Sunday, January 3, 2016

กวน T-E-E-N รัก (ภาคพันธนาการหัวใจ) # 31










[31]



ท่ามกลางความเงียบเหงาของบรรยากาศยามดึก พระจันทร์ดวงโตยังคงสาดแสงสีเงินยวงทาบทอลงมาที่ริมระเบียงสูง ใบหน้าคมคายรับกับดวงตารีเรียวคมกริบเหม่อมองไปในที่ๆไกลแสนไกล ม่านควันบุหรี่สีขาวหม่นจากนิ้วแข็งแกร่งปกคลุมไปทั่วทั้งบริเวณ




“ห้าปีที่ผ่านมา มึงคิดถึงกูบ้างไหมวะเอส”

.

.


“ตอบหน่อยสิวะ ตอบกูให้ตรงคำถาม ห้าปีที่ผ่านมาไม่เคยคิดถึงกูเลยจริงดิ”

.

.


“เราสองคน ตอนนี้อยู่ในฐานะอะไรกัน”






 “หึ....”

เขาแค่นเสียงสมเพชตัวเองแผ่วเบา ความรู้สึกมันฝืดเสียจนต้องเตือนตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า เฝ้าเตือนตัวเองอยู่เสมอ คนที่เคยทอดทิ้งกันไปกับตัวเขาที่ถูกทิ้งไว้อย่างง่ายดายเพียงลำพัง ความจริงแสนเจ็บปวดที่เขาใช้น้ำตาลูกผู้ชายล้างมันเกือบทุกคืนทุกวัน แม้กระนั้นทุกวันนี้ความรู้สึกที่หล่นหายกลับกลายเป็นความเงียบเหงา อ้างว้างในยามค่ำคืน ยังคงหลงเหลือและกรุ่นร้อนอยู่ในหัวใจมิรู้คลาย


เจ็บกับห้าปี....ที่เริ่มต้นใหม่กับใครไม่เคยได้


เก่งจริง ๆ ที่ทำให้คนอย่างเขาจดจำช่วงเวลานั้นได้ไม่เคยลืม


เก่งจริงๆ ที่ทำให้เขาแพ้ได้ทุกทาง


แพ้หมดรูป...หมดหัวใจ


แพ้ให้กับคนที่ช่วงชิงหัวใจเขาไป แล้วปล่อยให้เขาดื่มด่ำกับความทุกข์ทรมานท่ามกลางห่าฝนที่โหมกระหน่ำในค่ำคืนวันนั้นเมื่อห้าปีก่อน...ยาวนานมาจนถึงทุกวันนี้





“มาเริ่มต้นกันใหม่อีกสักครั้งได้ไหมวะ เปิดใจให้กู ให้โอกาสกูได้แก้ตัวนะ”

.

.

“เราสองคน...ยังพอจะมีทางเป็นไปได้อีกสักครั้งไหม”





คำตอบที่ดีที่สุดสำหรับคนพ่ายแพ้อย่างเขา....คำตอบที่แม้แต่ตัวเอง พูดออกมาเองยังรู้สึกเจ็บ




“ไม่....”




“จิ๊!

เขาสบถใส่ตัวเองอย่างคนไม่ได้ดั่งใจอีกครั้งก่อนหันหลังพิงราวระเบียงแล้วเสยผมขึ้นอย่างหงุดหงิด ก็ทั้งที่พูดออกมาเองว่าไม่ ทั้งที่คิดว่าตัวเองจะต้องไม่ลืม แต่ทว่า..หัวใจไม่รักดีร่ำๆจะหลุดยกโทษให้อีกฝ่ายอยู่ตลอดเวลาเสียอย่างนั้น


หงุดหงิด...








กลิ่นหอมของกาแฟจากหม้อต้มลอยอบอวลจากร้านเล็กๆปากทางเข้าไร่ กรุ่นเข้ามาถึงภายในตัวบ้าน

“ยี่สิบเจ็ด ฮึบ! ยี่สิบแปด ฮึบ!  ยี่สิบเก้า ฮึบห้าสิบ ฮึ๊บ!!

“เดี๋ยวๆๆๆๆนี่มึงโกงอีกแล้วนี่หว่าไอ้แคป แม่งนับมั่วเป็นบ้าเลยเอาใหม่ดิ๊” อาร์ผู้ซึ่งกำลังนั่งยอง ๆ ลุ้นมองเพื่อนตัวเองซิทอัพหน้าเหลืองหน้าเขียวอยู่ที่พื้นบ้าน ข้าง ๆ กันนั้นเป็นโต๊ะไม้สักทองฉลุลวดลายสวยงามสำหรับร่วมรับประทานอาหารของครอบครัว ซึ่งตอนนี้มีเฮียโก้กับอาฟี่นั่งดื่มด่ำกาแฟกับโกโก้ร้อนและอ่านหนังสือพิมพ์ยามเช้ากันอยู่

“คาปูเอาใหม่เถอะลูก” โก้วางแก้วกาแฟของตัวเองลง เขาละสายตาจากหนังสือพิมพ์มองมาที่แคปแล้วอมยิ้มนิดหน่อย ขณะที่ฟี่เอนตัวพิงพนักไม้ด้วยท่าทีสบาย ๆ จุดบุหรี่ขึ้นสูบ“หึหึ แบบนี้มันจะผอมได้ไงวะ ไม่ได้เรื่องเล๊ย”

“ใช่ๆ มึงคงต้องอ้วนแบบนี้ต่อไปอีกอ่ะ โอ๊ยย!!” อาร์สมทบความคิดไปกับอาฟี่จึงโดนแคปฟาดผัวะมันไปหนึ่งทีหนักๆเน้นๆ คนถูกตีจับหัวตัวเองป้อย ๆ แล้วบ่นขมุบขมิบ

“เจ็บอ่ะแคปน่ะ”

“ก็มึงมีสิทธิ์ด่ากูตั้งแต่เมื่อไหร่วะห๊ะ!” กูจะอ้วนเรื่องของกูสิ

“กูก็อยากให้มึงนับดีๆนี่หว่า นี่อะไรนับกี่ทีๆก็ขี้โกงจะให้มันห้าสิบอยู่เรื่อยเลย กูแค่อยากให้มึงผอมอ่ะ”

“หยุดพูดเรื่องอ้วนเรื่องผอมเดี๋ยวนี้ กูอ้วนขึ้นแค่สามโลแหม่พูดจาซะเหมือนกูอ้วนสิบยี่สิบโลบ้าชะมัด แล้วก็นะมึงห้ามบ่นด้วยเพราะว่ามึงทำตัวเองทั้งนั้น ถ้าไม่พูดมากจะโดนไหมล่ะฮึ!” แคปที่โดนอาฟี่เหน็บด่าแล้วทำอะไรโต้ตอบไปไม่ได้ก็แทบจะบ้าแล้ว ยังจะมาโดนไอ้เพื่อนตัวดีเสริมทัพมาอีก เขาเลยเทศนาสั่งสอนมันไป อาร์ทำหน้าจ๋องๆในขณะที่อาฟี่ลดหนังสือพิมพ์ลงแล้วจ้องมาที่เขา

“นี่มึงด่าเพื่อนหรือด่ากู”

“โอ๊ยอาฟี่ผมไม่กล้าหรอกครับ ผมด่าไอ้อาร์เนี่ยล่ะ” แคปพลิกตัวกลับเพื่อวิดพื้น อาฟี่สั่งให้อาร์ขยับเข้าไปนอนข้าง ๆ แล้วสอดแขนเข้าไปรองที่หน้าอกหลานชาย

“หน้าอกมึงต้องแตะมือเจ้าอาร์ถึงจะนับว่าเป็นหนึ่งครั้งได้ ห้าสิบปฏิบัติ!

ตายแคปตาย วิดพื้นห้าสิบทีไม่ได้อยู่ดีแล้วมึง ไอ้เจ้าอาร์ก็นับไป ครั้งไหนหน้าอกเขาลงไปไม่ถึงมือมันมันก็จ้องหน้า พอแคปใช้สายตาขู่แรง ๆ แม่งถึงยอมนับต่อได้ ส่วนคนสั่งน่ะเหรอนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ต่อไม่ได้สนใจหลานชายตัวเล็กน่ารัก(?)ที่กำลังจะขาดใจตายกับการถูกสั่งให้วิดพื้นโหดๆสไตล์ทหาร

“ห้าสิบ” อาร์ขานถึงเลขห้าสิบได้ไม่ค่อยเต็มเสียงเท่าไหร่ แคปนี่ฟุบลงกับพื้นหอบแฮกจนโก้มองแล้วยิ้มขำ

“ถ้าเหนื่อยก็พอ อย่าฝืนมาก” โก้บอกลูกชาย แคปได้ยินรีบลุกขึ้นแล้วทำท่าว่าตัวเองไม่เหนื่อย เขาวิ่งเหยาะๆโชว์จ๊อกกิ้งอยู่กับที่ เห็นอาฟี่ไม่มองมาสักนิดแล้วนึกหมั่นไส้จึงวิ่งเหยาะๆไปรอบโต๊ะก่อกวน โก้ถึงขนาดหมุนคอมองตามบอกว่าเขาเวียนหัวแล้ว แคปจะวิ่งทำไมนักหนา แต่รายนั้นไม่ฟังหรอกยังคงวิ่งวนต่อไป สักพักดูเหมือนฟี่หมดความอดทนเสียแล้วที่โดนเจ้าหลานตัวดีกวน เขาพับหนังสือพิมพ์ลงเสียงดังพรึ่บ!

“คาปู!

แคปสะดุ้งโหยงรีบแจ้นไปหลบอยู่หลังเคาน์เตอร์ ก่อนหยิบดัมเบลขนาดห้ากิโลขึ้นมาบริหารทำท่าไม่รู้เรื่อง แล้วกวักมือเรียกเจ้าอาร์ให้เข้ามาเป็นพวกอย่าไปยืนอยู่แถวนั้น ฟี่ขยี้บุหรี่ลงจานเขี่ยแล้วลุกขึ้นช้าๆหน้าตาถมึงทึง แต่โก้ซึ่งรู้หน้าที่ดีรีบหยิบแก้วเครื่องดื่มร้อนส่งให้น้องชายตัวเองแล้วลูบลงที่หลังเบา ๆ

“อย่าแกล้งลูกนะฟี่ อ่ะนี่ดื่มตอนกำลังร้อนๆจะอร่อยมากกว่า”

ฟี่หยุดชะงักรับแก้วมา เขานิ่งไปนิดจากนั้นจึงอมยิ้ม ดูเหมือนท่าทีที่กำลังจะเดินไปเอาเรื่องกับแคปเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังตีน

“แต้งส์ครับโก้”

แคปกับอาร์สบตากันอัตโนมัติกับสิ่งที่ได้ยิน

มันเชื่อยาก..ว่านั่นเป็นเสียงของอาฟี่ นับครั้งได้ที่จะได้ยินคำพูดสุภาพเรียบร้อยแบบนั้น โมเมนต์ที่มีให้พ่อของเขาแค่คนเดียว เฮียโก้อาจจะชินเพราะคงพูดกันสองคนบ่อย แต่ในที่สาธารณะที่มีเขากับเจ้าอาร์อยู่ด้วย นับครั้งได้ที่อาฟี่จะพูดอ้อนแบบนั้น

“ถ้างั้นเดี๋ยวพ่อจะออกไปที่ร้านแล้วนะ พวกลูกๆออกกำลังกันเสร็จก็อาบน้ำอาบท่าให้เรียบร้อยก็แล้วกัน เกิดลูกค้าเข้าช่วงสายเดี๋ยวจะยุ่ง” โก้ลุกขึ้นหยิบแก้วเครื่องดื่มของฟี่ไปเก็บให้ จากนั้นเดินออกมาสั่งความลูกชายคนเล็กพร้อมกับหยิบชุดบาริสต้าที่ซักรีดไว้แล้วเรียบร้อยมาถือเตรียมไว้

“แล้วมึงไม่สั่งกูมั่งหรือไง ให้กูทำอะไรต่อดีล่ะ” โก้เดินเข้ามาหาน้องชายฟี่รีบคว้ามือนิ่มๆของพี่ชายฝาแฝดไว้แล้วเงยหน้าถาม คนยืนหันมาย่นจมูกใส่ “ไม่สั่งหรอกไม่อยากสั่ง”

“สั่งหน่อยน่า กูอยากโดนสั่ง”

“มึงจะโดนกูแดกนะฟี่ถ้ายังไม่ยอมปล่อย  จะออกไปแล้วปล่อยเร็วๆ” (แดกเป็นการสั่งลงโทษของทหาร)

“ก็อยากโดนมึงแดกอ่ะ” ฟี่ว่า

“เอองั้นเดี๋ยวคืนนี้สั่งวิดพื้นสองร้อยครั้ง”

“ได้เลยครับท่าน สองร้อยครั้งกูขอวิดบนเตียงมึงเหมือนเดิมโอเคไหม”

“ไม่โอเคเว้ย ปล่อยเร็วพายมันรอกูไปเปิดหน้าร้านแล้วเนี่ย เดี๋ยวสายอย่ามัวแต่เล่น”โก้ทำหน้าดุใส่ ทั้งที่ไม่ได้ดูดุเลยสักนิดแต่ฟี่ก็ทำหน้าทำตาน่าสงสารใส่มั่งพร้อมกับทำเสียงหงอย “ก็อุตส่าห์ได้วันหยุดยาว ๆ มาไง”

“เออถ้าอย่างนั้นอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วออกไปดูหน้าร้านช่วยกูสิ เดี๋ยวเตรียมของว่างไว้ให้ ไปนั่งเล่นเน็ตก็ได้ โต๊ะริมสวนข้างบ่อปลาคาร์ฟดีไหม อากาศกำลังดีด้วยมึงต้องชอบแน่ ๆ”

“ไม่เอาอ่ะกูไม่อยากไปนั่งอยู่แถวนั้น นั่งอยู่ในบ้านนี่ล่ะ” ฟี่เกลียดเวลาที่มีลูกค้าสาวๆเข้ามาแล้วจ้องมองเขาราวกับเป็นตัวประหลาด แน่นอนเขารู้ว่าตัวเองหน้าตาดี แต่ถึงขนาดโดนจ้องมาหลายสิบปีอย่างไรก็ทำใจให้ชินไม่ได้ เรื่องนี้คนในบ้านรับรู้กันหมด โก้ที่มีใบหน้าเหมือนกันกับเขาทุกกระเบียดนิ้วเองก็รู้ แต่รายนั้นวางตัวเก่งและมีมนุษย์สัมพันธ์ดีเลยไม่เคยมีปัญหา ยิ้มรับลูกค้าได้ทุกประเภท

“งั้นก็ตามใจมึง” โก้ส่ายหัวพร้อมกับแกะมือตัวเองออกจากมือใหญ่ของน้องชาย ฟี่ได้วันหยุดยาวมาเขาจึงพักผ่อนเต็มที่อยู่บ้าน ถึงจะบอกโก้ไปแบบนั้นแต่เชื่อเถอะสายๆหน่อยเดี๋ยวก็เดินออกไปเรียกโก้อยู่ที่ร้านเหมือนเดิมอยู่ดี

