บทที่ 21
Unbreak My Heart 100%
“พี่ทรายอยู่ไหน”
ทันทีที่ภูวดลเดินมาถึงหน้ารั้วไม้
ธาราธารก็ส่งเสียงถามขึ้นห้วนๆ เขาไม่เคยยกมือไหว้ภูวดลเลยแม้แต่ครั้งเดียว
อีกฝ่ายมองเขาครู่หนึ่ง ชั่งใจอยู่เป็นนานว่าจะก้มลงเปิดบ้านให้ดีหรือไม่วารินก็ก้าวออกมายืนอยู่ข้าง
ๆ แล้ว คนตัวเล็กมองหน้าแขกที่มาใหม่แล้วต้องรีบเบือนหันไปทางอื่นกลัวจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว
เหตุการณ์เมื่อเช้ายังตอกย้ำในหัวใจดวงน้อยให้ปวดร้าวดั่งโดนมีดกรีดเฉือน
“วันนี้พี่จะค้างที่นี่
ธารมีอะไรรึเปล่า”
วารินพูดเสียงเบาโดยไม่ได้มองหน้าเขาเลย หลังจากภูวดลเปิดรั้วไม้ออก เขาเดินก้าวเข้ามาด้านในมองภูวดลอยู่พักหนึ่งจากนั้นเบนเป้าหมายมาที่คนตัวเล็กแทน
“ไม่มีธุระอะไรหรอกครับพี่ทราย
ผมแค่แวะเอาของมาให้พี่เท่านั้นเอง รบกวนตามออกมาเอาที่รถด้วย”
เขาพูดนิ่ม ๆ
พร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน ทว่าสายตานั้นเหมือนขู่บังคับให้วารินต้องหันมาสบ แล้วจำใจต้องเดินตามเขาออกไป
พอพ้นสายตาภูวดลเท่านั้นร่างสูงใหญ่ก็ก้มลงกระซิบเข้าที่ริมหูเล็กด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบแต่กัดกินลงไปถึงก้นลึกของหัวใจ
“นอนที่นี่เป็นคืนสุดท้ายเสียก็ดี
เพราะพรุ่งนี้ผมจะเผาไล่ที่อยู่แล้ว
เชิญระลึกความหลังเมื่อครั้งยังเด็กกันเสียให้พอ”
วารินเบิกตากว้างทันทีที่เขาพูดจบ
แต่เขายังไม่หยุดอยู่แค่นั้นเสียงเย็นๆนั่นยังพูดต่อด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยราวรูปปั้นที่ไร้ความรู้สึก
“อ้อ เดี๋ยวก่อนกลับจะได้บอกพี่ชายพี่เสียเลยว่าเนื้อตัวของพี่มันหวานล้ำแค่ไหนโดนผมกอดเสียจนร้องครางลั่นไม่เป็นภาษาขนาดนั้น ไอ้คืนแรกของเราน่ะมีเป็นวีดีโอด้วยนะ จะเอามาให้พี่ชายพี่ดูด้วยดีไหม
หืมม!”
รอยยิ้มร้ายปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากซาตานปิศาจ
วารินเซถอยหลังอย่างหมดเรี่ยวแรงมือเล็กเกาะประตูรถแน่นเพื่อช่วยพยุงตัว
“ถ้ายังอยากให้ความลับยังคงเป็นความลับต่อไปและถ้ายังอยากให้พี่ชายได้อยู่บ้านเล็กๆหลังนี้อยู่ล่ะก็ไปหยิบกระเป๋าออกมา
ผมจะรออยู่ที่นี่”
เขาเปิดรถเข้าไปนั่งอย่างผู้มีชัย
เท้าแขนลงกับขอบประตู รถเปิดประทุนสีขาวสวยงามทว่าใจคนกลับดำทมิฬยิ่งกว่าปีศาจร้าย
วารินน้ำตาตกในก้าวขาเข้าไปในบ้านอีกครั้งภูวดลรีบประคองจับคนตัวเล็กไว้
“ทราย!” ใบหน้าคมขมวดคิ้วแน่นเมื่อรู้สึกแย่สุดขีดกับเจ้านายของน้องชายอย่างธาราธาร
วารินรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ พรูลมหายใจตั้งสติกลับมาใหม่
“เดี๋ยววันนี้ทรายต้องกลับไปก่อน
วันหลังทรายจะมาหาอีกนะครับวันนี้มันจำเป็นจริง ๆ พี่ซีทรายขอโทษนะ”
วารินกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลตกลงมารีบขึ้นไปหยิบกระเป๋าแล้วเดินลงมายกมือไหว้ภูวดล
พี่ชายตรงเข้าสวมกอดเขาทันทีมือใหญ่ลูบศีรษะเล็ก
“ถ้ามันลำบากนักก็กลับมาอยู่บ้านเราสิ
ทรายคนเดียวพี่เลี้ยงได้ทำไมถึงต้องอดทนขนาดนั้นด้วย”
วารินแสนจะเจ็บช้ำเขารู้ว่าภูวดลเป็นห่วงแทบขาดใจแต่ไม่สามารถทำอะไรได้ เป็นตัวเขาเองที่ยินยอมอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายต่าง
ๆ แบบนี้
“ธารเขาเป็นเด็กมีปัญหาน่ะครับ ทรายไม่เป็นไรหรอกพี่ซีขึ้นนอนเถอะนะ
เดี๋ยวทรายล็อคบ้านให้เอง” ร่างเล็กๆไม่หันกลับไปมองภูวดลอีก กลัวว่าจะห้ามน้ำตาที่เกือบจะตกลงมาไม่ไหว เปิดประตูแล้วก้าวขึ้นรถคันงามไป ไฟท้ายรถตีเลี้ยวออกจากซอย
พี่ชายคนดีที่ยืนอยู่ริมรั้วถอนหายใจอย่างอดทน เขาได้แต่ภาวนาให้น้องชายของเขาทำงานอยู่ที่นั่นอย่างปลอดภัยและสบายใจ
ช่วงเวลาที่ดึกสงัดรถสปอร์ตคันเดิมกลับมาโฉบเฉี่ยวไปตามท้องถนนอย่างกับพายุ
วารินยึดสายเข็มขัดไว้แน่นเช่นเคย เข็มวัดระดับความเร็วที่เร่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ
ขณะที่เสี้ยวหน้าของคนขับนิ่งขรึมราวกับสัตว์ร้าย
ดวงตาคู่สวยทอประกายสั่นระริกอย่าเห็นได้ชัด
“ธาร! มันเร็วไปแล้วนะ”
วารินรู้แล้วว่าธาราธารขับออกนอกเส้นทาง นี่ไม่ใช่ทางกลับบ้าน เขากำลังพาออกไปนอกเมือง
“ธารจอดเดี๋ยวนี้!”
