(แกลเลอรี่หลังเล็กของซี&ทราย)
บทที่3
เมื่อแสงสุดท้ายแห่งอาทิตย์ผ่านพ้นไป
เปลี่ยนเป็นดวงจันทร์สุกใสเข้ามาแทน ที่บ้านหลังเล็กของสองพี่น้อง แกลเลอรี่ไม้สีขาวขนาดกะทัดรัด
กลิ่นหอมอ่อนๆของลั่นทมดอกใหญ่ที่สูงตระหง่านอยู่หน้าบ้านโชยเข้ามาถึงด้านใน
ทำให้บรรยากาศช่วงกลางคืนแบบนี้ดูอิ่มเอมและอบอุ่น
“นั่งยิ้มอะไร หืมม” ภูวดลเอ่ยถามน้องชายตัวเล็ก หลังทานข้าวกันเสร็จเรียบร้อยวารินเดินไปเปิดเพลงเบาๆแล้วมานั่งดูภูวดลลงสีรูป
เขาเล่นเกมส์ทางโทรศัพท์ไปด้วยดูพี่ชายทำงานไปด้วย
“พี่ซีชอบเพลงนี้ไหม”
“ครับ?”
ภูวดลเงยหน้าขึ้นจากงาน ‘ทรายกับทะเล’
เพลงที่ทรายมักเปิดให้เขาฟังทุกครั้งที่เจ้าตัวมานั่งมองเขาทำงาน วารินจะนั่งจ้องเขาแล้วก็ยิ้มให้แบบนี้ทุกครั้งตั้งแต่เด็ก
“ทรายชอบเพลงนี้
‘ทรายกับทะเล’
ก็เหมือน ‘ทรายกับพี่ซี’
ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นเราสองคนจะยังอยู่ด้วยกันเสมอ พี่ซีเคยบอกทรายไว้ทรายจำได้นะครับ”
ภูวดลยิ้มบาง
เขาวางพู่กันในมือลงแล้วเดินเข้ามาหาวารินใกล้ๆมือหนาลูบลงที่ศีรษะเล็กอย่างอ่อนโยน วารินกอดเอวพี่ชายไว้แล้วซุกใบหน้าลงที่พุงอุ่นๆของภูวดล
น้องชายตัวเล็กพึมพำเพลงโปรดในลำคอเบา ๆ
“...คือผืนทรายที่โอบทะเลไว้จะวันใดมั่นคงเหมือนดังที่เป็น อยู่เคียงข้างเธอใจไม่ไหวเอนและยังคงชัดเจนอย่างนั้น
หาดทรายยังสวยรายล้อมทะเลด้วยรักคงไว้ด้วยใจแน่นหนักไม่หวั่นยามพายุผ่าน จะมีเพียงฉันและเธอตราบนานเท่านานมีรักมีใจผสาน
ดั่งทรายอยู่คู่ทะเล.....”
“ปล่อยพี่ได้รึยังคนดี
สีแห้งหมดแล้วครับเดี๋ยวไม่เสร็จนะ”
เขาจำต้องละออกจากน้องชายขี้อ้อนมองเห็นวารินยู่หน้าเป็นลูกหมาอยู่ที่เดิมก็อ่อนใจ
“จะกวนพี่รึไงวันนี้มีอะไรไม่สบายใจใช่ไหม อยากเล่าให้พี่ซีฟังรึเปล่า”
“เปล่าสักหน่อย ทรายขึ้นไปดูข่าวข้างบนดีกว่า เดี๋ยวพี่ซีจ๋าเสร็จแล้วตามมานะทรายรอนอนพร้อมกัน”
ตอนแรกวารินกะว่าจะเล่าเรื่องธาราธารให้ภูวดลฟังแต่ก็เปลี่ยนใจเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเขาโดนแกล้งหลายอย่างไม่อยากให้ภูวดลเป็นห่วง
ภูวดลนั่งทำงานของตนเองไปได้พักหนึ่งเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เขามองหาที่มาของเสียงจึงเห็นว่าวารินลืมวางไว้ที่โซฟา
ชายหนุ่มยกขึ้นมาดูเห็นว่าเป็นเบอร์ที่ไม่ได้บันทึกชื่อไว้
เขาถือขึ้นไปส่งให้น้องชายที่กำลังนอนดูทีวีอยู่ในห้องอย่างสบายอารมณ์