“แคป อาร์ พ่อออกไปก่อนนะ” ร้องบอกเจ้าสองตัวที่กำลังง่วนอยู่กับการแข่งขันยกดัมเบลอีกครั้ง แคปไม่สนใจจะตอบขณะที่อาร์พยักหน้ารับหงึกๆๆ ฟี่ฉวยเอากล่องกระดาษทิชชู่เขวี้ยงมาที่หัวหลาน คนโดนร้องโวยวายขึ้นมา ฟี่ก็แค่นั่งอมยิ้มพออกพอใจ

“กูว่าอาฟี่โรคจิตว่ะแคป ชอบรังแกมึงง่ะ” อาร์ขยับเข้าไปกระซิบกระซาบใส่เพื่อนตัวเอง แคปยังคงจับหัวเขาอยู่ป้อยๆ “โรคจิตแน่อยู่แล้ว ชอบแกล้งกูคือความสุขที่สุดในชีวิตของแก”

“แต่กูว่าอันนั้นรองลงมาเหอะ ความสุขที่สุดคือการที่แกออดอ้อนเฮียโก้แปลกๆล่ะมากกว่า”

“เออกูก็คิดอยู่” แคปพยักหน้าบอกเห็นด้วยอย่างแรง สองคนเบาเสียงลงอีกนิดทั้งที่ความจริงก็เบามากอยู่แล้ว อาร์จึงต้องขยับเข้าไปอีก “แต่กูไม่อยากคิดมากว่ะ ยิ่งคิดกูยิ่งกลุ้ม จะว่าไปอาฟี่มึงไม่เห็นเคยมีแฟนเลยใช่ป่ะวะ”

“ก็เออดิ ไอ้น้องติดพี่นั่นจะไปมีเวลามองผู้หญิงหน้าไหนกันล่ะวะ อะไรๆก็พ่อกู ว่างแค่นาทีเดียวยังหายใจเป็นพ่อกูเลยเหอะ มึงเห็นไหมคำว่าโก้ลอยอยู่เต็มอากาศ”

อาร์หัวเราะขำ แคปเองก็อดขำด้วยไม่ได้ สองคนพยายามกลั้นเสียงขำ ฟี่ตวัดสายตามองมาถึงได้เงียบ “มึงพูดถูกใจกูเป็นบ้าว่ะแคป คึคึ” อาร์พึมพำขำแผ่วเบา แคปพยักหน้างึกๆ

“ของมันแน่อยู่แล้ว ฮ่าๆๆๆ”

ฟิ้ววววว~~

ผั๊วะ!

“โอ๊ย!!!!

สองคนยังไม่ทันได้หัวเราะเต็มปาก หนังสือพิมพ์ลอยข้ามเขตแดนเข้ามาโดนหัวแบบเต็ม ๆ แม่นราวจับวาง ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นยืนตาเขียวกำลังจะย่างสามขุมเข้าหา แคปกับอาร์รีบทิ้งดัมเบลลงแทบไม่ทันวิ่งหนีกันจ้าละหวั่นออกไปที่ใต้ต้นมังคุดหน้าบ้าน หอบกันแฮกๆหันมองกลับไปด้านในเห็นอาฟี่เดินหน้ามุ่ยเข้าห้องไปเรียบร้อยแล้วคาดว่าคงง่วงนอนมากจนไม่ไหวจะไล่ตามมาเตะพวกเขาสองคน

“หึยย อาฟี่น่ากลัวเป็นบ้าอ่ะ” อาร์ทำหน้าแหยง แคปกระโดดขึ้นโหนกิ่งมะม่วงขนาดใหญ่ที่เขาใช้ทำเป็นบาร์โหนเพื่อออกกำลังกายเสมอๆในช่วงนี้

“พนันได้เลย ที่เมื่อเช้าออกมานั่งกินกาแฟก็เพราะเฮียโก้ชงเอาไว้ให้แล้วนั่งดื่มด้วยนั่นแหละ ไม่งั้นเฮียแกไม่ยอมเสด็จออกมาให้พวกเราเห็นหน้าเช้าขนาดนั้นเด็ดขาด” เขาเริ่มโหนตัวเองขึ้น ๆ ลง ๆ เกร็งหน้าท้อง เหงื่อกายซกไปหมด อาร์ยืนกอดอกมองก่อนเอื้อมมือเข้าไปเลิกเสื้อยืดแคปขึ้นเพื่อดูไลน์กล้ามเนื้อ

“นี่มึงเอาจริงเอาจังขนาดนี้เลยเหรอวะไอ้แคป กูว่ามึงจะทุ่มเทมากไปนะ”

ใช่ ตั้งแต่กลับจากเมืองกรุงมาแคปโหมออกกำลังหนักตลอด ทั้งตื่นมาจ๊อกกิ้งทุกเช้า วิดพื้น ซิทอัพ ยกเวท โหนบาร์ คือทำแทบทุกอย่างที่มันจะทำได้ แต่น่าเสียใจจริง ๆ ที่น้ำหนักมันเพิ่งลดลงมาแค่กิโลเดียวเท่านั้น หรือบางทีไม่ได้ตั้งใจจะลดน้ำหนักหากแต่เป็นการเพิ่มกล้ามเนื้อขึ้นมาแทนที่ไขมัน

“ไม่ได้หรอกเว้ย กูต้องทำเต็มที่ คู่แข่งกูเยอะ” แต่ล่ะคนแจ่มๆทั้งนั้น

“เยอะแล้วยังไง ไอ้คุณชายเอสนั่นมันก็รักแต่มึงคนเดียวอยู่ดี” อาร์เบะปากพึมพำมั่นอกมั่นใจ ปอมันรายงานเขาหมดทุกอย่างน่ะแหละเรื่องเจ้านายมันน่ะ

แต่...แคปอาจไม่เคยรู้

“มึงจะไปรู้อะไรความรู้สึกของคน ถ้ายังรักกันอยู่มันจะไม่มีทางควงใครหน้าไหนเด็ดขาด แล้วยังไงมึงเห็นไหมล่ะ มีทั้งคู่หมั้นมีทั้งคู่ควง แค่สองคนนะที่กูรู้ ที่ไม่รู้อีกเท่าไหร่ไม่ให้กูทำตัวเองให้ดูดีมึงจะให้กูไปลงสนามแข่งขันได้ยังไงล่ะวะ”

“คำพูดมึงแปลกๆว่ะแคป”

“เออกูก็ว่าแปลก ลงสนามแข่งกับพวกผู้หญิงเนี่ยนะ กูว่ากูใกล้จะเพี้ยนไปแล้ว” ไม่เคยคิดจะแข่งกับผู้หญิงด้วยซ้ำ ยิ่งแข่งแย่งผู้ชายอ่ะเหรอ บรึ๋ยยยย

“นั่นสิ”

“ช่างเหอะๆ เรื่องอื่นเอาไว้ก่อนตอนนี้กูโฟกัสความอ้วนกูก่อนเหอะวะ เหลืออีกสองกิโลเป้าหมายของกู”

“งั้นขัดผิวด้วยดิ มึงดำขึ้นเยอะอยู่นะกูว่า”

“ไม่เอาหรอกเว้ย!” แคปหน้าผิดสีทันที  “กูเป็นของกูแบบนี้ช่างมันสิ เอาแค่รูปร่างพอ เรื่องอื่นๆกูไม่สนใจ กูผู้ชายนะมึง”

“ครับๆ เดี๋ยวไปเสิร์ชหาสมุนไพรไทยที่ดีๆมาสักตัวดีกว่า กูจะจับมึงขัด” เอาให้ขึ้นเงาเลย

“บ้าดิ กูไม่สกปรกขนาดนั้น หลีกเลย”

อาร์ขำ  หน้าตาท่าทางของแคปตอนพูดเรื่องขัดเนื้อขัดตัวแล้วมันอารมณ์เสียขึ้นมาอีก เขาไม่อยากจะกวนจึงยืนดูแคปมันโหนบาร์กิ่งมังคุดเอาจนพอใจ สุดท้ายยื่นผ้าขนหนูให้เพื่อนเช็ดหน้าเช็ดตา

“กูผอมหรือยังมึงว่า” แคปถามขึ้นหลังจากยกขวดน้ำแร่ซดอึกๆๆๆจนน้ำไหลลงเป็นทางตามคอ อาร์รีบดึงขวดน้ำออกจากมือมัน

“แดกดีๆมึงเล่นทำไม”

“เล่นเหี้ยไร กูร้อนแค่อยากอาบน้ำ”

“ร้อนก็เข้าห้องน้ำเลย มาเอาน้ำดื่มเทราดตัวแบบนี้ไม่เข้าท่า”

“น้ำแร่มันเย็นชุ่มฉ่ำไงล่ะ”

“กูจะฟ้องเฮียโก้”

“ไอ้หมาอาร์ ถ้ามึงทำงั้นกูจะสาบแช่งมึง”

“โถๆกูกลัวตายห่าล่ะ ลองดิ”

“เดี๋ยวเถอะ” แคปทำท่าปั้นปากจะจับอาร์กิน คนตัวเล็กร้องจ๊ากวิ่งหนีกลับบ้านหลังเล็กของตัวเอง หลังจากนั้นนั้นตะโกนมาบอกแคปว่าให้แยกกันไปอาบน้ำเสร็จแล้วออกมาทำงาน แคปที่ตั้งท่าจะวิ่งไล่จับเลยต้องยอมเพราะมองเวลาที่ข้อมือก็เห็นว่ามันสายแล้วจริง ๆ

.

.

“คุณแคปครับคุณแบงค์มาหาน่ะครับ คุณโก้ให้เข้ามาตาม” แคปเพิ่งเดินลงบันไดมาจากชั้นบน อาบน้ำอาบท่าเรียบร้อยกำลังจะออกไปที่ไร่ นายโชนในชุดมอมแมมของชาวสวนเข้ามาเมียงๆมองๆหา

“ครับๆ ผมกำลังจะออกไปเนี่ย” เห็นรถมันเข้ามาจอดตั้งแต่เขาอาบน้ำเสร็จโน่นแล้ว แต่แคปแปลกใจนิดหน่อยปกติเจ้าแบงค์มาหาทีไรก็จะทะเล่อทะล่าเข้ามาในบ้านเลย น้อยครั้งที่มันจะเข้าไปที่หน้าร้าน คิดว่าวันนี้คงไปเสิร์ฟกาแฟช่วยเฮียโก้อยู่แน่ ๆ

“ที่ร้านคนเยอะหรือนายโชน”

“ครับ มีทัวร์มาลง คุณโก้กับคุณอาร์เทคแคร์อยู่ พอดีคุณแบงค์มาเลยต้องช่วยด้วยอีกแรง” แคปพยักหน้ามองดูเวลาก่อนเดินออกจากบ้านมา ปกติฤดูหนาวทัวร์จะบางตาและส่วนใหญ่จะเข้าช่วงสายไม่ก็บ่ายจัดเพราะว่าฤดูกาลผลไม่เริ่มจางลง อากาศและดินค่อนข้างแห้งแล้ง เพราะอย่างนั้นเขาจึงไม่รีบร้อน อันที่จริงเขาเข้าไปปั่นจักรยานรอบสวนมาตั้งแต่หกโมงเช้าแล้ว

“คุณแคปจะออกไปหาคุณแบงค์หรือครับ” แคปถึงขั้นหันมองหน้าคนถาม ที่เดินตามๆกันมา ก็มาตามเขา?

“ใช่ ผมจะเข้าไปที่ร้าน นายโชนมีอะไรหรือเปล่า”

“เปล่าครับ” โชนทำท่าตะเบ๊ะแล้วผายมือเชิญแคปบอกให้เดินไปได้เลยทางเดินปูด้วยอิฐลูกหนอนเดินได้สะดวก แคปถึงกับหยุดจ้องหน้า

“มีอะไรถามเลย”

“เปล่าครับ ไม่มี”

“จริง?” แคปกดเสียงถาม โชนเริ่มเงอะงะ ในที่สุดก็ยอมเปิดปาก “คะ..คือ ความจริงก็มีครับ”

นั่นไง

“มีอะไรถามผมได้ สงสัยอะไรให้ถามเลย เรื่องงานหรือเปล่า ที่สวนมีปัญหาอะไรครับ” อย่าให้อยู่ในโหมดงาน คุณแคปนี่ก็ดุไม่แพ้ใครเช่นกัน

“เปล่าครับ ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องงาน ผมแค่อยากจะถามคุณแคปเรื่องที่คุณถามผมวันนั้น เรื่องจีบผู้หญิงน่ะครับ”

“จีบผู้หญิง?” แคปมุ่นคิ้วแล้วถามทวนทันที เขาไปจีบผู้หญิงตั้งแต่ตอนไหนวะ

“ใช่ครับ คุณทำสำเร็จหรือยัง”

อาา..

แคปเพิ่งจะถึงบางอ้อ คงเป็นเรื่องที่เขาปรึกษานายโชนวันนั้น แต่เอสมันไม่ใช่ผู้หญิงน่ะสิ

“ไม่สำเร็จง่ายๆหรอกนายโชน คนนี้ท่าทางจะยากอยู่ผมกำลังพยายาม”

“คุณชอบเธอจริงๆเหรอครับ” โชนหน้าเครียดขึ้นมาเมื่อได้ยินทั้งคำพูดทั้งสีหน้าจริงจังของแคป ใบหน้าเจ้านายตัวเองลอยเข้ามาในหัว เรื่องนี้เขารายงานคุณเอสไปแล้วเมื่อสัปดาห์ก่อน กลั้นหายใจแทบตายตอนที่รอฟังคำดุด่า แต่ทว่าทางนั้นพอได้ยินแล้วกลับทำเสียงคล้ายคนหัวเราะขึ้นจมูก โชนเองก็ยังงง สุดท้ายเจ้านายของเขากำชับให้สืบเรื่องที่แคปพยายามจะจีบใครสักคนต่อไป

“ก็จริงจังนะ ยังไม่รู้ผลเลยผมอยู่ไกลแล้วรอบ ๆ ตัวเขามีแต่คนหน้าตาดีๆทั้งนั้น”

รอบๆตัวเขา?? 

ทำไมถึงใช้คำว่าเขา

โชนสะกิดใจกับคำที่แคปใช้นิดหน่อย แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรมาก ใบหน้าหล่อๆของเจ้านายเขาดันลอยเข้ามาในความคิดอีกครั้ง

หรือว่า...

