บทที่ 20 Unbreak My Heart(50%)
“ระวังจะตกเอานะพี่ทราย”
นับดาวยืนมองวารินด้วยสายตาเป็นห่วง เช้านี้เธอเห็นเขาหน้าตาซีดๆแถมตัวก็ยังรุม
ๆ รู้ทั้งรู้ว่าเมื่อคืนเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับคนที่นอนห้องข้าง ๆ
แต่นับดาวก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดมาก
“ไม่เป็นไรหรอก
อะไรที่พี่ช่วยได้ก็อยากจะช่วยแค่ปัดฝุ่นเอง” ช่วงนี้มีคนเข้าออกที่บ้านนี้บ่อยมากส่วนใหญ่เป็นคนรู้จักของภัครจิราที่มาเยี่ยมเยียนเธอ เขาและนับดาวจึงต้องดูแลบ้านช่องให้สะอาดเรียบร้อย
“ถ้ามันแค่ปัดฝุ่นธรรมดาดาวก็ไม่ห่วงหรอก
แต่นี่แชนดาเลียร์นะพี่ แล้วพี่ก็ยังปีนบันไดเสียสูงอย่าตกลงมาก็แล้วกัน” ดาวแหงนหน้ามองมือเล็กๆที่จับไม้ขนไก่ปัดตามหยดคริสตัลที่ย้อยระย้าอยู่ที่โคมไฟขนาดยักษ์
“คราบผม จะตกลงไปได้ยังไง
พี่เป็นผู้ชายจะให้ผู้หญิงอย่างดาวปีนขึ้นมาเช็ดได้ยังไงกันล่ะ” วารินหันมายิ้มให้กับนับดาวแล้วส่งสายตาดุๆบอกไม่ต้องห่วง
“ดาวว่าดาวไปเรียกพี่เตมาขึ้นเช็ดให้ดีกว่าปกติไม่พี่เตก็ดาวนี่แหละที่เป็นคนทำ”
นับดาวยังไม่ยอม
“บอกแล้วไงว่าทำได้ๆ เชื่อใจกันดิ” วารินหันมองหน้าคนยืนหน้ามุ่ยอยู่ด้านล่าง
เขารู้ว่านับดาวเป็นห่วงแต่ใจก็อยากจะแกล้งอีกคนเล่น
“โอ๊ะๆๆๆๆ”
วารินแกล้งทำตัวเอนไปเอนมาเหมือนกับว่าทรงตัวไว้ไม่อยู่
นับดาวหน้าซีดลงทันทีรีบวิ่งเข้ามาเกาะฐานบันไดมิเนียมที่วารินใช้ปีนให้แน่นหนา
พอเห็นอีกฝ่ายหัวเราะร่านับดาวถึงรู้ว่าตนเองโดนแกล้ง วารินเบะปากยักไหล่ทำไม่รู้ไม่ชี้
นับดาวจึงได้แต่แกล้งชี้นิ้วบอกให้ระวังตัวไว้ให้ดีเดี๋ยวจะแกล้งกลับให้ยิ้มไม่ออกเลย
วารินจึงบอกเธอไปว่าจ้างให้ก็ไม่กลัวหรอก
สองคนเล่นกันไปคุยไปและวารินก็ดื้อดึงเช็ดโคมไฟจนเสร็จจากนั้นเขาจึงปีนลงมาเช็ดเปียโนหลังใหญ่ต่อ
อดไม่ได้ที่จะพรมนิ้วลงไปทั้งที่เล่นไม่เป็นเลยสักนิดแต่ก็อยากจะทดลองกดเพราะชอบเสียงดังติ๊งตั๊งของเปียโนมาก
เมื่อตอนเด็กวารินเคยไปแอบดูเพื่อนที่โรงเรียนเล่นที่ห้องเปียโน แต่ตัวเขาที่ไม่ได้จ่ายเงินเพิ่มจึงไม่มีสิทธิ์จะเข้าไปนั่งเรียนในห้องนั้นด้วยได้แต่เกาะขอบหน้าต่างดูเท่านั้น
“คุณธารเล่นเพราะกว่านี้อีก”
