Thursday, May 15, 2014

..พี่เลี้ยง..THE DAY' I was your man(Yaoi-drama) บทที่ 33(จบ)




บทที่ 33                                                               



-ที่แกลเลอรี่ซีแอนด์ซาย-


“โหพี่ทัต  จะเอาอะไรไปนักหนาครับ”


ภูวดลนั่งขัดสมาธิมองคนที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาพับเสื้อผ้าเขาลงกระเป๋าเดินทางใบใหญ่


“นี่ผมลงไปแค่สามวันเองนะครับ เสื้อผ้าเยอะแบบนี้ทำอย่างกับผมจะไปอยู่เป็นปีงั้นแหละ”


“ถ้าไปอยู่ตลอดได้ยิ่งดีเลยอ่ะ ไม่ใช่แค่ปีสองปีหรือแค่สามวันหรอกนะ”


“พูดอะไรน่ะครับ เอามานี่เลยเดี๋ยวเปลี่ยนเป็นกระเป๋าใบเล็กดีกว่า ชุดนอนที่นั่นก็มีอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องเอาไปเพิ่มอีกหรอกครับ”


เขาว่าแล้วเดินไปลากกระเป๋าใบเล็กมาตั้งไว้ข้าง ๆ


“ใบนี้แหละใหญ่ดี ใส่ไปให้หมดเลยเสื้อผ้า ไว้ขึ้นมากรุงเทพค่อยมาซื้อใหม่เอาก็ได้นี่ อยู่ที่พังงา ที่ซื้อหายาก เสื้อผ้าซียิ่งติสๆไม่เหมือนคนอื่น”


“นี่ว่าหรือชมครับ”


“อ่ะ เรียบร้อย” ทัตพลปิดซิปแล้วกดล็อคกระเป๋าใบโตจากนั้นลากไปไว้แถว ๆ ข้างประตู


“ส่วนใบเล็กซีก็จัดพวกแอคเซสซารี่แล้วก็พวกของใช้ส่วนตัวใส่ไปซะนะ เดี๋ยวพี่ลงไปรอข้างล่างนะครับ” เขาว่าแล้วลุกขึ้นบิดจมูกคนตัวเล็กกว่าไปที


“อย่าดื้อนะครับ พี่จัดให้ดีแล้ว” เขาว่าแล้วเดินออกไปพร้อมลากกระเป๋าใบโตลงไปด้วย ภูวดลได้แต่ยืนเท้าสะเอวมองกระเป๋าเล็กอีกใบที่เขาบอกให้ทำ


จริง ๆ แล้ววันนี้ก็แค่สุดสัปดาห์ที่เขานัดกับทัตพลไว้ว่าจะไปพังงาด้วยกัน ไม่รู้ทางนั้นตื่นเต้นอะไรนักหนา ก็ไปกันมาตั้งหลายรอบแล้วแท้ ๆ แต่ครั้งนี้เห็นว่าจะไม่บิน ทัตพลจะขับรถไปเองเป็นเขาเสียอีกที่ต้องยุ่งยากเรื่องกระเป๋าเพราะทัตพลเล่นเก็บเสื้อผ้าเขาจนเกือบหมดตู้ เห็นทีคราวนี้ที่กะจะไปอยู่แค่สามวันคงต้องค้างกันเป็นเดือน ๆ เหมือนครั้งที่แล้วอีกแหง


“ครับทราย” วารินโทรเข้ามาพอดี


“พี่ไปช่วงบ่ายถึงนั้นคงค่ำพอดี” วารินถามมาว่าจะไปกันกี่โมง เดี๋ยวจะพาเจ้าขิงแวะมาหา


“เอาไงดี เห็นพี่ทัตบอกว่าจะออกประมาณบ่าย”


“ไม่เป็นไรครับ งั้นเดี๋ยวถ้าอาทิตย์ไหนว่างทรายจะชวนธารพาน้องขิงลงไปเที่ยวบางทีอาจจะพาคุณภัครแล้วก็ทุก ๆ คนไปพักผ่อนกัน  พี่ซีเที่ยวเล่นอยู่ที่นั่นให้สนุกนะครับ”


