บทที่12
“รีสอร์ทเหรอครับ?”
“ใช่รีสอร์ทที่พังงา
แค่รีสอร์ทเล็กๆ แต่ฉันอยากให้เธอช่วยไปดูให้ที
ฉันไม่รู้ว่าจะต้องตกแต่งแบบไหนถึงจะถูกใจธารเขามากที่สุด
แต่ถ้าเป็นเธอคงจะรู้ใช่ไหมว่าเขาชอบสไตล์ไหนยังไง ฉันรู้ว่าเขาไว้ใจเธอมากและพวกเธอเองก็ดูสนิทกันมากด้วย”
ทัตพลวางส้อมลงแล้วยกแก้วไวน์ขึ้นมาจิบ
เขาสร้างรีสอร์ทเล็กๆไว้ที่หนึ่งเพื่อเป็นของขวัญให้ธาราธาร ถึงเขาไม่ได้เลี้ยงดูแต่ก็ติดตามข่าวคราวของลูกชายมาโดยตลอด
รู้ว่าภัครจิราคอยประคับประคองไม่ให้ลูกเดินก้าวเขวไปในทางที่ผิด แม้จะเคยเอนจนเกือบหลงทางมาบ้างแต่เมื่อวารินเข้ามาช่วยอีกแรงธาราธารก็ดูเหมือนจะโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น
ดวงตาคมทอดมองลงไปที่วิวด้านล่าง
ห้องอาหารอิตาเลี่ยนของที่นี่ให้บรรยากาศโรแมนติกมาก
วิวกลางคืนริมน้ำเจ้าพระยาแบบนี้มากมายไปด้วยเรือประดับไฟที่ล่องลอยอยู่กลางลำน้ำ
ทัตพลไล่สายตามองดวงหน้าของคนตัวเล็กที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเขา
วารินเองก็กำลังสนใจสีสันของลำน้ำตอนกลางคืน ดวงตากลมๆ นั่นทำไมถึงได้ออกแววใสซื่อได้ขนาดนั้นดูเหมือนตื่นเต้นเพิ่งเคยได้เห็นแบบนี้เป็นครั้งแรก
ผมสีอ่อนยาวเคลียอยู่แถวต้นคอ หน้าตาก็แค่ธรรมดาแต่ทำไมถึงดูมีเสน่ห์แปลกๆเวลาได้คุยกัน
ท่าทางเหมือนกับ ‘ลูกหมา’ ทำหน้าตาซื่อบื้อไปเรื่อย ทัตพลอดที่จะหัวเราะในลำคอเบาๆไม่ได้
“....พล
คุณทัตพลครับ” วารินเรียกถึงสองรอบทัตพลเพิ่งจะได้ยิน เขาดูตกใจเล็กน้อย
“มีอะไรรึเปล่าครับ”
วารินทำหน้าแปลกใจ ทัตพลจ้องเขานานมากแล้ว
“ป...เปล่า
ฉันกำลังจะบอกว่าเพื่อนฉันที่เปิดพิพิธภัณฑ์ที่แพร่ เขาชอบภาพที่ฉันส่งไปให้มากเลย
รู้สึกว่าจะติดต่อพี่ชายเธอให้วาดเพิ่มให้ด้วย ซีเขาคงดีใจนะต่อไปคงมีลูกค้าติดต่อไปเยอะแน่
ๆ ”
ทัตพลแก้ตัวอึกอักพร้อมพูดชี้ทางให้วารินได้คิด
ว่าเขาเองก็มีบุญคุณกับภูวดลอยู่มาก เขาอยากขอร้องให้วารินช่วยไปดูเรื่องการตกแต่งรีสอร์ทที่เขาคิดจะมอบเป็นของขวัญให้กับธาราธารเท่านั้น
เขารู้ว่าวารินก็คงลำบากใจไม่น้อย
วารินเม้มปากก้มหน้านิ่ง
“แล้วเราจะไปกันวันไหนครับ”
ทันทีที่วารินถามขึ้นทัตพลทอดสายตาออกอย่างยินดี
ริมฝีปากได้รูปคลี่รอยยิ้มอบอุ่นออกมา พอใจกับคำตอบที่ได้รับมาก ในเมื่อวารินยอมตกลงแล้วนั่นเท่ากับธาราธารจะยอมรับของจากเขาแน่นอน
“วันศุกร์หน้าเป็นไง
เราค้างที่นั่นสักสองคืนคงจะคุยกันจนเสร็จได้ ฉันจะนัดกับบริษัทออกแบบไว้ให้
เรื่องนี้ขอให้เป็นความลับระหว่างเราสองคนนะ หวังว่าเธอคงจะเข้าใจฉัน”
หลังทานอาหารกันเสร็จเมื่อเห็นว่าวารินดูตื่นเต้นกับท้องน้ำเจ้าพระยาตอนกลางคืนเป็นอย่างมาก
ทัตพลจึงถือโอกาสชวนคนตัวเล็กออกมาเดินชมวิวเจ้าพระยาสดๆที่ระเบียงริมน้ำข้าง ๆเลาจ์เปิดของโรงแรมเพื่อเป็นการขอบคุณที่วารินอุตสาห์ตอบตกลง
ลมตอนดึกพัดผ่านเส้นผมสีอ่อนของวารินพริ้วไสว
ไหล่บางห่อลงด้วยความรู้สึกหนาวเย็นแต่ก็ยังไม่อยากหันหลังกลับเพราะนานๆทีถึงจะมีโอกาสได้มาชมวิวสวยๆแบบนี้
ถึงโรงแรมของภัครจิราจะอยู่ริมน้ำเจ้าพระยาเช่นกันแต่วารินไม่ค่อยได้เข้างานช่วงดึกเพราะฉะนั้นภาพทิวทัศน์สวยๆแบบนี้ดูกี่ครั้งก็ดูจะตื่นตาตื่นใจอยู่เสมอ
“เอ่อ