วารินรับโทรศัพท์ไปพักหนึ่งก็ขมวดคิ้วแน่น
จากนั้นก็เปลี่ยนมานั่งกุมขมับเมื่อวางสายลงภูวดลจึงถามว่าเกิดอะไรขึ้น
“คุณธารน่ะครับบอกให้ทรายออกไปหาตอนนี้”
“ตอนนี้! ธาราธารลูกชายคุณภัครจิราน่ะเหรอ”
ภูวดลเหลือบมองนาฬิกาที่โต๊ะ จวนจะหกทุ่มแล้ว
“ครับ
เห็นบอกว่าอยู่ที่ร้าน ฟิฟตี้วิลล่า ให้ทรายไปจ่ายเงินให้น่ะ” วารินเดินไปหยิบเสื้อผ้าที่ตู้มาเปลี่ยนอย่างอารมณ์เสีย
“พี่ซีทำงานเสร็จแล้วเหรอครับ
หรือว่ายังต้องทำต่ออีก”
เมื่อเปลี่ยนชุดเสร็จวารินหยิบกระเป๋าสตางค์โทรศัพท์กับกุญแจรถ
“เดี๋ยวพี่พาไปดีกว่านั่นมันผับไม่ใช่เหรอ
รอพี่เอาพู่กันไปแช่แป็บนึง”
ภูวดลเดินนำลงไปด้านล่างเขารีบจัดการกับอุปกรณ์เครื่องมือระบายสี
จากนั้นจึงเดินออกไปนั่งตำแหน่งคนขับเนื่องจากวารินถอยรถออกมารออยู่ที่หน้าบ้านแล้ว
เขามีรถญี่ปุ่นเล็กๆอยู่คันหนึ่งเอาไว้ให้วารินใช้ขับไปทำงาน
“ขอโทษนะครับทำให้พี่ซีเดือดร้อนไปด้วย”
ภูวดลยกมือขึ้นลูบหัววารินอย่างปลอบใจเมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กทำหน้าเหมือนรู้สึกผิดเอามากๆ ใช้เวลาไม่นานนักสองพี่น้องก็มายืนอยู่ที่หน้าผับชื่อดังแถวทองหล่อแหล่งรวมตัวของคนรวยวัยทีน
เหล่าเซเลปชั้นนำไม่มีใครไม่รู้จัก ฟิฟตี้วิลล่า วารินกดโทรออกหาธาราธารทันที
“พี่ซีรอที่รถนะถ้ามีอะไรโทรมา”
เมื่อภูวดลขอแยกตัวออกมาอย่างรู้หน้าที่
วารินก็ยื่นบัตรให้พนักงานที่ด้านหน้าเมื่อรู้ว่าธาราธารนั่งอยู่ที่โซนเทอเรส ตอนแรกพนักงานจะไม่ให้เข้าแต่เมื่ออ้างชื่อเด็กในความดูแลทุกอย่างก็เดินหน้าอย่างง่ายดาย
“ช้านะ! รู้สึกผมจะโทรหาพี่เป็นชั่วโมงแล้ว”
ธาราธารนั่งไขว่ห้างสบายๆในมือขวาช้อนแก้วไวน์ขึ้นละเลียดจิบขณะที่มือซ้ายสวมกอดเอวหญิงสาวคนหนึ่งไว้
เธอซุกไซ้ริมฝีปากสีสดอยู่แถวซอกคอเขาอย่างลืมอาย วารินนั่งลงข้างๆ
“ใครอ่ะคะธาร
กี้รู้จักได้ไหม”
“พี่ชายผม
กี้อยากรู้จักเหรอครับ” เขาก้มลงจ้องหน้าหญิงสาวใกล้ๆ
กระชับเอวคอดไว้แน่นหอมแก้มเนียนนั้นไปหนึ่งทีก่อนจะปล่อยให้เธอเติมไวน์ใส่ให้เขาอย่างรู้งาน
กี้รินอีกแก้วส่งให้วาริน
“พี่ชายแน่เหรอหน้าตาไม่เห็นเหมือนกันเลย
ธารออกจะหล่อทำไมมีพี่ชายหน้าตาแบบนี้อ่ะ จืดจัง!” กี้แกล้งกระเซ้าหากแต่วารินกลับคิดเป็นจริงเป็นจัง แน่นอนเขาไม่ใช่คนหล่อหากเทียบกับธาราธาร
แต่ใครๆหลายคนต่างก็ชมว่าเขาเป็นคนที่ดูดีผิวพรรณสะอาดหมดจด วารินถึงกับส่ายหัวเบาๆนึกไปว่าเด็กสมัยนี้ช่างใจกล้ากันจริง