“สองสามวันก็กลับแล้ว” ภูวดลว่า


“ครั้งนี้จะได้กลับเหรอครับ ครั้งที่แล้วบอกว่าจะไปแค่คืนเดียว คุณทัตพาพี่ซีค้างเป็นเดือน ๆ ครั้งนี้บอกสามสี่วัน ไม่อยู่กันเป็นปีเหรอครับ”


ภูวดลเองก็จนใจที่จะตอบกลับ พักหลังมานี่ทัตพลเอาแต่ใจมากจริง ๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเขาก็รู้ว่าที่อีกฝ่ายทำก็เพื่อเขาทั้งนั้น เห็นว่าเขาคงเหงาเทียวไปเทียวมาตลอดจนเขาเกรงใจ ทั้งที่ไม่มีธุระที่กรุงเทพแล้วแท้ ๆ แต่ก็ยังขึ้นมาหาเขาทุกอาทิตย์อยู่ทีก็สองสามวัน  ที่สำคัญตอนนี้ทัตพลเปิดแกลลอรี่เล็ก ๆ ที่รีสอร์ตไว้ให้เขาสำหรับวาดและโชว์ภาพโดยเฉพาะ
แต่อย่าคิดว่าจะฟรี แฮ่ ๆ เพราะเขาคิดเหมาจ่ายค่าฝีมือเป็นรายปี


งานนี้ไม่รู้ใครได้กำไร ใครขาดทุน


“ซีครับ เสร็จหรือยัง สายแล้วนะเดี๋ยวไปถึงนั่นจะดึกเกินไป” เสียงทัตพลตะโกนขึ้นมาจากด้านล่าง ดังขนาดวารินที่อยู่ปลายสายได้ยินเขาจึงบอกให้พี่ชายวางไป


“แล้วค่อยเจอกันครับพี่ซี เดี๋ยวจะพาเจ้าขิงไปหานะ ฝากบอกคุณทัตด้วย”


“ครับทราย แล้วเจอกัน”


*


ติ๊ง!

เสียงลิฟต์เปิดออกที่ชั้นสิบ ทนายความหนุ่มหล่อก้าวออกมา จุดมุ่งหมายคือโต๊ะคุณเลขาคนเก่งหน้าห้องเจ้านายของเขานั่นเอง


“สวัสดีครับคุณทราย”


“สวัสดีครับคุณปวีย์” วารินพยักหน้าเชิญเขานั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม เหลือบมองนาฬิกาข้อมือครู่หนึ่งจริง ๆ วันนี้ปวีย์นัดคุยงานกับเขาช่วงเที่ยง ทำไมเพิ่งจะสิบโมงก็โผล่มาแล้ว มันเร็วผิดปกติ


“มาก่อนเวลาหน่อยหนึ่งโชคดีคุณทรายไม่ได้มีธุระที่ไหน ขอโทษจริง ๆ นะครับผมเสียมารยาทมากหรือเปล่า”


“ไม่หรอกครับ ผมเองก็ว่าง แค่เตรียมเอกสารไว้ให้บอสช่วงเย็นแค่นั้นเอง”


วันนี้วันเสาร์ปกติแล้วธาราธารจะต้องเข้าโรงแรมพร้อมวาริน แต่วันนี้เขาติดสัมนาเพราะงั้นวารินจึงต้องมาเตรียมหอบแฟ้มงานต่าง ๆ กลับไปให้เขาเคลียร์ในตอนเย็น


“เพราะธุระค่อนข้างสำคัญน่ะครับ ผมแอบหวังว่าจะได้เจอกับคุณธารเหมือนกันนะ เสียใจหน่อย ๆเลย”


เขาว่าแล้วยิ้ม วารินเองก็ส่งยิ้มกลับไปเช่นกัน เพราะธาราธารเคยเล่าเรื่องของปวีย์ที่พยายามจะจีบเขาให้ฟัง วารินยิ่งคิดยิ่งขำ ไม่รู้ปวีย์ทำเล่นหรือคิดจริงจัง แต่ช่วงห้าปีที่ผ่านมานี้ ทนายหนุ่มคนนี้ทำงานอุทิศตนเพื่อธาราธารมาโดยตลอด วารินจะเห็นเขาทำหน้าตามีความสุขทุกครั้งที่ได้คุยงานกับธาราธารแม้ว่าอีกฝ่ายจะทำหน้าซังกะตายเบื่อหน่ายขนาดไหนเขาก็ยังคงยิ้ม  วารินสุดจะขำเวลาแอบมองสองคนนี้คุยกันทีไร


“นี่เป็นโครงการแฟลตในเขต.......ที่คุณธารเซ็นอนุมัติขายออกไปเมื่อต้นเดือนที่แล้ว คุณทรายจำได้ไหมครับ”
เขายื่นเอกสารให้วารินรับไปเปิดดู 


“จำได้ครับ เป็นบริษัทในเครือ VR ที่มาขอซื้อสิทธิ์ถือครองไปนี่ มีอะไรหรือเปล่าครับ หรือว่ามีปัญหา?”