นับดาวพูดขึ้นเงยหน้าจากเช็ดพรมบนพื้นทำท่านึกถึงวันเก่าๆสมัยเธอยังเด็กตามวันนามาทำงานที่บ้านนี้แอบเห็นคุณหนูของบ้านนั่งเล่นเปียโนให้คุณแม่ของเขาฟังอยู่บ่อย
ๆ แต่พักหลังมานี่ธาราธารกลับไม่เคยแตะต้องเปียโนหลังนี้อีกเลย
“หูยก็คนหนึ่งเล่นเป็น อีกคนไม่เคยเล่นเลยนี่
นี่แน่ะๆไม่เพราะใช่ไหมๆๆๆ” วารินเบะปากแกล้งพรมนิ้วแบบมั่วๆยั่วนับดาว
“อ้าวก็ดาวเห็นพี่ทรายเล่นตั้งท่าเสียแบบนั้นดาวก็คิดว่าพี่เล่นเป็นน่ะสิ”
วารินหันมายิ้มแหยๆใส่นับดาวหน้ายู่แกล้งงอน
“ดาว..วันนี้ดาวขึ้นไปดูคุณภัครบ้างรึยัง”
วารินเปลี่ยนเรื่อง ชวนนับดาวคุยถึงอาการของภัครจิราดู
“ไปแล้วพี่ทราย
เมื่อเช้าคุณธารก็ทานข้าวในห้องกับคุณภัครท่านนะ
คุณธารรักคุณภัครมากเลยนะพี่ทรายบางครั้งดาวเห็นคุณธารนั่งอ่านหนังสือแล้วยังจับมือท่านไว้ตลอดเลย”
นับดาวพูดด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ
นึกถึงภาพน่ารักๆที่เกิดขึ้นระหว่างภัครจิรากับธาราธาร
สายใยของแม่กับลูกแววตาห่วงใยที่ธาราธารมีให้กับภัครจิราเธอเห็นได้ชัดเจนขึ้นเมื่อไม่นานมานี้เอง
“แต่ดาวสงสัย
ทำไมคุณธารไม่ยอมให้พี่ทรายขึ้นไปดูคุณภัครท่านเลย
คุณทรายมาอยู่ที่นี่ก็เพื่อดูแลท่านไม่ใช่หรือ”
ดาวถามอย่างซื่อๆในความสงสัยของตัวเอง
“พี่เองก็ไม่รู้ต้องรอไปถึงเมื่อไหร่
แต่พี่จะอดทน อดทนให้ถึงที่สุด”
วารินส่งยิ้มบางกลับไปให้
นับดาวที่ไม่รู้เรื่องระหว่างเขากับทัตพลและภัครจิราไม่ผิดที่จะถามไถ่ออกมาแบบนั้น
“พี่ทราย” ดาวคลานเข่าเข้ามาหาวารินใกล้ ๆเพราะตอนนี้คนตัวเล็กย้ายก้นลงมานั่งอยู่ที่พื้นข้างโต๊ะเปียโนแล้ว
“ดาวสงสารพี่นะ”ดาวทำท่ากระซิบกระซาบวารินได้แต่เลิกคิ้วถามว่าเรื่องอะไร
“ก็เรื่องเมื่อคืนน่ะ”
ทันทีที่ดาวพูดจบวารินตาเบิกกว้างทันทีมือเล็กยกขึ้นปิดปากตัวเองอย่างตกใจ
“ดาวได้ยินด้วย?!”
“หูยพี่ทราย
ดาวไม่ได้หูตึงนะเสียงดังโครมครามแบบนั้น คุณธารก็แปลกๆอย่างไรไม่รู้เหมือนกับไม่ชอบหน้าพี่ทรายอย่างแรงแต่บางทีดาวกลับรู้สึกว่าคุณธารชอบพี่มากๆเลย”
“ดาว!” วารินรีบเอามืออุดปากนับดาวแทบไมทันที่พูดโพล่งเรื่องไร้สาระออกมา
คนตัวเล็กหันซ้ายหันขวากลัวจะมีใครมาได้ยิน
...เมื่อก่อนรักชอบกันน่ะใช่
แต่เดี่ยวนี้มันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว...
