บทที่ 2
เมื่อแสงแดดยามเช้าสาดซัดผนังด้านหนึ่งของโรงแรมสูงตระหง่านริมน่านน้ำเจ้าพระยา วารินที่กำลังก้มหาของบางอย่างที่ใต้โต๊ะทำงานขยับตัวจากเก้าอี้เลื่อนนิดหน่อยเมื่อจู่
ๆ ได้ยินเสียงเรียก ใบหน้าเล็กแหงนเงยมองเจ้าของเสียงที่ยื่นของบางอย่างส่งให้
“นี่จ๊ะเอกสารของคุณธาราธาร” ศศิธรเลขาอีกคนของภัครจิราเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นเขาทำหน้าตาสงสัย
วารินรับซองเอกสารมาเปิดดู ภายในนั้นมีใบสำคัญต่าง ๆทั้งต้นฉบับและสำเนาครบถ้วนที่สำคัญมีรูปถ่ายแบบเต็มตัวแนบติดมาด้วย
“โอ้โห น้องเขาเป็นนายแบบหรือเปล่าครับเนี่ยพี่อ้อ คุณธาราธารอายุ
18 จริงๆหรือครับ” วารินพิจารณาดูรูปแล้วอุทานออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าเด็กอายุ
18 จะสูงใหญ่ตัวโตดูดีได้ขนาดนี้ที่สำคัญหน้าตานั้นหมดจดถอดแบบคุณภัคจิรามาไม่มีผิด
...โตขึ้นมากจริง
ๆ....
“ตัวจริงหล่อกว่านี้อีกนะ
เมื่อวานพี่เข้าไปที่บ้านคุณภัครมาเจอน้องเขากำลังจะออกจากบ้านพอดี” ศศิธรแกล้งกระซิบกระซาบ
แล้วแกล้งเตือนวารินให้ระวังไว้หน่อยเพราะท่าทางเจ้านายคนใหม่ของเขาจะร้ายกาจมากด่ากราดคนงานในบ้านงี้ตัวสั่นกันหมด
“ขนาดนั้นเลยหรือครับ?” วารินตาโตพึมพำไม่เต็มเสียงสีหน้าวิตกลงอย่างเห็นได้ชัดจน
จนศศิธรนึกตลกที่หลอกคนบางคนได้สำเร็จ เธอจึงบอกวารินไปว่าพูดเล่น
“หูยพี่อ้อ
ทรายก็ตกใจหมดนึกว่าน้องเขาเป็นอย่างนั้นจริงๆ”
“ใช่ที่ไหนกันล่ะเรานี่ล่ะก็
พี่ไม่รู้หรอกว่าน้องเขาเป็นคนยังไงเพราะไม่เคยพูดคุยด้วยเลยสักครั้งไว้เดี๋ยวทรายลองดูเอาเองก็แล้วกัน
รีบลงไปเถอะแปดโมงกว่าแล้ว” ศศิธรตบบ่าให้กำลังใจวาริน
ดวงตากลมมองดูรูปถ่ายที่อยู่ในมืออีกครั้งแล้วพึมพำออกมาเบา ๆ “ไม่อยากจะเชื่อเลย เด็กสมัยนี้โตไวกันจริงๆ”
หลังคุยธุระเสร็จวารินเดินลงมาที่ชั้นล่างส่งยิ้มทักทายเพื่อนๆพนักงานที่เจอแถวฟร้อนด้านหน้า
เขายกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเพื่อกะเวลาว่าพอจะเหลือให้ได้นั่งทานนมสดปั่นที่ร้านเบเกอรี่ของโรงแรมได้บ้างไหมก่อนจะถึงเวลาที่ธาราธารจะต้องมาพบกับเขาเพื่อพาเขาไปทำหน้าที่ผู้ปกครองจำเป็นในวันรายงานตัวเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัย
เมื่อวารินเดินออกมาแถวหน้าประตูพนักงานต้อนรับโค้งให้เขาอย่างมีมารยาท
เขาเดินต๊อกต๋อยไปตามทางเดินเล็กๆริมผนังกระจกของโรงแรมเพื่อลัดเลาะไปเข้าประตูด้านข้างของร้านเบเกอรี่
เอี๊ยดดดดด!!!!
เสียงเบรกดังลั่นลากยาวกับพื้นถนน บีเอ็มดับเบิ้ลยูสีขาวเปิดประทุนรุ่นใหม่ล่าสุด
เบรกตัวลงอย่างแรง เลยหน้าวารินไปหน่อยเดียวเท่านั้น คนขับขยับใบหน้ามองดูที่กระจกฝั่งคนนั่งอีกครั้งก่อนจะถอยหลังกลับมาแล้วจอดลงต่อหน้าต่อตาเขา วารินยกมือทาบอกเบิกตากว้างอย่างตกใจ
เขาถึงกับภาวนาถึงพ่อแก้วแม่แก้วกันเลย นึกว่าจะได้ยินเสียงตูมซะแล้ว
“ขึ้นมา!”
เสียงตะคอกดังมาจากคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย
ชายหนุ่มหน้าตาดีมากเจ้าของรถคันงามหันมาจ้องหน้าเขาครู่หนึ่ง
ในมือข้างที่พาดไว้กับเบาะคนนั่ง เรียวนิ้วคีบรูปถ่ายใบหนึ่งไว้ชูให้เขาดู เมื่อวารินเพ่งมองถึงได้รู้ว่าเป็นรูปถ่ายของตัวเขาเอง จึงนึกขึ้นได้จ้องมองใบหน้าเจ้าของรถอีกครั้ง แม้จะอยู่ภายใต้แว่นกันแดดสีเข้มแต่เขาก็จำได้แล้วว่าผู้ชายคนนี้คือลูกชาย
คนเดียวของคุณภัคจิรา
ธาราธารนั่นเอง
“หูหนวก!?”
เสียงทุ้มตะคอกใส่อีกครั้งพร้อมยัดรูปใบนั้นใส่ลิ้นชักหน้ารถ
แต่วารินก็ยังยืนนิ่งอยู่
จริงๆแล้วเขาขยับขาไม่ออกไม่ใช่ว่าจะเล่นตัวอะไร กว่าคนตัวเล็กจะพยายามก้าวขาขึ้นรถไปได้เจ้าของรถก็ตบลงที่พวงมาลัยอย่างเสียอารมณ์พร้อมกดแตรลั่นยาวจนใครหลายคนแถวนั้นหันมามองเป็นตาเดียว
วารินหลับตาปี๋หลังจากขึ้นรถมาได้แผ่นหลังยังไม่ทันติดเบาะด้วยซ้ำธาราธารก็กระชากรถขับออกไปอย่างเร็ว
ตัวเขาได้แต่นั่งกัดปากหลับตาแน่นตลอดทางมือเล็กขาวสะอาดยึดสายเข็มขัดนิรภัยไว้แน่น
ยิ่งตอนรถเข้าโค้งเลี้ยวออกถนนใหญ่วารินเกร็งยิ่งกว่าเกร็ง
“ชื่ออะไร?!”
ธาราธารกดปิดหลังคาแล้วถามขึ้นห้วนๆขณะที่สับเลนเปลี่ยนขึ้นทางด่วนความเร็วรถไม่ได้ลดลงสักนิด
วารินลอบมองเข็มไมล์ที่หน้ารถ 160 พระเจ้า!
“ถามว่าชื่ออะไร! หูหนวกจริงๆใช่ไหมเนี่ย ตาย ๆ มีพี่เลี้ยงเป็นคนหูหนวก”
“ผะ...ผมวาริน ชื่อวารินแล้วก็ไม่ได้หูหนวก” วารินตอบพาซื่อธารธาราจึงตวัดตามามอง
“งี่เง่า!”
“นี่! ผมน่ะ...เป็นพะ....พี่.....”
วารินพูดไม่ออกอยากจะบอกเหลือเกินว่าเขาน่ะอายุมากกว่าเยอะเพราะฉะนั้นกรุณาให้เกียรติกันบ้างแต่ตอนนี้ขากรรไกรมันค้างพูดไม่ได้
รถโฉบซ้ายโฉบขวาเหมือนกำลังวิ่งอยู่บนสนามแข่ง
“เรียกวา เรียกริน หรือเรียกวาริน จะเอาแบบไหน?”
เขาหันมามองหน้าวารินแวบหนึ่งจึงสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายแสดงสีหน้าหวาดกลัวความเร็วอย่างเห็นได้ชัดเด็กหนุ่มได้ทีกระตุกยิ้มร้ายที่มุมปากก่อนเหยียบคันเร่งแรงขึ้นไปอีก
“ซ...ทราย
เรียกพี่ว่า พี่ทราย ก็ได้ครับ”
วารินตอบเสียงสั่นรู้สึกว่าทำไมรถมันเร็วขึ้นอีกแล้ว
ใจเขาเต้นโครมครามดังมาก ไม่กล้าแม้แต่จะเอามือออกจากสายเข็มขัดนิรภัยที่ตอนนี้เขายึดมันไว้แน่นมากจนสายยับย่นไปหมด
“เหอะ”
เด็กหนุ่มแค่นเสียงขึ้นจมูกไม่คิดจะใส่ใจลดความเร็วลง ไม่นานหลังจากนั้นรถหรูก็มาจอดเทียบไม่ไกลจากตึกคณะวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยชั้นนำแถวนครปฐม
ธาราธารสบถอย่างหัวเสียอีกครั้งเมื่อต้องวนรถถึงสองรอบกว่าจะหาที่จอดได้
วันนี้คนเยอะมาก
“รายงานตัวที่นี่?”