“มีชาวบ้านที่อาศัยอยู่ที่ตึกนั้นร้องเรียนมาทางเรา ผมคิดว่าเขาคงไม่รู้ว่าเราขายตึกนั้นออกไปแล้ว เมื่อเช้ามีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งมายื่นเรื่องกับผมที่สำนักทนายความน่ะครับ”


“มีเรื่องอะไรกันครับ”


“รู้สึกว่าทางกลุ่มเงินทุน VR มีคำสั่งให้รื้อถอน โดยให้บริษัทในเครือของเขาเองเป็นคนจัดการเรื่องนี้ให้ ชาวบ้านเดือดร้อนกันมากเลยครับ เพราะที่ดินแถวนั้นทั้งหมดเราอุ้มพวกเขาไว้นานมากแล้วจนไม่มีใครที่จะคิดได้เลยว่าทางเราจะสั่งรื้อ เขาเข้าใจว่าเราเป็นคนสั่งรื้อถอนน่ะครับ”


“เอ๊ะแต่ว่าตอนที่ทำสัญญาเปลี่ยนกรรมสิทธิ์กัน ก็มีข้อตกลงว่าทางนั้นจะทำแค่เรียกเก็บค่าเช่าเท่านั้นนี่ครับจะทำการรื้อถอนไม่ได้เด็ดขาด”


“ผมพลาดเองครับ”


ปวีย์ก้มหน้าสำนึกผิด เมื่อทุกอย่างเป็นความผิดพลาดของตนเอง เขาที่เล่ห์เหลี่ยมยังไม่เท่าทันทนายของฝ่ายนั้นพลาดเรื่องเงื่อนไขที่สำคัญที่สุดไป ทางนั้นใช้ช่องโหว่ของกฏหมายสำหรับการสั่งรื้อถอนตึกซึ่งเป็นเรื่องที่วารินย้ำกับเขานักหนาก่อนขาย   วารินเข้าใจได้ในทันทีก่อนหน้านี้ไม่นาน ทางกลุ่ม VR ติดต่อขอซื้อแฟลตในเขต......โดยให้ราคาสูงกว่าปกติมากวารินจึงรับพิจารณาและยื่นเรื่องให้ธาราธารเซ็นอนุมัติ โดยไม่ลืมที่จะย้ำกับทนายปวีย์ว่าให้ทางนั้นตกลงเรื่องห้ามรื้อถอนตึกหลังนั้นให้เรียบร้อยฝ่ายนั้นจะทำได้เฉพาะเรียกเก็บค่าเช่าเท่านั้น


แต่ปวีย์ดันทำพลาด


วารินกับปวีย์ออกไปดูที่ตึกแถวและแฟลตในเขต..... มีป้ายรื้อถอนและประกาศให้ชาวบ้านหาที่อยู่ใหม่ภายในหนึ่งเดือน วารินหน้าซีดลงทันทีที่มาเห็นสภาพจริง ๆ ของชาวบ้าน มีบางคนที่เห็นวารินมากับปวีย์ถึงกับมาร้องไห้คุกเข่ากอดขา บอกว่าอย่าไล่พวกเขาเลย พวกเขาอยู่ที่นี่มาเป็นสิบๆปีแล้วไม่รู้จะไปหาที่อยู่ที่ไหนที่จะเช่าได้ถูกแบบนี้อีก


“พ่อหนุ่มอย่าไล่พวกยายเลยนะ เราไม่มีที่จะไปแล้วจริง ๆ รับจ้างหาเช้ากินค่ำจะให้ไปหาที่อยู่ที่ไหนกันคะคุณหนู”