“ผมคิดว่าอยู่ไกลหรือใกล้นั่นไม่ใช่ปัญหาหรอกครับ เช่นเดียวกันกับรอบตัวที่มีแต่คนหน้าตาดีๆ นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาอีก ทุกอย่างขึ้นอยู่ที่หัวใจมั่นคงหรือไม่นั่นต่างหากครับที่สำคัญ” เหมือนอย่างเจ้านายของเขาไง 

“แหมนายโชนพูดดีมีหลักการนะเนี่ย ขอบคุณมากที่ให้กำลังใจผม ผมจะพยายามต่อไปละกัน”

แคปตบลงที่บ่าแข็งแกร่งแรง ๆ หนึ่งทีแล้วส่งยิ้มให้ โชนค้อมศีรษะลงบอกว่าเขาต้องเข้าไปช่วยรับนักท่องเที่ยวอยู่ในจุดทานอาหารภายในสวนแล้ว แคปจึงบอกโอเค ในตอนนั้นเองที่แบงค์เดินออกมาถึงตัวทั้งสองคน

“ไงวะมึง คุยอะไรกันอยู่”

แคปเงื้อมือทำท่าจะโบกหัวคนทักไปเหตุเพราะว่า แบงค์มันไม่เคยเรียกเขาว่าพี่ได้สักที แต่แบงค์เอนตัวหลบแล้วคว้าเอาข้อมือแคปไว้ได้ก่อนเลยต้องเจอหมัดเบา ๆ สวนฮุกลงที่หน้าท้องร้องโอดโอยไปตามระเบียบ

“แล้วลูกค้าหายไปไหนหมดวะนั่น” เมียงมองเข้าไปในร้านกาแฟ มีลูกค้าอยู่ไม่กี่ราย แต่รถตู้สามคันที่จอดเรียงตัวกันอยู่ด้านหน้าก็พอรู้ว่าที่เหลือคงเข้าไปชมไร่กันเรียบร้อย

“อาร์พาเข้าไร่ไปแล้ว คราวนี้ยุ่งยากขึ้นนิดหน่อยเพราะเฮียโก้ก็โดนขอร้องให้พาเข้าไปด้วย พวกคุณครูสาวที่มาดูงานล่ะมั้งนะ กว่าจะลงตัวได้กูเลยต้องอยู่ช่วยพี่พายเสิร์ฟกาแฟกับของว่าง แต่ตอนนี้โอเคเคลียร์ได้แล้ว เฮียโก้ออกมาแล้วว่ะ”

“ขอบใจมึงมาก แล้วนี่มาหากูเหรอ”

“ก็นะ มาที่นี่ให้กูมาหาใคร”

แคปพาแบงค์เดินขึ้นไปนั่งบนเนินด้านข้างของร้านกาแฟ มันเป็นโต๊ะไม้ใต้ชายคาที่ปกคลุมไปด้วยเครือเถาวัลย์ของดอกไม้โบราณสีขาวส่งกลิ่นหอมอ่อนๆตลอดทั้งวัน มองเห็นเฮียโก้ชี้ออกมาจากภายในร้านผ่านบานกระจกใส แคปยักไหล่บอกให้รู้ว่าช่วยไม่ได้จริง ๆ วันนี้เขาออกมาสายคนที่เหลือเลยต้องรับหน้าที่กันหนัก

“กินอะไรกันดี มึงหิวหรือเปล่ากินอะไรมาหรือยังวะ” แคปนั่งลงแล้วถาม แบงค์มองที่บ่อปลาเห็นปลาคาร์ฟสีส้มคู่ใหม่ที่แคปมันเพิ่งจะโทรไปอวดว่ามีลูกค้าเอาเข้ามาฝากเฮียโก้เมื่อวันก่อน น่าจะเป็นสองตัวนี้แน่ ๆเพราะว่ามันยังตัวเล็ก

“กินแล้วเมื่อกี้ เฮียโก้ทำแซนวิชให้”

“อ้อ มิน่าล่ะ”

“มิน่าอะไร”

“ก็มิน่าล่ะทุกทีมึงจะเข้าไปหากูเลยนี่หว่า มันแปลกไม่ใช่หรือไงวันนี้มึงเข้ามาช่วยที่ร้านเนี่ย”

“กูไม่ได้เห็นแก่กินเหอะ”

“หึหึ กูเชื่อมึงหรอก”

“เชื่อได้นะ เชื่อกูได้”

แบงค์ชี้ให้แคปดูปลาแล้วถามว่าใช่ตัวใหม่หรือเปล่า แคปพยักหน้าพร้อมกับเอาอาหารปลามาตักโปรยให้ สองคนนั่งหัวเราะกัน ในตอนนั้นโก้เดินถือฮันนี่โทสกับกาแฟเย็นแบบกระติกออกมาเสิร์ฟให้ แบงค์รีบลุกขึ้นรับเอาแล้วกล่าวขอบคุณขณะที่แคปโวยวายใหญ่บอกว่าทำไมวันนี้เฮียโก้ถึงใช้ลูกแบล็คเบอรี่แทนผลเชอรี่สีดำที่แคปชอบกิน

“มากเรื่องจริงนะเรา ลูกน้องอาฟี่เขาอุตส่าห์เอามาฝากจากเชียงราย ของหายากแบบนี้พ่อตั้งใจทำให้เรากับแบงค์กินกันห้ามบ่น”

“แล้วของเจ้าอาร์ล่ะครับพ่อ” แคปยังนึกไปถึงอาร์ แบงค์เหลือบมองแกล้วก็อดชื่นชมไม่ได้  รักเพื่อนจริงๆจังๆ

“แบ่งไว้เรียบร้อยแล้ว ก็ลองไม่เก็บไว้ให้สิ คุณผู้จัดการเขาโวยพ่อแน่ ๆ ล่ะ” แคปยิ้มตักไอติมวนิลาที่ติดน้ำผึ้งเหนียวๆและผลแบล็คเบอรี่สีเข้มขึ้นมาเข้าปาก จากนั้นทำหน้าหยี บอกแต่เปรี้ยวๆๆๆ โก้จึงตีแขนไปเบา ๆ แคปรีบประท้วงไปทางแบงค์

“ไม่เห็นอร่อยเลย เปรี้ยวจี๊ดกูว่ามึงไม่ต้องกินหรอกแบงค์เดี๋ยวกูกินคนเดียวเอง”

“เรื่องอะไรกูเองก็อยากกินนะ วางช้อนลงสิ ถือทำไมตั้งสองคัน”

เด็กไม่รู้จักโตสองคนนั่งต่อล้อต่อเถียงกันโก้อมยิ้มแล้วจึงส่ายหัว แคปมันก็คือแคปชอบแกล้งแบงค์กับอาร์แต่ไหนแต่ไร นี่ถ้าเจ้าปออยู่ด้วยอีกคนมิวายโดนมันแกล้ง สรุปกว่าแบงค์จะได้กินเห็นทีลูกชายเขาคงจะซัดลูกแบล็คเบอรี่ไปจนเกือบหมดแหง ๆ

“ทานกันไปนะเดี๋ยวพ่อเข้าไปดูในครัวหน่อย อ้อ..แล้ววันนี้ทั้งสองคนต้องลองเมนูใหม่ให้พ่อด้วย กำลังทดลองอบเค้กข้าวกล้องอยู่ ไม่รู้ว่าจะหวานไปหรือเปล่าพอดีว่าพี่พายเขาได้ข้าวกล้องหอมมะลิสดใหม่มา พ่อเลยลองเอามาดัดแปลงเป็นเมนูใหม่ของร้านเรา”

“เค้กข้าวกล้อง?” แคปที่ตักไอติมเข้าปากคำใหญ่มาก ๆ เงยหน้าถาม โก้พยักหน้าบอกใช่

“ฤดูข้าวใหม่ ข้าวจะหอมมากเป็นพิเศษ ถ้าเราเอามาทำเป็นขนมอบพ่อคิดว่ามันคงจะอร่อย”

“เดี๋ยวผมจะลองชิมครับ” ปกติแคปกับเฮียเต้จะเป็นตัวทดลองสำหรับเมนูใหม่ๆของโก้เสมอ แต่เดี๋ยวนี้เฮียเต้ไม่ค่อยได้กลับบ้าน หน้าที่นั้นจึงเปลี่ยนมือมาเป็นของแคปอาร์และแบงค์สามคนแทน

โก้เดินเข้าไปในร้านแล้ว แคปกับแบงค์นั่งกินของหวานไปเรื่อย ๆ ก่อนจะคว้าเอากระติกกาแฟที่เสียบหลอดดูดสองหลอดขึ้นมาพร้อมกัน

“กูก่อน” แคปทำหน้าไม่ยอม แบงค์อยากแกล้งจึงไม่ยอมปล่อยมือแล้วกดเสียงให้ต่ำๆบ้าง “กูสิก่อน”

“.............” กูโกรธ 

“มึงขี้โกงว่ะแคป” ในที่สุดแบงค์ยอมปล่อยมือ เขาก็แค่แกล้งแต่เจ้าแคปมันทำหน้าโกรธเสียสมจริงไม่รู่จะทำยังไงแพ้มันทุกที  เลยต้องยอมให้แคปมันกินไปก่อน

เล่นกันแบบเด็กๆอยู่นานสองนาน แบงค์จึงถามขึ้นมาเรื่องของสัปดาห์ก่อนที่แคปเข้ากรุงเทพพร้อมกับอาฟี่ ขากลับแทนที่จะได้กลับมาด้วยกันที่ไหนได้พอโทรหาแคปกำลังนั่งรถกลับพร้อมอาฟี่พอดิบพอดี ระหว่างนั้นแบงค์จึงไม่รู้ว่าแคปเข้ากรุงไปเพื่อทำอะไร

“กูถามได้ไหมล่ะ” เกริ่นๆไว้แล้ว คิดว่าน่าจะถามสิ่งที่คาใจอยู่ แบงค์ตักไอติมไว้ที่ช้อนอีกครั้ง ก่อนเหลือบมอง แคปส่งกาแฟให้

“เข้าไปหาไอ้ปอไง”

“ที่รัชชาน่ะเหรอ”

“ใช่ ตึกรัชชานั่นแหละ”

“ทำไมถึงไปที่ตึกนั่น ห้าปีมานี้มึงไม่เคยคิดจะเหยียบไปที่นั่นเลยใช่ไหมล่ะ”

“............”

“ไปหาแค่เพื่อนมึงจริงหรือ”แบงค์ตักขนมปังขึ้นมา เขาเงยหน้ามองแคป

“ไอ้แบงค์ บางทีนะหลายๆอย่างมันก็โตขึ้นว่ะ รวมถึงความเข้มแข็งของใจกูด้วย”

“กำลังจะบอกกูว่าอะไร”

“กูไปหาไอ้ปอจริง แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือไปหาเจ้านายมันด้วย” พริบตานั้นแบงค์นึกเรื่องน้องสาวตัวเองขึ้นมา นั่นเป็นสิ่งที่เขาไม่อยากให้เกิดขึ้นที่สุด คือแคปไปขอนัดเจอเอส

“บางที กูคิดว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องคุยกับมัน”

“หรือว่ามึงไปคุย...เรื่องน้องโบว์” แบงค์วางช้อนลง

“เรื่องนั้นก็ด้วย” แคปตอบรับเสียงอ่อน ความเป็นจริงเริ่มจากเรื่องนั้นก็ถูก

“ทำไมวะ เรื่องของน้องกูก็ให้กูจัดการเองสิ”

“กูคุยให้ กูคิดว่ากูควรจะเป็นคนคุยให้” ต้นเหตุมันมาจากกู คิดว่านะ..

“ใครบอกล่ะว่ามึงควรจะเป็นคนคุยให้ ไม่ใช่ว่ารู้สึกไปเอง คิดไปเอง อยากจะไปคุยกับมันเองแบบนั้นหรือเปล่า”

“ก็ถ้าใช่แบบนั้นแล้วกูผิด?” แคปสวนขึ้น เสียงแข็งขึ้นนิดๆด้วย

“จะคืนดีกันแล้ว?” 

“เลิกพูดเถอะว่ะแบงค์” แคปส่ายหัวแล้วลุกขึ้นทันที ขณะที่แบงค์เองก็เร็วไม่แพ้กันคว้าหมับเอามือเล็กไว้แล้วบีบจนอีกคนรู้สึก

“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับมึงหรอก ปล่อยกูได้แล้ว”

“ไม่เกี่ยวได้ยังไง ไหนว่าไปคุยกับมันเรื่องน้องสาวกู แล้วทีแบบนี้บอกกูไม่เกี่ยว?”

“แบงค์ปล่อยมือ กูเจ็บ”

“ไปหามันมากี่อาทิตย์แล้ว”

“กูไปหาไอ้ปอ ปล่อยมือกูก่อนไม่งั้นไม่คุย” คราวนี้แคปถึงกับใช้น้ำเสียงเด็ดขาด จ้องหน้าแบงค์จนนัยน์ตาสั่น คนที่นั่งมองโต้ตอบกันแววตาอ่อนยวบลง

สุดท้ายยอมปล่อยมือออก แต่ดวงตาคมยังตรึงอยู่กับใบหน้าเล็กของแคป คนถูกจ้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ “กูเคยพูดหลายรอบแล้วใช่ไหมแบงค์”

“...................”

“มึงต้องทำใจสิวะ กูเคยบอกมึงไปแล้วนี่”

“แล้วอาทิตย์นี้จะไปอีกไหม”

“จะให้กูตอบเหรอ”

“ถ้าจะเข้าไปก็นั่งรถไปกับกู กลับวันไหนเราก็กลับด้วยกัน”

“แต่กูจะไปหาไอ้ปอนะ” ไปหาเจ้านายมัน

“กูรู้หรอก สิ่งที่มึงกำลังทำ” ไม่ใช่แค่ไปหาปอแน่นอยู่แล้ว ถึงอย่างนั้นแบงค์ก็ยังอยากให้แคปนั่งไปด้วยกันเหมือนเดิม

“กูจะเข้าไปวันพฤหัสแล้วจะกลับวันเสาร์ ปกติมึงจะทำงานเสร็จคืนวันศุกร์ จะรอกลับพร้อมกูแบบนั้นเหรอ ค้างคืนเพิ่มอีกวันนะ”

“กูรอได้” ห้าปีกูก็รอมาแล้ว

“แบงค์...มันไม่จำเป็นเลยว่ะ ถ้ามึง...”

แคปพูดไม่ออก จริง ๆ แล้วประโยคที่อยากจะพูดเต็มๆก็คือ มันไม่จำเป็นเลย ถ้ามึงอยากจะไปจะมาตอนไหนมึงทำได้ทั้งนั้น

แต่แคปก็เลือกที่จะไม่พูดให้ครบถ้วนทั้งประโยค

“วันนั้นมึงค้างที่ไหน”

“ค้างห้องอาฟี่”

“แล้วครั้งนี้ล่ะ”

“กะจะค้างห้องไอ้ปอ”

“ถามครั้งสุดท้าย...”

“ถามว่า..”

“ที่มึงจำเป็นต้องคุยกับมัน เพราะเรื่องน้องโบว์อย่างเดียวใช่ไหม”

“ส่วนนึง”

แล้วส่วนที่เหลือ??

“.............” แบงค์ไม่ได้ถามต่อ เขาก็แค่เงียบไป สำนึกในใจบางอย่างเริ่มทำงาน

“..............”