วารินตะโกนสั่งเสียงเขียวเมื่อเห็นว่าเขาไม่คิดจะยกเท้าแตะเบรกเลยด้วยซ้ำ ยังคงเหยียบคันเร่งจนจมมิด
ใจดวงน้อยไหวสะท้านด้วยความกลัว
“พี่บอกให้จอดไง! จอดเดี๋ยวนี้นะ!!” เสียงเล็กตะโกนออกมาดังลั่นทั้งน้ำตา
เอี๊ยดดดดดดดดดด!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
เขาเบรกลงอย่างแรงถ้าเป็นตอนกลางวันคงจะเห็นฝุ่นตลบล้อ
วารินกระเด็นไปชนคอนโซนรถดีที่ยังมีสายเข็มขัดรัดไว้จึงไม่เจ็บมากนัก ทว่าไม่ทันได้ตั้งตัวธาราธารเอื้อมมือเข้ากระชากท่อนแขนบางแล้วบีบอย่างไม่ปราณีปราศัย วารินเบ้หน้าด้วยความเจ็บ
“รู้ตัวไหมว่าทำผิดเรื่องอะไร” แววตาของเขาโกรธเกรี้ยวและดุดัน วารินจ้องหน้าเขานิ่ง
ไม่เข้าใจแค่กลับบ้านทำไมเขาจึงต้องโกรธเคืองกันขนาดนั้น
“พี่ก็แค่กลับบ้าน
มันผิดด้วยหรือไง” เสียงเล็กๆสั่นเครืออีกทั้งแววตาที่ไหวระริกเพราะความหวาดกลัวคนตรงหน้า
มือเล็กๆของวารินพยายามแกะมือใหญ่ของเขาออกจากท่อนแขนของตัวเอง
“กลับบ้านไม่ได้ผิดเลย
ที่ผิดก็คือกลับโดยไม่ได้บอกผมสักคำและที่สำคัญใครกันที่มันมาส่งพี่ถึงที่บ้านนั่น”
เขาเน้นทุกถ้อยคำ โน้มใบหน้าโกรธเกรี้ยวเข้าใกล้แล้วออกแรงบีบขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัว
“ผมเห็นหลายทีแล้วนะ
ชอบมันมากเหรอแบบไอ้เตโชคนสวนน่ะ ถูกใจพี่มากใช่ไหม!” ธาราธารตะโกนลั่นแววตาเกรี้ยวกราด บีบสองมือเล็กให้แน่นขึ้นอีกแล้วผลักวารินจนติดประตู
“อยากกลับบ้านมาหาพี่ชายหรือว่าอยากออกมาขับรถเล่นกับมันกันแน่
เก่งไม่เบานะเจอกันไม่กี่วันถึงขนาดกล้าให้เขามาส่งถึงหน้าบ้าน ออกมากันตั้งแต่กี่โมงล่ะแวะที่ไหนกันบ้างโดนมันกอดเข้าแล้วใช่ไหมถึงได้มีสีหน้าร่าเริงขนาดนั้น”
นี่ถ้ามือไม่ได้ถูกจับตรึงไว้แบบนี้วารินคงได้สะบัดใส่ใบหน้าเขาไปแล้ว
น้ำนัยน์ตาไหลพรากกับคำพูดเหยียดหยามที่เขาประณามหัวใจดวงน้อย ทำไมเขาถึงได้ร้ายกาจนักจิตใจทำด้วยอะไรกัน
วารินมองมือคู่นั้นที่เขาเคยจับจูงเล่นเมื่อครั้งยังเล็ก
มือที่ไร้เดียงสานั่นบัดนี้มันกลายเป็นมือที่ใหญ่มากและร้อนมากราวกับเปลวเพลิงที่คอยบีบคั้นเขาให้เจ็บปวดทุกข์ทรมานจนแสนสาหัส
“ใช่! พี่มันร่านอยากโดนเขากอดเลยชวนเขาออกมาข้างนอกเพราะทำในบ้านมันไม่สะดวกไง
สะใจแล้วใช่ไหม! พอใจธารแล้วรึยัง!! พอใจไหม!!!...ฮึกก...ฮือๆๆ”
เสียงเล็กๆตะโกนลั่น
น้ำตาไหลนองหน้าดวงตาแดงก่ำด้วยความโกรธที่เขาพูดจาทำร้ายกัน
ในเมื่อเขาอยากให้เลวก็จะเลวให้ถึงที่สุดเลวให้สมใจเขา
แต่วารินหารู้ไม่ว่าคำพูดประชดประชันเมื่อตะกี้เป็นดั่งเชื้อเพลิงชั้นดีที่ราดรดลงบนกองไฟ
ธาราธารบดกรามจนเป็นสันนูนเปิดประตูเดินลงมาจากที่นั่งฝั่งคนขับทันที
เขากระชากประตูฝั่งวารินออกเอื้อมมือไปกดสายเข็มขัดนิรภัยแล้วกระชากท่อนแขนเล็กลากทั้งตัวออกมาโยนโครมลงบนพื้นถนนข้างทาง
สีหน้าที่มีแต่ความดุดันเกรี้ยวกราดวารินกลัวจนต้องถดตัวถอยไปกับพื้น
เขาก้มลงมาลากแขนเล็กนั่นขึ้นมาบีบอีกหน
“รู้อะไรไหม”
เขาว่าเสียงเย็นเหมือนคนอดกลั้นจนถึงที่สุด
“ห้องเก็บเครื่องมือทำสวนก็เป็นความคิดที่ไม่เลวเหมือนกัน
แต่ก่อนหน้านั้นให้สำนึกเสียด้วยว่าตัวเองทำอะไรผิดไป อยากบอกให้จอดนักใช่ไหมถ้าอย่างนั้นก็อยู่มันตรงนี้แหละ
หาทางกลับเอาเองก็แล้วกัน หรือจะโทรเรียกไอ้เตโชมันมารับก็ได้นะผมอนุญาต”
เขาดันตัววารินจนเซล้มไปอีกรอบแล้วกระชากรถขับออกไปเลยไม่สนใจคนตัวเล็กที่บัดนี้นั่งอยู่ริมข้างทางมืดๆ
ในตัวไม่มีอะไรเลยนอกจากชุดนอนที่สวมใส่
ดวงตากลมสั่นระริกกวาดมองรอบตัวด้วยความหวาดกลัวจับหัวใจ