ๆ จะพูดจะจาอะไรไม่ให้เกียรติผู้ใหญ่กันบ้างเล้ย
“เตี้ยแบบนี้เรียกว่าหล่อได้ก็แปลกล่ะ”
ธาราธารพึมพำในลำคอแต่วารินก็ยังอุตสาห์ได้ยิน เขาไม่อยากจะสนใจคำพูดแดกดันของเด็กหนุ่มอีกแล้ว นึกอึดอัดและเกรงใจภูวดลที่รออยู่ด้านนอก
วารินกวาดตามองเครื่องดื่มที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ ไวน์ยี่ห้อแพงกับเบียร์นอกยี่ห้อดังรวมถึงกับแกล้มอีกสองสามอย่าง
ธาราธารนี่ตัวล้างตัวผลาญจริง
ๆ
“ธารจะกลับเลยไหม
จะตีหนึ่งแล้วนะ” วารินถามขึ้น ไวน์แก้วแล้วแก้วเล่าที่เด็กสาวบรรจงรินแล้วส่งให้ธาราธาร
วารินเห็นท่าจะไม่ได้กลับง่ายๆแน่เขาจึงตั้งใจจะลุกออกไปบอกภูวดลแต่ถูกธาราธารดึงแขนไว้
“ทำไมไม่กิน
จะไปไหน” เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาถาม
“เรียกเก็บตังค์เลยได้ไหมพี่ง่วงนอนแล้ว”
ธาราธารชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนหันไปบอกบางอย่างกับเด็กสาว
เขาล้วงกระเป๋าควักใบพันมานับให้จำนวนหนึ่งหลังจากนั้นเด็กที่ชื่อกี้ก็หันมาส่งยิ้มหวานให้วาริน
วารินจึงยิ้มตอบไปหน่อยหนึ่งแล้วเธอก็เดินออกไปจากโต๊ะ
“สนใจเหรอ เขาชื่อกี้ทำพาร์ทไทม์ที่นี่ นัมเบอร์วันด้วยนะ
เด็กผมเองถ้าสนใจจะแบ่งให้ก็ได้”
ธาราธารพูดแล้วยกแก้วขึ้นดื่มอย่างไม่คิดอะไรในขณะที่วารินแก้มแดงเป็นลูกตำลึงสุกไปแล้ว
วารินเป็นผู้ชายเรียบร้อย ตัวและนิสัยเขาเด็กกว่าอายุจริงมากมายแม้เขาจะเข้าวัย 30 แล้วแต่ก็ยังไม่เคยคบใครจริงจังเลยสักคนและเพราะอย่างนั้นเมื่อพูดเรื่องเซ็กส์เขาจึงรู้สึกหน้าร้อนผ่าวขึ้นมา
พอดีกับมีพนักงานเอาใบเสร็จเข้ามาให้ วารินมองจำนวนเงินแล้วยื่นบัตรจ่ายออกไป
สองหมื่นหก....ธาราธารเป็นเด็กที่น่ากลัวจริง ๆ
“จะอายอะไร้ผู้ชายด้วยกัน”
เด็กหนุ่มพึมพำ
พนักงานเดินกลับมาเอาสลิปให้วารินเซ็นธาราธารวางทิปไว้ให้1 ใบแล้วลุกขึ้นเดินนำออกไป น้องพนักงานรีบโค้งต่ำให้เกือบเก้าสิบองศา แน่นอนอยู่แล้วได้ทิปแบงค์สีเทาขนาดนั้นเป็นใครๆก็โค้ง
“มันไม่เยอะไปหน่อยเหรอ ใช้เงินให้มันเพลาลงบ้างเหอะ” เมื่อออกมาถึงด้านนอกวารินจึงเอ่ยปาก ธาราธารชะงักกึกดวงตาคมกริบหันกลับมามองเขาเขม็ง
“พี่เป็นใคร?! เป็นแม่ผมเหรอ” เขาใช้น้ำเสียงเย็นเยียบ วารินฟังแล้วถึงกับหน้าชา
“รู้จักกันได้แค่วันเดียวอย่าทำมาเป็นสั่งสอน แล้วนี่มายังไง?”
