Monday, April 21, 2014

..พี่เลี้ยง..THE DAY' I was your man(Yaoi-drama) บทที่ 30





บทที่ 30  I’m Your



เมื่อรถหรูคันใหญ่มาจอดลงที่หน้าล็อบบี้ทางเข้า ทั้งเขาและวารินเดินตามกันลงมา ดรอแมนเปิดประตูแล้วโค้งต่ำให้เขาสองคนอย่างสุภาพ ท่านประธานหนุ่มรูปหล่อเรือนร่างสูงใหญ่ในชุดสูททักสิโด้เต็มยศกับเลขาหนุ่มที่ดูดีไม่แพ้กันเดินตีคู่กันเข้ามาที่ลิฟต์แก้วสวยก่อนพนักงานภายในจะกดนำขึ้นไปจอดลงที่ชั้นจัดงานเลี้ยงหรูหราของเหล่าบรรดาเซเลปดังชั้นนำของเมืองไทย


เพียงแค่ประตูลิฟต์เปิดออกเท่านั้น


“ธาร!”


เสียงสดใสจากคนที่ช่างบังเอิญเดินผ่านมาพอดีเรียกเข้าอย่างดัง ทั้งนายทั้งเลขาหันมองเป็นตาเดียว


ชนาธิป!


“ว่าแล้วธิปต้องเจอธารที่นี่ เห็นรายชื่อตั้งแต่คุณเลขาเขาจัดส่งมาแล้ว”


ไหล่เล็กเบียดเข้าชิดเดินตีคู่กับธาราธารอย่างถือวิสาสะ ชนาธิปตวัดหางตามองวารินแวบหนึ่ง แต่ไม่มีการทักทายใดๆ  ขณะที่เลขาสาวของอีกฝ่ายเดินเข้ามาค้อมหัวลงให้วารินอย่างสุภาพ เขาสองคนเดินตามหลังประธานหนุ่มใหม่ไฟแรง 2 ขั้ว ทายาทกลุ่มเงินทุนใหญ่ชื่อดังในวงการธุรกิจ


เมื่อเข้ามาถึงด้านในเป็นหน้าที่ของเลขา ที่ต้องแนะนำเจ้านายของตนเองให้ทักทายบรรดาชนชั้นหรูหรา


“เดี๋ยวผมจะแนะนำคนสำคัญท่านหนึ่งให้บอสรู้จักไว้นะครับ ว่ากันว่าท่านจัดงานนี้ขึ้นมาเพื่อโปรโมทลูกชายที่เพิ่งจะกลับจากนอกโดยเฉพาะ” วารินเร่งฝีเท้าเดินตีคู่ขึ้นมากระตุกแขนเสื้อนอกของเจ้านายตนแล้วเขย่งกระซิบดึงธาราธารให้เดินไปกับตัวเอง


“ขอโทษนะครับคุณชนาธิป ผมต้องขอตัวบอส ของผมสักครู่”


วารินตั้งใจเน้นคำว่า ของผม ลงไปแบบชัด ๆ ปรายสายตา ยกยิ้มมุมปากนิด ๆ  ชนาธิปมองหน้าวารินนิ่งสายตาแฝงไว้ด้วยความนัยมากมาย ค่อยปล่อยมือที่เกาะแขนธาราธารออกช้า ๆ


“เชิญครับ  ผมเองก็มีคิวต้องไปแนะนำตัวกับท่านอื่น ๆ เหมือนกับธารเขาเหมือนกัน ก็เราตำแหน่งสูงพอๆกันนี่เนอะธาร” ว่าจบแล้วก็เดินแยกไปอีกทาง


ขณะที่วารินเดินนำบอสหนุ่มไปหาชายสูงวัยดูภูมิฐานมากท่านหนึ่ง  ที่ข้าง ๆ กันมีชายหนุ่มหน้าตาดีรูปร่างสูงใหญ่ ดูเหมือนจะสูงเท่า ๆ กับธาราธารยืนทักทายแขกเหรื่ออยู่อย่างสุภาพ


“บอสครับ นี่ทนายศักดิ์ดา เจ้าของบริษัทที่ดูแลผลประโยชน์ให้กับกลุ่มธุรกิจ CR ของเราครับ ท่านเป็นประธานการจัดงานครั้งนี้”


“สวัสดีครับ ผมธาราธาร จาก CR กรุ๊ป ครับ


“ไหว้พระเถอะลูกไหว้พระ  ตั้งแต่ไปเยี่ยมคุณภัครคราวนั้นยังไม่มีโอกาสได้ไปอีกเลย ผมเป็นเกียรติมาเลยนะที่คุณธารยอมมาร่วมงานครั้งนี้ รู้จักกันไว้ นี่ ปวีย์ ลูกชายของผมเอง ต่อไปพี่วีเขาจะเข้ามาดูแลกลุ่มธุรกิจของคุณธารแทนลุงแล้วนะ ไว้ใจเขาได้เมื่อก่อนก็เป็นอัยการเหมือนกับลุงนี่แหละ กว่าจะบังคับให้ลาออกมาช่วยงานที่บริษัทได้ ต้องขอร้องกันอยู่นานเลย”  


“ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณธาราธาร” ปวีย์ส่งยิ้ม ยื่นมือมาขอเชคแฮนด์ ธาราธารจึงยื่นออกไปจับอย่างสุภาพเช่นกัน


“เช่นกันครับคุณปวีย์” เขาตอบไปตามมารยาท ส่งยิ้มการค้าออกไป


“เรียกผมพี่วีก็ได้นะครับ น้องธาร” ทันทีที่คำว่า น้องธารหลุดออกมาจากปาก ธาราธารตวัดสายตาขึ้นมองเขาทันที แต่ปวีย์ยังทำเฉยคล้ายมองไม่เห็นกิริยานั้นของอีกคน


“ดีๆ คนหนุ่ม ๆ สนิทสนมกันไว้ดีแล้ว ต่อไปคงต้องติดต่องานกันบ่อย  เด็กหนุ่มยังไงก็คุยกันเข้าใจง่ายกว่าคนแก่ ๆ เยอะ”


ชายสูงวัยว่าแล้วเดินยิ้มเลี่ยงออกไป ปล่อยให้เด็กหนุ่มสองคนคุยกัน วารินเองก็ถอยห่างออกมาหน่อยเพื่อให้เจ้านายของเขาได้คุยเป็นการส่วนตัว ปวีย์ค่อนข้างมีความสำคัญ เขาจะเข้าดูแลผลประโยชน์ให้กับบริษัทในสายธุรกิจที่หลากหลาย หากธาราธารรู้จักมักคุ้นไว้บ้างคงจะดีกว่า


“คุณธารนี่ตัวสูงนะครับ สูงกว่าที่ผมคิดไว้เสียอีก ผมคิดว่าตัวเองสูงมากๆแล้วคุณธารนี่เกือบ ๆ จะเท่ากับผมเลยนะ” ปวีย์ใช้ประโยคง่าย ๆ เริ่มต้นบทสนทนา เขาทำท่าคล้ายรู้จักธาราธารมาก่อน


“เคยเห็นตามแมกกาซีนในแวดวงน่ะครับ  ว่าที่คุณหมอหนุ่มทายาทคนเดียวของ CR กรุ๊ป หน้าตารูปร่างงดงามหมดจด คุณดังมากเลยนี่”


ผมเป็นผู้ชายครับ ถ้าจะชมกรุณาใช้คำให้ถูกต้องด้วย งดงามหมดจดนั่นคุณเก็บไว้ใช้กับผู้หญิงน่าจะดีกว่า”


“ขอโทษทีครับ แต่ผมกลับมีความรู้สึกตามที่พูดจริง ๆ  ถ้าทำคุณไม่พอใจต้องขอโทษด้วยจริง ๆ”


เขายิ้มให้อย่างแพรวพราว  ขณะที่ธาราธารมองเขาอย่างครุ่นคิดในใจ รู้สึกไม่ถูกชะตาเอาเสียเลย สายตาที่เหมือนพวกเสือกำลังล่าเหยื่อแบบนั้นไม่รู้มาทำอาชีพทนายความได้อย่างไร


“คุณเป็นทนายความ?”


