บทที่ 31
“เดี๋ยว” อ้อมแขนแกร่งคว้ากอดเอวคนตัวเล็กไว้
“มาบอกผมตอนนี้รู้ไหมว่าพี่จะโดนหนักแค่ไหน”
ไฟสีส้มสลัวถูกหรี่ไว้ตั้งแต่เมื่อคืน
บทรักเร่าร้อนเพิ่งผ่านพ้นไปแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น
วารินรู้สึกตัวอีกทีตีห้ากว่าจึงรีบจะลุกจากที่นอน แต่ธาราธารไม่ยอมปล่อย ยังรั้งแขนเขาไว้
ต้นเหตุเพราะเขาเพิ่งจะบอกออกไปว่าวันนี้ทัตพลกับภูวดลจะมาเยี่ยมภัครจิราที่นี่
เจ้าเด็กนี่เลยถือโอกาสงอแงกับเขา
“แล้วเขาจะมากันกี่โมง?”
“เก้าโมงมั้งราว
ๆ นี้ เดี๋ยวพี่ต้องไปตลาด วันนี้ธารจะเข้าไปที่โรงแรมรึเปล่า”
“ขึ้นมานี่มา”
เขาดึงแขนเล็กให้วารินล้มเอนลงที่เขาแล้วจับเอาทั้งตัวขึ้นทาบทับร่างเขาไว้
วารินรีบลุกขึ้นมือเล็กยันหน้าอกแกร่ง ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าวารินนั่งอยู่บนตัวเขา
“ไม่เข้าไปหรอก
เมื่อวานพี่หอบเอางานมาให้ผมหมดแล้วนี่ ที่เหลือค่อยไปเคลียร์วันจันทร์ละกัน”
“ธารอย่าเล่นสิ
เดี๋ยวดาวรอ พี่ต้องไปตลาดนะ” เพราะมือของเขาซุกซนมากจริง ๆ
“ไม่ต้องไปแล้ว
เมื่อคืนผมบอกเจ้าเตไว้แล้ว ต่อไปให้พาดาวไปตลาดเหมือนเดิม เดี๋ยวจะให้แม่บ้านที่โรงแรมอีกสักคนมาช่วยดาวเรื่องงานบ้านแบบไปเช้าเย็นกลับก็แล้วกัน
ส่วนพี่แค่ดูแลผมกับคุณแม่แค่นี้ก็ ‘หนัก’ พอแล้ว”
เขาว่าแล้วยิ้ม
ไม่รู้วารินคิดไปเองหรือเปล่าดูเหมือนเขาจะเน้นคำว่า หนัก มากเหลือเกิน
“ถ้างั้นก็ปล่อย
พี่จะได้ไปอาบน้ำ”
“คิดว่าผมจะปล่อยไหม
หืม” สายตาแพรวพราวที่จ้องมองขึ้นมาทำเอาวารินต้องรีบหลบ
สองมือขยำแก้มก้นงอนงามที่คร่อมอยู่บนตัวเขา วารินสะดุ้งตกใจ เขาจึงหัวเราะออกมาเบา
ๆ
“รอบเดียว”
เขาว่าอ้อน ๆ
“ไม่เอาธาร” วารินดิ้นพยายามจะลงจากตัวเขา
หน้าแต้มสีแดงระเรื่อตั้งแต่เขาจับให้นั่งอยู่บนตัวเขาตั้งแต่แรกแล้ว
“อย่าดื้อนะ
รู้ไหมเช้า ๆ แบบนี้ร่างกายผมคึกแค่ไหน พี่ผิดเองที่ขึ้นมานั่งยั่วผมแบบนี้น่ะ”
เขาพูดจบไม่รอช้าพลิกร่างเล็กลงมานอนแทนที่ตัวเขาขึ้นคร่อมทับไว้ทันที
ดวงตาสองคู่สบประสานกันนิ่งงันดั่งต้องมนต์สะกดนิ้วมือใหญ่สอดประสานฝ่ามือเล็กแล้วออกแรงกดเบา
ๆ ใบหน้าน่ารักลอยเด่นอยู่แค่ปลายจมูกโด่งของเขาเท่านั้น
แก้มเนียนร้อนผ่าวเพราะสายตาที่จ้องลงมานั้นมิอาจปิดบังความปรารถนาไว้ได้เลย
ทั้งที่เพิ่งผ่านศึกร้อนแรงมาแค่ไม่กี่ชั่วโมงแท้ ๆ ทำไมร่างกายเขามันถึงได้เร่าร้อนขนาดนี้กัน
ธาราธารคลี่รอยยิ้มร้ายในแบบที่เขาชอบทำเสมอ
ละฝ่ามือหนึ่งข้างเข้าลากไล้ไปตามแผ่นหลังโค้งละมุนผ่านชุดนอนผ้านิ่มเนื้อบางชุดเดิม
จนวารินสะท้านไปทั่วทั้งเรือนกาย
....แค่สายตาของเขา
กับฝ่ามือร้อน ๆ ของเขา....
วารินเบนหลบสายตาหวานฉ่ำ
แต่ก็ถูกนิ้วแกร่งเชยคางมนให้เงยสบกับดวงตาของเขาอีกครั้ง
มันช่างงดงามและน่าหลงใหลนักวารินหน้าซับสีแดงเข้มขึ้นไปอีก
น่าแปลกใจมากที่ดวงตาของเขามันช่างเต็มไปด้วยเสน่ห์เย้ายวนเสียจริง
เขาฝังปลายจมูกโด่งลงมาราวกับกลัวว่าแก้มนิ่มจะบอบช้ำ
อยากจะทะนุถนอมร่างกายนี้ให้มากที่สุด เขารู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนไปมากจริง ๆ
ทั้งที่แต่ก่อนเขาจะฟาดฟันคู่นอนเพื่อให้ทุกอย่างจบสิ้น สนองความปรารถนาของเขาให้เสร็จภายในเวลาอันรวดเร็ว
แต่กับวารินไม่เคยเป็นแบบนั้นสักครั้ง เขาอยากใช้เวลากับคน ๆ นี้ให้นานที่สุด กกกอดกันไว้
พูดคุย คลอเคลีย ดูดดื่ม เล้าโลมโดยเฉพาะเมื่อนึกถึงคำพูดที่วารินพูดกับเขาเมื่อคืนมันช่างบาดใจเขาเสียเหลือเกิน
‘ที่ระบายเวลาผมอยาก’
เขาพูดกับคน
ๆ นี้ไปแบบนั้นได้อย่างไรกัน เวลาที่คนเราโกรธแค้นทำได้ทุกอย่างจนน่ากลัวจริง ๆ เมื่อเราก้าวข้ามจุดนั้นมาแล้วและหันกลับไปมองคนเรามักเสียใจกับการกระทำที่เลวร้าย
ยังดีที่วารินไม่เคยถือโทษโกรธเขาเลยสักครั้ง
ไม่เช่นนั้นเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ได้อย่างไรในตอนนี้ถ้าไม่มีคน ๆ
นี้อยู่ในอ้อมแขน
.
.
.
“พี่ซี
คุณทัต สวัสดีครับ”
วารินเชิญให้ทั้งสองคนเข้ามานั่งที่ห้องรับรองเล็ก
โดยที่ธาราธารนั่งคอยอยู่ก่อนแล้ว เขาไม่แม้แต่จะหันไปทักทายทัตพล วารินนั่งลงใกล้ภูวดลมือใหญ่ยกขึ้นยีผมคนตัวเล็กอย่างรักใคร่
“กินข้าวยังเรา”
ภูวดลถามเบา ๆ
“กินแล้วครับ
พี่ซีล่ะกินมาหรือยัง” วารินเอื้อมมือมาโอบเอวพี่ชาย
“กินมาแล้ว
อ้วนขึ้นนะเราดูซิเอวมีแต่พุงเนี่ย” เขาว่าแล้วจี้เอววารินไปที
น้องชายตัวเล็กหัวเราะเอิ้กอ๊าก “ทรายหล่อออก ใครว่าทรายอ้วน” วารินยู่ปากทำเสียงเล็กเสียงน้อย ได้ยินธาราธารกระแอมไอขัดจังหวะสองพี่น้องดังขึ้นมา
“ธาร
พ่อกับซีมาเยี่ยมภัคร เราขอขึ้นไปข้างบนได้ไหม” ทัตพลที่นั่งมองลูกชายตัวเองนานแล้ว
ในที่สุดก็พูดขึ้น
“คุณแม่กำลังทำกายภาพอยู่
อีกสักสิบนาทีก็ถึงเวลาลงมาชมสวนแล้ว ถ้าหากคุณอยากจะเยี่ยมก็ต้องรอสักหน่อย”
เขาพูดเสียงเรียบ
วารินมองไปที่หน้าเขา วันนี้เหนือความคาดหมายมากธาราธารไม่โวยวายกับทัตพล
เขายอมพูดด้วย ถึงในน้ำเสียงจะห้วนอยู่มากแต่นี่คือดีที่สุดแล้วสำหรับตอนนี้
“พี่ทราย
มานั่งนี่ข้างๆผม” สายตาเขายังจับอยู่ที่มือเล็กที่กอดเอวภูวดลไว้
“แต่ว่า..”
