บทที่
33
-ที่แกลเลอรี่ซีแอนด์ซาย-
“โหพี่ทัต จะเอาอะไรไปนักหนาครับ”
ภูวดลนั่งขัดสมาธิมองคนที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาพับเสื้อผ้าเขาลงกระเป๋าเดินทางใบใหญ่
“นี่ผมลงไปแค่สามวันเองนะครับ
เสื้อผ้าเยอะแบบนี้ทำอย่างกับผมจะไปอยู่เป็นปีงั้นแหละ”
“ถ้าไปอยู่ตลอดได้ยิ่งดีเลยอ่ะ
ไม่ใช่แค่ปีสองปีหรือแค่สามวันหรอกนะ”
“พูดอะไรน่ะครับ
เอามานี่เลยเดี๋ยวเปลี่ยนเป็นกระเป๋าใบเล็กดีกว่า ชุดนอนที่นั่นก็มีอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องเอาไปเพิ่มอีกหรอกครับ”
เขาว่าแล้วเดินไปลากกระเป๋าใบเล็กมาตั้งไว้ข้าง
ๆ
“ใบนี้แหละใหญ่ดี
ใส่ไปให้หมดเลยเสื้อผ้า ไว้ขึ้นมากรุงเทพค่อยมาซื้อใหม่เอาก็ได้นี่ อยู่ที่พังงา ที่ซื้อหายาก
เสื้อผ้าซียิ่งติสๆไม่เหมือนคนอื่น”
“นี่ว่าหรือชมครับ”
“อ่ะ เรียบร้อย”
ทัตพลปิดซิปแล้วกดล็อคกระเป๋าใบโตจากนั้นลากไปไว้แถว ๆ ข้างประตู
“ส่วนใบเล็กซีก็จัดพวกแอคเซสซารี่แล้วก็พวกของใช้ส่วนตัวใส่ไปซะนะ
เดี๋ยวพี่ลงไปรอข้างล่างนะครับ” เขาว่าแล้วลุกขึ้นบิดจมูกคนตัวเล็กกว่าไปที
“อย่าดื้อนะครับ พี่จัดให้ดีแล้ว”
เขาว่าแล้วเดินออกไปพร้อมลากกระเป๋าใบโตลงไปด้วย
ภูวดลได้แต่ยืนเท้าสะเอวมองกระเป๋าเล็กอีกใบที่เขาบอกให้ทำ
จริง ๆ แล้ววันนี้ก็แค่สุดสัปดาห์ที่เขานัดกับทัตพลไว้ว่าจะไปพังงาด้วยกัน
ไม่รู้ทางนั้นตื่นเต้นอะไรนักหนา ก็ไปกันมาตั้งหลายรอบแล้วแท้ ๆ
แต่ครั้งนี้เห็นว่าจะไม่บิน
ทัตพลจะขับรถไปเองเป็นเขาเสียอีกที่ต้องยุ่งยากเรื่องกระเป๋าเพราะทัตพลเล่นเก็บเสื้อผ้าเขาจนเกือบหมดตู้
เห็นทีคราวนี้ที่กะจะไปอยู่แค่สามวันคงต้องค้างกันเป็นเดือน ๆ
เหมือนครั้งที่แล้วอีกแหง
“ครับทราย” วารินโทรเข้ามาพอดี
“พี่ไปช่วงบ่ายถึงนั้นคงค่ำพอดี”
วารินถามมาว่าจะไปกันกี่โมง เดี๋ยวจะพาเจ้าขิงแวะมาหา
“เอาไงดี
เห็นพี่ทัตบอกว่าจะออกประมาณบ่าย”
“ไม่เป็นไรครับ งั้นเดี๋ยวถ้าอาทิตย์ไหนว่างทรายจะชวนธารพาน้องขิงลงไปเที่ยวบางทีอาจจะพาคุณภัครแล้วก็ทุก
ๆ คนไปพักผ่อนกัน พี่ซีเที่ยวเล่นอยู่ที่นั่นให้สนุกนะครับ”
“สองสามวันก็กลับแล้ว” ภูวดลว่า
“ครั้งนี้จะได้กลับเหรอครับ
ครั้งที่แล้วบอกว่าจะไปแค่คืนเดียว คุณทัตพาพี่ซีค้างเป็นเดือน ๆ ครั้งนี้บอกสามสี่วัน
ไม่อยู่กันเป็นปีเหรอครับ”
ภูวดลเองก็จนใจที่จะตอบกลับ
