บทที่ 5
“พี่ซีมาช่วยขนของเร็ว
ทราย....”
วารินวิ่งเข้าไปที่หน้าร้านแหกปากตะโกนเรียกภูวดลแต่ต้องชะงักกึกกลางครันเมื่อเห็นว่าภูวดลกำลังจดจ่ออยู่กับการวาดรูปที่มีแบบเป็นคนจริง
ๆ นอนโพสท่าอยู่บนโซฟาตัวเก่งของเขา
เด็กหนุ่มคนนั้นถอดเสื้อพาดไว้ที่พนักวางแขนของโซฟา
แล้วทำท่านอนอ่านหนังสืออย่างสบายๆ ขณะที่วารินเดินเข้ามาถึงด้านหลังแต่ภูวดลยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำจนเด็กนั่นยิ้มกว้างชี้มือบอกนั่นแหละพี่ชายเขาจึงได้หันมามอง
“วันนี้พอแค่นี้ก่อนก็ได้ครับ
ไว้วันหลังผมจะแวะมาใหม่แล้วเราค่อยมาต่อกัน”
เด็กหนุ่มตัวเล็กผิวขาวหยิบเสื้อเชิ้ตขึ้นมาสวม
เขาเดินเข้ามาหาภูวดลเพื่อดูผลงานที่ยังวาดค้างอยู่แล้วยิ้มออกมาอย่างพอใจ ภูวดลกำลังจะลุกขึ้นเมื่อเห็นว่าคนข้าง
ๆ ติดรังดุมผิดเม็ด ด้วยความเคยชินในการดูแลวาริน จึงติดกระดุมให้เองใหม่ทั้งหมด
วารินที่ยืนมองอยู่นานรู้สึกวาบโหวงขึ้นในอก
เขาไม่เคยเห็นภูวดลทำแบบนี้กับใครมาก่อนนอกจากตัวเขาเอง
ภูวดลไม่เคยติดกระดุมเสื้อให้ใครนอกจากเขา ไม่เคยรับวาดภาพนิ่งแบบนี้ ที่สำคัญเด็กนี่ถอดเสื้ออีกด้วย
แม้จะเคยมีคนมาติดต่อหลายครั้งแต่ภูวดลก็ปฏิเสธมาโดยตลอด โดยให้เหตุผลว่าเขาอึดอัดเวลาที่ต้องอยู่กับคนแปลกหน้าเงียบๆสองต่อสองเป็นเวลานานๆ
...แล้วทำไม...
“ทราย..ทราย! เหม่ออะไรครับ” ภูวดลโบกมือไปมาแถวใบหน้าน้องชายแล้วยิ้มตลกๆ
“ไหนดูซิซื้ออะไรมากินบ้าง พี่ซีหุงแต่ข้าวไว้แต่ยังไม่ได้ทำกับข้าวเลยนะ”
ชายหนุ่มเดินมารื้อถุงออกดู
“ใครเหรอครับพี่ซีเด็กคนเมื่อกี้” วารินถามเสียงแห้งเขาเดินไปลากโซฟากลับมาไว้ที่ตำแหน่งเดิม
โซฟาที่เขาใช้นั่งมองดูภูวดลวาดภาพลงสีทุกๆคืน
“ลูกค้าน่ะ” ภูวดลตอบสั้นๆแล้วยกของเข้าไปไว้ในครัว
วารินรู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน
คงเป็นเพราะวันนี้เขาสู้รบปรบมือกับธาราธารมาทั้งวันอาจจะทำให้อารมณ์เสียง่าย เห็นอะไรขัดใจไปเสียหมด
พี่ชายเขาแค่ทำงานวาดรูปให้ลูกค้าแต่เขาดันมาคิดมากคิดมายน้อยใจในเรื่องไม่เป็นเรื่อง
ภายนอกวารินดูเหมือนเป็นคนใจเย็นพูดง่ายทำตัวสบายๆ
แต่จริงๆแล้วเขาเป็นคนคิดมากขี้วิตกและหุนหันพลันแล่นพอสมควร
การที่ภูวดลปล่อยให้เด็กคนนั้นเข้ามาเกินขอบเขตของลูกค้าทั้งหมดที่เคยมีมา
...ทำไมไม่อธิบาย...