ขอบคุณครับ” วารินหันมากล่าวขอบคุณเมื่อทัตพลใช้เสื้อนอกของเขาคลุมลงที่ไหล่บางให้เพราะเห็นวารินเริ่มจามฟึดฟัด
“จะกลับเลยไหม
อากาศเย็นนะเดี๋ยวได้เป็นหวัดกันพอดี”
เขาก้าวเข้ามายืนข้าง
ๆ สายตาทอดมองออกไปที่ดวงไฟสีส้มจุดเล็กๆคงเป็นโรงแรมที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
เรือโดยสารประดับไฟสวยงามล่องผ่านเอื่อยๆ
เส้นผมสีอ่อนยังคงปลิวระใบหน้าขาวนั้นอย่างเคย
วารินเหน็บเท่าไหร่ก็ยังยุ่งเขาเลยช่วยเกลี่ยเส้นผมสวยให้อีกแรง
ในเมื่อสู้แรงลมไม่ไหวร่างที่เล็กกว่าเลยต้องขอยอมแพ้ปล่อยให้ลมโกรกผมเผ้ายุ่งเหยิง
ทัตพลมองเห็นหน้าตาตลกๆแบบนั้นจึงเผลอหัวเราะออกมาเบาๆ
วารินเองก็หัวเราะร่าด้วยอีกคน เขาสองคนมองหน้ากันแล้วพ่นหัวเราะออกมาดัง ๆ
วารินแกล้งตะโกนคำทะเล้นๆ โยนใส่ลำน้ำทัตพลอุดปากเขาแทบไม่ทันเมื่อเห็นพนักงานเดินพาแขกอีกคู่ลงมาส่งเพื่อชมวิว
“วันนี้ขอบคุณนะครับ”
วารินยกมือไหว้เขาก่อนส่งเสื้อนอกคืนให้
“วันศุกร์เราเจอกันที่สนามบิน
ฉันจะโทรนัดเธออีกที” เขารับเสื้อคืนจากวารินแล้วพาดมันลงที่แขนของตัวเอง
เลิกคิ้วนิดๆเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายน่าจะมีอะไรบางอย่างที่อยากพูด
“มีอะไรเหรอ
หรือว่าเธอมีเรื่องอะไรที่ไม่สะดวก”
“ป...เปล่าครับ
ผมแค่สงสัยไม่ทราบว่าจะถามคุณได้รึเปล่า” ใบหน้าเล็กอึกอักก้มต่ำเล็กน้อย
“ถามมาสิ
ฉันอนุญาต”
ทำไมวารินถึงได้รู้สึกว่าเสียงของเขามันนุ่มทุ้มกรีดลงไปในจิตใจได้ขนาดนั้น
ไม่ใช่คำพูดหวานๆ ไม่ใช่คำพูดของผู้ใหญ่ที่เต็มไปด้วยอำนาจ
แต่น้ำเสียงของเขาชวนให้เคลิบเคลิ้มรัญจวนใจเสียจริง
“ค..คุณทัตพลอายุเท่าไหร่เหรอครับ
คือว่าตอนนี้ธารเขาก็จะยี่สิบแล้ว แต่ดูเหมือนคุณอายุไม่น่าเยอะขนาดที่จะ...เอ่อ..จะเป็น...เอ่อ..”
วารินพูดออกไปแล้วก็รู้สึกกระดากใจ
เขาถามแบบนั้นออกไปได้อย่างไร
เห็นกันอยู่ชัดๆว่าหน้าตาทัตพลเหมือนธาราธารอย่างกับถอดแบบมาขนาดนั้น
แล้วเขายังจะสงสัยอะไรอีก
“สามสิบเก้าแล้ว”
ทัตพลตอบยิ้ม ๆ “ไม่หนุ่มแล้วนะ” เขายังย้ำลงมาอีกวารินรีบเงยหน้ามองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
เขาอายุสามสิบเก้า แต่ดูไม่ต่างกับคนอายุยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดเลยด้วยซ้ำ
“คนเราดูกันแค่ภายนอกไม่ได้จริง
ๆ ใช่ไหม อย่างเธอก็เป็นตัวอย่างที่ดีเหมือนกันนี่” คราวนี้เขาพูดแล้วยิ้มกว้างล้อเลียนวาริน
อีกฝ่ายได้แต่หัวเราะแฮ่ๆแก้เขิน
.
.
กลางสัปดาห์ธาราธารย้ายเข้ามาอยู่ที่คอนโดใหม่แถวๆพรานนก
วารินเข้าไปช่วยเขาจัดการข้าวของอยู่สองวัน
กว่าจะเสร็จได้เล่นเอาต้องปาดเหงื่อกันเลยทีเดียว
“เหนื่อยไหม”
ธาราธารยื่นน้ำอัดลมแบบกระป๋องมาแตะที่พวงแก้มสีแดงระเรื่อแล้วหย่อนตัวนั่งลงข้าง
ๆ หยาดเหงื่อไหลเป็นทางทั้งเขาและวาริน มือใหญ่ยื่นผ้าเช็ดตัวผืนเล็กมาซับแก้มสีแดงซ่าน
“เหนื่อยจนแก้มแดงไปหมดแล้ว
พี่รู้ป่าวผมมองเห็นเส้นเลือดที่แก้มพี่แล้วนึกถึงอะไร”
“อะไรอ่ะ”
วารินวางกระป๋องน้ำลง เอนหลังพิงที่พนักโซฟาเขาแทบอยากเลื้อยตัวนอนลงถ้าไม่ติดว่าธาราธารนั่งอยู่ข้าง
ๆ
“วิธีต่อไง นอนลงมาดีๆสิเดี๋ยวได้ปวดคอหรอก”
เขาเอาหมอนมาวางบนตักแล้วจับตัววารินให้นอนลงดี ๆ
“อะไรคือวิธีต่อ?”