“ใช่ครับ เมื่อก่อนผมเป็นอัยการ ตอนนี้ลาออกมาช่วยงานที่บริษัทเต็มตัวแล้ว คุณธารไม่ต้องห่วงนะกลุ่ม CRของคุณ ผมดูแลผลประโยชน์ให้เต็มที่อยู่แล้ว ฝากตัวด้วยนะครับ”


ธาราธารไม่ชอบสายตาเจ้าเล่ห์และคำพูดแปลกๆแบบนั้น  พอคุยกันต่ออีกสักพักจึงเลี่ยงออกมาหาวาริน  เลขาคนเก่งจึงเริ่มทยอยแนะนำบอสคนใหม่ให้คนสำคัญทางธุรกิจแต่ละท่านได้รู้จักไว้อย่างคร่าว ๆ ธาราธารทำหน้าที่ได้ดีมากทีเดียว เขาดูนอบน้อมไปพร้อม ๆ กับความน่าเชื่อถือของท่าทีที่มีอยู่ภายในตัวยิ่งเขาเรียนหมอจึงยิ่งเป็นที่กล่าวถึง  นักข่าวจากหนังสือพิมพ์และนิตยสารชั้นนำต่างทยอยเข้ามาขอสัมภาษณ์ ขณะที่ชนาธิปเองก็ไม่แตกต่าง


มีการถ่ายรูปร่วมกันระหว่างบรรดานักธุรกิจหน้าใหม่ไฟแรง ซึ่งธาราธาร  ชนาธิป และปวีย์ ดูโดดเด่นมากกว่าคนอื่น ๆอย่างเห็นได้ชัด  พวกเขาจึงถูกขอถ่ายรูปกันมากหน่อย รวมถึงบทสัมภาษณ์ที่จ่อคิวรอกันหลายสำนัก  จนวารินที่ยืนมองอยู่ห่าง ๆ อดที่จะปลื้มใจแทนภัครจิราเจ้านายเก่าของเขาไม่ได้


ทั้งสื่อสปอตทั้งแฟลตที่สะท้อนออกมา ต่างโฟกัสเข้าที่เจ้านายของเขาทั้งนั้น



....โตขึ้นอีกก้าวแล้วสินะ....โตขึ้นมากจริงๆ.....




“ทราย” วารินสะดุ้งนิดหน่อยเพราะมัวแต่โฟกัสไปที่เจ้านายของตนเอง เมื่อจู่ ๆ มีคนพูดขึ้นใกล้ ๆเขาจึงดูตกใจเล็กน้อย


“โทษที  ฟางทำทรายตกใจเหรอ”


“ฟาง?”


“ใช่ค่ะ  ทรายจำฟางไม่ได้จริงๆ หรือเนี่ย มิน่าแหละตอนเจอกันที่หน้าลิฟต์ทรายเฉยเชียว ไม่ยิ้มให้ฟางเลย”


วารินพิจารณาคนข้างๆเขาอีกหนอย่างอึ้ง ๆ  นี่เขาความจำสั้นขนาดลืมหน้าผู้หญิงที่เขาเคยชอบตั้งแต่สมัยเรียนไปได้ยังไงกันนะ ผู้หญิงคนเดียวที่ทำเอาเขาต้องถ่อไปขอเบอร์เธอถึงหน้าคณะ


“ขอโทษครับฟาง ผมไม่ทันได้มองจริง ๆ”


“ทรายเป็นเลขาอยู่ที่ CR เหรอ ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”


“ครับใช่  เป็นตั้งแต่จบมาเลย  แล้วฟางอ่ะ เป็นไงมาไงถึงได้ทำงานเป็นเลขาคุณชนาธิปได้”


“ทำไมล่ะแปลกเหรอ ฟางจบครุศาสตร์อิ้ง ฟางมาเป็นเลขาไม่เห็นแปลก ว่าแต่ทรายเหอะจบวิศวคอมไหงมาเป็นเลขาได้ล่ะเนี่ย”


เธอว่าแล้วยิ้มกว้างส่งให้ท่าทางคุยจ้อดีใจสุดขีดเมื่อได้เจอคนเคยรู้จักกัน  วารินถึงกับหน้าขึ้นสีเมื่อโดนแซวกลับแบบนั้น อดไม่ได้ที่จะนึกไปถึงเรื่องราวเมื่อนานมาแล้วตอนเขาพยายามเข้าใกล้เธอ เคยเดทกันด้วยหนึ่งครั้งแต่ก้เหมือนไม่ได้เดทเพราะเธอปฏิเสธเขาทันทีแถมทำท่าทีรู้ทันจนเขาอายมากต้องเป็นฝ่ายล่าถอยออกไปเหตุเพราะเธอดักเขาได้ทุกทาง


“คิคิ อายแล้วหน้านี่แดงไปหมด  ทรายไม่เปลี่ยนเลยจริง ๆ นะ”


วารินอมยิ้มอายจนหน้าซับสีแดงระเรื่อจริงอย่างเธอว่า ทำตัวไม่ถูกเมื่อจู่ ๆ ได้มาเจอคนที่ไม่เคยคิดเลยว่าจะได้เจอ สิบสองสิบสามปีที่ไม่ได้เจอกันเลย ฟางยังคงสวยน่ารักเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน


“แล้วฟางแต่งงานยังอ่ะ” ไม่รู้อะไรดลใจให้เขาถามเธอออกไปแบบนั้น


“ยังเลย...รอทรายนี่ไง”


“เฮ้ย!”


“ล้อเล่นนนนน” เธอแก้ตัวแทบไม่ทันเมื่อวารินอุทานเฮ้ยออกมาอย่างดัง


“อย่าไปพูดเรื่องแต่งงานเล้ย  ฟางคิดว่าจะไม่แต่งหรอกฟางอยากทำงานมากกว่า มีแฟนก็เหมือนมีห่วงผูกคอน่ารำคาญออก”


ฟางข้าวเปลี่ยนไปมากจริง ๆ เมื่อก่อนเธอฮอตมากควงผู้ชายไม่เคยซ้ำหน้า ไม่เคยได้ว่างจากคำว่า มีแฟนแล้วค่ะพอมาถึงตอนนี้เธอกลับบอกเขาว่าจะไม่แต่งงานซะงั้น


“ดูโน่นสิ เจ้านายของพวกเราโดนสื่อโฟกัสซะขนาดนั้น คุณธิปเจ้านายของฟางยังยิ้มอยู่เลยนะ แต่ดูคุณธาราธารเจ้านายทรายสิ มองมาทางนี้เป็นรอบที่สิบแล้วมั้ง  หน้าหล่อๆนี่เริ่มไปแล้วนะทราย  ไม่เข้าไปดูบอสทรายหน่อยเหรอ”


วารินหันมองธาราธารทันที่ที่ฟางข้าวพูด ธาราธารหน้าหงิกแล้วจริง ๆ มองมาทางเขาตาเขียวเลย วารินรีบเดินเข้าไปหาทันที ธาราธารตวัดสายตามองถามเสียงเข้ม


“ใคร? ผู้หญิงคนนั้น”


“เพื่อนเก่าน่ะ  บังเอิญมากเลย เขาเป็นเลขาของคุณชนาธิป จวนจะเสร็จแล้วล่ะธารอดทนอีกหน่อยนะ” วารินพูดเสียงเบา ส่งสายตาให้กำลังใจเขาเพราะคิดว่าที่เจ้านายตนเองหน้าบูดเป็นเพราะรำคาญกับการต้องโดนถาม โดนถ่ายรูปแบบไร้กำหนดแบบนี้


“อยู่แถวนี้ ข้าง ๆ ผม” เขาว่าแล้วเริ่มต้นให้สัมภาษณ์นิตยสารอีกเล่มต่อ หลังจากช่วงพักเบรก หน้าตายังบูดบึ้งไม่เปลี่ยน


“ธารยิ้มหน่อยสิ ทำหน้าดี ๆ นะ” วารินกระซิบลงอีกครั้งแล้วเลี่ยงออกมายืนอยู่ไม่ไกลนัก ชนาธิปที่หมดคิวสัมภาษณ์ก่อนจึงเดินเข้ามาหาใกล้ ๆ


“เพิ่งรู้นะครับว่าพี่รู้จักกับคุณฟางข้าวด้วย เห็นคุยกันสนิทสนม”


“เพื่อนเก่าน่ะครับ ตั้งแต่สมัยเรียนมหาลัยโน่นแหละ”


“ดูเหมาะสมกันดีนะครับ คุณฟางเองก็ยังโสด เดี๋ยวผมติดต่อให้พี่ทรายเลยดีไหมนะ” เขาว่าแล้วยิ้มให้อย่างใสซื่อ


“เราเป็นเพื่อนกันน่ะครับ”


“แหม ไม่เห็นต้องอายเลยครับ"