สายตาคมตวัดมอง
วารินรีบหันหาภูวดลตาละห้อยเขาอยากกอดพี่ชายต่ออีกนิดช่วงนี้ไม่ได้แวะกลับบ้านเลยทั้งที่ก็อยู่ไม่ไกลกันมากมาย
ภูวดลลูบแผ่นหลังเล็กเบาๆหากแต่สายตาจับอยู่ที่คนตรงข้าม เริ่มเอะใจความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่
“ช่างเถอะไม่เป็นไร
นั่งอยู่ตรงนั้นก็ได้ เดี๋ยวผมจะไปพาคุณแม่ลงมา” เขาว่าจบแล้วรีบลุก เดินหายขึ้นไปชั้นบน
พักเดียวเขาก็อุ้มภัครจิราลงมา ประคองเธอนั่งลงบนรถเข็นวารินรีบเข้าไปช่วย ทัตพลยืนมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก
แม้แต่น้ำในลำคอยังแห้งผากเหมือนมีอะไรบางอย่างจุกอยู่ในนั้น
“คุณแม่ครับ คุณ....คุณทัตพลกับพี่ชายของพี่ทรายเขามาเยี่ยมคุณแม่
เราจะไม่พูดถึงเรื่องราวเก่า ๆ อีก ถ้าหากสิ่งเหล่านั้นมันจะทำให้เราไม่สบายใจ ทิฐิทุกอย่างผมขอให้วางมันไว้ก่อนนะครับ
เราลองเปิดใจกันดู เผื่ออะไรหลาย ๆ อย่างจะดีขึ้น” เขาบีบมือเธอเบา
ๆส่งแววตาให้กำลังใจปนขอร้องอยู่ในที จากนั้นจึงลุกขึ้นแล้วเดินเข้ามาหาทัตพลที่ยืนนิ่งมองภัครจิราอยู่นานแล้ว
“นี่คือผลจากการกระทำของคุณ
ไม่จำเป็นต้องมาขอโทษผม เพียงเพราะคุณอาจรู้สึกว่าคุณผิดและโทษตัวเอง
แต่ทำแบบนั้นแล้วจะมีอะไรที่ดีขึ้น ถ้าหากคุณอยากจะไถ่โทษจริง ลองเข้าไปคุยกับคุณแม่ดู ท่านต้องออกไปสูดอากาศตอนเช้าทุก ๆ วัน
คุณลองพาท่านไปชมดอกกุหลาบที่สวนดูสิ”
เขาว่าโดยที่ไม่ได้มองหน้าคุณพ่อของเขาเลยแม้แต่น้อย
คว้าเอาแขนวารินออกจากรถเข็ญแล้วพาเดินแยกออกมา เป็นทัตพลที่ค่อย ๆ เดินเข้าไปหาเธอใกล้ ๆ
มือใหญ่จับลงที่แฮนด์วีลแชร์
เข็นแล้วพาเธอออกไปที่สวนด้านนอก แปลงดอกกุหลาบหลากสีส่งกลิ่นหอมยาวตลอดริมทางเดิน
แม้ตัวเธอจะเบามากแต่ความรู้สึกของคนเข็นช่างหนักอึ้งเสียเหลือเกิน
เขาเอื้อมมือไปเด็ดเอากุหลาบสีเหลืองอ่อนดอกหนึ่งยื่นส่งให้เธอ
แต่เธอจะสามารถยื่นมือมารับได้อย่างไร หัวใจของเขาหล่นวูบเมื่อนึกถึงความเป็นจริงที่เกิดอยู่ต่อหน้าใบหน้าคมสลดลงอย่างเห็นได้ชัด เข่าแกร่งทรุดลงที่พื้นมองหน้าเธอนิ่ง วางดอกกุหลาบใส่ฝ่ามือขาวนุ่มของเธอ
เมื่อความจริงที่แสนเจ็บปวดกำลังแสดงให้เห็นอยู่ต่อหน้า
มือหนาสั่นน้อย ๆ ในยามที่กุมมือเธอให้รับก้านกุหลาบนั้นไว้
ขอบตาเขาร้อนผ่าวก่อนจะข่มมันและพยายามกล้ำกลืนมันลงไป
....ใครกันที่บอกไว้ว่าผู้ชายไม่มีน้ำตา…..
วารินที่ยืนอยู่ไม่ไกลขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมาไม่รู้ตัว ธาราธารจ้องมองภาพพ่อกับแม่ของเขาด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูกเช่นกัน ใช่..เขาเกลียดผู้ชายคนนี้
คนที่ทำให้แม่ของเขาต้องมาตกอยู่ในสภาพน่าเวทนาแบบนี้
แต่ในอีกความรู้สึกกลับใจชื้นขึ้นมาหน่อย ๆ ที่ภัครจิราไม่ต่อต้านยอมให้โอกาสทัตพล
ถึงแม้ทุกอย่างจะสายเกินไปสำหรับคำว่าเริ่มต้นใหม่
แต่มิตรภาพดี ๆ ที่มีให้แก่กัน น่าจะสร้างมันขึ้นมาได้อีกครั้ง
...อย่างน้อย
คน ๆ นี้ก็เป็นคุณพ่อของเขา...
“ภัคร”
น้ำเสียงทุ้มต่ำสั่นไหว เขาที่ก้มหน้าปิดบังรอยน้ำตายกหลังมือขึ้นเช็ดความอ่อนแอทิ้งไป
เมื่อมองสบที่ดวงหน้าของเธอ เขาจึงเห็นว่าสายตาของเธอจับจ้องอยู่ที่กุหลาบสีเหลืองในมือแน่นิ่ง
“ผมรู้.......คำขอโทษของผม
คงจะมีค่าน้อยเกินไปมาก แต่ผม....ก็ยังอยากจะพูดมัน.....กับคุณ”
เขาบีบมือเธอเบา
ๆ ยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้ ๆ แตะจูบลงไปที่มุมปากสวยแผ่วเบา แล้วเอื้อนเอ่ยถ้อยคำที่ทำให้เธอต้องหลั่งน้ำตา
“ขอโทษครับ ผมขอโทษ ไม่ต้องยกโทษให้ผมนะคนดี ไม่ต้อง...ฮึกก...ยกโทษให้ผม”
ปลายนิ้วแกร่งปาดคราบน้ำตาบนใบหน้าสวยออกอย่างเบามือ
ทั้งที่ตัวเองก็ยังร้องไห้อยู่ไม่หยุด
ทัตพลสุดที่จะข่มกลั้นเขาก้มหน้าชิดอกร้องไห้อยู่อย่างนั้นจนไหล่สั่น
“พี่ทัต”
ภูวดลเดินเข้ามาหา ลูบลงที่หลังเขาเบา ๆ ให้กำลังใจ “พาคุณภัครไปดูปลาไหมครับ
ทางโน้นร่มรื่นมากเลย เราเข็นรถไปจอดไว้ตรงนั้นดีกว่านะ
ทัตพลพยักหน้าเบา
ๆ ค่อยลุกขึ้นพารถเข็นค่อยเคลื่อนไปทางสระปลาสวยงามที่หน้าบ้าน
บริเวณนั้นเตโชกำลังยืนรถน้ำต้นไม้อยู่ไม่ไกลนัก
ธาราธารเห็นบรรยากาศดีขึ้นเขาจึงพาวารินเข้ามารอที่ด้านใน
ไม่นานนักทั้งสามคนก็ตามเข้ามา
“ขอพ่ออุ้มแม่เขาขึ้นไปข้างบนเองจะได้ไหมธาร”
เขาเดินเข้ามาใกล้แล้วถาม ธาราธารมองหน้าเขาชั่งใจครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าให้เบา ๆ
ทัตพลค่อยช้อนตัวเธอขึ้นไป ประคองนอนลงบนเตียงกว้าง ข้าง ๆ กันมีป้าวันนาคอยดูแลอยู่แล้ว
“พักผ่อนนะ แล้วผมจะมาหาอีกเรื่อย ๆ”
เขามองดวงหน้าเล็กของเธอ
กระชับผ้าห่มๆให้จนชิดอกก่อนจะเดินออกมาที่ด้านนอก น้ำตาไหลลงมาอีกครั้งอย่างสุดจะข่มกลั้นไว้จริง
ๆ เขาหยุดตรงทางที่จะลงบันไดยืนเกาะราวร้องไห้อย่างไม่อายใครหน้าไหนทั้งสิ้น
เป็นภูวดลอีกแล้วที่ขึ้นมาแตะลงที่ไหล่เพื่อปลอบใจ
“ซีฉัน.....”