“วิธีต่อเส้นเลือดไง
ช่วงนี้ผมมองอะไรก็เห็นเป็นเรื่องทางกายภาพไปหมดอ่ะ ผมว่าพอผมเรียนจบผมไม่กล้าหลับนอนกับใครแน่เลย
ช่วงนี้ชักเริ่มแหยงๆแล้วด้วย”
เมื่อเห็นว่าวารินทำหน้างง
เขาจึงได้อธิบายต่อ
“ก็อย่างแค่ตอนนี้เวลาผมมองคน
ผมก็จะเห็นเป็นร่างโปร่งแสงทะลุไปถึงตับไตไส้พุงแบบหลับตาคลำได้เลยว่าอะไรวางอยู่ตำแหน่งไหนบ้าง
เพราะงั้นเวลาจะลูบจะไล้ใครแต่ละทีแค่หลับตาลงจิตใจมันก็พลอยนึกไปถึงอ่ะดิ ลูบหน้าอกก็คิดว่ากำลังจับปอด
ขยำนมก็คิดว่ากำลังนวดหัวใจ ลูบพุงขาว ๆ แต่ดันนึกไปว่ากำลังสำรวจลำไส้เล็ก
จะจับของดีแต่ดันนึกไปถึงส่วนประกอบของระบบสืบพันธุ์ ซ้ำร้ายยิ่งกว่านั้นแค่นั่งมองหน้ายังคิดไปถึงรูปกะโหลกแล้วก็ระบบประสาทที่ยากโคตรๆ
พี่ว่าคนที่เรียนแบบผมนี่มันน่าสมเพศไหม”
พอพูดถึงเรื่องเรียนเขาก็ร่ายยาวอย่างที่ไม่เคยเป็นทำหน้าตาเซ็งจัดเป็นของแถม
“เออ ถ้างั้นคนเป็นหมอเขาคงไม่มีเมียมีลูกกันหรอก
ถ้าคิดแบบเราทุกคนน่ะนะ” วารินอดขำไม่ได้ เขาเอื้อมมือขึ้นไปตบหน้าผากคนตัวใหญ่เบา
ๆ
“ไม่เคยคิดว่าจะมีลูกเลยนะเอาจริง
ๆ ส่วนเมียก็...มันต้องมีอยู่แล้วล่ะผมเป็นผู้ชายนะพี่”
วารินเจ็บจี๊ดขึ้นทันที แกล้งหลับตาลงแล้วไม่ต่อบทสนทนาอีก ธาราธารเอื้อมมือมาเกลี่ยไรผมสีอ่อนเล่นเบา
ๆ
“พี่รู้อะไรไหม
ผมมีความสุขมากเลยนะแค่ผมมีพี่อยู่ข้างๆผมไม่อยากได้อะไรอีกแล้ว เราสองคนอยู่กันแบบนี้ไปเรื่อยๆไม่ต้องมีลูกก็คงไม่เป็นไรหรอกเนาะ”
“ธาร!” วารินอุทานลุกพรวดขึ้นมาจ้องหน้าธาราธารอย่างตื่น
ๆ ไม่คิดว่าเขาจะพูดอะไรแบบนี้ออกมา
“ผมพูดจริงแล้วก็ทำได้จริงนะ”
เขาเอื้อมไปโอบบ่าเล็กมากอดไว้แต่วารินใช้แขนกันไว้ก่อน
จ้องหน้าแล้วพูดจริงจังกับเขา
“ธาร
พี่อายุมากกว่าเราตั้งสิบสองปีนะ ธารจะคิดจะพูดอะไรไตร่ตรองดูให้ดี ๆ ก่อน
พี่ไม่อยากให้ธารต้องมาเสียใจภายหลัง
จริงอยู่ตอนนี้พี่อายุสามสิบสองแต่ตอนที่ธารอายุสามสิบสองเท่าพี่ พี่ก็คงอายุสี่สิบสี่
แล้วธารจะรับได้ไหมที่ต้องเดินไปไหนมาไหนกับคนแก่ ๆ อย่างพี่
รอบตัวธารจะมีเด็กรุ่นใหม่ๆอายุน้อยที่ต้องพบเจอด้วยตลอด
ถึงตอนนั้นเรายังจะพูดอย่างนั้นกับพี่ได้อยู่เหรอ”
ธาราธารดึงคนตัวเล็กเข้ามากอดเต็มอ้อมแขน
แล้วโยกตัวไปมาเบา ๆ “พี่ทราย
ผมน่ะรักคนที่จิตใจนะ พี่เข้าใจใช่ไหมที่ผมอธิบายเรื่องเรียนให้ฟังเมื่อตะกี้
เพราะผมอยากให้พี่รู้ว่าสังขารคนมันไม่เที่ยงหรอกพี่
สิ่งสำคัญมันอยู่ในนี้ต่างหาก” เขาจิ้มที่หน้าอกตัวเองอย่างภูมิใจ
“ได้โปรดอย่ากลัวที่จะรัก
ช่องว่างสิบสองปีผมถมยังไงก็ไม่มีทางตามพี่ได้ทันหรอก ขอเพียงแต่พี่เดินรอผมบ้างก็พอแล้ว
ผมจะไม่บังคับจะให้อิสระแต่ขออย่างเดียวขอให้พี่ ‘ซื่อสัตย์’ กับผม พี่รู้ไหมคนประเภทไหนที่ผมเกลียดที่สุด”