“อุ้ยพี่ทราย
มีใครมาไม่รู้เดี๋ยวดาวออกไปดูก่อน”
พูดจบก็วิ่งแจ้นออกไปที่บันไดหินอ่อนหน้าบ้านทันที
วารินชะเง้อคอมองเห็นรถคันใหญ่แล่นเข้ามาจอดเทียบอยู่ด้านหน้า
มีผู้หญิงท่าทางภูมิฐานคนหนึ่งและหญิงสาววัยรุ่นก้าวลงมาจากเบาะหลัง
วารินรีบยืนขึ้นทันทีเพราะจำได้ว่าเธอคือหนึ่งในบรรดาหุ้นส่วนที่ภัครจิราร่วมทุนในโครงการต่าง
ๆ
“สวัสดีครับคุณป้า”
ธาราธารที่เดินลงมาจากด้านบนกล่าวทักทายกับแขกที่มาเยี่ยมเยียนถึงบ้านน่าจะเป็นศศิธรเลขาเก่าของภัครจิราที่โทรมาแจ้งเขาไว้แล้ว
เขาหันมองวารินครู่หนึ่งแล้วไม่ได้สนใจอีก
วารินรีบหลบเข้าไปเตรียมน้ำท่าอยู่ในครัว
“จ้าไหว้พระเถอะลูก
ป้าพาน้องบัวมาเยี่ยมคุณภัครน่ะจ๊ะ”
“ทั้งสองท่านเชิญด้านบนเลยครับ
คุณภัครท่านอยู่ที่ห้องพักผ่อน” ทินกรที่รู้งานเชิญเข็มอัปศรและบัวชมพูขึ้นไปที่ด้านบน
ธาราธารเองก็ตามขึ้นไปด้วย ใช้เวลาไม่นานนักทั้งสามคนก็กลับลงมา
“เห็นว่าเราสองคนรู้จักกันแล้วถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวป้าฝากลูกบัวไว้กับน้องธารเลยแล้วกันนะลูก
พอดีป้ามีธุระต่อไว้ค่อยให้น้องธารไปส่งบัวที่บ้านก็แล้วกันนะจ๊ะ บัวคุยกับธารเขาไปก่อนนะลูกนะ ดูแลคุณแม่ให้ดีนะธารป้าไปล่ะ”
เธอพยักหน้าแล้วยิ้มให้
บีบมือลูกสาวเหมือนให้กำลังใจก่อนลุกขึ้นเดินไปหาทินกรที่ยืนรอส่งขึ้นรถอยู่ก่อนแล้ว
ในขณะที่บัวชมพูยืนทำหน้าเอียงอายลอบแอบมองธาราธารอยู่เป็นระยะ
“ไปคุยด้านในดีกว่านะครับ”
ร่างสูงใหญ่ก้าวนำ
ยื่นมือไปหาเธอบัวชมพูยิ้มกว้างมือส่งเล็กนุ่มนิ่มไปคว้าจับมือใหญ่และเย็นของธาราธารไว้แน่น
ทั้งสองคนเปลี่ยนที่คุยมาเป็นที่ห้องนั่งเล่นเล็ก
“บัวคิดถึงธารนะ
เจอกันที่ตึกก็ไม่ค่อยได้คุยกันเลย ธารเงียบไปจนบัวคิดว่าธารโกรธเกลียดบัวแล้ว”บัวชมพูหมายถึงตึกเรียนในเขตของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยที่พวกเขาเรียนกันอยู่
“จะเกลียดได้ยังไงกันล่ะ
บัวน่ารักขนาดนี้”
นับดาวเอาน้ำเข้ามาเสิร์ฟให้พอดี
ธาราธารจึงบอกให้จัดผลไม้เข้ามาให้บัวชมพูด้วยและกำชับว่าให้วารินเป็นคนเอาเข้ามาให้
“ธารน่ะปากหวานแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
บัวชมพูหน้าแดงแป๊ดเธอก้มหน้ามือจิกหมอนอิงอย่างเอียงอายแกล้งทุบแขนธาราธารเบา
ๆ
“ก็ไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ
เป็นแบบนี้ตั้งนานแล้วนี่”
เขาตอบเรียบๆบัวชมพูยิ่งบิดม้วนไปกันใหญ่
ธาราธารคว้ามือเธอมาจับแล้วกระตุกแขนเบา ๆ “มานี่มา มานั่งนี่”