เขาพูดไม่ออก ความผิดทุกอย่างเกิดเพราะเขาทั้งนั้น
เขาทำให้ผู้หญิงที่เขาเคยรักต้องทุกข์ทรมานขนาดนี้
“อย่าโทษตัวเองเลยครับ”
ภูวดลปลอบใจ ทัตพลมองหน้าเขาช้า ๆ ภูวดลยังไม่เคยรู้เรื่องความสัมพันธ์ของเขากับวารินที่ทำให้ภัครจิราต้องนอนป่วยอยู่แบบนี้
คงกำลังคิดว่าเขาเสียใจเรื่องที่ทิ้งเธอไปไม่ดูแลมาตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมา
“อาทิตย์หน้าพี่ซีว่าจะไปเชียงใหม่กับคุณทัตนะทรายอยากได้อะไรไหม”
ภูวดลบอกกับวาริน
เมื่อทั้งเขาและทัตพลเดินออกมาเอารถ คงถึงเวลาที่จะต้องกลับ ธาราธารเองก็เดินตามมาด้านหลัง
“ไม่มีหรอกครับทรายไม่อยากได้อะไรหรอก
พี่ซีไปทำไม ไปเที่ยวเหรอ?”
“คุณทัตเขาชวนไปดูพิพิธภัณฑ์ภาพวาดของเพื่อนเขาน่ะ
พี่ซีสนใจเลยอยากจะแวะไปดู
“พี่ซีเที่ยวให้สนุกนะครับ
คุณทัตพลครับผมฝากพี่ชายด้วยนะ”
วารินหันไปด้านหลัง
ทัตพลกับธาราธารเดินคู่กันมา สองคนเหมือนกันมากจริง ๆ ทั้งส่วนสูง ขนาดตัว รวมไปถึงหน้าตา
“ไม่ต้องห่วงหรอกทราย
ซีมากกว่าที่ต้องดูแลฉัน” เขาว่าแล้วยิ้ม เดินเกือบจะถึงรถกันอยู่แล้ว รถเบนซ์สีดำคันใหญ่ของใครบางคนขับปาดเข้ามาจอดลงใกล้
ๆ
“คุณพ่อ
แวะมาที่นี่เหรอครับ” ชนาธิปเปิดประตูลงมาร้องทักทัตพล
แต่ตัวเขาเดินเข้าไปหาธาราธารทันที
“ธาร
ธิปมาเยี่ยมคุณแม่ของธาร วันนี้ธิปว่างทั้งวันไม่มีอะไรทำ เลยแวะมาเล่นกับธารน่ะ”
มือเล็กเข้าไปเกาะแขนธาราธารไว้ทันที
ทัตพล ภูวดล และวาริน มองการกิริยานั้นของชนาธิปเป็นตาเดียว
“คุณพ่อมานานหรือยังครับ
เอ๊ะหรือว่ากำลังจะกลับกันแล้ว
ตายล่ะธิปน่าจะมาให้เช้ากว่านี้สักหน่อยคิดถึงคุณพ่อจังไม่แวะไปที่บ้านเลยนะครับ”
ทัตพลมองหน้าชนาธิปนิ่งอ่านไม่ออกจริง
ๆ ว่ากิริยาแบบนั้นของชนาธิปจริงใจหรือไม่อย่างไร เขาเดินไปบอกภูวดลว่าขอเวลาสักครู่อย่าเพิ่งกลับ
แล้วเดินกลับเข้าไปหาชนาธิป
“ธิป เดินไปทางนี้กับพ่อเดี๋ยวหนึ่งได้ไหม”
ชนาธิปจำใจต้องปล่อยแขนธาราธารออกแล้วเดินตามทัตพลไปที่มุมหนึ่งของสวน
“ตรง ๆ เลยนะ
ลูกเป็นเพื่อนธารเขาใช่ไหม”
“ใช่ครับ”
“คิดอะไรมากกว่าเพื่อนหรือเปล่า?”
“คุณพ่อ!”
“พ่อไม่ได้หูหนวกตาบอดนะธิป
ลูกคงจะรู้เรื่องภายในครอบครัวของเรามาจากแม่เขาแล้ว พ่ออยากให้ลูกดูแม่เขาไว้เป็นตัวอย่าง
ผลของการกระทำที่เลวร้าย สุดท้ายแล้วก็ไม่เหลืออะไรอีกเลย
ลูกยังเด็กกลับตัวตอนนี้ถือว่ายังไม่มีอะไรสายเกินไป ถ้าลูกไม่หลับหูหลับตาจนมองไม่เห็น
น่าจะรู้ความสัมพันธ์ระหว่างธารกับทราย จะทำอะไรคิดดูให้ดีด้วย”
เขาเดินเข้าไปบีบลงที่ไหล่เล็กเบา
ๆ
“พ่อหวังดีกับลูกเสมอ อะไรที่ไม่ใช่ของ ๆ เรา ไม่ว่าเราจะไขว่คว้ามันไว้แค่ไหน สุดท้ายมันก็ต้องหนีหายจากเราไปอยู่ดี ดูพ่อกับแม่เป็นตัวอย่าง”
เขาเตือนสติลูกชายไว้แค่นั้น
ก่อนจะก้าวเข้ามาหาภูวดลแล้วบอกลาทั้งธาราธารทั้งวาริน รถคันใหญ่ของทัตพลเคลื่อนตัวออกไปแล้ว
“มาทำไม?
มีธุระอะไร” ชนาธิปเดินตรงเข้ามาหาธาราธารอีกครั้ง หลังจากหยุดนิ่งครุ่นคิดถึงคำพูดเหล่านั้นของทัตพล
“บอกแล้วไงว่าจะมาเยี่ยมคุณแม่ธาร
นี่ใจคอจะไม่ชวนธิปเข้าบ้านจริงๆเหรอเนี่ย” มือเล็กยกขึ้นมาเกาะแขนเจ้าของบ้านอีกครั้ง
แต่คราวนี้ธาราธารบิดแขนออกอย่างรำคาญแล้วเดินลิ่ว ๆ นำเข้าบ้านไป
“ดาว
เดี๋ยวเอาน้ำกับอาหารว่างออกไปให้คุณชนาธิปด้วยแล้วกันนะ” วารินเดินแยกมาที่ครัวล้างไม้ล้างมือแล้วบอกกับนับดาว
“แล้วพี่ทรายจะไปไหนน่ะพี่
ไม่ออกไปนั่งคุยกับเขาเหรอ”
นับดาวที่เพิ่งจะรู้เมื่อไม่นานมานี้ว่าวารินนั้นเป็นถึงเลขาของภัครจิรา
แล้วตอนนี้ก็กลายมาเป็นเลขาของธาราธาร เธอแปลกใจเมื่อเห็นวารินเหมือนกับจะแยกตัวออกไปที่หลังบ้าน
“พี่เข้าไปเอากระเป๋าตังค์แป็บ
วันนี้นัดกับนายเตไว้ว่าจะไปสวนฯด้วยกัน อยากได้ดอกไม้มาปลูกเพิ่มอีกหน่อยน่ะ”
“มิน่าล่ะ
ดาวเห็นพี่เตอารมณ์ดีตื่นมาพรวนดินเตรียมแปลงไว้รอตั้งแต่เช้าแล้ว
ที่แท้นัดกับพี่ทรายไว้นี่เอง”
วารินเดินเข้าไปหยิบกระเป๋าสตางค์กับโทรศัพท์แล้วเดินออกมาที่ห้องรับแขกเล็กหน้าบ้าน
ธาราธารเพิ่งจะพาชนาธิปลงมาจากเยี่ยมคุณแม่ของเขาเห็นเข้าพอดี
“พี่ทราย
เดี๋ยวผมจะออกไปดูที่แถว ๆ.........พี่ไปกับผม”
“จะรบกวนพี่ทรายเขาทำไมล่ะธาร
วันหยุดแบบนี้ให้คุณเลขาเขาพักบ้างเถอะ ใช้งานหนักมากๆระวังจะเหนื่อยเกินไปนะ”
ชนาธิปส่งยิ้มแพรวพราวมาให้วาริน
“ธารไปเถอะ
พี่มีธุระพอดี เดี๋ยวตอนเย็นค่อยเจอกัน”
“จะไปไหน?”
“ไปซื้อต้นไม้
ธารไปเรื่องงานเถอะนะ ลองทำอะไรดูเองบ้าง ถ้าไม่เข้าใจอะไรแบบไหนเดี๋ยวตอนเย็นเรามาคุยกัน”
วารินพูดเหมือนไม่สนใจ
ธาราธารรีบปราดเข้าประชิดตัวทันที พูดเสียงเบาให้ได้ยินกันแค่สองคน
“จะเอาแบบนั้น?
จะปล่อยให้ผมไปกับเขาก็ได้งั้นใช่ไหม?
