Friday, November 13, 2015

กวน T-E-E-N รัก (ภาคพันธนาการหัวใจ) #28







[28]





เสียงโทรศัพท์มือถือแผดลั่นขึ้นช่วงหัวค่ำของคืนวันเสาร์ ในตอนที่ท่านประธานคนเล็กแห่งรัชชากำลังให้ความสนใจกับแฟ้มเอกสารสองสามแฟ้มบนโต๊ะทำงานในห้องนอนขนาดใหญ่  เสียงเรียกเข้าทำให้สุนัขลาบลาดอร์สีครีมตัวโตที่นอนหมอบจ้องทีวีซึ่งกำลังฉายการ์ตูนก้านกล้วยช้างศึกที่เจ้านายของมันเปิดเอาไว้ให้ ละสายตาออกมาเห่าเรียก

“โฮ่ง!

มันเป็นหมาที่ตัวโตมากแต่เวลาที่เห่าเรียกเจ้านายตัวเองชอบทำเสียงเล็กๆ ออดอ้อน เอสเงยหน้ามองมันขณะที่คูเปอร์มองตอบก่อนที่จะหันไปสนใจทีวีต่อ เขาจึงหยิบเอาโทรศัพท์มือถือที่ยังร้องลั่นอยู่ขึ้นมากดรับสาย  

“ว่าไงวะ”

กรอกสำเนียงติดโหดนิดหน่อยพอรู้ว่าเป็นใครที่โทรเข้ามา

(มึงอยู่ไหน สวะเอส)

คำพูดติดปากของไอ้พวกเพื่อนยากเวลาที่โทรเข้าหา เสียงเฮฮาดังแทรกเข้ามาจากปลายสาย ทั้งชิพทั้งเมี่ยงและทั้งไอ้เจ้าของโทรศัพท์อย่างบุ้งโทรเข้ามาเรียกให้ออกไปร่วมดื่ม มารยาทการเรียกขานไม่ต้องให้กล่าว ไม่มีชั้นวรรณะอะไรทั้งนั้นนอกเหนือเวลางาน

(พวกกูมารอมึงที่เมืองหลวงนานแล้ว นานแล้ววววว แต่มึงเสือกไประยองอีก ฟายยย”

เอสหัวเราะนิดๆ นี่ไอ้บุ้งมันเมาแล้วแหงๆทั้งที่ยังหัวค่ำอยู่ขนาดนี้

“ระยองเห้ไร กูอยู่บ้านกูนี่แหละ พวกมึงเข้ากรุงมาเมื่อไหร่วะบุ้ง”

(เมื่อเย็นเนี่ย ออกจากคฤหาสน์มึงมาเร็วเข้า ไอ้ชิพกับไอ้เมี่ยงแม่งมันหลอกกูว่ามึงไปกบดานอยู่ระยองทุกสุดสัปดาห์ กูเลยคิดว่าวันนี้จะไม่ได้เจอกับมึงแล้วไง)

“ถุย! ไหนมึงบอกมารอกูที่เมืองหลวงนานแล้วไง ปากดีนัก”

(เออน่า ออกมาเร็วไอ้เกลอ พรุ่งนี้กูต้องกลับตราดแล้วมึงรีบมาหาให้ไวๆเลย กูรอมึงอยู่ แดกเหล้ากันให้ยับเลยเพื่อน”

“หึหึ พร้อมเสมอฮะเดี๋ยวเจอกัน” 

เอสรับปากไปแล้วบอกอีกสักชั่วโมงเจอกัน สถานที่ไม่ต้องให้ถามยุ่งยาก รู้ๆกันอยู่แล้ว ร้านเหล้าเดิมๆที่เคยไปใช้บริการกันอยู่ตลอด เอสลุกขึ้นเดินเข้าไปที่ห้องแต่งตัวก่อนออกมาในชุดใหม่ เขาเดินเข้าไปลูบหัวคูเปอร์เบา ๆ “เดี๋ยวพี่กลับมา คูเปอร์จะนอนเลยหรือจะลงไปรอพี่อยู่ข้างล่าง”

เจ้าหมาตัวโตลุกขึ้นในตอนที่เอสกดปิดทีวี มันเดินช้า ๆ แทนคำตอบตามเจ้านายลงมาถึงด้านล่างก่อนเข้าไปนอนหมอบลงข้างท่านเจ้าสัวและคุณหญิงซึ่งกำลังนั่งดูข่าวภาคดึกอยู่ที่ห้องรับแขกใหญ่

“คูเปอร์มานั่งข้างพี่อุ้มเร็ว” นี่เสียงน้องอุ้ม สาวสวยน้องเล็กคนสุดท้องของบ้านรัชชา เธอเรียนจบไฮสคูลจากอังกฤษจากนั้นบินข้ามน้ำข้ามทะเลไปต่อปริญญาตรีและโทจากคณะเทคโนโลยีสารสนเทศที่โมนาช และเพิ่งจะกลับมาทำงานที่เมืองไทยเมื่อต้นปีที่แล้ว งานของเธอคือดูแลในส่วนของระบบไอทีและงานสารสนเทศทุกรูปแบบให้กับรัชชาแม่ข่าย สำนักงานใหญ่ที่เธอควบคุมอยู่ที่ตึกรัชชาเทเลคอมฯซึ่งเป็นอาคารกระจกสูงใหญ่ที่ตั้งอยู่ข้างกันกับตึกหลักของรัชชาที่เอสนั่งบริหารงานอยู่

“จะออกไปข้างนอกเหรอลูก” คุณหญิงเงยหน้าถามลูกชาย เอสเดินเข้าไปทิ้งตัวนั่งลงข้างๆคุณแม่ของเขา กอดเอวเธอไว้หลวมๆ “ครับคุณแม่” เขามองดูเจ้าคูเปอร์ที่เดินแกว่งหางเข้าไปนั่งซบตักน้องอุ้มอย่างดุษดี

“เดี๋ยวคูเปอร์ขึ้นไปนอนห้องพี่อุ้มดีกว่านะ เฮียเขาจะออกไปหาสาวคูเปอร์อยู่กับพี่อุ้มนะครับนะ”

“เอ๊ยัยอุ้ม ไปว่าพี่เขา” น้องอุ้มโดนคุณแม่เอ็ดไปเบา ๆ ท่านเจ้าสัวที่นั่งดูข่าวไปจิบไวน์ไปหัวเราะออกมา  “ถ้าเมามากก็เปิดห้องนอนแถวนั้นเลยก็ได้ไม่ต้องขับรถกลับมามันอันตราย”

“ครับป๊า”

“คุณนี่ล่ะก็ ไม่ห้ามลูกซ้ำยังส่งเสริมกันนะคะ”

“อะไรจะตึงขนาดนั้นกันล่ะคุณหญิง ลูกชายคุณทำงานทุกวันให้เขาผ่อนคลายบ้างเถอะน่า” ว่าแล้วก็ส่ายหัว เถียงกับผู้หญิงคนนี้ท่านไม่เคยชนะได้หรอก อย่าได้ถามเรื่องเหตุเรื่องผล

“นานๆทีแม่ครับ” เอสมองดูเวลาทำท่าจะลุกขึ้น แต่คุณหญิงดูเหมือนมีอะไรบางอย่างที่นึกขึ้นมาได้เขาจึงนั่งรอเธอพูดให้จบ

“พรุ่งนี้เอสจะชวนหนูมินต์ไปงานหรือเปล่าลูก”

“งานอะไรครับคุณแม่” ทุกทีจะมีหมายกำหนดการและตารางงานจากปอทำไว้ให้เขาก่อนล่วงหน้าเป็นเดือนหรือไม่ก็จะแทรกมาในระหว่างสัปดาห์ แต่เขาจำไม่เห็นได้ว่าคืนวันพรุ่งนี้ตัวเองต้องไปงานอะไรที่ไหน

งานแต่งหมวดนตลูกชายคนเล็กของคุณวันวิสา น้องจบจปร.ปีที่แล้วนี่เอง ลูกน่าจะรู้จักอยู่นะ เพื่อนเราก็เป็นทหารหลายคนไม่ใช่หรือ”

“เพื่อนเก่าน่ะครับ มีติดต่อกันบ้าง” 

ที่จริงไม่บ้างหรอก เพื่อนกลุ่มนี้ค่อนข้างสนิท ดื่มด้วยกันบ่อย นึกย้อนไปเมื่อครั้งยังเด็กช่วงที่เรียนจบชั้นมัธยมต้นจากเซนต์คาเบรียล เขากับกลุ่มเพื่อนไปสอบเข้าที่โรงเรียนเตรียมทหาร ในตอนนั้นศรัทธามันแรงกล้ามากจริง ๆ เลือดความเป็นนักรบไม่รู้ว่ามาจากที่ไหน

พวกเขาสิบกว่าคนหนึ่งในนั้นมีเมี่ยงรวมอยู่ด้วย แห่กันไปสอบทั้งที่ไม่ได้เข้าติวอะไรทั้งนั้น ผลออกมาคือเขาสอบติดกับเพื่อนอีกสี่คนได้ แต่ไอ้เมี่ยงไม่ติด มันนั่งร้องไห้จนตาปูดตาบวมตามเขาไปที่บ้านงอแงอยู่แบบนั้นจนคุณพ่อคุณแม่เขารู้ความจริงและจับได้ว่าเขาหนีไปสอบเข้าที่นั่นด้วย ทั้งที่ท่านเพิ่งจะพาไปมอบตัวเรียนที่เตรียมอุดม ซื้อหนังสือหนังหาจนเรียบร้อย ผลสุดท้ายเอสสละสิทธิ์ที่โรงเรียนเตรียมทหารเพราะว่าคุณพ่อเขาถึงขนาดทิ้งงานใหญ่มารับตัวเขาในวันที่ต้องเข้าไปรายงานตัว ก่อนที่เขาจะใช้ชีวิตนักเรียนมัธยมปลายทั่วไปและสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ด้วยคะแนนยื่นส่งที่สูงมากจนน่าตกใจ

ถึงเขาจะสละสิทธิ์ในตอนนั้นแต่เพื่อนกลุ่มนี้หลังจากที่ต่างคนต่างทำงานกันแล้วได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง มีดื่มสังสรรค์กันบ่อยแล้วแต่โอกาส เจอกันบ้างไดร์ฟกอล์ฟที่สนามไดร์ฟต่างๆด้วยกันบ้าง โดดร่มบ้างเป็นบางครั้งหนึ่งในกีฬาที่เขาชื่นชอบเป็นอย่างมาก อันที่จริงเพื่อนฝูงเขามีทั้ง ทบ. ทอ. และทร. เกือบจะครบสี่เหล่าอยู่แล้ว นี่ถ้าเขาได้เป็น นตท.ในตอนนั้น ตอนที่ขึ้นเหล่าเขาคงเลือก ทบ. อย่างที่ใจฝัน ป่านนี้คงมีดาวบนบ่าและติดเครื่องหมายหน่วยรบพิเศษเต็มอกไปแล้ว

“แต่งที่ไหนนะครับคุณแม่” อันที่จริงเขายังไม่เห็นการ์ดเชิญเลยด้วยซ้ำ

“สโมสรทหารบก-วิภาวดีน่ะ เอสจะชวนหนูมินต์ไปไหมลูก”

“ตามใจคุณแม่เลยฮะ”  เรื่องจริงก็คือ เขาไม่เคยออกงานสังคมอย่างเป็นทางการคู่กับมินตราเลยสักครั้ง คำว่า ว่าที่คู่หมั้นนั้นบางครั้งมันก็ยังเป็นการภายในมากอยู่

เธอยกมือที่ประดับแหวนเพชรเม็ดเล็กๆขึ้นมาเกลี่ยเส้นผมที่ตกลงมาระใบหน้าของลูกชายออกให้ ในดวงตาของผู้เป็นแม่คลับคล้ายว่าอ่านความในใจบางอย่างออก มันหลายอย่างมากเหลือเกิน เอสคงนึกถึงเรื่องความฝันเก่าๆเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก แล้วยังเรื่องของมินตราว่าที่คู่หมั้นที่เธอเป็นธุระจัดหาให้ เธอรู้ดีว่าลูกชายคนนี้เสียสละเพื่อครอบครัวมาไม่รู้เท่าไหร่แล้ว เสียสละแม้แต่ความฝันของเด็กผู้ชายในตอนนั้น ความรู้สึกตันตื้อเอ่อล้นขึ้นมาอยู่ในอกของผู้เป็นแม่

“ถ้าอย่างนั้นให้แม่ควงเอสก็แล้วกันนะลูก” พอเธอบอกว่าจะไปเอง ประกายตายินดีของลูกชายทำเอาเธอใจกระตุก รู้ดีทุกอย่างว่าเอสไม่เคยรักชอบมินตราในแบบของคนรักเลยสักนิด เพียงแต่ว่าเธอไม่เคยรู้ว่าลูกชายเธอรักชอบพออยู่กับใคร ถ้ายอมบอกกันสักหน่อยก็คงจะดีเธอคงจะจัดการเรื่องต่าง ๆ ให้ง่ายขึ้น

“คุณแม่ไม่ชวนน้องอุ้มล่ะครับ ไม่ก็พี่แอมป์ แต่รายหลังนี่คงยากหน่อย” พูดถึงพี่แอมป์พี่สาวคนโตของบ้าน ตั้งแต่กลับมาจากไปเที่ยวพักผ่อนที่ปารีสกับครอบครัว อาทิตย์ที่ผ่านมาเอสยังไมเคยได้เจอกันเลย เธอรับผิดชอบงานหลายอย่างของรัชชาจนตัวแทบจะตีเป็นเกลียว อ้อ เธอยังสติลโสดต่อไป ไม่ยอมแต่งงานเหมือนเดิมทั้งที่อายุอานามจะปาเข้าไปสามสิบกลาง ๆ แล้ว

“ไม่ก็ชวนป๊าไปเลยครับแม่ เดี๋ยวผมกับน้องอุ้มเดินตามถ่ายรูปให้ดีไหม”

“แซวแม่เหรอเรา ป๊าเขาต้องออกงานคู่กับลูกสาว ส่วนแม่ต้องควงลูกชายสุดหล่อคนเดียวของบ้านอยู่แล้ว เท่สุดๆจนควงออกงานไหนงานนั้นแม่นี่ฮอตขึ้นมาทันที”

ท่านเจ้าสัวหัวเราะขึ้นมาเบา ๆ คว้าเอามือคุณหญิงไปกอบกุมเอาไว้แล้วบอกให้เอสรีบออกไปเดี๋ยวเพื่อนจะรอ เจ้าคูเปอร์นอนมองตาละห้อยพอเห็นเจ้านายตัวเองเดินผ่าน

“คืนนี้นอนกับพี่อุ้มนะคูเปอร์” เขาก้มลงลูบหัวและบอกมันอีกครั้งก่อนจะเดินออกจากห้องรับแขกใหญ่มา ได้ยินเสียงคูเปอร์ประท้วงเบา ๆทำเอสเผลอระบายรอยยิ้มออกมาได้ 

“คุณเอสใช้คันนี้ไหมครับ ผมขัดจนเงาวับเลย” นายแมนซึ่งเป็นหลานชายของคนดูแลรถเก่าแก่ของบ้านเข้ามารับช่วงต่อในตอนดึกของทุกวัน เขาทำหน้าที่ดูแลรับผิดชอบเรื่องรถทุกๆคันของบ้าน กำลังยืนขัดมันรถสปอตสีดำให้สวยงามจนขึ้นเงา

“อืม” เอสรับกุญแจรถมาแล้วเดินขึ้นไปนั่งประจำที่ก่อนเลี้ยวออกไป  เขาใช้เวลาขับรถไม่ถึงสามสิบนาทีก็มาถึงร้านที่ชอบมานั่งชิลแล้วยับแหลกกันทุกที ผู้จัดการร้านจำเอสได้จึงเข้ามาทักทายแล้วพาเดินไปที่โต๊ะอย่างเป็นกันเอง เสียงดีเจซึ่งก็คือหนึ่งในบรรดาหุ้นส่วนของร้านกล่าวต้อนรับแบบขำๆซึ่งทำเอาคนเข้ามาใหม่ถึงกับส่ายหัว ก่อนที่คนเดินมาส่งจะบอกให้นั่งชิลตามสบายเลยเดี๋ยวมีเด็กๆเข้ามาเทคแคร์

“กว่าจะมาได้นะท่านเอส” บุ้งใช้มือข้างที่คีบบุหรี่ยกแก้วเหล้าชูขึ้นแล้วเรียกเอสไปนั่งข้าง ๆ ตัวมันเมาแล้วแน่ ๆ หากแต่คาแรคเตอร์คือชอบที่จะนั่งนิ่ง ๆ เมามากแต่ไม่เคยแสดงออกว่าเมา เอสจะเดินข้ามไปนั่งข้างมัน แต่กลับโดนอีกคนที่นั่งอยู่อีกฝั่งดึงชายเสื้อเขาเอาไว้ก่อน

“ไม่ๆๆๆๆ มึงต้องมานั่งข้างกูดิวะ ตรงนี้ ที่ตรงนี้ ที่ของมึง” อันนี้เสียงเมี่ยง คนตัวเล็กที่ผ่านไปกี่ปีก็ยังเตี้ยคงเดิมไม่เคยเปลี่ยน เมาจนแก้มขึ้นสีแดงนิดๆยังมีหน้าจะยกดื่มต่อ

“มานี่เลยไอ้เพื่อนรัก...เหล้ามันทำร้ายตับ...แต่ไม่เคยทำร้ายหัวใจ  ยินดีต้อนรับสู่อ้อมกอดของพี่ชิพนะครับนะน้องเอส เสือน้อยซ่อนเขี้ยวเล็บ คืนนี้ไม่คั่วสาวหน้าไหนทั้งนั้นนะครับนะ มีคนที่รักอยู่แล้วมึงต้องท่องข้อนี้ไว้ให้ขึ้นใจ หึหึ” รายนี้เมาหนักที่สุดแน่นอน คำพูดอ้อแอ้อ้อแอ้ ชิพชูสองแขนทำหน้าทำตาเยิ้มเหมือนบอกให้คนมาใหม่ถลาเข้าซบอกตัวเองซะดี ๆ เอสส่ายหน้าเซ็งก่อนไหวไหล่นิดๆเขาเดินเข้าไปผลักหัวมันอย่างแรงหนึ่งทีแล้วทิ้งตัวนั่งลงข้าง ๆ

“เอาให้ยับไปเลยเพื่อน คืนนี้กูเปิดห้องด้านบนไว้แล้ว พวกเราสี่คนกินให้ฟื้นกันพรุ่งนี้เลยก็แล้วกัน”

Yeahhhhh!!

คืนนั้น..เหล้าสีเหลืองอัมพันถูกเติมแล้วเติมอีก เปิดใหม่จนกินพื้นที่ไปค่อนโต๊ะ  นักดื่มที่แข็งแต่คอหากแต่หัวใจอ่อนแอกันหนักกำลังพยายามทุบสถิติที่เคยทำมาตั้งแต่สมัยเรียน

“ไม่งอแงนะฮะ! อย่าอ่อนแอ” ชิพกอดคอเอสแล้วก้มลงว่าแบบอ้อแอ้ ขณะที่คนฟังผลักไอ้เพื่อนยากออกแล้วเรียกน้องพนักงานบอกย้ายห้องๆ

“ไมค์มาให้กูเลย ไมค์ๆๆๆ”

ในที่สุดเวลาดีก่อนเที่ยงคืนนิดหน่อยห้องกระจกเล็กๆในโซนส่วนตัวถูกเปิดต้อนรับนักร้องขี้เมาจำเป็นสี่ชีวิตที่เข้าไปจับจองไมค์โครโฟนคนล่ะตัวแหกปากร้องเพลงกันอยู่  เมายับ!! อย่างลืมตาย

“อย่าอ่อนแอนะฮะ อย่าอ่อนแอ” ชิพมันยังพูดย้ำอยู่แต่คำเดิม ๆ ขณะที่เอสเริ่มแหกปากครวญครางเพลงอะไรสักอย่างที่มาเมากันทีไรมันก็ชอบใช้เพลงนี้หากิน

“จากฉันคนเดิม...จากรักไม่เป็น...