“ถอนคำสั่งได้ไหมครับคุณหนู พวกลุงลำบากมากจริง ๆ ถ้าหากไม่ได้อยู่ที่นี่พวกเราหลายร้อยครอบครัวจะต้องไปหาที่อยู่ใหม่เดินทางมาทำงานแต่ละทีก็ลำบากพวกลุงเดือดร้อนมากจริง ๆ ต่อไปสัญญาว่าจะจ่ายค่าเช่าให้ตรงเวลา อย่าไล่พวกเราเลย ขึ้นค่าเช่าอีกก็ได้แต่อย่ารื้อเลยนะ อย่าไล่เรา ลุงมีหลานอีกสามคน แบบนี้ต้องย้ายโรงเรียนอีก สงสารหลาน ๆ สงสารลุงด้วยเถอะ”


และอีกเยอะแยะมากมายที่แต่ละคนจะเข้ามาขอร้องวาริน จริง ๆ ตึกนี้ภัครจิราเป็นเจ้าของถือครองมาตั้งยี่สิบปีที่แล้ว เธอไม่เคยสนใจเรื่องค่าเช่าแค่อยากให้คนต่างจังหวัดได้มีที่อยู่ใจกลางเมืองโดยให้จ่ายค่าเช่าน้อยที่สุดก็แค่นั้น วารินพลาดเองที่ไม่รอบคอบเรื่องการทำสัญญา


“คุณทรายครับ ผมผิดเองครับ ผมผิดเองร้อยเปอร์เซนต์ถ้าหากผมรอบคอบเรื่องสัญญากับทางนั้นอีกสักนิดเขาจะไม่สามารถทำการรื้อถอนตึกหลังนั้นได้เลย”


“คุณปวีย์รู้จักคนที่ดำเนินการเรื่องตึกนี้ของทางนั้นไหมครับ ผมอยากนัดคุยกับเขา ช่วยนัดให้ผมด้วยได้ไหม”


“คุณนาวา วีรรุ่งกิตติ  เจ้าของกลุ่มเงินทุน VR ที่ตอนนี้ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ที่อายุน้อยที่สุดเลยครับ”


“....นาวา....คนที่เราเจอที่งานเลี้ยงสมาคมการกุศลเมื่อปลายปีน่ะหรือครับ”


ปลายปีที่แล้ววารินกับปวีย์ไปงานเลี้ยงการกุศลด้วยกัน นาวา วีรรุ่งกิตติ ถูกเปิดตัวในฐานะนักธุรกิจหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรงที่เข้ามาควบตำแหน่งกลุ่มเงินทุน VR กับเครือข่ายร่วมอีกเกือบสิบแห่งทั้งที่อายุเพิ่งจะแค่ยี่สิบเก้าเท่านั้น ทำให้เขาเป็นที่จับตามองจากบรรดานักธุรกิจหน้าเก่าและใหม่มากมาย ปีที่ผ่านมานี้เขาสร้างรายรับผลประกอบการหลายพันล้านบาทให้กับกลุ่มธุรกิจของตนเอง เพราะฉะนั้นชื่อเสียงของเขาตอนนี้ถือว่าโดดเด่นที่สุดในบรรดานักธุรกิจรุ่นใหม่เลยก็ว่าได้


“คุณทรายอยากจะนัดเจอวันไหนล่ะครับเดี๋ยวผมจะติดต่อให้”


“วันอังคารเลยได้ไหมครับ ผมไม่อยากเสียเวลาอีกแล้ว แค่นี้ชาวบ้านก็เดือดร้อนกันมากพอแล้วครับ”


“แต่คุณนาวาไม่ใช่คนที่จะนัดเจอได้ง่าย ๆนะครับ เราอาจจะต้องรอนานเป็นเดือน นักธุรกิจระดับนั้นถ้าเขายอมเสียเวลามาคุยเรื่องที่เขาพอจะคาดเดาจากเราได้อยู่แล้ว ผมว่าเผลอๆเขาอาจไม่มีคิวให้เราเลยก็ได้”


“ช่วยผมหน่อยละกันนะครับ เอาให้เร็วที่สุดเลยนะ”

*

*


เย็นวันนั้นวารินกับหนูน้อยจินเจอร์รอธาราธารกลับมาจากประชุม เขาสามคนมีนัดกินไอศกรีมด้วยกันที่ร้านประจำแห่งหนึ่ง


“ขิงกินดี ๆ นะครับลูก เลอะหมดแล้ว” วารินใช้กระดาษทิชชู่เช็ดแถวแก้มกลมของเด็กซน รอยช๊อกโกแลตป้ายเป็นทาง