เขาพูดแล้วหันมามองวารินเหมือนกับจะบอกเป็นนัยน์ให้รู้ว่าอย่าได้เป็นคนประเภทนี้เชียวนะเพราะเขาจะไม่มีทางอภัยให้ได้เลย
“คนไม่ซื่อสัตย์ไง
คนที่ทรยศหักหลังความรักที่เราให้ไปจนแหลกไม่มีชิ้นดี”
ธาราธารทอดสายตาเศร้าสร้อย
เขานึกถึงคุณแม่ของเขา ภัครจิราเป็นคนที่น่าสงสารตั้งแต่เขาจำความได้เธอก็เอาแต่ทำงานมาโดยตลอดจะเรียกว่าบ้างานเลยก็ว่าได้
เมื่อก่อนเขาก็นึกว่าภัครจิราเป็นคนแปลกชอบทำงานมากกว่าคนทั่วไปเท่านั้น จริง ๆ
แล้วมันไม่ใช่พอเขาโตขึ้นภัครจิราจึงเล่าเรื่องของสามีเธอหรือก็คือคุณพ่อของเขาให้เขาฟัง
ทัตพลเป็นรุ่นน้องเธอสองปี
เธอคลอดลูกตั้งแต่เขายังเรียนอยู่ปีสามเลยด้วยซ้ำจดทะเบียนกันได้ไม่ถึงปี ทัตพลขอเลิกกับเธอแล้วไปแต่งงานกับผู้หญิงอีกคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทของเขา
ผู้หญิงคนนั้นคลอดลูกหลังจากที่ธาราธารเกิดแค่ไม่กี่เดือน นั่นแสดงว่าทัตพลนอกใจภัครจิราตั้งแต่ยังอยู่ด้วยกัน
เขาขยี้ความรักของเธอทิ้งอย่างไม่มีชิ้นดี ทรยศ หักหลัง เล่นชู้
แม่เขาเสียใจอยู่พักหนึ่ง ทว่าก็กลับมาตั้งตัวได้อีกครั้งเธอจึงมุมานะทำแต่งานไม่เคยมองใครอีกเลย
“พูดอะไรไปเรื่อยเปื่อยแล้ว ธารไม่คิดจะถามพี่หน่อยเหรอว่าคิดยังไงกับเรา
พี่อาจไม่ได้คิดเหมือนที่ธารคิดกับพี่ก็ได้นี่” วารินท้วง
“โอ๊ยยยย ไม่ต้องถามแล้วผมรู้ตั้งนานแล้ว
พี่ชอบผมอ่ะไม่งั้นจะหึงจนหน้ามืดแบบนั้นทำไม” ธาราธารทั้งยิ้มทั้งหัวเราะขำสุดๆไม่รู้วารินคิดได้อย่างไรว่าเขาจะดูไม่ออกว่าตัวเองชอบเขาแค่ไหน
วารินหันรีหันขวางแก้มใสขึ้นสีแดงแป๊ดฟาดต้นแขนฟิตๆของธาราธารไปหลายทีจนอีกฝ่ายต้องคว้าจับไว้เป็นพัลวัน
เขาอาศัยจังหวะได้เปรียบกดข้อมือเล็กลงบนโซฟานุ่มแล้วตัวเขาขึ้นคร่อมไว้ด้านบนทันที
วารินรีบหลบสายตาอย่างเขินอาย
“ดิ้นต่อสิ”
เขามองลงมาที่แก้มขึ้นสีนั่นแล้วลากเสียงยิ้ม ๆ
“ถ้าทำได้น่ะนะ” อย่าว่าแต่ดิ้นเลยแม้แต่ขยับสักนิดก็ยังยาก
เพราะอย่างนั้นวารินจึงเริ่มเตะขาปัดป่ายไปทั่วแต่ก็โดนคนตัวใหญ่กว่ากดทาบลงมาทั้งตัว
คราวนี้แม้แต่หายใจให้ถนัดก็ยังลำบาก
“หนักไหม?”
“ห๊ะ”
วารินทวนคำในใจ จู่ๆธาราธารถามอะไรขึ้นมาก็เห็นอยู่แล้วว่าขนาดลำตัวต่างกันเห็น ๆ
เขาจะไม่หนักได้อย่างไร
“เวลามีอะไรกันถ้าผมขึ้นทับ
พี่จะไหวไหมผมตัวหนักนะ แล้วกับคนที่ผมชอบ ผมทับไม่ออมแรงด้วยบอกไว้ก่อน”
เขาพูดอย่างไม่อายปากเลยสักนิด
ไม่สนใจว่าวารินจะหน้าขึ้นสีแดงแค่ไหน พอธาราธารปล่อยข้อมือเล็กให้เป็นอิสระวารินก็ทั้งผลักทั้งทุบเขาเป็นพัลวัน
“บ้า! บ้าที่สุดพูดออกมาได้ยังไง
ปล่อยนะออกไปเดี๋ยวนี้เลย พี่.....”