ได้รู้จักธาราธารมาตั้งแต่เช้าจนถึงป่านนี้วารินถึงได้ตระหนักว่าเด็กนี่เป็นคนเอาแน่เอานอนไม่ได้
นึกจะพูดดีเรียกพี่ก็ดีใจหาย แต่ถ้าพูดจาไม่สบอารมณ์เข้าหน่อยเขาจะอารมณ์เสียแล้วเปลี่ยนเป็นแข็งกระด้างทันที
วารินข้องใจว่าธาราธารถูกเลี้ยงดูมาแบบไหนกันแน่
“..ทราย..”
เสียงทุ้มนุ่มของภูวดลเรียกขึ้นใกล้ๆแต่กลับดึงความสนใจจากวารินได้ทั้งหมด
“ขอโทษครับพี่ซีช้าไปหน่อย
ธารนี่พี่ชายพี่ ชื่อพี่ซี พี่ซีครับนี่คุณธาราธาร” วารินแนะนำสองคนให้รู้จักกัน ธาราธารไม่กล่าวทักออกไปเขาใช้สายตาดูแคลนมองภูวดลตั้งแต่หัวจรดเท้า
ภูวดลเองเมื่อเห็นแบบนั้นจึงไม่ใส่ใจคนตรงหน้าอีกเขาเดินเข้าไปโอบเอววารินไว้ “กลับได้รึยังครับ
ดึกแล้ว”
“งั้น....
“แต่พี่ต้องไปส่งผมก่อน” ธาราธารพูดแทรกขึ้นห้วนๆขณะที่วารินกำลังจะเอ่ยปากบอกลา
“หืม? แล้วธารมายังไง”
“ขับรถมา แต่ตอนนี้ขับกลับไม่ไหวแล้ว เมา!” น้ำเสียงที่พูดไม่ได้แสดงความเมาเลยสักนิดเดียว
วารินได้แต่ถอนใจอย่างระอา
“เป็นพี่เลี้ยงผมไม่ใช่รึไง ทำก็ทำให้ถึงที่สุดสิ ออกมาจ่ายเงินให้แล้วก็ต้องพากลับไปส่งให้ถึง
เตียง ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวผมหนีไปเที่ยวต่อจะยุ่งยากพี่ทรายอีกนะครับ หึหึ” เขาแกล้งกระซิบกระซาบถ้อยคำใส่วาริน พลางทำสีหน้ายียวนใส่ภูวดลที่กำลังส่งสายตาเป็นห่วงคนน้องอย่างชัดเจน
เห็นแล้วยิ่งรู้สึกข้องใจ
...พี่ชายมองน้องชายด้วยสายตาแบบนี้??...
“พี่ซีครับเดี๋ยวผมไปส่งคุณธารก่อนแล้วจะตามกลับไปนะครับ”
วารินตกลงใจว่าจะไปส่งธารธาราเขาจึงเดินเข้าไปบอกพี่ชายใกล้ๆ
ภูวดลยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูก่อนบอกกลับน้องชายว่าเดี๋ยวเขาจะรอเปิดบ้านให้ ให้วารินขับรถดีๆไปส่งเสร็จแล้วให้รีบกลับ
วารินรับคำ
“แวะซื้อกาแฟก่อนนะ หิว”
พอรถเคลื่อนออกมาได้ธาราธารก็พูดขึ้น
“กินของที่ไหนล่ะ บอกทางแล้วกัน”
ธาราธารบอกทางวนไปเวียนมาวารินขับตามให้วุ่นวายไปหมด ในที่สุดรถก็มาจอดตีไฟที่หน้าร้านกาแฟร้านหนึ่ง
“ลงไปซื้อให้สิ ผมเอา ชามะนาวเชคนะ ”
วารินหันกลับมามองในทันที ไหนว่าจะกินกาแฟแล้วให้ลงไปซื้อชามะนาวเนี่ยนะ
“ลงไปดิ เดี๋ยววนรถมารับ มันจอดไม่ได้เนี่ย เห็นไหม” เขายัดแบงค์ร้อยใสกระเป๋าเสื้อให้วารินหนึ่งใบและบอกไม่ให้วารินเอากระเป๋าสตางค์กับโทรศัพท์ลงไปเพราะกลัวจะเกะกะถือของไม่สะดวก
ในที่สุดคนตัวเล็กก็เดินลงไปซื้อ ธาราธารเปลี่ยนมาเป็นคนขับแล้วเขาก็ขับหายออกไป