พี่แน่ใจนะว่าจะเอาแบบนั้นจริง ๆ”
“ธาร!”
“ไม่หวงผมเลยจริง
ๆสินะ”
แววตาคมกริบฉายแววผิดหวัง
เขาและวารินมองหน้ากันนิ่งต่างคนต่างไม่ยอมลง ในที่สุดเขาเดินเข้าไปเรียกชนาธิปให้ตามเขาออกไป
.
.
“ซี
เดี๋ยวเราแวะท็อปฯหน่อยดีไหม พี่อยากกินข้าวผัดเห็ดหอมน่ะ ซีทำให้ทานนะครับ”
รถจอดลงที่ลานจอด
เขาสองคนเข้าไปหาซื้อหาของสดของแห้งกันไม่กี่อย่างแป๊ปเดียวก็กลับออกมา
ภูวดลแวะซื้อช็อคโกแลตเย็นสองแก้วที่ด้านหน้าก่อนจะเดินเข้ามานั่งลงข้าง ๆ คนขับ
“ขอบคุณครับ”
ทัตพลรับมาหนึ่งแก้ว
“ได้ยินทรายเขาบอกว่าคุณภัครดีขึ้นมาก
ผมเห็นเธอวันนี้ก็รู้สึกใจชื้นขึ้นหน่อยเหมือนกันนะครับ เริ่มนั่งได้แล้วแบบนี้ไม่แน่ว่าปาฏิหาริย์อาจจะมีจริง
ๆ ก็ได้”
“พี่ภาวนาให้มีจริงทุกวันเลยล่ะซี
ยิ่งได้มาเห็นเต็มสองตาแบบนี้แล้ว.....” ทัตพลพูดไม่ออก ความรู้สึกทั้งหมดคือ
เขารู้สึกผิดมากจริง ๆ
“ถ้าคุณภัครเธอกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกครั้ง
พี่ทัตคิดว่าจะกลับไปดูแลเธอรึเปล่าครับ”
“เรื่องของพี่กับภัครมันจบไปตั้งยี่สิบปีแล้วซี
ถ้าถามว่าจะมีทางกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ไหม คำตอบจริง ๆ ก็คือไม่หรอก
ระหว่างเรามันไปไกลเกินกว่าคำว่าเลิกราไปแล้ว แต่อย่างไรก็ตามพี่ก็หวังจะเห็นเขากลับมาแข็งแรงได้อีกครั้ง
ภัครเขาโชคดีที่มีลูกที่ดี แล้วธารเอง ก็โชคดีที่มีทรายคอยอยู่เคียงข้าง”
ภูวดลหันขวับมาที่คนขับทันทีที่ทัตพลพูดจบ
ใบหน้าเต็มไปด้วยคำถามมากมายกับถ้อยคำที่ทัตพลเพิ่งจะเอ่ยออกมา
“อย่าบอกว่าซีดูไม่ออกนะ
ว่าความสัมพันธ์ของสองคนนั้นไม่ธรรมดา”
“คุณกำลังจะพูดอะไรครับ”
รถแล่นมาถึงหน้าบ้านพอดี ทัตพลชะลอรถลง
“พูดในสิ่งที่ซีก็กำลังคิดไง
ไม่เอาน่าซีเราสองคนหัวสมัยใหม่กันทั้งคู่อยู่แล้วนี่
ความรักจะไปแบ่งเพศกันได้ยังไง เราใช้ใจวัดความรู้สึกกันไม่ใช่เหรอ”
ภูวดลมองคนพูดอย่างชั่งใจ
ก่อนก้าวลงไปเปิดประตูรั้วให้ ทัตพลเลื่อนรถเข้ามาจอดไว้ด้านในเปิดท้ายรถหยิบถุงกับข้าวแล้วเขาสองคนก็เดินเข้าบ้านไปด้วยกัน
วันนี้วันอาทิตย์ที่แกลเลอรี่หยุด
“ซี”
เสียงทุ้มเรียกขึ้นจากด้านหลัง ภูวดลหันมองก่อนวางข้าวของที่ซื้อมาลงที่โต๊ะในครัว
“พี่มีเรื่องจะสารภาพกับซี”
เขาไม่อยากปิดบังภูวดลอีกแล้ว
คนเราควรคบกันด้วยความจริงใจ ไม่ว่าจะคบในฐานะอะไรก็ตาม
“เรื่องอะไรครับ”
ภูวดลถามอย่างไม่ใส่ใจนัก
เขากำลังคิดเรื่องที่ทัตพลพูดเรื่องธาราธารกับวารินไว้ก่อนหน้า
“ซียังจำได้ใช่ไหม
วันนั้นที่พี่พาทรายเค้าไปทำธุระที่พังงาแล้วเราเลทออกไปอีกวัน”
ภูวดลพยักหน้าเบา
ๆ หันมองคนพูดที่ยืนทิ้งระยะกับเขาพอสมควร สีหน้าแสดงความจริงจัง
“ความจริงมีเรื่องสำคัญเกิดขึ้นที่นั่น
ทำให้เราต้องเลื่อนวันเดินทางกลับ”
“ครับ” แล้วยังไง
“พี่กับทราย
เราโดนวางยา ความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืนที่เกิดขึ้นรู้ไปถึงหูของภัครจิราและธาราธาร
นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ภัครต้องตกอยู่ในสภาพแบบนั้น”
.
.
.
รถจอดลงบริเวณตึกห้องแถวไม้ห่างจากใจกลางตัวเมืองไม่มากนัก
ธาราธารก้าวลงไปยืนอยู่ข้างรถทอดสายตามองไปรอบ ๆ แถวนี้เขาไม่เคยมาเลยด้วยซ้ำไม่น่าจะมีพื้นที่แบบนี้ในเขตกรุงเทพอีกแล้ว จะว่าไปมีส่วนคล้ายห้องแถวโบราชแถว ๆ
เยาวราชมากอยู่ มีคุณยายแก่
ๆนั่งแคะขนมครกขายอยู่ถัดออกไปสามสี่ห้อง เด็กๆกลุ่มเล็กวิ่งไล่จับเสียงดังเจื้อยแจ้ว
“ธารว่าที่ตรงนี้สวยไหม”
ชนาธิปเดินเข้ามาใกล้แล้วถามขึ้น
“ก็ดีนะ”
“ธิปว่าจะเวนคืนทั้งหมดแล้วสร้างเป็นห้างสรรพสินค้า
ที่แถวนี้ถ้าหากมีห้างใหญ่ครบวงจรมาลง จะต้องสร้างรายได้มหาศาลแน่ ๆ”
“แล้วคนพวกนั้น
นายคิดจะทำยังไงกับพวกเขา” เขาพยักเพยิดหน้าไปทางชาวบ้านที่กำลังดำเนินกิจวัตรประจำวัน
“ก็แค่ให้เงินทดแทนบ้างเล็ก
ๆ น้อยแล้วก็ให้ออกไปซะ ยังไงที่ดินตรงนี้ธิปก็มีสิทธิ์เต็มที่อยู่แล้ว
ส่วนเขาจะไปอยู่ที่ไหนต่ออันนี้ก็แล้วแต่ ธิปไม่สนใจหรอก
เขาได้เงินไปแล้วนี่จะไปอยู่ที่ไหนก็ไปเถอะ”
ธาราธารหันมองคนพูดทันที
“ธิปไม่ได้ใจดำนะธาร
แต่คนเรามันต้องก้าวไปข้างหน้าสิ เราเป็นประเทศที่เจริญไปถึงไหนต่อไหนแล้ว
เขตเมืองหลวงยังจะมามีชุมชนเก่า ๆ แบบนี้อยู่ให้ได้อายคนต่างชาติเขาทำไมกัน สู้สร้างคอมเพล็กสวย
ๆ หาเงินเข้าจากพวกนักท่องเที่ยวหรือพวกนักลงทุนดีกว่า”
จิตใจของชนาธิปช่างแตกต่างจากวารินมากจริง
ๆ ธาราธารคิดได้ทันทีเลยว่าถ้าเป็นวาริน
คงจะอยากให้คงสภาพชุมชนแบบนี้ไว้ในเขตเมือง มากกว่านำเสนอสิ่งปลูกสร้างหรูหราแบบที่ชนาธิปกำลังว่ามาแน่
“ถ้าธารชอบและก็เห็นด้วย
ธิปจะเร่งดำเนินการให้พวกชาวบ้านเขาออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดเลย”
“เกี่ยวอะไรกับฉัน
นี่มันธุรกิจของบ้านนาย ฉันก็แค่สนใจคิดว่าจะมีที่ดินสวย ๆ
แล้วไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใครก็เลยตามมาดูด้วยก็เท่านั้น”
“สร้างความเดือดร้อนที่ไหน พูดอย่างกับธิปจะไม่จ่ายเงินทดแทนให้เขาอย่างงั้นแหละ ธิปอยากชวนธารมาร่วมหุ้นโครงการกันนะ ถ้าธาร....”