น้ำตาทะลักทะลายออกมาอีกรอบขณะที่กลิ่นฝนเริ่มลอยขึ้นมาติดปลายจมูกไม่นานนักเสียงฟ้าร้องครืน
ๆ ที่ดังห่างออกไปไม่ใกล้ไม่ไกลพักเดียวก็เทกระหน่ำลงมากระทบผิวหน้าขาวที่บัดนี้แดงช้ำจากรอยน้ำตา
วารินยกสองมือขึ้นกอดตัวเองแล้วเดินเข้าหาร่มไม้ข้างทางเพื่อพักพิง
เสียงสะอื้นดังกลั้วไปกับเสียงคำรามของท้องฟ้าราวกับว่าฝนฟ้าทอดอาลัยให้กับรอยน้ำตาของคนตัวเล็ก
วารินทรุดกายนั่งลงด้วยความหนาวสะท้าน
ร่างกายเล็กๆสั่นเป็นลูกนก พยายามมองหาแท็กซี่ที่จะขับผ่านไปมา
แต่จะมีรถคันไหนกันจะมาจอดรับคนแปลกหน้าที่ยืนตากฝนอยู่เพียงลำพัง
เรียวนิ้วแข็งแรงกดปิดหลังคารถหรูเมื่อเม็ดฝนทยอยร่วงหล่นใส่ใบหน้าหล่อเหลาที่บัดนี้ฉายแววกังวลจนถึงที่สุด
เขาตีรถกลับทันทีความรู้สึกผิดเข้าถาโถมในจิตใจจนปวดหนึบ ไฟหน้ารถตีกระพริบถี่ตรงบริเวณที่จอดทิ้งคนตัวเล็กไว้เมื่อสักครู่
เพ่งสายตาคมกริบผ่านกระจกด้านหน้าที่บัดนี้มีก้านที่ปัดน้ำฝนปัดซ้ายปัดขวาทั้งเร็วและรัว
รถคลานตัวไปเรื่อยๆขณะที่จิตใจเขาร้อนรุ่มดั่งใครเอาไฟมาจุดเผา
“อยู่ที่ไหนกันนะ
ดื้อด้าน! แทนที่จะนั่งอยู่กับที่”
ได้แต่บ่นคนเดียวอยู่อย่างนั้นสองมือกำพวงมาลัยแน่น
แต่เมื่อสองตาเพ่งจ้องเห็นร่างเล็ก ๆ
นั่งคุดคู้อยู่ที่พื้นใต้ต้นไม้เล็กๆใช้สองมือกอดตัวเองอย่างน่าเวทนาเนื้อตัวสั่นเทิ้มเขารีบเปิดประตูรถตรงออกไปหาวารินทันทีไม่ใส่ใจต่อเม็ดฝนที่กำลังเทลงมาเลยสักนิดเสียงสายฟ้ายังดังครืนครานอยู่ไม่หยุดวารินยกสองมือปิดหู
“ขึ้นรถ!” เขากระชากเสียงใส่ดึงแขนคนตัวเล็กให้ลุกขึ้น
สายตายังคงความโกรธ ขึงขังดุดัน
“ไม่ไป! อยากไปไหนก็ไปเลยอยากทิ้งกันก็ไปเลยไม่ต้องมาสนใจ
กลับมารับกันทำไม! กลับมาอีกทำไม!!”
เมื่อวารินเห็นว่าเป็นใครที่มายืนอยู่ตรงหน้าความรู้สึกโกรธที่ถูกทอดทิ้งก็พังครืนลงทันที
คำพูดคำจาประชดประชันถูกเค้นออกจากสมองน้อย ๆ สุดที่จะคิดออกมาได้
น้ำตาหรือสายฝนที่ร่วงกรูลงมาทั้งสองแก้ม แม้แต่ตัวเองก็ยังแยกไม่ออก
ธาราธารได้ยินแบบนั้นยิ่งโกรธหนักเข้าไปใหญ่เขาเกลียดเวลาที่เห็นคนตัวเล็กพูดประชดกัน
แต่เขาไม่ได้ดูตัวเองเลยว่าทำอะไรลงไปขนาดไหนบ้าง
“เลิกอวดดีแล้วสำนึกสักทีกับความผิดที่ทำลงไป ขึ้นรถ!”
เขาตะคอกดังลั่นลากแขนคนตัวเล็กที่ยังไม่ยอมลุก
ถูลู่ถูกังครูดไปกับพื้นถนนวารินสะอึกสะอื้นไห้แข่งกับเสียงคำรามของท้องฟ้า
“ไม่ไป! ปล่อยให้ตายอยู่ตรงนี้เลยไม่ต้องมาสนใจกัน
ออกไป อย่ามาแตะต้องกัน ไม่ไป! ไม่ไป!”
วารินดิ้นพราดๆเมื่อเขาแบกร่างเล็กพาดใส่บ่าแล้วจับยัดโครมเข้าไปในรถ
เปิดคอนโซนหน้าด้วยความรวดเร็วคว้าเอาเนคไทเส้นเรียวขึ้นมามัดสองมือของวารินไว้แล้วผูกเข้ากับก้านพนักพิงที่เบาะ
วารินหัวใจหล่นวูบเมื่อเห็นเขากล้าทำกับตัวเองขนาดนี้
“เก่งนักนะพูดจาประชดประชันกันแบบนี้เก่งเกินไปจริงๆ!”
มือใหญ่เอื้อมไปหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กสีขาวสะอาดขึ้นมาเช็ดใบหน้าเปียกโชกของคนตัวเล็กอย่างไม่เบามือขณะที่วารินพยายามหันหน้าหนีแต่เขาก็ยังยึดศีรษะเล็กไว้แน่น
พอเสร็จก็ฟาดผ้าลงกับเบาะแล้วปิดประตูดังโครม ในตาจ้องมองคนที่เขาจับมัดเอาไว้อย่างหัวเสีย
เขาไม่เข้าใจทำไมวารินต้องต่อต้านเขาตลอดเวลา
ทำไมถึงตั้งใจประชดประชันกันขนาดนี้ในเมื่อเขากลับมารับแล้วจะยอมขึ้นรถไปกับเขาดีๆบ้างไม่ได้เลยเชียวหรือ
.....ฟ้าฝนยังคงเทลงมาอย่างไม่คิดจะหยุด
ขณะที่คนหนึ่งนั่งร้องไห้น้ำตาไหลพรากอยู่ในรถอีกคนกลับยืนตะโกนอย่างบ้าคลั่งใส่สายฝนแล้วเตะโครมๆเข้าที่ล้อหลังของรถอย่าเอาแต่ใจ....