พักหลังมานี่ทัตพลเอาแต่ใจมากจริง ๆ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเขาก็รู้ว่าที่อีกฝ่ายทำก็เพื่อเขาทั้งนั้น เห็นว่าเขาคงเหงาเทียวไปเทียวมาตลอดจนเขาเกรงใจ
ทั้งที่ไม่มีธุระที่กรุงเทพแล้วแท้ ๆ แต่ก็ยังขึ้นมาหาเขาทุกอาทิตย์อยู่ทีก็สองสามวัน
ที่สำคัญตอนนี้ทัตพลเปิดแกลลอรี่เล็ก ๆ
ที่รีสอร์ตไว้ให้เขาสำหรับวาดและโชว์ภาพโดยเฉพาะ
แต่อย่าคิดว่าจะฟรี แฮ่ ๆ
เพราะเขาคิดเหมาจ่ายค่าฝีมือเป็นรายปี
งานนี้ไม่รู้ใครได้กำไร ใครขาดทุน
“ซีครับ เสร็จหรือยัง สายแล้วนะเดี๋ยวไปถึงนั่นจะดึกเกินไป”
เสียงทัตพลตะโกนขึ้นมาจากด้านล่าง
ดังขนาดวารินที่อยู่ปลายสายได้ยินเขาจึงบอกให้พี่ชายวางไป
“แล้วค่อยเจอกันครับพี่ซี
เดี๋ยวจะพาเจ้าขิงไปหานะ ฝากบอกคุณทัตด้วย”
“ครับทราย แล้วเจอกัน”
*
ติ๊ง!
เสียงลิฟต์เปิดออกที่ชั้นสิบ ทนายความหนุ่มหล่อก้าวออกมา
จุดมุ่งหมายคือโต๊ะคุณเลขาคนเก่งหน้าห้องเจ้านายของเขานั่นเอง
“สวัสดีครับคุณทราย”
“สวัสดีครับคุณปวีย์”
วารินพยักหน้าเชิญเขานั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม เหลือบมองนาฬิกาข้อมือครู่หนึ่งจริง ๆ
วันนี้ปวีย์นัดคุยงานกับเขาช่วงเที่ยง ทำไมเพิ่งจะสิบโมงก็โผล่มาแล้ว
มันเร็วผิดปกติ
“มาก่อนเวลาหน่อยหนึ่งโชคดีคุณทรายไม่ได้มีธุระที่ไหน
ขอโทษจริง ๆ นะครับผมเสียมารยาทมากหรือเปล่า”
“ไม่หรอกครับ ผมเองก็ว่าง
แค่เตรียมเอกสารไว้ให้บอสช่วงเย็นแค่นั้นเอง”
วันนี้วันเสาร์ปกติแล้วธาราธารจะต้องเข้าโรงแรมพร้อมวาริน
แต่วันนี้เขาติดสัมนาเพราะงั้นวารินจึงต้องมาเตรียมหอบแฟ้มงานต่าง ๆ
กลับไปให้เขาเคลียร์ในตอนเย็น
“เพราะธุระค่อนข้างสำคัญน่ะครับ ผมแอบหวังว่าจะได้เจอกับคุณธารเหมือนกันนะ
เสียใจหน่อย ๆเลย”
เขาว่าแล้วยิ้ม
วารินเองก็ส่งยิ้มกลับไปเช่นกัน เพราะธาราธารเคยเล่าเรื่องของปวีย์ที่พยายามจะจีบเขาให้ฟัง
วารินยิ่งคิดยิ่งขำ ไม่รู้ปวีย์ทำเล่นหรือคิดจริงจัง แต่ช่วงห้าปีที่ผ่านมานี้ ทนายหนุ่มคนนี้ทำงานอุทิศตนเพื่อธาราธารมาโดยตลอด
วารินจะเห็นเขาทำหน้าตามีความสุขทุกครั้งที่ได้คุยงานกับธาราธารแม้ว่าอีกฝ่ายจะทำหน้าซังกะตายเบื่อหน่ายขนาดไหนเขาก็ยังคงยิ้ม วารินสุดจะขำเวลาแอบมองสองคนนี้คุยกันทีไร
“นี่เป็นโครงการแฟลตในเขต.......ที่คุณธารเซ็นอนุมัติขายออกไปเมื่อต้นเดือนที่แล้ว คุณทรายจำได้ไหมครับ”
เขายื่นเอกสารให้วารินรับไปเปิดดู
“จำได้ครับ
เป็นบริษัทในเครือ VR ที่มาขอซื้อสิทธิ์ถือครองไปนี่
มีอะไรหรือเปล่าครับ หรือว่ามีปัญหา?”