วารินกลับมายืนรออยู่เกือบสามสิบนาที เขายกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูแล้วดูอีก ตีสองแล้ว
อย่าบอกนะว่าเขาโดนเจ้าเด็กนั่นกลั่นแกล้งอีก
มันจะเป็นไปได้อย่างไรขับรถไปวนไม่น่าจะกินเวลาเกินสิบห้านาทีด้วยซ้ำ ช่วงดึกดื่นแบบนี้รถลาก็ไม่ค่อยมีถนนโล่ง
วารินยืนรอจน
เหนื่อยเขาหย่อนตัวลงนั่งข้างฟุตบาตวางแก้วชามะนาวลงข้าง ๆ
ไม่สนใจจะละลายหรือไม่ โทรศัพท์กระเป๋าสตางค์อยู่บนรถทั้งหมด ถ้าโดนทิ้งขึ้นมาจริง
ๆ คงต้องเรียกแท็กซี่กลับ แต่แท็กซี่ดึกดื่นป่านนี้อันตรายมาก
เขาเริ่มนึกถึงภูวดล ป่านนี้พี่คงชะเง้อคอยอยู่ที่หน้าบ้าน
รอบ ๆ ตัวเงียบขึ้นไปทุกทีไฟสีส้มจากยอดตึกสูงค่อยดับลงดวงแล้วดวงเล่า
คนเริ่มน้อยลงไปเรื่อย ๆที่สำคัญเขาไม่รู้ทางเลยว่าจุดนี้มันคือส่วนไหนของกรุงเทพกัน
เพราะว่าขับมาตามที่ธาราธารบอกวนซ้ายเวียนขวามั่วไปหมด
ดูนาฬิกาอีกทีจวนจะตีสามแล้ว วารินเริ่มคอตกก้มหน้าซุกหัวเข่า
ธาราธารคงเกลียดเขามากถึงได้แกล้งเขาขนาดนี้
เขาไปทำอะไรให้กัน ดวงตากลมรื้นไปด้วยน้ำ
วารินเกือบจะร้องไห้อยู่แล้วถ้าไม่มีรถคันคุ้นเคยมาจอดลงต่อหน้าเขาเสียก่อน คนขับคุยโทรศัพท์ค้างอยู่หน้าตายิ้มแย้มอารมณ์ดี
ธาราธารที่ยังแนบโทรศัพท์มือถือไว้กับหูเปิดรถเดินลงมาเปลี่ยนเป็นตำแหน่งเป็นคนนั่ง
วารินรีบเดินขึ้นไปนั่งแทนที่ตำแหน่งคนขับ
คนตัวเล็กขับไปโดยไม่พูดไม่จาอะไรเลย ขณะที่อีกฝ่ายก็ชี้บอกทางเป็นระยะ
พอเข้าเขตที่เขาเริ่มคุ้น เด็กหนุ่มข้างๆก็วางโทรศัพท์ลง
...ใช่ เขาเพิ่งคุยกับปลายสายจบ...
“ธารไปไหนมา พี่รอเรานานเลยนะ” วารินเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน
ธาราธารยกชามะนาวขึ้นมาดูดแล้วทำหน้าแปลกๆ มันคงจืดหมดแล้ววารินแอบสมน้ำหน้าในใจ
“คุยโทรศัพท์ไง ลืมไปว่าต้องกลับมารับ
เผลอขับเกือบจะถึงบ้านแน่ะ” เขาตอบเรียบ ๆ
เหมือนเป็นเรื่องธรรมดาไม่ได้ทำอะไรผิดที่ปล่อยให้อีกฝ่ายรออยู่เกือบสองชั่วโมง
วารินแทบอยากจะหันไปด่า เขาเม้มปากแน่นอย่างอดทน
“กลัวถูกทิ้งหรือไง ตาแดงเชียวนะ ร้องไห้เหรอไหนดูดิ๊”
เขาพูดยิ้มๆแกล้งเอามือมาเชยคางเล็กให้หันมาหา วารินรีบผลักมือเขาออกห่างแล้วดุว่าอย่าเล่นอะไรแบบนี้อีก
ดึกๆมันเปลี่ยวจะว่าเขากลัวก็ได้
“รู้แล้วน่าโทษที” ธาราธารงึมงำๆในลำคอเบา ๆ แต่วารินก็ยังแอบได้ยิน