วารินต้องการแค่คำอธิบาย
เขาอยากรู้เรื่องราวของเด็กนั่นให้มากกว่านี้
ไม่ใช่แค่คำอธิบายสั้น
ๆ ว่า ‘ลูกค้า’
“ทรายมากินข้าวเร็วเข้าพี่ซีอุ่นเรียบร้อยแล้วครับ”
เสียงทุ้มเรียกออกมาจากในครัว
ปลุกวารินออกจากความคิดทั้งหมด เขาสูดลมหายใจสลัดความคิดฟุ้งซ่าน
อย่าว่าแต่ธาราธารตัวเขาเองก็หวงพี่ชายน่าดูเหมือนกัน
“ช่วงนี้เราได้วันหยุดยาวบ้างรึเปล่า”
ภูวดลถามขึ้นขณะที่ตักอาหารใส่จานให้น้องชาย
“ทำไมครับพี่ซีอยากไปไหนเหรอ”
วารินอมยิ้มจะว่าไปเขาไม่ได้ไปเที่ยวกับภูวดลนานมากแล้วไม่รู้คราวนี้นึกยังไงถึงชวน
สองคนถกเถียงกันอยู่นานไม่ลงตัวเพราะภูวดลอยากไปปีนภูที่เชียงใหม่ขณะที่วารินอยากลงใต้เที่ยวทะเล
“ทริปนี้พี่เป็นเจ้ามือเอง”
ภูวดลพูดยักคิ้วขณะที่วารินทำตาโตส่อแววตื่นเต้นเต็มพิกัด “อะไรกันไปรวยมาจากไหนเนี่ย
มีอะไรปิดบังทรายรึเปล่า”
“เรื่องอะไรจะบอก
ทรายทำงานพิเศษได้พี่ซีก็หาแบบพิเศษๆได้บ้างสิ”
วารินใจหายวาบไม่รู้ทำไมเมื่อฟังคำพี่ชายบอก
เขานึกไปถึงเด็กคนเมื่อกี้ทันที
หรืองานพิเศษที่ภูวดลพูดจะหมายถึงรับจ้างวาดภาพนิ่งให้เด็กนั่น
แต่แบบนั้นมันได้เงินเยอะขนาดนั้นเลย?
“วันนี้ทรายขึ้นนอนก่อนพี่นะครับ
พี่ซีขอแก้งานหน่อย อย่างอแงนะ”
ภูวดลยืนล้างจานที่หน้าซิ้งค์
วารินวางแก้วนมที่เพิ่งดื่มเสร็จลงแล้วเข้ามาสวมกอดเอวเขาอยู่ที่ด้านหลัง มือเล็กๆสอดเข้ามาก่อกวนอยู่ในอ่างไม่ให้ทำงานได้ถนัด
“ไม่เอาทรายจะรอ”
วารินอ้อนพี่ชาย คางมนเกยลงที่ไหล่หนาขณะมือเล็กยังก่อกวนอยู่ไม่ยอมหยุด ความรู้สึกกลัวถูกแย่งความรักของพี่ไปยังเปี่ยมล้นอยู่ในใจ
เพราะทรายเป็นเด็กกำพร้าเขาจึงยึดติดกับภูวดลมากกว่าใครคนอื่น
“พี่จะล้างเสร็จไหมเนี่ย
หืมม”
เขาหันมาจูบลงที่ปลายจมูกรั้นเบาๆ
กลิ่นนมที่ติดอยู่ริมฝีปากเล็กช่างดึงดูดให้ภูวดลโน้มเข้าหายิ่งนัก
ภูวดลจูบซับรอบริมฝีปากตักตวงเอาความหอมหวานของกลิ่นนมจากปากนิ่มของวารินจนพอใจ พอละออกมาก็เห็นอีกฝ่ายหน้าแดงแป๊ด
เขาจึงแกล้งยีศีรษะเล็กนั่นแล้วไล่วารินขึ้นบ้านไป
-หนึ่งอาทิตย์ถัดมาหลังจากนั้น-
“นี่มันอะไรกัน!” ภัครจิราโยนเอกสารแสดงสิทธิ์ความเป็นเจ้าของคอนโดหรูย่านศาลายา
ใส่หน้าวาริน
“คอนโดมีเป็นร้อยๆพันๆแห่ง
ทำไมต้องเป็นของที่นี่ด้วยฮึ!