กาแฟพร่องลงไปแล้ว

ขณะที่ไอศรีมในฮันนี่โทสละลายเยิ้มลงมาจากภูเขาขนมปัง

แคปจิ้มกล้วยหอมที่ถูกหั่นเป็นชิ้นๆขึ้นมากิน เขาส่งให้แบงค์ด้วย

“มึงเป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งน้อง กูเคยบอกตัวเองหลายทีอยู่นะ ว่าโชคดีจริงๆที่เราสองคนได้มารู้จักกันเจอกัน ถึงแม้ตอนแรกจะรู้จักกันแบบแปลกๆก็เถอะ”

กว่าแบงค์จะยื่นมือออกไปรับกล้วยชิ้นนั้นมาก็น่าจะใช้เวลาไปพอสมควร ทว่าแคปเองก็อดทน สองคนไม่ได้พูดจาอะไรกันกระทั่งเสียงจอแจดังขึ้นที่ด้านหน้า อาร์ออกไปส่งลูกทัวร์คณะเล็กๆขึ้นรถเสร็จภาระกิจแล้วจึงวิ่งขึ้นมาหาแคป คนที่ไม่รู้เรื่องอะไรคว้ากระติกกาแฟขึ้นมาดูดก่อนเอาช้อนส้อมในมือแคปตักขนมปังฉ่ำไปด้วยน้ำผึ้งกินคำใหญ่

“คุยเหี้ยไรกันวะหน้าตาซีเรียสเชียว”

“เสร็จแล้วเหรอ” แคปเงยหน้าถาม อาร์เคี้ยวขนมเต็มปากส่ายหน้าบอกยังไม่เสร็จ

“เดี๋ยวกูจะเข้าไปดูคณะใหญ่ต่อ ถ้ามึงว่างก็ค่อยตามเข้าไปละกัน อยู่ที่จุดอาหารนะแคป มึงด้วยไอ้แบงค์ ถ้าไม่ได้ทำอะไรก็ตามกูเข้าไปซะ ช่วยๆกันหน่อยวันนี้ลูกค้าเข้าเยอะว่ะ”

พูดจบก็วิ่งหน้าตั้งไปจับเอารถกอล์ฟขับหายเข้าสวนไป แคปหันไปหาแบงค์แล้วชี้ที่มือนั้น แคปยังจับส้อมคันเล็กๆที่จิ้มกล้วยหอมค้างอยู่เลย

“กินดิวะ เฮียโก้อุตส่าห์ทำให้อร่อยนะมึง”

แบงค์นั่งจ้องหน้าคนพูดยู่สักพักในที่สุดกินมันลงไปแล้ววางส้อมลง

“แดกเหล้ากันไหมวะแคป แดกที่ไหนก็ได้ มึงกับกู”

“...............” แคปจ้องหน้าไอ้คนชวน นัยน์ดวงตากลมเหมือนกับว่ากำลังค้นหาความหมายอะไรสักอย่างในคำชวนนั่น

บริสุทธิ์ใจ

หรือไม่บริสุทธ์ใจ

ความหมายแฝงที่เขาตั้งใจจะบอกไม่รู้ว่าจนถึงตอนนี้แบงค์จะเข้าใจเขาหรือเปล่า

ทว่าแบงค์ก็แค่ส่ายหน้า...เป็นเชิงว่าอย่าคิดอะไรมาก

“เป็นแค่เพื่อน ก็ชวนแดกเหล้าสิวะ จะชวนมึงแดกอะไรได้ล่ะ”

“หึ...” แคปพ่นลมหายใจก่อนเบือนหน้าไปอีกทาง

คำพูดปลดแอก

คำพูดที่ปลดภาระบนบ่าที่แสนจะหนักอึ้ง

ถ้าหัวใจยิ้มให้กับมิตรภาพได้ ณ ตอนนี้ หัวใจเขากำลังอมยิ้มอยู่แน่

“แดกไหมมึงอ่ะ”

“จัดติ๊ล่ะ กูพร้อมเสมอ อ่อนโยนได้แต่ไม่อ่อนแอนะครับเคยบอกมึงหลายครั้งแล้วใช่ไหม”

“หึหึ..” แบงค์ส่งเสียงหนักอึ้งในลำคอ ก่อนส่งยิ้มเหือดแห้งมองมาที่แคป

ความรู้สึกผิดหวังที่แคปรู้จักและเข้าใจดี

บางครั้งบางทีคนหนึ่งคนก็จำเป็นต้องเผชิญ

โชคชะตาที่นำพาให้มารู้จักและใกล้ชิดกัน สุดท้ายแล้วคงเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้

เพื่อนอย่างไรเสียก็คือเพื่อน

รุ้นน้องจะอย่างไรก็คือรุ่นน้อง

หากหัวใจไม่เคยคิดเป็นอื่น

ไม่ว่าฟ้าถล่มดินทลายอย่างไร

ทุกอย่างในหัวใจ ยังมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง

คนที่เขารัก...มีแค่คนเดียว





ในชีวิตของปอ เขาคิดว่าคำว่ามิตรภาพนั้นสำคัญยิ่งกว่าความรัก ถ้าหากต้องให้เลือกระหว่างความรักหรือมิตรภาพแน่นอนว่าเขาเลือกอย่างหลังแบบไม่ต้องสงสัย เพราะอย่างนั้นคนแบบเขาจึงไม่เคยคบผู้หญิงคนไหนได้นาน และเขาเองก็รู้ว่าไม่เหมาะที่จะคบกับใครหน้าไหนทั้งนั้น ความรักที่ทุ่มเทเพื่อเธอไม่ได้ ซ้ำยังยึดติดกับเพื่อนฝูงที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมานาน ทำให้เขานึกทึ่งและศรัทธาในตัวเจ้านายของเขาเป็นอย่างมาก ผู้ชายที่เลือกความรักมาเป็นที่หนึ่ง ผู้ชายที่เลือกคนที่รักเป็นคนสำคัญ เป็นเป้าหมาย เป็นทุกๆอย่าง ทุ่มเทเพื่อคนที่รัก อดทนเพื่อรอให้มีวันนั้นด้วยกัน และทำทุกอย่างเงียบๆเพื่อปูทางให้ได้คนรักของตัวเองกลับคืนมา...

ห่างออกไปจากสายตาราวสิบเมตร เป็นรั้วรอบขอบชิดของบ้านสวยภายในซอยใหญ่ ยี่สิบนาทีก่อนหน้านี้เจ้านายของเขาหอบช่อดอกไม้ขนาดใหญ่เดินเคียงคู่กับนายหญิงแห่งรัชชาเข้าไปขอพบคุณหญิงคนงามเจ้าของบ้าน ฝ่ายนั้นถึงกับกุลีกุจอออกมาต้อนรับ แต่ทว่าจากสีหน้าที่เห็นคิดว่าคงจะรู้อยู่ก่อนหน้าแล้วว่าเจ้านายสองท่านของเขามาขอพบด้วยสาเหตุอันใด

ร่างสูงสง่าค้อมศีรษะลงให้อย่างสุภาพเป็นครั้งที่สอง คุณหญิงยื่นมือออกไปกุมมือคุณมินตราไว้แล้วคุยอะไรกันบางอย่างฝ่ายนั้นส่งยิ้มอ่อนบางหากแต่เต็มไปด้วยร่องรอยแห่งความผิดหวัง สุดท้ายแล้วเธอเดินตามออกมาส่งเจ้านายสองคนของเขาถึงที่รถ ใบหน้าสวยที่ดูดีอยู่เสมอดูเซียวลงอย่างเห็นได้ชัด ปอเปิดประตูรถให้คุณหญิงขณะที่เอสหันไปมองหน้าเธออีกครั้งพร้อมกับจับศีรษะเล็กโยกเบาๆอย่างโอนโยนในแบบที่ไม่เคยทำกับเธอมาก่อนเลยแม้แต่ครั้งเดียว

“เป็นเด็กดีนะ ดูแลตัวเองดีๆ” 

น้ำตาทะลักทะลายออกมา มินตราร้องไห้โฮอย่างห้ามไม่อยู่ เสียงเล็กๆกลั้นสะอื้นอย่างเจ็บปวดเมื่อคนที่เธอรักที่สุดเข้ามาขอยกเลิกการหมั้น ถึงแม้จะไม่ใช่การหมั้นหมายอย่างเป็นทางการ ทว่าหัวใจของเธอ ณ เวลานั้นจนถึงทุกวันนี้มีความสุขสุดแสน เขาไม่เหมือนกับผู้ชายคนอื่น อ่อนโยนทว่าเย็นชา ทุกอย่างในตัวเขาล้วนมีเสน่ห์ดึงดูดจนไม่อาจละสายตาได้ คำโจษจันมากมายปรามาศเธอไว้ว่าไม่มีทางจะกลายเป็นผู้หญิงคนสุดท้ายของเขาได้ ความเป็นจริงที่เธอรับรู้ตั้งแต่วันแรกที่ได้พบกับเขา ทั้งหัวใจและในดวงตาของเขามีใครอีกคนจับจองอยู่ก่อนแล้วแต่เธอไม่เคยรู้เลยว่าคนในดวงตาของเขาคือใคร

ไม่มีใครอยากเห็นภาพน่าเศร้าใจแบบนั้น คุณหญิงแห่งรัชชาถึงขนาดเบือนใบหน้าไปอีกทางแล้วซับหยาดน้ำตาที่ไหลซึม

รถแล่นออกมาจากตรงนั้นแล้ว ปอมองภาพของเธอที่ไกลขึ้นเรื่อยๆผ่านกระจกมองหลัง มินตราเป็นผู้หญิงที่ยิ้มสวยอยู่เสมอ สดใสร่าเริง ไม่เคยสร้างความหนักใจให้กับใคร มองโลกในแง่ดีไม่เย่อหยิ่งและเข้าใจอะไรได้ง่าย ๆ เขาคิดว่าถ้าหากไม่ใช่เพื่อนของเขาที่เป็นคนกุมหัวใจเจ้านายเขาอยู่หมัด ผู้หญิงคนนี้อาจจะเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดแล้วก็ได้



ในวันพฤหัสบดีที่แดดร้อนจัดยามบ่าย เข้ากรุงคราวนี้แบงค์ขับรถมาส่งแคปถึงหน้าอาคารกระจกสูงใหญ่ของรัชชา

“แล้วตอนเย็นเอาไง” คนขับมองตึกสูงชันที่ตั้งตระหง่านอยู่ต่อหน้าผ่านแว่นกันแดดสีเข้ม ก่อนที่เขาจะหันมาถามคนที่มาด้วยกัน แคปคว้าเอากระเป๋าสะพายใบใหญ่สีดำคาดบ่า

“คงไปหาอะไรกินกับไอ้ปอ”

“แล้วคืนนี้....”

“เหมือนเดิมเว้ย เดี๋ยวกูโทรหา ถ้าไม่โทรก็แปลว่ากูออกไปเมากับมัน อาจจะค้างเลยมึงไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”

“ถ้าเมาโทรมาก็ได้ เดี๋ยวออกไปรับ”

“เออน่าไม่ต้องห่วงกูหรอก” แคปพยักหน้าบอกไม่ต้องเป็นห่วงเขามองทางแล้วเปิดประตูจะลงแต่แบงค์คว้าเอาท่อนแขนเล็กไว้  “บอกกูก่อน ถ้าเมาจะโทรมา”

“นี่กูพี่มึงนะไอ้เหี้ยแบงค์ อะไรจะมาเคี่ยวเข็ญกูขนาดนี้วะเนี่ย” แคปดึงข้อมือออกพร้อม ๆ กับตบหน้าผากไอ้คนทำหน้าโคตรห่วงไปเบา ๆ หนึ่งที แบงค์กัดปากหน้านิ่ง หน้าตาทำเอาแคปใจอ่อนลง “กูรู้แล้วน่า ถ้าเมาจะโทรหามึงละกัน”

“ทุกเวลานะ”

“ครับๆทุกเวลาครับพี่แบงค์ครับ แบบนี้ไหมพอใจมึงยัง” แคปประชด เลิกคิ้วทำหน้ากวนๆใส่ แบงค์จึงค่อยยกยิ้มบางออกมาได้

“ก็คนมันห่วงนี่หว่า”

“กูพี่มึงแบงค์ ที่สำคัญกูดูแลตัวเองได้”

“ก็นั่นแหละ ยังไงก็ห่วงเหมือนเดิมอ่ะ”

“เออๆๆช่างเหอะขอบใจที่ห่วง กูลงแล้วนะเว้ย ดึกๆค่อยเจอกันตั้งใจทำงานนะมึง”

“รู้แล้ว..”

แบงค์ตอบรับเสียงเบาแคปรีบหันหน้าหนีไม่อยากจะมองคนที่หน้าหงอยลง เขากึ่งเดินกึ่งวิ่งขึ้นบันไดก่อนจะผ่านประตูกระจกหมุนอัตโนมัติ ยื่นบัตรแล้วตรงไปที่ลิฟต์แก้วแฝดซึ่งตั้งอยู่กลางทางเดินโอ่อ่าที่ทอดยาว
มนุษย์เงินเดือนในวันทำงานเดินสวนกันขวักไขว่ ที่อกเสื้อของทุกคนบ้างแขวนป้ายชื่อสีเงินพร้อมตำแหน่งไว้ บ้างหนีบป้ายสีทองติดไว้กับปกเสื้อนอก แคปยืนรอลิฟต์ไปก็มองนั่นมองนี่ไป 

แต่สิ่งที่กระแทกสายตาค่อนข้างแรงคือยัยป้าแว่นจอมเฮี้ยบที่เดินเลี้ยวออกมาจากมุมหนึ่งของตึกฝั่งขวา ไม่ห่างจากจุดที่เขายืนอยู่สักเท่าใดนัก เธอในชุดพนักงานออฟฟิศสาวโทนสีน้ำตาลทั้งตัวแต่วันนี้เพิ่มพร็อพผ้าพันคอคงเป็นเพราะอากาศที่เริ่มหนาวขึ้นมานิดๆ จะว่าไปเธอก็ไม่ได้ดูแก่มากมายอะไรนี่หว่าตอนแรกเขาเคยทายอายุไว้น่าจะสักประมาณสี่สิบต้นๆแต่ดูดีๆวันนี้ในตอนเผลอ เขากลับคิดว่าความจริงเธอน่าจะสักสามสิบเท่านั้น แคปเห็นเธอเรียกพนักงานสาวหน้าฟร้อนท์คนหนึ่งเข้ามาอบรมอะไรสักอย่าง คนถูกเรียกหน้าซีดหน้าเหลือง แคปไม่อยากเห็นภาพแบบนั้นเขารีบหันหน้าหนีพลางสบถพึมพำ

“คนอะไรยังไม่แก่สักหน่อย ทำตัวรีบแก่ไปถึงไหน โหดเป็นบ้ายัยป้านี่”

“สวัสดีค่ะ วันนี้คุณก็มาพบท่านประธานหรือคะ”

!!!