“นี่! คนนั้นน่ะ พี่ชายพี่แน่เหรอ” พอรถเปลี่ยนมาขึ้นทางด่วนจู่ๆ ธาราธารก็ถามขึ้นวารินหันมามองเขาแวบหนึ่งแล้วหันกลับไปตั้งใจขับต่อ
วารินเพิ่งเคยขับบีเอ็มสปอร์ตเป็นครั้งแรกเพราะฉะนั้นจึงตั้งใจขับมากอีกทั้งกลางคืนรถก็วิ่งกันเร็วกว่าปกติ
ธาราธารเอื้อมมือไปกดปุ่มเปิดหลังคา วารินตกใจทำหน้าเหรอหรา ลมโกรกผมปลิวยุ่งไปหมด
“หึหึ ทำหน้าอะไรตลก แค่เปิดหลังคารับลมหน่อย
ตกใจอะไรนักหนาคิดว่าหลังคารถปลิวรึไง” เขายกแขนท้าวขอบประตูไว้ เสยผมเล่นแข่งกับแรงลม
“จะเปิดทำไมลมแรง
แสบตาด้วย” ที่สำคัญอายคนมากแต่วารินไม่กล้าพูด
“ผมพี่ทิ่มตาน่ะสิ
ไว้ยาวทำไมเป็นผู้ชายแท้ๆ” เขาขยับเข้ามาใกล้
คว้ารวบผมด้านหน้าของวารินเสยขึ้นค้างไว้แล้วเปิดเอายางรัดผมที่ช่องเก็บของออกมามัดรวบครึ่งหัวให้วารินแบบลวกๆ
วารินหันมองเขาแบบงงๆลดระดับความเร็วลงนิดหน่อย
“เห็นแล้วรำคาญลูกตาชะมัด
ยาวจนทิ่มคอแล้วไปตัดซะด้วยล่ะ”
คนตัวเล็กแอบอมยิ้มเมื่อเห็นใบหน้าของเด็กหนุ่มเริ่มแดงระเรื่อขึ้นมา
เขารู้ธาราธารตั้งใจทำให้ จริงๆก็เป็นเด็กที่อ่อนโยนเหมือนกันเพียงแต่พูดและแสดงออกไม่เป็นเท่านั้นเอง รถยังคงเคลื่อนตัวเหยียบเงาของเสาไฟฟ้าที่ทอดยาวไปเรื่อยๆต้นแล้วต้นเล่า
จะว่าไปวารินไม่เคยออกมาขับรถเล่นในช่วงเวลาดึกดื่นแบบนี้เลยด้วยซ้ำ
“ว่าไง..ยังไม่ตอบผมเลยนะ คนนั้นน่ะพี่ชายจริงเหรอ”
“ใช่ดิ พี่ชายพี่ใจดีนะวาดรูปสวยด้วย”
“หน้าตาไม่เห็นเหมือนกัน”
“ไม่เหมือนหรอกพี่ซีน่ะหล่อ ส่วนพี่...ก็อย่างที่เห็นอ่ะ”
“ผมว่าพี่หน้าเหมือน ‘ลูกหมา’ ว่ะตัวก็เล็ก ตลก!”
“เราน่ะสิหมาธาร ล้อผู้ใหญ่มันบาปนะ”
“นี่ พี่อายุเท่าไหร่อะ เอาตรงๆ”
“เลขสามแล้ว” วารินตอบไปตามความจริงไม่คิดอะไร
“จริงป่ะเนี่ย โหแก่ว่ะผมนึกว่าเพิ่งจบมาซะอีก”
“คิดหน่อยเหอะน้องธาร
คุณภัครเธอคงยอมให้เด็กเพิ่งจบมาดูแลลูกเธอหรอกนะ” วารินเริ่มคิดไปถึงวันเก่าๆธาราธารคงจำเขาไม่ได้แล้วจริง
ๆ
“หึ พอพูดดีด้วยแล้วต่อปากต่อคำเชียวนะ ระวังตัวไว้เหอะ”
วารินหันมองอีกคนที่นั่งบ่นพึมพำพร้อมอมยิ้มมุมปากนิดๆ เขาปล่อยให้เด็กหนุ่มนั่งเงียบๆต่อไปจนสุดทาง
“พรุ่งนี้ผมจะไปดูคอนโดนะ แล้วก็จะเข้าไปติดต่อเรื่องหอพักที่มหาวิทยาลัยด้วย
พี่คงต้องไปกับผม” เมื่อรถจอดลงที่หน้าบ้านธาราธารจึงบอกกับวารินเรื่องงานที่จะต้องทำในวันพรุ่งนี้
“สายๆพี่ไปรอผมที่โรงแรมเลยเดี๋ยวจะแวะเข้าไปรับ” วารินลงจากรถเขายื่นกุญแจคืนให้ธาราธาร
“แล้วพี่จะกลับยังไง แท็กซี่?”