“มีชาวบ้านที่อาศัยอยู่ที่ตึกนั้นร้องเรียนมาทางเรา
ผมคิดว่าเขาคงไม่รู้ว่าเราขายตึกนั้นออกไปแล้ว เมื่อเช้ามีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งมายื่นเรื่องกับผมที่สำนักทนายความน่ะครับ”
“มีเรื่องอะไรกันครับ”
“รู้สึกว่าทางกลุ่มเงินทุน VR มีคำสั่งให้รื้อถอน โดยให้บริษัทในเครือของเขาเองเป็นคนจัดการเรื่องนี้ให้
ชาวบ้านเดือดร้อนกันมากเลยครับ
เพราะที่ดินแถวนั้นทั้งหมดเราอุ้มพวกเขาไว้นานมากแล้วจนไม่มีใครที่จะคิดได้เลยว่าทางเราจะสั่งรื้อ
เขาเข้าใจว่าเราเป็นคนสั่งรื้อถอนน่ะครับ”
“เอ๊ะแต่ว่าตอนที่ทำสัญญาเปลี่ยนกรรมสิทธิ์กัน
ก็มีข้อตกลงว่าทางนั้นจะทำแค่เรียกเก็บค่าเช่าเท่านั้นนี่ครับจะทำการรื้อถอนไม่ได้เด็ดขาด”
“ผมพลาดเองครับ”
ปวีย์ก้มหน้าสำนึกผิด เมื่อทุกอย่างเป็นความผิดพลาดของตนเอง
เขาที่เล่ห์เหลี่ยมยังไม่เท่าทันทนายของฝ่ายนั้นพลาดเรื่องเงื่อนไขที่สำคัญที่สุดไป ทางนั้นใช้ช่องโหว่ของกฏหมายสำหรับการสั่งรื้อถอนตึกซึ่งเป็นเรื่องที่วารินย้ำกับเขานักหนาก่อนขาย วารินเข้าใจได้ในทันทีก่อนหน้านี้ไม่นาน ทางกลุ่ม VR ติดต่อขอซื้อแฟลตในเขต......โดยให้ราคาสูงกว่าปกติมากวารินจึงรับพิจารณาและยื่นเรื่องให้ธาราธารเซ็นอนุมัติ
โดยไม่ลืมที่จะย้ำกับทนายปวีย์ว่าให้ทางนั้นตกลงเรื่องห้ามรื้อถอนตึกหลังนั้นให้เรียบร้อยฝ่ายนั้นจะทำได้เฉพาะเรียกเก็บค่าเช่าเท่านั้น
แต่ปวีย์ดันทำพลาด
วารินกับปวีย์ออกไปดูที่ตึกแถวและแฟลตในเขต.....