เขามองลงที่ตักของตัวเองหญิงสาวที่เขินจนตัวแดงแต่ก็ยอมลุกขึ้นมา
ก้นกลมกลึงวางลงบนหน้าขาแข็งแรงของเขาได้พอดีธาราธารโอบเอวเธอไว้กันไม่ให้ตก
ขณะที่วารินเดินเอาจานผมไม้เข้ามาวางให้
“ตัวหอมจัง
น่ากินน่าทะนุถนอม” เขาแกล้งทำปากงับลงที่ท่อนแขนขาว
บัวชมพูร้องอ๊ะแล้วแกล้งผลักเขาเบา ๆธาราธารยิ้มให้อย่างใจดี
“อย่าดื้อสิไม่ชอบคนดื้อ”
เขาว่าเสียงพร่าต่ำคำพูดคำจาแอบเหน็บใครบางคน บัวชมพูเขินอายจนไม่รู้จะเอามือไปวางไว้ที่ไหนเขาจึงจับมือเธอขึ้นมาจูบ
“คิดถึงคืนนั้นจัง
บัวน่ารักจริง ๆ” บัวชมพูแกล้งตะลุมกำปั้นเล็กใส่แขนเขาแก้เขิน “บ้า ธาร บ้าๆ”
วารินไม่รู้เลยว่าตัวเองก้าวออกมาจากห้องนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่
บทสนทนาหวานชื่นทั้งหลายแหล่ดังซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในห้วงสามัญสำนึก
เขาจำผู้หญิงคนนี้ได้แล้ว คนที่ธาราธารพาไปนอนด้วยอยู่ที่คอนโดคืนนั้น
ผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขากล้าพามานอนค้างที่ห้อง
มือเล็กๆถูแก้วที่อยู่ในอ่างซ้ำไปซ้ำมาจนดาวเข้ามาสะกิดเรียกตั้งหลายครั้งกว่าวารินจะได้ยิน
“อ...เออ
พี่คิดอะไรเพลินไปหน่อย มีอะไรล่ะ”
“พี่ว่าคนสวยๆนั้นน่ะแฟนคุณธารหรือเปล่า”
ดาวกระซิบกระซาบ วันนี้เธอนินทาเจ้านายหลายครั้งแล้ว วารินเองก็ทำหน้าไม่ถูก
“ม..ไม่รู้สิ”
วารินอึกอักตอบ
“ดาวว่าแม่เธอตั้งใจพามาหาคุณธารมากกว่ามาเยี่ยมคุณภัครจิราเสียอีก
มีอย่างที่ไหนแม่ขอตัวกลับไปแล้วปล่อยลูกไว้กับผู้ชายสองต่อสอง น่าเกลียด”
“ชู่ว อย่าพูดเสียงดังสิดาว มันไม่ดีนะ” วารินรีบเอามือจุ๊ปากบอกดาวให้ระวังหน่อยเวลาจะพูดอะไร
แต่ดาวไม่ได้สนใจคำปรามเลยสักนิด
“โน่นพี่ดูสิ
นั่งคลอเคลียกันไม่ห่างเลยอ่ะ จิ๊! คุณธารเธอจะชอบเร้อก็คุณธารน่ะชอบผู้ชา......ย”
ดาวพูดอย่างลืมตัวจนท้ายประโยคต้องมองมาที่วารินอย่างรู้สึกผิดแล้วยกมือขอโทษขอโพยจนท่วมหัว
วารินร้องห้ามแทบไม่ทัน
“พี่ดูสินั่นน่ะ”
ดาวพยักเพยิดไปทางห้องรับรองอีกครั้งวารินได้แต่มองตามสายตานั้นไป ภาพสองคนใกล้ชิดกันทำเอาเขาร้าวไปทั้งใจ
“บัวคิดถึงธาร.....คิดถึง”
เธอเน้นย้ำเสียงหวาน
ย้ำคำว่าคิดถึงเพื่อให้ธาราธารเข้าใจได้ว่า ‘คิดถึง’ ในความหมายแบบไหน ซึ่งเขาเองก็ไม่ได้โง่
เข้าใจตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
มือเล็กกุมฝ่ามือใหญ่ไว้แล้วเอาขึ้นมาแนบที่แก้มแดงซ่านของตัวเอง
“คิดถึงที่สุด”
กระซิบเสียงหวานแผ่วตราตรึง