ชนาธิปทำหน้าไร้เดียงสาสุด ๆ พูดคุยกับวารินสักพักก็เดินเข้าไปนั่งลงข้าง ๆ ธาราธารที่กำลังถูกชักภาพถ่ายรูปในอิริยาบทต่าง ๆ อยู่


เสียงสื่อเซ็งแซ่เกี่ยวกับเรื่องที่พวกเขาสองคนเป็นเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยเดียวกัน ชนาธิปจึงชิงตอบ  “ผมกับธารค่อนข้างสนิทกัน เรารู้จักกันตั้งแต่วันปฐมนิเทศเลยล่ะครับ”


“ถ้าอย่างนั้นโอกาสที่เราจะได้เห็นกลุ่มเงินทุนใหญ่สองกลุ่มร่วมจับมือกันในอนาคตคงมีความเป็นไปได้สูงน่ะสิคะ” นักข่าวสาวยังสัมภาษณ์ต่อ


“แน่นอนครับ ในอนาคตผมกับธารจะยังคงรักษามิตรภาพดีๆอย่างนี้ไว้แน่นอน” ชนาธิปตอบรับขณะที่ธาราธารยังนั่งเฉย  ปวีย์ที่เพิ่งจบจากบทสัมภาษณ์หนังสือเล่มดัง เดินเข้ามาใกล้หย่อนก้นนั่งลงข้าง ๆ   เขาสามคนถ่ายรูปร่วมกันอีกไม่กี่ช็อต พวกสื่อก็หมดคิวสัมภาษณ์ลงพอดี


“เหนื่อยหน่อยนะครับธาร เหนื่อยหน่อยนะธิป” ปวีย์พูดขึ้นอย่างเป็นกัน


“ไม่เป็นไรพี่วี ผมเต็มใจ” ชนาธิปยิ้มกว้างเบียดตัวเข้าหาธาราธารอย่างไม่สนใจใครจะมอง  ธาราธารขยับออกนิดหน่อยอย่างรำคาญ ตัวเขาจึงเบียดเข้าหาปวีย์อย่างช่วยไม่ได้  ปวีย์ตัวสูงใหญ่พอกันกับเขาเพราะอย่างนั้นตอนนี้โซฟาที่ทั้งสามคนนั่งจึงดูแคบลงไปถนัดตา ธาราธารนึกรำคาญจึงลุกขึ้นขอตัว บอกจะไปเข้าห้องน้ำ พอเดินออกมาได้เขาหันหาวารินทันที กะจะให้เดินออกไปพร้อมกัน แต่ดันเห็นเลขาตัวเองยืนคุยอยู่กับเลขาสาวของชนาธิปเสียนี่  ธาราธารหัวเสียขึ้นมาอีกแล้ว


“เดี๋ยวพี่วีไปเป็นเพื่อนก็ได้ครับ ห้องน้ำอยู่ตรงนี้เอง  ปล่อยคุณเลขาบ้างเถอะนะ”


เสียงปวีย์ดังขึ้นด้านหลัง ธาราธารหันมองแต่ไม่สนใจ เขาเดินเลี่ยงออกไปทันที ปวีย์รีบเดินตาม ขณะที่ชนาธิปเองเดินเข้าไปหาวารินอีกครั้งอย่างตั้งใจ


“คุณฟาง ผมอยากได้ขนมเค้กที่ขายอยู่ชั้นล่างไปฝากคนที่บ้านสักหน่อย รบกวนคุณลงไปซื้อให้ผมด้วยนะ”


ฟางข้าวรับคำแล้วเดินแยกออกไปโบกมือให้วาริน  ขณะที่วารินกวาดตามองหาบอสตัวเองแต่ไม่เจอ


“ปล่อยธารเขาบ้างเถอะครับ บางทีอาจกำลังคุยธุระอยู่ก็ได้ เขาไม่หายไปไหนหรอก รายนี้ถ้าไม่สนิทจริง ๆ อย่าหวังว่าเขาจะคุยด้วยนาน ขี้เบื่อง่ายจะตาย”


ชนาธิปพยายามจะสื่อให้รู้ว่าเขาสนิทและรู้จักนิสัยธาราธารดี แต่วารินไม่อยากต่อบทสนทนาอีก จึงบอกขอตัว


“พี่ทรายครับ”  ชนาธิปเรียกขึ้นวารินที่กำลังจะเดินไปอยู่แล้วจึงหันกลับมามอง คนตัวเล็กกว่าเดินเข้าหาใกล้ ๆ  ตั้งใจพูดถ้อยคำบางอย่างให้เขาได้ฟัง


“คืนนั้น...ที่เราค้างด้วยกัน ธารเขาเมามากจริง ๆ พี่ทรายอย่าตำหนิเขาเลยนะครับ ตอนเช้าพอที่บ้านโทรมาว่าคุณแม่เข้าโรงพยาบาลเขาร้อนใจมาก จนธิปไม่อยากปล่อยให้เขาขับรถมาคนเดียว เห็นว่าเหนื่อยมาทั้งคืนเลยต้องนั่งรถมาเป็นเพื่อน กลัวเขาจะง่วงแล้วเผลอหลับน่ะครับ”


“อ้อ...เหรอครับ ผมก็ไม่ได้ตำหนิอะไรเขานะ”


“ขอบคุณนะครับที่พี่ทรายเข้าใจพวกเรา พูดแล้วก็รู้สึกอายแต่ธารเขาเร่าร้อนมากเลยนะครับ เวลาที่เขาเมาแบบนั้น”


ชนาธิปอมยิ้มก้มหน้าที่ขึ้นสีลงนิด ๆ เม้มปากอย่างเอียงอายเมื่อพูดถึงทีท่าที่เร่าร้อนแบบนั้นของอีกคน


“ธิปรู้ว่าพี่ทรายคงจะรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างระหว่างผมกับเขา พี่ทรายเป็นเลขาคนสนิทของธาร เขาคงจะเล่าทุกเรื่องให้พี่ฟังใช่ไหมครับ”


วารินเริ่มแสดงสีหน้าอึดอัดไม่เข้าใจชนาธิปจะมาพูดเรื่องแบบนี้ให้เขาฟังทำไม  ขณะกำลังจะเอ่ยปากขอตัวอีกครั้ง  เป็นชนาธิปที่พูดแทรกขึ้นอีก


“ธิปไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าธารเป็นผู้ชายที่ใจดีแล้วก็จูบเก่งมาก เห็นเขาเย็นชาแบบนั้นแต่เวลาจูบนี่ ธิประทวยไปกับอ้อมกอดของเขาเลยนะครับ  ขนาดสร้อยที่ใส่ติดคอตัวเองมาตลอดยังยอมยกให้ธิปง่าย ๆ  ธิปต้องขอบคุณพี่ทรายจริง ๆ นะครับที่ช่วยดูแลธารได้ดีขนาดนี้ อ้อมกอดของเขาอุ่นมากๆ  พอดีวันนั้นธิปมีเรื่องไม่สบายใจ ธารใจดีกับธิปมาก เราสองคนนอนกอดกันตลอดทั้งคืนเลย”


วารินไม่อยากจะเชื่อว่าชนาธิปจะกล้าพูดเรื่องแบบนี้ออกมา


“อุ้ย ขอโทษนะครับ ปกติธิปไม่ใช่คนที่จะมาพูดจาอะไรแบบนี้นะ แต่เห็นว่าธารติดพี่ทรายมาก เขาเคยบอกว่าพี่ทรายเป็นพี่ชายของเขา คงจะรักพี่เหมือนพี่ชายแท้ ๆ น่ะครับ ลูกคนเดียวก็แบบนี้แหละโหยหาอยากได้พี่ชาย  ขอบคุณอีกครั้งนะครับที่ช่วยดูแลธาร”


“จะขอบคุณทำไมครับ หน้าที่ดูแลคุณธารเป็นหน้าที่ของพี่โดยถูกต้องอยู่แล้วคุณแม่เขาถึงขนาด-มอบ- ให้ผมเป็นคนดูแล ความจริงกรณีอย่างคุณชนาธิปนี่เกิดบ่อยนะครับ ผมโดนเด็กในสต๊อกของเขาร้องเรียนมาบ่อยเลย  เดี๋ยวผู้หญิงคนโน้น เดี๋ยวผู้ชายคนนี้ ธารเขาเสน่ห์แรงน่ะครับ ใคร ๆ ก็อยากใกล้ชิดเขาทั้งนั้น”


“รวมทั้งพี่ด้วยใช่ไหมครับ” ชนาธิปสวน


“สำหรับผมคงไม่ต้องพยายามหรอกครับ เพราะธารเขามักจะเข้าหาก่อนทุกครั้งอยู่แล้ว  คุณก็บอกเองนี่ว่าธารเขา ติดผมมาก คุณชนาธิปเข้าใจได้ถูกต้องแล้วล่ะครับ  เด็กคนนี้แปลก เลือก ติดแต่ของดี ๆ ซะด้วย ของที่เป็นแค่ทางผ่านแวะชิมนิดชิมหน่อยเขาก็เบื่อแล้วล่ะครับ คุณก็บอกเองนะว่าเขาเป็นคนเบื่อง่ายนี่   ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัว”


วารินว่าแล้วเดินแยกออกมาทันทีปล่อยให้ชนาธิปคำรามเสียงต่ำอยู่ในลำคออย่างอัดอั้น เขาไม่ได้หันไปดูหรอกนะว่าเจ้านายของฟางข้าวเพื่อนเก่าของเขาขยี้เท้าไม่ได้ดั่งใจด้วยรึเปล่า แต่ไหน ๆ ก็ได้ตอกกลับไปแล้วต้องเอาให้เจ็บกันไปเลย


.