วารินถามขึ้น ถ้าเขาจำไม่ผิดคุณภัครจิราบอกว่าธาราธารติดหมอแล้วทำไมถึงพาเขามาที่คณะนี้นะ
“อือ ไม่เข้าไปนะขี้เกียจต่อแถว
โน่น โต๊ะโน้นเดินไปเลย”
เด็กหนุ่มโบ้ยหน้าให้วารินไปต่อแถวตรงคณะของตน
วารินเพิ่งสังเกตว่าวันนี้ธาราธารใส่ชุดนักเรียนมัธยมปลายเต็มยศ กางเกงขาสั้นสีน้ำเงินยิ่งขับให้ผิวใสๆของเจ้าตัวดูโดดเด่นขึ้นไปอีก
“ทำไมหรือว่าอายไม่กล้าเข้าไปต่อ เป็นพี่เลี้ยงผมไม่ใช่หรือไงต้องทำให้ได้ทุกอย่างดิ” เขาบอกยียวน ยกมุมปากตวัดสายตาเย้ย จนวารินนึกอึดอัด
เพราะถ้าเข้าใจไม่ผิดธาราธารจำเป็นต้องไปต่อคิวรายงานตัวเข้าเรียนด้วยตนเองไม่ใช่ให้คนดูแลอย่างเขาไปรายงานตัวแทน
“คุณธารฟังนะครับ
พี่จะเข้าไปต่อคิวให้เราก่อนแต่พอถึงคิว คุณธารต้องมารายงานตัวเอง
ที่นี่มหาวิทยาลัยรัฐบาลนะไม่ใช่เอกชน” ที่เราจะทำอะไรตามใจได้
วารินอยากจะพูดแบบนั้นเหลือเกิน
“ไม่ได้โง่!”
เขาเน้นเสียงด้วยดวงตาคมกริบ
แล้วเฉไฉใบหน้าไปทางอื่น ก่อนเลี่ยงไปยืนพิงราวระเบียงแถวๆนั้นไว้
วารินถอนหายใจเฮือกใหญ่
นี่ขนาดวันแรกเจอกันยังไม่ถึงสองชั่วโมงด้วยซ้ำธาราธารยังออกฤทธิ์ขนาดนี้
เขาเดินไปต่อคิวเด็กๆนักศึกษาใหม่ที่กำลังเข้าแถวอยู่ก่อนหน้าต่างก็หันมายิ้มให้
วารินก้มมองดูการแต่งตัวของตนเองวันนี้เขาใส่สแลคสีดำกับเชิ๊ตสีอ่อนอายุอานามก็ปาเข้าไป 30 แล้ว
ยังจะต้องมาต่อคิวรายงานตัวเข้าเรียนพร้อม ๆ
กับเด็กมัธยมปลายคิดแล้วได้แต่สมเพศตัวเองยิ่งนัก
“นายๆ” แรงกระตุกเสื้อจากด้านหลังทำให้วารินหันไปมอง
“นายจองหอไว้รึยัง” เด็กหนุ่มสวมแว่นสายตาจ้องหน้าวารินอย่างเป็นมิตร
“...อ๋อ ยัง” วารินตอบไปแบบงงๆ
“ซิ่วมาปะเนี่ยทำไมใส่ชุดแบบนี้มาอ่ะ”
อีกฝ่ายยังถามต่อ
วารินอึกๆอักๆ
จริงอยู่ที่ว่าหน้าเขาดูเด็กแต่มันก็ไม่น่าจะเด็กขนาดให้เข้าใจผิดกันได้ขนาดนี้ เขาเหลือบไปมองธาราธารก็พบว่าอีกฝ่ายหายตัวไปไหนแล้วก็ไม่รู้ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าคงจะเดินไปมาอยู่แถวๆนี้เดี๋ยวคงกลับมาทันเหลืออีกแค่สองคิวยิ่งใกล้เขายิ่งหวั่นใจหวังว่าธาราธารจะไม่สร้างปัญหาอะไรให้เขา
“ว่าไง
ถามไม่ตอบนะนายน่ะ แก่กว่าเราไม่กี่ปีถือซะว่ารุ่นเดียวกันก็แล้วกันเนอะ
อย่าให้ต้องเรียกพี่เลย เรารู้สึกถูกชะตากับนายนะ จองหอพักห้องเดียวกันเลยดีไหม”
“โทษทีคิดอะไรเพลินไปหน่อย หอไหนล่ะกว้างดีรึเปล่า”