วารินน้ำหูน้ำตาไหลจิตใจปวดร้าวจนเกินที่จะรับได้
ศีรษะเล็กซบพิงลงกับข้อมือตัวเองที่ถูกมัดอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร
“ลงมา!”
กว่าจะกลับมาถึงบ้านฝนก็เริ่มห่างเม็ดไปแล้ว ธาราธารแกะข้อมือวารินออกแล้วจับลากลงมา
เตโชที่ยังไม่นอนรีบวิ่งเข้ามาดู
“ไม่ต้องมายุ่งเรื่องของเจ้านาย”
เขาตะคอกใส่หน้าคนที่เดินเข้ามาอย่างไม่แคร์
เตโชหน้าเสียขณะที่เขาลากแขนวารินตรงไปที่ห้องเก็บอุปกรณ์ทำสวนซึ่งติดกับโรงจอดรถ เตโชได้แต่ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นสายตาแสดงความห่วงใยอีกคนอย่างชัดเจน
“เดี๋ยวจะทำให้มันได้รู้ไปเลยว่า
‘เรา’ สองคนเป็นอะไรกัน”
เขาพูดเสียงเย็นเฉียบชิดติดริมหู
ตั้งใจเน้นคำว่า ‘เรา’ จากนั้นจึงผลักวารินเข้าไปด้านในร่างเล็กๆกระแทกเข้ากับโต๊ะกลางห้องจนของที่วางอยู่ล้มระเนระนาด
เขาก้าวเข้าหา กระดุมเสื้อเชิ้ตเปียกโชกถูกปลดลง ขณะที่วารินถอยกรูจนหลังติดฝา หาหนทางเล็กๆหวังจะเล็ดลอดจากซาตานร้ายอย่างเขาให้ได้
“อย่าธาร! ไม่เอาอย่าทำนะ”
เขากระชากแขนเล็กจนตัวปลิวกระเด็นมาชิดแผ่นอกกว้างของเขาแล้วกอดรัดเอาไว้ วารินตัวสั่นงกๆด้วยความกลัวและความหนาวชุดนอนสีขาวที่เปียกโชกซับให้เห็นเนื้อในขาวผ่อง
“จะถอดเองดี
ๆหรือจะให้ผมฉีกออกให้เหมือนทุกครั้ง หืมม”
เขากระซิบใส่เสียงเย็นวารินผลักอกเขาออกด้วยความกลัวแต่เขากลับไม่ไหวติงเลยแม้แต่น้อยกลับดันคนตัวเล็กให้นอนหงายราบลงไปบนโต๊ะใหญ่กลางห้อง
“ธารไม่! อย่า! อย่าทำพี่ขอร้อง ที่นี่ไม่ได้ ไม่ใช่ที่นี่ขอร้องล่ะ ได้โปรด….ธาร....ได้โปรด”
วารินร้องขอสะอื้นไห้เสียงสั่นในขณะที่ตัวเขาโน้มขึ้นทาบทับขาที่ลอยไม่ติดพื้นเตะปัดป่ายจนเขาต้องออกแรงกระชากคนตัวเล็กจับพลิกคว่ำหน้าลงไปแทนให้วารินอยู่ในท่ากึ่งยืนกึ่งหมอบอยู่ที่โต๊ะในขณะที่เขาโน้มตัวกดทับลงมา
ใบหน้าด้านข้างของคนใต้ร่างบี้ติดผิวโต๊ะ
เขากระชากคอเสื้อด้านหลังของวารินขึ้นทำเอาอีกฝ่ายไอโขลกเพราะโดนกระดุมเสื้อรั้งจากคอหอย
มือใหญ่เอื้อมไปฉีกทิ้งอย่างไม่ใส่ใจเมื่อต้นคอขาวผ่องลอยอวดท้าเขาอยู่ต่อหน้าต่อตา
เม็ดกระดุมร่วงกรู เสื้อแสงแยกขาดออกจากกัน
“อย่ามาแตะนะ!”
วารินแผดเสียงดังลั่นขณะที่ริมฝีปากของเขากำลังจะกดจูบลงไปที่ต้นคอขาวเนียน
“ธารจูบคนอื่นแล้วอย่ามาแตะต้องกัน”
เสียงเล็กๆสั่นพร่าน้ำตาไหลอาบทั้งที่แก้มถูกกดแนบ
ธาราธารชะงักทันทีภาพวันเก่าฉายชัดเข้ามาในหัวใจเขาอีกครั้ง
‘ผมจะไม่ทำอย่างนั้นอีก
ผมรู้แล้วว่าพี่ไม่ชอบ’
นั่นคือคำสัญญาที่เขาเคยให้กับวาริน
แต่วันนี้เขากลับจูบกับผู้หญิงคนนั้นต่อหน้าต่อตา ที่สำคัญเขา ‘ตั้งใจ’ ทำเพราะรู้ว่าวารินจะต้องเห็น
มือใหญ่ยื่นเข้าหมายจะสอดเข้ากอดคนตัวเล็กอย่างปลอบประโลมและเอ่ยปากขอโทษ คำพูดของวารินเมื่อสักครู่ดังสะท้อนอยู่ในหัวซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายครั้งจนเขาเผลอละตัวขึ้น
“ธารจูบคนอื่นแล้วอย่ามาแตะต้องกัน”
ใบหน้าคมขมวดคิ้วแน่นมือที่กดหลังวารินอยู่ค่อยคลายออกอย่างไม่รู้ตัว
ได้โอกาสคนตัวเล็กวิ่งพรวดหลุดออกมาที่ด้านนอก
วารินรีบวิ่งตะบึงตัดผ่านเข้าไปในตัวบ้าน เตโชที่ยืนนิ่งอยู่แถวประตูมองดูด้วยความเวทนา
อยากเข้าไปช่วยใจจะขาดแต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์จะทำอย่างนั้นได้ ไม่ใช่ไม่รู้ว่าคืนก่อนนั้นเกิดอะไรขึ้นที่ห้องข้าง
ๆ เสียงวารินดังสะท้อนซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในห้วงความคิด