แล้วค่อยเลื่อนฝ่ามือใหญ่ของเขาลงมาเกาะกุมที่เนินอกอิ่มของตนเอง
ธาราธารมองหน้าเธอเรียบ ๆ แต่แววตาทอประกายแปลกใจเล็กน้อย
ท่อนแขนเรียวยกขึ้นไปคล้องคอเขาไว้แล้วรั้งลงมาหาอย่างนิ่มนวล
“บัวรักธาร”
เสียงกระซิบชวนฝันพร้อมกับใบหน้าเย้ายวนที่ลอยอยู่เบื้องล่าง
ธาราธารมองเธอด้วยแววตาที่เธอมิอาจเข้าใจความหมายได้ ขณะดวงตาคู่สวยของเธอกลับเย้ายวนเชื้อเชิญเขาอย่างเปิดเผย
เขาโน้มกายเข้ามาใกล้ตามสัญชาตญาณและแรงดึงของคนใต้ร่าง
เมื่อริมฝีปากมาบรรจบกันเป็นบัวชมพูที่อดรนทนไม่ไหว เธอเป็นฝ่ายรุกล้ำเขาเองด้วยจุมพิตอันดุเดือดหิวโหยแต่ก็นิ่มนวลราวกับต้องการเป็นเจ้าข้าวเจ้าของทั้งหมดทุกส่วนของเขา
เธอยังจำได้ดีเสมอครั้งแรกที่เธอมอบพรหมจรรย์ให้กับเขา
เขาไม่ยอมจูบเธอเลยแม้แต่ครั้งเดียวไม่ว่าเธอจะพยายามเพียงใดสิ่งที่ได้กลับมาจากเขาช่างไร้ค่ามีแต่ความเย็นชาเท่านั้นที่หยิบยื่นกลับมาให้
แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม
ธาราธารจูบตอบเธอพูดกับเธอด้วยถ้อยคำหวานซึ้งรื่นหูไม่เย็นชาอีกต่อไปแล้ว ใบหน้าหวานหยดย้อยยกยิ้มอยู่ในใจอย่างลิงโลดและเธอยิ่งดีใจหนักขึ้นเป็นเท่าทวีคูณเมื่อเขาลากลิ้นลงไปแตะชิมที่ต้นขอขาวผ่องของเธอ
นิ้วเรียวยาวสอดไล้ลงที่เรือนผมนุ่มสวยของเขา
ลมหายใจร้อนผ่าวรินรดตามจุดกระสันของซอกคอขาวเนียน
เพล้ง!!!!
เสียงของบางอย่างตกแตกกระจายเรียกสติทั้งเธอและเขาให้กลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง
ธาราธารจ้องมองไปยังใบหน้าเล็กๆของคนที่ยืนนิ่งอยู่หน้าทางเข้าห้องในตอนนี้ที่ขาเต็มไปด้วยเศษแก้วและรอยน้ำหกเป็นทาง
ดวงตาคู่สวยเบิกค้างก่อนจะฉายแววเจ็บช้ำร้าวรานออกมาให้เห็น คนตัวเล็กถอยร่นโดยไม่สนใจว่าจะเหยียบเศษแก้วที่ตกเกลื่อนอยู่หรือไม่
หลังประตูห้องนอนที่ทั้งเล็กและแคบวารินค่อยทรุดตัวนั่งลงชันเข่าขึ้นมาแล้วก้มหน้าซบลงไป
ตาดวงเล็กชอกช้ำน้ำตาไหลพรากลงมาเป็นทาง ถ้อยคำที่เขาพูดคุยกันหวานซึ้งเสียจนมันเฝ้าวนเวียนตอกย้ำอยู่ในหัวใจดวงน้อยราวกับจะเหยียบย่ำให้แหลกสลายไปคามือ
สัมผัสอ่อนโยนที่ธาราธารมอบให้ผู้หญิงคนนั้นมันช่างต่างกับสัมผัสที่แสนโหดร้ายมอบให้กับตัวเขาราวกับฟ้าและเหว
ภาพที่เขาประทับริมฝีปากลงที่ซอกคอขาวเนียนไล้เลียอย่างอ่อนโยนถูกนำมาฉายซ้ำอีกรอบราวกับจะตอกย้ำความเป็นจริงให้วารินได้เห็นว่าคนที่เจ้าตัวเขามอบหัวใจและร่างกายให้จริง
ๆ แล้วคือใคร เสียงสะอื้นดังลอดออกมาแทนที่ความเงียบงันในยามบ่าย
หัวใจดวงน้อยร่ำไห้อย่างร้าวรานสุดระทม
.
.