วารินลอบพิจารณาอีกฝ่ายด้วยความรวดเร็ว
ถ้าหากจะให้ธาราธารอยู่หอร่วมกับเจ้าเด็กคนนี้ก็เข้าท่าดี
ยังไงเด็กปีหนึ่งต้องโดนบังคับให้พักหอในอยู่แล้ว แต่จะเป็นห้องคู่ห้องเดี่ยวหรือห้องสามคน
ก็คงต้องถามรายละเอียดดูอีกที เสียงทวนชื่อของธาราธารดังขึ้นพร้อมกับใบหน้าสงสัยของเด็กนักศึกษาปีสูงที่รับทำเรื่องรายงานตัวของรุ่นน้อง
เมื่อเอกสารติดรูปในมือมองยังไงก็ไม่ใช่คนๆเดียวกับที่ต่อคิวยืนอยู่ตอนนี้
วารินรีบกวาดตาหาธาราธารอย่างร้อนรน
“เจ้าตัวอยู่ที่ไหนคะ”
“เอ่อน้องเขาไปเข้าห้องน้ำครับผมทำแทนเลยได้ไหม”เมื่อไม่เห็นวารินจำต้องแก้ตัวไปก่อน
“ขอโทษด้วยนะคะต้องให้เจ้ามาด้วยตัวเองค่ะ
ถ้าไงรบกวนไปต่อคิวใหม่อีกครั้งนะคะ เชิญคนต่อไปเลยค่ะ”
“อ้าวพี่
แล้วก็ไม่บอกว่ามาต่อคิวแทนน้อง ผมขอโทษนะพี่ผมเข้าใจผิดไป”
วารินยิ้มรับจำใจเดินกลับไปตั้งหลักต่อแถวใหม่
ถึงแถวจะยาวเป็นหางว่าวแต่ยังไงก็ต้องรอคิวใหม่อยู่ดี เขาคิดในใจว่าถ้าธาราธารเดินกลับมาคราวนี้จะต้องลากให้มายืนอยู่ด้วยกันให้ได้เลย
.
.
เสียงเพลงเบาๆจากบีเอ็มคันหรูที่จอดเทียบอยู่ริมฟุตบาท
ธาราธารเปิดแอร์เย็นฉ่ำเอนเบาะนอนคุยโทรศัพท์อย่างสบายอารมณ์
เขายกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเมื่อเห็นว่าจวนเจียนจะถึงเวลานัดก็สลับสายโทรเรียกเด็กสาวที่นัดแนะกันไว้
เด็กหนุ่มคุยไปยิ้มไปเมื่อนัดหมายสถานที่เรียบร้อยก็ออกรถโดยไม่สนใจวารินที่กำลังต่อคิวแทนเขาเลยแม้แต่น้อย
เขาต้องรู้แน่นอนอยู่แล้วว่าเวลารายงานตัวจะหมดลงตอน
4 โมงเย็นเพราะฉะนั้นเอาไว้ใกล้ถึงเวลาเขาจะเข้าไปรายงานตัวด้วยตนเอง
แต่ที่ปล่อยให้วารินรอคิวทำแทนก็แค่แกล้งเพื่อความสะใจเท่านั้น
ธาราธารคว้าเอาเอวหญิงสาวอกสะบึมพาเดินเข้าไปที่ห้องอาหารของโรงแรมหรูแถวนั้นทันที
ยังพอมีเวลาเหลือเล็กน้อยทานข้าวเสร็จแวะเดินห้างใกล้ๆ แล้วค่อยกลับไปหาพี่เลี้ยงคนใหม่ของเขาที่ยืนรอคิวแทนเขาตั้งแต่เช้า
..แค่นี้ก็สะใจเขาเป็นบ้า..
เมื่อวานจู่ๆคุณแม่ก็มาบอกกับเขาว่าจะหาคนมาดูแลเป็นธุระจัดการทุกๆอย่างให้กับเขาควบคุมเขา
ทั้งที่มันเป็นหน้าที่ของคนเป็นแม่ที่ต้องทำแต่แม่ก็ปฏิเสธที่จะทำแล้วใช้ให้ใครก็ไม่รู้มาดูแลเขาซึ่งเป็นถึงลูกแทน
น่าโมโห!
เพราะงั้นจะแกล้งให้ถึงที่สุดเอาให้ทนไม่ได้แล้ววิ่งแจ้นไปลาออกเลยคอยดู!
.
.