ได้แต่กำมือแน่นเพราะสงสารคนตัวเล็กจับใจ
เสื้อนอนที่เปียกชุ่มถูกดึงจนขาดวิ่น สาบเสื้อเปิดแยกออกจากกันวารินไม่สนใจสิ่งใดแล้วตั้งหน้าตั้งตาวิ่งตรงไปที่ห้องหลังบ้าน
แต่ทว่า
ก็ไม่เร็วเท่ากับช่วงขาที่ยาวกว่ามากของใครคนนั้น
มือใหญ่ของซาตานร้ายเข้ากระชากเขาเอาไว้ก่อนที่คนตัวเล็กจะวิ่งหนีพ้นไปได้หัวใจดวงเล็กๆหล่นวูบ ธาราธารกอดรัดเอาไว้แน่นวารินทั้งดิ้นทั้งทุบแถกลงไปกับพื้นด้วยแรงทั้งหมดที่มีไม่ยอมเดินตามเขาไปเด็ดขาด
ธาราธารหมดความอดทนแบกร่างทั้งร่างที่ดิ้นพราดๆใส่บ่าแล้วเดินขึ้นไปบนห้องโยนโครมลงที่เตียงใหญ่หลังเดิม
วารินรีบถดตัวลงจากที่นอนหนานุ่มนั้นทันที
ตัวเขาที่ยืนตระหง่านอยู่ปลายเตียงกระชากเสื้อตัวเองออกอย่างรวดเร็วเผยให้เห็นกล้ามเนื้อสวย
สร้อยสีเงินสั้นๆเส้นเล็กที่แขวนจี้รูปกุญแจซอลกระเพื่อมไปตามเนินอกแข็งแกร่ง
วารินรู้ว่าเขาโกรธมากแต่จะให้ยอมกันง่าย ๆ มันก็คงไม่ใช่
ร่างเล็กก้าวถอยหลังอย่างคนหาหนทางจะหนีอีกครั้ง พอตัดสินใจวิ่งด้วยแรงเฮือกสุดท้ายคนตัวเล็กก็ปลิวหวือตามแรงกระชากที่ท่อนแขน
ธาราธารจับตัวเขาโยนลงไปที่อ่างอาบน้ำเปิดน้ำใส่อย่างแรงแล้วหยิบฝักบัวลงมาราดรดศีรษะเล็กที่ผมเรียบลู่เพราะเปียกสายฝน
วารินนั่งตัวสั่นชันเข่ากอดตัวเองไว้แน่น เขากดแชมพูออกมาชโลมเส้นผมให้ก่อนจะล้างออกอีกครั้งจนสะอาดแล้วค่อยถอดเสื้อนอนของอีกคนออกว ารินต่อต้านเขาเล็กน้อยแต่พอคิดว่าสู้ไม่ได้แน่แล้วก็ปล่อยให้เขาทำไปอย่างที่ต้องการ
ไม่นานนักร่างเล็กๆก็นั่งเปลือยเปล่าแช่อยู่ในอ่างน้ำอุ่น ๆ
เขาปลดเข็มขัดออกแล้วถอดกางเกงยีนส์ลง
ขายาวก้าวเข้ามานั่งซ้อนลงด้านหลัง กอดรัดวารินเอาไว้แน่นแล้วเอนตัวนอนแช่ลงที่อ่าง
วารินดิ้นพราดเมื่อนึกถึงเรื่องครั้งก่อนที่เขาพาตัวเองจมลงใต้อ่าง ร่างเล็กดิ้นพล่านเพราะความกลัวเข้ามาเกาะกุม
“ชู่ว ไม่ทำหรอกไม่ต้องกลัว ผมไม่ทำแบบนั้นแล้ว”
เขากระซิบเข้าที่หลังหูวารินน้ำตาไหลออกมาอีกรอบ ไม่รู้จะเชื่อคำพูดเขาได้แค่ไหนแต่จะให้ต่อต้านก็สุดเรี่ยวแรงที่จะทำได้จึงยอมให้เขากกกอดอยู่อย่างนั้น
พักเดียวเขาก็พาร่างเล็กๆออกมานั่งที่เตียงพร้อมกับโยนผ้าขนหนูผืนใหญ่ส่งให้
ชุดนอนตัวโคร่งถูกเขาปลดออกจากไม้แขวนแล้วโยนใส่มือ
“ใส่ซะ แล้วกลับลงไปได้แล้ว
ผมไม่มีรสนิยมบริโภคของเหลือเดนจากพวกคนสวนหรอกนะ” เขากระแทกเสียงประชดประชัน
จากที่วารินเริ่มนิ่งเมื่อเห็นว่าเขาใส่ใจอาบน้ำสระผมให้กลับเจ็บปวดหัวใจดั่งถูกทิ่มแทง
น้ำตาแห่งความรวดร้าวทะลักออกมาจากตาดวงน้อย ทำไมถึงดูถูกดูแคลนกันได้ขนาดนี้
“ในสายตาของธาร
พี่มันร่านขนาดนั้นเลยเหรอ”
เสียงคนถามบางเบาราวกับคนไร้เรี่ยวแรง
วารินก้มหน้านิ่งกลั้นสะอื้นให้ถึงที่สุด แต่เขายังคงเงียบ ยืนหันหลังให้อย่างที่วารินไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่
ในที่สุดเขาหันหลังกลับมาเหยียดยิ้มแสนขมขื่นใส่ เดินเข้ามาหาใกล้ ๆ
แล้วบีบคางคนตัวเล็กไว้แน่นสองมือของวารินรีบคว้าตะครุบที่ฝ่ามือใหญ่ของเขาทันที
“ร่านไม่ร่านพี่ก็ร่อนสะโพกอยู่บนตัวของพ่อผมนั่นแหละ
จำไม่ได้รึไงว่าทำอะไรลงไปบ้าง หรือว่าเพลิดเพลินกับรสสวาทจนลืมไปหมดแล้ว แย่หน่อยนะเพราะคนอย่างพี่คงไม่มีวันได้ไปร่านร่อนแบบนั้นอยู่บนตัวใครได้อีกแล้ว
มีแต่ผมเท่านั้นที่พี่จะทำแบบนี้ด้วยได้ จำเอาไว้ให้ดี!” เขาตะคอกดังลั่นผลักวารินหงายหลังลงที่เตียงแล้วตามขึ้นไปกดไหล่เล็กจนจมมิด
“ธารอย่า!”