เสียงยิ่งกว่าควายตกมัน ถึงอย่างนั้นเพื่อนอีกสามคนก็ยังนั่งฟังตาเยิ้มด้วยฤทธิ์ของสุรา ชิพคว้าเอาคอเพื่อนรักเข้ามากอดอีกหน “อย่าอ่อนแอไงวะ กูบอกมึงแล้วว่าอย่าอ่อนแอ” เขาพูดย้ำในคำเก่า ๆ บุ้งกับเมี่ยงเหลือบมามองแล้วก็ยังขำ ปล่อยให้เพื่อนสองคนกอดคอกันพล่ามไปร้องไป เอสหันมองเพื่อนสนิทตัวเองนิดหน่อยก่อนยกแก้วขึ้นกรอกอีกรอบ เขายกยิ้ม “หึ..ไอ้สัส”

“หาใหม่ดิ๊ล่ะ เอาแบบที่มึงคิดจะจริงจังไปเลยเหอะ”

“จบเลยคนแบบนั้นน่ะ น้องอุ้มบอกถ้าไม่สวยเท่าคุณยายไม่ให้เข้าบ้านเว้ย”

“ไอ้สัสจบเห่ล่ะมึง” ชิพวางไมค์ในมือลง หยิบแก้วขึ้นมาดื่มต่อ เอสเองก็กำลังดื่ม เขาเหล่มองมันแล้วก็ขำ

“กูจะยิ้มรับเลยถ้าคนแบบนั้นมีจริง คือจริงๆแล้วมันต้องมีเว้ยสหาย กูต้องเจอแน่ คนดีๆคนที่รักกูแล้วไม่คิดจะทอดทิ้งกู คนที่กูถูกใจแล้วเขาก็เข้าใจกู รักกูไม่ใช่ที่ฐานะหน้าตาเสื้อผ้าหรือเหี้ยห่าอะไรที่ฉาบตัวกูไว้อยู่เนี่ย”

“แหม่ กูจะรอดูคนแบบนั้นของมึงนะเพื่อน ว่าแต่ คุณนายมึงมีกี่คนล่ะวะ หึหึ” บุ้งสอดขึ้นมาจากอีกฝั่งในทันที เสียงเมี่ยงสอดแทรกขึ้นมา “มากมาย” แล้วก็หัวเราะขำ เอสใช้ไมค์ชี้ใส่หน้า “กูก็พูดไปเรื่อยเปื่อยเว้ย อินกับเพลงพวกมึงไม่รู้อ่อ? โมเมนต์อินๆกูมีน้อยขอกูอินบ้างเหอะ”

“เออๆๆร้องเพลงต่อๆๆๆ  อะไรวะมันมีแต่เพลงนี้หรือไง วนแม่งสามสี่รอบแล้ว” ชิพตบลงที่หลังเอสเรียกให้ยกไมค์ขึ้นร้องต่อ คนถูกเรียกจัดการตามคำร้องขอ นานทีมาเจอกันก็สนุกสนานให้เต็มที่ ชีวิตต้องมีความสุข

“จากฉันคนเดิม  จากรักไม่เป็น...จะขอเป็นคนที่รักเธอยิ่งกว่าคนไหน ๆ
จากนี้คือเธอ..จากนี้จนวันตาย เธอคือสุดท้ายของทั้งชีวิตและหัวใจ

เอสแหกปากลงไปอีกรอบ ร้องท่อนฮุกแบบเมาๆพอจบเขาล็อคเอาคอชิพมากอดไว้บ้าง “ไอ้สัสชิพ กูเคยบอกมึงหรือยังว่า...ถ้าไม่ไหว จะฝืนเหรออออ”

“หึหึ..” ชิพหัวเราะขำแบบคนเมาไม่ต่างกัน เงยหน้ามองเพื่อนรักของตัวเอง แล้วพูด “ไอ้แคปแม่งเป็นเหี้ยไรที่โชคร้ายที่สุดในสามโลกแล้วนะกูว่า”

“จริงดิ? แคปคือใครวะทำไมกูไม่เห็นรู้จักเลออออ” เอสทำหน้าทำตาได้จริงจังมากมาย เขาเมาหนักแล้วเพื่อนที่เหลือก็ดูรู้ ชิพงี้หรี่ตาส่งเสียงในคอใส่ “หื้ม???”

“เหี้ยไรล่ะ บอกไม่รู้จักก็คือไม่รู้จักสิโว๊ววว..” เอสหรี่ตาเยิ้มๆ เถียง ริมฝีปากยกรอยยิ้มเจ้าเล่ห์แสนลี้ลับ....คืนนั้นไม่รู้สี่คนจบความรื่นเริงบันเทิงเครงลงที่เวลาไหน รู้แค่ว่าพอเช้ามาสี่หนุ่มโสดนอนเป๋เรียงกันอยู่ในสวีทรูมชั้นบนที่ทางโรงแรมเปิดไว้บริการให้กับลูกค้าวีไอพี






แสงแดดยามเช้าสาดเข้าใส่ใบของต้นมังคุดสีเขียวสดสะท้อนเข้ามาถึงห้องนอนใหญ่ที่อยู่ชั้นสอง เสียงเคาะประตูดังขึ้นแค่สามครั้งก่อนที่ใครบางคนจะเปิดแล้วเดินเข้ามารวบม่านหน้าต่างให้จนเรียบร้อย

“ตื่นได้แล้วคาปู”

“หื้อ?” เสียงทุ้มปลุกคนนอนหลับให้รู้สึกตัวตื่น แคปหรี่ตาแค่ข้างเดียวขึ้นมอง ขมวดคิ้วจนยุ่งเหยิงก่อนดึงผ้าห่มนวมผืนหนาขึ้นมาปิดบังใบหน้ากันแสงอาทิตย์ยามเช้าเอาไว้

เขาจะนอนต่ออีกหน่อย

“หกโมงเช้าอากาศดีๆรีบตื่นเร็วเข้า ไปปั่นจักรยานกัน”

“อื๋อ??”

ขี้เซาเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน พี่ชายตัวโตยืนจ้องน้องชายเขาอยู่แบบนั้นก่อนตัดสินใจกระชากผ้าห่มครั้งเดียวลอยหวือขึ้นในอากาศ แคปรีบตะแคงข้างกอดหมอนข้างไว้อย่างไว ไม่ใช่อะไรนะ ตอนตื่นนอนใหม่ๆเจ้าลูกชายตัวดีมันก็กำลังตื่นอยู่ด้วยเหมือนกันนี่นา สัญชาตญาณบอกให้รู้ว่าเขาต้องตะแคงข้างนั่นแหละถูกต้องที่สุด

“ลุก!” เต้ยิ่งรู้ยิ่งแกล้งน้องชายโดยการดึงตัวมันให้พลิกกลับมา แคปจึงรีบดีดตัวขึ้นนั่งอย่างไว หน้ามุ่ย หัวเหอยุ่งเหยิงไปหมด แกะขี้ตา

“เฮียเต้มาเมื่อไหร่อ่ะ”

“เมื่อคืน เห็นมึงหลับไปแล้วเลยไม่ได้ปลุก” คนเป็นพี่ลุกขึ้นยืนพับผ้าห่มเก็บที่นอนให้น้องเหมือนเช่นทุกๆครั้งที่เขาเคยทำ พอทำจนเสร็จคว้าเอาแขนแคปแล้วดึงบอกให้รีบลุก “ลงไปปั่นจักรยานกัน”

“ตอนนี้?”

“ก็เออสิวะ ล้างหน้าเร็ว”

จากนั้นสองพี่น้องก็ลงมาจับเอาจักรยานคันเก่าสองคันปั่นออกไปพร้อม ๆ กัน ตอนนี้พื้นที่โดยรอบของไร่ถูกปรับแต่งภูมิทัศน์ใหม่จนสวยงาม เฮียโก้ออกแบบทางเดินที่เป็นรูปอิฐแดงตัวหนอนยาวโค้งไปจนสุดความกว้างของตัวไร่ ในขณะที่ทางรถวิ่งที่ถูกปูด้วยพื้นซีเมนต์ก็สามารถรองรับกับความกว้างของรถกอล์ฟที่สวนกันได้ถึงสามคัน สองพี่น้องลาเต้คาปูชิโนโลดแล่นอยู่บนถนนเล็กๆที่ทอดยาวไปตามทาง คนงานที่กำลังพรวนดินรดน้ำใส่ปุ๋ยต่างโบกมือทักทาย ถึงแม้ว่าเต้นั้น นานๆทีถึงจะกลับมาหากแต่คนงานในไร่ต่างเคารพรักเขาไม่น้อยไปกว่าคนอื่นๆเลย

“คุณเต้คุณแคปสนใจรับสักพวงไหมครับ” พอขับรถผ่านในโซนที่เขากำลังตัดลูกสละกัน นายโชนคนงานก็ถามขึ้น ก่อนเดินถือผลสละที่แกะเรียบร้อยแล้วส่งให้แคป

“รุ่นนี้หวานหอมอร่อยมากครับเนื้อนวลก็เยอะ เห็นคุณโก้บอกไว้ว่าคุณแคปจะอนุมัติให้พวกผมเพิ่มเนื้อที่การปลูกเพื่อรองรับจำนวนดีมานด์ของตลาดที่เพิ่มสูงมากขึ้นในปีนี้น่ะครับ”

“แหมนายโชนพูดซะเหมือนกับนักการตลาดชั้นยอดเลยนะเนี่ย” เอาจริง ๆ แคปเคยนึกสงสัยว่าพี่โชนแกเรียนจบอะไรมา หน้าตาผิวพรรณถึงจะเข้มแต่ดูไม่เหมือนชวนสวนเลยสักนิด คำพูดคำจาการวางตัวเหมือนกับพวกบอดี้การ์ดอะไรทำนองนั้นมากกว่า

“มึงเป็นคนที่ไหนวะโชน” คราวนี้เป็นเสียงทุ้มของเต้ถามขึ้น ดวงตาคมกริบที่มองมาราวกับกำลังล้วงลึกขุดเอาความรู้สึกบางอย่างของเขาขึ้นมาให้ได้ นั่นทำเอาโชนนึกไปถึงนายเหนือหัวคนสำคัญของตัวเอง

ดวงตาที่เหมือนกับคุณเอสไม่มีผิดเลย

“คนกรุงเทพครับ”

“ตอนที่มึงเข้ามาทำงานใครสัมภาษณ์มึง เฮียโก้หรืออาฟี่”

“คุณแคปครับ” ที่จริงคือแคปกับอาร์

“เฮียเต้จะซักอะไรเล่า นายโชนเขาเก่งแบบนี้ช่วยผมได้เยอะเลยล่ะ” แคปรับเอาสละที่แกะแล้วชิ้นนั้นมากิน จนเต็มปากแล้วพยักหน้าบอกอร่อย ๆ เต้มองน้องชายแล้วส่ายหัว

“คุณแคปกินอีกไหมครับเดี๋ยวผมแกะให้อีก” โชนถามขึ้นพลางชูพวงสละในมือให้อีกฝ่ายดู แคปส่ายหน้าบอกพอแล้ว

“ขอบใจมาก ไปเหอะเฮียเต้” แคปว่าจบจับจักรยานเพื่อปั่นต่อ เต้เองก็ปั่นตามไป อากาศดีๆสองพี่น้องออกกำลังกันจนได้เหงื่อ

“เฮียเต้กลับพรุ่งนี้?”

“อังคารเช้า พรุ่งนี้จะใช้เวลาอยู่กับมึงให้เต็มที่เลยไง” แคปหันไปเบะปากใส่คนที่ยักคิ้วยั่ว จากนั้นหักหัวรถจักรยานทำท่าจะชน เต้รีบเร่งปั่นแซงขึ้นไป ก่อนร้องท้าทายน้องชายอย่างที่ชอบเล่นกันประจำตอนเด็ก

“แน่จริงตามกูให้ทันสิวะคาปู”

“ผมไม่ตามหรอก เฮียเต้ขี้โกงนี่”

“อย่ามางอแงเป็นเด็กๆ มึงโตขนาดนี้แล้วต้องเอาชนะกูให้ได้สิรู้ไหมล่ะ”

“ผมโตแล้วจริงดิ?”

“แน่นอน” จบคำว่าแน่นอน เต้ไม่รู้เลยว่าแคปปั่นขึ้นมาตีคู่กับตัวเองได้อย่างไร หันไปมองหยาดเหงื่อที่ไหลตกเต็มหน้าน้องชายที่เป็นดั่งหัวใจดวงเดียวของเขาแล้วเผลอระบายรอยยิ้มให้ “มึงโตแล้วจริงๆนี่หว่า”

“ของมันแน่” สองพี่น้องหัวเราะกันดังลั่น แคปขับเข้าไปตีคู่กับพี่ชายแซงล้ำหน้าขึ้นไป “แล้วคนที่โตแล้วเขาทำอะไรได้บ้างอ่ะ”

“อะไรของมึงวะ” เต้หันไปถาม

“เอาน่าเฮียเต้ตอบมาก่อน คนที่โตแล้วเขาทำอะไรได้มั่ง”

“ก็ทำได้หลายอย่าง หลักๆก็คือ มึงรับผิดชอบตัวเองได้แล้ว มีงานมีการมั่นคง ซ้ำยังรับผิดชอบชีวิตคนอื่นๆในไร่อีก เพราะฉะนั้นมึงสามารถตัดสินใจอะไรหลายๆอย่างเองแล้ว”

“เช่นเรื่องอะไรบ้าง”

“ก็แล้วแต่  เรื่องส่วนตัวไรงี้”

“เรื่องส่วนตัวหรือ?”

“มันก็ทำนองนั้น พอคนเราเริ่มเติบโตขึ้นครอบครัวก็ดูเหมือนจะถอยหลังออกไปอีกนิดเพื่อจะเป็นแค่คนที่คอยมองมึงอยู่ข้างหลัง มองแผ่นหลังของมึง เป็นกำลังใจคอยสนับสนุน ทุกอย่างทุกเรื่องที่มึงตัดสินใจว่าจะทำ แต่ว่าทั้งหมดนั่น อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับมึงเป็นเด็กดี”

“คำว่าเด็กดีของเฮียเต้ มันจำกัดผมให้อยู่ในกรอบมากๆเลยนะ”

“โตขนาดนี้แล้ว คำว่าเด็กดีไม่จำเป็นต้องเป็นเด็กที่อยู่ในกรอบเสมอไปหรอกเว้ยคาปู นอกระบบฮะมึงไม่เคยคิดหรือไง” เต้หยุดรถลงทันทีแคปเบรกตามเฮียแทบไม่ทัน

สองพี่น้องมองหน้ากัน

“ผมทำได้หรือไงล่ะ”

“เพี้ยนเหรอมึง ถ้าคิดจะพูดคำว่านอกระบบ ก็ห้ามมาถามกูเด็ดขาดเลยนะว่าจะทำนั่นทำนี่ได้ไหม ไม่ต้องมาขอ มึงทำเลยสิวะ” เต้พูดจบถีบรถต่อไปอีก แคปก็เร่งตามพี่ชายไปอย่างเดิมไม่นานก็ย้อนกลับมาถึงหน้าไร่ สองพี่น้องเอารถไปจอดไว้ใต้ต้นมังคุดข้างๆแคร่ไม้ไผ่ ซึ่งโก้กำลังกวักมือเรียกให้เข้าไปกินข้าวกินปลากัน เห็นอาฟี่ยืนหัวยุ่งหน้าบูดเหมือนเพิ่งโดนปลุกขึ้นมากลางครันไม่มีผิด เต้กำลังจะเดินเข้าไปในบ้านแคปรีบดึงแขนพี่ชายไว้

“มีอะไร”

“ผมนอกระบบเรื่องความรักได้ไหมอ่ะ”

“............” ไม่ต้องเดินต่อแม่งแล้ว เต้หยุดชะงักเลยสิแคปมันยิงตรงมาขนาดนี้ เขาเองก็จะตรงๆกลับไปเหมือนกันล่ะวะ

“แบบที่มึงเคยนอกระบบมาน่ะเหรอ”

“.............” อืม ก็ทำนองนั้น แคปจ้องตาพี่ชายแบบไม่ยอมลดลาวาศอกลงเช่นกัน เต้ถึงกับนิ่งไปครู่ใหญ่ก่อนจะเผลอหลุดรอยยิ้มบาง ๆ ออกมา เพราะว่าแววตาของแคปแตกต่างจากเมื่อห้าปีก่อนแล้วจริง ๆ แววตาของคนที่กล้าหาญพอที่จะสู้เพื่อตัวเอง กล้าที่จะก้าวเดินฉีกตัวเองออกจากกรอบที่คนรอบตัววางไว้ด้วยหัวใจที่แข็งแกร่ง ไม่อ่อนแอและขาดความมั่นใจเช่นวันเก่า ๆ

“หน้าตามึงแม่งฟ้องแทนคำตอบจริงๆนะคาปู”

“ก็บอกมาก่อนดิ ทำได้ป่ะล่ะ”แคปยังจ้องดวงตาคบกริบของพี่ชายนิ่ง รอฟังคำตอบ เต้จึงใช้ฝ่ามือใหญ่วางลงบนศีรษะเล็กแล้วขยี้อย่างอ่อนโยน “ก็บอกแล้วว่าอย่าถาม”

“เดี๋ยวก็มีปัญหาอีก ไม่อยากให้ใครโดนตีนเฮียอีกหรอกนะ”

“หึ มึงเลือกคนให้มันดีๆละกัน รักใครชอบใครกูไม่ว่าหรอก แต่เลือกหน่อย อย่าไปเอาคนที่มันมีฐานะทางสังคมสูงส่งมากนัก ที่กูห้ามเนี่ยไม่ใช่อะไรนะกลัวมึงจะเจ็บจนกระอักเลือดอ่ะ” นี่ไม่ได้สื่อถึงใครนะ แต่พูดโดยรวม หากแคปมันจะคิดได้ก็คงจะหมายถึงเรื่องอดีตน้องรหัสเขานั่นแหละ

“งั้นเอาคนธรรมดางี้เหรอ ใครก็ได้ใช่ป่ะ พ่อค้าขายผักสดตามตลาดแผงลอยก็ได้งั้นดิ” แคปแกล้งประชด เต้หน้ายักษ์ขึ้นมาทันที ขายอะไรเขาไม่ว่าหรอกอาชีพอะไรไม่เคยดูถูก แต่ทำไมมันต้องพูดว่าเป็นพ่อค้าด้วยวะ เต้ตาเขียวขึ้นมาอีก “ถามหมาๆออกมาได้นะมึง”

“เฮียก็ตอบสิ”

“ใครก็ได้ที่มึงรัก ฐานะไม่เกี่ยว ขออย่างเดียวห้ามรวย!

“อะไรของเฮียวะ”

เต้เหล่มองก่อนส่ายหัวบอกไม่อยากจะพูดต่อแล้ว เขาคว้าเอาคอน้องชายล็อคเข้ามากอดไว้ “ไปแดกข้าวกันดีกว่า มึงจะรีบมีไปไหนวะแฟนน่ะ อย่ารีบครับอย่ารีบ ยิ่งอายุเยอะยิ่งโสดยิ่งมีเสน่ห์นะมึงไม่เคยได้ยินเหรอวะหื้อ ไม่รีบครับผม”

“แบบเฮียอ่ะเหรอ”

“ก็เออ โสดอยู่เนี่ย”

แคปยิ้มออกมาแบบขำๆ เฮียเต้โสดจริงไรจริง จนป่านนี้ยังไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตน ส่วนเมียน่ะอย่าให้พูดมีเยอะ!