“ห้องน้ำอยู่นี่ครับ น้องธารจะเดินไปถึงไหนน่ะ” ปวีย์ดึงแขนเสื้อธาราธารไว้เมื่อเห็นว่าเขากำลังจะเดินเลยออกไป  


“เลิกเรียกผมแบบนั้น  ผมไปเป็นน้องคุณตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วนี่ทำไมต้องพามาไกลขนาดนี้ห้องน้ำแถวนั้นไม่มีหรือยังไง”


“แถวนั้นคนเยอะพลุกพล่านไม่ติดระเบียงนี่ครับ ตรงนี้วิวสวยเป็นส่วนตัว จบงานแล้วเราแวะนั่งฟังเพลงที่เลาจน์ที่นี่ก็ดีนะ เขาเปิดเพลงเพราะนะครับ”


ธาราธารส่ายหน้าอย่างรำคาญเดินเลี่ยงเข้าห้องน้ำทำธุระครู่เดียวก็เดินออกมา ปวีย์ยังคงยืนรออยู่ที่เดิม


“จะทำอะไร!” เขาถามเสียงเครียดเมื่อโดนปวีย์ดักทางไม่ให้ออกจากห้องน้ำได้


“ต่อไปพี่คงต้องติดต่องานกับน้องธารบ่อย นี่เบอร์โทรศัพท์พี่นะครับ” เขาว่าแล้วก้าวเข้าหาทันที ธาราธารจึงต้องถอยอัตโนมัติ


“ขอเบอร์ส่วนตัวของน้องธารจะได้ไหม” ขาธาราธารชนขอบเคาน์เตอร์พอดี ขณะที่อีกฝ่ายยังก้าวเข้ามาไม่ยอมหยุด ธาราธารมองหน้าเขานิ่งเอนตัวหนี  วิธีการรุกเข้ามาแบบนี้มันเหมือนกับฝ่ายชายทำกับฝ่ายหญิงไม่มีผิด เจ้าทนายคนนี้เป็นเกย์งั้นหรือ?


“เป็นเหรอ?” ธาราธารถามสั้น ๆ มองตาสื่อความนัยน์ถึงเรื่องที่ถาม ขณะที่มือยกขึ้นดันหน้าอกเขาไว้ เมื่อเขายังเดินหน้าเข้าหาไม่หยุด


“เราสองคนก็เหมือนกันนี่” ปวีย์ตอบกลับมา นัยน์ตาคมกริบหรี่บอกเป็นนัยน์ๆ ได้ทั้งหญิงทั้งชายเหมือนกัน


“ผมไม่มีรสนิยมแบบคุณ ถอยไป” ธาราธารผลักทีเดียวเขากระเด็นออกไปทันที


“แล้วมีรสนิยมแบบไหน อย่าบอกว่าแบบเลขาหน้าจืดนั่นนะ”


“เงียบ! ถ้าไม่อยากเจ็บตัวถอยไปให้ห่าง คุณไม่มีสิทธิ์พูดดูถูกใครทั้งนั้น”


“นี่ขนาดโมโหก็ยังสวยเลยนะ”


ผั๊วะ!!!!


“ไอ้เหี้ย  กูเป็นผู้ชายเรียกสวยอยู่ได้ มึงรู้ไหมว่ากูรำคาญ”


ธาราธารขึ้นสุดขีดสบถคำหยาบไม่สนใจใครหน้าไหนแล้ว ซัดปากปวีย์เข้าอย่างแรง  เนื่องจากมือที่เริ่มอยู่ไม่สุขของอีกฝ่ายเริ่มลามปามมาแถวๆสาบเสื้อสูทของเขา   ปวีย์เซลงที่พื้นทันที หมัดธาราธารไม่เบาเลย เขาสองคนตัวสูงใหญ่พอ ๆ กัน ปวีย์ที่ล้มลงไปเงยหน้ามองธาราธารแล้วยิ้มยั่ว


“สวยแล้วยังดุอีกด้วย น่าสนใจจริงๆ” เขายกมือลูบคางเดาะลิ้นดุนดันกระพุ้งแก้มรับรสเลือดฝาด


“หลีกไป!” ธารก้าวเท้าข้ามท่อนขายาวแข็งแรงที่ขวางทางไว้แล้วเลี้ยวหายออกไปอย่างหัวเสีย  ปวีย์ลุกขึ้นมองตามตาวาว ในมือถือแกร่งกำไอโฟนสีดำของใครบางคนบีบไว้แน่น


.
.


“คุยกับใคร  เสร็จหรือยัง กลับได้แล้วใช่ไหม”  เขาเดินมาถึงตรงที่วารินยืนคุยโทรศัพท์อยู่พอดี ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์


“ธารไปไหนมา พี่หาเราตั้งนาน  นี่ก็โทรหาอยู่”


ธาราธารรีบจับดูที่กระเป๋าเสื้อสูท โทรศัพท์เขาไม่อยู่กับตัวแล้ว นึกไปถึงเรื่องเมื่อสักครู่  คิดว่าเจ้าทนายโรคจิตนั่นคงหยิบไปตอนเขาเผลอแน่


“กลับเถอะ”


เขาว่าตัดบท แล้วเขากับวารินก็เดินตามกันออกมา แขกเหรื่อบางตาลงมาก วารินพาบอสของตัวเองไปบอกลาคนสำคัญบางท่านก่อนจะขอตัวกลับ


“แล้วเจอกันอีกนะครับ คุณธาร!” ปวีย์ว่ายิ้ม ๆ แล้วยื่นโทรศัพท์มือถือคืนให้ ธาราธารคว้าเอาไว้อย่างแรง พร้อมดึงแขนวารินให้เดินออกไปด้วยกันทันที


“ธารใจเย็น ๆ ช้า ๆก็ได้ หิวอะไรไหม กินเค้กรึเปล่า” วารินที่ไม่ได้รู้เรื่องราวระหว่างปวีย์กับธาราธารถามขึ้น


“ไม่อ่ะ  รีบกลับเถอะ ผมง่วงแล้ว” เขาว่าพร้อมก้าวเดินออกไป ขณะที่ทินกรขับรถเข้ามาจอดเทียบรออยู่แล้วอย่างรู้งาน ไม่นานนักรถหรูคันใหญ่ก็มาหยุดลงที่หน้าคฤหาสน์หลังงาม วารินก้าวตามหลังเขาลงมา


“เดี๋ยวขึ้นมานอนกับผมนะ ขี้เกียจลงไปนอนข้างล่าง ร้อน”


เขาว่าแล้วเดินเข้าบ้าน ขณะที่มือขยับถอดโบว์ของทักสิโด้ที่สวมอยู่ออก ปลดกระดุมที่รัดแน่นไปทุกส่วนสัดออกเพื่อความสบาย


“ไม่เอาหรอก ธารนอนไปเถอะ พี่เหนื่อยแล้วอยากพักผ่อนเหมือนกัน”


“พี่ทราย” ทันทีที่วารินพูดจบแล้วทำท่าจะเดินแยกไปหลังบ้าน เขาเรียกไว้ทันที เสื้อนอกถูกโยนโครมลงบนโซฟาอย่างไม่สนใจ


“จะให้ผมลงไปนอนด้วยงั้นใช่ไหม” เขาเดินหน้าเข้าหา ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตที่ข้อมือ


“ม..ไม่ใช่แบบนั้น คือพี่เหนื่อยอยากจะอาบน้ำพักผ่อนเหมือนกัน”


“พี่ก็ทำให้เสร็จแล้วขึ้นมานอนพักข้างบน แค่นั้นเอง มันไม่พักผ่อนตรงไหน หรืออยากให้ผมลากขึ้นไปเหมือนเมื่อก่อนอีก”


“ธาร!