“ไม่ต้องพูดแล้ว” เขาสวนขึ้นทันที “เพราะฉันไม่คิดที่จะร่วมหุ้นร่วมโครงการอะไรกับนายทั้งนั้น”
เขาว่าจบเปิดขึ้นไปนั่งบนรถ สตาร์ทเครื่องรอ ความจริงไม่ได้อยากจะออกมากับชนาธิปเลยสักนิด
แต่ติดตรงวารินไม่ทักท้วงเอาไว้ เขาเลยประชดออกมามันเสียเลย
เกลียดตัวเองที่นิสัยเสียแบบนี้จริง
ๆ
“ไม่เอาน่าอย่าอารมณ์เสียสิ
ไม่ชอบก็ไม่ชอบ เดี๋ยวถ้ามีโครงการดี ๆ ธิปจะลองมาบอกธารดูบางทีเราอาจมีโอกาสได้ร่วมมือกันทำอะไรบ้างก็ได้”ชนาธิปยังพล่ามต่อขณะที่เขานั้นเฉยไปนานแล้ว
ตั้งหน้าตั้งตาขับรถ
“เราแวะทานข้าวกันก่อนกลับนะ
ธิปอยากทานอาหารอิตาเลี่ยนน่ะ” เมื่อเห็นว่าเขาไม่ตอบโต้อะไร
ชนาธิปเริ่มอ้อนเขาทันที ใบหน้าเล็กซุกเข้ากับแขนเขาแล้วเอื้อมกอดที่ไหล่กว้างนั่น
“ทำอะไรของนาย!
ฉันขับรถอยู่นะ”เขาว่าอย่างรำคาญเบี่ยงตัวออกเท่าที่จะทำได้แต่อีกฝ่ายยังตื้อไม่เลิก
ถึงขนาดจับแขนเขาขึ้นมาแล้วงับเล่นลงไปไม่เบาเลย
“นี่! มันเจ็บนะ
นายทำบ้าอะไรเนี่ย!” เขาบิดแขนออกแล้วผลักอีกคนจนเซไปชนประตู
“อย่าเล่น! รถเยอะเห็นบ้างไหมเนี่ย”
ชนาธิปตื้อจนเขาต้องพามาทานข้าว
ปิดท้ายด้วยไอศกรีมอิตาเลี่ยนถ้วยใหญ่ ชนาธิปตัวเล็กแต่ทานจุมากกว่าวารินเสียอีก
เขานั่งมองอย่างเซ็งกว่าจะได้กลับถึงบ้านก็เกือบจะค่ำ
“ขอบคุณมากนะธาร
วันนี้ธิปมีความสุขมากเลย อาหารอร่อยมากเดี๋ยววันหลังธิปแวะมาหาอีก”
เมื่อรถจอดลงที่หน้าบ้านชนาธิปรีบลงแล้วเดินอ้อมมาหา
“รีบกลับไปได้แล้วไป
ฉันรำคาญนายจะแย่ ทางที่ดีอย่าได้มาอีกจะขอบคุณมากเลย”
“ธารอ่ะใจร้าย พอมาถึงบ้านแล้วไล่เชียวนะ กลับแล้วก็ได้ บาย”
เขาว่าแล้วจับรถขับออกไป
ธาราธารเดินเข้ามาด้านในเห็นดาวเก็บถาดอาหารของภัครจิราผ่านลงมาจากด้านบนพอดี
“พี่ทรายล่ะดาว”
“พี่ทรายออกไปสวนฯกับพี่เตยังไม่กลับกันเลยค่ะ”
“ออกไปกันตั้งแต่กี่โมง”
“หลังจากคุณธารออกไปน่ะค่ะ”
ไม่รอให้นับดาวพูดจบ
เขาล้วงโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาทันที เรียกอยู่สามสี่ครั้งปลายสายก็กดรับ
“จะกลับมากินไหม
ข้าวที่บ้าน หรือว่าจะไปดินเนอร์กับไอ้เตมันพรุ่งนี้ถึงจะกลับได้”
“ธาร! พูดอะไรให้มันดีนะ”
“ก็แล้วยังไงล่ะ
เดินซื้อต้นไม้กันถึงซอยไหนไม่ทราบ ตั้งแต่บ่ายจนมืดค่ำแบบนี้ต้นไม้ยังไม่ได้ลงที่แปลงสักต้น
นี่รึเปล่าที่ไล่ให้ผมออกไปกับชนาธิปเพื่อที่พี่จะได้ออกไปกับเตมันสองคนใช่ไหม”
-ติ๊ด-
วารินกดวางสายใส่ทันที
ธาราธารถึงกับเขวี้ยงโทรศัพท์ลงบนโซฟาแล้วทิ้งตัวนั่งลงไปอย่างแรง หัวเสียอย่างที่สุด
รู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่ชอบให้ไปไหนมาไหนกับเตโชวารินก็ยังคงทำ
“คุณธารให้ตั้งโต๊ะเลยไหมคะ”
นับดาวช่างไม่รู้เวล่ำเวลา เดินเข้ามาถาม
“ไม่ต้อง!
ฉันกินมาแล้ว กินกับแฟน!ฉันเอง”
ปากที่ช่างประชดประชันของเขาพูดออกไปแบบนั้น
แต่นับดาวดันคิดไปว่าเขาพูดเป็นจริงเป็นจัง เธอจึงมองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ คุณชนาธิปเป็นแฟนคุณธาร?? แล้วพี่ทราย??
อีกฝากหนึ่งของเมือง
“คุณธารโทรมาตามเหรอครับ” เสียงเตโชถามขึ้นข้าง
ๆ เรียกสติวารินกลับมาอีกครั้ง
หลังกดวางสายไปเขากำลังคิดเรื่องของธาราธารกับชนาธิป
“จวนจะเสร็จรึยังล่ะนายเต
ซ่อมมาตั้งแต่บ่ายแล้วนะ”
“คุณทรายเรียกแท็กซี่กลับก่อนไหมครับ
เดี๋ยวผมเฝ้ารถเอง เสร็จเมื่อไหร่ผมค่อยกลับ”
“ไม่เอาหรอก
มาด้วยกันก็ต้องกลับด้วยกันสิ ฉันไม่ทิ้งนายเตแน่นอน หิวไหม
ออกไปนั่งกินอะไรแถวๆนี้กัน”
“ครับ” ที่อู่นี้รถค่อนข้างเยอะเขาสองคนต้องรอนานหน่อย
เตโชเดินเข้าไปบอกพนักงานว่าเดี๋ยวจะกลับมาเอารถ
ไปหาอะไรรองท้องแถวนี้ก่อน ช่างฟิตที่มนุษยสัมพันธ์ดีจึงแนะนำร้านเพิงข้าง ๆ
ให้ทั้งสองคน บอกอร่อยแล้วก็สะอาด
.
.
“โอ๊ยยย
โอ๊ยย โอ๊ย เจ็บๆ ซีเบา ๆ หน่อยสิ”
ทัตพลร้องโวยวายดังลั่นอย่างกับเด็ก
ๆ เมื่อภูวดลแตะสำลีลงที่มุมปากเขียวอื๋อของเขา มีเลือดซิบ ๆ ออกที่มุมปากด้วย
ภูวดลหมัดหนักมากจริง ๆ
“สมน้ำหน้าคุณจริง
ๆ นี่ครับ โดนแค่นี้มันยังน้อยไป”
“โถ่ซีแล้วพี่ตั้งใจเหรอ
ถ้าเลือกได้ใครมันจะอยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นกันเล่า ซีมือหนักจริง ๆ ”
“ไม่ได้หนักแค่มือนะครับ
บอกเลย”
“กลัวแล้วครับ
ไม่ทำอะไรแบบนั้นอีกแล้ว ไม่ไปกับใครในที่แบบนั้นสองคนอีกแล้ว ไปกับซีได้คนเดียว”
“คุณน่ะก็พูดเล่นไปเรื่อย คุณทำให้น้องชายผมเสียหายนะ
ผมนึกสงสัยตั้งแต่กลับมาจากพังงานแล้ว ทรายดูแปลกไป
ยิ่งพอคุณภัครเธอมาป่วยผมยิ่งแปลกใจที่อยู่ ๆ ทรายมาบอกผมว่าจะไปอยู่ดูแลเธออยู่ที่นั่นทั้งที่เป็นแค่เจ้านายกับเลขา ทรายคงจะรู้สึกผิดแล้วก็โทษตัวเองอยู่ตลอด”
“ในขณะที่พี่กลับหนีจากจุดนั้น
พี่มันขี้ขลาดมากใช่ไหม”
“ผมไม่รู้ครับ คุณเองก็คงจะมีเหตุผลของคุณอยู่ ว่าแต่
ไอ้คนที่ทำเรื่องขึ้นมาคุณไม่คิดที่จะลงโทษเขาหน่อยเพรอครับ”
“เท่าที่เขาเป็นอยู่ตอนนี้ก็ถือว่ากำลังรับโทษทัณฑ์ของเขาอยู่แล้วล่ะซี ส่วนพี่ก็สมควรแล้วที่สุดท้ายจะไม่เหลือใครเลย
กระทั่งลูกก็ยังไม่ยอมเรียกว่าพ่อสักคำ น่าสมเพชเนอะ”
“หึ
สมน้ำหน้าคุณจริง ๆ ครับ” เขาทาบพลาสเตอร์ยากดหนัก ๆ ปิดลงที่แผล
“โอ๊ยยย เจ็บๆ จริงๆ นะ เบาหน่อย”
“วันนี้คุณไม่ต้องกินข้าวนะ
ผมไม่อยากจะทำอะไรให้คนอย่างคุณทานทั้งนั้นแหละ”
“เดี๋ยวพี่ทำเองก็ได้
วันนี้จะทำให้ทุกอย่างเลย
พี่ไม่เหลือใครแล้วจริง ๆ อย่าไล่กันเลยนะครับ”
.