“เฮียเต้ แล้วพี่รัฐอ่ะ”

“มันทำไมวะ” มึงถามหามันทำไม

“ไหนว่าไปทำงานที่อัศวฯด้วยกันไง”

“ก็แล้วทำไมอ่ะ”

“ผมก็ถามดู งานคราวนี้รับผิดชอบโครงการเดียวกันป่ะเนี่ย”

“ไม่ใช่เว้ย แต่มันก็เป็นคนตรวจสอบงานจากสำนักงานใหญ่นั่นแหละ กูนี่ต้องออกพื้นที่ตลอด”

“แล้วช่วงนี้ได้ติดต่อกันบ้างไหม”

“พวกกูเจอกันตลอดอ่ะ มึงถามทำไม”

“ก็เปล่า” แคปแค่นึกๆ ที่แล้ว ๆ มาเฮียเต้พาพี่รัฐมาเที่ยวที่บ้านบ่อยมาก เดือนก่อนก็พามาแต่ค้างแค่คืนเดียวแล้วก็กลับ เดือนนี้ยังไม่เห็น

“มันไม่ว่างหรอก สัปดาห์นี้กลับบ้านเหมือนกูนี่แหละ เดี๋ยวอังคารก็เจอกันแล้ว มึงอยากได้อะไรค่อยโทรหามัน”

แคปปรายสายตาไปมองพี่ชายที่ดูเหมือนจะรู้ความคิดเขาไปเสียทุกอย่าง “กูรู้หรอกมึงคิดอะไรคาปู อย่ามาคิดกูไม่ใช่แบบมึงแน่นอน”

“จริงดิ” แคปทำหน้าเหมือนไม่อยากเชื่อซึ่งเต้แทบจะคว้าหัวน้องมาแดกได้ทั้งหัวแคปแกล้งโวยวายก่อนที่สองพี่น้องจะถูกโก้เดินออกมาลากให้เข้าไปกินข้าวเช้าจนถึงโต๊ะ

“ไอ้อาร์ล่ะครับเฮียโก้”

“เข้าเมืองแต่เช้าแล้ว เห็นว่าจะไปซื้ออะไรสักอย่างที่ตลาดน่ะ ไม่ได้โทรบอกเราหรือไง” แคปหยีตายอมจำนน เขารีบร้อนจนไม่ได้พกโทรศัพท์ลงมาด้วย โดนเฮียเต้ลากออกมา จับจักรยานได้ก็ต่างคนต่างขับเลยน่ะสิ

“นี่กุ้งผัดผงกระหรี่ของโปรดเต้ พ่อให้พี่พายเขาทำไว้ให้เราเลยนะ คาปูก็ตักเอาเอง อย่ากินเยอะช่วงนี้อ้วนขึ้นจนแก้มออกแล้วไหมล่ะนั่น เพลาๆเนื้อหมูเนื้อไก่ลงบ้างหันไปทานจำพวกปลาพวกผักน่าจะลงได้สักโลสองโลนะพ่อว่า” โก้พูดไปพลางตักเมนูอาหารสุดแสนอร่อยลงในจานของเต้ แคปเหล่มองด้วยความอิจฉาจนลูกตาแทบหลุด ไม่ตักให้เขาบ้างไม่ว่าหรอกซ้ำยังมาบอกว่าให้เพลาอาหารลงเพราะว่าเขาอ้วนอีกนี่มันสุดที่จะทนได้เสียจริง ที่สำคัญเสียงหัวเราะเย้ยหยันของคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามอย่างอาฟี่ ทำเอาเขาแทบอยากจะลุกขึ้นออกไปเด็ดลูกเงาะมากินกับข้าวแทนปลากุ้งผักพวกนี้จริง ๆ

“อ่ะ เอาไปกิน  ปล่อยให้มันอ้วนอยู่แบบนี้แหละมึง อย่าลดเชียวนะ” แคปตาโตเมื่อจู่ ๆอาฟี่ตักอาหารที่เขาอยากจะทานสุดๆวางลงให้ เขาค้างเติ่งอยู่แบบนั้นมือไม้ไม่ขยับเคลื่อนไหว จนฟี่ต้องเลิกคิ้วถาม

“อะไร อย่าบอกนะว่ากูตักให้แล้วมึงจะไม่กิน เดี๋ยวกูจะจับเขวี้ยงทิ้งทั้งจานเลยนี่” ฟี่ไม่ว่าเปล่าทำท่าจะมายกจานแคปออกจริง ๆ อีกคนเลยรีบตะครุบจานตัวเองไว้แทบไม่ทัน ก็ของโปรดเขาทั้งนั้นเหอะ

“เอ้ยๆๆๆๆ อะไรเล่า อาฟี่ทำอะไรน่ะครับ กินสิทำไมผมถึงจะไม่กินล่ะ” มันก็ตกใจอ่ะแหละปกติเคยตักให้เขาที่ไหน ร้อยวันพันปีหรอก จะว่าไปตอนเป็นเด็กเคยป้อนข้าวเขาอยู่นะ แต่ไม่อยากจะเรียกว่าป้อนหรอก อาฟี่น่ะยัดแล้วบังคับให้เขาเคี้ยวเสียมากกว่า ตอนนั้นน่ะน้ำตาร่วงผล็อยๆตามประสาเด็กนั่นแหละ

“อ้วนเอ้ย” เสียงทุ้มของฟี่แซะเข้าอีก แคปยิ่งหน้าเซ็งไปใหญ่ 

“อ้วนที่ไหน น้ำหนักผมขึ้นแค่สองกิโลเองอ่ะ” ความจริงสามโล

“มึงต้องตื่นขึ้นมาปั่นจักรยานทุกเช้าสิ ชวนไอ้อาร์ปั่นเป็นเพื่อน” เต้ตักไข่เจียวปูส่งให้น้องตัวเอง แคปยิ้มรับจัดการตักยัดเข้าปากทันที แก้มป่องเขี้ยวตุ้ย ๆ แล้วก็พูด

“โถ่เฮียเต้บางวันนอนดึกจะตายจะให้แหกขี้ตาตื่นมาแต่เช้าอีก มันลุกไม่ไหวนี่”

“ถ้างั้นมึงก็จงอ้วนต่อไป”

อ้วนอะไร๊ แค่สองสามโลพวกผู้ใหญ่นี่เข้าใจยากจังวะ “เดี๋ยวผมหาทางลดลงเองแหละน่า”

“กูกลับมาคราวหน้า ถ้าน้ำหนักมึงยังไม่ลด อดของฝากจากอีสานนะครับนะ” แคปชอบกินหมูหยองกรอบของฝากขึ้นชื่อในจังหวัดที่เต้ไปคุมไซต์งานก่อสร้างอยู่มาก ๆ มาทีไรเป็นต้องติดมาให้ทีละหลาย ๆ ถุงครั้งนี้ก็เช่นกัน

“โหยไม่อยากรับปากอ่ะ เอาเป็นว่าเฮียเต้กลับมาคราวหน้าผมหล่อขึ้นแน่นอน” รับปากไปเกิดทำไม่ได้กลุ้มใจตายห่า

“ขอให้มันจริงเหอะ!” สามคนบนโต๊ะพูดขึ้นพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย คนฟังอย่างแคปถึงกับนั่งทำหน้ายักษ์ ยิ่งโมโหก็ยิ่งกิน ยิ่งเครียดก็ยิ่งกิน ยิ่งเหนื่อยก็ยิ่งกิน นี่ยังไม่รวมว่ายิ่งคิดถึงก็ยิ่งกินเข้าไปอีก

ผลมันก็เลยมาออกที่แก้มเขาเองนี่แหละ

หลังทานอาหารกันเสร็จแคปใช้เวลาทั้งหมดที่เหลือไปกับพี่ชายที่นานๆจะกลับบ้านมาที เขาสองพี่น้องออกไปช่วยโก้อยู่ที่ร้านกาแฟหน้าไร่ ยิ่งสายคนยิ่งเยอะ พอเจ้าอาร์กลับมาจากตลาดรถตู้นักท่องเที่ยวสี่คันก็เข้ามาจอดลง จากนั้นอีกสักพักรถบัสคันใหญ่เป็นลูกทัวร์จากจีนทั้งหมดอีกสองคัน ซึ่งล็อตหลังนี่เสียงดังเจี๊ยวจ๊าวเป็นพิเศษ คนใจเย็นอย่างอาร์จึงได้เข้ามารับหน้าที่เทคแคร์ไป ไมค์พร้อมคนขับรถรางพร้อม อาร์กระโดดขึ้นไปเป็นไกด์ด้วยตัวเอง  เต้เองก็เข้ามาช่วยด้วยอีกแรง

ช่วงเวลาอาหารเที่ยงผ่านพ้นไปโดยที่ต่างคนต่างต้องช่วยเหลือตัวเอง ใครว่างก็เข้าไปตักทานกันเองในครัว สำหรับอาฟี่อย่าได้ถามถึง วันนี้วันอาทิตย์อยู่บ้านก็จริง แต่พอกินข้าวเช้าเสร็จก็เดินเข้าห้องทันที นอนต่อตามระเบียบได้ยินเฮียโก้บอกว่ากลับมาถึงไร่ตีสี่กว่าๆเข้าไปแล้ว ทะเลาะกันเข้าไปอีกเพราะว่าเฮียโก้ไม่อยากให้ขับรถกลับดึกๆแต่อาฟี่ก็หาทางแก้ตัวแล้วโอ้โลมเฮียโก้ให้กลับมาอารมณ์ดีได้เหมือนเก่าทุกทีนั่นแหละ จนบ่ายสามกว่า ๆ ทุกอย่างก็เคลียร์จนเสร็จเรียบร้อย

“คาปูบอกจะเดินไปบ้านเล็กน่ะแบงค์ ลองเข้าไปตามดูสิ” ช่วงบ่ายแก่ๆแบงค์ขับรถเข้ามาที่ไร่ โก้ที่กำลังชงกาแฟอยู่หลังเคาน์เตอร์จึงบอกว่าแคปน่าจะอยู่ที่บ้านของอาร์

“ขอบคุณครับเฮียโก้” ก่อนออกมาแบงค์รับกระติกกาแฟปั่นหรือที่แคปมันชอบเรียกว่าเฟรบปูชิโน่อร่อยลืมโลกจากโก้มาด้วย เขาจับเอารถกอล์ฟมาหนึ่งคันแล้วขับตรงเข้าไร่ไป จอดลงที่หน้าบ้านสีฟ้าหลังเล็ก เห็นแคปนอนแผ่หราสูบบุหรี่อยู่ที่ระเบียง

“อากาศดีๆเสียหมด” แบงค์แซะจนคนที่แอบหนีมาสูบถึงที่นี่ต้องรีบลุกขึ้นมาดับมลภาวะในมือลงอย่างเร็ว

“อ่ะ กินนี่ดีกว่าสูบนั่นนะ” แคปมองหน้าคนพูดซ้ำยังใช้สายตาบอกให้รู้ว่าอย่ามาทำเป็นพูดดี ตัวมันสูบเก่งกว่าเขาอีกแท้ ๆ

“เดี๋ยวจะเลิกแล้ว”

“โฮ่ ขอให้มันจริง”

แบงค์ยิ้มรับบอกจริง ๆ แคปจึงผลักหัวมันไปหนึ่งทีก่อนที่จะสังเกตเห็นว่าในดวงตาคมคู่นั้นช่างเต็มไปด้วยความเศร้าและกังวล แน่นอนว่าแบงค์เองก็มีเรื่องให้คิดอยู่หลายเรื่องเช่นกัน

“มีอะไรวะ  มาหากูมีอะไรหรือเปล่า”

“อาทิตย์นี้กูว่าจะเข้ากรุงเร็วขึ้นหน่อยว่ะ” ดูเหมือนแบงค์กำลังจะพูดอะไรต่อ หากแต่เขาหยุดไว้ที่แค่นั้น แคปจึงคิดว่าควรจะเป็นฝ่ายถามเอาเอง

“มึงจะไปหาโบว์?” เข้าประเด็นเลยดีที่สุด

“ใช่ คงต้องคุย”

“อืม กูคิดว่ามึงคงต้องหาทางคุยกับน้องอยู่แล้ว ดีแล้วแหละรีบจัดการให้มันเสร็จๆก่อนน่าจะดีกว่า”

“แต่กูไม่มั่นใจเลยแคป มึงก็รู้เรื่องความรัก...” มันห้ามกันไม่ได้

“เอาน่า” แคปมองคนที่พูดไม่ออก ก้มหน้าคล้ายกับน้ำท่วมปาก แบงค์มันก็อยู่ในสถานะแบบนั้นแหละ พูดก็พูดห้ามอะไรก็ห้ามกันได้ แต่จะไปบังคับใจใคร บังคับความรู้สึกของใครมันยากเย็นเหลือเกินจริง ๆ ไม่ต้องอื่นไกลดูตัวอย่างเขาสิ

“จะไปวันไหนวะ”

“วันพุธ มึงไปกับกูได้ไหม”

“เอาสิ”






งานแต่งของอดีตนักเรียนเตรียมทหารที่สำเร็จการศึกษารับราชการติดยศเรียบร้อยแล้ว ถูกจัดขึ้นที่สโมสรทหารบก บนพื้นที่ของถนนวิภาวดี ประธานคนเล็กแห่งรัชชากรุ๊ปเดินทางมาถึงพร้อมกับนายหญิงใหญ่ของบ้านโดยมีผู้ติดตามสองคน งานนี้ทั้งปอและคุณนาคินถูกท่านเจ้าสัวสั่งให้มาดูแลภรรยาและลูกชายด้วยตัวเองโดยเฉพาะ

สำหรับคุณนาคินที่มางานแบบนี้กับท่านเจ้าสัวค่อนข้างบ่อยจึงกว้างขวางรู้จักกับบรรดาแขกผู้มีเกียรติมากหน้าหลายตา แม้แต่นายทหารยศสูงหลายๆท่านยังต้องทักทายเขา แต่สำหรับปรเมทแล้วนี่คือครั้งแรกที่เขาต้องมาเจองานของบรรดา จปร ทั้งหลายแหล่ ทั้งนายเก่านายใหม่ นายใหญ่นายเล็ก ท่านเจ้าสัวมีคำสั่งให้คุณนาคินช่วยแนะนำปอให้คุ้นเคยกับงานแบบนี้มากเป็นพิเศษ

เมื่อผ่านการถ่ายรูปแสดงความยินดีทักทายกับเครือญาติเจ้าของงานและบรรดาสื่อมวลชนเสร็จ มีนายทหารมานำทุกคนของรัชชาเข้าไปนั่งที่โต๊ะวีไอพีด้านหน้าสุด คุณหญิงกล่าวขอบคุณและทักทายบรรดาคุณหญิงคุณนายลูกท่านหลานเธอทั้งตระกูลสายเก่าสายใหม่ที่ทะยอยเข้ามาค้อมไหว้อย่างนอบน้อม เซเลปสกุลดังอย่างเธอที่ยอมทิ้งนามสกุลผู้ดีเก่าของตนเองเปลี่ยนมาใช้อัครรัชชานนท์ทำให้เธอมีพาวเวอร์กับแขกทุกระดับชั้น รวมถึงผู้ที่เป็นเพื่อนร่วมสมาคมการกุศลต่าง ๆ พาลูกสาวที่เป็นนายทหารหญิงมาแนะนำอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย แน่นอนว่าหัวข้อการสนทนาไม่พ้นเรื่องลูกชายคนเดียวของเธอ

แต่เอสชินเสียแล้ว เขาก็แค่ยิ้มรับบางๆ ใช้ใบหน้าที่ฉาบไว้ด้วยหน้ากากแห่งความเป็นนักธุรกิจโต้ตอบไป กว่าจะเคลียร์ผู้คนได้รู้สึกว่าทั้งคุณแม่และเขาตื้นตันยิ่งกว่าเจ้าของงานเสียอีก คิดไปคิดมาคล้ายประชดเอสจึงหยิบแก้วไวน์สีแดงบนโต๊ะขึ้นมาจิบ

“อากาศดีนะ แม่ชอบเลยล่ะ” คุณหญิงชวนลูกชายคุย เขาพยักหน้าบอกครับ ดื่มด่ำกับบรรยากาศในโซนข้างสระน้ำของสโมสร มีน้ำพุถูกปล่อยออกมาสะท้อนกับแสงไฟสวยงาม จนกระทั่งถึงช่วงเวลาสำคัญ บรรดาแขกเหรื่อต่างยืนขึ้นให้เกียรติคู่บ่าวสาวที่จูงมือผ่านซุ้มกระบี่ซึ่งตั้งแถวจากบันไดพรมสีแดงทอดยาวขึ้นมาก่อนถูกเชิญขึ้นไปบนเวทีด้านนอก วีทีอาร์ฉายภาพขึ้น ก่อนที่พิธีกรซักถามอะไรหลายอย่าง งานเลี้ยงดำเนินไปอย่างราบรื่น อาหารถูกเสิร์ฟลงเรื่อย ๆ มีนักร้องหญิงดีวา ขึ้นไปขับร้องเพลงสากลช้าๆโอบล้อมบรรยากาศให้นุ่มนวลเต็มอิ่มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความรัก

เป็นแขกรับเชิญไปเรื่อยๆนะเอสนะ” จู่ๆคุณหญิงก็หันมาพูดด้วย เอสละสายตาออกจากเวทีแล้วหันมอง เขาเลิกคิ้วขึ้นนิดๆ คุณแม่เขากลับย้ำคำเดิมอีก “เป็นแขกรับเชิญไปเรื่อยๆนะลูก ให้แม่ได้ควงเรานานๆหน่อย”

คราวนี้คนฟังยิ้มรับออกมา  “ผมไม่รีบครับคุณแม่ ไม่คิดอยากจะแต่งเลยด้วย”

คนฟังขยับยิ้มบาง เธอนึกในใจเรื่องของหนูมินตราว่าที่คู่หมั้นลูกชายคนเดียวของเธอ บางทีอาจจะต้องมีอะไรที่เปลี่ยนแปลง ถึงตอนนั้นเธออาจจะต้องทำใจไว้ก่อน แน่นอนว่าเรื่องความเหมาะสมก็สำคัญมากแต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ เธออยากให้ลูกชายเธอกลับมายิ้มได้ดั่งเช่นเมื่อก่อน

ไม่ใช่รอยยิ้มฉาบฉวยแบบวันนี้

รอยยิ้มในแบบที่เขาแสดงออกว่ามีความสุขเหลือเกิน

นานมาแล้วที่เธอไม่เคยได้เห็น..นับตั้งแต่เขาเรียนอยู่แค่ปีสอง

“ไม่ใช่ว่าเจอคนถูกใจล่ะขี้คร้านจะรบเร้าแม่ให้ไปสู่ขอเร็วๆนะ”

“ไม่รีบครับผม”  เสียงทุ้มตอบหนักแน่น เขาจับมือคุณแม่มากุมไว้ที่ตักก่อนขยับเข้าไปใกล้เธออีกนิดจนคุณหญิงต้องร้องประท้วงออกมา เอสบอกอยากนั่งใกล้ๆมันอุ่นดี แค่นั้นแหละฝ่ามือเล็กๆของคนเป็นแม่จึงยกขึ้นมาลูบแผ่นหลังกว้างของลูกชายแผ่วเบา “รักใครชอบใครก็บอกแม่สิลูก”

เอสหันมายิ้มบางส่งให้คุณแม่ของเขาอีกครั้ง บีบมือเธอไว้แน่นแล้วขยับปากบอกว่าเขาไม่รีบเป็นครั้งที่สอง คุณหญิงได้แต่ส่ายหัวระอาใจกับความดื้อรั้นของลูกชายตัวเองก่อนที่จะมีนายทหารเข้ามาเชิญให้เธอและเอสออกไปถ่ายรูปหมู่ของบรรดาแขกกิตติมศักดิ์เพื่อเป็นเกียรติกับเจ้าภาพของงาน





ระหว่างทางจากระยองถึงกรุงเทพไม่ได้ใกล้นักแต่มันก็ไม่ได้ไกลเกินไปกับคนที่ต้องขับรถขึ้นลงอยู่ทุกสัปดาห์ ระหว่างทางมีบรรยากาศเงียบ ๆ โรยตัวเข้ามาบ้างเป็นบางช่วงเวลา แคปหันไปมองเสี้ยวหน้าของคนขับอยู่บ่อย ๆ ตั้งแต่เกิดเรื่องราววันนั้นแบงค์แวะมาที่ไร่แค่ครั้งเดียวเพื่อบอกเขาว่าจะเข้ากรุงเทพเร็วหน่อยเพื่อคุยธุระกับน้องโบว์ และชวนเขามาด้วยกันซึ่งแคปเองก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร

“หิวไหมแคป แวะกินที่นี่กันก่อนนะ”

รถจอดลงที่ร้านอาหารเจ้าประจำที่พวกเขาเดินทางเมื่อไหร่มักจะแวะใช้บริการเสมอ วันนี้ก็เช่นกัน

“สั่งให้หน่อยดิ เหนื่อยว่ะ” พอนั่งลงได้แบงค์เลื่อนเมนูส่งให้แคป ส่วนตัวเองแยกไปล้างหน้าล้างตาที่ห้องน้ำ แต่ทว่ากลับมานั่งลงแคปยังมองเห็นร่องรอยความไม่สดชื่นอาบอยู่เต็มใบหน้าคม

“กินของเบา ๆ ก็แล้วกัน ท่าทางมึงไม่ค่อยโอเคเลย เดี๋ยวออกจากที่นี่กูจะขับให้เอง”

“ไม่เป็นไรสักหน่อย”

แบงค์ตอบว่าไม่ป็นไรออกมาแต่หน้าตานี่คือไม่ใช่เลยสักนิด ในตอนนั้นเองที่อาหารมาเสิร์ฟลง สองคนนั่งกินกันไปเรื่อยๆ ที่จริงแล้วไม่อาจพูดว่าสองคนได้หรอกเพราะอีกคนก็แค่นั่งเขี่ยๆข้าวในจานหลังจากกินไปได้แค่สองสามคำ

“อิ่มหรือยัง” แคปวางช้อนเมื่อทานจนเสร็จก่อนจับแก้วน้ำขึ้นดื่ม ไม่นึกเลยว่าตัวเองจะอดทนมาได้แค่ตอนนี้เมื่อแบงค์พยักหน้าบอกว่าอิ่มแล้วเช่นกัน แคปวางเงินลงที่โต๊ะแล้วจัดการกระชากแขนไอ้ตัวอ่อนแอเข้าไปโยนไว้ในห้องน้ำ กดหัวมันลงกับอ่างล้างมือเปิดก๊อกแรง ๆ แล้วกวักๆๆน้ำใส่หน้ามันเอาแบบไม่ให้ได้หายใจหายคอกันเลย แบงค์จะขืนคอออกแต่อย่าคิดว่าจะสู้แรงแคปได้ ถึงแม้ว่าเดี๋ยวนี้แบงค์มันจะสูงขึ้นเยอะแต่เรี่ยวแรงอาจจะยังไม่คณามือแคปนักหรอก

“แค่กๆๆๆ มึงทำอะไรเนี่ย แค่กๆๆ” พอถูกปล่อยคอให้เป็นอิสระ แบงค์ทั้งสำลักทั้งไอ หน้าแดงไปหมดเนื้อตัวก็เปียกโชก แคปถอยไปยืนกอดอกมอง

“ได้สติขึ้นมาหรือยัง”

กระดาษเช็ดมือถูกแบงค์ดึงออกมาหลายแผ่นเพื่อนำมาเช็ดตามหน้าตามลำคอ เช็ดไปก็บ่นไปแคปมันก็ยังยืนดูแบบขำๆ “เละเลยนะมึงหน้าตา รู้สึกดีขึ้นแล้วใช่ไหมล่ะ”

“เออ! ทีหลังทำอย่างอื่นเหอะ จะเรียกสติกันก็เตะมาสักที ไม่ก็ชกมาสักหมัด ตบมาสักฝ่ามือ ไม่ช่ว่าลากกันมากดหัวลงน้ำแบบนี้เกิดกูจมน้ำตายขึ้นมามึงจะทำไง”

“โถๆๆๆ จะจมน้ำได้ยังไงวะไอ้แบงค์มึงพูดเรื่องเหี้ยไร นี่มันแค่อ่างล้างมือมึงจะบ้าเรอะไม่ได้กดลงชักโครก”

“ก็ใครมันชอบรังแกล่ะ”

“หนอยรังแกที่ไหน” กูหวังดีเหอะยังมาทำหน้ายุ่งอีก

“เช็ดให้ดิ เสื้อเปียกเนี่ยไม่เห็น?” แบงค์ยื่นกระดาษที่ดึงมาใหม่ส่งให้แล้วบอกให้แคปเช็ดหัวให้หน่อย คนฟังส่ายหน้าบอกไม่ จากนั้นชี้ออกไปว่าบนรถมีผ้าเช็ดตัวให้ไปนั่งเช็ดบนนั้นเลย

“เดี๋ยวกูขับต่อเองมึงจัดการเนื้อตัวมึงให้แห้งไปเถอะ”

จากนั้นแคปกลายไปเป็นคนขับขณะที่แบงค์เปลี่ยนไปนั่งแทนที่เขาถอดเสื้อออกมาผึ่งแล้วใช้ผ้าเช็ดตัวเช็ดหัวไปด้วย

“เสื้อมึงอยู่หลังรถน่ะ ให้กูจอดไหม” แคปหันไปถาม แบงค์ส่ายหน้าบอกไม่ต้องเพราะว่าจวนจะแห้งแล้ว รถเริ่มเข้าแถบชานเมืองมา คนที่เพิ่งแต่งตัวจนเสร็จเรียบร้อยบอกแคปให้จอดเพื่อเปลี่ยนมือมาขับเอง

“เดี๋ยวกูจะแวะเข้าไปหาน้องเลย มึงจะเข้าไปด้วยกันไหมวะ”

“มึงคิดว่ากูควรจะไปไหมล่ะ”

แบงค์หันมาจ้องหน้าคนถามนิ่ง ๆ  หากแต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ ใบหน้าคมเคร่งเครียดขึ้นนั่นทำให้แคปรู้ดีว่าเขากำลังใช้ความคิดอย่างหนัก จนสุดท้ายเขาพาแคปมาส่งที่คอนโดของตัวเอง  

“เดี๋ยวตอนเย็นพากินข้าวข้างนอก” แบงค์ดึงแขนคนที่กำลังจะมุดออกจากรถไว้ แคปพยักหน้าแล้วโบกมือไล่ให้ขับออกไปได้แล้ว รถเคลื่อนตัวออกไปไม่เร็วนักแต่กลับหยุดนิ่งลงแล้วคนขับก็เปิดประตูลงมาตะโกนเรียกแคปไว้

“ถ้ากูกลับดึกมึงก็หาอะไรกินไปก่อนเลยนะ ไม่ต้องรอก็ได้” แคปพยักหน้าอีกครั้งบอกโอเครับรู้ เขาไม่มีปัญหาเรื่องมันจะกลับไม่กลับเมื่อไหร่ บางทีแบงค์เข้ากรุงมาก่อนวันทำงานมันจะนัดเจอเพื่อนฝูงบ้างสาว ๆ ของมันบ้างตามโอกาส ช่วงแรกก็มีชวนแกมบังคับขู่เข็นเขาไปนั่งดริ๊งนั่งดื่มด้วย แต่เขามักจะปฏิเสธพร้อมกับบอกมันว่าจะอยู่เฝ้าห้องทำความสะอาดให้แทน หลังจากนั้นเขาจะไม่โดนเซ้าซี้อีกเพราะอีกฝ่ายดูเหมือนจะเข้าใจความหมายของเขา เที่ยวเสร็จดื่มเสร็จดึกๆก็กลับมาถึงห้องต่างคนต่างนอน เป็นแบบนั้นมาตลอด
อันที่จริงแล้วมันก็ควรจะเป็นอย่างนั้น

หากแต่คืนนี้กลับไม่เหมือนเดิม....ราวเที่ยงคืนเศษ แคปที่ออกมานั่งรับลมชมวิวยามดึกอยู่ริมระเบียงสูงชัน ด้านหลังห้องนอนใหญ่ของแบงค์ กำลังเพลิดเพลินอยู่กับเสียงเพลงเบา ๆ ที่เปิดทิ้งไว้ด้านใน เขานั่งทอดอารมณ์คิดคำนึงเรื่องราวหลากหลาย แน่นอนเขามีเรื่องที่ต้องคิด เห็นเขาใช้ชีวิตชิลๆเหมือนคนไม่คิดอะไรแบบนี้แต่เรื่องที่จำเป็นต้องคิดก็ต้องนำมาคิดอยู่ดี ทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวที่ดูเหมือนตอนนี้จะครอบงำสมองส่วนหนึ่งของเขาไว้เกือบทั้งหมด

โดยเฉพาะเรื่องที่เขากำลังคิดและตัดสินใจว่าพรุ่งนี้ควรจะเข้าไปที่ตึกรัชชาดีหรือไม่

ความจริงคำตอบมันออกมาตั้งแต่คืนวันนั้นแล้วด้วยซ้ำ


“จะเอาอะไรมึงพูดมาตรงๆเลย”

“พฤหัสนี้ไปหากูที่ตึกรัชชา แล้วคืนนี้กูจะทำตามข้อตกลงของมึง”

“................”

“ก็แล้วแต่นะ”

“..............”

“งั้นก็ต่างคนต่างอยู่ไปแล้วกัน หลีกทางหน่อยซิ”

“................”

ในตอนนั้นเอสกำลังจะก้าวเดินออกไปแล้วหากแต่เขาที่ยืนเงียบงันอยู่กลับคว้าเอาท่อนแขนอีกคนเอาไว้อีกครั้ง ก่อนที่คนถูกรั้งจะหันมาฟังคำพูดช้า ๆ ชัดๆที่ขยับออกมาจากริมฝีปากของเขา

“คืนนี้มึงอย่าผิดสัญญาก็แล้วกัน”


เสียงไลน์เด้งรัวๆขึ้นมาทำเอาแคปสะดุ้งหลุดออกจาภวังความคิด เขายกโทรศัพท์ที่กำไว้ขึ้นมาดู มันเป็นข้อความเข้าจากเจ้าอาร์ แคปถอนหายใจแล้วปล่อยให้มันดังต่อไปก่อนเปิดอ่านข้อความเพี้ยนๆสารพัดเรื่องของมันแล้วตอบไปแค่คำเดียวว่าหลับแล้วห้ามกวน แค่นั้นแหละ สติ๊กเกอร์เศร้าเสียใจน้ำตาไหลพรากๆแทบทุกตัวถูกโหลดส่งมาจนเขามึนตึ๊บ ทิ้งมือถือลงแทบไม่ทัน แคปชักโมโหกำลังจะเอาขึ้นมากดโทรออกเพื่อยิงสลุตด่ากราดไปทางสายเสียเลยแต่เสียงเรียกเข้าจากเบอร์โทรที่เขาไม่รู้จักดันแผดลั่นขึ้นมาก่อน แคปกดรับสาย

“ฮัลโหลนั่นพี่แคปใช่ไหมพี่” เสียงแหบๆไม่คุ้นเคยจากปลายสายทำเอาแคปคิ้วขมวดขึ้นนิดๆ พออ้าปากถามว่านั่นใคร คนทางนั้นก็เฉลยออกมาว่ามันคือเพื่อนของเจ้าแบงค์ ตอนนี้ดื่มกินกันอยู่ที่ร้านXXXให้เขาออกไปรับไอ้แบงค์ที่เมายับหมดสภาพกลับห้องแบบด่วน ๆ

“แถวไหนนะ”

แคปถามไปพลางลุกขึ้นปิดระเบียงให้เรียบร้อย “เออเดี๋ยวกูไป” เขาเปลี่ยนชุดนิดหน่อยก่อนคว้าเอาเสื้อคลุมกับกระเป๋าสตางค์และโทรศัพท์มือถือ ลงมาด้านล่างจับแท็กซี่ออกไปยังร้านเป้าหมาย ไม่นานนักก็มาถึงแลกบัตรก่อนจึงจะสามารถผ่านเข้าไปได้เหตุเพราะไม่ใช่ขาประจำ จะว่าไปร้านนี้ยังไม่เคยเข้ามานั่งเลยนะ ไม่รู้ว่าพวกมันกินกันอยู่โซนไหน แคปโทรหาเบอร์ล่าสุดอีกครั้งก่อนจะเดินไปในทางที่ปลายสายบอกออกมา

“หวัดดีพี่หวัดดีครับ มาๆๆนั่งๆๆพี่แคปนั่งครับนั่งพี่” พอเข้ามาถึงกวาดตามองหาไอ้แบงค์ก่อนเป็นอันดับแรกอันที่จริงก็เห็นอยู่ทนโท่นั่นแหละ สภาพมันยับแหลกจริง ๆ เหมือนว่ามันจะหรี่ตามองมาที่เขา มองแล้วมองอีกว่าเขาคือใคร มายืนจ้องมันทำไม

“เป็นเหี้ยไรของมึงวะ เมาได้หมดสภาพขนาดนี้” แคปนั่งลงข้างแบงค์ก่อนรับแก้วเครื่องดื่มที่บรรดาเพื่อนฝูงมันยื่นส่งให้แล้วถามขึ้น ความจริงเห็นหน้ามันก็รู้แล้วว่าเรื่องที่ไปคุยกับน้องโบว์น่าจะเป็นสาเหตุหลักๆที่ทำเอามันเฟลได้ยับแบบนี้

“มาได้ไงวะ”  แบงค์ไม่ได้ตอบคำถามหากแต่เขากลับถามขึ้นแบบมึน ๆ ลูบหน้าลูบตาสะบัดหัวกะจะให้หายมึน แต่ถึงอย่างนั้นใบหน้าแคปมันก็ยังโย้ไปโย้มาตามประสาคนเมามอง

“จะมาจับทำไมเล่า” แคปปัดมือไอ้คนที่มันยกขึ้นมาจับจับหน้าเขาดูให้ชัดๆ “กลับกันได้ยัง”

“มารับอ่อ?”

“กูคงมานั่งกินเป็นเพื่อนมึงมั้งนะ”  ตีหนึ่งเนี่ย ถามออกมาได้

“อยากกินให้หายกลุ้ม กลับไปจะได้หลับตายไปเลยไง” ว่าจบก็ยกขึ้นซดหมดอีกแก้วก่อนฟุบหน้าลงไปที่โต๊ะ แคปส่ายหัวก่อนลุกขึ้นยืนแล้วดึงแขนคนข้าง ๆ ให้ลุกขึ้นเหมือนกัน

“พี่พามันกลับเหอะครับเดี๋ยวทางนี้พวกผมเคลียร์เอง ไม่ต้องห่วง”

“อืม พวกมึงก็ขับรถดีๆล่ะ”

“มันคงกลุ้มมากอ่ะพี่ เข้ามาได้ก็กินเอากินเอา ดีหน่อยยังไม่เรื้อนขนาดไปหาเรื่องโต๊ะอื่น”

“เออขอบใจพวกมึง กูจะพามันกลับล่ะ”

หลังจากนั้นก็เป็นหน้าที่แคปที่ต้องทั้งหิ้วทั้งลากไอ้ตัวดีออกไปด้านนอก กว่าจะถามกันรู้เรื่องว่าเอารถจอดไว้ตรงไหนและกว่าจะล้วงจะควักเอากุญแจรถออกมาได้ เขาสองคนช่างดูเหมือนตัวอะไรสักอย่างที่มากอดมาล้วงกันอยู่ตรงที่จอดรถของร้าน

“มึงยืนดีๆสิวะแบงค์ บ้าเอ๊ย” แคปสบถก่อนดึงไอ้คนตัวหนักไปยัดเข้ารถ เสร็จมันยังไม่ยอมเอาขาขึ้นเขาถึงขนาดต้องถีบๆยัดๆมันเข้าไป

“นอนไปอย่าพูดมาก ห้ามเพ้อเจ้อด้วยนะมึง”

กำชับเสร็จจัดการล็อคทุกอย่างให้เรียบร้อย จากนั้นขับรถเลี้ยวออกไป ระหว่างทางได้ยินเสียงเหมือนคนสะอื้นต่ำๆ พอหันมองคนข้าง ๆ ก็เห็นแบงค์มันพร่ำเพ้ออะไรของมันสักอย่าง ฟังดูดี ๆ น่าจะเป็นเรื่องที่ทะเลาะกับน้องสาว และคงจะเป็นการทะเลาะกันครั้งใหญ่น่าดู

หัวข้อเรื่องก็รู้กันอยู่แล้ว

“ไหวไหมเนี่ย” แคปถอนรถเข้าช่องจอด ดึงเบรกมือเรียบร้อยหันไปมองคนที่นอนหมดสภาพ เขาถอนหายใจหนักๆหนึ่งทีก่อนลงจากรถแล้วเดินอ้อมไปเปิดประตูอีกฝั่งหนึ่งออกแล้วดึงคนตัวโตลงมา ทุลักทุเลกันเหลือเกินแต่ในที่สุดก็ขึ้นมาถึงหน้าห้องได้ แบงค์สะบัดแขนออกอย่างรำคาญต่อต้านขัดขืนพุ่งตัวจะนอนลงที่โซฟาอย่างเดียว เซแถดๆจนแคปเริ่มโมโห เขากระชากตัวมันแล้วดึงเข้าไปเหวี่ยงไว้ทิ้งที่อ่างอาบน้ำอย่างแรง

“ตายไหมมึงอ่ะ!”  แคปตะคอกใส่หน้าเปิดน้ำใส่หัวมันแรง ๆ เอาให้เลิกบ้าก่อนดึงฝักบัวออกมาฉีดใส่ไปอีกทาง  “น้องมันไม่ฟังมึงต้องค่อย ๆ คิดสิวะ ทำร้ายตัวเองแบบนี้บ้าไหม”

“..........”

“อาบเสร็จแช่เสร็จแล้วออกมาคุยกัน หรือถ้าจะไม่คุยก็นอน แต่ยังไงก็แล้วแต่มึงต้องอาบน้ำล้างตัวให้เรียบร้อยก่อน” เหม็นเหล้าแบบสุด ๆ ยังคิดจะนอนเลยอีก โตเป็นควายแล้วแม่ง

“กูกลุ้มใจ”

“กลุ้มแล้วยังไงห๊ะ แดกเหล้าแล้วมันหายไหมล่ะ!

“...........”

“กูจะออกไปรอด้านนอกเสร็จแล้วก็ออกมาเดี๋ยวชงน้ำขิงแก่ ๆ ให้กิน  อ่ะ!!” แคปสั่งความเสร็จกำลังจะหันกลับออกไปแต่เขากลับโดนกระชากโดยคนที่นั่งจมอยู่กับอ่าง แคปเซถลาลื่นเกือบล้มจนต้องยึดตัวเองกับขอบอ่างไว้ เขาโมโหจนจี๊ดขึ้นหัว

“ทำอะไรของมึงห๊ะ!

“กูง่วงนอน อาบให้หน่อยดิ”

“อย่ามามากเรื่อง อาบไปให้เสร็จ ปล่อยมือกูได้แล้ว”

แคปจ้องหน้าไอ้คนที่บอกว่าตัวเองเมานักเมาหนาตาเขียวอื๋อ ในที่สุดแบงค์ยอมปล่อยมือเขาอย่างจำนนพร้อมกับทำหน้าสำนึกผิดเต็มที่ นั่นแหละจึงถูกแคปชี้หน้าคาดโทษอีกครั้ง

“อาบๆเร็วเข้าอย่ามัวแต่เล่นมันดึกแค่ไหนแล้วไม่รู้จักเวล่ำเวลานะมึง สระผมให้เรียบร้อยด้วย”
ได้ยินแต่เสียงไอ้คนที่นั่งอยู่ที่อ่างบ่นอุบว่าแคปบ้าออกคำสั่ง เขาจึงปิดประตูโครมลงให้ ออกไปชงน้ำขิงร้อนๆแก้เมาเตรียมไว้ให้มัน ในตอนนั้นเองที่ได้ยินเสียงประตูห้องนอนเปิดออก

“มึงมานี่เลย กินนี่เสร็จแล้วก็เข้านอนซะ” เขากวักมือเรียกพร้อมกับยืนรออีกคนให้เดินออกมากินน้ำขิงร้อนๆในถ้วยแก้วใบใหญ่  แบงค์ยืนมองแล้วส่ายหน้าก่อนเดินเซนิดๆออกมานั่งกิน

“กูมันเป็นพี่ชายที่ห่วยแตกที่สุดในโลกเลยมึงรู้ไหม”

“.............”