ทำไม!!” เธอยังขึ้นเสียงต่อ วารินหน้าหงอเหลือสองนิ้ว
“นี่ถ้าไม่ให้คนของเราไปตกแต่งฉันคงหน้าโง่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยใช่ไหม
คิดท้าทายฉันเอาเงินฉันไปให้มันตั้งไม่รู้กี่ล้าน มันถูกต้องแน่แล้วเหรอวาริน?”
“ผะ...ผม....”
วารินถึงกับอ้ำอึ้งไป
-ก๊อก ก๊อก-
“คุณแม่ครับ”
ธาราธารเดินเข้ามานั่งลงต่อหน้าคุณแม่ของเขา ปรายสายตามองเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะและวารินที่ยืนตัวลีบอยู่ข้าง ๆ ก็พอจะเดาได้ว่าเขาถูกเรียกตัวมาด่วนเพราะอะไร
“ผมบอกคุณแม่ไปแล้วนะ วันนั้นก็ไม่เห็นจะว่าอะไรนี่”
เด็กหนุ่มดูอารมณ์เสียนิดหน่อย
เขาเพิ่งกลับมาจากปราณบุรีเพราะธุระเรื่องที่ดินแทนคุณแม่ของเขา ยังนอนได้ไม่ทันถึง
3 ชั่วโมงด้วยซ้ำก็มีโทรศัพท์เรียกให้เข้ามาที่โรงแรม
“แต่ธารไม่ได้บอกแม่ว่าจะซื้อของๆมันนี่ลูก
ธารจะซื้อเท่าไหร่กี่ห้องแม่ไม่เคยว่าแต่ทำไมต้องเป็นที่นี่ด้วยทำแบบนี้มันหักหน้าแม่ชัดๆเลยนะ”
“ผมตัดสินใจไปแล้ว ขอโทษด้วยนะครับถ้าคุณแม่ไม่ชอบ”
“แม่ไม่ให้ธารไปอยู่ที่นั่นนะ”
เพราะธาราธารพูดตัดบทภัครจิราจึงรีบแทรกขึ้นเธอจ้องหน้าลูกชายจริงจัง
ธาราธารเองก็มองกลับไปนิ่ง ๆ
“ผู้ชายคนนั้นไม่ใช่เจ้าของโครงการนั้นหรอกครับคุณแม่สบายใจได้”
“ของๆเมียก็เหมือนของๆมันนั่นแหละ
วันดีคืนดีเกิดมันเข้ามาดูแลแล้วรู้ว่าลูกอยู่ที่นั่นธารก็จะไปอยู่กับมันแล้วทิ้งแม่ใช่ไหม”
ภัครจิราเริ่มตะคอกเสียงใส่
เธอกำมือแน่นเมื่อพูดถึง ‘ทัตพล’ อดีตสามีที่ทิ้งเธอไปตั้งแต่ธารธาราเกิดได้แค่ปีเดียวเท่านั้น
ทัตพลแต่งงานใหม่กับวิลาสินีลูกสาวเจ้าสัวตระกูลค้าขายตระกูลหนึ่ง และเหลือเชื่อที่เขามีลูกกับวิลาสินีทันทีที่เลิกกันกับภัครจิรา เพราะอย่างนั้นลูกชายของวิลาสินี จึงอายุไล่ๆกันกับธาราธาร
ภัครจิราสุดแสนจะแค้นใจนั่นแสดงให้เห็นว่าสามีเธอมีชู้ทั้งที่ยังอยู่กับเธอ
“คุณแม่ครับ ผมไม่มีทางทำอย่างนั้น เชื่อใจผมได้ไหม” ธารธาราลุกขึ้นเดินเข้าไปหาภัครจิราใกล้