แคปสะดุ้งโหยงหันขวับกลับมาแทบไม่ทัน อะไรกันวะเมื่อกี้ยังยืนด่าคนอยู่ไกลๆโน่นเลย ทำไมเดินมาถึงตัวเขาได้ไวขนาดนี้!! โอยยย ยัยป้ามหาภัยน่ากลัวเป็นบ้า แน่ะๆ มีขยับแว่นที่ร้อยด้วยลูกปัดเชยๆยืนยันความเป็นมนุษย์ป้าของตัวเองอีกต่างหาก

“คะ...ครับ ใช่ครับ”

อย่ามองแบบนั้นครับโผม ผมแค่มาหาแฟนผมเฉยๆไม่ได้มาหลอกขายประกันใครน๊าาา

“ยินดีต้อนรับนะคะ และดิฉันต้องขอโทษคุณอีกครั้งสำหรับเรื่องวันนั้น ลิฟต์มาแล้วล่ะค่ะเชิญเลย” เธอยิ้มกว้างกล่าวเวลคัมกับแคป ซ้ำยังพูดเรื่องผิดพลาดของเธอในวันเก่าก่อน จากนั้นตบท้ายด้วยการผายมือเล็กเชื้อเชิญแคปให้ก้าวเข้าไปด้านใน ท่าทีเฮี้ยบๆที่เปลี่ยนไปเป็นอ่อนโยน?? ทำเอาแคปงงเป็นไก่ตาแตก จะก้าวเข้าไม่เข้าดีขาเลยขัดกันจนเกือบล้มคะมำอยู่ที่ประตูหน้าลิฟต์

“ระวังหน่อยค่ะ”

โอยยยยยเสียฟอร์มเป็นบ้า ยัยป้านี่ต้องมาหิ้วปีกเขาประคองเอาไว้ ก็เพราะหล่อนไม่ใช่เรอะมายืนพูดเรื่องแปลกๆแบบนี้ คนก็เลยทำอะไรไปไม่ถูกน่ะสิ กำลังก่นด่าในใจอยู่แท้ ๆ ใครจะคิดว่าจะมาพูดดีด้วยล่ะวะ

“ขอบคุณครับ”

ติ๊ง~

แคปไม่รอช้ากล่าวขอบคุณแล้วรีบผลุนผลันเข้าไปในลิฟต์โดยเร็ว จากนั้นบานประตูปิดลง ภาวนาเกือบตายกลัวป้าขึ้นมาส่งเขาถึงที่ได้ตายห่าเพราะหายใจไม่ออกอยู่ในลิฟต์แคบๆแน่

ผู้หญิงอะไรดูใกล้ ๆ น่ารักดีหรอกอายุยังไม่เยอะด้วยซ้ำ แต่ทำท่าทางการแต่งตัว.....โคตรแก่ บรม

“ว่าผู้หญิงบาปนะมึง”

พอขึ้นมาเจอหน้าไอ้ปอแคปอดรนทนไม่ไหว บ่นออดแอดๆไปนิดหน่อยเจอมันด่าสวนอีก ทำอย่างกับเขาผิดมหันต์ไปซะงั้น

“เออกูก็แค่บ่นเหอะ ก็รู้อยู่หรอกว่าเธอคงจำเป็นต้องเฮี้ยบไม่งั้นอาจจะปกครองลูกน้องเป็นสิบเป็นร้อยไม่ได้”

แต่คนอื่นไม่เห็นต้องวางตัวแบบนั้นแต่งตัวแบบนั้นก็ปกครองได้ป่ะวะ แคปค้านเองเสร็จสรรพอยู่ในใจ แล้วไม่ใช่ปอมันไม่รู้นะ แค่มองตาก็รู้แล้วว่าเพื่อนตัวเองคิดยังไง มือใหญ่ ๆ เลยผลักหัวแคปไปหนึ่งทีเล่นเอาถึงกับเงิบ

สองคนนั่งคุยกันอยู่ที่โต๊ะทำงานของปอ แคปถามเรื่องของน้องโบว์ขึ้นมา

“ช่วงนี้กูว่าห่างๆ”

“จริง?”

“อืม หมดช่วงโปรมั้งนะกูว่า” ช่อดอกไม้ก็ค่อนข้างห่าง โทรศัพท์จากเธอบางทีเขาก็ถูกเรียกให้เข้าไปรับสายแทน ยิ่งเรื่องไปรับที่มหาลัยเท่าที่รู้พักหลังแทบจะไม่ได้ไปหาเลยจนเธอต้องโทรตาม

“เออแต่วันก่อนเธอแวะมานะ มาที่นี่”

“วันก่อน?”

“ใช่ แต่คุณเอสไม่ให้เธอเข้าห้องพาลงไปทานข้าวอยู่ชั้นล่างแทน จากนั้นก็ให้กูไปส่ง”

“ส่งที่ไหน มหาลัย?”

“ใช่ มาทั้งชุดนักศึกษาเลย มาแต่เช้าเจ้านายกูอารมณ์เสียทั้งวันเลย”

แคปพยักหน้ารับรู้เบา ๆ แล้วคิดตาม ปอคุยรายละเอียดเรื่องโบว์ต่ออีกนิดหน่อยแคปค่อยยกข้อมือดูเวลา

“ว่าแต่เจ้านายมึงจะคุยกับแขกผู้มีเกียรติอีกนานป่ะวะเนี่ย”

“กูจะรู้ไหมล่ะ”

“มึงเป็นเลขามึงต้องรู้ดิ”

“แขกวีไอพีส่วนตัวแบบรายนี้ถึงเป็นกูก็ไม่รู้ด้วยหรอก”

“วีไอพี?”

ปอยักคิ้วตอบว่าใช่ แคปเองเหล่ๆมองบานประตูไม้ขนาดใหญ่โตที่อยู่ใกล้ ๆ ปิดเงียบนิ่งสนิท นึกสงสัยแขกสำคัญทำไมไอ้หมาปอไม่เข้าไปนั่งจดบันทึกเรื่องสำคัญอะไรด้วย ตอนที่เขาขึ้นมามันกำลังง่วนอยู่กับการเขียนรายงานอะไรสักอย่าง จากนั้นบอกเขาว่าให้รออยู่ที่นี่กับมันก่อนยังเข้าไปไม่ได้เพราะว่าเจ้านายมันน่ะ...มีแขก

แต่ทำไมตอนนี้ถึงพูดว่าแขกวีไอพีส่วนตัววะ??

“ดูทำหน้าเข้า เสียดายจริงๆกูไม่พกกระจกไม่งั้นเอาขึ้นมาส่องให้มึงดูหน้าตัวเองแล้ว”

“ยุ่งน่ากูกำลังกลุ้ม” แคปปัดมือปอที่เริ่มเข้ามาวุ่นวายอยู่แถว ๆ ใบหน้าเขาออก

“กลุ้มเหี้ยไร” ปอถามเสียงเบา อันที่จริงก็คุยกันเบา ๆ อยู่แล้ว ที่ทำงานจะพูดหยาบคายมันก็นะ ต้องรู้กาลเทศะธรรมดา

“ก็กลุ้มกับแขกวีไอพีที่มึงว่าไง เข้าไปตั้งนานแล้วใช่ป่ะ แล้วมึงเองก็บอกว่าเป็นผู้หญิง”

“อืม ก็ผู้หญิงจริงอ่ะ” ปอพูดออกมาอย่างไม่ค่อยใส่ใจ เขาทำงานกับหน้าจอไปด้วยคุยกับแคปได้วยเพราะงั้นก็ฟังมันมั่งไม่ฟังมั่ง ปล่อยๆมันพูดไปรู้อยู่แล้วต่อจากนี้ทุกวันพฤหัสกับวันศุกร์จะต้องมีไอ้ตัวกวนขึ้นมาหาเขาที่ทำงานแบบนี้ ไม่เงียบเหงาดีเหมือนกัน

“เออจริงสิ กูก็ลืมถามมึงไป กี่คนวะที่อยู่ในนั้นน่ะ มีกี่คน”

“กี่คน? คนเดียว เพื่อนเก่าคุณเอส เห็นว่าเพิ่งกลับมาจากอเมริกา”

จริงดิ?

“แล้วสวยป่ะ” แคปยื่นหน้าเข้าไปถามใกล้ยิ่งขึ้นไปอีก ปอละสายตาออกจากจอมอง เขากำลังจะอ้าปากตอบทว่าแคปเลื่อนๆเก้าอี้จากหน้าโต๊ะขยับเข้ามา มันถึงกับเบียดๆๆเพื่อให้ตัวเองเข้ามานั่งอยู่ข้างกันกับเขาได้ เลยกลายเป็นว่าตอนนี้แคปมันจับจองโต๊ะเขาไปกว่าหกสิบเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์

“ว่าไงล่ะ กูถามว่าเธอสวยหรือเปล่า”

“สวยสิ”  สวยมาก

“แล้วขาวป่ะ”

“เออขาว ผิวดี”

“แล้วอ้วนล่ะ อ้วนด้วยป่ะ”

“ไม่อ้วนเว้ย หุ่นออกจะดี” ปอได้ทีขยับเข้าไปกระซิบแคปใกล้ ๆ สุมไฟให้คุกรุ่นขึ้นไปอีก บางทีเขาเองก็อยากแกล้งมันเหมือนกัน “เอ็กซ์แตกเลยมึง สวย เซ็กซี่ ดีกรีนักเรียนนอก ฉลาดด้วยนะท่าทางไม่ได้โง่”

แคปห่อเหี่ยวลงราวกับคนกระดูกหด ทำหน้าทำตาหน้าเป็นหมาหงอย ปอเห็นแล้วถึงกับเอามือขึ้นมาปิดปากขำ นี่ถ้าบอกมันว่าในห้องนั้นลึกเข้าไปอีกมีห้องนอนด้วยมันคงนั่งร้องไห้น้ำตาไหลเป็นสายน้ำตก

“นี่มึงโกหกกูอ่อ”

“เปล๊า  โกหกที่ไหนเดี๋ยวตอนออกมามึงก็ดูเอาเองดิ มาหาคุณเอสก่อนหน้านี้แล้วครั้งนึง” แล้ววันนี้ก็มาอีก

“กูเกลียดคนสวยว่ะ” แคปนิ่งไปสักพักก่อนเอ่ยคำพูดพึมพำอะไรของมันออกมาหน้ายุ่ง คงคิดว่าปอไม่ได้ยินแต่ทว่าเสียใจเหอะเพราะเขาได้ยินมันพูดหมดทุกอย่าง ไอ้คนขี้หึงทำหน้าหน้าแกล้งยังไม่รู้ตัว ขนาดเขาที่เป็นแค่เพื่อนมันยังอยากแกล้ง นับประสาอะไรคนอย่างเจ้านายของเขา คนแบบนั้นน่ะพนันกันได้เลยว่ายิ่งเห็นมันตาแดงๆเหมือนจะร้องไห้ก็ยิ่งชอบใจแน่ ๆ

หึหึ

ปอนึกย้อนไปถึงเรื่องเมื่อหลายวันก่อนของอดีตว่าที่คู่หมั้นเจ้านายเขาอย่างคุณมินตรา เขายังไม่ได้เล่าให้แคปฟังเลยว่าเอสยกเลิกเรื่องหมั้นหมายไปแล้ว ความจริงคิดจะโทรบอกมันตั้งแต่เย็นวันนั้น แต่ก็เหมือนนกรู้ ยั้งสติไว้ได้ทันรอถามให้ชัดเจนก่อนน่าจะดีกว่า สุดท้ายเช้าวันต่อมาเขาโดนเรียกเข้าไปกำชับว่ายังไม่ให้บอกมัน เจ้านายเขาจะเก็บเรื่องนี้ไว้บอกด้วยตัวเอง

เพราะงั้นเขาซึ่งเป็นเลขาที่ดีก็ควรจะทำตามคำสั่งเจ้านาย

“กินไรมายังมึงอ่ะ”

ดีเนาะมาถามกันตอนนี้ “มึงไม่ถามกูสักบ่ายสี่โมงเลยล่ะห๊ะ” แคปเสยผมขึ้นอย่างหงุดหงิด ยกข้อมือดูเวลาแล้วประชดกลาย ๆ ปอใช้ไหล่ดันๆๆให้มันขยับไปอีกที่ไหนได้ไอ้แคปแม่งเล่นแรงมันกระแทกไหล่เขากลับมาทีเดียวปอกระเด็นหลุดจากโต๊ะไปเลยสิ คนทำเพื่อนนั่งหัวเราะขำจนต้องฟุบหน้าลงที่โต๊ะ ในตอนนั้นเสียงโทรศัพท์ภายในเรียกเข้ามาพอดี ปอรีบกดรับแล้วขยับจัดๆเสื้อผ้าก่อนใช้สายตาบอกแคปว่าให้นั่งดี ๆ เดี๋ยวเขาจะเข้าไปด้านในเพราะคุณเอสเรียกออกมาแล้ว

จากนั้นปอก็เดินหายเข้าไปในห้องนั้น แคปถึงกับชะโงกหัวยื่นไปดูตอนที่บานประตูเปิดออก ทว่ามันไกลประกอบกับมองไม่เห็นอะไรเลยสักอย่างแคปเซ็งจัดเขาจึงฟุบหน้าลงไปเพื่อรอ

“ขอบคุณอีกครั้งนะคะเอส บีเกรงใจจริงๆ”

เสียงหวานใสไพเราะเสนาะหูเรียกให้แคปที่ฟุบหน้าอยู่กับโต๊ะชะงักนิดๆ เขาค่อยๆเงยใบหน้าขึ้นดูชายหญิงสองคนที่เพิ่งก้าวออกมาจากห้องและกำลังจะเดินผ่านหน้าโต๊ะเขาไป

สวยว่ะ..

คำนิยามง่าย ๆ ของผู้หญิงที่เดินเคียงข้างออกมากับคนที่เขากำลังรอเข้าพบ แต่ตอนนี้มันกลับไม่สนใจคนต่อคิวรออย่างเขาเลยสักนิด แคปห่อเหี่ยวในใจจนอะไรๆพลันเหี่ยวแห้งไปหมด

“ไม่เป็นไรครับผมต้องเทคแคร์บีอยู่แล้ว”

เสียงไอ้คนตอบก็หล่อทุ้มมาเชียว มึงจะมาพูดเหี้ยไรแถวใกล้ๆกูวะ หึงโว๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

“คิคิ อยากให้พี่เกรซมาได้ยินจริงๆ อยากรู้ว่าพี่สาวบีจะทำหน้ายังไงถ้ารู้ว่าเอสยังแคร์มากขนาดที่ต้องเทคแคร์บีให้แทนแบบนี้น่ะ”

เกรซ??  แคร์??  ใคร?? ใคร๊!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

“เราสองคนรู้จักกันมาก่อนอยู่แล้ว ไม่ได้เกี่ยวกับเกรซหรอกครับ”

แคปอยากเอามืออุดหู เขานั่งกัดปากแน่นไม่ลุกขึ้นทำความเคารพมันหรอกฮึ ถึงจะเดินผ่านหน้าแล้วยังไงเขาพอใจนั่งแม่งอยู่แบบนี้ล่ะ ชั่ววินาทีนั้นแคปมั่นใจว่าดวงตาของเขากับเอสประสานกัน ประกายแห่งความหงุดหิดแล่นพล่านอยู่ในดวงตาของเขานี่แหละ แต่ถึงมันจะมองไม่ออกก็ช่างหัวมันเถอะ

แคปมองจ้องดวงตาคมกริบไม่ลดละ มองคุณชายกับคุณหญิงค่อยๆเดินผ่านหน้าเขาออกไป

“ขอบคุณนะคะเอส  ขอบคุณอีกครั้งที่รับปากจะไปเป็นเพื่อน เอสช่วยบีได้เยอะเลย..”

“เจอกันตอนเย็นครับบี เดี๋ยวผม....”

ปัง!