มีป้ายรื้อถอนและประกาศให้ชาวบ้านหาที่อยู่ใหม่ภายในหนึ่งเดือน
วารินหน้าซีดลงทันทีที่มาเห็นสภาพจริง ๆ ของชาวบ้าน
มีบางคนที่เห็นวารินมากับปวีย์ถึงกับมาร้องไห้คุกเข่ากอดขา บอกว่าอย่าไล่พวกเขาเลย
พวกเขาอยู่ที่นี่มาเป็นสิบๆปีแล้วไม่รู้จะไปหาที่อยู่ที่ไหนที่จะเช่าได้ถูกแบบนี้อีก
“พ่อหนุ่มอย่าไล่พวกยายเลยนะ เราไม่มีที่จะไปแล้วจริง ๆ
รับจ้างหาเช้ากินค่ำจะให้ไปหาที่อยู่ที่ไหนกันคะคุณหนู”
“ถอนคำสั่งได้ไหมครับคุณหนู พวกลุงลำบากมากจริง ๆ
ถ้าหากไม่ได้อยู่ที่นี่พวกเราหลายร้อยครอบครัวจะต้องไปหาที่อยู่ใหม่เดินทางมาทำงานแต่ละทีก็ลำบากพวกลุงเดือดร้อนมากจริง
ๆ ต่อไปสัญญาว่าจะจ่ายค่าเช่าให้ตรงเวลา อย่าไล่พวกเราเลย ขึ้นค่าเช่าอีกก็ได้แต่อย่ารื้อเลยนะ
อย่าไล่เรา ลุงมีหลานอีกสามคน แบบนี้ต้องย้ายโรงเรียนอีก สงสารหลาน ๆ
สงสารลุงด้วยเถอะ”
และอีกเยอะแยะมากมายที่แต่ละคนจะเข้ามาขอร้องวาริน จริง ๆ
ตึกนี้ภัครจิราเป็นเจ้าของถือครองมาตั้งยี่สิบปีที่แล้ว
เธอไม่เคยสนใจเรื่องค่าเช่าแค่อยากให้คนต่างจังหวัดได้มีที่อยู่ใจกลางเมืองโดยให้จ่ายค่าเช่าน้อยที่สุดก็แค่นั้น
วารินพลาดเองที่ไม่รอบคอบเรื่องการทำสัญญา
“คุณทรายครับ ผมผิดเองครับ ผมผิดเองร้อยเปอร์เซนต์ถ้าหากผมรอบคอบเรื่องสัญญากับทางนั้นอีกสักนิดเขาจะไม่สามารถทำการรื้อถอนตึกหลังนั้นได้เลย”
“คุณปวีย์รู้จักคนที่ดำเนินการเรื่องตึกนี้ของทางนั้นไหมครับ
ผมอยากนัดคุยกับเขา ช่วยนัดให้ผมด้วยได้ไหม”
“คุณนาวา วีรรุ่งกิตติ
เจ้าของกลุ่มเงินทุน VR ที่ตอนนี้ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ที่อายุน้อยที่สุดเลยครับ”
“....นาวา....คนที่เราเจอที่งานเลี้ยงสมาคมการกุศลเมื่อปลายปีน่ะหรือครับ”
ปลายปีที่แล้ววารินกับปวีย์ไปงานเลี้ยงการกุศลด้วยกัน ‘นาวา วีรรุ่งกิตติ’
ถูกเปิดตัวในฐานะนักธุรกิจหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรงที่เข้ามาควบตำแหน่งกลุ่มเงินทุน VR
กับเครือข่ายร่วมอีกเกือบสิบแห่งทั้งที่อายุเพิ่งจะแค่ยี่สิบเก้าเท่านั้น
ทำให้เขาเป็นที่จับตามองจากบรรดานักธุรกิจหน้าเก่าและใหม่มากมาย
ปีที่ผ่านมานี้เขาสร้างรายรับผลประกอบการหลายพันล้านบาทให้กับกลุ่มธุรกิจของตนเอง
เพราะฉะนั้นชื่อเสียงของเขาตอนนี้ถือว่าโดดเด่นที่สุดในบรรดานักธุรกิจรุ่นใหม่เลยก็ว่าได้
“คุณทรายอยากจะนัดเจอวันไหนล่ะครับเดี๋ยวผมจะติดต่อให้”
“วันอังคารเลยได้ไหมครับ ผมไม่อยากเสียเวลาอีกแล้ว
แค่นี้ชาวบ้านก็เดือดร้อนกันมากพอแล้วครับ”
“แต่คุณนาวาไม่ใช่คนที่จะนัดเจอได้ง่าย ๆนะครับ