ๆ มือแข็งแกร่งคว้าเอามือที่มีริ้วรอยขึ้นมากอบกุม
“แต่แม่กลัว
กลัวว่าจะต้องเสียธารไปอีกคนแม่ไม่เหลือใครแล้ว แม่ไม่ให้ธารไปอยู่ที่นั่นนะลูกนะ แม่ขอร้อง”
ภัครจิราพูดเสียงสั่นเครือ
ขณะที่ธารธาราถอนใจยาวด้วยความเหนื่อยหน่าย
“ผมขอโทษนะครับ
ครั้งนี้ผมทำให้คุณแม่ไม่ได้จริง ๆ ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัว..อ้อ เรื่องที่ดินที่ปราณบุรีผมสนใจนะถ้าคุณแม่จะซื้อก็ซื้อเก็บไว้ได้เลย”
เด็กหนุ่มหันมองวารินแวบหนึ่งแล้วก้าวเดินไปที่ประตูทันที
“แต่ถ้าลูกตัดสินใจอย่างนั้นลูกจะต้องพาวารินไปอยู่ด้วย!”
เสียงเด็ดขาดของภัครจิราดังขึ้นไล่หลังเขาเพียงไม่กี่ก้าว
ธาราธารหยุดเท้าลงทันที ขณะที่วารินอึ้งจนขากรรไกรค้างเติ่ง
“อะไรนะครับ!?” เด็กหนุ่มหันกลับมาถามทันที
สองแม่ลูกยืนเผชิญหน้ากันอยู่ภายใต้บรรยากาศแสนกดดันจนวารินไม่กล้าเอ่ยแทรก
“ลูกต้องพาวารินไปอยู่ด้วย
แม่จะไม่ยอมปล่อยลูกไว้ที่นั่นคนเดียวแน่ๆ”
ภัครจิราคิดสรตะอย่างถี่ถ้วนการให้ธาราธารพาวารินไปอยู่ด้วยถือเป็นการปกป้องลูกชายของเธอจากคนในตระกูลนั้นเป็นอย่างดี
วารินจะคอยปกป้องดูแลที่สำคัญจะรายงานเรื่องราวทุกๆอย่างของธารธาราให้เธอรู้อย่างไม่มีอะไรปิดบัง
วารินเป็นคนซื่อเป็นเด็กที่ทำงานอยู่กับเธอมานานซื่อสัตย์ภักดี
ครั้งหนึ่งที่เธอเคยมีบุญคุณไถ่บ้านหลังเล็กๆของสองพี่น้องเมื่อเจ้าของที่คิดจะเข้ามายึด
เศษเงินเพียงเล็กน้อยของภัครจิราซื้อใจวารินกับพี่ชายไว้ได้มหาศาล ตั้งแต่นั้นมาเธอก็ได้ลูกน้องที่สุดแสนจะภักดีไว้ข้างกาย ไม่ว่าจะมีบริษัทไหนๆเข้ามาทาบทามวารินไม่เคยคิดเปลี่ยนใจยังคงก้มหน้า
ก้มตารับใช้อยู่ข้างกายภัครจิราเสมอ ไม่เคยมีประวัติเสื่อมเสีย
เป็นที่รักใคร่ของทุกคนในที่ทำงาน
เด็กแบบนี้แหละที่ควรจะดูแลเป็นพี่เลี้ยงให้ลูกชายของเธอที่สุด
“จะทำอะไรก็ตามใจ”
ธาราธารพูดนิ่งๆแล้วเดินหายออกไปทันที
วารินมองแผ่นหลังกว้างเดินออกจากประตูไป เขาหันมาหาภัครจิราด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยการร้องขอให้เห็นใจ