“นายธาราธาร โชติการุณ”
วารินถึงกับยกแขนขึ้นเช็ดเหงื่อเมื่อเด็กสาวเอ่ยชื่อธารธาราออกมาแล้วมองหน้าเขา
“อ้าวพี่คะน้องเขายังไม่มาอีกเหรอหนูเห็นพี่ต่อคิวหลายรอบแล้วนะคะ เราปิดรายงานตัว 4 โมงเย็นนะคะพี่ถ้ามาไม่ทันจะถือว่าสละสิทธิ์นะ”
วารินยิ้มแห้งหยาดเหงื่อเต็มหน้าเต็มตัวไปหมด
เขาเองก็ไม่รู้จะทำยังไงจู่ๆธาราธารก็หายตัวไปตั้งแต่เช้า
พอตอนเที่ยงเขาออกไปตามหารถก็ไม่ได้จอดอยู่ที่เดิมแล้วจะไปไหนน่าจะโทรมาบอกเขาก่อนสักคำไม่ใช่จู่ๆมาหายไปตั้งแต่เช้าถึงเย็นแบบนี้
“น้องครับพี่ขอร้องล่ะนะให้พี่รายงานตัวแทนน้องพี่ได้ไหมพอดีพี่ติดต่อเขาไม่ได้
คิดว่าเขาคงติดธุระจำเป็นจริงๆเมื่อเช้าเรายังเข้ามาด้วยกันอยู่เลยครับ”
“หนูก็อยากช่วยนะคะพี่แต่หนูผิดกฎให้พี่ไม่ได้จริง
ๆ อ้อ
อาจารย์เข้ามาเก็บรายชื่อแล้วค่ะพี่ลองเข้าไปคุยกับท่านดูก็ได้”
วารินสุดปัญญาจะคิดได้แล้วขณะได้ฟังทางเลือกสุดท้ายเขารีบคว้าซองเอกสารเดินเข้าไปหาอาจารย์ท่านที่เด็กสาวบอกทันที
แต่เมื่อท่านเดินเลี้ยวออกมาวารินก็พบว่าหน้าเขาชาไปเกือบทั้งซีก
ธาราธารเดินยิ้มแย้มตีคู่มากับอาจารย์ท่านนั้นในมือของท่านถือซองเอกสารที่ดูยังไงๆมันก็คือซองประวัติของนักเรียนที่มามอบตัวชัดๆ
เอกสารของธาราธาร
“เอาไว้บอกคุณแม่ท่านด้วยแล้วกันว่างๆอาหมอจะแวะเข้าไปเยี่ยมนะ”
อาจารย์ท่านนั้นกล่าวกับธาราธารแล้วถือโอกาสบีบไหล่เด็กหนุ่มเบา
ๆ ก่อนจะเดินเลี่ยงไปที่โต๊ะธาราธารเองก็โค้งคำนับให้อย่างสุภาพ
“หึ”
เด็กหนุ่มกระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์ส่งสายตาเย้ยใส่วารินจากนั้นเขาจึงเดินนำไปที่รถ
ขณะที่อีกคนได้แต่เดินตามอย่างเอือมระอา
“เดี๋ยวก่อนคุณธาร
พี่มีเรื่องต้องคุยกับเรานะ” คนตัวเล็กหยุดยืนเมื่อถึงรถ
หันมาจ้องหน้าธาราธารอย่างจริงจัง แต่อีกฝ่ายหาได้ใส่ใจไม่ เขาก้าวขึ้นรถสตาร์ทเครื่องทำให้วารินต้องรีบกระโดดขึ้นตามเกือบจะไม่ทัน
รถสปอร์ตคันหรูกลับมาทะยานโฉบเฉี่ยวด้วยความเร็วบนท้องถนนอีกครั้ง
วารินนั่งหลับตาปี๋เหมือนเคย ธุระที่กะว่าจะคุยเลยยังไม่ได้พูด ธาราธารหันมามองพอรู้ว่าอีกฝ่ายกลัวเขาก็ยิ่งแกล้ง
วารินเองก็รู้ทั้งรู้ว่าโดนแกล้งแต่ก็ทำอะไรไม่ได้
ได้แต่นั่งภาวนาให้ถึงโรงแรมอย่างปลอดภัย
ในที่สุดวารินค่อย
ๆ ลืมตาขึ้นมองทางเมื่อเริ่มรู้สึกว่ารถวิ่งช้าลง “นี่ไม่ใช่ทางกลับโรงแรมนี่ คุณธารจะไปไหนครับ”
“เที่ยว” เขาตอบห้วนๆ