ริมฝีปากนุ่มถูกเขาก้มลงมาปิดไว้อย่างรวดเร็ว
คนอย่างธาราธารไม่ปล่อยจังหวะดีๆแบบนี้ให้หลุดหายไปต่อหน้าต่อตาแน่
เขาส่งปลายลิ้นร้อน ๆ เข้าไปตวัดต้อนเรียวลิ้นนุ่มนิ่มที่ดูเหมือนจะถอยหนีอยู่ตลอดแต่ไม่ว่าจะหลบหลีกไปทางไหนก็โดนลิ้นร้อนต้อนเกี่ยวไว้ได้ทุกมุม
วารินหลับตาลงแน่นไม่รู้เมื่อไหร่ที่เผลอยกมือเกาะบ่าเขาไว้ ริมฝีปากเล็กดูดดุนปลายลิ้นเขาไว้อย่างลองดี
นึกไปถึงช่วงเวลาที่เคยจูบกับเขาครั้งแรก วารินลองทำอย่างที่เขาเคยทำให้
“อืออ..” เสียงหวานครางในลำคอเมื่อเขายิ่งเร่งเร้าอารมณ์
กว่าวารินจะสำนึกว่าผิดไปแล้วไม่น่าลองดีกับคนอย่างเขาเลยปากเล็กก็โดนดูดจนเจ่อแดง
ธาราธารละริมฝีปากออกมา ทั้งสองคนจ้องตากันนิ่ง
“เก่งเหมือนกันนี่”
เขาพูดแดกดันยิ้ม ๆ วารินกัดริมฝีปากไว้แน่น
“ภูมิใจไหม ผมไม่ค่อยให้ใครจูบหรอกนะ”
เขาเอื้อมมือเข้ากระชากผมวารินเบา
ๆ ให้หน้าเล็กแหงนขึ้นรับรสจูบของเขาได้ถนัดถนี่
คราวนี้เขาไม่ยั้งอารมณ์ไว้อีกแล้วมือแกร่งสอดไล้เข้าในสะโพกนวลแล้วบีบแรง ๆ วารินสะดุ้งเฮือกถดตัวหนี
เขาไม่ปล่อยร่างเล็กต่อต้านนานนักคนตัวใหญ่ขึ้นทาบทับทันที
สองมือล็อคใบหน้าสวยให้หันสบ ดวงตากลมจ้องเขาอย่างขลาดกลัว
“ชู่ว์อย่ากลัวครับ”
เขาตะล่อม วารินหน้ายู่ส่ายไปมาเบา ๆ
อย่างไม่เชื่อในคำพูดเขา เพราะยังไม่รู้รสนิยมเรื่องเซ็กส์ของเขาวารินจึงกลัว
ธาราธารแปลกไปพออยู่บนเตียงจะดูเร่าร้อนและรุนแรงคำพูดคำจากระทั่งน้ำเสียงและรอยยิ้มแบบร้าย
ๆนั่น
“อ..อื้ออ” เขาฉกจูบลงไปอีกครั้ง
คราวนี้เล่นบีบปากวารินไว้ด้วย มือเล็กทั้งทุบทั้งตีแต่เขายิ่งยิ้มร้ายเหมือนกำลังสนุก
วารินที่ตัวแข็งทื่อต่อต้านเขาได้ไม่นานก็หมดแรงบัดนี้อ่อนปวกเปียกเป็นขี้ผึ้งลนไฟอยู่ในอ้อมอกอุ่น
ๆ ของเขาธาราธารอ้อยอิ่งอยู่ที่ริมฝีปากสวยเนิ่นนาน เขาจูบซ้ำๆย้ำจนปากเล็กเรียวเจ่อแดงไปหมด
พอยกตัวขึ้นมองหน้าวารินดี ๆ เขาก็หัวเราะในลำคอเบา ๆ อย่างอดไม่ได้
วารินทำหน้าลูกหมาอีกแล้ว เขาแพ้ใบหน้าแบนนั้นของอีกฝ่ายมากจริง ๆ
“พี่ทำหน้าแบบนั้นอยากได้อะไรอ่ะ”
เขาถาม
วารินเลิกคิ้วนิดๆอย่างสงสัย
แต่นั่นทำให้เขายิ่งแทบคลั่ง ดวงตากลม ๆ
ของวารินใสซื่อบริสุทธิ์เหมือนเด็กๆอย่างไรอย่างนั้น
“รักนะ ผมรักพี่”
เขาแตะจูบลงมาเบาๆที่ริมฝีปากเล็กอีกครั้งคราวนี้ทั้งนุ่มนวลและอ่อนโยน
วารินยังตกใจกับคำที่ได้ยินไม่หายจึงเผลอจ้องเขานิ่งลืมกระพริบตา
รอยรื้นที่เกิดขึ้นในดวงตาทำให้เขาต้องยกนิ้วขึ้นมาเกลี่ยออกให้
“รักธารเหมือนกัน”วารินยกมือขึ้นลูบหน้าเขา
ทั้งสองคนแลกเปลี่ยนจุมพิตวาบหวามกันอีกครั้ง
คราวนี้วารินยอมปล่อยให้เขาทำอย่างเอาแต่ใจ
จูบของธาราธารทั้งนุ่มนวลและดุดันจนหัวใจวารินซาบซ่านไปด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด
เขาไม่ได้ร้องขอวารินมากไปกว่านี้
ธาราธารบรรจงกอดร่างเล็กไว้ในอ้อมแขนโน้มลงไปจุมพิตหน้าผากเนียนสวย
แสงแดดลอดพาดผ่านม่านหน้าต่างสีขาวบางเบาคนตัวเล็กซุกเข้าในอกอุ่นแล้วเผลอหลับไปทั้งๆอย่างนั้น
.