“ครึ่งชั่วโมง อาบน้ำให้เสร็จแล้วเอากาแฟขึ้นมาให้ผมด้วย” เขาว่าแล้วเดินขึ้นบันไดไป ท่าทางไม่ค่อยสบอารมณ์นัก แต่วารินไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไร


สามสิบนาทีหลังจากนั้น วารินในชุดนอนขายาวสีขาวผ้านิ่มเนื้อดีกำลังยืนชงกาแฟดำอยู่ที่ห้องครัว  นึกเกลียดคำว่ากาแฟของคนสั่งจริง ๆ เอาขึ้นไปให้ทีไรไม่เคยได้กลับลงมา ต้องป้อนกันถึงปากเสียทุกครั้ง


เผลอแอบคิดว่าวันนี้อาจไม่เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ธาราธารทำงานมาทั้งวันคงจะเหนื่อยและหมดพลังไปแล้ว เผลอๆอาจจะนอนหลับไปแล้วด้วยซ้ำ


“กำลังนึกว่าพรุ่งนี้จะให้ช่างมาติดแอร์ที่ห้องเล็กหลังบ้านอยู่พอดี”


กาแฟร้อนหอม ๆถูกบรรจงวางลงบนโต๊ะ เขานั่งรออยู่ที่ห้องหนังสือ วารินมองดูหนังสือที่เขากำลังอ่าน ตำราแพทย์เล่มโตเนื้อหาทางกายภาพวิทยา นึกสงสารเขาขึ้นมาจับใจกลับมายังต้องมานั่งอ่านหนังสือเรียนอีก


“ถ้าบอกให้ขึ้นมานอนข้างบนพี่คงไม่ยอม งั้นตึกเล็กติดแอร์มันเสียทุกห้องเลยก็แล้วกัน”


“ธารนอนเถอะนะ ดึกมากแล้ววันนี้เหนื่อยมาทั้งวัน พรุ่งนี้ค่อยอ่านต่อดีไหมหนังสือน่ะ”


“พี่ทราย” วารินว่าแล้วจะเดินกลับออกไปแต่เขาเรียกเอาไว้ก่อน


“ผมลืมมือถือไว้ใต้หมอน เดินเข้าไปเอาให้หน่อยสิ”


ห้องหนังสืออยู่ติดกันกับห้องนอนของเขา เพียงแค่เปิดบานประตูเชื่อมออกก็สามารถเดินเข้าออกระหว่างสองห้องนี้ได้เลย วารินหันมองเขานิดหน่อยก็จำใจเดินไปที่ประตูเชื่อมเปิดมันออก แสงไฟหรี่สีส้มที่หัวเตียงถูกจุดไว้รออยู่แล้วกลิ่นหอมของลาเวนเดอร์ระรวยรินทั่วห้อง  ขณะวารินก้มลงหยิบหยิบโทรศัพท์ที่ใต้หมอนใบนุ่มออกมา ไม่ทันจะได้เดินพ้นจากขอบเตียงด้วยซ้ำ มือใหญ่เข้าผลักร่างเล็กกดลงบนที่นอนหนานุ่มของเขาด้วยความรวดเร็ว


“ธาร!”


“บอกไว้แล้วนี่ วันนี้จะลงโทษหนัก เพราะพี่ไม่ยอมให้ผมทำที่นั่น ความผิดพี่ไม่ใช่เหรอ”


“ไม่เอาธาร พี่เหนื่อยง่วงนอน”


“อย่ามาโกหก เหนื่อยอะไรกันเห็นคุยกับใครสีหน้าร่าเริงขนาดนั้น? อย่าคิดว่าผมไม่เห็นนะ  ท่าทางสนิทสนมกันมากเลยนี่”


เขาว่าแล้วล้มตัวลงนอนข้าง ๆ กอดเอววารินไว้แน่น ไม่ยอมให้อีกคนลุกได้


“บอกผมหน่อยสิ พี่คุยกับใครเหรอ? ผู้หญิงคนนั้น” เขาแกล้งกัดไหล่เล็กเบา ๆ ผ่านเสื้อนอนบาง ๆ ที่วารินสวมใส่


“เพื่อนเก่าน่ะ ไม่เจอกันเป็นสิบปีแล้ว”


“แล้วไป อย่าให้รู้นะว่าเป็นแฟนเก่า”


วารินกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ไม่คิดจะบอกออกไปหรอกว่าเคยชอบฟางข้าวถึงขนาดถ่อไปขอเบอร์มาแล้ว นี่ขนาดแค่คุย เขายังถามซอกแซกขนาดนี้ ถ้ารู้ว่าเคยชอบผู้หญิงคนนี้ รับรองคืนนี้โดนจัดจนถึงเช้าแน่


“นอนนี่แหละนะ นอนด้วยกัน ง่วงแล้ว”


เขาพูดว่าง่วงแล้วแต่ปลายจมูกโด่งแสนซนของเขาเริ่มฝังลงซุกไซ้กับซอกคอหอมกลิ่นนม ขณะที่ฝ่ามืออุ่นเริ่มล้วงผ่านชายเสื้อเข้าไปลูบไล้เอวบางอย่างนุ่มนวล


ที่จริงแล้ววารินควรจะสะท้านกับรสสัมผัสของเขามากกว่านี้ แต่เพราะคำพูดแบบนั้นของชนาธิปที่ยังวนเวียนอยู่ในหัว จึงทำให้ความรู้สึกดี ๆ ที่ควรจะมีหดหายไปหมด ร่างกายเริ่มต่อต้านเขาขึ้นมา


“ธาร”


วารินเรียกแล้วลุกขึ้น มือเล็กยันร่างเขาไว้ ธาราธารชะงักแล้วเงยหน้ามองทันที


“เข้าห้องน้ำเดี๋ยวนะ” ว่าแล้วลุกขึ้นเดินเข้าห้องน้ำไป


ในห้องน้ำที่มีแท่นดินปั้นเล็ก ๆ จุดเทียนหอมกลิ่นลาเวนเดอร์กลิ่นรวยรินกระจายไปถึงด้านนอก    วารินมองเงาสะท้อนของตนเองในกระจกบานใหญ่เหนืออ่างล้างหน้า ในสมองยังเต็มไปด้วยคำบอกเล่าของชนาธิป ยิ่งธาราธารมาทำแบบนี้ด้วยก็ยิ่งคิดมาก


“พี่ทราย”


เสียงทุ้มดังขึ้นที่หน้าประตูห้องน้ำที่วารินไม่ได้ปิดเอาไว้  เรียกให้วารินต้องหันขวับไป


“เป็นอะไรรึเปล่า? สีหน้าพี่ไม่ค่อยดีนะ” เขายืนเท้าแขนกับกรอบประตูมองคนที่ยืนอยู่ด้านใน เขาช่างสังเกตมากจริง ๆ


“เปล่า ไม่มีอะไร” วารินค่อยแทรกกายเดินผ่านออกมา


“ธาร พี่ลงไปนอนข้างล่างได้ไหม คือว่า....”   ยังว่าไม่ทันจบแขนเล็กก็ถูกเขากระชากแล้วดึงไปเหวี่ยงลงบนเตียงทันที ร่างกายสูงใหญ่ขึ้นทาบทับอย่างไม่รอช้า


“เป็นอะไร”


วารินเลี่ยงไม่อยากมองเขา “เปล่า ใจเย็น ๆ ธาร”


“ถ้าเปล่าจริง ๆ ก็ต้องนอนที่นี่”


“อย่าธาร ไม่เอา”  วารินปัดมือเขาออกทันทีที่เขาทำท่าจะแกะกระดุมเสื้อของวารินออก


“ทำไม?” คราวนี้เขาหน้าเครียดขึ้นมาแล้วจริง ๆ “หรือว่าอยากจะให้ผมใช้กำลังเหมือนเมื่อก่อนอีก”


“พี่...ไม่มีอารมณ์น่ะ”


“ไม่เป็นไรนะ เชื่อมือผมเถอะ เดี๋ยวจะทำให้ร้องดัง ๆ เลยดีไหม”