“ครับใช่ เดี๋ยวเดินออกไปแป็บเดียว” ดีที่บ้านของธาราธารอยู่ติดถนนใหญ่เดินแค่ไม่กี่เมตรก็เรียกแท็กซี่ได้แล้ว
“ตีสามเนี่ยนะ”
“ไปล่ะพรุ่งนี้เจอกัน” ในขณะที่เดินวารินกลับคิดในใจว่าระยะทางจากหน้ารั้วไปที่ถนนใหญ่ยังใกล้กว่าระยะทางจากตัวบ้านถึงหน้ารั้วเสียอีก
ธาราธารยืนมองแผ่นหลังเล็กที่เดินเลี้ยวออกไปจากรั้วบ้านของเขา
คิ้วเข้มขมวดมุ่นเขาเดินเข้าบ้านทั้งที่จิตใจฟุ้งซ่านมาก
ทั้งที่รู้ว่าวารินเป็นผู้ชายเหมือนกับเขาแต่ทำไมต้องเป็นห่วง
คิดสารพัดจนเวลาล่วงไปเกือบชั่วโมงหลังอาบน้ำเสร็จเขาเดินออกมาที่ริมระเบียงกว้างมองไปทางถนนใหญ่หวังจะดูให้เห็นว่าวารินหารถกลับไปได้รึยังแท็กซี่จะปลอดภัยไหมป่านนี้จะถึงบ้านเรียบร้อยหรือเปล่า
ทำไมเขาถึงประมาทไม่เดินออกไปส่งแล้วถ่ายทะเบียนรถไว้นะ
“โถ่เว้ย! ผู้ชายเหมือนกันกูจะห่วงทำไมนักหนาวะเนี่ย” เขาสะบัดหัวไล่ความคิดถอดชุดคลุมอาบน้ำออกแล้วขึ้นเตียงในสภาพเปลือย
....เขาไม่เคยสวมเสื้อผ้านอน....เรื่องปกติ.....
ดวงตาคมกริบข่มลงในความมืด
ทั้งที่ในหัวยังมีภาพของวารินเต็มไปหมด
.
.
“พี่ซีนอนเถอะครับ ดึกมากแล้วทรายขอโทษนะ”
วารินเดินเข้าไปหาภูวดลที่กำลังล้างพู่กันแปรงทาสีที่เขาแช่ไว้ หลังจากเดินออกมาจากบ้านธาราธาร วารินตั้งใจจะเรียกแท็กซี่
แต่รถญี่ปุ่นเก่าๆคันเล็กที่คุ้นเคยกลับมาจอดเทียบลงตรงหน้าเขา ภูวดลเห็นว่าช้าผิดปกติจึงขับตามออกมาดู
เขารู้จักบ้านภัครจิราอยู่ก่อนแล้ววารินเคยบอกไว้เพราะอยู่ไม่ไกลจากบ้านพวกเขา
“เสร็จแล้วครับ ป่ะทรายเปิดแอร์ไว้รึยัง”
เมื่อภูวดลเรียงอุปกรณ์ระบายสีผึ่งไว้เรียบร้อยเขาจึงเดินนำวารินขึ้นไปชั้นบน
แกลลอรี่เล็กๆที่เป็นทั้งบ้านและเป็นทั้งร้านของเขา กับน้องชายบุญธรรมที่เขารักมากกว่าใครๆทั้งหมด
สองมือหนาบรรจงห่มผ้ากระชับอกให้วารินอย่างเบามือเขาทำให้น้องแบบนี้ทุกวันตั้งแต่เด็ก
“วันนี้พี่ซีนอนกับทรายนะ ไม่ต้องไปนอนห้องนั้นหรอก
นะครับ”
วารินคว้าเอามือของพี่ชายมากุมไว้ภูวดลยีหัวเล็กอย่างเอ็นดูเขาส่งยิ้มบางให้เจ้าตัวยุ่งก่อนสอดตัวเข้าไปนอนข้างกันแล้วโอบกอดเอววารินเอาไว้หลวมๆ
บางทีเขาก็คิด
คิดเกินกว่าที่พี่ชายคนหนึ่งควรจะคิด