.
เสียงรถจอดลงที่หน้าบ้าน
วิลาสินีอยากจะดีใจเมื่อเห็นว่าเป็นรถของสามีแต่เธอก็ฝืนยิ้มไม่ลง วันนี้ทัตพลกลับเร็วกว่าปกติ
เธอถอนใจสอดรูปถ่ายลงในซองเอกสารแล้ววางมันไว้บนโต๊ะ กำลังจะเปิดประตูลงไปต้อนรับเขาแต่ทว่าทัตพลกลับเดินขึ้นมาถึงห้องแล้ว
“ทำอะไรอยู่
เห็นเด็กบอกว่าคุณไม่ค่อยสบาย”ทัตพลเดินเข้ามาเขาถอดเสื้อนอกแล้วแขวนเอาไว้
“ทานอะไรรึยัง”เขาถาม
เดินเข้ามาหาวิลาสินีใกล้ ๆ หญิงสาวพยักหน้าเบา ๆ แล้วหันหน้าไปทางอื่น เขาเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วหยิบเสื้อเชิ้ตที่แขวนไว้ออกมาสองตัวกางเกงอีกหนึ่ง
“คุณจะไปไหน”วิลาสินีลุกพรวดจากเก้าอี้ทันที
“ค้างที่คอนโด”
เขาตอบเรียบๆ ทำท่าจะเดินออกไปวิลาสินีเข้าไปกระชากแขนเขา
“จะไปนอนค้างกับมันรึไง
อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะ” เธอแหวใส่อย่างดัง ทัตพลถึงกับงง “วิ คุณพูดถึงใคร”
วิลาสินีฟาดซองสีน้ำตาลใส่หน้าเขาอย่างแรง
รูปถ่ายหลายสิบใบหล่นกระจายอยู่ทั่วพื้น ทัตพลก้มลงไปหยิบทันที
“ทุเรศที่สุด
เดี๋ยวนี้เอาไม่เลือกแล้วนะ ผู้ชายยังไม่เว้นคุณไม่อายลูกบ้างรึไงคะทัต!”
เธอเหยียดริมฝีปากอย่างขื่นขม
แววตาตัดพ้อสามีรื้นไปด้วยคราบน้ำตา สองมือเล็กกำแน่น
ทัตพลมองรูปถ่ายที่อยู่ในมือด้วยความงุนงง
มันเป็นรูปของเขากับวารินวันที่ไปทานข้าวด้วยกันที่โรงแรมริมน้ำนั่น
ทำไมวิลาสินีถึงมีรูปพวกนี้ได้
“คุณไม่เคยรักฉันเลยฉันไม่ว่า
แต่คุณทำแบบนี้กับฉันมันเกินไปนะทัต ฉันทำอะไรผิดมากนักรึไงคุณถึงต้องทรยศความรักของฉันแบบนี้
ยี่สิบปีที่เราอยู่ด้วยกันมามันไม่ได้ทำให้คุณรักฉันขึ้นมาบ้างเลยหรือ
สันดานคุณนี่มันต่ำเตี้ยเรี่ยดินขนาดกินไม่เลือกแล้ว นั่นน่ะมันเด็กผู้ชายนะ
ถึงจะดูดีแค่ไหนมันก็คือผู้ชาย ผู้ชายร่าน ๆ ที่ยอมมาเป็นเมียน้อยผัวคนอื่น
สันดานมันกับคุณก็คงต่ำพอๆกันนั่นแหละ คอยดูนะฉันไม่ปล่อยให้มัน...”
“หยุดนะวิ! ไปกันใหญ่แล้วพูดอะไรให้เกียรติคนอื่นเขาบ้าง” เขาท้วงขึ้นอย่างหัวเสียเมื่อเห็นวิลาสินีลากเอาวารินเข้ามาก่นด่าอย่างไม่มีชิ้นดีทั้งที่ไม่รู้ความจริงอะไรสักอย่าง
“ให้เกียรติอย่างนั้นเหรอ
ให้เกียรติทำไมคนอย่างมันมีเกียรติด้วยรึไง พวกวิปริตผิดเพศร่านอยากเอาผัวคนอื่นมาเป็นของตัวเอง
ไอ้คนของเราก็โง้โง่ไม่รู้ไปหลงมัน....”วิลาสินียังคงพูดต่อไม่ยอมจบแต่ทัตพลขัดขึ้นมาเสียก่อน
“ผมบอกให้หยุด!” เขาตะโกนขึ้นอย่างเหลืออด กระชากแขนเธอบีบแน่น “เงียบแล้วก็ฟัง! ผมกับเขาไม่มีเรื่องอะไรอย่างที่คุณคิด
อย่าเอาความคิดต่ำๆของคุณมาโยนให้คนอื่น เขาเป็นคนรู้จักของผม แล้วที่สำคัญถ้าคุณลองแตะต้องเขาแม้แต่ปลายเล็บผมไม่ไว้หน้าคุณแน่”
ทัตพลจ้องหน้าหญิงสาวอย่างเอาจริง
วิสาสินียิ่งเดือดดาลเธออยากจะกรีดร้องใจจะขาดแต่ยังคุมสติไว้ได้
“ปกป้องมันสินะ
จะไปไหน! ฉันไม่ให้คุณไปเรายังคุยกันไม่รู้เรื่อง”
วิลาสินีปราดเข้ากระชากเขาอีกรอบคราวนี้เสื้อผ้าหล่นลงมาจากมือเขากองลงที่พื้นทั้งไม้แขวน
“คุณจะไปหามันใช่ไหมจะไปค้างกับมันใช่ไหม
ทำไม! มันถึงใจนักรึไง
ทำให้คุณทุกท่ายอมตามใจคุณทุกอย่างหลงมันจนเป็นถึงขนาดนี้เลยรึไงห๊า!!”