เสียงตบโต๊ะดังสนั่น ทั้งหมดทั้งมวลที่ยืนอยู่ที่ตรงนั้นหันมองมาที่แคปเป็นจุดเดียว ปอตัวแข็งทื่อกลืนน้ำลายเสียงดังอึ่กก ณะที่เอสใช้สายตาดุๆจ้อง ข้างกายมันมีดวงตาคู่สวยเหยียดมองมาอย่างดูถูกดูแคลน คงกำลังประนามว่าต๊ายยยไร้มารยาทอะไรแบบนั้นน่าจะใช่

แต่แคปมีหรือจะสนใจคนอื่น เขาก็แค่จ้องหน้าไอ้คนที่ทำสายตาดุใส่ไม่ยอมลดละลงเช่นกัน

ทำไม?? ถ้ามึงอ้าปากด่ากูนะกูกลับเลยเอาสิ

“อะ...เอ่อขอโทษทีครับ” เป็นปอที่ตั้งสติได้ก่อน เขารีบปราดเข้ามาใช้ลำตัวบังแคปออกจากสายตาคมกริบที่กำลังเผชิญใส่กันอยู่ คนกลางอย่างเขาจึงต้องเจอทั้งพลังสายตาเขียวปั๊ดจากเจ้านายและพลังสายตาเขียวอื๋อจากไอ้เพื่อนสนิท

ฉิบหาย ทำไมต้องเป็นเขาด้วยวะเนี่ยที่ต้องตกอยู่ในพื้นที่สงครามเย็นเยียบของพวกมัน

“เอสคะ... ”ดูเหมือนว่าเธอจะอยากเอ่ยถามว่าแคปคือใครหากแต่เอสไม่ให้เธอได้พูดจบ เขาก้าวเดินต่อไปอีกหน่อยแล้วชิงเอ่ยคำพูดที่ค้างอยู่ใหม่อีกครั้ง

“เดี๋ยวผมให้เลขาลงไปส่งนะครับ เจอกันอีกทีสักทุ่มครึ่ง”

ปอรู้หน้าที่รีบขยับเข้ามารับช่วงต่อ คล้อยหลังจากปอพาแขกของเขาเดินออกไป เอสเดินกลับมามองที่แคปอีกครั้ง ทว่าคราวนี้แคปมันไม่สนแล้ว นั่งหันหลังกดเกมส์เล่นอย่างบ้าคลั่งระบายเครียด คนตัวสูงจึงเดินอ้อมไปจับพนักเก้าอี้ที่บังมันไว้จนมิดหมุนแรง ๆ ให้หันกลับมา

“เหี้ย! กูตกใจ”

แคปร้องดังลั่น ช้อนดวงตาเขียวๆที่เต็มไปด้วยความน้อยอกน้อยใจตัดพ้อต่อว่าใส่ไอ้คนที่ยืนจ้องหน้าเขาอยู่แบบเต็ม ๆ

ก็คนอุตส่าห์นั่งรถมาหา...ตั้งไกล

ก็คนอุตส่าห์....คิดถึง

ก็คนอุตส่าห์ทำอะไรหลายๆอย่างเตรียมไว้...เพื่อเรา

แล้วต้องมาเจอภาพบาดตาตั้งแต่ยังไม่ย่างเท้าเข้าไปหามันในห้องเลยด้วยซ้ำ

ไม่ให้เขาโกรธมัน เขาก็เป็นรูปปั้นไร้หัวใจไปแล้ว

“หึ...”

แคปบอกตัวเองว่าแสนจะเกลียกมุมปากที่เหยียดรอยยิ้มครางเสียงต่ำๆในคอแบบที่กำลังได้ยินอยู่นี้จากมัน หากแต่ไม่รู้เป็นเพราะอะไรสายตาคมนั่นแค่ปราดมองจ้องมาเขาก็ลุกขึ้นเดินกระแทกเท้าตามตูดมันต้อยๆเข้าห้องไป

เพี๊ยะ!

แคปตกลงที่หน้าขาตัวเองอย่างดัง ถ้าเป็นไปได้อยากจะทึ้งหัวแล้วยีๆๆให้มันยุ่งเหยิงจากนั้นต้องถามตัวเองว่า..กูเดินตามมันเข้ามาทำไม

โว๊ยยยยยยยยยยยย กูไม่ได้อยากจะตามเข้าไปสักกะนิดเหอะ แต่ไม่รู้ทำไมตอนนี้เดินตามหลังมันเข้ามาในห้องแล้วเรียบร้อย นั่งสงบเสงี่ยมอีกต่างหาก

นี่กูต้องประสานมือไว้ที่หน้าตักด้วยป่ะเนี่ย

ฟิ๊วววว~

หมับ!!

“ถ้าไม่เต็มใจมา วันหลังก็ไม่ต้องมา”

เสียงเย็นๆที่ตามมาด้วยอะไรบางอย่างลอยข้ามโต๊ะทำงานใหญ่มาที่หัวแคป ดีหน่อยเขาคว้าหมับเอาไว้ได้ทัน พอมองดูค่อยเห็นว่าเป็นลูกอมรสมินต์กล่องเล็กๆ แคปเงยเงยหน้ามองไอ้คนขว้างจากนั้นเขย่าจนเกิดเสียงดังขลุกขลัก

“ไม่เต็มใจที่ไหน” เขาว่าเสียงอ่อน ขณะที่ในใจเกิดการถกเถียงและพูดกับตัวเองอย่างกับคนบ้า...เออกูไม่เต็มใจถ้าหากว่ามาแล้วต้องเห็นภาพบาดตากูอยู่ไร่สบายๆดีกว่ามานั่งมองดูมึงกับบรรดาผู้หญิงของมึงให้หัวใจเจ็บปวดโว๊ย

“ดูหน้ามึงก็รู้เต็มใจหรือไม่เต็มใจ” เอสจุดบุหรี่ขึ้นสูบ

แคปมองแล้วเข่นเขี้ยว นี่มึงไปหัดนิสัยเสียๆแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่กันวะเนี่ย แคปเอามือกุมขมับพาดปิดตรงสายตาแล้วลูบลงมาตามแนวใบหน้า ปรับเปลี่ยนโทนอารมณ์ของสีหน้าตัวเองให้นิ่งขึ้น ดีขึ้นและดูอบอุ่นอ่อนหวานขึ้น

“อ่ะ แบบนี้ใช้ได้ยัง” หล่อหรือยัง

“ประสาทจริงๆ” เอสเหลือบตามองแล้วส่ายหัวบ่นพึมพำ แคปจึงลุกขึ้นเดินเข้าไปหาใกล้ ๆ เขาย่อตัวนั่งลงข้างๆใช้สองมือเกาะขอบโต๊ะแล้วเอาคางเกยโต๊ะทำงานมันไว้จากนั้นข่มเสียงพูดเบาเอาให้ทรงเสน่ห์ที่สุด

“กูผอมลงแล้วนะ”

คนฟังอาจจะไม่สนใจเพราะยังคงก้มหน้าก้มตาเขียนอะไรของมันต่อ ทว่าแคปเองก็ไม่สนหรอก พูดต่อไปอีก

“กูขาวขึ้นนิดนึงด้วย”

แคปจ้องมองปฏิกิริยาอย่างมีความหวัง แต่เอสยังคงเฉยต่ออีก นั่นทำเอาริมฝีปากที่อมยิ้มเล็กน้อยและดวงตาหยียิ้มอย่างคาดหวังต้องหุบฉับลงแทบทุกๆอย่าง ฉิบ!

ปัง!!

“กูบอกว่ากูผอมลงแล้วไอ้สัส!

พูดดีๆ พูดเพราะๆมันไม่ฟัง เขาจึงตบลงที่โต๊ะแม่งเลย คราวนี้ไม่หยุดชะงักก็ไม่ใช่คนแล้ว ซึ่งก็ได้ผลจริงๆ

เพราะเอสหยุดมือละสายตาขึ้นมอง แคปนี่เย็นเยียบเข้าไปถึงกระดูก รีบเอ่ยคำพูดตะกุกตะกักกลบเกลื่อน “ละ...แล้วกูขาวขึ้นด้วย นิดนึง”

“ตรงไหน”

กึกก..

แคปมองดูเอสขยี้บุหรี่ลงที่จานเขี่ย ถ้ามันเงียบไปเลยน่าจะดีกว่าแล้วแท้ ๆ เอ่ยปากออกมาแต่ละคำเหมือนเอามีดมากระซวกกูเลยให้ตายเหอะ

“ขาวทุกตรง ผอมทุกที ดูดีตลอดแนว ไร้ที่ติทั้งหน้าทั้งหลัง พร้อมให้มึงพิสูจน์ตลอดเวลาครับผม” แคปทำท่าตะเบ๊ะแถม เขาจ้องหน้ามันแล้วอมยิ้มส่งให้ สาบานได้เลยในแววตาคมๆคู่นั้นมีรอยยิ้มขบขันแฝงปราดเข้ามาหนึ่งวิฯ หากแต่เจ้าของมันรีบกลบเกลื่อนเบือนหน้าหนีไปทางอื่นก่อน แคปจึงต้องต้อนเข้าไปอีก

“พิสูจน์ดูไหมล่ะ..” เลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ เอ่ยเสียงพร่าต่ำหน้าร้อนไปหมด เขาอ่อยสุดขีดแล้วนะ มากกว่านี้กูก็ต้องแก้ผ้าล่อแล้วแม่ง เขาข่มใจที่เต้นโครมครามจนแทบจะหลุดลงมากองอยู่แทบเท้า สองคนจ้องหน้ากันและกันนิ่ง ไม่รู้เสียงหัวใจใครว่ะกระแทกดังเป็นบ้า แคปก็คิดว่าเป็นหัวใจตัวเองนั่นแหละ ก็ทำไมอ่ะ เขาเขินนี่ มันแปลกเหรอวะ ช่างดิ คนรักกัน เอ้ยไม่ใช่สิ เขาจีบมัน เขาเขินก็เรื่องธรรมดา แคปคิดได้แบบนั้นชักกังวลเริ่มใช้สายตาล้วงลึกเข้าไปในสายตาอีกคนว่ากำลังคิดและอยากบอกอะไรกับเขา กำลังจ้องอยู่ดี ๆ ไหงไอ้คนตัวสูงใหญ่กลับผุดลุกขึ้นทำหน้านิ่งแล้วแทรกตัวเดินออกไป

“หลีกไปซิ  ขวางทางไปนั่งดีๆไป”

..หมดอารมณ์..

“มึงมันใจร้าย” แคปต่อว่าหน้างอลุกขึ้นเดินตาละห้อยออกมา เอสหันมองแต่ไม่อยากสน เขาส่ายหัวก่อนเดินกลับไปทิ้งตัวนั่งลงที่เก้าอี้ตัวเดิม  “หมามันชอบกวนเวลากูทำงานไง”

“ก็แล้วใครล่ะบอกให้กูมาเป็นคนขับรถให้มึงนั่งอ่ะ ของานดิ ของาน”

“นี่ตกลงว่าขึ้นมาของานกูทำ ไม่ได้ขึ้นมาเพราะว่าอย่างอื่น?” คนถามเลิกคิ้วสูง

“เปล่า” กูขึ้นมาเพราะหัวใจล้วน ๆ ไม่งั้นจะถ่อมาทำไมตั้งหลายสิบชั้น ขึ้นตึกสูงๆแบบนี้ไม่ใช่ไม่กลัวนะ

“.............” แคปมองคนที่นั่งเงียบแต่จ้องหน้าคนพูดตาเริ่มเขียวขึ้นนิดๆ ไม่รู้จะแสนงอนเก่งอะไรนักหนา ตายแล้วกูถ้าจีบติดขึ้นมาต้องกลายเป็นว่าได้ผัวแสนงอนหรือวะเนี่ย ซวยนะแบบนั้นกูได้ง้อตลอดๆๆอ่ะ

แคปเริ่มคิ้วขมวด

ฟิ้ววววว~~

ตุ๊บ!!

คราวนี้ไม่ใช่กล่องลูกอม แต่เป็นพวงกุญแจรูปสัตว์ทะเลอะไรสักอย่าง อนุมานไปก่อนว่ามันคือแมงกระพรุน แคปยังไม่ได้ดูชัดมัวแต่ตกใจ จู่ ๆ โยนข้ามมาใส่หัวแบบนั้นถ้าคว้าไม่ทันกุญแจเฉาะหัวกูขึ้นมาคงน่าเกลียดพิลึก

“ปามาทำไมเล่า” แคปลูบหัวตัวเองนึกเสียวดีนะที่ไม่โดน ต่อว่าไปนิดหน่อยอีกฝ่ายแยกเขี้ยวใส่กลับมาอีก

“เข้าไปเอาสูทตัวใหม่ออกมาให้กู”

สูทตัวใหม่?? ที่ไหน??

“ในห้องนั้น เปิดเข้าไป” เอสไขข้อข้องใจก่อนที่แคปจะเอ่ยปากถาม คนถูกสั่งใช้สายตาถามอีกครั้ง ว่าจะให้กูเปิดประตูบานนี้จริงๆงั้นหรือ ก็เห็นอยู่หรอกว่ามันเป็นประตู ใครจะคิดว่าสูทมันจะไปอยู่หลังประตูบานนั้นล่ะวะ แล้วนี่มันห้องอะไรถึงมาอยู่ด้านใน แคปหาที่ทิ่มจะไขกุญแจที่ถืออยู่ในมือทว่ามันไม่มีที่ให้ไข เขาเลยหันไปขอความช่วยเหลือ เอสนี่นั่งเม้มปากตาแทบจะถลน

“ก็...”

“ใช้คีย์การ์ดของมึงสิวะ การ์ดสีดำนั่นน่ะ”

อ้าวแล้วเสือกโยนกุญแจรูปแมงกระพรุนมาให้ ตกลงให้กูใช้การ์ดำทาบ อะไรของมันวะ แล้วกุญแจนี่มันของห้องไหนกันล่ะนั่น

“แล้วกุญแจนี้ล่ะ” แคปหันไปถามขณะล้วงการ์ดออกมาทาบ เสียงติ๊ดดังขึ้นเขากดก้านลูกบิดลงแล้วผลักเข้าไปไฟสีส้มอบอุ่มติดแบบอัตโนมัติจนแคปต้องเอามือปิดปากตาโตกับสิ่งที่เห็น

หวาาา...