“หนูอยากกินเค้กอันนั้น แบบของอาป๊า” นิ้วกลมชี้ ๆ ไปที่เค้กในตู้ ขณะที่ในจานของตัวเองก็ยังหมดไปไม่ถึงครึ่ง ธาราธารได้ยินเจ้าขิงว่าแบบนั้นจึงเลื่อนจานของตนเองให้


“อ่ะนี่ครับ กินของป๊าก็ได้ ป๊ายังไม่ได้ตักเลยนะ”


“คิคิ ของคุณค๊าบ น้องขิงรักป่ะป๊าที่ฉุด”


เด็กน้อยทำท่าดีใจ ยิ้มจนแก้มแทบปริ ปากเล็ก ๆ เปื้อนช็อคโกแลตเข้าอีกจนได้ ธาราธารลูบหัวเล็กแล้วเอื้อมไปตักเค้กจากจานของวารินมากินแทน


“ธาร สั่งอีกไหม อันนี้ธารไม่ชอบนี่”


“ไม่เป็นไร ผมกินได้หมดอ่ะ”


จริง ๆ แล้วเมื่อก่อนเขาเป็นคนไม่กินเค้กครีมเลย แต่เพราะวารินชอบมากไปๆมา ๆ เขาเลยชอบไปด้วยเลย ไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกัน


"อาป๊ะ มอร์พลีส" เจ้าขิงดึงแขนเสื้อเชิ้ตป่ะป๊าของเขา พร้อมจ้องหน้าธาราธารทำแววตาออดอ้อนขอเติมอีกแบบสุด ๆ ทั้งที่เขาเพิ่งให้ไปอีกชิ้นแท้ ๆ 


"ขิงจะทานอีกเหรอครับ เดี๋ยวอ้วนนะกินเยอะต่อไปเดี๋ยวเรียกเบฟดีไหมหืม" วารินแกล้งแซวเจ้าตัวเล็กส่ายหน้าจนปากสั่น เพราะรู้ว่าอ้อนวารินไม่ค่อยได้ผลเขาจึงชอบอ้อนป๊ะป๊ามากกว่า


"มอร์พลีส" ปากเล็กๆยังย้ำแต่คำเดิม วารินจนใจยอมให้เดินไปเลือกมาทานได้อีกชิ้น เจ้าตัวเล็กทานแป็ปเดียวเค้กเอยพุดดิ้งเอย ช็อกโกแลตลาวาเอยหมดเกลี้ยงไม่มีเหลือ


“อาป๊ะอุ้มๆ” 


เด็กน้อยพอกินอิ่มก็ง่วง ธาราธารจึงอุ้มไปยืนรออยู่ที่หน้าร้าน  วารินเข้าคิวรอจ่ายบิลพอเดินตามออกมา มองภาพที่คุณพ่อตัวสูงอุ้มเจ้าขิงตัวกลมซบอยู่ที่บ่าแล้วเผลออมยิ้มออกมาไม่ได้ ธาราธารดูเป็นผู้ชายอบอุ่นมากมายจริง ๆ ไม่รู้ว่าถ้าเขาได้แต่งงานมีลูกใช้ชีวิตอยู่กับผู้หญิงที่เขารัก ชีวิตของเขาคงจะสมบูรณ์แบบมากกว่านี้แน่ ๆ



“พี่ทราย”


วารินสะดุ้ง ธารหันมาเห็นเขายืนเหม่ออยู่แบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่


“เป็นอะไรครับ” เขาสองคนกับเจ้าตัวยุ่งที่นอนหลับปุ๋ยอยู่ที่อกธาราธารกำลังเดินไปที่รถ


“เปล่า พี่กำลังคิดว่าถ้าธารมี.....” วารินลืมตัว กำลังจะพูดแต่ก็นึกได้ว่าไม่ควรที่จะพูดออกมา


“มีอะไร?”


“...........”