.
“พี่ทราย
มาแล้วเหรอจ๊ะเห็นพี่เตโทรมาบอกว่ารถเสีย กินข้าวกันมาหรือยัง” นับดาวพอเห็นรถเข้าจอดปุ๊ปก็รีบวิ่งออกมาดูทันที
“กินกันแล้ว คุณธารกลับมาแล้วเหรอ หาอะไรให้กินรึยัง”
วารินมองเห็นรถธาราธารจอดนิ่งอยู่ใกล้ ๆ จึงถามขึ้น
“คุณธารบอกกินมาแล้ว
ดาวไม่ชอบเลยพี่ทรายดาวไม่ชอบไอ้คุณชนาธิปนั่น
มาหาคุณธารถึงที่บ้านแล้วยังพาออกข้างนอกกว่าจะกลับมากันอีก พอดาวถามนะว่าคุณธารทานข้าวเลยไหมดาวจะได้ตั้งโต๊ะ รู้ไหมคุณธารเธอตอบดาวว่าไง ‘ไม่ต้อง! ฉันกินมาแล้ว กินกับแฟน!ฉันเอง’ ทำไม้ทำไม
คุณธารถึงไปชอบคนแบบนั้นได้ก็ไม่รู้ ถึงขนาดเอ่ยปากว่าเป็นแฟนทั้งที่ไม่เคยเรียกพี่ทรายของดาวว่าแฟนเลยสักครั้ง พี่ทรายน่ารักกว่าตั้งเยอะเลย ดาวน่ะ......”
“ดาว!” เตโชร้องปราม “พอได้แล้ว พูดมากอะไรน่ะไม่เข้าท่าเลย
เอาของเข้าบ้านเร็ว” แค่นี้เขาก็สังเกตเห็นแล้วว่าสีหน้าวารินสลดลงแค่ไหนตอนที่นับดาวทำเสียงล้อเลียนคำพูดของธาราธาร
นับดาวช่างปากไม่มีหูรูดจริง ๆ
ทั้งวารินเตโชและนับดาวเดินตามกันเข้ามาในบ้าน
วารินยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูสองทุ่มเศษ
รู้สึกวันนี้เสียเวลามากจริง ๆ กับการนั่งไร้ค่าอยู่ที่อู่ซ่อมรถ
“ไอ้เต!” เสียงทุ้มเรียกเตโชขึ้นทั้งดังทั้งห้วน
ทั้งสามคนหยุดชะงักทันที ธาราธารนั่งไขว่ห้างหน้าตาเครียดขึงอยู่ที่เก้าอี้ชุดยาว
“ครับ”
เตโชตอบรับ ร่างสูงใหญ่พอๆกับคนที่ถูกเรียกลุกขึ้นแล้วเดินหน้าเข้าหา
“มึงกินข้าวมาหรือยัง?”
“ทานเรียบร้อยแล้วครับ”
“แล้วมึงไปกินที่ไหน
ร้านซ่อมรถมีข้าวให้มึงกินฟรี ๆ ด้วยเหรอ?”
“ธาร!” วารินเรียกขึ้นทันที
รู้สึกบรรยากาศระหว่างคนถามและคนถูกถามชักแปลกๆแล้ว
“ผมทานที่ข้าง
ๆ อู่น่ะครับ”
“อย่างนั้นหรือ แล้วต้องให้กูถามไหม ว่ามึงนั่งกินคนเดียวหรือนั่งกินกับใคร”
เตโชมองไปที่วารินทันที เขาเริ่มรู้แล้วว่าธาราธารเป็นอะไร
“พี่กับนายเต.....”
“ผมไม่ได้ถามพี่!” เขาตะคอก สายตาเครียดขึงยังจับอยู่ที่เตโชไม่ให้หลุดไปไหนได้
“ไหนมึงลองตอบกูมาซิ
มื้อเย็นวันนี้มึงกินข้าวกับใคร!”
“กับคุณทรายครับ”
“แล้วทั้งวันของวันนี้
มึงใช้เวลาอยู่กับใคร”
“กับคุณทรายครับ”
“แล้วมึงคิดว่าถ้าคืนนี้กูไม่กลับมาค้างที่บ้าน
มึงจะใช้เวลาที่เหลือตอนกลางคืนทั้งหมด อยู่กับใคร!”
เพี๊ยะ!!!
เสียงสะบัดฝ่ามือใส่ใบหน้าคมเข้มดังกังวานไปทั่วทั้งห้อง
ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นบรรยากาศรอบตัวเงียบกริบ
วารินที่เดินเข้าไปหาเขาแล้วฟาดฝ่ามือลงที่แก้มบดเบียดนิ้วจนแดงช้ำ
กรามเล็กข่มแน่นกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลตกลงมา ธาราธารยังไม่หันใบหน้ากลับมา ดุนดันลิ้นรับรสเลือดฝาดจากภายใน
จนในที่สุดเขาค่อย ๆ หันกลับมาจดจ้องลงที่ใบหน้าเล็ก
“ก็แล้วธารจะกลับมาทำไมกันล่ะ
ถ้ารู้ว่าจะกลับมาแล้วทำลายความสุขสมหวังของพี่กับนายเตขนาดนั้น ธารจะกลับมาทำไม
ทำไมไม่ค้างคืนกับคนที่ธารเรียกเขาว่าแฟนได้เต็มปากเต็มคำคนนั้นไปเลย
กลับมาขัดขวางคืนวันอันแสนสุขของพี่กับนายเตทำไม!”
วารินเดือดสุดทั้งเรื่องจริงเรื่องโกหกว่าประชดออกไปไม่มีกั๊ก
“พี่ทราย!”
เขาเองก็ขึ้นแล้วเหมือนกัน ทั้งเตโชทั้งนับดาวที่อยู่ตรงนั้นต่างรีบถอย
“เรียกทำไม! พี่ชื่อทรายอยู่แล้วไม่เคยเปลี่ยนเลย จะบอกอะไรดี ๆ ให้นะ
ที่ยอมมาตลอดเพราะพี่ทำผิดจริงถึงจะเกิดขึ้นด้วยความไม่ตั้งใจแต่ก็ถือว่าพี่ผิดเพราะผลของมันร้ายแรงมาก
แต่ถ้าเป็นเรื่องที่พี่ไม่ได้ทำอะไรผิดเลยเหมือนอย่างวันนี้ธารอย่าคิดว่าจะมารังแกพี่ได้”
เขาคว้าหมับเข้าที่ข้อมือเล็กแล้วบีบจนแขนเล็ก
ๆ สั่นเทิ้ม วารินจ้องหน้าเขานิ่งแต่ไม่มีเสียงร้องให้ได้ยินสักแอะ
ดวงตาที่จ้องมองเขานั้นก็ไม่มีแววหวาดกลัวเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว ในที่สุดเป็นคนทำที่ทนไม่ไหวกระชากแขนแล้วดึงอีกคนขึ้นไปข้างบนด้วยกันเปิดประตูห้องโยนโครมร่างเล็ก
ๆ ลงบนเตียง
“ขี้ขลาด!” วารินตะโกนลั่น
“พอไม่ได้ดั่งใจก็จะทำร้ายกันแต่แบบเดิม ๆ อยากได้นักใช่ไหม!
อยากได้แค่เรื่องแบบนี้ใช่ไหม! อยากได้แค่ร่างกายกันใช่ไหม!”