“ไม่จำเป็นต้องไปอยู่ทุกวันก็ได้
ฉันรู้ครอบครัวเธอมีกันแค่สองคนมันออกจะเห็นแก่ตัวไปหน่อยถ้าฉันจะเอาเวลาทั้งหมดของเธอมาไว้กับลูกชายฉันแค่คนเดียว
แต่ฉันอยากให้เธอเห็นใจฉันและช่วยสงสารธารเขาด้วย ฉันจะให้เงินเธอเพิ่มนะวาริน”
ภัครจิราพูดแล้วหยิบเช็คจากลิ้นชักขึ้นมากำลังจะลงตัวเลขแต่วารินรีบเข้าไปขวางไว้ก่อน
“ไม่เกี่ยวกับเรื่องเงินครับคุณภัครไม่เกี่ยวกับเงิน คุณภัครมีบุญคุณกับผมและพี่ ผม...”
“ฉันตั้งใจจะให้ก็คือให้ เธอเป็นเด็กมีหน้าที่แค่รับไว้ก็พอ
ถ้าหากเกรงใจคิดตอบแทนฉันล่ะก็ ดูแลลูกชายฉันให้ดีๆเป็นการตอบแทนก็แล้วกัน”
ภัครจิรายัดเช็คเงินสดใส่มือให้วารินก่อนที่จะลุกขึ้นหยิบผ้าคลุมไหล่แล้วก้าวออกจากห้องไป
วารินที่น่าสงสารยังคงยืนนิ่งก้มหน้ามองปลายเท้าตัวเองอย่างถอดใจ
.....6 ปี..ทนแค่หกปีจนกว่าธาราธารจะเรียนจบ
จนถึงตอนนั้นอะไรๆหลายอย่างคงจะดีขึ้น...
.
.
ในที่สุดวันปฐมนิเทศของธาราธารก็มาถึง วารินระหกระเหินตื่นแต่เช้าขับรถเก่าๆคันเดิมออกไปที่โรงแรมทั้งที่ยังไม่ตื่นเต็มตาเสียด้วยซ้ำก่อนออกมาภูวดลยังยืนหัวเราะท่าทางตลกๆของน้องชายในความพยายามไขกุญแจรถเข้ารูทั้งที่ยังหลับตา
ธาราธารโทรบอกให้วารินมารอเขาที่หน้าโรงแรมตั้งแต่ตีห้า
แต่กว่าเจ้าตัวจะโผล่หัวมาได้ โน่นปาเข้าไปเกือบ 6โมงเช้า คนตัวเล็กยืนหาวหวอดๆตบยุงแข่งกับยามเป็นร้อยรอบ
“อ้าวทำไมใส่ชุดนี้อ่ะ”
ทันทีที่ขึ้นรถวารินถามขึ้นอย่างงงๆ ธาราธารใส่เสื้อเชิ้ตสีดำพับแขนกับยีนส์รัดรูปตามสไตล์ของเจ้าตัว
“เดี๋ยวไปเปลี่ยนก่อนแล้วค่อยเข้ามหา’ลัย”
วารินพยักหน้ารับ
เขาหลับตาลงเพราะความง่วง คิดไปเองว่าเมื่อคืนเด็กนี่คงจะค้างที่บ้าน
เพราะชุดนักศึกษาทั้งหมดวารินจัดเตรียมไว้ให้ที่คอนโดเท่านั้นคงเพราะอย่างนั้นถึงได้มาทั้งชุดแบบนี้
“ดีแล้วล่ะ ถ้าว่างก็ไปนอนค้างกับท่านบ้างคุณแม่จะได้ไม่เหงา พี่ว่าธารไปค้างทุกเสาร์เลยก็ยังได้นะ”
“ผมบอกพี่เหรอว่าไปค้างที่บ้านมา?!”