“โดนน้องสาวเกลียดเข้าแล้ว” แบงค์ใช้น้ำเสียงสมเพชตัวเองบ่นพึมพำขึ้นมา มุมปากหยักแค่นแค้นรอยยิ้มรัดทดหดหู่ ทำให้คนมองอย่างแคปที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ถึงกับส่ายหัวแล้วขยับเข้าไปตบลงที่แผ่นหลังกว้างเบาๆ

“คิดมากวะมึง”

“โบว์เกลียดกูแล้ว น้องตะโกนใส่หน้ากูไล่ตะเพิดกูออกมาจากห้อง”

“............”

“โดนเกลียดแล้ว กูโดนน้องเกลียดทั้งที่ตั้งใจตักเตือนด้วยความหวังดีทั้งนั้น”

“มึงก็รู้อยู่แล้วนี่หว่า เรื่องความรักถ้ากำลังหน้ามืดตามัวมันก็ยากที่จะปีนขึ้นมาจากหลุมได้ด้วยกันทั้งนั้นเว้ย ให้เวลาน้องโบว์หน่อย น้องยังเด็กมึงเป็นพี่มึงต้องทำใจนะ”แคปพูดแล้วก็นึกถึงเรื่องตัวเองเช่นกัน หน้าอย่างเขายังจะคิดไปสอนใครได้ ตัวเองยังเอาตัวไม่รอดแท้ ๆ

“กูเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรจะบอกแบบไหน มันตื้อมันตันไปหมด กูเหมือนคนน้ำท่วมปากมันจุกอยู่ตรงนี้!” เสียงตุ่บๆจากคนพูดที่ทุบลงที่หน้าอกข้างซ้ายของตัวเอง ตำแหน่งหัวใจพอดิบพอดี แคปมองแล้วก็ได้แต่ถอนใจ

“แล้วมึงบอกโบว์ว่ายังไงวะ บอกเรื่องคู่หมั้นหรือว่าบอกเรื่องเก่า ๆ.......ของกู”

“...........”

“...........”

“แค่เรื่องคู่หมั้นโบว์มันก็ร้องจนกูแทบจะทนไม่ได้แล้ว กูจะกล้าพูดเรื่องของมึงได้ยังไง..” มันพูดไม่ได้หรอกเรื่องนั้นน่ะ

“จะให้กูพูดให้ดีไหมล่ะ”

คนฟังส่ายหน้าทันที ก่อนที่ดวงตาคมที่เต็มไปด้วยความเศร้าสร้อยจะมองจ้องเข้ามาที่ดวงตาของแคป นัยน์ตาที่แดงก่ำเต็มไปด้วยความน่าสงสาร แคปมองแล้วแทบจะทนไม่ได้ จะว่าแบงค์มันเข้ามาเป็นเพื่อนเขาทีหลังอาร์กับปอ ถึงแม้ว่ามันจะน่ารำคาญเพราะว่าคอยมาตามตื้อแต่ทว่ามันเป็นคนดีไม่น้อยไปกว่าใครๆ รู้จักกันมานาน ๆ ก็อดจะรู้สึกอดสูแทนมันไม่ได้

“มึงต้องเข้มแข็งไว้นะ”

“กูจะทำอะไรได้มากไปกว่านั้นล่ะ”

“เอาน่า คิดได้แบบนั้นมันก็ดีแล้ว”

“..........”

“ลุก  เข้านอนเร็ว” แคปลุกขึ้นพยักหน้าชวน แบงค์ถอนหายใจยาวเหยียดก่อนยกสองมือเสยผมที่เปียกหมาดแล้วลุกขึ้นเดินตามหลังคนตัวเล็กกว่าเขาเข้าห้องไป

“หลับตาแล้วก็นอนไปเลยกูปิดไฟเอง” แคปจัดการปิดไฟเรียบร้อยก่อนเดินไปนอนอีกฝั่งหนึ่งของเตียง ความเงียบโรยตัวเข้าปกคลุมห้องที่มืดมิด คนสองคนนอนลืมตาโพลงอยู่ในความมืด

ในที่สุดเป็นแคปที่หลับตาลงก่อน....หากแต่อีกคนยังไม่ได้หลับลงไปด้วย ลมหายใจที่เต็มไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์อ่อนจางกับดวงตาคมกริบที่อัดแน่นไปด้วยความรู้สึกมากมายเกินกว่าจะข่มหลับได้ลง

“แคป”

“หื้อ”

หลังแคปขานรับจบร่างสูงใหญ่พลิกตัวเข้ามาคร่อมคนตัวเล็กกว่าไว้จนจมมิด สองมือกดเอาสองแขนแคปล็อคลงกับเตียงนุ่มจนคนที่ตั้งตัวไม่ทันติดเบิกตาวาวโรจน์ ตะคอกขึ้นอย่างดัง “ทำเหี้ยไรของมึงห๊ะแบงค์!

“...........” สายตาที่จ้องลงมาแดงก่ำราวกับเปลวไฟ แบงค์ไม่ได้พูดอะไรตอบเขาเพียงแค่ก้มลงมาเรื่อย ๆ ช้า ๆ ใบหน้าคมที่แคปจ้องมองอยู่บัดนี้มันอยู่ห่างจากหน้าเขาแค่นิดเดียวเท่านั้น

“ไอ้แบงค์มึงอย่าบ้านะ”

ใกล้ชิดเข้ามาเรื่อย ๆ จนลมหายใจร้อนผ่าวสัมผัสได้ที่ปลายจมูกซึ่งเกือบจะแตะชิดกันอยู่แล้ว แคปกัดฟันแน่นจนกรามสั่น ก่อนขยับริมฝีปากพูดลอดไรฟันออกมา 

“รู้ใช่ไหมถ้ามึงจูบลงมาจริง ๆ นี่จะเป็นครั้งเดียวและครั้งสุดท้ายที่มึงจะได้สิ่งนี้จากกู”

คำพูดเรียบ ๆ จากแคปคือสิ่งที่ดึงสติแบงค์ให้กลับคืนมาได้ เขาชะงักอยู่เพียงแค่นั้นทั้งที่ปลายจมูกโด่งแตะชิดกันเรียบร้อยแล้ว ครึ่งเซ็นติเมตรเท่านั้นก่อนที่ริมฝีปากหยักจะได้เบียดบดลงไปสัมผัสหากแต่แคปกัดปากตัวเองไว้จนเลือดไหลซิบซึมออกมา

เขาจ้องหน้าแคปอยู่แบบนั้นก่อนที่จะปล่อยมือข้างหนึ่งออกมาจากแขนอีกฝ่ายแล้วเช็ดลงไปที่ริมฝีปากเล็กให้

ผลั่ก!

แคปได้โอกาสผลักอีกคนจนกระเด็นเกือบตกเตียง ลุกพรวดขึ้นแล้วคว้าเอาหมอนจะเดินออกไปนอนที่ด้านนอก แบงค์รีบคว้าข้อมือเล็กเอาไว้

“ไม่ทำแล้ว ขอโทษนะ”

“มึงนอนนี่แหละเดี๋ยวกูไปนอนหน้าห้องเอง” แคปว่าไม่มองหน้า

“แคป ไม่เอา กูไม่ทำแล้วเข้ามานอนด้วยกัน”

แคปส่ายหน้าบอกไม่แล้วผลักแบงค์ออกบอกให้ปล่อย เขาจะเดินออกไปแบงค์มันลุกขึ้นมาดักหน้าเอาไว้เลย

“ถ้ากูคิดจะทำกูทำต่อแล้วแคปไม่รอให้มึงลุกขึ้นมาได้แบบนี้หรอกนะ”

“ก็ถ้ากูนอนลง ใครจะมารับรองความปลอดภัยกูได้ล่ะ มึงมันบ้าไหมคิดว่าต่อไปกูจะกล้ามากับมึงอีกไหมห๊ะไอ้สัส!

“..............”

“มึงนอนไปเหอะ”

“งั้นกูไปนอนข้างนอกเอง มึงไม่ต้องไป” แบงค์ดึงเอาหมอนในมือแคปมา เขาจะออกไปด้านนอกเองแคปจึงกระชากคืนไว้ ยืนจ้องหน้ากันสักครู่ไม่มีใครยอมลง แคปฟาดหมอนลงไว้ที่เตียงอย่างเดิมแล้วเดินตึงตังไปนอนดึงผ้าห่มขึ้นมาห่อตัว

“ถ้ากูรู้สึกตัวขึ้นมากลางดึกเจอว่ามึงรุ่มร่ามกับกูนะ กูจะเอามึงให้เจ็บจนตายจริง ๆ ไอ้เหี้ยแบงค์”

“ไม่ทำหรอกน่า ขอโทษแล้วไง”

“นอนได้แล้วอย่าพูดมาก”

แม้ว่าจะเป็นคืนที่ยากลำบากนักกว่าจะผ่านพ้นไปได้ทว่าในที่สุดเขาสองคนก็หลับกันไปคนล่ะฟากฝั่งของเตียง จนกระทั่งในตอนที่แสงจากดวงตะวันยามเช้าอาบม่านหน้าต่างสีหม่นสาดส่องลอดพ้นรอยแยกเข้ามาแคปถึงได้รู้สึกตัวตื่น แน่นอนว่าสิ่งแรกที่เขาหยิบคว้าควานเข้ามาดูคือโทรศัพท์ พอเห็นว่ายังสามารถนอนต่อได้อีกหน่อยก็หลับตาลงในทันที  ในตอนนั้นเองที่รู้สึกได้ว่าคนที่อยู่อีกฝั่งเตียงขยับตัวขยุกขยิก

แคปลืมตาโพลง

นึกได้เรื่องเมื่อคืนเขารีบลุกพรวดขึ้นนั่งเลย แบงค์ยังนอนกอดหมอนข้างหลับเป็นตายทำหน้าตาสบายอารมณ์ เขานึกอยากจะถึบมันขึ้นมาทันที เวลาไม่เมานี่มันก็เป็นเด็กดีอยู่หรอก แต่พอเมาเท่านั้นชอบทำแต่เรื่องไม่เข้าท่าบ้าตลอด  นึกๆพลางเหล่ตามองไอ้คนที่นอนกรนเบา ๆ อีกรอบ ก่อนที่เขาจะลุกออกจากห้องไปจัดการทำธุรส่วนตัวทุกอย่างให้เรียบร้อย

“ทำไมมึงตื่นก่อนกูวะแคป”

นี่คือคำถามของคนที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องในสภาพเหมือนหมาเพิ่งฟื้นจากฤทธิ์น้ำเมา แคปนั่งอยู่ที่โซฟาพับหนังสือพิมพ์ลงแล้วเงยหน้ามอง

“กี่โมงแล้วมึงดูเวลาด้วย”

แบงค์หาวหวอดเอนตัวทำท่าจะนอนลงที่โซฟา เขามองดูเวลาด้วยสายตาแบบเบลอๆ

“ไหนมึงบอกวันนี้พี่หนึ่งนัดมึงห้าโมงเช้าไง”

จบคำพูดแคป แบงค์ลุกพรวดขึ้นอย่างเร็ว วิ่งหน้าตั้งเข้าไปในห้องไม่นานเสียงฝักบัวในห้องน้ำก็ดังฉ่าขึ้น พอแต่งตัวเรียบร้อยแถบจะวิ่งถลาออกมา แคปชี้ไปที่โต๊ะอาหารในครัว

“ไม่ทันแล้ว” บอกไม่ทันแต่เดินไปเปิดฝาชีที่ครอบออก หยิบแซนวิชไข่ที่แคปทำเผื่อไว้ให้ยัดเข้าปากพลางเปิดตู้เย็นคว้านมกล่องแล้วดิ่งไปที่ตู้รองเท้า

“ลุกสิวะแคป กูสายเนี่ย” แบงค์มันพูดทั้งที่คาบของกินเต็มปาก ทั้งกระเป๋าทั้งเครื่องมืออะไรต่อมิอะไรของมัน แคปมองแล้วก็ส่ายหัว เขาเดินเข้าไปดึงเสื้อคลุมกับแฟ้มงานมาช่วยถือไว้ให้ ก่อนที่สองคนจะเข้าลิฟต์ลงไปที่ชั้นล่าง

“กูขับเอง” แคปดึงเอากุญแจรถมาแล้วเปิดเข้าไปนั่งรอ โยนทุกอย่างที่ถือมาใส่เบาะหลัง

“เหยียบให้มิดเลยนะมึง” ด่วน ๆ กูสายฉิบหายเลย

“ถูกปรับมาแล้วสองครั้งยังไม่เจียมตัวนะครับคุณแบงค์” เดี๋ยวนี้มีกล้องตรวจจับความเร็วเกือบทุกเส้นทางด่วน เข้ากรุงทีไรเจอเสียค่าปรับทุกที ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่เข็ด

“เออน่า เร่งให้หน่อยละกัน”

“มึงโทรไปบอกไป อาจจะเลทสักสิบห้านาทีชัวร์”

แบงค์ทำตามอย่างว่าง่าย รถฝ่ามรสุมช่วงเที่ยงของแยกนรกแตกมาได้ในที่สุดก็มาจอดลงที่ทางเข้าหน้าตึกไพร์มมีเดีย แคปเงยหน้ามองอีกฝั่งด้านข้างของตึกสูงชันเห็นกำลังมีการก่อสร้างตึกหลอดแก้วใหม่ เขาเห็นข่าวในหนังสือพิมพ์เมื่อเช้านี่เอง ที่แท้ก็เป็นหนึ่งในโครงการของรัชชาด้วย

“เดี๋ยวกูโทรหา แต่คิดว่าคืนนี้คงดึก”

“เออ เสร็จแล้วก็โทรมาละกัน”

“จะมารับใช่ป่ะ”

“ถามทำไมวะ” เขาก็รับส่งมันเวลาเข้ากรุงตลอดอยู่แล้ว

“ก็...นึกว่าเรื่องเมื่อคืน คือ มึงคงจะไม่ยกโทษให้กูอีกแล้วไง” ก็เลยถาม

แคปเหลือบมองไอ้คนที่พูดเสียงแผ่วทันที จริงๆเขานึกมาตลอดว่าท่าทางแบงค์มันไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองทำผิดเหี้ยไรเลย ตื่นเช้ามาไม่เอ่ยถึงเรื่องที่ผ่านมาสักคำ เพิ่งรู้ว่ามันเองก็เก็บเอามาคิดอยู่บ้างเหมือนกัน

“ก็เพราะว่ามึงไม่ได้ทำอะไรไงเราถึงยังคงเป็นอย่างเดิมได้ ซึ่งมึงคิดได้ถูกต้องแล้ว”

“ไม่โกรธกูนะ”

“มึงรู้สึกว่าผิดใช่ไหมล่ะ”

“อืม กูกลุ้มใจหลายเรื่องจริง ๆ ขอโทษว่ะ”

“เออช่างเหอะเดี๋ยวกูเข้ามารับ มึงเข้าไปทำงานได้แล้วไป พี่หนึ่งแกคงบ่นอุบแล้วป่านนี้น่ะ”

“จะกลับไปรอที่ห้องใช่ไหมวะ” แบงค์หันมาถามในตอนที่เขาก้าวลงจากรถไปแล้วนึกบางอย่างขึ้นได้ มือซ้ายจับกรอบประตูรถไว้

“เปล่า วันนี้มีธุระ”

“............” ทำหน้าทำตาอยากรู้เต็มที่ว่าแคปจะไปไหน ฝ่ายคนมองส่ายหน้าให้รู้ว่าเขาไม่บอก “มึงขึ้นไปทำงานไป”

“โอเค ”แบงค์ยักไหล่ก่อนปิดประตูรถลงให้ รถมุ่งหน้าไปที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง





นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มินตรามีโอกาสได้นั่งมองใบหน้าคนรักของเธอแบบชัดๆใกล้ชิดขนาดนี้ เธอยังถือทั้งช้อนและส้อมคาอยู่กับมือ ในระหว่างเวลาอาหารเผลอจ้องมองเครื่องหน้าคมคายที่หมดจดเกินกว่าจะบรรยายออกมาได้ ถึงแม้ว่านิสัยเขาจะดูเย็นชามากไป ก็ไม่อาจนำมาหักล้างกับบุคลิกที่สง่างามสมกับเป็นถึงประธานคนเล็กของรัชชาลงได้เลย เธอนั่งมองเขานิ่งงันอยู่แบบนั้นจนคนถูกมองที่ดูเหมือนจะอิ่มแล้วยกแก้วไวน์สีแดงขึ้นมาจรดริมฝีปากแล้วใช้สายตาถามเธอว่า จ้องหน้าเขาทำไม

“ไม่อร่อย?” เอสมองเห็นอาหารในจานเธอพร่องลงแค่นิดเดียวเท่านั้น

“เปล่าค่ะ มินต์อร่อยมากเลย” ความจริงแล้วอาหารที่ห้องรับรองของรัชชาอร่อยและน่าทานทุกอย่าง ถ้าหากเธอมาหาเขาในเวลาทำงานแบบนี้เอสจะพาเธอลงมาทานอาหารที่ห้องนี้เป็นประจำ รสชาติอร่อยถูกปากมากๆ การจัดก็ดูเรียบหรูที่สำคัญดูเหมือนอาหารที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้ทุกครั้งจะเป็นของที่เธอชอบทั้งนั้นเธอจึงอดคิดไปไม่ได้ว่าเขาช่างใส่ใจ ทั้งที่ทำหน้านิ่ง ๆ แบบนั้น

“ขอบคุณนะคะเอส”

หลังมื้อเที่ยงจบลงเธอเดินเคียงคู่กับเขาขึ้นไปที่ห้องทำงานใหญ่ ปรเมทผู้เป็นเลขายืนขึ้นค้อมศีรษะให้ในตอนที่เจ้านายของเขาเดินผ่าน ช่วงเวลาบ่ายโมงเศษแล้วมินตรารู้ดีว่าเขาไม่ชอบให้ใครมารบกวนเวลาทำงานเพราะอย่างนั้นจึงตั้งใจเลือกเฟ้นเวลาที่จะมาให้ถึงที่นี่ในช่วงเที่ยงของวันเพื่อทานข้าวด้วยกัน

“มินต์กวนคุณหรือเปล่าคะที่รัก” เธอเดินเข้าไปสวมกอดแผ่นหลังกว้างไว้ในตอนที่เขากำลังจะนั่งลงที่เก้าอี้ทำงานตัวใหญ่ เอสหันไปมองนิดหน่อยก่อนเบี่ยงตัวนั่งลงไปแล้วเธอจึงค่อยขยับเข้ามานั่งบนแขนของเก้าอี้  เอนศรีษะเล็กๆซบไหล่แข็งแกร่ง

เอสหยิบเอกสารขึ้นมาพลิกเปิดอ่าน ปล่อยให้ว่าที่คู่หมั้นของเขากอดไป

“มินต์ไม่อยู่หลายวันคุณคิดถึงมินต์ไหมคะ” นี่เป็นการถามครั้งที่สามแล้วถ้าเขาจำไม่ผิด ตั้งแต่ก่อนกินข้าว ตอนที่กำลังกิน และล่าสุดคือถามขึ้นมาในตอนนี้ คนฟังเหลือบมองเพียงแค่นิดเดียวก่อนเพ่งความสนใจลงที่เอกสารในมือต่อ มินตราเองก็มองดูบ้าง เธออยากรู้ว่ามันคืองานอะไรกันที่สามารถดึงความสนใจเขาให้มากกว่าตัวของเธอได้

“ที่รักตอบสิคะ คุณคิดถึงมินต์ใช่ไหม”

“อืม คิดถึงครับ” เขาตอบเรียบ ๆ คำพูดที่บอกว่าคิดถึงทำให้เธอดีใจถึงแม้ว่าหน้าตาและน้ำเสียงจะไม่ได้บ่งบอกว่าคิดถึงเธอเลยสักนิดก็ตาม “ดีใจจังเลยค่ะ”

เอสฟังแล้วนิ่งไป เขาวางงานในมือลงก่อนแตะที่แขนเธอเบา ๆ “มินต์”

“คะ?” เธอขานรับอย่างตระหนกนิดๆ นับครั้งได้ที่เขาจะเรียกชื่อเธอแล้วดึงให้ขยับเข้าใกล้เหมือนกำลังจะพูดอะไรด้วยแบบนี้ กลิ่นน้ำหอมอ่อนจางที่ให้ความรู้สึกของบุรุษเพศที่สะอาดแข็งแรงผสมไปกับกลิ่นบุหรี่อ่อนๆจากกายชายหนุ่ม เธอเลื่อนปลายจมูกเฉียดเข้าที่แก้มเขาอย่างตั้งใจ

เอสไม่ได้หลบ

“ว่าไงคะที่รัก”

“มีคนมาจีบคุณบ้างหรือเปล่า”

เธอชะงักทันทีที่ได้ยิน ทั้งดีใจทั้งตกใจ ไอ้คนเข้ามาจีบมันก็ต้องมีอยู่แล้วเธอทั้งสวยทั้งหน้าตารูปร่างดีขนาดนี้ เป็นถึงนางแบบ แต่ไม่เคยคิดฝันว่าคนเย็นชาอย่างเขาจะถามขึ้นมาได้

นี่เขาหึงเป็นด้วยงั้นหรือ

“ทะ...ทำไมเหรอคะเอส มินต์ไม่เคยนอกใจคุณเลยนะ” ดีใจจนแทบพูดออกมาไม่เป็นคำ เอสดึงให้เธอขยับเข้ามาใกล้เขาอีกนิด เธอยิ้มจนหน้าแดงแจ๋ กล่าวถ้อยคำปฏิเสธขึ้นมาเป็นพัลวัล “มินต์ไม่มี...”