เราอาจจะต้องรอนานเป็นเดือน
นักธุรกิจระดับนั้นถ้าเขายอมเสียเวลามาคุยเรื่องที่เขาพอจะคาดเดาจากเราได้อยู่แล้ว
ผมว่าเผลอๆเขาอาจไม่มีคิวให้เราเลยก็ได้”
“ช่วยผมหน่อยละกันนะครับ เอาให้เร็วที่สุดเลยนะ”
*
*
เย็นวันนั้นวารินกับหนูน้อยจินเจอร์รอธาราธารกลับมาจากประชุม
เขาสามคนมีนัดกินไอศกรีมด้วยกันที่ร้านประจำแห่งหนึ่ง
“ขิงกินดี ๆ นะครับลูก เลอะหมดแล้ว”
วารินใช้กระดาษทิชชู่เช็ดแถวแก้มกลมของเด็กซน รอยช๊อกโกแลตป้ายเป็นทาง
“หนูอยากกินเค้กอันนั้น แบบของอาป๊า” นิ้วกลมชี้ ๆ
ไปที่เค้กในตู้ ขณะที่ในจานของตัวเองก็ยังหมดไปไม่ถึงครึ่ง ธาราธารได้ยินเจ้าขิงว่าแบบนั้นจึงเลื่อนจานของตนเองให้
“อ่ะนี่ครับ กินของป๊าก็ได้ ป๊ายังไม่ได้ตักเลยนะ”
“คิคิ ของคุณค๊าบ น้องขิงรักป่ะป๊าที่ฉุด”
เด็กน้อยทำท่าดีใจ ยิ้มจนแก้มแทบปริ ปากเล็ก ๆ เปื้อนช็อคโกแลตเข้าอีกจนได้
ธาราธารลูบหัวเล็กแล้วเอื้อมไปตักเค้กจากจานของวารินมากินแทน
“ธาร สั่งอีกไหม อันนี้ธารไม่ชอบนี่”
“ไม่เป็นไร ผมกินได้หมดอ่ะ”
จริง ๆ แล้วเมื่อก่อนเขาเป็นคนไม่กินเค้กครีมเลย แต่เพราะวารินชอบมากไปๆมา ๆ เขาเลยชอบไปด้วยเลย ไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกัน
"อาป๊ะ มอร์พลีส" เจ้าขิงดึงแขนเสื้อเชิ้ตป่ะป๊าของเขา พร้อมจ้องหน้าธาราธารทำแววตาออดอ้อนขอเติมอีกแบบสุด ๆ ทั้งที่เขาเพิ่งให้ไปอีกชิ้นแท้ ๆ
"ขิงจะทานอีกเหรอครับ เดี๋ยวอ้วนนะกินเยอะต่อไปเดี๋ยวเรียกเบฟดีไหมหืม" วารินแกล้งแซวเจ้าตัวเล็กส่ายหน้าจนปากสั่น เพราะรู้ว่าอ้อนวารินไม่ค่อยได้ผลเขาจึงชอบอ้อนป๊ะป๊ามากกว่า
"มอร์พลีส" ปากเล็กๆยังย้ำแต่คำเดิม วารินจนใจยอมให้เดินไปเลือกมาทานได้อีกชิ้น เจ้าตัวเล็กทานแป็ปเดียวเค้กเอยพุดดิ้งเอย ช็อกโกแลตลาวาเอยหมดเกลี้ยงไม่มีเหลือ
“อาป๊ะอุ้มๆ”
เด็กน้อยพอกินอิ่มก็ง่วง ธาราธารจึงอุ้มไปยืนรออยู่ที่หน้าร้าน วารินเข้าคิวรอจ่ายบิลพอเดินตามออกมา มองภาพที่คุณพ่อตัวสูงอุ้มเจ้าขิงตัวกลมซบอยู่ที่บ่าแล้วเผลออมยิ้มออกมาไม่ได้ ธาราธารดูเป็นผู้ชายอบอุ่นมากมายจริง ๆ ไม่รู้ว่าถ้าเขาได้แต่งงานมีลูกใช้ชีวิตอยู่กับผู้หญิงที่เขารัก ชีวิตของเขาคงจะสมบูรณ์แบบมากกว่านี้แน่ ๆ
“พี่ทราย”
วารินสะดุ้ง
ธารหันมาเห็นเขายืนเหม่ออยู่แบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
“เป็นอะไรครับ”
เขาสองคนกับเจ้าตัวยุ่งที่นอนหลับปุ๋ยอยู่ที่อกธาราธารกำลังเดินไปที่รถ
“เปล่า พี่กำลังคิดว่าถ้าธารมี.....” วารินลืมตัว
กำลังจะพูดแต่ก็นึกได้ว่าไม่ควรที่จะพูดออกมา
“มีอะไร?”
“...........”