“พี่เป็นของผม”
เขาปลดกระดุมลงเดินหน้าเข้าหาด้วยแววตาที่ลุกโชน
อย่าคิดว่าครั้งนี้วารินจะกลัว
ร่างเล็กลุกขึ้นยืนประจันหน้าเขาแล้วกระชากเสื้อตัวเองออกทันทีเหมือนกัน
ผิวขาวนวลโผล่พ้นสาบเสื้อที่ขาดลุ่ย กระดุมสองสามเม็ดบาดผิวอ่อนปลิวว่อนลงที่พื้น
“ถ้าอยากได้กันแค่เรื่องแบบนี้ก็เข้ามาเอาพี่เลย
จะนอนให้เอาดี ๆ แต่ขออะไรอย่างนะ
เอาเสร็จแล้วปล่อยพี่ออกไป นับจากวันนี้เราสองคนจะเกี่ยวข้องกันแค่เรื่องร่างกายเท่านั้น!
ธารจะไม่มีวันได้อย่างอื่นจากพี่อีกแล้ว อยากได้ก็เข้ามาเลย! เอาไปให้หมด
ไม่มีส่วนไหนของพี่ที่จะรอดจากมือธารได้อยู่แล้ว มีแต่หัวใจพี่เท่านั้นที่พี่จะไม่มีวันยกให้ธาร
ไม่มีวัน!”
น้ำตาไหลตกลงมาทั้งที่กลั้นไว้แล้วแท้
ๆ ร่างเล็กล้มลงนอนทอดกายรออยู่บนเตียง ขณะที่อีกคนกลับหยุดชะงักอยู่ตรงนั้นกระดุมเสื้อถูกปลดออกได้แค่สี่เม็ดเท่านั้นคำพูดวารินกระแทกกลางใจเขาอย่างจัง
ใบหน้าที่นอนร้องไห้ทอดกายรอเขาอยู่ที่เตียงกว้างแค่เอื้อมมือไปก็ถึงแล้ว แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าความรู้สึกของวารินตอนนี้ช่างห่างไกลเกินจะไขว้คว้ามาได้เหลือเกิน
“ทำไมไม่ทำล่ะ
ทำไมไม่เดินเข้ามา”
เสียงเบาหวิวจากบนเตียงเอ่ยขึ้น
หากแต่เขายังคงยืนเฉยอยู่อย่างนั้น
“ทำอย่างที่ธารตั้งใจสิ
ทำลายพี่ ทำให้พี่เสียใจ ตอกย้ำคำว่าร้ายของธารให้พี่ได้รับรู้ถึงความเจ็บปวดตอบสนองความโกรธของตัวเอง
ทำสิ!ทำไมถึงไม่ทำ!! ยืนเฉยอยู่ทำไม!!!”
วารินลุกขึ้นนั่งแล้วกระชากเสื้อตัวเองจะถอดออกจากร่างอย่างไม่มีอีกแล้วคำว่าสติ
เสื้อผ้าที่ขาดวิ่นขูดผิวขาวจนแดงช้ำแต่วารินก็ยังไม่ยอมหยุด
ทั้งสะอึกสะอื้น ทั้งพยายามกระชากออกด้วยมือเล็ก ๆ แบบนั้น น้ำตาไหลอาบลงมาไม่ยอมหยุดเขาพูดจาทำร้ายหัวใจกันมากมายเหลือเกิน
สุดท้ายคนที่ทนไม่ได้เมื่อเห็นการกระทำที่ทำร้ายตัวเองแบบนั้นก็ถลาเข้ามากอดคนตัวเล็กไว้หมดทั้งตัว
“พอแล้ว พอแล้วพี่ทราย พอแล้วไม่ทำนะ ไม่ทำร้ายตัวเองแบบนี้ ผมขอโทษ ผมผิด
ผมมันหึงจนหน้ามืดไปหมด ไม่ทำแล้ว จะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว ขอโทษครับ ขอโทษนะคนดี
พอแล้วไม่ดึงนะ”
เขาเอ่ยร้อนรนพรั่งพรูคำพูดจากใจจนหมดสิ้นเมื่อเห็นวารินทำกับร่างกายตัวเองแบบนั้น
มือใหญ่ของเขาเข้ากันไม่ให้วารินฉีกกระชากเสื้อตัวเองได้อีก จากนั้นจึงกอดร่างเล็กไว้แน่นจนตัวเขาสั่น
“พอแล้วครับ
อย่าทำแบบนี้อีก ผิวถลอกหมดแล้วเดี๋ยวต้องทายานะ”
เขากอดวารินไว้แนบอก
ใบหน้าเล็กที่เปื้อนคราบน้ำตาซุกเข้าที่แผงอกแกร่งราวลูกแมวน้อย
แต่ใครเลยจะรู้ว่า
มีบางคนแอบอมยิ้มร้ายเมื่อจับจุดเขาได้ถูกทาง
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
คนอย่างธาราธาร ถ้าเขาจะร้ายใส่เรา เราต้องร้ายใส่ตัวเองก่อนแล้วเขาจะสงบลงได้
มือแข็งแกร่งจะค่อยเลื่อนประคองไหล่เล็กออกมาเพื่อให้เขาได้มองหน้าวารินได้ชัดขึ้น
ตากลมสวยเผลอสบประสานสายตากับนัยน์ตาหวานฉ่ำที่กำลังจ้องมองเขาอยู่ ก่อนที่ใบหน้าหล่อเหลานั้นจะค่อย
ๆ โน้มลงมาใกล้ชิดพร้อมกับประทับจูบลงบนริมฝีปากนุ่มแสนหวาน
มันเริ่มต้นจากความอ่อนโยนแปรเปลี่ยนเป็นหนักหน่วงแต่ยังคงความหวานล้ำอยู่ในที
....เขาจูบเก่งเหลือเกิน....
ความโกรธเคืองทั้งหมดพลันสูญสลายหายไปสิ้นแค่ได้ลิ้มรสจุมพิตจากเขาเท่านั้น วารินสะท้านไปทั้งร่างจูบตอบไปด้วยหัวใจที่เปี่ยมล้น
ปลายลิ้นนุ่มนิ่มเกี่ยวกระหวัดพัวพันกับปลายลิ้นเร่าร้อนของเขาจนแทบหลอมละลายเป็นเนื้อเดียวกัน เขายกสองมือประคองใบหน้าเล็กให้รับรสจูบของเขาให้เนิ่นนานสมกับที่ทำให้เขาคิดถึงมาทั้งวัน
วารินส่งเสียงครางในลำคอเบา ๆ ด้วยความหวามหวานซ่านทรวง
ขณะที่เขาค่อยบรรจงถอนจูบช้า ๆ แล้วใช้ปลายนิ้วไล้โครงหน้าสวยของอีกคน
.....พี่ทราย.....
ดวงตาสองคู่ยังไม่ยอมละออกจากกัน
เขาอยากใช้มันเผยความในใจบางอย่างให้กับอีกคนได้รู้ ยากนักที่จะเอ่ยคำนั้นออกมาได้อีกครั้ง
หากแต่ความรู้สึกนั้นนำพาหัวใจเขาก้าวไปหลายขุมแล้ว
“พี่ถามอะไรธารอย่างหนึ่งได้ไหม”
เป็นวารินที่เอ่ยขึ้น “ทำไมธารต้องทำแบบนี้กับพี่อยู่ตลอด
ตอบได้ไหมว่าทำไมถึงต้องทำ”
“...........”
เขาจ้องนัยน์ตากลมแน่นิ่ง
สื่อความรู้สึกทุกๆอย่างในหัวใจลงไป
น่าเสียดายเคยมีคนบอกไว้ว่า
‘หากไม่พูดไป คงไม่มีใครรู้ได้’ แต่เขาก็ยังเลือกที่จะเงียบ
มันยังเร็วไปไหม
ที่จะเอ่ยคำๆนั้นอีกสักครั้ง....เขาเฝ้าถามตัวเองมาตลอด
ลืมได้แล้วแน่หรือ...ทั้งภาพและความรู้สึกที่เลวร้ายเหล่านั้น
เมื่อเราสองคนจะต้องผ่านมันไปด้วยกันจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต
เขาอยากจะใช้เวลานานกว่านี้อีกสักหน่อย...เพื่อเคลียร์ความรู้สึกทุกอย่างของตัวเองให้เต็มร้อย
ก่อนที่จะเอ่ยคำๆนั้นออกมา....อีกสักครั้ง.......คำว่า ‘รัก’
“ธาร......ธารจะพิสูจน์ตัวเองได้ไหม”
นี่คือการตัดสินใจครั้งสำคัญของวาริน
ถ้าหากเขาทั้งคู่อยากจะก้าวข้ามวันคืนที่เลวร้ายไปด้วยกันให้ได้ จำเป็นต้องก้าวข้ามสิ่งสำคัญสิ่งนี้ไปให้ได้เช่นกัน
‘กิเลส การรอคอย และการให้อภัย’
“นับจากวันนี้เป็นต้นไป เราจะไม่มีอะไรกันอีกจนกว่าธารจะบอกได้ว่า
พี่เป็นอะไรกันแน่สำหรับธาร?”