เธอตะคอกเขาจนสุดเสียงไม่สนแล้วจะมีเด็กรับใช้ในบ้านได้ยินหรือไม่
เดินหน้าเข้าหาผลักหน้าอกเข้าอย่างแรง ทัตพลรวบจับข้อมือเธอไว้
“ทำไมคุณไม่ฟังผมวิ
ผมบอกแล้วว่าผมกับเขาไม่ได้มีอะไร เชื่อใจผมสิ” วิลาสินีเอาแต่ส่ายหน้าอย่างเดียวน้ำตาเธอไหลลงมาเป็นทาง
“คุณไม่เคยเป็นแบบนี้ ถึงคุณไม่เคยรักฉันแต่คุณก็ไม่เคยมีคนอื่น
เด็กคนนั้นมีอะไรดี คุณถึงหลงมันซะหัวปักหัวปำแบบนี้
คุณไม่รักตาธิปแล้วเหรอธิปเป็นลูกคุณนะ
สงสารเขาบ้างถ้าเขารู้เขาจะคิดยังไงพ่อไปมีเมียน้อยเป็นผู้ชาย...”
เธอพูดจาตัดพ้อกระแทกแดกดันจนทัตพลทนไม่ไหวลากเธอมาโยนโครมลงบนเตียง
“นอนซะ คุณเพ้อเจ้อมากเกินไปแล้ว” เขาก้มลงไปหยิบเสื้อผ้าที่ถูกวิลาสินีกระชากตกไปเมื่อตะกี้กำลังจะสาวเท้าออกไปนอกห้องเสียงของหญิงสาวก็แหวขึ้น
“ถ้าฉันรู้ว่าคุณยังติดต่อกับมันอีกฉันไม่ไว้มันแน่
ฉันรู้นะว่ามันเป็นเลขาของยัยภัครจิราเมียเก่าคุณ! คิดดูก็แล้วกันถ้าทางนั้นรู้ว่าเลขาตัวเองมาเล่นชู้กับผัวเก่า หึหึ
มันคงได้ลอยหน้าทำงานต่อหรอกนะ หึหึหึ”
เพี๊ยะ!!
ทัตพลสะบัดฝ่ามือตบลงไปที่แก้มของวิลาสินีอย่างเหลืออด
เขาขบกรามแน่นยื่นมือเข้าไปบีบคางเธอไว้ “ก็ลองคุณแตะต้องเขาดูสิ
ผมจะทำให้คุณรู้เลยว่านรกมันมีอยู่จริงโดยที่ไม่ต้องรอตายก่อนแล้วค่อยไปตกลงไปหรอก”
วิลาสิยิ่งช็อคเมื่อเขาผลักเธอออกห่างอย่างรังเกียจ
จริงอยู่รูปถ่ายเขากับวารินดูใกล้ชิดสนิทสนมกันบ้างไม่แปลกหากเธอจะเข้าใจผิดพลาดไป
แต่ในเมื่อเขาอธิบายเธอก็ควรจะฟังและไม่ควรจะก่นด่าคนที่ไม่รู้เรื่องให้เสียหายมากมายขนาดนี้
“คุณน่ะสิต้องตกนรก
เล่นชู้ทั้งที่มีเมียอยู่แล้วทั้งคน ใครกันแน่ที่ต้องตกนรก คนใจร้ายคุณมันใจร้าย”
เธอยังตะโกนลั่นน้ำตาไหลลงอาบสองแก้ม ยื้อแขนทัตพลไว้ไม่ยอมปล่อยมืออีกข้างทั้งทุบทั้งตีเข้าไม่หยุด
“วิ!” ทัตพลนิ่วหน้าด้วยความเจ็บพยายามดึงมือเธอออกแต่เธอยึดเสื้อเขาไว้แน่น
“อยากจะเลิกกันจริง
ๆ ใช่ไหม ถ้าคุณยังไม่ปล่อยแล้วก็พูดไม่รู้เรื่องแบบนี้ ผมว่าเราจบกันไปเลยก็ดี ผมจะได้ไม่ต้องตกนรกเพราะเล่นชู้ไง
ดีไหมฮึ!”