“มองคนอื่นบ้างก็ได้”

“.....!!!....”

หากแต่รอยยิ้มนั้น ยิ้มได้แค่ไม่ถึงห้าวินาทีด้วยซ้ำเธอถึงกับตะลึงงันรีบหุบยิ้มลงแบบแทบไม่รู้ตัวเหตุเพราะประโยคแสนเย็นชาและโหดร้ายถัดมาของเขา

“อย่ารักผม มากกว่ารักตัวคุณเองเลยนะ”

ความรู้สึกของคนที่ถูกดึงขึ้นไปบนที่สูงแล้วถูกผลักตกลงมาที่พื้น เธอค้างนิ่งอยู่แค่ตรงนั้นเพราะว่าหลังจากที่พูดจบเขาพยักหน้าให้เธอเบา ๆ สายตาคมกริบราวกับบังคับให้เธอต้องยอมเข้าใจ ก่อนที่มือของเขาจะวางปากกาลงแล้วยกหูโทรศัพท์เรียกเลขาให้เข้ามา

เธอจึงต้องผละออกจากเขาแบบจำใจ เดินไปนั่งรออยู่ที่โซฟารับรอง เปิดนิตยสารอ่านเล่นฆ่าเวลาไปเรื่อย ๆ พร้อมกับคิดไปว่าเย็นนี้คงจะรอกลับพร้อมกัน

ในขณะที่ปอยืนรับงานจากเจ้านายของเขาอยู่ที่หน้าโต๊ะ เอสยื่นซองเอกสารส่งให้ ในตอนที่เขารับมาเสียงโทรศัพท์มือถือเครื่องสีดำที่วางอยู่ข้างแม็คบุ๊คที่ปิดฝาพับไว้อย่างเรียบร้อยกลับดังขึ้น เจ้าของเครื่องหยิบขึ้นมาแล้ววางมันลงก่อนใช้สายตาบอกให้รู้ว่าหน้าที่ของเลขาควรเข้ามาจัดการกับโทรศัพท์ที่เจ้านายไม่ต้องการรับสายและมันกำลังแผดร้องลั่น

พอปอมองเห็นว่าเป็นชื่อใครโชว์ขึ้นที่หน้าจอ อดไม่ได้ที่จะมองไปที่คุณมินตราว่าที่คู่หมั้นของเจ้านายนั่งอยู่ เอสจึงลุกขึ้นแล้วเดินนำเขาออกไปที่ด้านนอก สองคนมาหยุดลงในห้องกระจกซึ่งเป็นโซนสูบบุหรี่ เอสกึ่งนั่งกึ่งยืนพิงกับพนักโซฟาไว้พลางจุดบุหรี่ขึ้นสูบ ขณะที่ปอรู้หน้าที่ดียกโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสายแทนแล้วเรียบร้อย 

ควันบุหรี่สีหม่นลอยคละคลุ้ง สายตาคมกล้ามองเลขาส่วนตัวที่กำลังคุยต่อคำอยู่กับคนที่ปลายสายสักพักก่อนจะกดวางลงไป เอสยื่นมือไปขอโทรศัพท์ของตัวเองคืนมา

“คุณโบว์บอกว่าอยากจะคุยกับคุณน่ะครับ ถึงผมจะปฏิเสธไปแต่เธอก็คงจะโทรหาคุณอีกอยู่ดี”

“เมื่อคืนเธอโทรหากูทั้งคืน” เอสหันมองไปที่ด้านนอก ภาพที่สะท้อนให้เห็นหลังกระจกบานใสที่โอบล้อมตัวตึกคือภาพของแม่น้ำสายหลักที่ทอดผ่านด้านหน้าของบริษัทซึ่งทอดยาวไปจนสุดลูกหูลูกตา ตึกหลักของรัชชาถือเป็นจุดชมวิวที่งดงามเป็นอันดับต้น ๆ ของมหานครแห่งนี้ หวนนึกไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนที่ผ่านมา โบว์โทรหาเขาทั้งคืน แทบไม่ได้หลับได้นอน ผู้หญิงบางคนหน้าตาน่ารักท่าทางเรียบร้อยกลับน่ากลัวฟูมฟายยิ่งกว่าผู้หญิงที่ดูเปรี้ยวจี๊ดแต่เข้าใจอะไรได้ง่าย ๆ ถึงเขาจะรู้อยู่แล้วว่าหลังจากคืนวันเกิดนั่น เขาอาจจะต้องบอกความจริงกับเธอเรื่องของมินตรา แต่เอาเข้าจริงเขาก็แค่พูดจาสารภาพธรรมดาในขณะที่คนฟังปลายสายร้องห่มร้องไห้ไม่หยุดจะให้เขาออกไปหาท่าเดียวหากแต่เขาเพียงแค่ปฏิเสธ เธอกลับร้องไห้ออกมาอีกรอบแล้วบอกยอมรับได้ทุกอย่างขอแค่เขายังทำตัวเหมือนเดิมกับเธอ

“ก็คุณไปสร้างเรื่องอะไรไว้ล่ะครับ” 

เอสเบนสายตาเย็นยะเยือกเหลือบมองคนที่พูดก่อนจะส่ายหัวแล้วลุกขึ้นผลักบานประตูออกไป  เขาเดินมาหยุดลงที่โต๊ะของปอก่อนดึงแฟ้มรายงานที่วางอยู่ยื่นส่งให้ “งานดีนี่”

“นายเห็นแล้วหรือครับ” มันเป็นรีพอร์ตแบบด่วน ๆ ที่ปอเพิ่งปั่นเสร็จเมื่อคืน รายงานที่เขาขึ้นเหนือไปจัดการพนักงานบางคนที่ทุจริตเรื่องเงินของรัชชา นี่เป็นงานภายในซึ่งเอสส่งเขาไปทำ ตอนเช้าเอาเข้าไปวางไว้แต่เห็นว่ามันไม่ขยับจากจุดเดิมแล้วเอสก็ไม่ได้ว่าอะไรเขาจึงเอากลับออกมาว่าจะแก้ไขใหม่แล้วพรุ่งนี้ค่อยส่งอีกที 

“เห็นตั้งแต่เช้าแล้ว”

“ผมนึกว่าคุณยังไม่มีเวลาอ่านครับ”

“อ่านสิ”

“ครับนาย ผมจัดการตามคำสั่งทุกอย่างครับ ไม่ได้ทำอะไรนอกเหนือหน้าที่ เรื่องเลขาของคุณสุรชัยเป็นอีกเรื่องที่ต้องรอคำสั่งอนุมัติ เขาอยากได้เลขาเก่าขึ้นไปช่วยเหลืออยู่ที่นั่นด้วย เรื่องนี้ต้องรอนายอนุมัติอีกทีครับ”

“ฝ่ายบุคคลว่ายังไง”

“ฝ่ายบุคคลยังไม่ทราบครับ” เอสพยักหน้ารับรู้  คำสั่งภายในแบบนี้ฝ่ายบุคคลจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อเขาอนุญาตแล้วเสมอ

“มึงจัดการให้เรียบร้อย คิดเห็นว่ายังไงก็อนุมัติลงไปแล้วกัน เรื่องนี้กูให้สิทธิ์มึงตัดสินใจแทนได้ โคฯกับเอชฺอาร์ให้ดีด้วย”

“รับทราบครับ” ปอค้อมศีรษะรับคำ ในตอนนั้นเอสมอบงานอีกอย่างหนึ่งให้กับเขา

“ไปทำตอนนี้หรือครับนาย”

“ใช่”

“แต่ว่าคุณมินตรา..”  เธออยู่ด้านใน 

“มินตราทำไม เธอเป็นว่าที่คู่หมั้นกูนะถ้าจำไม่ผิด” คนฟังดูหน้าสลดลงทันที เอสมองแล้วก็ส่ายหัวก่อนจะกำชับว่าให้รีบไปรีบกลับ เขาจึงโค้งรับคำสั่งอีกหน จุดหมายคือทั้งตลาดหลักทรัพย์ ทั้งที่ทำการธนาคารใหญ่ตึกปีกอินทรีย์สัญลักษณ์ที่โดดเด่นของแวดวงการเงินแห่งรัชชา ซึ่งที่นั่นคนนั่งกุมบังเหียนคือท่านเจ้าสัวใหญ่และนายหญิง

 เพราะอย่างนั้นสามชั่วโมงมันจะเสร็จทันไหม 





แสงแดดยามบ่ายร้อนจนแสบตาในตอนที่แคปก้าวออกมาจากร้านกาแฟเล็กๆ เขาเงยหน้ามองหอคอยชั้นบนสุดของตึกกระจกที่สูงตะหง่านจนเสียดฟ้าฝั่งตรงข้าม มีป้ายทางเข้ายิ่งใหญ่อลังการ “อัครรัชชานนท์”   ก้มมองดูเวลาที่ข้อมืออีกหน เข็มสั้นของนาฬิกาชี้ไปที่เลขสองเศษแล้ว ถึงตั้งใจนั่งแหงกเล่นเน็ตอยู่ในร้านกาแฟนานนับสองชั่วโมง ขบคิดและชั่งใจเรื่องที่จะต้องเข้าไปหาใครบางคนที่ตึกนั่น

แคปต่อสายหาเพื่อนสนิทอย่างปอในตอนที่รอกลับรถเพื่อใช้ถนนอีกฝั่ง แต่ทางนั้นดูเหมือนจะปิดเครื่องเอาไว้ เขาพยายามติดต่ออยู่ราวๆสามสี่หนจนรถต้องบังคับเลี้ยวเข้าตัวบริษัท  จึงได้วางสายไปก่อน

“สวัสดีครับ ขอดูบัตรด้วยครับ” แคปลดกระจกลงเพื่อคุยกับพนักงานรักษาความปลอดภัย  รปภ.ของที่นี่แม้กระทั่งชุดยังใส่เสียเต็มยศ ติดอาวุธเต็มเอว เผลอคิดในใจตายห่าแล้วกูจะต้องเอาบัตรประชาชนแลกเหรอวะ แล้วไอ้เพื่อนปอบ้าแม่งโทรหาเท่าไหร่ไม่ติด เดี๋ยวตูออกไปตั้งหลักก่อนค่อยวกเข้ามาใหม่มันจะดูน่าสงสัยรึเปล่า

“ใช้บัตรประชาชนได้ไหมครับ” แคปดึงบัตรออกมาจากกระเป๋าสตางค์ยื่นส่งให้คุณ รปภ. หลังจากรับไปดูเขายื่นส่งคืนให้

“ไม่ทราบว่าคุณมีธุระติดต่อเรื่องอะไรกับที่นี่ครับ คุณต้องมีบัตรผ่านเข้าจอดรถนะครับและนอกเหนือจากนั้นตอนที่คุณเข้าไปติดต่อที่ฟร้อนเขาจะขอให้คุณยื่นบัตรแสดงตัวอีกรอบครับ สรุปแล้วคือคุณต้องมีทั้งบัตรเข้าอาคารจอดรถและบัตรสำคัญแสดงตัวว่าคุณมาพบกับใครที่แผนกไหนครับ”

“ผมมาทำธุระน่ะครับ คือผมเข้าใจว่าต้องแลกบัตรแต่ว่า เอ่อ...”

“ผมเสียใจจริงๆครับที่ไม่สามารถให้คุณผ่านเข้าไปได้ ถ้ายังไงคุณลองติดต่อไปที่บุคคลที่คุณมาพบแล้วบอกให้โทรเข้ามาที่ศูนย์รักษาความปลอดภัยของตึกนี้นะครับ ไม่ก็ให้ติดต่อที่ฟร้อนชั้นหนึ่ง ขอบคุณครับผม” พูดจบทำความเคารพคล้ายกับทหาร แคปทำหน้าไม่ถูก นึกได้อีกทีเขาก็ถามออกไปแล้วว่าสามารถจอดรถไว้ที่ด้านนอกได้ใช่หรือเปล่า

“ได้ครับ บุคคลทั่วไปสามารถจอดที่ลานด้านหน้าได้เลย”

แคปพยักหน้าแล้วกล่าวขอบคุณก่อนเลื่อนรถออกจากตรงจุดนั้นแล้วไปหาที่จอดกลางแดดอยู่ที่ลานจอดด้านหน้าซึ่งเต็มไปด้วยบรรดารถยนต์หลากหลายยี่ห้อยิ่งกว่าหน้าห้างฯ กว่าจะหาช่องเข้าจอดได้ทำเอาเขาหัวเสียกับอากาศร้อน ๆ และบ่นอุบอิบกับตัวเอง

“ยุ่งยากฉิบหาย กูไม่ขึ้นไปหาซะดีมะ!” บ่นไปแบบนั้นก็จริงทว่าเดินเข้าประตูกระจกหมุนอัตโนมัติเข้ามาแล้วเรียบร้อย แคปรีบก้มมองดูเสื้อผ้าของตัวเองเพราะคนที่เดินสวนออกไปมองเขาแบบเหลียวหลังเลยทีเดียว

“รับสักทีสิวะไอ้หมาปอ มึงนะมึง” เขายกโทรศัพท์ต่อหาปออีกสักครั้งก่อนที่จะนึกแค่นแค้นในใจเหตุเพราะไอ้เพื่อนตัวดียังคงปิดเครื่องไว้ จนแคปเผลอคิดไปว่าบางทีมันอาจติดประชุมไหมยังไง แล้วถ้ามาแล้วไอ้ตัวคนนัดไม่อยู่เขาจะได้กลับ

เปล่า..ไม่ได้ผิดสัญญา แต่มาหาแล้วมึงดันไม่อยู่เองนี่

“เอ่อขอโทษนะครับ ผม...” แคปชะงักนิดหน่อยตอนที่เดินเข้าไปคุยกับพนักงานต้อนรับสาวสวย เธอจ้องเขาตาแป๋วรอฟังคำพูดของเขาเต็มที่ แต่แคปก็นึกขึ้นมาได้ว่าถ้าหากบอกว่าตัวเองมาติดต่อขอพบกับท่านประธานของที่นี่มันอาจจะดูไม่ค่อยน่าเชื่อสักเท่าไหร่ เขาจึง..

“ผมมาติดต่อพบคุณปรเมทครับ คุณปรเมท.....” แคปบอกชื่อสกุลจริงของปอไป เธอจึงพยักหน้ายิ้มรับแล้วบอกให้เขารอสักครู่ แคปเห็นเธอยกหูโทรศัพท์กดต่อสายอยู่สักพักก็เปลี่ยนมาใช้โทรศัพท์มือถือแล้วแจ้งเขาว่า

“คุณปรเมทไม่อยู่ค่ะ ท่านไม่ได้บอกไว้ว่าจะมีแขกมาติดต่อพบ ต้องรบกวนคุณรออยู่ที่นี่นะคะ”

“แล้วไม่ทราบว่าเขาจะกลับมาช่วงไหนครับ” ไอ้สัสปอเอ๊ยมึงกลายเป็นท่านตั้งแต่เมื่อไหร่ กูติดต่อมึงไม่ได้ต้องมาบากหน้าพูดจาเหมือนกับคนไม่รู้จักกันซะงั้น เซ็งสุดดด

“สักครู่นะคะ” มีสายภายในเข้ามาเธอจึงยกหูรับ พอวางลงไปก็บอกกับแคปว่า “น่าจะเป็นช่วงเย็นค่ะ ไม่ก็ จะไม่แวะเข้ามาแล้วรบกวนคุณติดต่อวันพรุ่งนี้เลยค่ะ” เธอยิ้มหวานให้หลังจากพูดจบแล้วทำท่าจะผละออกไป แคปจึงเรียกเธอไว้อีกครั้ง

“ถ้าอย่างนั้นผมขอเข้าพบเจ้านายของคุณปรเมทแทนได้ไหมครับ”

“ถ้าจะเข้าพบท่านประธานคุณจะต้องมีบัตรค่ะ ไม่มีบัตรผ่านให้เข้าพบไม่ได้นะคะ”

“แต่..ผมไม่มีบัตรจริง ๆ ครับ”

“ดิฉันขอโทษด้วยค่ะ เราให้คุณเข้าพบท่านไม่ได้  คุณเอสเธอร์เป็นเจ้านายสูงสุดของที่นี่ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้าพบโดยไม่มีบัตรที่แสดงสิทธิพิเศษนะคะ”

แคปจะพูดอะไรต่ออีกสักอย่างแต่พอดีว่ามีพนักงานหญิงที่ดูสูงวัยมากกว่า สวมแว่นสายตาเลนส์แหลม มวยผมเก็บเรียบร้อยเหมือนคุณครูฝ่ายปกครองเดินเข้ามาถามเธอว่ามีอะไรที่จัดการไม่ได้งั้นหรือ หลังจากคุยกับเธอได้สักพักคุณคนใหม่นั้นใช้สายตามองจิกมาที่แคปแล้วเดินเข้ามาหาเขาใกล้ ๆ พอเธอก้าวพ้นจากเคาน์เตอร์มาถึงได้รู้ว่า เธอขยับแว่นไล่มองตัวเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าเลยทีเดียว

โหดน่าดูยัยผู้หญิงเฮี้ยบคนนี้

“คุณมาจากบริษัทไหนหรือคะ”

“.............” มาจากสวนผลไม้แถวชานเมืองระยองอ่ะ

“คุณไม่มีบัตรเข้าพบ ดิฉันคงจะต้องเชิญคุณให้มาพบท่านที่คุณต้องการทำธุระด้วยในวันหลังค่ะ บอกให้คนของคุณแจ้งทางเราไว้และกรุณาแต่งกายให้เรียบร้อย ถ้าเป็นไปได้ควรสวมใส่สูทรวมถึงสวมรองเท้าหนังหุ้มส้นนะคะ”

แคปก้มลงมองการแต่งกายของตัวเองตามสายตาดวงสวยที่กำลังกวาดมองตัวเขาของเธอ มันไม่สุภาพเหรอวะ เสื้อทีเชิ้ตกับกางเกงยีนส์แบบนี้ แล้วรองเท้าก็นะ ผ้าใบสีนี้มันยังดูสุภาพไม่พอใช่ไหม