“คุณทรายจะไปไหนครับ”
เตโชวิ่งเข้ามาถามเมื่อเห็นวารินหิ้วกระเป๋าส่วนตัวสะพายออกมาหน้าบ้าน
“พี่ทรายจะกลับบ้าน
พี่เตถามทำไมจะไปส่งให้เหรอ” เป็นนับดาวที่ชิงตอบแทนวาริน
“แล้วจะกลับมาวันไหนครับ
เดี๋ยวผมไปส่งดีกว่านะแดดร้อนกว่าจะเดินไปถึงหน้าปากซอย”
“ค้างแค่คืนเดียว
เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็กลับมาแล้วถ้านายเตจะไปส่งให้จริง ๆ ก็ขอบใจเลยขี้เกียจเดินพอดี”
วารินยิ้มบางรับข้อเสนอ แสงแดดยามบ่ายแบบนี้ถ้าเลี่ยงได้ก็อยากจะเลี่ยง เตโชจึงวิ่งไปที่โรงจอดรถเพื่อหยิบกุญแจแล้วถอยรถกระบะคันสมบุกสมบันที่วารินใช้ขับไปตลาดเสมอออกมาจอดรอ
“ไปนะดาว
ถ้าธารเขาถามก็ค่อยบอกแต่ถ้าเขาไม่ถามก็ไม่ต้องพูดอะไรหรอก เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่ก็กลับแล้ว ค่อยหาเวลาไปดูต้นไม้ด้วยกันนะ”
นับดาวรับคำวารินจึงเดินไปขึ้นรถที่มีเตโชสตาร์ทรออยู่ก่อนแล้ว
ใช้เวลาไม่นานนักรถก็มาจอดลงที่หน้าบ้านหลังเล็กที่ด้านหน้ามีระเบียงไม้ต่อเติมออกมาเป็นแกลอรี่ขนาดกะทัดรัดวารินก้าวลงมาจากรถสูดดมกลิ่นหอมของดอกลั่นทมที่ยังชูช่ออวดกลีบดอกสีขาวอมเหลือดอกใหญ่สวยงาม
“นายเตแน่ใจนะว่าไม่เข้าไปดื่มน้ำก่อน”
เตโชส่งกระเป๋าสะพายให้วาริน เป็นเขาที่ชิงคว้ากระเป๋าใบนี้ลงมาก่อนตอนที่วารินจะลงจากรถ
“ไม่หรอกครับส่งแค่นี้ดีกว่า
พรุ่งนี้คุณทรายจะกลับตอนไหนหรือครับถ้าไม่มีรถโทรมาที่บ้านก็ได้เดี๋ยวผม.....”
“ไม่เป็นไรเดี๋ยวพี่ชายฉันก็ไปส่งเอง
นายเตไม่ต้องเป็นห่วง ขอบใจมากรีบกลับเถอะ”
วารินตบลงที่บ่าแกร่งเพื่อขอบคุณ
เตโชยิ้มกว้างวารินจึงแซวเขาว่าไม่เคยเห็นรอยยิ้มแบบนี้ของเตโชเลยทำเอาคนตัวใหญ่หน้าแดงแจ๋รีบก้าวขึ้นรถแล้วขับบรื้นออกไป
“..ทราย...”
วารินที่ก้มลงปิดกลอนประตูรั้วไม้ต้องหันขวับกลับไปมองตามเสียงเรียกที่แสนอบอุ่นและคุ้นเคย
ภูวดลยืนรอรับเขาอยู่ด้วยใบหน้าและรอยยิ้มเดิมที่พักพิงได้เสมอไม่ว่าเมื่อไหร่
ร่างเล็กๆยืนนิ่งก้าวขาไม่ออกสบสายตากับพี่ชายอยู่ครู่หนึ่งน้ำตาก็ไหลทะลักออกมาเป็นทางภูวดลรีบเดินเข้ามากอดคนตัวเล็กไว้เต็มอ้อมแขน
ไหล่เล็กไหวสะท้านเมื่อซบลงบนบ่ากว้าง บ่านี้ที่ปลอบใจเขาเสมอ
บ่านี้ที่รอคอยเขาเสมอ และบ่านี้ที่รักเขาด้วยความบริสุทธิ์ใจ
“ร้องไห้ทำไมครับ
หืม”
เขาลูบหัวคนตัวเล็กแล้วจูบลงอย่างรักใคร่ไม่ว่าเมื่อไหร่วารินก็น่ารักน่าทะนุถนอมอยู่เสมอ
“ไปอยู่บ้านโน้นแค่อาทิตย์เดียวถึงขนาดกลายเป็นเด็กขี้แยแล้วนะเนี่ย”
เขาแกล้งกระเซ้าขณะโอบตัวอีกคนเข้าบ้าน
วารินทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟาอย่างแรงนอนก่ายขาสะเปะสะปะอย่างไม่อายใคร