พอวารินตอบออกมาแบบนั้นเขาดูผ่อนคลายขึ้นนิดหน่อยกระตุกยิ้มนิดๆ มือไม้เริ่มสอดเข้าลูบไล้เรือนกายนุ่มนิ่ม ส่งเสียงกระซิบลงที่ริมหูเล็ก “ไม่ใช้มือแกะแล้วก็ได้  เดี๋ยวใช้ปากค่อย ๆ แกะดีกว่านะ”


วารินจนใจที่จะขัดขืน หลับตาลงปล่อยให้เขาใช้ริมฝีปากค่อย ๆ ปลดเปลื้องกระดุมออกที่ละเม็ด ทีละเม็ด ในที่สุดอาภรณ์ชิ้นสุดท้ายก็หลุดออกมาจากร่าง เขายืดตัวขึ้นถอดเสื้อที่สวมใส่ออกทางศีรษะ นัยน์ตาคมกริบกวาดมองร่างเปลือยเปล่างดงามอย่างชื่นชมหลงใหล ในขณะที่วารินยังคงพริ้มตาแน่น


หัวใจทำไมต้องเฝ้านึกถึงแต่คำพูดบ้า ๆ แบบนั้นของชนาธิปด้วยก็ไม่รู้ 


“พี่ทราย” ธาราธารพึมพำด้วยน้ำเสียงที่สั่นพร่าขณะสอดมือเข้าที่แผ่นหลังเนียนแล้วรั้งร่างเล็กขึ้นมาแล้วจูบลงที่ซอกคอขาวเนียนไล่ขบเม้มไปจนถึงริมฝีปากสวย เขาตักตวงความหอมหวานของกลีบปากนุ่มและเรียวลิ้นเล็กอย่างอ่อนหวานระคนเร่าร้อน


จูบของเขาทำให้วารินอ่อนระทวยเหมือนทุกครั้งก็จริงแต่จิตใจกลับไม่อาจมีความสุขไปกับรสสัมผัสที่เขามอบให้เลยเมื่อนึกไปถึงว่าเขาเพิ่งจะมอบจูบที่เร่าร้อนแบบนี้ให้กับใครอีกคน


จู่ ๆ ดวงหน้าสวยน่ารักก็พลิกหลบจุมพิตดื่มด่ำของเขา ธาราธารชะงักทันทีจ้องมองกิริยานั้นอย่างงงงัน โดยเฉพาะเมื่อวารินพลิกตัวนอนตะแคงดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดบังร่างกายส่วนล่างแล้วหันหลังให้เขา


“พี่ทราย?” เสียงทุ้มครางเรียก หากแต่วารินไม่ยอมตอบ ธาราธารชั่งใจครุ่นคิดก่อนจะก้มลงแตะริมฝีปากกับลาดไหล่เนียน ค่อย ๆ ไล้ไปตามเรียวแขนสวย


“ธาร” เสียงเล็กเรียกสั่นพร่า ในยามที่เขาลากไล้ริมฝีปากลงไปจนถึงเอวบางเนียนนุ่ม


“กับชนาธิปธารก็ทำแบบนี้ด้วยเหมือนกันใช่ไหม?  จูบที่เร่าร้อนแบบนี้ ธารชอบจูบคนที่ธารนอนด้วยทั้งเนื้อทั้งตัวทุกคนนี่นะ”


ธาราธารละตัวขึ้นทันที ขยับขึ้นมาดึงไหล่บางให้พลิกกลับมาหาเผชิญหน้ากับเขาไม่เบาเลย จ้องหน้าวารินนิ่ง


“คุยอะไรกับชนาธิปมาใช่ไหม” เขาถามเสียงเข้ม


“เมื่อกี้ที่งานเลี้ยงก่อนผมจะเดินเลี่ยงไปห้องน้ำเห็นชนาธิปเดินเข้าไปหาพี่ คุยเรื่องอะไรกัน เขาพูดอะไรให้ฟังใช่ไหม”


วารินหันไปอีกทางไม่อยากตอบเขา ปัดมือเขาออก


“พี่หึง?”


“ไม่ได้หึง”วารินสวนขึ้นทันที


“อย่ามาโกหก ไม่หึงแล้วจะงอนผมแบบนี้ทำไม”


“พี่ไม่ได้งอนนะ ธารนั่นแหละ มีคนของตัวเองอยู่แล้วจะมายุ่ง.....”


“ปากพี่นี่ยั่วผมได้ดีเยี่ยมจริง ๆ เลยนะ ตลอดอ่ะ ว่าจะไม่ทำอะไรรุนแรงแล้วแต่ก็โดนยั่วเข้าจนได้” วารินพูดไม่ทันจบเขากดไหล่เล็กลงที่เตียงทันที  กระชากผ้าห่มออกไปให้พ้นร่างกายคนใต้ร่างอย่างนึกรำคาญ


“ฟังนะ ฟังดี ๆ วันนั้นผมจูบกับเขาจริง ผมเมามากเห็นหน้าเขาเป็นหน้าพี่ตั้งหลายหน แต่เราไม่มีอะไรกัน แค่จูบ”


“แต่ธารกอดเขา นอนกอดเขาไว้ทั้งคืน”


“ใช่ ผมกอดเขาจริง ผมผิด โอเคจบนะ”


“ธารขี้โกง”


“อย่าพูดเรื่องคนอื่นเลยได้ไหม เลิกคิดเลิกพูดเรื่องเครียดๆ ผมอยากให้พี่รู้ไว้นะ ผมไม่เคยมีใครอื่นอีกนับตั้งแต่วันแรกที่ตัดสินใจบอกรักพี่แล้ว”


วารินเบิกตามองเขาทันที ธาราธารไม่เคยเอ่ยคำๆนี้กับเขานานแล้วนับตั้งแต่เกิดเรื่องจนเขาคิดว่าจะไม่มีโอกาสได้ฟังมันจากปากของเขาคนนี้อีกแล้ว


“เชื่อใจผม”


.....เชื่อมั่นในความรักของผม.....


“...ธาร...”


“วินาทีนี้ผมเป็นของพี่แล้ว อย่านึกถึงคนอื่น อย่าคิดถึงคำพูดใคร  ผมคนนี้เป็นของพี่คนเดียวเท่านั้น...พี่ทราย”


วารินสะท้านน้อย ๆ ทันทีที่สิ้นคำพูดนั้น  ริมฝีปากร้อนงับเม้มลงบนจุดชีพจรบนลำคอขาว สัมผัสที่สร้างความรู้สึกเสียวซ่านบาดอารมณ์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ ร่างเล็กเปลือยเปล่าบิดสะท้านขนลุกเกรียวไปทั้งร่าง พร้อมๆกับเสียงครางผะแผ่วในลำคอถูกระบายออกมาอย่างซาบซ่านในอารมณ์


เขาละริมฝีปากร้อนออกจากซอกคอหอมกรุ่น ไล่พรมจุมพิตไปทั่วทั้งร่างและมาหยุดลงที่ยอดอกชูชัน ตั้งใจเก็บเกี่ยวความหอมหวานให้สาสมกับที่รอคอยมาตลอดทั้งวัน ริมฝีปากร้อนและเรียวลิ้นนุ่มดูดดึงอย่างเร่าร้อนกระหายหิว ร่างเล็กแอ่นสะท้านราวกับจับไข้ เสียงหวานครางเครือต่อเนื่องกับความไม่รู้จักอิ่มของเขา


วารินหน้าแดงก่ำไปด้วยฤทธิ์เสน่หา มองเห็นแล้วว่าเขากำลังค่อยเคลื่อนตัวต่ำลง จนกระทั่งเรียวขาสวยถูกมือแข็งแรงดันให้แยกห่างออกจากกัน หน้านวลยิ่งซับสีหนักยิ่งกว่าเดิมเมื่อเห็นนัยน์ตาคมกริบจับจ้องนิ่งอยู่ที่ปราการทางด้านหลังขณะที่แท่งสวยชูชันชุ่มเยิ้มไปด้วยหยาดหยดน้ำค้างใส


“ยะ..อย่ามองนะธาร”


อายจนไม่รู้จะพูดอย่างไรดีแล้ว เมื่อได้เห็นสายตาทอดนิ่งของเขาเฝ้ามองสิ่งหวงแหนของตนอย่างหลงใหล


“อายทำไม ผมเห็นไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้ว เพิ่งจะมาอายเอาป่านนี้?”