“พี่ทราย” เขาหยุดเดินแล้วคว้าเขามือคนข้าง ๆ ไว้ สบตาสื่อให้รู้ว่าอยากให้วารินพูดให้จบ
“พี่กำลังคิดว่าถ้าธารมีลูกเป็นของตัวเองจริง
ๆ ได้แต่งงานกับผู้หญิงสักคนที่ธารรัก ชีวิตธารคงจะดีกว่านี้ คงจะสมบูรณ์แบบมาก ๆ
เลย”
เขาเงียบไปตั้งแต่ตอนนั้น
จนมาถึงรถประคองน้องขิงวางที่เบาะหลัง
“คิดจริงจังอย่างที่พูดหรือเปล่าเนี่ย”
เขาคว้าเอามือวารินมาจับไว้ รถเคลื่อนตัวออกจากซอย
“หืม? ก็นะ ก็แอบๆคิดอยู่เหมือนกัน นิดๆ”
“พี่ทราย....ผมเคยบอกไปหรือยัง?”
เขาว่าแล้วหันมอง
“เรื่องอะไรเหรอ”
“ผมเคยบอกไปหรือยังว่า ‘ผมรักพี่’ ”
“...ธาร...”
“สงสัยบอกเวลาเมคเลิฟกันพี่คงไม่ค่อยได้ฟังสินะ
ถ้าอย่างนั้นจะบอกใหม่ ฟังให้ดีนะครับ” เขาดึงเอามือวารินมาชิดแก้มจูบลงที่หลังมือเบา
ๆ หันไปสบตาสื่อความนัยน์
“รักมากนะครับ มากที่สุด
ไม่เคยคิดจะคว้าเอาใครมาแทนที่เลยแม้แต่ครั้งเดียว....แค่พี่..คนเดียวเท่านั้นจริง
ๆ ”
เขาว่าแล้วเฝ้าจูบลงซ้ำๆที่หลังมือนั่น
ย้ำว่ารักให้อีกฝ่ายรับรู้มากที่สุด
วารินยิ้มบางเอนศีรษะลงซบไหล่เขา ขณะที่รถแล่นไปเรื่อย
“ขอบคุณครับธาร ขอบคุณที่รักพี่”
“เราอยู่ด้วยกันมาจนขนาดนี้แล้ว
คำว่าเชื่อใจกัน มั่นใจในกันและกัน และไว้ใจซึ่งกัน ไม่ได้สร้างกันขึ้นมาง่าย ๆก็จริง
แต่เมื่อเราผ่านเหตุการณ์ร้ายๆมาได้ ถ้อยคำเหล่านั้นย่อมมีความหมายมากมายยิ่งกว่าเก่า
พี่..คือคนสำคัญสำหรับผมนะ”
“ธาร....ธารก็เป็นคนสำคัญสำหรับพี่
เป็นมากกว่าน้อง เป็นยิ่งกว่าเพื่อน เป็นคนสำคัญ...เป็นคนที่พี่รัก”
“ผมรักพี่...อยู่กับผมตลอดไปนะ”
“พี่ก็รักธารครับ”
เขาสองคนส่งยิ้มจากใจให้กันและกันโดยมีเจ้าขิงจอมแก่นที่ตื่นตอนไหนก็ไม่รู้นอนลืมตาโตมองมาจากเบาะหลัง
คุณป๋าพิงศีรษะเล็ก ๆ เข้ากับไหล่แข็งแรงของป่ะป๊า
เป็นภาพที่น้องขิงเห็นแล้วยิ้มจนแก้มกลมแดงแป๊ด ในที่สุดหัวเราะคิกคักออกมา
จนสองคนที่กำลังอยู่ในห้วงสวีทต้องหันหลังกลับมามอง
หัวใจที่เรียงร้อยเข้าด้วยกัน
จะพาให้เขาทั้งคู่สามารถข้ามผ่านวันคืนที่มีทั้งสุขและทุกข์ปะปนกันไปได้ หัวใจสองดวงที่แข็งแกร่งมากขึ้นเมื่อผ่านวันคืนที่แสนโหดร้ายเข้ามาทดสอบ
หนทางรักที่เต็มไปด้วยหลุมบ่อมากมายในที่สุดทั้งสองคนก็ก้าวข้ามมันไปได้
พลังแห่งศรัทธาจะนำพาทุกอย่างให้ผ่านพ้น
ขอเพียงแค่เราสองคนยังมีความรักให้แก่กันและกัน
The End.
ขอบคุณทุกท่านที่อ่านกันมาจนถึงตอนนี้ เราขอบคุณมากมายจากหัวใจเลยค่ะ
ติดตาม Unseen ต่อได้เรื่อยๆนะ
ขอบคุณค่ะ