“ผมขอโทษเรื่องการแต่งกายครับ แต่ผมจำเป็นต้องติดต่อกับคุณปรเมท ในเมื่อเขาไม่อยู่ผมจึงต้องขอติดต่อท่านประธานของที่นี่แทนครับ”

“ท่านประธานของเราไม่อนุญาตให้คนไม่มีบัตรแสดงตัวเข้าพบค่ะ”

“ผมยื่นบัตรประชาชนไว้ได้ครับ คุณช่วยกรุณาโทรขึ้นไปติดต่อให้ผมสักครู่”

“ขอโทษอีกครั้งนะคะ ทางเราไม่สามารถทำแบบนั้นได้ เรียนเชิญคุณกลับออกไปค่ะ อย่าให้ดิฉันต้องเรียกใช้งาน รปภ.เลย”

แคปเลือดขึ้นหน้าเลยทีนี้ ท่าทางคงจะดูเหมือนนักเลงที่กำลังคุกคามเธออย่างไรเขาไม่ทราบได้ หากแต่หลังจากนั้นมี รปภ.สองคนเข้ามายืนประชิดตัวเขาแล้วบอกให้ออกไปรอที่ด้านนอกแทน






เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นในตอนที่เอสเลื่อนแฟ้มงานที่เพิ่งเซ็นต์อนุมัติลงไปเสร็จเรียบร้อย เขาเบนสายตาไปมองที่หน้าจอเครื่องที่สั่นเรียกก่อนยกขึ้นมากดรับ

เป็นสายจากเลขาส่วนตัวที่เขาใช้ให้ออกไปทำธุระ

(................) ปอพูดอะไรสักอย่างละล่ำละลักฟังไม่รู้เรื่อง อีกทั้งสัญญาณและเสียงที่ดังก้องสะท้อนออกมาทำให้เอสต้องปรามลงไปแบบดุๆ

“อะไรนะ มึงเรียบเรียงสมองใหม่พูดอะไรไม่รู้เรื่องเลย เป็นอะไรของมึง”  คราวนี้ทางนั้นเงียบไป ได้ยินแต่เสียงสูดลมหายใจยาว ๆ และคงจะตั้งสติเสร็จเรียบร้อย

(นายครับ)

“ว่าไง”

(นายช่วยลงไปรับเพื่อนผมทีได้ไหมครับ  แคปมันโดน รปภ.กักตัวไว้ เพราะว่ามันไม่มีบัตร ที่ฟร้อนไม่อนุญาตให้ติดต่อนายได้ แล้วที่สำคัญตอนนี้มันโดน รปภ.กักตัวไว้ที่ด้านหน้าของตึก ผมไม่ทราบว่าแคปมันเข้ามาที่นี่ทำไม อาจจะมีเรื่องด่วนสำคัญมากๆ มันบอกว่าจะเข้ามาหาคุณ ผมขอร้องให้คุณช่วยลงไปรับเพื่อนผมด้วยนะครับ เดี๋ยวผมจะโทรบอกที่ฟร้อนไว้อีกที)

เอสลุกขึ้นตั้งแต่คำที่ปอบอกว่าแคปโดน รปภ.กักตัวไว้แล้ว เขากำลังจะเปิดประตูออกไปแต่มินตราเดินเข้ามาหาใช้สายตาเป็นคำถามบอกให้รู้ว่าเป็นห่วง เธอจับแขนเขาไว้แน่น “มีอะไรหรือเปล่าคะเอส” เพราะว่าหลังจากรับสายแล้วเขาก็ทำหน้าตาเครียดขึงอย่างที่เธอไม่เคยเห็นเขาในโหมดนี้มาก่อน 

“คุณกลับไปก่อนนะ วันนี้ผมมีธุระไว้จะโทรหาทีหลัง”

“มินต์...”

พูดยังไม่ทันได้จบหรอก เพราะว่าเขาเปิดประตูเดินหายลับออกไปแล้ว ลิฟต์แก้วหรูหราอีกฟากหนึ่งของตึกถูกเรียกใช้ทันทีที่เอสเดินตัดมาถึง คงไม่ต้องถามว่าทำไมเขาไม่ใช้ลิฟต์ส่วนตัวที่อยู่ในห้อง เพราะหากจะให้จอดลงในโซนเดียวกับที่กราวด์ฟร้อน ก็มีลิฟต์แก้วความเร็วสูงตัวนี้เท่านั้นที่เขาจะเรียกใช้งานได้ เพียงแค่ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นร่างสูงสง่าก็ก้าวออกมาที่ชั้นหนึ่ง กวาดตามองเพียงแค่รอบเดียวดูเหมือนเลขาส่วนตัวจะโทรแจ้งไว้เรียบร้อยแล้วเพราะพนักงานที่ดูแลรับผิดชอบในส่วนหน้ากุลีกุจอเข้ามารับรอง เอสเพียงใช้สายตาเย็นชาจ้องมองก่อนก้าวฉับ ๆ มุ่งหน้าออกไป 

“ขอประทานโทษค่ะท่านประธาน คุณปรเมทโทรมาแจ้งแล้วค่ะ เมื่อสักครู่ดิฉันออกไปตามแขกของท่านให้เข้ามาพักผ่อนอยู่ด้านใน ทว่าไม่เห็นเขาแล้วค่ะ”

คนที่พูดคือหญิงสาวในแว่นสายตาทรงแหลม เอสใช้สายตาที่เต็มไปด้วยไฟลุกโชนจ้องมองเธอ ไม่ต้องให้มีใครมาบอกเธอก็คงจะทราบได้ว่าตัวเองนั้นได้ทำความผิดร้ายแรงเข้าให้แล้ว ตั้งแต่เธอเห็นท่านเข้ามารับผิดชอบงานที่นี่ นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านเดินลงมาด้วยตัวเอง ซึ่งปกติถ้าจะมีอะไรกับทางนี้จะมีเลขาส่วนตัวลงมาติดต่องานให้ ในตอนที่เธอตระหนักได้ว่าคนที่เข้ามาขอพบท่านเมื่อสักครู่เป็นบุคคลที่สำคัญมากแค่ไหนก็คือในตอนที่คุณปรเมทติดต่อมาบอกให้เธอไปตามผู้ชายคนนั้นเข้ามารออยู่ด้านใน แต่เธอกลับไม่เห็นเขาแล้ว

“ท่านประธานคะ ดิฉันเสียมารยาทกับแขกของ....” เธอพูดไม่ทันจบเอสยกมือบอกไม่ต้องพูดแล้ว ให้เธอเข้าไปด้านในไม่ต้องตามติดเขาออกมา สีหน้าที่บ่งบอกว่าเขารำคาญเธอถึงที่สุดนั้นฉายชัดออกมาจนเธอไม่กล้าจะตามเขาออกไปที่ด้านนอก

เอสยืนกวาดตามองอยู่ที่หน้าบานประตูหมุนอัตโนมัติ นับในใจจากหนึ่งเกือบจะถึงร้อย เขาค่อย ๆ ใช้สายตาไล่หาไปทีล่ะจุดทีล่ะจุดทั้งที่แดดร้อนมากหากแต่เขายังค่อย ๆ มอง โดยเชื่อว่าแคปต้องยังไม่ไปที่ไหน...ความรู้สึกมันบ่งบอกออกมาแบบนั้นเขาจึงยังคงยืนนิ่งอยู่

ในที่สุด เขาเห็นแผ่นหลังนั่นแล้ว คนที่นั่งอยู่ตรงทางลงบันไดฝั่งขวาสุดใกล้กับจุดตรวจรถ มันเป็นออฟฟิศเล็กๆของรปภ.ที่ทำงานในแต่ล่ะกะ

เอสเดินเข้าไปจนเห็นว่าคนที่ตัวเล็กกว่าเขานั้นนั่งหน้ามุ่ยกำโทรศัพท์มือถือไว้แน่น มันบ่นอุบอิบอะไรบางอย่าง คงจะโทรไปต่อว่าเจ้าปอจนฝ่ายนั้นหูทะลุทะลวงไปแล้วแน่ๆ

“ชอบหรือไงนั่งตากแดดให้ตัวดำเป็นถ่านเนี่ย”

คนได้ยินหันขวับมาจ้องที่คนพูดทันที แคปมองเอสตาเขียวนิ่งอยู่แบบนั้นจนคนถูกมองยกมือขึ้นกอดอกแล้วยกมุมปากขึ้นนิดๆ หนึ่งคนนั่งอีกหนึ่งคนยืน ทั้งสองคนกำลังทำสงครามทางสายตาใส่กัน โดยมีคุณพี่รปภ.สองท่านแอบมองด้วยความหวั่น ๆ นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นท่านประธานหนุ่มแบบใกล้ชิดขนาดนี้ และนี่ก็เป็นครั้งแรกอีกเช่นกันที่พวกเขาเห็นว่าท่านลงมายืนตากแดดเพื่อคุยกับใครสักคนที่ดูบุคลิกธรรมดาๆไม่ได้โดดเด่นอะไรเลย หน้าตาท่าทางแบบบ้าน ๆ ดูคล้ายพวกเด็กวัยรุ่น หรือไม่ก็นักศึกษาที่ไหนสักแห่ง การแต่งเนื้อแต่งตัวเสื้อผ้าเป็นคนล่ะสไตล์กับผู้คนในโซนนี้มากจริง ๆ

ในตอนนั้นเองที่แคปลุกขึ้นยืนก่อนก้าวเข้าไปหาคนที่ยืนรออยู่ใกล้ ๆ “กูมาหามึงแล้วไง กลับได้แล้วใช่ไหมทีนี่”

เอสจ้องมองคนพูดแบบไม่มีลดละทันทีที่ได้ยิน เขาใช้สายตาคมกริบบอกให้รู้ว่าอีกคนควรจะทำอย่างไรเมื่อเขาหันหลังให้พร้อมกับเดินนำเข้าไปด้านในก่อน

แคปสบถบางอย่างออกมาเบา ๆ

แต่ก็เดินตาม

กว่าจะผ่านสายตาพนักงานมากมายหลายสิบเข้ามาจนถึงตัวลิฟต์แก้วที่ถูกกดไว้รอเรียบร้อยจากคุณป้าสาวเฮี้ยบมหาภัยที่เป็นคนเชื้อเชิญเขาให้ออกไปนั่งคอยที่ด้านนอก แคปก้าวตามเข้าไปในลิฟต์นั่น ความเงียบและแรงกดดันมหาศาลอาจทำให้ลิฟต์ร้องตี๊ดๆได้เพราะน้ำหนักของแรงกดดันในหัวใจที่เกินมาตรฐาน หากแต่มันไม่ใช่แบบนั้นหรอก แคปยืนมองนั่นมองนี่ไปเรื่อยๆ ทั้งที่รู้ดีว่าตัวเองโดนจ้องอยู่เป็นบางครั้ง พอเสียงเตือนของสิ่งที่โดยสารดังขึ้นบานประตูเลื่อนเปิดออก แคปเหลือบมองอีกคนก่อนจะเดินตามแผ่นหลังกว้างนั้นออกไป

มันเป็นทางเดินที่โอ่โถงปูด้วยหินอ่อนสีงาช้างสวยงามไปหมดทั้งชั้น สวยยิ่งกว่าที่ชั้นหนึ่งที่ว่าสวยงามสะอาดตา ชั้นนี้ยิ่งกว่าโรงแรมหรูที่ไหน ๆ ที่เคยผ่านตามาเสียอีก

เขาเดินตามอีกคนมาเรื่อย ๆ จนถึงทางเลี้ยว ระหว่างทางมีบรรดาห้องอะไรต่าง ๆ เต็มไปหมดแต่ถูกปิดทึบไว้ พอพวกเขาเดินผ่านโต๊ะของสาวสวยคนนึงเธอลุกขึ้นยืนค้อมศีรษะให้ “ท่านประธานคะคุณมินตรากลับไปแล้วค่ะ”

ท่านประธานของเธอเพียงแค่พยักหน้ารับรู้ ขณะที่เธอแอบมองมาที่แคปแวปนึงแล้วรีบเก็บสายตาอย่างเร็ว ถึงอย่างนั้นแคปก็ยังมองเห็นว่าเธอแอบสำรวจตัวเขาแบบม้วนเดียวจบ คงได้รับคอร์สอบรมคอร์สเดียวกับยัยคุณป้ามหาเฮี้ยบนั่นแน่นอน เขาแอบคิดไปเรื่อยเปื่อย จะว่าไปมินตราที่เธอพูดถึงก็คงจะเป็นผู้หญิงคนที่เป็นว่าที่คู่หมั้นของคนที่เดินอยู่ข้างหน้าเขา

ก่อนหน้านี้ก็อยู่ด้วยกันเหรอวะ นี่เขาเข้ามาขัดจังหวะใช่หรือเปล่ามันถึงได้จ้องหน้าตาเขียวซะขนาดนั้น คนไม่พอใจมันต้องเป็นเขาต่างหาก นัดให้มาหาแล้วเสือกไม่ให้บัตรเหี้ยไรสักอย่าง ต้องให้ตกระกำลำบากไปนั่งคอยอยู่กับพี่ยาม เซ็งสุดด

แคปเดินแบบเซ็ง ๆ ตามจนกระทั่งมาถึงโต๊ะทำงานตัวใหญ่หน้าห้องที่ติดป้ายชื่อของคนที่เดินนำเขาขึ้นมา โต๊ะสองตัวทำมุมเข้าฉาก โต๊ะที่เต็มไปด้วยบรรดาเอกสารและเครื่องคอมพิวเตอร์ ดูเหมือนป้ายชื่อจะถูกเก็บไปไว้ที่ไหนสักแห่ง แต่ไม่ต้องเสียเวลาคาดเดาเพราะแค่เห็นก็รู้เลยทันทีว่านี่เป็นโต๊ะของเจ้าปอเพื่อนรักของเขาเอง จุดสังเกตง่าย ๆ ก็คือ เจ้าของโต๊ะมันเอารูปถ่ายของพวกเขาสามคน ปอแคปและอาร์ ใส่กรอบเล็กๆวางไว้ข้างปฏิทินตั้งโต๊ะและโถปากกากระเบื้องเคลือบรูปเสือคาบดาบที่แคปเป็นคนซื้อมาให้ในตอนที่ไปเที่ยวเชียงใหม่เมื่อสองปีที่แล้ว

“นั่งรออยู่ที่นี่ จนกว่าเลขาฉันจะมา”

แคปอ้าปากหวอเลยสิครับ งงสิ อะไรของมันจู่ ๆ ให้มานั่งรอเลขามันทำไม  ก็มันเป็นคนนัดเขาเองว่าให้มาหาที่นี่ เขาไม่ได้จะมาหาไอ้ปอสักหน่อย

“ทะ..ทำไมล่ะ” กูไม่ได้มาหาเลขามึงนะ

“แล้วนายจะมาพบใครล่ะ”

“กะ..ก็พบคุณไง” มึงเป็นคนนัดกูนะ นี่มึงความจำเสื่อมหรือไง

“คนที่เป็นเจ้าของห้องนี้น่ะหรือ” เอสยังคงถามหน้านิ่ง เขาใช้นิ้วโป้งชี้ไปที่ห้องประธานกรรมการ ซึ่งมีป้ายชื่อตัวเองติดไว้อย่างชัดเจน พร้อมกับตำแหน่งควบสองที่ระบุคำว่า President/CEO กำกับไว้ด้านล่าง แคปมองไปตามทางที่อีกฝ่ายชี้แล้วพยักหน้าแบบงงๆบอกว่า “ใช่”

“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรอ จะมาพบกับท่านประธานของที่นี่ไม่ใช่แค่ต้องมีบัตรแสดงสิทธิ์ แต่นายจะต้องติดต่อผ่านเลขาส่วนตัวของฉันเท่านั้น กรณีอื่น ๆ ฉันไม่อนุญาตให้ใครเข้าพบทั้งสิ้น”

“เพ้อเจ้ออะไรวะ” ใช้คำว่าฉันใช้คำว่านาย แคปครางออกมาหน้ายุ่งคิ้วขมวดไปหมด เห็นเอสทำท่าจะเดินเข้าไปเขาจึงรีบเดินตามแบบประชิดตัว พอคนด้านหน้าหยุดจึงชนเข้ากับแผ่นหลังกว้างเต็มรัก

“ทำอะไรของนาย” คนตัวโตหันมาถามเสียงดุ

“ก็มึงทำไมต้องทำเรื่องให้มันยุ่งยากด้วยล่ะ  กูมานี่แล้วไงมีอะไรจะคุยก็คุยดิ ทำไมจะต้อง...”

“อย่ามาใช้คำพูดคำจาไร้มารยาทที่นี่ ผมเป็นถึงกรรมการผู้จัดการของที่นี่ แล้วนายล่ะเป็นใคร”

“ก็เป็นแค่แค่ชาวสวนธรรมดาๆนั่นแหละ ไม่มีบัตรสีทองสีแดงสีดำเหี้ยไรทั้งนั้น ไม่มีสิทธิ์อะไรหรอก กูมันก็แค่คนที่ถูกคนบ้าอำนาจนัดให้มาพบภายในบ่ายของวันนี้โดยที่มันไม่สนใจเลยด้วยซ้ำว่ากูจะสามารถขึ้นมาข้างบนนี้ได้ยังไงก็แค่นั้น!

ร่ายยาวจบหอบหายใจหนักหน่วง เอสจ้องมองคนพูดด้วยสายตาคมกริบที่แคปไม่มีทางอ่านได้ออก เขาขยับเดินเข้าไปจับลูกบิดประตูไว้ก่อนหันมองกลับมา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแสนเย็นชา

“รออยู่นี่จนกว่าเลขาฉันจะมา”

“ไม่รอหรอก” เรื่องอะไรจะรอ  “ถ้าไม่ให้เข้าไปคุยก็จะกลับเลย”

“ตามใจ จะทำอะไรก็ทำแต่เรื่องน้องสาวของนายฉันก็จะทำตามใจตัวเองเหมือนกัน”

“...........” แคปขบริมฝีปากล่างจนเจ็บ เขาเงียบลงไปไม่เถียงต่ออีก สบตากับคนที่ตวัดสายตามามองอีกครั้งก่อนที่ประตูไม้บานใหญ่จะถูกปิดลงพร้อมกับร่างกายสูงใหญ่ที่เดินหายเข้าไป

“บ้าเอ๊ย ทำเรื่องให้มันยุ่งยาก” แคปบ่นไปพลางเดินไปทิ้งตัวนั่งลงที่โซฟารับรองใกล้ ๆ โต๊ะทำงานของปอ ก่อนล้วงเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมาต่อสายหาไอ้เลขาตัวดีเพื่อนรักเพื่อนเกลอสุดสวาทขาดตอนของเขา

“อยู่ไหน! เมื่อไหร่มึงจะเข้ามาไอ้เพื่อน@#$%&$@#&*” พอปอรับสายก็ด่าๆๆๆจนฝ่ายนั้นชะงักนิ่งไปแล้วเรียบร้อย

(มึงอยู่ไหนน่ะ ขึ้นไปข้างบนได้แล้วเรอะ?)

“เออ! กูนั่งรออยู่ที่โต๊ะมึงเนี่ย ถ้ามึงยังไม่เข้ามาภายในสิบห้านาทีนี้นะไอ้ปอ กูจะจัดการโกยงานบนโต๊ะมึงทิ้งถังขยะแล้วทำลายเอกสารสำคัญให้หมดตู้เลยมึงคอยดู!!

(เฮ้ยๆๆๆ มึงพูดเรื่องอะไรเนี่ยแคป ขึ้นไปได้แล้วทำไมไม่เข้าไปหาเจ้านายกูล่ะ เขาไม่ได้ลงไปรับมึงหรือไง)

“เจ้านายมึงมันแย่ที่สุด ลงไปรับกูแล้วยังไง พอขึ้นมาข้างบนบอกให้กูนั่งรอมึงกลับมาถึงจะอนุญาตให้กูเข้าห้องไปคุยธุระกับมันได้”

(......................)