“กูจะให้มึงหา ว่ากุญแจที่มึงถืออยู่ตอนนี้ใช้เปิดห้องๆไหน”

จู่ๆเสียงพร่าทุ้มและติดแหบดังขึ้นชิดริมหู แคปสะดุ้งเฮือกหันขวับ ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายลุกตามเข้ามาประชิดตัวเขาได้ตั้งแต่เมื่อไหร่ พอหันกลับไปลมหายใจร้อนผ่าวที่เป่ารดต้นคออยู่เมื่อตะกี้กลับยืนอยู่ห่างเขาราว ๆ สองเมตร

แคปหันกลับไปทำหน้าถาม หากแต่เอสก็แค่ยักไหล่ยืนมอง “หยิบสูทออกมาให้กูหนึ่งตัว”

“ตะ..ตัวไหนก็ได้เหรอ”

“ใช่ ตัวไหนก็ได้” ว่าจบเดินหันหลังไปนั่งประจำโต๊ะที่เดิมก้มหน้าทำงานปล่อยให้แคปเข้าไปเผชิญกับห้องนอนที่โอ่อ่าหรูหรายิ่งกว่าโรงแรมชั้นหนึ่งอันซีนสิ่งสวยงามที่สุดในไทย เอนี่เวย์มันไม่ได้มีแค่เตียงนอนหรอกนะ ลึกเข้าไปยังเป็นห้องแต่งตัวที่เมื่อก้าวขาผ่านเซ็นเซอร์เข้าไปไฟสีส้มซอฟโทนก็ติดขึ้นแบบอัตโนมัติเช่นเดียวกัน แคปสตั๊นไปประมาณสามวิก่อนถอยหลังร่นออกมาปรากฏว่าไฟดวงเล็กๆระยิบระยับบนเพดานที่บุนวมสีเดียวกันทั้งห้องหรี่แสงอ่อนลง สวยงามมากจริง ๆ 

“โหยยยยอะไรมันจะแจ่มขนาดนี้วะเนี่ย” แคปเดินเข้าไปใหม่ เขากวาดตามองทั่วทั้งห้อง ตู้เสื้อผ้าที่ฝังตัวอยู่ในผนังแทบมองไม่เห็น พอเลื่อนดูถึงกับอ้าปาก เหี้ยอะไรไล่โทนสีไว้ยิ่งกว่าราวโชว์เสื้อผ้าในห้างดังๆ

“ฉิบหายแล้วกูจะหยิบตัวไหนล่ะ..” บ่นกับตัวเองพลางเลือกหยิบออกมาหนึ่งตัว เอาวะน่าจะใกล้เคียงกับสีกางเกงที่มันสวมอยู่ที่สุด

“นี่มึงบ้าแต่งตัวตั้งแต่เมื่อไหร่วะเนี่ย เฮ้อ”

เดี๋ยวก่อน

เสื้อผ้าเยอะขนาดนี้ ใครซื้อให้มันวะ อย่าบอกว่าซื้อเองนะเว้ย ผู้ชายนะมึงนะมีมาเลือกซื้อเลือกสีขนาดนี้เชียวเหรอวะ

“สำอางฉิบหาย” แคปส่ายหัวให้กับความคิดที่เริ่มไม่เข้าท่าของตัวเอง ถือสูทออกมาหนึ่งตัวกลิ่นหอมๆลอยขึ้นมา แค่เสื้อผ้ามันยังหอมอ่ะอย่าถามนะว่าตัวมันหอมแค่ไหน เมื่อก่อนก็จำได้ว่านะหอม กระทั่งเดี๋ยวนี้คิดว่ายังหอมเหมือนเดิมเพิ่มเติมคือหล่อกว่าเก่าอะไรแบบนั้น

แคปนึกอะไรไปเรื่อยเปื่อย เอาเสื้อที่ถืออยู่ขึ้นมาดมๆ ก็มันหอมจริงจนอยากดมนี่ไม่ใช่ว่าโรคจิตอะไรนะ แค่ดมเสื้อผัวไม่ถึงขั้นจิตมั้ง แคปเมียงมองไปอีกฝั่งทางมีประตูกระจกฝ้าปิดเอาไว้อยู่ด้วยความอยากรู้เขาจึงเดินเข้าไปเลื่อนเปิด

“ให้ตาย...” แคปครางสบถราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น ห้องน้ำเหี้ยอะไรมันจะเปิดเพดานรับแสงแดดสามด้านได้ขนาดนี้ ถ้าเป็นกลางคืนก็คงจะโรแมนติกน่าดู แต่อย่าถามถึงตอนกลางวันเลยว่ะกระจกใสมีแค่มู่ลี่เป็นช่อง ๆ ปิดทับเอาไว้กันแสงเหี้ยไรได้ไม่เยอะหรอก อาบน้ำกลางแจ้งล่ะสินะ พวกคนรวยมึงบางทีก็มีรสนิยมแปลกประหลาด

“ได้หรือยังสูทน่ะ” เสียงตะโกนแว่วเข้ามาจากคนที่น่าจะเปิดประตูเข้ามาเรียกแคปรีบละตัวออกจากตรงนั้นเดินลิ่ว ๆ ผ่านห้องแต่งตัวออกไปถึงห้องนอนนั่น พอก้าวขาออกมาเอาการ์ดดำทาบแตะไฟในห้องก็ดับพรึ่บลงพร้อมกับบานประตูค่อย ๆ เลื่อนปิด

อ่า..นี่มันเหมือนตู้เซฟของธนาคารเลยนี่หว่า เพียงแต่ตู้เซฟเก็บเงินเก็บของมีค่า แต่ห้องๆนี้เก็บเสื้อผ้าเตียงนอนและยาสระผม....

------------------------------ ชุดให้กู”

“หะ?”

แคปมัวแต่คิดโน่นนี่นั่นยังไม่ทันได้ฟังว่าเมื่อกี้เอสมันพูดว่าอะไร มองเห็นแค่มือใหญ่ยื่นเข้ามาขอเสื้อสูท แคปจึงยื่นให้พร้อมกับทำหน้าถามอีกครั้งว่าเมื่อกี้พูดว่าอะไร

“ตั้งแต่วันนี้ไป ทุกวันที่มึงขึ้นมาต้องทำหน้าที่จัดเตรียมชุดให้กูทุกครั้งที่กูออกงาน”

“เตรียมชุด?” แคปทวนคำ

“ใช่”

หลังตอบคำว่าใช่เอสกดเรียกให้ปอเข้ามารับทราบงาน

“นายจะให้ผมหรือแคปขับรถให้ครับ”

“ให้เพื่อนมึงขับแต่มึงนั่งไปด้วย”

“เข้าใจแล้วครับ” เอสค่อนข้างพอใจที่ปอเข้าใจอะไรได้ง่าย ๆ ไม่ต้องให้อธิบายอะไรเยอะ สั่งสองแต่ผลงานได้สิบ ไม่ต้องแปลกใจทำไมมันถึงได้โบนัสหนักว่าทุกคนในตึกนี้

คนอนุมัติคือเขาเองแล้วจะมีปัญหาอะไร

“สักทุ่มนึงมารับกูที่นี่”

“ครับนาย” ปอค้อมศีรษะลงรับคำ เขามองไปที่แคปเพราะตอนนี้เป็นเวลาเลิกงานไม่รู้ว่าแคปมันจะออกไปพร้อมเขาไหม แต่ทางที่ดีน่าจะต้องไปเพราะว่าชุดที่แคปใส่อยู่ตอนนี้มันไม่เหมาะสมกับงานที่จะไปด้วยประการทั้งปวงถึงแม้ว่าจะเป็นแค่คนขับรถแต่อย่าลืมว่ารถที่จะต้องใช้เป็นลีมูซีนคันใหญ่ของรัชชา

“ถ้างั้น...”

“มึงกลับไปคนเดียว”

เอสสวนขวับไม่ให้ปอพูดได้จบ คนเป็นนายจ้องหน้าเลขาที่ตัวเขาเพิ่งนึกชมมันไปหยกๆ เดี๋ยวสิ้นปีนี้โบนัสมึง กูจะตัดให้เกลี้ยงเลยน่าจะดี

ห่วยแตก

ไม่รู้ใจ

“แล้วชุดของแคป”

“...................”

เอสปรายสายตาเย็นเฉียบใส่จนปอหน้าหรา เขารีบหันมองแคปแล้วทำความเคารพเอสก่อนล่าถอยออกไป แคปรีบเดินเข้าไปรั้งแขนเพื่อนเอาไว้กระซิบกระซาบถาม

“แล้วข้าวเย็นล่ะ กูจะกินข้าวเย็นที่ไหน”

ไอ้นี่ ยังจะห่วงเรื่องกิน

“ถ้าคุณเอสไม่กลับเดี๋ยวจะมีแม่บ้านจัดอาหารขึ้นมาส่งให้ รปภเดินตรวจทุกชั้นตลอดเวลามึงไม่ต้องกลัว ที่ชั้นไอทีเขาทำงานกันตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงสับเวรเพราะงั้นครัวของตึกนี้สั่งอาหารได้ตลอดเว้ย ร้านกาแฟอยู่ชั้นหนึ่งนะถ้ามึงหิว แล้วเดี๋ยวทุ่มนึงเจอกัน กินข้าวกับนายกูให้อร่อยเลยนะมึง”

ปอตบลงที่ไหล่แคปสองสามทีพร้อมสั่งเสียเพื่อนแบบยาวเหยียดก่อนผลุนผลันออกไป พอบานประตูปิดลงแคปก็หันกลับมา นึกได้ว่าตัวเองยังถือเสื้อนอกมันไว้ เขาจึงเดินไปยื่นส่งให้

เอสเงยหน้าจากแฟ้มเอกสารขึ้นมอง “ไม่เอาตัวนี้แล้วมันยับ ไปเปลี่ยนออกมาใหม่”

พรึ่บ!!

“เรื่องมาก!

แคปลืมตัวสวนคำกลับพร้อม ๆ กับเขวี้ยงเสื้อสูทราคาแพงที่ถือไว้ฟาดใส่โซฟารับแขก หล่นลงไปกองยู่ยี่อยู่ที่พื้นดูหมดค่าหมดราคา เอสมองตามหน้านิ่ง ๆ สองคนสบตากันก่อนที่แคปจะรู้สึกผิดเดินเข้าไปเก็บเสื้อที่ตัวเองขว้างขึ้นมาพาดเก็บให้เรียบร้อย

“กูเลือกไม่เป็น กูไม่รู้นี่ว่ามึงจะต้องใส่แบบไหนยังไง”

เขาค่อนข้างกลุ้มใจตั้งแต่ได้ยินเอสมองหน้าที่ใหม่ให้ทำ เอาจริง ๆ คือแคปหลุดจากสังคมเมืองกรุงไปถอนหญ้าขุดดินทำไร่ทำสวนนานหลายปีแล้ว กับการที่ต้องเข้ามารับหน้าที่เพื่อตามล่าหัวใจโดยการทำหน้าที่เป็นพลขับมันก็ได้อยู่ แต่ถึงขั้นจะให้เขาเป็นสไตล์ลิสจัดเตรียมเสื้อผ้าหน้าผมให้คนมีระดับอย่างมันเข้างานสังคม

ตรงๆเลยนะ ทำไม่เป็นว่ะ

แคปถอนหายใจหนักหน่วง บางทีก็นึกอยู่เหมือนกัน..สองคนที่สังคมต่างกันมากขนาดนี้ จะดีเหรอวะถ้าจะมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอีก

และความคิดนั้นของแคปดูเหมือนว่าคิดดังจนเอสผู้อ่านใจมันออกมามาตั้งแต่ไหนแต่ไรรู้ทัน เดินเข้ามาแล้วดึงแคปให้ตามเข้าไปภายในห้องพักผ่อนนั่น

“ทั้งตู้เนี่ย มึงเลือกออกมาชุดนึงสำหรับตัวเอง”

แคปมองหน้าคนที่ยืนกอดอกจ้องเขาหลังจากที่มันเลื่อนบานประตูตู้เพื่อเผยให้เห็นเสื้อผ้าทั้งหมดชัดๆ แคปยังยืนนิ่งไม่ขยับ เอสจึงก้าวเข้าไปจ้องหน้าก่อนบ่ายศีรษะบอกให้เลือก

“เอาชุดนี้”

แคปเสียงอ่อน จำใจเลือกชุดที่ขี้เหร่สุดในบรรดาทั้งหมดออกมา มันก็ไม่ถึงกับขี้เหร่ แต่สีมันไม่ใช่รสนิยมเขาก็แค่นั้น แต่ทว่าต้องเลือกออกมาเพราะว่าน่าจะเป็นเสื้อผ้าชุดที่เอสมันจะต้องให้เขาใส่เพื่อขับรถเข้างานก็แค่นั้น

“โอเคชุดนี้ของกู ทีนี้เลือกออกมาอีกชุดสำหรับตัวมึงเอง”

เอสดึงชุดในมือแคปไปถือเอาไว้ คนตัวเล็กกว่ารีบตะครุบกลับคืน ก็ตอนแรกมันบอกเลือกให้ตัวเขาเอง ไปๆมาๆไหงเป็นชุดขี้เหร่นั่นเป็นของตัวมัน จากนั้นบอกให้เขาเลือกให้ตัวเองใหม่แบบนี้เขาก็ได้ใส่ตัวหล่อๆส่วนมันใส่สีขี้เหร่ไปงี้ดิ  ฉิบหาย! แบบนั้นไม่ได้ผัวกูต้องหล่อสุดไรสุด

“เฮ้ยอันนั้นของกู ของมึงๆก็เลือกเอาเองสิวะ” แคปดึงกลับมาถือไว้ไม่ได้เอสส่ายหน้าไม่อนุญาต ซ้ำยังจ้องหน้าเขาซ้ำแล้วซ้ำอีก

“เลือกมาแคป สำหรับตัวมึงเอง”

“ไม่เอา ของกูชุดนั้นอะ ส่วนของมึงชุดนี้ก็ได้อ่ะ” แคปหยิบสุ่มๆมาอีกหนึ่งตัว สูทบ้าอะไรหนักไม่ใช่น้อยๆนะเว้ย ด้านในมีหนีบกางเกงไว้ด้วยเหรอวะเนี่ย

“แค่นี้ก็เรียบร้อย เสร็จแล้วก็ออกไปกินข้าวได้แล้ว เสียเวลาจริงๆ”

“เฮ้ยไม่ได้ นั่นชุดกู ส่วนมึงเอาตัวนี้ไปสิ”

“ชุดไหนก็เหมือนกัน”

“ไม่เหมือนหรอกเอามาก่อนอันที่มึงถืออยู่น่ะ”

“ทำไม”

“กะ  ก็...ชุดนั้นมันไม่สวย”

“แล้วเลือกออกมาทำไม”

“ก็...คิดว่าจะเอาให้กูใส่” เลยเลือกอันที่กูไม่ชอบที่สุด

“อย่าทำแบบนี้อีก จำไว้ว่ามึงต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อตัวเองเสมอ”

“..............” อย่ามาดุกูนะ

“กูจะใส่ตัวนี้ล่ะ” ว่าแล้วจะเดินออกจากห้องไปแคปรั้งแขนไว้อีกครั้ง ทำหน้าอ้อนวอนขอให้มันเปลี่ยนตัวใหม่ แต่เอสก็แค่ส่ายหัว

“กูชอบสีนี้ใส่ตัวนี้ก็ไม่เป็นไร ทีหน้าทีหลังถ้ามึงเลือกสิ่งแย่ๆให้ตัวเองอีก มึงจะได้บทเรียนแบบนี้”

“..............”