“เที่ยว? เที่ยวที่ไหนไปส่งพี่ที่โรงแรมก่อนดีไหมแล้วคุณธารจะไปที่ไหนก็ไปเลยสิครับ”
วารินไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายจะพาเขาไปด้วยทำไมกัน
ธาราธารตวัดสายตามองอย่างเกรี้ยวกราดทันทีที่วารินพูดจบ
เขาตีไฟเลี้ยวจอดลงข้างทาง “คิดว่าอยากพาไปนักรึไงฮึ” มือแกร่งกำพวงมาลัยแน่นแล้วกัดฟันพูดใส่
เมื่อตอนเที่ยงหลังจากทานข้าวเสร็จเขาพาสาวสวยไปเดินช็อปปิ้งต่อพอจะจ่ายเงินซื้อกระเป๋าใบละแค่ไม่กี่หมื่นให้เธอปรากฏว่าบัตรโดนบล็อกยอดเงินไว้
เขารู้สึกเสียหน้าอย่างที่สุดทั้งที่แต่ก่อนคุณแม่ไม่เคยจำกัดวงเงินเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว
พอโทรไปโวยวายท่านก็กลับให้คำตอบมาว่าจากนี้ไปจนกระทั่งเรียนจบจะให้วารินเข้ามาดูแลเรื่องการเงินของเขาเพราะฉะนั้นต่อไปหากจะใช้เงินเกิน
2 หมื่นบาทต่อวันจะต้องให้วารินเป็นคนเซ็นบัตรให้ทุกครั้ง
จะใช้เท่าไหร่ท่านไม่ว่าแต่ต้องใช้ผ่านบัตรของวาริน
ธาราธารยิ่งคิดยิ่งแค้นพี่เลี้ยงหน้าจืด
เขาเบือนหน้าหนีด้วยความเซ็งสุดขีด วารินเองก็เหลือจะอดมาทั้งวันแล้วเช่นกัน
“ผมไม่รู้หรอกนะว่าทำไมคุณถึงไม่พอใจผมนัก แต่ขอให้รู้ไว้ว่าผมเองก็ทำตามหน้าที่
ถ้าหากคุณภัครท่านไม่สั่งให้ต้องมาดูแลคุณ ผมก็คงไม่......”
“พอแล้ว!”
เขาตะคอกแทรกขึ้นอย่างฉุนเฉียว “รู้อยู่แล้วล่ะว่าที่มาทำโน่นทำนี่ให้ก็เพราะเป็นคำสั่งของคุณแม่
เป็นหน้าที่! ผมมันไม่เคยสำคัญกับใครทั้งนั้นแหละ
ไม่ต้องมาย้ำกันนักหรอก!”
หน้าที่ๆๆๆ
เขาเกลียดคำนี้ เพราะคำว่า ‘หน้าที่’ จึงพรากความรักของแม่ไปจากเขา คนที่เข้ามาดูแลเขาคนก่อนก็เอาแต่ ‘ทำหน้าที่’ ไม่เคยมีความจริงใจให้กับเขาเลยแม้แต่น้อย
ดวงตาคมกริบหันไปมองจ้องอีกคนอย่างผิดหวังระคนตัดพ้อ
และวารินเองก็เห็นรอยสั่นไหวในตาดวงนั้นอย่างชัดเจน
“ไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น ไม่ใช่ว่าธารไม่สำคัญ” วารินเสียงอ่อนหน้าเสีย นึกละอายใจที่พูดจาห่างเหินออกไปทำให้เด็กหนุ่มเกิดน้อยใจขึ้นมา ถึงแม้ผู้ชายตรงหน้าจะดูรูปร่างสูงใหญ่เกินกว่าวัย
แต่อย่างไรเสียก็เด็กกว่าเขาตั้งสิบสองปี วุฒิภาวะทางอารมณ์ย่อมแตกต่างกันอยู่แล้ว
เขาได้แต่สัญญากับตนเองว่าจะต้องควบคุมตัวเองให้ดีกว่านี้
“หึ ทำเป็นพูดดี หน้าไหนๆก็เหมือนกันหมด ” ธาราธารแค่นเสียง
...ทุกคนที่เข้ามาใกล้ชิดเขาก็เพราะทำตามหน้าที่หวังเงินทองกันทั้งนั้น
จะคนไหนหน้าไหนมันก็ไม่ต่างกันทั้งนั้น...