วารินลืมตาขึ้นทันทีที่เด็กหนุ่มขัดคอขึ้น
“เลิกสักที่เหอะไอ้นิสัยคิดเองเออเองแบบนี้น่ะ”
“แล้วใครจะไปรู้ล่ะ”วารินสวนขึ้นบ้าง
“ไม่รู้ก็อย่าเดามั่ว”
“พี่ก็แค่ชวนคุย
เห็นมันเช้ามืดกลัวธารง่วงนอนนี่”
ธาราธารไม่อยากจะโต้เถียงต่อเขาจึงเลือกที่จะเงียบปล่อยให้อีกคนยู่ปากบ่นโน่นนี่ไปเรื่อย
ขณะที่วารินปรายสายตาดูคนข้าง ๆ ท่าทางวันนี้ธาราธารอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก
เขาได้แต่บ่นพึมพำกับตัวเองว่าไม่น่าหาเรื่องใส่ตัวเลย
เด็กหนุ่มไม่ได้ขับรถเร็วเหมือนทุกวัน
แต่ก็ไม่ได้ช้ามากมายอะไร พอรถจอดลงที่ช่องจอดรถส่วนตัวของคอนโดทั้งสองคนก็ตรงขึ้นห้องทันที
“ทำอะไรให้กินหน่อยเดี๋ยวออกมา”
วารินขมวดคิ้วมุ่นเดินตรงเข้าไปที่ครัว
ตั้งแต่ขึ้นรถมาอีกฝ่ายยังไม่ยอมเรียกเขาว่าพี่สักคำพูดอะไรไปก็ไม่ถูกหู เขาได้ยินเสียงสายน้ำจากฝักบัวดังมาจากห้องนอนแสดงว่าอีกฝ่ายกำลังอาบน้ำอยู่วารินเปิดตู้เย็นสำรวจข้าวของซึ่งเขารู้อยู่แล้วว่ามันไม่มีอะไรเลยนอกจากเครื่องดื่มเพราะสองวันที่แล้วเขาเป็นคนจัดเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างในห้องนี้ด้วยตัวเอง
ธาราธารชอบหายไปตอนกลางคืน
คุณภัครเองก็บอกว่าลูกชายไม่ค่อยชอบกลับมานอนบ้าน แต่ธาราธารมีห้องพักอยู่หลายที่วารินจึงคิดว่าเด็กหนุ่มอาจไปนอนอยู่ที่ใดที่หนึ่งก็เป็นได้
“ไง อาหารเสร็จรึยัง”
ธาราธารเดินออกมาในชุดนักศึกษาเรียบร้อย
กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆลอยมาเตะจมูกวารินทันทีที่เขาแทรกตัวเข้ามานั่งลงใกล้ๆ
วันนี้เป็นครั้งแรกที่ วารินสังเกตธาราธารแบบชัดๆ
เด็กคนนี้เป็นคนที่รูปร่างดีมาก ตัวสูงใหญ่ไหล่กว้าง รูปหล่อและมีผิวพรรณขาวสะอาด วารินถึงขนาดคิดไปว่า
‘คุณพ่อ’ ของธาราธารคงจะเป็นผู้ชายที่หล่อเหลาและดูดีเอามากๆเลย