เขาว่ายิ้มๆ ขณะมือผลักสองขาเรียวที่พยายามจะหุบเข้าหากันให้แยกกว้างออกยิ่งกว่าเดิมเพื่อให้เขาได้เห็นอย่างเต็มสายตา เอื้อมตัวมาเปิดลิ้นชักที่หัวเตียงหยิบอะไรบางอย่างออกมา


วารินหลับตาลงแน่น ไม่อยากมองแล้วว่าเขากำลังจะทำอะไรอีกบ้างจนกระทั่งรับรู้ถึงสัมผัสเย็นจากปลายนิ้วแข็งแรงที่กรีดไล้ตรงรอยแยก นวดวนอยู่รอบ ๆ ก่อนจะค่อยแทรกสอดปลายนิ้วร้อนเข้ามาผ่านผนังนุ่มนิ่ม ขณะเดียวกันมีบางอย่างนุ่มชื้นแตะสัมผัสเข้าที่ส่วนชูชันและครอบลงจนจบมิดขณะที่นิ้วร้ายเริ่มขยับเข้าออก  เขาโจมตีจุดอ่อนไหวพร้อมกันอย่างไม่ปราณีส่งผลให้ร่างบอบบางแอ่นเกร็งสะท้านไปกับความเสียวปลาบรุนแรง ยิ่งเขาใช้ริมฝีปากร้อนดูดดึงที่ส่วนหัวจนเกิดเป็นเสียงน่าอาย วารินยิ่งสะท้านครางเสียงออกมาอย่างเต็มที่กับรสสัมผัสแสนรัญจวน


เขาถอนริมฝีปากออกจากส่วนนั้นเมื่อเห็นว่าวารินเริ่มจะไม่ไหว ยังไม่อยากให้ไปถึงเส้นของฟ้าก่อนอยู่ฝ่ายเดียว ปลายลิ้นร้อนกวาดไล้ไปทั่วทุกตารางนิ้วของซอกนุ่มหยุ่น น้ำค้างใสยังคงไหลปริ่มออกมาอย่างน่าตีเป็นที่สุด


“กลั้นไว้ก่อน รอไปพร้อมผม” เขาเงยหน้าขึ้นมากระซิบสายตาเต็มไปด้วยไฟเสน่หา วารินส่ายหน้าอย่างทนไม่ไหว เขาบอกให้กลั้นเอาไว้ก่อนหากแต่ไม่ยอมละเรียวนิ้วร้ายกาจที่สอดแทรกเข้า ๆ ออกๆอยู่ที่ส่วนอ่อนไหวนั้น


“ผมไม่อยากให้พี่เจ็บมาก อดทนนิดนึงนะ”


“อ้ะ...” นิ้วที่สองที่สอดแทรกตามเข้ามาสร้างความคับตื้อเพิ่มขึ้นอีก วารินเกร็งร่างเมื่อเขาเริ่มขยับปลายนิ้วอีกครั้ง ขณะที่ริมฝีปากตรงเข้ารูดรั้งทั้งดูดทั้งเล็มเร่งเร้าไปทั้งสองอย่างควบคู่กัน วารินเสียวซ่านแทบขาดใจ


“ธ...ธาร พี่ไม่ไหว”


เสียงครางเร่าร้อนท่อนขาเรียวรัดไหล่เขาไว้แน่น เมื่อรู้สึกถึงเกลียวคลื่นที่พัดวนรุนแรง สัญญาณที่บ่งบอกว่าจุดสุดยอดแห่งความปรารถนากำลังจะมาเยือน


“ชู่ว์อย่าเพิ่งไป รอผมก่อน”


เขาเลื่อนกายขึ้นมากระซิบจับวารินพลิกคว่ำเปลี่ยนท่วงท่า ดวงตากลมลืมขึ้นอย่างงุนงง ภาพสะท้อนดวงหน้าแดงก่ำของตัวเองในกระจกเงาบานใหญ่หน้าตูเสื้อผ้าทำเอาวารินถึงกับอึ้งไป เขาเปลี่ยนมาทำที่มุมนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน


“ธาร....ธาร...”


เสียงเล็กพึมพำเรียกชื่อเขา สายตาจับภาพสะท้อนของร่างสูงใหญ่ในกระจกกำลังรั้งสะโพกมนของตัวเองยกสูงขึ้น กว่าที่วารินจะได้ตั้งตัว บางสิ่งที่ร้อนแรงและอลังการกว่านิ้วมือมากมาย ก็สอดแทรกเข้ามาภายในกายอย่างดุดัน วารินผวาเฮือกมือเล็กกำจิกผ้าปูที่นอนแน่นพร้อมส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวด “อื้ออ..”


“พี่ทราย” เขาโน้มใบหน้าลงมากระซิบ “เจ็บนิดเดียวนะ ผมไม่ไหวแล้ว ร่างกายพี่ทำผมแทบคลั่ง ทนนิดนึงนะครับคนดี”


“ธ...ธาร...”


วารินข่มความเจ็บปวด ตอบเขาด้วยน้ำเสียงขาดห้วงเป็นระยะตามแรงที่เริ่มขยับ แรงบีบรัดจากช่องทางคับแคบที่ถูกล่วงล้ำเข้าไปบีบรัดเขาแน่นเหลือเกิน อีกทั้งเจ้าของร่างนุ่มนิ่มยังเกร็งตัวกว่าทุก ๆ ครั้งที่ผ่านมา มือหนานวดคลึงบั้นท้ายอวบอิ่มเพื่อให้อีกคนผ่อนคลาย จนกระทั่งเมื่อเขารู้สึกได้ว่าอาการเกร็งของอีกฝ่ายลดลงแล้ว จึงกระชับจับเอวบางไว้มั่นก่อนจะกระแทกร่างเข้าหาถี่ ๆ เพื่อนำพาตัวเองไปจนสุดทาง


“ธาร!” วารินร้องลั่นเรียกชื่อเขา ใบหน้าเล็กฟุบลงไปกับที่นอนนุ่ม “ธาร..อื้ออ...อื้อ..”



“ทำแบบนี้ ทำแบบนี้แล้วจะไม่เจ็บ” ธาราธารหยุดขยับสะโพก แต่ยังไม่ยอมถอนร่างออกไป ดึงแขนเล็กจับบังคับให้สอดผ่านเข้าใต้ร่างเจ้าตัว มือใหญ่เข้าประคองมือเล็กให้รูดรั้งแก่นกายเร่าร้อน


“ขยับนะ แล้วจะไม่เจ็บ ทำไปพร้อม ๆ กับผม”


เสียงครางเสียวซ่านจากคนตัวเล็กที่เขาจับบังคับให้ทำกับตัวเอง ดังลั่นขึ้นเป็นเท่าตัว ความรู้สึกเจ็บปวดจุกแน่นถูกแทนที่ด้วยความกระสันเสียวไปตามหน้าท้องลามลงไปจนถึงปลายขา เขายังจับมือเล็กเข้ารูดรั้งอยู่ไม่ห่างขณะที่สะโพกแกร่งเริ่มขยับไปพร้อม ๆ กัน


“พี่ทราย..” เสียงสั่นพร่าดังจากด้านหลัง “เงยหน้าขึ้นหน่อย ผมอยากเห็นหน้าพี่”


วารินเงยหน้าขึ้นตามที่เขาบอก ดวงตาสวยแดงก่ำด้วยฤทธิ์พิศวาส 


“มองไปที่กระจก มองผมให้เต็ม ๆ ตา”  


เขาบอกวารินเช่นนั้น แต่เป็นตัวเขาต่างหากที่กำลังจับสายตาคมดั่งเหยี่ยวอยู่ที่ร่างกายเล็ก ๆ ที่เชื่อมต่ออยู่กับตัวเขา วารินหน้าร้อนผ่าว ยิ่งเห็นก็ยิ่งอายรีบเบือนสายตาหลบไปทางอื่น


“อายเหรอ?  ไม่ต้องอายหรอก ดูซิเราสองคนทำอะไรกันอยู่”


เขาโถมร่างกายใส่ เอ่ยเสียงปนหอบ ภาพสะท้อนที่กระจกแสดงถึงบทรักเร่าร้อน มือใหญ่จับเอวขอดกระชากรั้งให้ขยับรับแรงกระแทกถี่เร็วตามอารมณ์ที่กำลังพุ่งสูงขึ้น วารินครางออกมาอย่างลืมแล้วซึ่งความอาย มือเล็กขยับรูดรั้งส่วนเร่าร้อนของตัวเองทั้งแรงทั้งเร็ว จนใกล้จะถึงจุดแตกดับ


“ธาร...อื้อ..ธาร..” เสียงเล็กครางอ้อนวอน เขาโอบท่อนแขนรั้งตัวบอบบางให้ยืดตัวขึ้นจูบลงไปที่ต้นคอหอม กระซิบชิดลงที่ริมหูเสียงกระเส่า