“อะไร มึงเงียบไปทำไม รับไม่ได้เจ้านายมึงแกล้งกูอ่ะดิ”

(เปล่า นี่มึงโดนนายกูบอกแบบนั้นจริงเหรอวะ)

“กูจะโกหกมึงทำซากเรอะ  รีบกลับมาเร็วเข้ากูจะได้รีบเข้าไปตกลงธุระเรื่องน้องโบว์เสร็จแล้วจะได้กลับเสียที”

(เออๆกูเสร็จพอดีเดี๋ยวเข้าไปแบบด่วน ๆ เลย มึงกินขนมรอไปก่อนก็ได้ ในลิ้นชักมีอมยิ้มรสที่มึงชอบอยู่เปิดแล้วหยิบออกมากินได้เลย)

“เหอะ กูไม่กินหรอก มึงรีบกลับมาก็แล้วกัน”

ถึงปอจะบอกว่างานเสร็จแล้วและกำลังรีบกลับมาให้เร็วที่สุด แต่ทว่าเวลาผ่านไปร่วมครึ่งค่อนชั่วโมงตัวท่านเลขาก็ยังไม่มีวี่แววจะปรากฏให้เห็น แคปเริ่มนั่งไม่ติดก้น เขาเดินไปเดินมาจนรู้ตัวอีกทีคือเปิดเข้าไปที่ห้องใหญ่นั่นได้ยังไงก็ไม่รู้

“...............” เจอสายตาพิฆาตจากเจ้าของโต๊ะที่กำลังก้มเขียนอะไรสักอย่างเหลือบขึ้นมอง

อาจเพราะว่าเขาไม่ได้เคาะประตู ทำให้มันโมโห

หรืออาจจะเป็นเพราะ เขาฝ่าฝืนคำอนุญาตที่ว่า จะให้เข้ามาได้ก็ต่อเมื่อเลขาของมันมาถึงก่อน มันก็เลยโมโห

ปัง!

ในเมื่อมันใช้สายตาแบบนั้นมองมาแคปเองก็ไม่อยากจะพูดด้วยเหมือนกัน จัดการปิดประตูใส่เสียงดังโครม ที่จริงมันน่าจะดังลั่นยิ่งกว่านี้สิวะ ไม่รู้ทำไมประตูของที่นี่ถึงได้มีระบบปิดลงที่นุ่มนวลมากๆ เงียบกริบแทบไม่ได้ยินเสียง แคปจิ๊ปากขัดใจ ยืนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่หน้าบานประตูนั่นแหละ ตัดสินใจเปิดผั๊วะเข้าไปใหม่ เจ้าของห้องเงยหน้าขึ้นจากงานบนโต๊ะอีกครั้ง

แคปนี่สุดจะฉุนเลย เหี้ยไรทำหน้านิ่ง ๆ เหมือนไม่รู้เลยว่ามีใครยืนบ้าบอคิดจนคอแทบหักอยู่ด้านนอก

“นี่...”

“ปิดประตู”

คำพูดที่ยังพูดไม่ทันจบถูกกลืนเก็บลงในลำคอเพียงเพราะอีกคนใช้คำสั่งสั้น ๆ รวบรัดทว่าชัดเจนสั่งให้เขาปิดประตูลง แคปยืนจ้องหน้าไอ้คนที่นั่งนิ่งๆอยู่หลังโต๊ะประธานตัวนั้น เขาชั่งใจสักพักก่อนตัดสินใจก้าวขาข้างหนึ่งก้าวเข้าไปข้างในแต่ทว่า เสียงทุ้มจากเจ้าของห้องดังกึกก้องราวฟ้าผ่าขึ้นมาก่อน

“ออกไปรอข้างนอก!

“เหี้ย! กูจะกลับแล้วโว๊ย!!” อย่ามาตะคอกใส่กูนะบอกให้รู้ไว้ก่อน

แคปไม่ยอมเหมือนกันเอากับเขาสิ ปิดประตูลงไม่สนใจหัวมันแล้วหลับหูหลับตาเดินได้แค่สองสามก้าวชนโครมเข้ากับใครบางคนที่เดินไม่ดูตาม้าตาเรือ จนต้องร้องขึ้นมาดังลั่นด่าแหลก

“กูเองๆใจเย็นๆแคปนี่กูเอง” พอเห็นว่าเป็นปอแคปใจชื้นขึ้นมาได้แค่ชั่ววินาทีเดียวเพราะความรู้สึกว่าโกรธมันที่มาช้าและผิดเวลาดันโถมเข้ามาอีก

เขาจ้องหน้ามันนิ่ง ปอยอมจำนน  “เออกูรู้ว่ากูช้า รอตรงนี้แป็ปเดียวเดี๋ยวกูจะออกมาพามึงเข้าไปส่งให้เดี๋ยวนี้แหละ”

“ไม่เอา กูจะกลับแล้ว” ไล่กูขนาดนั้นกูไม่อยากเข้าไปแล้วเว้ย

“แป็ปเดียวน่า รอนี่นะ” ปอหายเข้าไปในห้องนั้นแค่ไม่กี่วินาทีก่อนออกมาดึงมือแคปให้เดินตามเข้าไป คนถูกจูงหน้าตึงแทบไม่อยากจะมองไอ้เจ้าของห้องนี้เสียด้วยซ้ำ

ห้องกว้างขวางหรูหรา วิวมหานครที่มีแม่น้ำสายหลักทอดยาวอยู่ด้านหลังกระจกใสโค้งกว้างใหญ่จนสุดลูกหูลูกตา หากแต่..ใจคนคงไม่ได้กว้างเหมือนห้องที่มันนั่งครองอยู่สักนิดหรอก

“มึงออกไปได้แล้ว”

เสียงทุ้มสั่งขึ้นอย่างเย็นชา เลขาอย่างปอค้อมศีรษะลงให้แล้วหันหลังเดินออกไป แคปเหลือบมองคนนั่งอยู่แล้วเผลอคิดออกมาไม่ได้ แล้วไหนใครวะที่บอกว่าอย่ามาใช้คำพูดคำจาไร้มารยาทที่นี่ อิโถ ตัวเองยังพูดกูมึงกับเลขาอยู่ชัดๆ ไม่รู้ทำไมกลับรู้สึกน้อยใจขึ้นมานิดๆ ถ้อยคำที่แสดงความห่างเหินแบบนั้นกลับถูกนำมาใช้กับเขา ในขณะที่กับเพื่อนสนิทของเขามันยังใช้คำพูดแบบเดิมๆด้วย

จะทำอะไรได้นอกจากหันหน้าหนีไปทางอื่น เสียงประตูห้องปิดกริ๊กลงแล้ว

“มีธุระอะไรกับฉัน”

ถามได้ดี! เออแล้วมันใครกันล่ะวะที่เป็นคนนัดมา “เปล่า ผมแค่มาตามที่คุณนัด” อยากให้พูดแบบสุภาพนักใช่ไหม เดี๋ยวคาปูจัดให้เลยครับ

“ฉันนัดนายงั้นหรือ” คนพูดทำท่านึก ขณะที่แคปกัดฟันกรอด รอฟังมันพูดต่อ “อ้อ นึกออกล่ะ โทษทีนะเรื่องมันไม่ค่อยสำคัญน่ะ ฉันเลยจำไม่ค่อยได้”

...กูเจ็บปวดดีจริงๆ...

“เออโทษทีที่ไม่สำคัญ” แคปว่าออกมาเสียงแผ่ว ช่างแม่งไม่สนว่ามันจะได้ยินหรือไม่เขาไม่อยากจะสนใจอีกแล้ว เอสเงียบไปพักใหญ่ ๆ บรรยากาศกดดันและอึดอัดยิ่งกว่าตอนที่ยืนอยู่ในลิฟต์ด้วยกัน แคปกลืนก้อนเฝื่อนๆลงคอรอฟังมันจะพูดอะไรต่อ หากแต่กลับไม่มีเสียงอะไรเล็ดลอดออกมา เขาจึงขยับสายตามองไปที่มัน

จ้องกูทำไม

“พูดธุระของคุณมาเถอะ”

“ใครกันแน่ที่สมควรจะพูด นายไม่ใช่หรือที่มีธุระกับฉันน่ะ”

“เอาแบบนั้นก็ได้ ไหนๆเรื่องที่จะพูดก็คงเป็นเรื่องเดียวกัน เพราะงั้นผมพูดหรือคุณพูดมันก็คงไม่ต่าง”

“เข้าเรื่องสักที”

“คุณช่วยเลิกกับน้องโบว์ได้ไหม”

เสียงพ่นลมหายใจเย้ยหยันดังออกมาจากคนฟัง แคปรู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดเรื่องแบบนี้ด้วยซ้ำแต่ในเมื่อมาแล้วก็อยากจะพูดสิ่งที่คาใจให้มันจบๆกันไป

“ถ้าตอบว่าไม่ได้ล่ะ”

“ผมอยากจะขอร้อง”

“แค่ขอร้องมันจะพอได้ยังไง ฉันกับโบว์เราสองคนคบกันอยู่จู่ ๆ นายจะมาบอกให้พวกเราเลิกกันมันฟังดูแปลกอยู่นะจริงไหม”

“แต่คุณมีคู่หมั้นอยู่แล้ว คุณไม่ใช่คนตัวเปล่า คุณมีผู้หญิงของคุณอยู่ ผมไม่เข้าใจคุณเข้าหาน้องสาวผมทำไม”

“ความรักมันจะมีเหตุผลได้ยังไง ถ้ารักใครแล้วต้องใช้เหตุผลมากมายหลายอย่างแบบนั้นไม่เรียกว่ารักหรอก”

“กล้าใช้คำว่ารักกับน้องผม คุณคงรักเธอจริงๆสินะ” ถามเองเจ็บเองแต่มันจำเป็นที่ต้องถาม เขาเองก็อยากจะรู้คำตอบ

“หึ รักจริงหรือไม่ ก็ไม่เกี่ยวกับนาย”

“ถ้ารักจริง ๆ คุณจะยอมเลิกกับคู่หมั้นของคุณได้ไหมล่ะ”

“นายมีสิทธิ์สั่งให้ฉันเลิกกับคนนั้นคนนี้ได้ตั้งแต่เมื่อไหร่” เอสว่าเสียงเย็นเฉียบก่อนลุกขึ้นมาประจันหน้ากับแคปด้วยสายตาที่วาวโรจน์ แคปขยับถอยหลังออกมาหนึ่งก้าว

“ผมรู้ว่าผมไม่มีสิทธิ์อะไร แต่ผมอยากจะ...”

“ฉันจะไม่เลิกทั้งกับคู่หมั้นแล้วก็ไม่เลิกกับน้องสาวเพื่อนสนิทคนนั้นของนาย จะเอาทั้งสองคน จะเก็บเอาไว้เป็นของเล่น เล่นให้พัง เล่นให้เบื่อ จากนั้นค่อยโยนทิ้งไป” เหมือนใครบางคนที่โยนกูทิ้งในคืนที่ฝนตกหนักแบบเมื่อห้าปีก่อนนั่นไง

หัวใจเขาพังแหลกยับไม่มีชิ้นดี...

“หัวใจคุณทำด้วยอะไร”

หัวใจกูตายไปนานแค่ไหนแล้ว “หัวใจของผู้ชายธรรมดาที่มักมากไปสักหน่อย อยากจะเก็บเอาไว้ทั้งคู่ นายไม่เคยได้ยินแบบนั้นหรือไง”

“ตกลงว่าจะไม่ยอมหยุดความสัมพันธ์กับใคร ตกลงว่าคุณจะเก็บเอาไว้ควงทั้งสองคน ตกลงว่าที่มาหาถึงที่นี่ไม่ได้มีอะไรทำให้เปลี่ยนแปลงได้เลยใช่ไหม”

“ไม่มีใครบังคับให้นายมานี่ นายมาของนายเอง”

“.............” แคปจุกแสนจุกกับคำพูดโหดร้ายแสนเย็นชา ราวกับคนโดนหมัดฮุกต่อยลงที่หน้าท้องหนักๆ หลายต่อหลายหมัด เขาพยายามอดทน “ผมไม่มีอะไรจะพูดกับคุณแล้ว”

“อือ งั้นก็กลับไปซะสิ”

คนฟังข่มลมหายใจขบกัดริมฝีปากล่างจนห้อช้ำเนื้อตัวสั่นในขณะที่เอสไม่ได้มีทีท่าจะสนใจเลยสักนิด เขาเดินกลับไปที่โต๊ะทำงานแล้วนั่งลง แคปค่อย ๆ หันตามไปมอง

“คุณอยากได้ยินคำนี้ไหม” พูดแล้วเดินก้าวเข้าไปหา สายตาคมกล้ามองคนตรงหน้าไม่ลดละ 

“อะไรล่ะ พูดสิ”

“อย่า-ทำ-ให้-กู-เกลียด”

ยิ่งกว่าโดนหอกปลายแหลมพุ่งหลาวเข้ามาปักลงที่กลางหัวใจ เอสเจ็บร้าวไปทั้งกายทั้งใจ ระบมจนแทบกระอักออกมาทางปากเพียงเพราะคำพูดแค่ประโยคเดียวของแคป  หากแต่ม่านในตาเกลื่อนความรู้สึกบนใบหน้าเย็นชานั้นไว้มิดชิดจนคนพูดไม่มีวันมองเห็นได้ เขาเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากำไว้แบบหลวม ๆ พลิกไปพลิกมา มองหน้าคนที่ยืนจ้องกันอยู่ก่อนที่แคปจะขยับออกจากที่ตรงนั้น และกำลังจะเดินออกจากห้องไป

เสียงทุ้มต่ำกลับดังขึ้นว่าอะไรสักอย่าง แคปฟังไม่ชัดเขาหยุดชะงักอยู่ที่ตรงนั้นหันขวับกลับมา ไม่แน่ใจในสิ่งที่ได้ฟังจนต้องเดินเข้าไปหาคนพูดใกล้ ๆ แล้วบอกให้มันพูดให้ฟังอีกครั้งชัดๆ

“ไม่พูด” เอสว่าเสียงแข็ง  เขาพูดไปแล้ว ไม่ได้ยินเองก็แล้วไป

“พูดเดี๋ยวนี้ เมื่อกี้กูได้ยินไม่เคลียร์ มึงพูดใหม่”

“ไม่!

“ทำไมถึงไม่พูด เมื่อกี้มึงพูดว่าอะไร”

“ไม่พูด!” เอสยืนยันคำเดิมอีกครั้ง แคปจ้องเขานิ่งก่อนกระพริบตาถี่ๆยอมโอนอ่อนลง “ไม่พูดก็ตามใจ ไม่พูดงั้นกูไปล่ะ” พูดจบจะเดินออกไปอีกครั้งจริง ๆ มือจับลูกบิดประตูเรียบร้อยจะผลักออกไปคนข้างหลังก็ยังเงียบ เขาจึงคิดว่าเมื่อสักครู่เขาคงหูฝาดจริง ๆ ชั่งใจอยู่ระหว่างกรอบประตูแบบนั้นนานพอดู จนสุดท้ายเขาออกแรงดันบานพับออกไปเสียงทุ้มจากด้านหลังกลับดังขึ้น ชัดเจน แจ่มแจ้ง

“ถ้าอยากจะให้กูเลิกกับผู้หญิงทุกคนที่คบอยู่ตอนนี้ มึงก็จีบกูสิ”

!!!!??!!??!!!!!!

แคปตกใจกับสิ่งที่ได้ยินจนตาลอยหันขวับกลับไปมองที่คนพูดอย่างไว เอสยังคงนั่งทำหน้านิ่งจ้องเขาเขม็งอยู่แบบนั้น คนยืนตาค้างถลาเข้าไปหา เกาะขอบโต๊ะไว้แน่นจนมือสั่นพร้อมกับจดจ้องใบหน้าคมคายราวกับจะถามว่าสิ่งที่มันพูดมานั้น พูดจริงหรือพูดเล่น แคปยังไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง เขาจ้องหน้ามันจนมองเห็นฟันกระต่ายขาวสวยจากริมฝีปากหยักเผยอขึ้นนิดๆ

“ถ้ามึงจีบกูได้ กูก็คงจะรักมึงแค่คนเดียว คนไหนหน้าไหนกูก็ทิ้งได้ทั้งนั้นแหละ”

ตายไปเลยเหอะคาปู มึงแคปรู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นระส่ำอยู่ในอก เขาจะอ้าปากพูดอะไรสักอย่างแต่เสียงกลับไม่สามารถหลุดเป็นคำพูดออกมาได้ ในตอนนั้นเองเอสกลับชิงพูดขึ้นต่ออีก

จีบกูให้ได้ก่อนเถอะ ถ้ามึงทำได้น่ะนะ

ถ้า

มี

ใคร

สัก

คน

ที่สามารถทำให้เขาตกหลุมรักได้ถึงสองครั้งสองคราในชีวิต

คนๆนั้นอาจจะเป็นคนที่นั่งทำหน้านิ่ง ๆ อยู่ในตอนนี้

ช่วงเวลาก่อนหน้านี้ห้าปี เป็นมันที่เพียรพยายามจีบเขาเกาะแกะเขา แม้ว่าวิธีการจะแปลกประหลาดไปสักหน่อย ทั้งบังคับ และตามตื้อทุกอย่าง

ทว่า

หลังจากนี้ คิดว่าเขาคงต้องให้โอกาสตัวเอง ช่วงชิงหัวใจดวงเดียวจากคนๆเดิมของเขากลับคืนมา

“กู....”

“ไหนว่าจะกลับไง ยืนยิ้มอยู่ทำไมล่ะ”

ไม่ใช่แค่ยิ้มเฉย ๆ หรอก เขายืนมองมันแล้วก็ยิ้มต่างหาก

“ทำไมจะยิ้มไม่ได้ ก็มองดูหน้าคนที่ตัวเองกำลังคิดจะจีบ ไม่ให้ยิ้มให้กูร้องไห้หรือไง”

แค่นั้นแหละ คนฟังตวัดสายตาเขียวปั๊ดใส่ แคปจึงยกไหล่ขึ้นแบบกวนๆ เอสฉวยเอาอะไรบางอย่างที่วางอยู่บนโต๊ะฟาดออกมาใส่เต็มรัก

ดีที่แคปมันยังรับไว้ได้ทัน มองดูสิ่งที่ตัวเองถืออยู่ในมือถึงกับชะงักค้าง....การ์ดสีดำ ที่มีชื่อเจ้าของปั๊มนูนเป็นตัวหนังสือภาษาอังกฤษสีทอง รวมไปถึงตำแหน่งเจ้าของการ์ดใบนี้สลักไว้ชัดเจน คนในตระกูลอัครรัชชานนท์เท่านั้นที่จะได้ถือการ์ดสีดำตัวหนังสือสีทอง มึงเห็นกูตำแหน่งสูงแบบนี้การ์ดของกูยังเป็นแค่การ์ดทองคาดตัวหนังสือสีขาวเท่านั้น ครั้งหนึ่ง ปอมันเคยบอกกับเขาไว้

แคปเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของชื่อที่โชว์หราอยู่ในบัตรสีดำที่เขาถืออยู่ช้า ๆ ก่อนที่เอสจะเอ่ยปากประโยคสุดท้ายที่เขาได้ยินในบ่ายวันนั้น


“ถ้ามึงทำหาย ก็ไม่ต้องขึ้นมาหากูอีก”






...จะเก็บเอาไว้ในวันที่เธอเผยใจ

รอวันนั้นวันที่ฉันแน่ใจ

ว่าวันนี้เธอคิดว่าฉันนั้นใช่

และเธอพร้อมจะฟังความข้างใน

...จะบอกว่ารักให้เธอได้ยินใกล้ๆ

บอกว่ารักเธอได้ยินหรือไม่

ถ้ายังไม่ชัด ฟังอีกครั้งก็ได้

ได้ยินไหมว่ารักเธอทั้งหัวใจ


(Cr.เพลงไม่บอกเธอ)







Tbc.