“ไหนอ่ะ
อาหาร” ธาราธารถามซ้ำ
“หึ..ไม่มีอ่ะ มันไม่มีอะไรจะให้ทำได้เลย กินนี่ไปก่อนนะ”
วารินตอบหน้าจ๋อย ยื่นครัวซองสำเร็จรูปชิ้นเล็กๆที่ซื้อติดกระเป๋าไว้ส่งให้
“งั้นชงกาแฟมา กาแฟดำน้ำตาลก้อนเดียวนะ” ธาราธารถอนใจรับขนมมาแต่ก็ไม่ได้โวยวาย
“ร้อนนะ ระวังด้วย”
ดีที่วารินเสียบกระติกน้ำร้อนไว้แล้วเขาจึงชงให้ธาราธารกับตัวเองคนละแก้ว
“กินอะไรน่ะ
อะไรสีขาวๆ” ธาราธารเหลือบมองที่แก้วของวาริน
“นมไง”
ทันทีที่วารินพูดจบธาราธารแทบสำลัก
เขากลั้นหัวเราะจนไหล่ไหว ส่วนวารินได้แต่นั่งกัดปาก
“อย่าหัวเราะนะคนเราชอบไม่เหมือนกัน”
“เปล่าๆโทษทีๆ”
เด็กหนุ่มโบกไม้โบกมือ
รู้สึกตลกผู้ใหญ่ตัวเล็กที่นั่งอยู่ตรงหน้า วันนี้วารินใส่เสื้อสีชมพูอ่อนๆเหมือนกับผิวของเขา
แต่เวลาที่ธาราธารแกล้งทำให้เขาโกรธแก้มป่องๆนั่นจะเปลี่ยนเป็นสีแดงแป๊ดทันที
ปากเล็กๆจะยู่ออกมาบ่นนั่นบ่นนี่ อีกทั้งปลายจมูกรั้นนั่นมันช่างเข้ากับดวงตากลมใสแจ๋วเหมือนดวงตาของเด็กๆ
“แปลกนะเรานึกไงโทรหาพี่ตั้งแต่ตีสี่
ตื่นเช้าเป็นเหมือนกันเหรอ” วารินชวนคุย
“ตื่นอะไร
ยังไม่ได้นอนต่างหาก” เขาตอบเรียบๆ
“อ้าวทำไมไม่นอนอ่ะ
ไปค้างที่ไหนมาเนี่ย” เป็นเพราะธาราธารบอกว่าไม่ได้มาจากที่บ้านเพราะอย่างนั้นวารินจึงลองถามดูกลัวว่าเขาจะไปทำอะไรไม่ดี
“ค้างกับผู้ชายไง”
ค้างกับผู้ชาย!! วารินตาโตนึกทวนคำในใจ แล้วคิดขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายเคยบอกเขาแล้วเป็นนัยน์ๆว่าตัวเองเป็นไบเซ็กชวล
เขาจึงได้แต่พยักหน้ารับเบาๆ
แต่ก็เผลอพลั้งปาก
“ความจริงผู้หญิงสวยๆมีเยอะแยะไป
ธารไม่ลอง.....”
“เกลียดผู้หญิง”
เขายกกาแฟขึ้นจิบแล้วพูดแทรกขึ้น “แต่ความจริงก็ได้หมดล่ะนะ
ช่วงนี้ชอบผู้ชายมากกว่าไม่รู้ทำไม”
“ธารครับ ธารยังเด็ก
ถ้าไงต่อไป.....”