อยากจูบอยากทำทุกอย่างอยากครอบครองคนในอ้อมกอดนี้ไว้แค่คนเดียว
เขาไม่เคยถามวารินว่ารู้สึกแบบเดียวกันกับเขารึเปล่า
“ทราย” ภูวดลกระซิบเรียก
“ครับ”วารินลืมตาขึ้นตอบรับ
“พี่ซีจูบได้ไหม”
วารินอมยิ้มเอียงแก้มใสส่งให้พี่ชาย
ภูวดลอยากจะบอกเหลือเกินว่าไม่ใช่จูบแบบที่เขาเคยทำในทุกๆครั้ง
ชายหนุ่มบรรจงจูบลงเบาๆบนแก้มขาวเนียนนั่น
วารินมีกลิ่นนมติดตัวเสมอ
อาจเป็นเพราะเขาจะให้น้องชายดื่มนมก่อนนอนเป็นประจำ วารินจึงชอบดื่มนมมากดังนั้นเวลาที่เขาจูบลงที่แก้มขาวเนียนนั่น
กลิ่นหอมของนมจะแตะปลายจมูกเขาจนเขาแทบคลั่ง เผลอซุกไซ้ลงที่ซอกคอหอมอย่างช่วยไม่ได้
“คิคิคิ พี่ซีแกล้งทรายอีกแล้วหอมทีไรเป็นแบบนี้ทุกที
ทรายจั๊กจี๋” วารินหดคออย่างจั๊กจี้ขนลุกซู่ไปหมด
“จั๊กจี๋แล้วชอบไหม หืม”
เขายังไม่ยอมปล่อยคนตัวเล็กในอ้อมกอด ปลายจมูกโด่งยังซึมซับเอากลิ่นหอมนมจากซอกคอขาวนุ่มไม่ยอมห่าง
“ไม่ชอบ ทรายเสียว” วารินตอบหน้าแดงแป๊ด
“ไม่ชอบไม่ได้เพราะพี่ซีจ๋าชอบ
พี่ซีจ๋าจะจูบแก้มทรายแบบนี้ทุกวัน”สายตาเจ้าเล่ห์ของภูวดลทำให้วารินยิ่งเขินอายเข้าไปอีก
“ใครอนุญาต”
“น้องชายอนุญาต”
“พี่ซีเจ้าเล่ห์ น้องชายที่ไหนจะให้พี่ชายทำแบบนี้”
“เจ้าเล่ห์แล้วรักไหม รักพี่ซีไหม” ภูวดลขยับตัวลงมานอนกอดวารินให้ดีๆ
ขณะที่คนตัวเล็กเองก็ตะแคงหน้าเข้าหาแล้วโอบเอวหนานั่นไว้แน่น
“รักครับ ทรายรักพี่ซี”
“พี่ซีก็รักทรายนะครับทรายนอนนะ” ภูวดลลูบศีรษะเล็กเบาๆก่อนลุกไปปิดไฟและเดินเข้าห้องน้ำไป
วารินนอนฟังเสียงครางเรียกชื่อตัวเองที่ดังมาจากห้องอาบน้ำ
เขารู้ดีว่าภูวดลคิดกับเขาแบบไหน แต่วารินกลับยังไม่แน่ใจความรู้สึกของตัวเอง เขารู้ว่าเขารักภูวดลมากที่สุดเท่าที่น้องชายคนหนึ่งจะรักพี่ชายได้
เขาไม่เคยมีแฟนไม่เคยคบกับใคร เขารู้สึกเฉยๆกับผู้หญิง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษกับผู้ชายด้วยกัน
มีเพียงภูวดลเท่านั้นที่วารินรู้สึกผูกพันด้วย
แต่จะถึงขั้นรักแบบคนรักได้รึเปล่านั้นเขายังตอบตัวเองไม่ได้เลยจริง ๆ
เขาเคยแอบคิดเล่นๆว่าถ้าหากภูวดล ‘ขอ’ เขาจะ ‘ให้’ ได้รึเปล่า
คำตอบก็คือ ‘ไม่’
เขาให้ได้มากสุดเท่านี้จริง ๆ
.
.