วารินร้องดังลั่น เสียงเล็กสั่นเครือน้ำในตารื้นขึ้นคลอหน่วยเมื่อความเจ็บปวดที่หัวไหล่แล่นพล่าน
ธาราธารตัวใหญ่เมื่อเขาขึ้นทาบทับวารินจุกจนแทบหายใจไม่ออกดิ้นรนแค่ไหนก็ไม่เล็ดลอดจากร่างกายคนด้านบนได้เลย
เขาเปลี่ยนมาคว้าจับสองมือเล็กกางตรึงลงกับที่นอน
“ที่ดีดดิ้นแบบนี้เนี่ย เป็นเพราะว่าอยากมากใช่ไหมฮึ! ร่านมากอยากมากอย่างนั้นใช่ไหม!!” เขาเอ่ยน้ำเสียงเสียดแทงโดยไม่คิดเลยว่าหัวใจดวงน้อยจะชอกช้ำเจ็บปวดแสนสาหัสเพียงใด
“ไม่ใช่! ไม่ใช่แบบนั้น พี่กับคุณทัตไม่ได้เต็มใจ ธารเข้าใจผิดแล้ว”
ในที่สุดวารินก็โพล่งขึ้นมา
“โฮ่ นี่ขนาดไม่เต็มใจนะ แล้วถ้าเต็มใจมันจะร้อนแรงกันขนาดไหนกัน
อย่าพูดให้ขำหน่อยเลย จะแก้ตัวอะไรก็เอาให้มันฟังขึ้นกว่านี้บ้าง
เห็นผมโง่เป็นเด็กสามขวบหรือไง” วารินน้ำตาไหลลงมาเป็นทาง
สะอึกสะอื้นสำลักกับความเจ็บปวดที่เขาสรรหามามอบให้ไม่เว้นแต่ละคำพูดคำจา
“ไม่ใช่แบบนั้นธาร
เราสองคนโดนวางยา
พี่ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าทำอะไรลงไปบ้าง พอตื่นขึ้นมา.....”
“พี่ทราย”
เสียงเย็นเฉียบแทรกขึ้นทันทีก่อนวารินจะพูดจบ
“อย่าหลอกผมอีกเลย....พี่บอกผมว่าพี่ไปเที่ยวกับเพื่อนๆของพี่ใช่ไหม
มันผิดตั้งแต่แรกที่พี่โกหกผมแล้วล่ะ ไหนลองบอกผมมาซิ มีความจำเป็นอะไรที่ต้องไปอยู่ในที่แบบนั้นกับเขาสองต่อสอง
มีความจำเป็นอะไรถึงขนาดต้องโกหกผมว่าเพื่อนๆพี่นอนหลับหมดแล้ว ทั้งที่ความเป็นจริงพี่ไปกับเขาแค่สองคนเท่านั้นใช่ไหม?”
แววตาและน้ำเสียงที่แสนเศร้าอัดแน่นไปด้วยความน้อยอกน้อยใจ
เขากดข้อมือคนตัวเล็กให้จมลึกยิ่งขึ้นไปอีก
คิดได้แต่ว่าโดนคนที่ตัวเองรักหลอกลวง
“วันนั้นผมโทรหาพี่ พี่บอกว่าพี่อยู่คนเดียว ผมขอให้พี่ส่งรูปพี่กับเพื่อนๆมาให้ดู แต่พี่กลับปฏิเสธบ่ายเบี่ยงบอกว่าขอคัดรูปก่อน
ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว ไม่มีหรอกไอ้รูปกับเพื่อนฝูงอะไรนั่น
เพราะคนที่พี่ไปด้วยจริง ๆ ก็คือเขาคนนั้นคนเดียว! พวกพี่ไปเที่ยวกันสองคนไปเอากันไกลถึงพังงานั่น มีแต่ผมคนนี้ที่โง่ยิ่งกว่าโง่
คิดไปว่าพี่คงเที่ยวอยู่กับเพื่อนๆ”
ดวงตาแข็งแกร่งสั่นระริกเมื่อพูดถึงเรื่องเก่าที่ร้าวใจ
น้ำตาหยดหนึ่งไหลตกลงมา หยดลงบนผิวแก้มสวยของคนใต้ร่าง
วารินสุดปวดร้าวเมื่อเห็นคนที่ตัวเองรักร้องไห้ออกมาแบบนั้น
สาเหตุ...เป็นเพราะเขาคนเดียว
“...ธาร...ขอโทษ..พี่ขอโทษ...”
เสียงเล็กร่ำไห้พึมพำ
รู้ทั้งรู้ความผิดตัวเองเกินที่อีกฝ่ายจะให้อภัย คนที่เคยหลอกลวงมาแล้วครั้งหนึ่งอย่างเขาต่อให้พูดความจริงอีกสักกี่ครั้งก็ยังยากที่จะทำใจให้เชื่อ
วารินไม่สามารถบอกเรื่องรีสอร์ตที่ทัตพลสร้างไว้ให้กับเขาได้จริง ๆ
ไม่ว่าอย่างไรจึงได้แต่เอ่ยคำว่าขอโทษ
“อย่ามาหลอกผมเลยเรื่องยาน่ะ
ใครกันที่มันจะทำแบบนั้น ทำไปแล้วจะได้ประโยชน์อะไร ถ้าพวกพี่สองคนไม่เต็มใจในวีดีโอมันต้องมีอะไรส่อให้เห็นบ้าง
แต่นี่ไม่มีเลย พี่กับพ่อผมกระโจนหากันอย่างกับคนอดอยากมานาน พี่คิดว่าผมนั่งดูมันกี่รอบกันล่ะ
ผมพยายามที่จะดูกี่รอบกัน! ผมเจ็บปวดแค่ไหน! แล้วถ้าพี่บอกว่าแบบนั้นคือพี่ไม่ได้เต็มใจล่ะก็
ทำให้ผมดูหน่อยสิว่าแบบไหนถึงจะเรียกว่าเต็มใจของพี่”
เขาเหยียดยิ้มขมขื่นให้กับตัวเองที่คิดว่าถูกหลอกซ้ำแล้วซ้ำอีก
ภาพในวีดีโอที่ฟ้องอยู่แบบนั้นจะดูกี่ทีกี่ครั้งมันก็คือวารินกับพ่อของเขาอยู่วันยังค่ำ
“ทำตัวดีๆซะแล้วผมจะอ่อนโยนให้ อย่าหลอกผมอีก...อย่าดื้อกับผม”
สิ้นคำพูดของเขาริมฝีปากหยักสวยได้รูปกดจูบลงมาที่เรียวปากเล็กทันที
สัมผัสอันลึกซึ้งที่เรียวปากมาพร้อมความต้องการในส่วนลึก
วารินเฝ้านึกถึงคำพูดที่เขาพูดกับบัวชมพูเมื่อเช้า
“อย่าดื้อสิไม่ชอบคนดื้อ”
เขาพูดกับคนที่เขาทะนุถนอมแบบนั้นในขณะที่พูดกับวารินแต่ละคำยิ่งกว่ามีดกรีดเฉือนลงในเนื้อหนัง
น้ำตาของคนตัวเล็กทะลักออกมาเป็นทาง จนเขาต้องละริมฝีปากออกจากโพรงปากนุ่มนิ่ม
“ทำไมต้องร้องไห้ ทำไมถึงต้องต่อต้าน! ทำไมต้องเป็นกับผมด้วย! ทำไม!! ทำไมพี่ต้องนอกใจผมไปนอนกับพ่อผมแบบนั้น ทำไม!!!!”