“พี่นี่ยุ่งเรื่องของผมจริงๆนะ
ทำไม? อยากรู้อยากเห็นขนาดนั้นเหรอ ผมต้องอัดเป็นคลิปไว้ให้ดูป่ะเนี่ย หึหึ”
“พี่ก็แค่หวังดี”
“ไม่ต้องห่วงไปหรอก
ผมไม่ใช่คนได้หลังแล้วจะลืมข้างหน้า
ยังไงซะคนที่ผมจะเลือกมาเป็นแม่ของลูกผมก็ต้องเป็นผู้หญิงอยู่แล้ว” เด็กหนุ่มจิบกาแฟไปด้วยจ้องหน้าวารินไปด้วยอย่างหยั่งเชิง
นานจนอีกฝ่ายต้องหลบสายตา
“มองอะไร
ข้องใจอะไรพี่ ถามได้นะ” วารินจำต้องลุกขึ้นแล้วหยิบแก้วทั้งของเขาและของธาราธารไปล้างที่อ่าง
“ทำไมพี่ถึงคิดว่าผมมองพี่” เขาเดินเข้าไปหาวารินใกล้ ๆ
กอดอกใช้สะโพกพิงขอบอ่างไว้
“อ้าว..ก็เห็นว่าเรามองน่ะสิถึงได้ถาม”
“ถ้าผมบอกไม่ได้มองพี่จะเชื่อไหม”
วารินหันมองเขาทันที เจ้าของคำพูดกระตุกยิ้มร้ายใส่นิดๆ
“ไม่เชื่อ! ก็มองกันอยู่ชัดๆ
มีอะไรข้องใจว่ามา”
ธาราธารนิ่งไปครู่หนึ่งเขาหรี่เจ้าเล่ห์ก่อนก้าวเข้ามาโน้มตัวลงกระซิบใส่ใกล้
ๆ “มองคนแก่!”
เขาเน้นคำแล้วยิ้มเย้ยจนไหล่ไหว
“คำก็แก่สองคำก็แก่
เดี๋ยวพอธารเรียนจนถึงปีหกนะธารจะแก่กว่าพี่อีกคอยดู” วารินเหลืออดรีบย้อน ธาราธารเรียนหมอเคยได้ยินมาว่าบางคนแค่ปีสี่หัวก็เริ่มหงอกแล้ว
สาธุของให้เด็กนี่เป็นอย่างนั้นด้วยเถ้อวารินแอบบ่นเบาๆ
“มันจะจริงเร้อ
หึหึหึ ผมกินผักแล้วก็ออกกำลังกายตอนกลางคืน ฝึกหายใจทุกวี่ทุกวันรูปร่างถึงได้ดีแบบนี้ไง
ไม่เหมือนคนบางคนนี่ แค่ขึ้นบันไดก็หอบแฮ่กๆแล้ว ถ้าโดนคนตัวใหญ่ๆแบบผมขึ้นทับคงได้เป็นลมกันพอดี
หึหึหึ”
เขาแกล้งตีคิ้วใส่พูดจายียวน
ไม่รู้ทำไมเขาถึงชอบแกล้งกระเซ้าวารินนัก ทั้งที่ก็รู้ว่าจะต้องโดนฝ่ามือเล็กๆนั่นฟาดลงมาจนต้นแขนแดงเถือก
แต่เขาก็รู้สึกชอบใจทุกครั้งที่ได้แหย่อีกคน “โอ๊ยย..พอๆ..เจ็บๆ..”
เขาลูบต้นแขนด้วยความรู้สึกเจ็บที่โดนฟาดแรงขนาดนั้นตั้งหลายที
“จัดการห้องให้ด้วยล่ะ
เดี๋ยวกลับมาเย็นๆ”
ก่อนขับรถออกไปมหาวิทยาลัยธาราธารบอกเขาไว้แค่นั้น
เหลือเพียงวารินคนโง่ที่เพิ่งจะรู้ตัวตอนนี้ว่าที่ธาราธารแวะไปรับเขามาด้วยก็เพื่อจะมาทำอาหารและทำความสะอาดห้องพัก เขาจัดการดูแลเรื่องห้องหับจนเรียบร้อยโทรเรียกแม่บ้านให้ขึ้นมารับเสื้อไปซัก
แล้วลงไปซื้ออาหารสำเร็จรูปแช่แข็งและน้ำดื่มมาเรียงเข้าตู้ไว้ให้ก่อนจะนั่งแท็กซี่ยาวกลับโรงแรม
.
.