เขามองที่วารินทันที
สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“พี่รู้พี่ทำผิดมากมายจนยากที่จะให้อภัยและคงจะทำให้ธารแคลงใจในความรู้สึกอยู่ตลอด
แต่ไม่ใช่ว่าที่ผ่านมาพี่ไม่เจ็บปวด พี่ไม่เคยตอบโต้ไม่เคยแก้ตัว ในวันที่ธารโมโหใส่ความโกรธแค้นถาโถมลงมาที่พี่ เมื่อรู้เรื่องราวความผิดพลาดระหว่างพี่กับคุณทัตพล
เพราะความผิดที่พี่ทำ ถึงแม้จะทำไปโดยไม่ตั้งใจแต่ผลของมันกระทบถึงใครหลายคนมากมายโดยเฉพาะคุณแม่ของธาร..........แต่ธารอาจจะลืมอะไรไปอย่าง
แล้วความรู้สึกของพี่ล่ะ? ความรู้สึกของคนที่ต้องกอดกับคนที่ตัวเองไม่ได้รัก
ความรู้สึกของคนที่ต้องโดนคนที่ตัวเองรักข่มขืน ความรู้สึกของคนที่ต้องถูกคนที่ตัวเองรักปล่อยทิ้งไว้กลางทางมืด
ๆ ในคืนที่ฝนตก ทั้งเหน็บหนาว โดดเดี่ยว ธารอาจกำลังคิดว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่ธารลืมเรื่องเลวร้ายวันนั้นได้
แล้วเราจะกลับมาเริ่มต้นกันใหม่อีกครั้ง แต่ธารจะไม่ถามพี่สักคำหน่อยเหรอ
ว่าพี่ลืมเหตุการณ์เลวร้ายต่าง ๆ ที่ธารทำกับพี่ได้บ้างหรือยัง”
“พี่ทราย!” เขาเงยหน้าขึ้นมองวารินทันทีหลังจากก้มหน้าครุ่นคิดอยู่นาน
เสียงเรียกชื่อสั่นสะท้านจนวารินนึกกลัวว่าเขาจะร้องไห้ออกมา
“พี่เข้าใจดีถึงความรู้สึกของธาร
มันยากแค่ไหนที่จะลืม พี่รู้ดี พี่เข้าใจ”
วารินยกสองมือประคองใบหน้าเขาไว้
สบสายตาแสดงความจริงจังและจริงในถ้อยคำที่เอ่ย
“นั่นคือความรู้สึกทั้งหมดของพี่ พี่อยากให้ธารคิดและตรึกตรองให้ดี ตอบตัวเองให้ได้ว่าจริง ๆ แล้ว สำหรับธาร............พี่เป็นอะไร?”
สำคัญแค่ไหน...สำคัญพอที่ธารจะอภัยให้พี่ได้หรือเปล่า
ธาราธารนิ่งเงียบไปคล้ายครุ่นคิดหนักหน่วง
เบนสายตาออกไปที่บานหน้าต่างกระจกใส
มันแน่นอนอยู่แล้ว
ว่าเขารักวาริน
มันแน่นอนอยู่แล้ว
วารินเป็นมากกว่า ‘พี่เลี้ยง’
ดวงจันทราที่ส่องอร่ามอยู่บนท้องฟ้าถูกประดับประดาด้วยแสงสีขาวระยิบระยับนับล้านดวง
ม่านหน้าต่างสีขาวบางเบาพริ้วไสว
ใครกันที่เคยบอกไว้....ลูกผู้ชายไม่มีน้ำตา
ไม่จริงแม้แต่นิดเดียว
เขาดึงวารินเข้ามากอดไว้แนบอกช้า
ๆ ดวงตาคู่สวยมีน้ำตาเอ่อคลอ นึกถึงคืนวันเก่าก่อน
รอยยิ้มที่เคยมีให้เขาเสมอเริ่มจางหายไปตั้งแต่เขาเริ่มใส่ทิฐิความโกรธแค้นลงที่คน
ๆ นี้ เขารู้ดีว่าวารินคงจะเสียใจต่อการกระทำในอดีตอันเลวร้ายของเขา
นอกจากจะไม่มีอะไรน่าจดจำแล้วยังฝังลึกไปด้วยบาดแผล แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อเขาไม่สามารถดึงอดีตกลับมาไขใหม่ได้แล้ว
“ผมรู้ว่าอดีตแก้ไขไม่ได้”
ริมฝีปากนุ่มจูบลงที่กลุ่มผมหอม วารินกำลังตั้งใจฟังสิ่งที่เขากำลังจะพูด
“ผมอยากขอโอกาสจากพี่อีกสักครั้ง แค่ครั้งเดียวเท่านั้น”
เขาดึงวารินออกจากอ้อมอก
เพื่อเผชิญหน้ากับเขาตรง ๆ อีกครั้งดวงตาสีเข้มร้อนผ่าวจดจ้องลึกเข้ามาในดวงตากลมโตของอีกคน
นัยน์ตาคู่สวยสั่นไหวต่อคำร้องขอของคนตรงหน้า จริงอยู่ที่วารินไม่เคยแสดงออกว่าเขาโกรธแค้นธาราธารที่ปฏิบัติต่อเขาเช่นนั้นเลย
หากแต่บาดแผลในใจก็ยากที่จะลบเลือนออกไปได้เช่นกัน
“ขอให้ผมได้ใช้มันเพื่อดูแลพี่
นับจากนี้”
สีหน้าและน้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความวิงวอน
ไม่อาจอดกลั้นได้อีกต่อไปเมื่อน้ำตาแห่งความบีบคั้นไหลกลั่นออกมา
เขาเริ่มเข้าใจความรู้สึกที่แท้จริงของตนเอง เขาทำให้คนที่ตัวเองรักเจ็บช้ำมากมายขนาดไหน
ใบหน้าของเขาพร่าเลือนไปด้วยหยาดหยดแห่งความเจ็บปวดรวดร้าวกับสิ่งที่เขากระทำ
เพราะวารินไม่เคยพูดเขาจึงไม่เคยรู้.....เขามันโง่ที่ไม่ฉุกใจคิดสักนิด!
ไม่แปลกใจเลย ถ้าหากวารินจะไม่ยอมยกโทษให้เขาคนนี้อีกต่อไปแล้ว
ยิ่งคิดน้ำตาก็ยิ่งไหล
นี่คงเป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่เขาจะร้องไห้อย่างหมดอายได้แบบนี้
มือเล็กยกขึ้นปาดน้ำตาออกให้เขาอย่างเบามือ เขารู้แล้วรักคืออะไร เขารู้แล้ว ‘การให้อภัย’ สำคัญที่สุดสำหรับเรื่องราวความรักของเขาทั้งสองคน
“.....ผมรักพี่.....”
ในที่สุดเขาก็เอ่ยคำ ๆ
นี้ขึ้นมาอีกครั้ง
หากแต่คราวนี้ช่างเจ็บปวดนัก
เพราะวารินส่ายหน้าปฏิเสธ เขาที่มองเห็นอย่างนั้นถึงกับใจหล่นวูบ
“ยังหรอกธาร ธารต้องพิสูจน์ตัวเองกับพี่ก่อน”
เขาหวนนึกถึงคำพูดเมื่อสักครู่นี้ทันที
“นับจากวันนี้เป็นต้นไป
เราจะไม่มีอะไรกันอีก จนกว่าธารจะบอกได้ว่า พี่เป็นอะไรกันแน่สำหรับธาร?”
“ลองก้าวข้ามมันไปด้วยกัน
ลองดูว่าถ้าระหว่างเราไม่มีเรื่องแบบนั้นมาข้องเกี่ยว
ธารยังจะรักพี่ได้เหมือนที่ธารพูดออกมาวันนี้หรือเปล่า
พี่เองก็อยากจะเคลียร์ความรู้สึกตัวเอง อยากจะอยู่ด้วยกันโดยไม่รู้สึกต่างฝ่ายต่างกินแหนงแคลงใจกันอีก”
“ธารจะทำให้พี่ได้ไหมครับ......เด็กดี”
ตั้งแต่คืนนั้นเป็นต้นมา
วันคืนที่ล่วงเลย จากคืนล่วงเป็นวัน
จากวันล่วงเลยเป็นเดือน และเวลาหลายเดือนล่วงเลยเป็นปี ทุก ๆ
เช้าวารินจะตื่นมาในอ้อมกอดใหญ่ของเขา ความอบอุ่นอ่อนหวานแผ่ซ่านผ่านผิวกายหอม
เขาทำตามที่สัญญาได้อย่างที่รับปากไว้จริง ๆไม่เคยเกินเลยแม้สักครั้ง สัมผัสที่มอบให้แก่กันเป็นเพียงไออุ่นของผิวกายจากอ้อมกอดของเขาเท่านั้น
*************** จบภาค อิโรติก ******************