เขาตะโกนดังลั่นยิ่งกว่าทุกครั้งที่เคยทำ
ลุกขึ้นยืนแล้วเตะโครมๆเข้าที่เตียงอย่างเกรี้ยวกราด
ความอดทนทุกอย่างที่มีไม่เหลืออีกแล้ว เมื่อวารินพูดเรื่องโดนวางยาแล้วเขาดันคิดไปว่าโดนหลอกอีกครั้ง คนตัวเล็กลุกลี้ลุกลนลุกขึ้นด้วยความกลัวถอยร่นลงไปยืนอยู่ที่เตียงอีกฝั่ง
เขาหันหน้าเดินเข้าหาแล้วกระชากแขนเล็กให้ตามออกไปด้านนอก
ลากลงบันไดพรมสีแดงโดยไม่สนใจว่าอีกคนจะล้มลุกคลุกคลานแค่ไหน วารินร้องไห้โฮอย่างหมดอาย
ทั้งป้าวันทั้งดาวทั้งเตโชต่างออกมายืนดูห่าง ๆ ด้วยความตกใจ
“ใครก็ตามห้ามเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้เด็ดขาด
ถ้าผมรู้ว่าใครสอดมือเข้ามาผมจะไล่ออกให้หมดเลย!”
ยิ่งกว่าความโกรธเกรี้ยว
ยิ่งกว่าลมกรรโชกรุนแรงโหมท้องฟ้าจนจะพังครืนลงต่อหน้า
ร่างสูงใหญ่ลากวารินไปโยนกองไว้ที่พื้นบันไดหินอ่อนหน้าบ้าน ถอดเสื้อชุดนอนแขนยาวบาง
ๆ ของตัวเองออกอย่างรีบร้อน
วารินยิ่งกว่ากลัวถดตัวถอยร่นไปกับพื้นอย่างน่าเวทนา
เขาก้มลงไปกระชากแขนคนตัวเล็กขึ้นมาแล้วเหวี่ยงไปจนติดกับเสาหินอ่อนสูงใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่หน้าบ้านวารินเซถลาเพราะความลื่นของพื้นจากสายฝนที่ยังเทลงมาไม่หยุด
เขาใช้เสื้อมัดสองแขนเล็กผูกไว้ที่ด้านหลังแล้วอ้อมไปมัดรอบเสาต้นหนึ่งไว้จนแน่น
จับวารินหันหน้าสู้สายฝนที่ยังเทมาไม่หยุดถึงแม้จะไม่รุนแรงเหมือนช่วงแรกแต่ก็สาดซัดเข้ามาจนใบหน้าเล็กต้องหันหลบ
เตโชที่ยืนมองอยู่ห่างไปไม่ไกลกำลังจะก้าวเข้ามาช่วยแต่ป้าวันกับนับดาวคว้าตัวเขาเอาไว้ได้ก่อน
“อย่านะเต / พี่เตอย่า!” เสียงวันกับนับดาวเรียกขึ้นพร้อมกัน
เตโชหันมองวันนาทันที
“อย่ายุ่งเรื่องของพวกท่าน
คุณธารกับคุณทรายไม่เหมือนพวกเรา”
ในดวงหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยของป้าวันนาฉายแววเจ็บปวดออกมาให้เห็นแต่ในประกายตานั่นเธอยังมีความเชื่อมั่นในใจลึกๆว่าคนที่ธาราธารรักจริง
ๆ นั้นคือใคร
ตั้งแต่วันที่วารินก้าวเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้โดยที่ธาราธารไม่ยอมให้ขึ้นไปดูภัครจิราเลยแม้แต่ครั้งเดียว
เธอก็รู้แล้วว่าคงจะมีเรื่องบาดหมางที่เกี่ยวข้องกับวารินอยู่และตัววารินอาจจะมีส่วนที่ทำให้ภัครจิราต้องตกอยู่ในสภาพนี้แต่วันนาเลือกที่จะเงียบเพราะเชื่อว่าสักวันนายน้อยของบ้านอย่างธาราธารจะแก้ปัญหาและผ่านพ้นมันไปได้
วารินไม่ใช่คนไม่ดีเธอดูแวบเดียวก็มองออกเหลือแต่ความดำมืดในใจของธาราธารเท่านั้นที่ต้องรอให้เขาปีนออกมาเห็นความสว่างภายนอกด้วยตัวของเขาเอง
“แยกย้ายกันไปนอนได้แล้วไม่มีเรื่องอะไรทำรึยังไงถึงได้คอยมายุ่งเรื่องของเจ้านาย
จำเอาไว้ให้ดีระหว่างผมกับพี่ทรายห้ามใครก็ตามสอดแทรกเข้ามา
ถ้าหากผมรู้ว่าใครสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องของผมเชิญออกจากบ้านผมไปได้เลย”
เขาพูดเสียงเย็นเยียบแล้วทิ้งกายนั่งลงที่โซฟารับแขกหรูหราที่หน้าบ้านขณะที่ทั้งวันนาเตโชและนับดาวต่างจำใจต้องแยกย้ายกันเข้าห้องของตน
เตโชหันกลับมามองวารินอีกครั้ง
ที่เสาต้นใหญ่นั่นเสียงฟ้าร้องดังคำรามฟาดลงมาเป็นระยะวารินคงกำลังร้องไห้ทั้งสายฝนที่สาดซัดเข้ามาใส่ร่างเล็กๆขณะที่คนใจร้ายอย่างธาราธารกลับนั่งอิงกายอยู่ที่เบาะหนานุ่มมองดูคนที่ถูกผูกติดอยู่กับเสาด้วยแววตาที่เขาอ่านไม่ออกเลยสักนิด
...เย็นชา..
..โหดร้าย..
