ถูกใจมึงงั้นดิ่”

“ก็เออ”

“ชิ น่ารำคาญ ขึ้นรถได้แล้ว” มันเดินเข้ามาดึงฮู้ดปิดหัวผมให้ดีๆ รู้สึกอากาศจะเริ่มเย็นผมว่าน้ำค้างลงนิดๆด้วยนะ  รถขับออกมาได้ระยะหนึ่งผมรู้เลยว่ามันไม่ได้กลับมาส่งผมที่บ้านแน่ ๆ เพราะรถผมจอดไว้ที่ออฟฟิศมัน พอถึงผมเดินตรงดิ่งไปที่รถตัวเอง คเชนทร์เดินเข้ามาคว้าแขนผมไว้

“ไปไหน”

“ขึ้นรถไง” ผมบอกพร้อมกับบิดแขนตัวเองออกทำท่าจะขึ้นรถลูกเดียวเปิดประตูแล้วด้วย มันก้าวเข้ามาคว้ากรอบประตูไว้

“บ้านมึงจะย้ายหนีรึไงถ้าไม่กลับวันนี้”

“......”  ผมคิ้วมุ่น อะไรคือบ้านจะย้ายหนี กำลังคิดตามคำพูดมัน

“ตามใจ อยากกลับก็กลับไป ถึงแล้วไม่ต้องโทรมาล่ะ กูจะนอนแล้วน่ารำคาญสี่ทุ่มแบบนี้เวลานอนกูพอดีเป๊ะ”

“......”  นี่ผมคิดว่าตัวเองหูฝาดอะไรคือบอกเวลานอนตัวเองสี่ทุ่ม ตั้งแต่ผมรู้จักกับมันไม่เคยต่ำกว่าตีสอง

“ไปดิ่ รีบๆกลับไปเลยไป” มันดันผมขึ้นรถ หน้านี่งอมากแล้ว แต่ทว่าเป็นผมที่ดันตัวมันคืนไว้

“มึงจะบ้ารึไงกูบอกตอนไหนว่าจะกลับบ้าน”

มันดูอึ้งไปนิดหน่อย “แล้วมึงมาขึ้นรถทำไม”

“ก็จะเลื่อนรถเข้าเก็บข้างในไอ้บ้า ไปบอกพี่ยามเปิดประตูให้กูด้วย”

แค่นั้นแหละครับผมโดนมันผลักหัวเงิบเลย คเชนทร์เดินผิวปากไปหาพี่ยามทันที


คืนนั้น......จำไม่ค่อยได้แล้ว!!