บ้านคือวิมานของเราจริง ๆ จะทำอะไรก็ย่อมได้
“คุณภัครท่านเป็นอย่างไรบ้างละ”
ภูวดลยื่นแก้วนมเย็น ๆ ส่งให้
“ก็...ดีขึ้นนิดหน่อยครับแต่ก็ยังพูดไม่ได้อยู่เหมือนเดิม
ป้าวันแกก็ช่วยเรื่องกายภาพได้เยอะอยู่เหมือนกัน”
วารินสะดุดนิดหน่อยกับคำถามแต่ก็ตอบไปตามที่ได้ยินนับดาวเล่าให้ฟัง ภูวดลเบียดตัวลงนั่งด้านหลังวารินแล้วโอบคนตัวเล็กไว้ในอ้อมกอดใหญ่เขากดปลายคางลงที่ไหล่บางสูดดมกลิ่นหอมที่ไม่ได้รับมานานจนวารินต้องย่นคอด้วยความจั๊กจี๋เขาแกล้งจี้เอวจนวารินต้องล้มตัวนอนลงบันตักของเขาภูวดลรีบตามลงไปกอด
ลมหายใจร้อนผ่าวรินรดอยู่แถวต้นคอขาวนวลเนียน
“พี่ซีทรายจักจี้อย่าเล่นสิครับ”
คนตัวเล็กหัวเราะจนตาหยี หดตัวหนีกันให้วุ่นแต่โดนมือแข็งแรงโอบรัดไว้ไม่ยอมให้หลุดรอด
“นิดเดียวนะขอพี่ซีหอมตรงนี้ก่อนคิดถึงจัง”
ภูวดลกดปลายจมูกโด่งลงที่ต้นคอขาวเนียนนั้นอีกครั้ง แต่ทว่าจู่ๆเขากลับชะงักสายตาจดจ้องอยู่ที่รอยสีแดงแถวเนินไหล่เล็กนั่น
“ทราย
รอยอะไรอยู่ที่ไหล่ครับ” ทันทีที่ได้ยินคำถามวารินเด้งตัวลุกพรวดขึ้นทันที ถึงแม้วันนี้เขาเลือกใส่เสื้อเชิ้ตปิดต้นคอแต่เมื่อสักครู่ภูวดลคงจะมองลงไปเห็น
วารินแกล้งทำเป็นส่องดูอีกทีแล้วแก้ตัวขลุกขลัก
“อ๋อเนี่ย
ยุงครับ บ้านคุณภัครมีสระน้ำทั้งหน้าบ้านหลังบ้านยุงเลยเยอะมาก
เวลาทรายออกมานั่งคุยกับดาวตอนกลางคืนนะกัดทะลุทะลวงเลย
ขาเนี่ยแดงไปหมดเลยนะพี่ซี”
“ระวังหน่อยสิ
เดี๋ยวได้เป็นไข้เลือดออกกันพอดี ดึกดื่นก็เข้านอนสิครับจะมานั่งคุยอะไรกันนักหนา”
ภูวดลเริ่มเปลี่ยนมาบ่นคนตัวเล็กแต่สีหน้าดูผ่อนคลายจากเมื่อสักครู่เยอะมาก
วารินแอบถอนหายใจพรืดใหญ่กลัวภูวดลจะจับได้ว่าโกหกถ้าภูวดลดื้อรั้นจะขอดูจริง ๆ
เขาคงหมดทางแก้ตัวแน่ๆ เพราะรอยสีแดงนั่นมันมีเกลื่อนแทบจะเต็มตัวเลยก็ว่าได้
สองพี่น้องทานข้าวเย็นร่วมกันอย่างอารมณ์ดี
วารินช่วยพี่ชายทำอาหารง่าย ๆ
ขณะที่ภูวดลยอมทิ้งงานที่รับมาไว้ทำวันหลังเพื่อจะพาวารินขึ้นไปนอนเล่นด้านบน
รอยยิ้มเล็กๆประดับบนใบหน้าอบอุ่นจนวารินต้องหันมาแซว มือเล็กโอบเอวพี่ชายไว้ไม่ยอมห่างออดอ้อนเหมือนลูกหมาตัวเล็ก
ๆ ภูวดลจำเป็นต้องละมือจากงานล้างจานเช็ดกับผ้ากันเปื้อนจนแห้งแล้วลูบศีรษะเล็กเพื่อเชยชม
“เก่งครับ
วันนี้เก่งมากช่วยพี่ซีได้ตั้งหลายอย่าง เดี๋ยวทรายขึ้นไปอาบน้ำรอเลยนะ พี่ซีตรวจบ้านเดี๋ยวเดียวแล้วจะตามขึ้นไป”
วารินยิ้มกว้างวันนี้เขาจะไม่เหงาแล้ว
จะได้นอนกอดเอวอุ่น ๆ
ของพี่ชายที่เขารักร่างเล็กๆทั้งกระโดดทั้งเต้นขึ้นบันไดไปอย่างร่าเริงภูวดลได้แต่หัวเราะในลำคอเบาๆแล้วส่ายหน้าทั้งรอยยิ้มอย่างมีความสุข
.