ในที่สุดเขาก็เหลืออดผลักเธอหงายหลังลงไปกองที่เตียง
วิลาสินีได้แต่นั่งอึ้ง เขาคว้าเสื้อผ้าแล้วเดินออกจากห้องไป
“อ้อ! ไม่ต้องให้ใครคอยตามผมอีกนะ
เพราะถ้าผมคิดจะทำจริง ๆ ผมไม่แคร์อยู่แล้วว่าคุณจะเห็นหรือไม่เห็นอะไร”
เขาพูดทิ้งท้ายไว้แค่ก่อนนั้น
ก้าวออกไปจากห้องปิดประตูดังปัง วิลาสินีร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่บนที่นอน
ไม่เคยคิดฝันว่าเขาจะทำอย่างนี้กับเธอได้
ทัตพลเป็นคนใจดี
สุภาพและอบอุ่น เขาเป็นรุ่นพี่เธอหนึ่งปีและเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของพี่ชายเธอ
วิลาสินีหลงรักเขามาตั้งแต่เธอยังเรียนอยู่มอต้นในขณะที่เขาไปแอบรักรุ่นพี่ที่อายุมากกว่าเขาถึงสองปีเธอคนนั้นชื่อ ภัครจิรา
ทัตพลคอยมาปรึกษาพี่ชายเธออยู่ตลอด
เขามองเธอเป็นแค่น้องสาวขณะที่เธอไม่เคยมองเขาในฐานะพี่ชายเลยสักครั้ง สำหรับเธอเขาช่างเหมือนเทพบุตรเธออยากได้ตัวเขาไว้อยากครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างของเขา
แต่วิลาสินีต้องปิดบังความรักความต้องการของตัวเองเพื่อรักษามิตรภาพระหว่างเขากับเธอ
จนกระทั่งเขาสอบเรียนต่อเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกับรุ่นพี่ที่เขาหลงรักได้
พวกเขาตกลงใจคบกันขณะที่เธอเองก็สอบตามเขาเข้ามาอีกที
เธอเฝ้ามองเขาเทียวรับเทียวส่งภัครจิราอยู่ตลอดพวกเขาสองคนรักกันมากเหมาะสมกันราวกิ่งทองใบหยก
วิลาสินีเริ่มมีความหวังขึ้นมาอีกครั้งเมื่อภัครจิราแฟนสาวของทัตพลเรียนจบออกไปก่อนเธอรู้ข่าวมาว่าบ้านของภัครจิราทำธุรกิจเกี่ยวกับโรงแรมและที่ดิน
ซึ่งคล้ายคลึงกับธุรกิจที่บ้านของเธอซึ่งก็คืออาคารชุด(คอนโด)และหมู่บ้าน เมื่อวิลาสินีรู้ข่าวว่าทัตพลขอหมั้นภัครจิราเธอเสียใจแทบบ้าออกเที่ยวไม่เว้นแต่ละวัน
นอนกับผู้ชายมากหน้าหลายตา พี่ชายจะเตือนอย่างไรเธอไม่เคยฟัง
ทันทีที่ทัตพลรู้ว่าภัครจิราตั้งท้องเขาขอเธอแต่งงานทันที
ติดที่ทัตพลยังติดเรียนอยู่เขาสองคนจึงไปจดทะเบียนสมรสกันไว้ก่อน ไม่กี่เดือนหลังจากนั้นก็คลอดลูกชายออกมาพี่เธอไปเยี่ยมแล้วมาเล่าให้เธอฟังว่าลูกชายเขาน่ารักน่าชังแค่ไหน
วิลาสินีได้แต่นั่งอิจฉาขณะที่เธอเพิ่งจะรู้ตัวว่าตนเองตั้งท้องกับใครก็ไม่รู้ได้ห้าเดือนกว่า
ๆแล้วเธอตัดสินใจเล่าให้พี่ชายเธอฟัง และขู่จะฆ่าตัวตายพร้อมลูกหากว่าพี่เธอไม่ช่วยบีบบังคับให้ทัตพลมารับเป็นพ่อเด็กให้ได้
เธอรู้พี่ชายเธอมีบุญคุณกับครอบครัวทัตพลมากครั้งหนึ่งเคยเอาชีวิตเข้าแลกช่วยหลานสาวของเขาที่เกือบจะโดนรถชน
พี่ชายเธอรักษาตัวอยู่เป็นปีต้องทำกายภาพบำบัดในขณะที่เด็กสาวคนนั้นอยู่รอดปลอดภัยไม่เป็นอะไรเลย
พี่ชายเธอเลยเรียนช้ากว่าคนอื่นและกลายเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกับทัตพล
จะด้วยวาสนาหรืออะไรก็แล้วแต่ทัตพลตกลงใจทิ้งทุกอย่างแล้วย้ายมาอยู่กับเธอ
เขารับว่าลูกในท้องเธอคือลูกชายของเขา ทางบ้านเธอตำหนิและไม่ชอบลูกเขย
พอเห็นว่าเขาเป็นคนดีขยันทำงานจึงไม่ได้ว่าอะไรอีก
วิลาสินีเรียนไม่จบเธอต้องออกจากมหาวิทยาลัยกลางครันเพราะตั้งท้อง
ตั้งแต่นั้นมาทัตพลกับเธอก็ใช้ชีวิตร่วมกันมาตลอด
“ฉันรู้ตั้งแต่วันนั้น...คุณไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
คุณเย็นชา ไม่ร่าเริง มีชีวิตอยู่ไปวัน ๆ คุณไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว...ฮือๆ...พี่ทัตวิรักพี่...”
เธอสะอึกสะอื้นคร่ำครวญอยู่คนเดียวกับหยาดหยดน้ำตาที่ไหลลงมาเป็นทาง
ยี่สิบปีตลอดมาเขาไม่เคยทำให้เธอเสียใจเลย ถึงเขาไม่รักเธอแต่เขารักชนาธิปมาก
เขาจะพูดอย่างภูมิใจทุกครั้งที่มีคนถามและพูดถึงชนาธิป เธอคิดว่าสามารถใช้ชนาธิปเหนี่ยวรั้งเขาไว้ได้
...แต่ตอนนี้มันไม่ใช่อีกแล้ว....
วิลาสินีตาวาวโรจน์หยิบรูปถ่ายวารินขึ้นมาฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
โทรกำชับคนสนิทของเธอให้ติดตามดูทัตพลแบบใกล้ชิด
.
.
Tbc.