ไม่รู้เวลาผ่านไปนานแค่ไหน
ร่างกายเล็กๆเหนื่อยจนแทบขาดใจสองขาแทบจะประคองตัวไว้ไม่ไหวถ้าไม่ติดว่าถูกมัดไว้กับเสาป่านนี้คงจะร่วงกองลงที่พื้นไปแล้ว
สายฝนยังสาดซัดมากระทบใบหน้าขาวไม่หยุดน้ำตาอาบไหลแล้วไหลอีกร้องไห้จนไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร
ดวงตาเล็กๆสั่นไหวระริกมีแต่ความหวาดกลัวที่ทอประกายเมื่อทอดมองไปที่ความมืดมิดกับเสียงคำรามลั่นของท้องฟ้า
ดวงตาคมกริบจดจ้องบุคคลที่ถูกผูกติดไว้กับเสาไม่ยอมให้หลุดรอดไปได้แม้สักวินาที
ความรวดร้าวในหัวใจดำมืดร่ำร้องประท้วงจนใจเจ็บปวดไปหมดหลายครั้งที่เขาจะก้าวออกไปพาคนตัวเล็กกลับเข้ามาแต่ก็ต้องหยุดไว้เพียงแค่นั้นเมื่อนึกถึงสภาพของแม่ตัวเองที่นอนแน่นิ่งอยู่แบบนั้น
‘มันเป็นเพราะใครกัน
ใครกันที่ทำให้เป็นแบบนี้โทษความร่านของตัวเองไปเถอะ’
เขาสบถลั่นอยู่ในหัวใจนิ้วเรียวหนาบดเบียดเข้าหากันอยู่ที่ขอบประตูก่อนที่เจ้าของมือจะทุบมันลงบนผนังอย่างโกรธเกรี้ยวเพราะคำว่า
‘กบฏ’ ในหัวใจของเขามันร่ำร้องประท้วงเสียงดังลั่น
เขาคว้าร่มที่เสียบอยู่ในตะกร้ามากางออกแล้วเดินไปดูใครอีกคนที่ถูกพันธนาการอยู่กลางสายฝน
ช่างเป็นภาพที่ดูแล้วเห็นแก่ตัวอย่างยิ่ง
“สำนึกแล้วรึยัง”
เขาถามเสียงเครียดขึง จดจ้องใบหน้าคนตัวเล็กสะกดแววตาที่เต็มไปด้วยความเวทนาต่อคนตรงหน้าให้มันลึกลงไปถึงที่สุดในหัวใจของตนเอง
...เขาจะใจอ่อนไม่ได้..เรื่องของเขากับวารินไม่มีทางที่จะเป็นความจริงได้อีกแล้ว..
...จะให้เขาทำดีกับคนที่ทำให้แม่เขาอยู่ในสภาพนั้นได้อย่างไร..
..จะให้เขาทำใจได้อย่างไรว่าคนที่เขารักคือคนที่เคยร่วมรักอยู่กับพ่อของเขาอย่างออกรส..
ทั้งที่แค้นแสนจะแค้นหมื่นแสนล้านแค้น...แต่ก็ทั้งรักแสนจะรักหนึ่งร้อยหนึ่งพันรัก
...มันก็เท่านั้น...
สุดแสนจะสมเพชหัวใจของตนเองยิ่งนักมันดื้อรั้นไม่ยอมฟังอะไรเลย
เมื่อรู้สึกตัวอีกทีเขาก็โอบอุ้มร่างเล็กบอบบางเข้ามาวางไว้ด้านในเรียบร้อยแล้ว
วารินแทบจะประคองสติตัวเองไม่ได้ดวงตาปรือหรี่ลงจนเกือบจะสุด
เขารีบคว้าผ้าที่อยู่ใกล้ตัวเข้ามาเช็ดใบหน้าเล็กนั่น
เกลี่ยปอยผมเปียกลู่ที่ละตามใบหน้าขาวออกอย่างร้อนรนเพราะสัมผัสได้ถึงความร้อนจากผิวกายคนตัวเล็ก
ค่อยปลดกระดุมถอดเสื้อที่เปียกโชกไปด้วยน้ำฝนออกอย่างระมัดระวัง
“...อย่า...”
เสียงเล็กๆแหบพร่าร้องขออย่างไร้เรี่ยวแรง
มือเล็กยกขึ้นมาตะครุบมือของเขาไว้ ทั้งที่ไร้สติก็ยังหวาดกลัวเขาถึงเพียงนี้ ธาราธารตัดสินใจช้อนร่างคนตัวเล็กขึ้นไปชั้นบน
วางไว้บนเตียงกว้างใช้น้ำอุ่นๆ เช็ดตัว เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ ผิวเนื้อนวลขึ้นรอยแดงและเขียวช้ำหลายแห่ง
ปลายนิ้วหนาสัมผัสลงที่รอยแดงช้ำนั่นราวกับกลัวว่าวารินจะเจ็บทั้งที่ตอนทำเขากลับไม่มีปราณีใดๆเลย
“ไม่ใช่ ไม่ใช่แบบนั้น พี่กับคุณทัตไม่ได้เต็มใจ ธารเข้าใจผิดแล้ว”
“ไม่ใช่แบบนั้นธาร
เราสองคนโดนวางยา พี่ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าทำอะไรลงไปบ้าง”
“...ธาร...ขอโทษ..พี่ขอโทษ...”
เขาหลับตาลงแน่นยกสองมือกุมขมับ
เท้าศอกทั้งสองข้างลงกับเข่า เฝ้าคิดซ้ำๆ ถึงคำพูดที่วารินพร่ำบอก เสียงนาฬิกาที่หัวเตียงตีเป็นเพลงบอกเวลาตีสามปลุกให้เขาตื่นจากภวังค์ สอดตัวลงในผ้าห่มหนานุ่มแล้วคว้าเอาตัววารินเข้ามากอดรัดไว้จนแน่น
ประทับจูบลงไปที่ขมับเล็กอย่างอ่อนโยนในแบบที่เขาไม่เคยทำนานมากแล้ว
หัวใจของเขาเจ็บปวดจนเจียนจะขาดใจจากการกระทำของตัวเอง เฝ้าจูบซ้ำๆอยู่ที่ไรผมหอมนั่นราวกับกลัวว่าคนในอ้อมกอดจะแตกสลายหายไป
วารินที่ไม่รู้สึกตัวเพราะพิษไข้ถึงกับเผลออมยิ้มออกมา
ในห้วงความฝันวารินฝันว่าภูวดลเข้ามาช่วยเขาออกมาจากแท่นประหารนั่นและเช็ดตัวให้ก่อนจะนอนกอดให้ความอบอุ่นแผ่ซ่านออกมาจากแผงอกกว้างปลอบประโลมหัวใจและร่างกายที่บอบช้ำ
.
.
Tbc.