“พี่ทราย” เขาหยุดเดินแล้วคว้าเขามือคนข้าง ๆ ไว้ สบตาสื่อให้รู้ว่าอยากให้วารินพูดให้จบ


“พี่กำลังคิดว่าถ้าธารมีลูกเป็นของตัวเองจริง ๆ ได้แต่งงานกับผู้หญิงสักคนที่ธารรัก ชีวิตธารคงจะดีกว่านี้ คงจะสมบูรณ์แบบมาก ๆ เลย”


เขาเงียบไปตั้งแต่ตอนนั้น จนมาถึงรถประคองน้องขิงวางที่เบาะหลัง


“คิดจริงจังอย่างที่พูดหรือเปล่าเนี่ย” เขาคว้าเอามือวารินมาจับไว้ รถเคลื่อนตัวออกจากซอย


“หืม? ก็นะ ก็แอบๆคิดอยู่เหมือนกัน  นิดๆ”


“พี่ทราย....ผมเคยบอกไปหรือยัง?” เขาว่าแล้วหันมอง


“เรื่องอะไรเหรอ”


“ผมเคยบอกไปหรือยังว่า ผมรักพี่


“...ธาร...”


“สงสัยบอกเวลาเมคเลิฟกันพี่คงไม่ค่อยได้ฟังสินะ ถ้าอย่างนั้นจะบอกใหม่ ฟังให้ดีนะครับ” เขาดึงเอามือวารินมาชิดแก้มจูบลงที่หลังมือเบา ๆ หันไปสบตาสื่อความนัยน์


“รักมากนะครับ มากที่สุด ไม่เคยคิดจะคว้าเอาใครมาแทนที่เลยแม้แต่ครั้งเดียว....แค่พี่..คนเดียวเท่านั้นจริง ๆ ”


เขาว่าแล้วเฝ้าจูบลงซ้ำๆที่หลังมือนั่น ย้ำว่ารักให้อีกฝ่ายรับรู้มากที่สุด  วารินยิ้มบางเอนศีรษะลงซบไหล่เขา ขณะที่รถแล่นไปเรื่อย


“ขอบคุณครับธาร ขอบคุณที่รักพี่”


“เราอยู่ด้วยกันมาจนขนาดนี้แล้ว คำว่าเชื่อใจกัน มั่นใจในกันและกัน และไว้ใจซึ่งกัน  ไม่ได้สร้างกันขึ้นมาง่าย ๆก็จริง แต่เมื่อเราผ่านเหตุการณ์ร้ายๆมาได้ ถ้อยคำเหล่านั้นย่อมมีความหมายมากมายยิ่งกว่าเก่า พี่..คือคนสำคัญสำหรับผมนะ”


“ธาร....ธารก็เป็นคนสำคัญสำหรับพี่ เป็นมากกว่าน้อง เป็นยิ่งกว่าเพื่อน เป็นคนสำคัญ...เป็นคนที่พี่รัก


“ผมรักพี่...อยู่กับผมตลอดไปนะ”


“พี่ก็รักธารครับ”


เขาสองคนส่งยิ้มจากใจให้กันและกันโดยมีเจ้าขิงจอมแก่นที่ตื่นตอนไหนก็ไม่รู้นอนลืมตาโตมองมาจากเบาะหลัง คุณป๋าพิงศีรษะเล็ก ๆ เข้ากับไหล่แข็งแรงของป่ะป๊า เป็นภาพที่น้องขิงเห็นแล้วยิ้มจนแก้มกลมแดงแป๊ด ในที่สุดหัวเราะคิกคักออกมา จนสองคนที่กำลังอยู่ในห้วงสวีทต้องหันหลังกลับมามอง


หัวใจที่เรียงร้อยเข้าด้วยกัน จะพาให้เขาทั้งคู่สามารถข้ามผ่านวันคืนที่มีทั้งสุขและทุกข์ปะปนกันไปได้ หัวใจสองดวงที่แข็งแกร่งมากขึ้นเมื่อผ่านวันคืนที่แสนโหดร้ายเข้ามาทดสอบ หนทางรักที่เต็มไปด้วยหลุมบ่อมากมายในที่สุดทั้งสองคนก็ก้าวข้ามมันไปได้ พลังแห่งศรัทธาจะนำพาทุกอย่างให้ผ่านพ้น ขอเพียงแค่เราสองคนยังมีความรักให้แก่กันและกัน




The End.

ขอบคุณทุกท่านที่อ่านกันมาจนถึงตอนนี้ เราขอบคุณมากมายจากหัวใจเลยค่ะ
ติดตาม Unseen ต่อได้เรื่อยๆนะ
ขอบคุณค่ะ