“ธารครับพี่ไม่รู้นะว่าเราเคยเจอใครแบบไหนหรือเคยเจออะไรแย่ๆมาก่อน
พี่อยากให้ธารลองเปิดใจให้พี่สักหน่อย
วันนี้เราอาจจะเริ่มต้นรู้จักกันด้วยความรู้สึกที่ไม่ค่อยดีนัก แต่พี่ขอโอกาสจากธารให้พี่ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต
ให้พี่ได้รู้จักกับธารในฐานะของพี่ชายคนหนึ่งจะได้ไหมครับ”
วารินตั้งสติพูดกล่อมอย่างใจเย็น เขาตัดสินใจแล้วว่าจะต้องคุยเรื่องขอบเขตของการดูแลให้เรียบร้อย
ได้รู้จักกันแค่ไม่กี่ชั่วโมงวารินก็รู้แล้วว่าธารธาราเป็นเด็กที่ดูแลยากแค่ไหน
“พี่จะไม่พูดว่าต้องทำตามหน้าที่หรืออะไรอีกแล้ว
ต่อจากนี้ระหว่างเราขอให้เป็นเรื่องของความรู้สึกล้วนๆ จากนี้ไปพี่จะเรียกเราว่า ‘ธาร’ แล้วถ้าธารยอมรับให้พี่เข้าไปดูแลธารได้ก็ให้เรียกพี่ว่า ‘พี่ทราย’ ”
เขาลอบสังเกตท่าที
เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มจู่ๆก็นิ่งไป คงกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจ เขาจึงชิงสรุปความ
“พี่ขอคำตอบจากธารวันนี้เลยนะครับ” วารินกำชับ
อย่างน้อยถ้าหากธาราธารไม่ยอมรับ
เขาจะไม่ทู่ซี้แล้วอธิบายให้คุณภัครจิราฟังอย่างเข้าใจ ธาราธารดูท่าทางไม่ชอบใจเขานักเห็นได้จากการที่เขาโดนกลั่นแกล้งวันนี้ก็พอจะรู้เพราะฉะนั้นเขาจึงอยากให้ธาราธารตัดสินใจด้วยตนเอง
ต่อไปหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นธาราธารจะยอมรับได้ว่าทุกอย่างเกิดขึ้นจากการตัดสินใจของตัวเขาเอง
รถหรูเคลื่อนตัวออกสู่ท้องถนนอีกครั้ง
คราวนี้เขาขับระดับปกติธรรมดา อาจจะเร็วกว่าคนอื่นอยู่สักหน่อยแต่ก็ไม่ได้ด่วนจี๋โฉบเฉี่ยวแบบเมื่อเช้าหรือเมื่อสักครู่อีกแล้ว “แน่ใจแล้วใช่ไหมที่จะขอเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตผมน่ะ” เมื่อรถจอดลงที่ช่องจอดรถส่วนตัวใต้โรงแรมธาราธารปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วหันเข้ามาถามวารินใกล้ๆ
“อือ” วารินพยักหน้ารับ ตากลมโตใสแจ๋วจ้องหน้าคนถามไม่กระพริบเพื่อยืนยันว่าเขาพูดจริงทำจริงได้แน่นอน
ธาราธารเป็นเด็กที่น่าสงสารขาดความอบอุ่นจึงเรียกร้องความสนใจด้วยวิธีผิดๆ
กลายเป็นเด็กแข็งกระด้าง ดังนั้นวารินจึงตั้งใจจะดูแลเด็กคนนี้ให้ดี ส่วนหนึ่งก็เพื่อตอบแทนบุญของภัครจิรา และเพื่อเงินรายได้ที่จะเพิ่มขึ้น
แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นเขารู้สึกสงสารเด็กคนนี้มากกว่า อย่างน้อยคิดซะว่ามีน้องเพิ่มขึ้นมา
“แล้วรู้รึเปล่าว่าผมน่ะ ได้ทั้งหญิงทั้งชายนะ
พี่ไม่กลัวเหรอ”
ธาราธารหันมาหรี่ตามองลากเสียงยิ้ม ๆ วารินอึ้งไปครู่หนึ่ง
เขาไม่คิดมาก่อนว่าเด็กหนุ่มจะพูดเรื่องแบบนี้กับเขา ‘ไบเซ็กชวล’
ไม่ใช่ปัญหาสำหรับวารินเพื่อนฝูงเขามีแบบนี้เยอะแยะ ธาราธารอาจจะกลัวว่าถ้าเขารู้เรื่องจะรังเกียจและไม่ยอมรับ
“พี่ไม่เคยรังเกียจเลยนะ เพื่อนๆพี่มีเยอะแยะ
สมัยนี้เขาเปิดกว้าง....”