“ไปพร้อมกัน...อ่าา”


นัยน์ตาคู่สวยฉ่ำปรือ มองสบดวงตาคมที่สะท้อนอยู่ในเงาของกะจก เห็นเขากัดฟันข่มกรามแน่น ดวงหน้าคมเข้มบิดเบี้ยวด้วยความทรมานระคนกระสันรุนแรงไม่ต่างไปจากตัวเอง สะโพกแข็งแกร่งถูกเร่งจังหวะจนถึงขีดสุด เสียงครางต่ำดังลั่นห้อง กลีบนุ่มนิ่มตอดรัดร้อนผ่าวด้วยแรงเสียดสีของความแข็งแกร่งกำยำ


เขาปัดมือเล็กของวารินที่ขยับของตัวเองออกแล้วเข้าปรนแปรอให้ด้วยฝ่ามือองเขา  จังหวะที่เขามอบให้ทั้งสองจุดร้อนทำเอาวารินครางฮือขึ้นมาอีกหน  ร่างกายเล็กมิอาจทานทนต่อรสพิศวาสของเขาได้อีกต่อไปแล้ว เสียงกรีดร้องแห่งความสุขสันต์ดังระงมเมื่อเขาสวนกายกระแทกเข้าหาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่หัวใจดวงเล็กจะโค้งสูงแตะเส้นขอบฟ้า ธารรักร้อนแรงพวยพุ่งออกมาเลอะเต็มมือของเขา  


ธาราธารเองก็ไม่ต่าง เขาปล่อยเสียงครางลั่นยาว ขณะที่ความเร่าร้อนภายในกายฉีดพล่านพุ่งเข้าสู่ความอ่อนนุ่มที่บีบรัดความแข็งแกร่งของเขาอยู่ ร่างกายเบาโหวงราวกับว่ากำลังจะหลุดลอยไป กายหนาขยับทาบทับลงไปที่แผ่นหลังเนียนนุ่มที่ฟุบคว่ำลงไปกับที่นอนอย่างหมดสิ้นเรี่ยวแรง อ้อมแขนแกร่งตวัดกอดรัดร่างกายบอบบางนั้นไว้ราวกับว่าเป็นของรักของหวงที่มีแค่ชิ้นเดียวในโลกหล้า ริมฝีปากร้อนพรมจูบที่ไหล่ขาวเนียน เขาชอบขบไหล่เล็กเล่นมากจริง ๆ


“นี่คือบทลงโทษ” เขากระซิบ


“ลงโทษ?”วารินทวนคำพยายามจะหันมามอง


“ลงโทษคนที่ชอบยั่วให้ผมโมโห  ยั่วให้ผมโกรธ  ลงโทษคนขี้หึงแล้วยังปากแข็งว่าตัวเองไม่ได้หึง”


จมูกซุกซนของเขาซอกแซกแถว ๆ ต้นคอเล็ก วารินย่นคอหนีอีกฝ่ายก็ยังตามมาไม่ยอมปล่อยให้ห่าง


“ไม่คิดอะไรมากแล้วใช่ไหม  เรื่องชนาธิปผมยืนยันได้ผมไม่มีอะไรกับเขาแน่นอน เชื่อใจผมต่อไปขึ้นมานอนกับผมที่นี่นะ ได้ใช่ไหมครับ”


“ธาร” พอได้ยินเขาพูดแบบนั้น วารินรีบลุกขึ้น ยื้อกายออกจากวงแขนของเขา ธาราธารมองตามอย่างไม่เข้าใจ


“เมื่อไหร่ก็ตามที่ธารต้องการพี่ ๆจะขึ้นมาหา แต่ถ้าหากจะให้พี่ขึ้นมานอนที่นี่กับธารพี่คงทำอย่างนั้นไม่ได้ พี่อยากให้ธารตระหนักถึงสถานะของเราทั้งคู่ด้วย”


“คืออะไร??”


“ธารเคยบอกไว้เองว่าพี่อยู่ที่นี่ในฐานะคนรับใช้ เป็นแค่ที่ระบายอารมณ์เวลาที่ธารอยากและต้องการ คำพูดของธารพี่....”


....พี่ไม่เคยจะลืมลงได้เลย....


“พี่ทราย... 


ดวงตาคมกริบแดงก่ำเมื่อได้ฟังถ้อยคำที่เขาเคยพูดทำลายหัวใจคนที่เขารักไปแบบนั้น แววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดจับจ้องอยู่ที่ดวงหน้าเล็ก


เขารู้...ในตอนนั้น เขาเคยพูดสิ่งเลวร้ายมากมายกับคน ๆ นี้


เขารู้...เขาทำเรื่องไม่ดีและรุนแรงมากมายใส่ เพียงเพื่อให้ตัวเองได้ระบายความโกรธแค้น 


คำพูดเลวร้ายรุนแรงถูกระบายออกมาเพื่อความสะใจเท่านั้น


ทว่าตอนนี้ ถ้อยคำที่วารินพูดออกมานั้นเต็มไปด้วยแววตัดพ้อ....น้อยใจ


“ธาร  สถานะของเรา....”


“ไม่เอา ไม่พูดแล้ว” เขาปรามไม่ให้พูดต่อ รั้งแขนเล็กให้ร่างบอบบางลงมานอนแนบชิดกันอีกครั้ง  “ลืมมันไปให้หมดได้ไหม สิ่งไม่ดีที่ผ่านเข้ามาระหว่างเรา พี่จะลืมมันไปได้รึเปล่า”


“ธาร!”


“ถ้าพี่สัญญาว่าจะลืมมันได้ เรื่องราวไม่ดีของพี่ผมเองก็จะทำใจให้ลืมมันไปเหมือนกัน ผมจะพยายาม...พี่ทราย”


วารินหันไปมองหน้าเขาชัด ๆ สบในตาคมคู่นั้นนิ่ง เห็นชัดถึงประกายหนักแน่นและจริงใจ ปะปนไปกับความรู้สึกผิดอยู่เต็มอก  มือแกร่งเชยคางมนขึ้นมาจูบแผ่วเบา


“...ผมเป็นของพี่....” กระซิบลงที่ริมหูเล็ก จ้องหน้าวารินนิ่ง



...โปรดเชื่อใน รักของผม....



ตากลมโตยังจับอยู่ที่ดวงหน้าหล่อเหลาของเขาไม่ยอมขยับไปไหน ในดวงตาคมของเขานั้นเหมือนกำลังร้องขอให้วารินทำอะไรสักอย่างกับคำพูดจากหัวใจที่เขาเพิ่งกลั่นมันออกมา



ในที่สุดมือเล็กค่อยเอื้อมไปกอดเอวเขาไว้ เอ่ยถ้อยคำที่ทำให้หัวใจดวงโตได้กลับมาสดใสขึ้นอีกครั้ง



“พี่ก็เป็นของธาร”



วงแขนใหญ่รวบเอาร่างเล็กเข้าแนบชิดกอดเอาไว้ทั้งตัวอย่างรักใคร่ เฝ้าจูบลงที่เรือนผมหอมซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่รู้จะกล่าวคำขอบคุณกับใครเมื่อวารินเอ่ยคำๆนี้ออกมา 


สักวันหนึ่ง......


เขาจะเอ่ยคำว่า รัก มอบให้กับคนในอ้อมกอดด้วยใจที่บริสุทธิ์อย่างแท้จริง


วันเวลาจะช่วยให้เขาลืมเลือนเรื่องไม่ดีที่ผ่านเข้ามาได้...และเมื่อถึงตอนนั้น


คนในอ้อมกอดนี้จะได้คำว่า รักจากเขาอย่างเต็มหัวใจ และไม่มีอะไรเคลือบแฝงอีก เขาอยากจะรอจนถึงวันนั้นแล้วเขาจะเอ่ยมันออกมา


ขณะที่วารินหลับตาลงแน่น รับรู้ถึงความอุ่นซ่านที่กระจายอยู่ทุกอณูเนื้อ...อ้อมกอดจากเขา...ถ้อยคำที่มีความหมายมากมายจากเขา



.....ขอบคุณนะธาร ขอบคุณที่ยังรักพี่อยู่ ทั้งที่พี่ทำเรื่องราวใหญ่โตขนาดนั้น ธารก็ยังคิดที่จะให้อภัย.....



.....พี่เองก็เป็นของธาร....



.....เป็นตั้งแต่วันแรกที่ตกลงรับปากจะดูแลธารแล้ว....



.....เป็นพี่เลี้ยง......ไม่ใช่คนรัก....




Tbc.