.
“บ้าฉิบ!”
เสียงทุ้มคำรามขึ้นอย่างหัวเสียทันทีที่นับดาวบอกเขาว่าวารินกลับบ้านพรุ่งนี้จึงจะกลับมา
ธาราธารไม่ได้โกรธที่วารินกลับไป แต่โกรธมากๆที่ไปโดยไม่ยอมบอกเขาสักคำ หลังจากพาบัวชมพูออกไปทานข้าว ซื้อของ เขาแวะไปส่งเธอที่บ้านขัดไม่ได้เมื่อโดนเข็มอัปสรคุณแม่ของเธอรั้งให้อยู่เพื่อทานข้าวเย็นด้วยกันกว่าจะกลับมาถึงบ้านก็เกือบสามทุ่มเข้าไปแล้ว
ธาราธารหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความหงุดหงิดเห็นอะไรก็พาลไปเสียทุกอย่างเขาจึงเรียกนับดาวให้เอากาแฟเข้ามาให้
“พี่ทรายเขาออกไปยังไง
พี่ชายเขามารับหรือว่าออกไปเอง” เขาถามขึ้นห้วน ๆ ขณะที่นับดาววางแก้วกาแฟลง
“พี่เตไปส่งค่ะ
ไปส่งที่บ้านเพราะกลัวว่าคุณทรายจะร้อน”
นับดาวช่างเป็นเด็กที่ซื่อสัตย์ตอบออกไปตามความจริงโดยหวังจะให้ธาราธารรู้สึกดีๆ
แต่เปล่าเลยทุกอย่างกลับตาลปัดกันไปหมดทันทีที่ได้ยินว่าเตโชขับรถไปส่งให้ถึงบ้านอารมณ์เขาก็พุ่งปรี๊ดขึ้นทันที
ร่างสูงใหญ่จ้ำพรวดออกจากบ้านโดยไม่รีรออะไรแล้ว เสียงล้อครูดกับพื้นถนนหน้าบ้านลากอย่างดังนับดาวถึงได้เพิ่งรู้ตัวว่าตนเองพูดเรื่องไม่สมควรออกไป
รีบล้วงเอาโทรศัพท์ขึ้นมากดออกโทรหาวารินทันที
แต่ซวยซ้ำซวยซ้อนวารินดันไม่ได้เปิดเครื่องเลยตั้งแต่บ่าย
ปี๊นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน
“พี่ซี
เสียงใครบีบแตรครับ ดังลั่นเลย”
ในห้องที่มืดมิดวารินกำลังนอนคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้อยู่กับภูวดลได้ยินเสียงกดแตรลั่นยาวดังมาจากหน้าบ้านก็ตกใจหันกลับไปถามพี่ชาย
ภูวดลลุกขึ้นไปเลิกม่านดูเห็นรถเบนซ์สีขาวเปิดประทุนคันเดิมของธาราธารก็หันกลับมามองที่วารินด้วยแววตาเหงา
ๆ วารินรีบลุกขึ้นไปหาแล้วส่องดูทันที
ร่างสูงใหญ่ยืนพิงอยู่ที่ประตูรถเปิดประทุนคันเดิมมองขึ้นมาที่หน้าต่างชั้นบนแล้วกดแตรเรียกอย่างเอาแต่ใจอีกเป็นรอบที่สาม
ภูวดลถอนใจได้แต่ส่ายหน้าเปิดไฟแล้วรีบเดินลงไปด้านล่าง ทว่าวารินกลับรู้สึกแย่เสียยิ่งกว่า รู้ชะตากรรมแล้วว่าวันนี้คงจะไม่ได้นอนค้างที่นี่แน่
Tbc.