“ผมไม่ได้ถามว่าพี่รังเกียจไหม แต่ผมถามว่าพี่ไม่กลัวผมเหรอ” เขาแทรกขึ้น
ย้ำด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ “ไม่กลัวว่าผมจะจับพี่ทำเมียรึไง หืมม” มือแกร่งแกล้งเชยเอาคางมนสวยของวารินให้เงยหน้าสบตาเขาอย่างเบามือ
ดวงหน้าหล่อเหลาคมเข้มลอยอยู่ต่อหน้าต่อตาห่างเพียงไม่ถึงคืบ หัวใจดวงน้อยกระตุกวูบ
แต่ทันทีที่ตั้งสติได้รีบวารินปัดมือนั้นออกอย่างรวดเร็วแต่ทว่าก็ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายคว้าจับไว้ได้ก่อนอยู่ดี
วารินมองมือใหญ่ที่กำรอบข้อมือเขาอยู่ตอนนี้ ทำไมกันนะ? มือเล็กๆที่เคยจับมือเขาไว้แต่ก่อนนั้น
บัดนี้มันถึงได้ใหญ่ขนาดนี้ ใหญ่กว่ามือเขามาก และแรงบีบมหาศาลนั่นอีกมันทำให้เขานิ่วหน้าขึ้นมาเล็กน้อย
“ตัวเล็กๆ ผิวดีๆแบบนี้
อื้อหือออ”
เจ้าของมือใหญ่กระตุกยิ้มร้ายในขณะที่วารินถดตัวจนหลังชิดประตู
เขาพยายามปลดเข็มขัดนิรภัยออกแต่โดนมือแข็งแรงของธาราธารจับล็อคค้างไว้ ใบหน้าคมสันโน้มเข้ามาใกล้ชิดจนวารินตัวแข็งรีบหลับตาปี๋
“ทำหน้าอะไรแบบนั้น..คิดว่าผมจะทำอะไรหรือยังไง”
วารินเบิกตาขึ้นทันที
ใบหน้าเล็กขึ้นสีอย่างเห็นได้ชัด เขายอมรับว่าเผลอคิดเข้าข้างตัวเองว่าต้องโดนธาราธารจูบลงมาแน่ๆ
แต่เมื่ออีกฝ่ายพูดดักทางอย่างรู้ทันวารินจึงอับอายมาก
...นี่เขาโดนแกล้งอีกแล้วสินะ...
“พ..พี่จะลงแล้ว ถอยออกไป”
คนตัวเล็กเสียงดังกลบเกลื่อน ใช้สองมือผลักอกของธาราธารออก รู้สึกเสียเปรียบและสู้ไม่ได้เลยไปทุกอย่าง ธาราธารเป็นเด็กที่ตัวสูงใหญ่มือของเขาจึงดูเล็กมากเมื่อเทียบกับแผงอกกว้างและแข็งแกร่งนั่น
“จูบไม่ลงหรอกนะ ไม่เคยคิดจะบริโภคคนแก่สักที!”
เด็กหนุ่มเน้นย้ำคำว่า ‘แก่’ ลงไปแบบชัดๆเน้นๆพร้อมกับรอยยิ้มร้ายกาจที่ดูเหมือนหยั่งเชิงกัน
วารินกลืนน้ำลายดังเอื๊อก กัดริมฝีปากแน่น นี่เขาโดนปั่นหัวเข้าจนได้ เมื่อสบโอกาสดีเขาชิงปลดเข็มขัดนิรภัยออกทันที
‘ไม่น่ารักเหมือนตอนเป็นเด็กสักนิด’ วารินบ่นพึมพำในใจอยู่คนเดียว
ธาราธารละตัวกลับไปพิงเบาะของตัวเอง
วารินรีบก้าวลงจากรถแต่ก็นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้คุยกับเขาเรื่องหอพักจึงลองก้มลงไปถามดู
“จองไว้แล้วแต่ไม่เข้าไปอยู่หรอกนะ” เขาก้าวลงจากรถ กดสวิทล็อคแล้วเดินนำไปที่ลิฟต์
วารินรีบตามไป
“แต่ปี1 เขาบังคับไม่ใช่เหรอธารไม่ลอง....”
“..พี่ทราย..”
จู่ๆเขาก็หยุดเดินแล้วหันมาเรียกชื่อวารินเป็นครั้งแรก น้ำเสียงทุ้มๆที่เอ่ยเรียก ‘พี่ทราย’ ฟังแล้วรื่นหูมาก
แต่ที่ดีใจยิ่งกว่านั้นมันแสดงให้เห็นว่าธาราธารยอมรับเขาแล้ว
วารินจึงเผลอระบายยิ้มบางๆออกมา
“เดี๋ยวพรุ่งนี้แวะมารับ ว่าไปหาคอนโดแถวนั้นอยู่”
วารินก้าวตามเข้าไปในลิฟต์พักเดียวก็แล่นมาถึงชั้นที่เขาทำงานอยู่ เด็กหนุ่มชะลอจังหวะเดินนิดหนึ่งเพื่อให้วารินเดินนำเข้าไปก่อน
เมื่อถึงโต๊ะทำงานของเขาแล้ว ธาราธารจึงหันหลังเดินกลับออกไปไม่ได้แวะเข้าไปในห้องภัครจิราเลยแม้แต่น้อย
วารินได้แต่หันมองอย่างงงๆ
..เด็กร้ายกาจแบบนั้นจะเป็นไปได้อย่างไรที่จะตั้งใจเดินขึ้นมาส่งเขาถึงโต๊ะทำงาน..
.
.