“ยืนบื้ออยู่ทำไม ออกไปได้แล้วเสียเวลา”

แคปจิ๊ปากหน้ายุ่ง ปากเล็กบ่นฟอดๆแฟดๆเดินตามหลังร่างสูงใหญ่ออกไป “จะเสียเวลาอะไรนักหนาโถ่ ก็ใครล่ะที่เรื่องเยอะน่ะ” พอเดินผ่านห้องนอนแคปมองเตียงหลังใหญ่ที่ตั้งอยู่ไม่รู้เกิดบ้าอะไรหน้าร้อนวูบวาบขึ้นมา เขาเหลือบสายตามองเอสนิดหน่อยอยากรู้ว่ามันจะรู้สึกร้อนๆหนาวๆเหมือนเขาไหมเผื่อเขินจนหูแดงจะได้รู้ไงว่ามันเองก็คงคิดเรื่องลามกทำนองนั้นเหมือนกัน

แต่เปล่าเลยครับ หน้ามันนิ่งมาก คิดว่ามันคงไม่รู้สึกอะไรเลยล่ะมากกว่า แคปฆ่าเวลาด้วยการนั่งดูการ์ตูนจากทีวี ในตอนแรกเขาไม่กล้าเสี่ยงเปิดหรอกทีวีน่ะ แต่ก็ลุกๆนั่งๆเดินวนไปวนมา ดูวิวก็แล้วชมรอบห้องมันก็แล้ว คือไม่มีอะไรจะทำแล้วเลยต้องไปนั่งลงข้าง ๆ แล้วจ้องมองเจ้าของห้องมันนั่งอ่านอะไรบางอย่างในแฟ้มสรุปงานอย่างเงียบ ๆ สุดท้ายแคปถอนหายใจขึ้นมาเฮือกใหญ่ๆว่าจะลงไปหากาแฟมากิน ทว่าทีวีจอแบนติดผนังก็ถูกเปิดพรึ่บขึ้นฉายการ์ตูนช่องโปรด แค่นั้นแหละเขาก็หมดฤทธิ์มองหน้าไอ้คนเปิดที่ทำหน้านิ่งๆไม่สนใจ

เออช่างมันเขาจะดูการ์ตูนไปแบบนี้ล่ะ

“นี่กูเปิดเสียงดังกวนมึงทำงานป่ะล่ะ”

ถามแล้วอยากตบปากตัวเองนัก ไอ้คนถูกถามมันก็แค่เหลือบตาขึ้นจ้อง จากนั้นมันก็เงียบไม่ตอบอะไรเลย แคปไม่อยากจะสนลุกขึ้นเดินดุ่ม ๆ เข้าไปคว้าเอาหมอนที่อยู่บนเตียงในห้องนอนออกมานั่งกอด เสร็จแล้วพอเมื่อยก็เอนตัวนอน นอนซ้ายทีนอนขวาทีไม่ลงตัวได้สีกที ไม่ใช่ว่าการ์ตูนไม่สนุกแต่ใจไม่สงบเพราะอะไร

ถูกต้อง! เพราะว่าเขา...หิวโว๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

กำลังจะหันไปอ้าปากถามว่าอาหารเย็นเมื่อไหร่จะเสด็จมา เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น เอสไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นดู แม่บ้านสามคนเดินถือสำรับอาหารและเครื่องดื่มมาวางไว้ให้ ก่อนค้อมตัวลงทำความเคารพแล้วก็เดินออกจากห้องไปอย่างสุภาพ แคปหันไปมองไอ้เจ้าของห้องที่นั่งเป็นรูปปั้นหิน ว่าจะเรียกมันให้มานั่งกินกันได้สักทีหรือยังแต่คิดไปคิดมาลุกขึ้นไปเรียกเลยน่าจะดีกว่า

“มึง อาหารมาแล้ว” จะว่าไปก็รู้ตัวนะว่าพูดไม่เพราะเอาซะเลย แต่ทำไงได้วะก็พูดกับมันแบบนี้มาตลอด เอ๊ะหรือว่าจะลองเปลี่ยนเป็นพูดให้มันไพเราะกว่านี้ถึงจะดี ในอนาคตมันจะอยากได้ยินแบบไหนระหว่าง นับจากนี้กูจะอยู่เคียงข้างมึงตลอดไป กับ เค้ารักตัวนะ เค้าจะอยู่ข้างตัวตลอดไปนะ

บรึ๋ยยยยยย ตอแหล นึกแล้วขนลุกว่ะ แคปสะบัดหน้าไล่ความคิดแปลกประหลาด ก้มลงมองไอ้คนที่ต้องได้ยินคำถามแต่ยังนั่งเฉย

“กูบอกว่าอาหารมาแล้ว”

“รู้แล้ว แล้วยังไง” เอสเงยหน้าถาม ดวงตานิ่งๆไร้ความรู้สึก หากแต่เหมือนกับคำพูดมันจริง ๆ มาแล้วยังไง อาหารมาแล้วมันยังไง

“ก็กูหิวอ่ะ!” แคปทนไม่ไหวระเบิดคำว่าหิวออกมาอย่างดัง ม่านตาเอสกระตุกวูบไปนิดนึง

“หิวก็ไปกิน”

ไอ้ตัวเย็นชา

“แต่กูรอมึง”

“รอทำไม”

“..............” แคปกัดปากแน่น นึกก่นด่าไอ้คนไร้หัวใจ เขาก็แค่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น สุดท้ายคนที่ทนไม่ไหวก็เงยหน้าจากแฟ้มงานขึ้นมอง

“กินไปก่อนเลยแคป”

สุดท้ายตอนนี้แคปก็นั่งกินข้าวอยู่คนเดียว ทีวงทีวีอะไรไม่อยากจะดู แต่เสียงการ์ตูนมันเข้าหัว ไปๆมาๆกินข้าวจนเกือบจะหมดจากพลางนั่งหัวเราะลืมเรื่องที่โกรธมันเมื่อกี้ไปจนสนิท กว่าเอสจะมานั่งกินไปด้วยกันข้าวแคปก็จวนจะหมดจานพร่องลงไปเยอะแล้ว

“มึงมาช้าเองนี่” 

เพราะว่าพอเปิดฝาปิดที่ครอบจานออก เอสเหลือบสายตามองแคปในทันที คนถูกมองปั้นหน้าทำนิ่ง ทั้งที่จริงขำเกือบตาย ก็เขาเอาไก่อบในจานมันมาจนเกือบจะหมดนั่นแหละเหลือไว้ให้แค่สองชิ้น

“ก็บอกแล้วว่ามึงมาช้าเอง ทีหลังถ้ากูเรียกให้มากินก็ต้องมากินพร้อมกัน ถ้าไม่งั้นกูจะกินส่วนของมึงให้หมดไม่เหลืออะไรเลย”

“แสบนักนะแคป คิดจะเอาคืนเรื่องชุดหรือไง”

“เปล๊า..” แคปยักไหล่ทิ้งเสียงสูงทำหน้ากวน ๆ ไม่พอนะมันยังมีหน้าตักผักชีเหลือๆในจานตัวเองไปวางลงให้อีกต่างหาก เอสนี่ข่มกรามกรอดๆ “อ่ะๆเดี๋ยวกูแบ่งอันนี้ให้ก็ได้”

เอสนี่แทบจะกระชากหัวมันเข้ามากินแทนข้าว

แต่...

เขาก็แค่เฉย เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ข่มความโกรธเอาไว้จนมิด “ขอบใจ ชอบมาก”

ซึ่งนั่นแหละที่ทำให้แคปมันแทบจะคลั่งตาย เอสหัวเราะแบบไร้เสียง ยักคิ้วกวนตีนท้าทาย แคปขบกรามจนหัวแทบสั่น

บ้าเอ๊ย!!!!

สองคนกว่าจะฟาดฟันกับดินเนอร์อันดุเดือดเสร็จกินเวลาไปมากโข แม่บ้านเข้ามาเก็บจานหลังจากที่กดเรียก เวลาหลังจากนั้นคือสงครามย่อม ๆ เกิดขึ้นที่ห้องแต่งตัว เพราะว่าคุณชายเอสเข้าไปอาบน้ำนานมากจนแคปที่รออยู่ด้านนอกแต่งตัวเสร็จไปก่อนแล้ว ท้องฟ้าเริ่มจะมืดเวลาเกือบจะหนึ่งทุ่มตรงเข้าไปทุกที แคปเริ่มร้อนใจ

อันที่จริงเขาแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็แค่สวมเสื้อนอกทับเชิ้ตตัวเก่าของเขา ดีที่วันนี้ใส่ยีนส์สีดำเพราะงั้นแค่คนขับรถเท่านี้น่าจะพรางตัวได้ แต่ทว่าคนจะไปร่วมงานก็คงต้องแต่งองค์ทรงเครื่องหนักเป็นธรรมดา

แกรกกก~

ประตูเปิดออกมาพร้อม ๆ กับร่างสูงใหญ่เต็มไปด้วยมัดกล้ามได้สัดส่วนเปลือยอกที่พราวไปด้วยหยาดน้ำเย็นฉ่ำในผ้าขนหนูพันท่อนล่างโคตรของความหมิ่นเหม่

จู่ๆมายืนกางแขนผายมืออยู่ต่อหน้าต่อตา

“แต่งตัวให้กู”

แต่งตัวให้มัน??

แคปกลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่

“อะ...โอเค”

ต้องรีบ..แคปคิดได้แค่นั้น ไม่มีเวลามาสำรวจตรวจตราห่าอะไร คว้าโน่นคว้านี่มาสวมให้จะว่าไปเนคไทยังไม่ได้เลือเลยนี่หว่า แคปมองหา

“เนคไทไม่ต้อง”

ราวกับรู้ว่าอีกฝ่ายคิดเรื่องอะไรอยู่ หรืออาจเพราะว่าเอสจ้องมองอีกฝ่ายจับโน่นจับนี่มาใส่ที่ร่างกายของเขาอย่างไม่วางตาก็ว่าได้

“เสร็จแล้ว” เหลือแต่เสื้อนอก

แคปกวาดตาสำรวจทั้งเนื้อทั้งตัวเอสอีกครั้งก่อนทำหน้าภูมิอกภูมิใจ รู้ตัวเหมือนกันว่าถูกจ้องอยู่แต่พอเงยหน้ามองขึ้นไปทีไรก็เห็นเอสมันมองทางอื่นอยู่ทุกที เขาจึงคิดว่าตัวเองคิดผิดไป

“นี่ กูต้องแต่งหน้าทำผมให้มึงด้วยป่ะ”

“ออกไปรอข้างนอก”

คำพูดง่าย ๆ ไม่ได้สนใจเลยสักนิดว่าแคปหยอกเล่นอยากให้ยิ้ม เอสก็แค่ไล่เขาให้ออกมาจากห้องหลังจากแต่งตัวให้มันเสร็จแล้วก็เท่านั้น

แคปโผล่หัวไปดูกระจกสำรวจตัวเองแบบรวบรัดอีกครั้ง จะว่าไปเขาว่าตัวเองเนี่ยแจจุงดีๆนี่แหละวะ หึหึ แคปอมยิ้มขำกับความคิดตลกๆของตัวเอง มองเห็นสายตาคู่เย็นผ่านบานกระจกเงาเขารีบขยับปกเสื้อจัดให้ทุกอย่างโอคเอ จากนั้นจึงออกไปรอที่ห้องทำงานด้านนอก ปล่อยคุณชายเซทผมไป

“เห้ยมึงมาเมื่อไหร่วะไอ้ปอ”

ปอนั่งรออยู่ก่อนแล้วแคปเดินไปทิ้งตัวนั่งลงข้าง ๆ

“กินข้าวยังมึงอ่ะ” ปอหันมาถาม

“กินแล้ว โคตรอร่อย”

“แล้วทำไมแต่งตัวแบบนี้วะ”

“เออแบบนี้ได้ป่ะล่ะ กางเกงมันยาวว่ะกูก็ใส่ได้แค่เสื้อนอกนี่ล่ะ” น้ำท่าไม่ได้อาบหรอก

ปอพยักหน้าเข้าใจ เขามองดูแคปแล้วบอกว่าทุกอย่างโอเค เป็นเวลาเดียวกับที่เอสเปิดประตูออกมาจากด้านใน

แคปถึงกับตาค้าง..

นี่คือชุดที่เขาคิดว่าขี้เหร่ที่สุดตอนเลือกจริงหรือวะ แล้วก็ชุดนี้ไม่ใช่เรอะที่เขาเพิ่งใส่ให้มันเมื่อตะกี้

แล้วทำไมพอพร็อพทุกอย่างเต็มตัว เสื้อผ้าหน้าผมเครื่องประดับรวมถึงกลิ่นหอม ๆ นั่น

นี่ผัวกูหล่อขนาดนี้????

“ตาค้างแล้วมึง” ปอสะกิด แคปสะดุ้งรีบกลบเกลื่อนกิริยา สาบานได้ว่าเอสมันยิ้มหนึ่งครั้งจริง ๆ นะ แค่ครั้งเดียวจากนั้นหุบปากฉับเลย

สามคนใช้ลิฟต์ตัวในลงมาถึงชั้นใต้ดิน ก่อนที่ปอจะยื่นกุญแจรถหรูส่งให้

“ขับเป็นป่ะ ขับธรรมดาแต่ช่วงรถยาวหน่อยตอนถอยมึงต้องระวัง”

“ให้กูขับจริงอ่อ?” แคปรับกุญแจมาพร้อมถามเสียงเบา ปอพยักหน้าแล้วเดินไปเปิดประตูฝั่งหลังให้เจ้านายของเขาก้าวขึ้นไป  แคปไม่มีเวลาคิดอะไรมากอีกแล้ว ทำตามหน้าที่ลุยเป็นลุย เขาเข้าประจำที่ตำแหน่งคนขับ ขณะที่ปอนั่งคู่ไปที่เบาะหน้า







ตรารูปปีกนกอินทรีที่ประดับอยู่ตรงหน้ารถสะท้อนแสงของดวงไฟจากท้องถนนงดงามขึ้นเงา สัญลักษณ์ของตระกูลรัชชา ลีมูซีนสีดำทะยานตัวด้วยความเร็วคงที่มุ่งหน้าไปตามถนนที่การจราจรค่อนข้างคล่องตัว แคปกำลังตื่นเต้นมากจริง ๆ ผู้ชายอย่างเขาครั้งหนึ่งในชีวิตได้ลองขับรถใหญ่โอ่อ่าแบบนี้ แม้จะเป็นลีมูซีนคันเล็กก็เถอะแต่ถือว่าใหญ่และยาวกว่ารถธรรมดามากอยู่

“เดี๋ยวตัดเข้าเส้นนั้นเลยนะแคป เราต้องไปรับคุณบีก่อน”

ปอพูดแล้วเหลือบตามองเพื่อนสนิท ขณะที่แคปฟังแล้วถึงกับชะงักนึกอยากกระทืบเบรคจอดแม่งตรงนี้เลยให้ตาย คุณบีที่ไอ้หมาปอมันพูดถึงคงจะเป็นผู้หญิงสวยๆคนนั้นที่เอสมันเดินออกมาส่งนั่นล่ะ

อารมณ์เริ่มเสียแล้วเว้ย ฮู้ววหงุดหงิด

“หลังไหน” แคปถามนิ่ง ๆ ออกมา เชื่อไหมว่าตั้งแต่นั่งรถมายังไม่ได้ยินเสียงไอ้คนข้างหลังมันพูดเลยสักคำ รถนี่ก็ห้องโดยสารด้านหน้ากับด้านหลังมันคั่นด้วยจอทีวีแล้วก็คอนโซนห่าไรไม่รู้ คันก็ย๊าวยาวกูจะดูหน้าผัวกูสักหน่อยนี่มองแม่งแทบไม่เห็นเลยให้ตายนี่แค่ที่นั่งสองตอนทำไมความรู้สึกมันถึงคิดว่ายาวกว่ารถทั่วไปมากนักวะ ขนาดบิดกระจกหมุนจนจะหักอยู่แล้วยังเห็นแต่หลังทีวีอ่ะคิดดู แคปได้แต่ทำใจ เห็นนิดเดียวก็เอาวะ

เขาขับมาเรื่อยจนถึงหน้าบ้านใหญ่หลังหนึ่งซึ่งเปิดประตูกว้างรอเอาไว้ แคปเลี้ยวเข้าไปจอดเทียบลง คนสวยในชุดราตรีสีม่วงเข้มตัดกับผิวขาว เส้นผมสีดำสนิทยาวสลวยเคลียไหล่และแผ่นเปล่าเปลือยยาวไปจนถึงบั้นเอว เพชรประดับเม็ดเล็กๆที่แต่งแต้มไว้บนเรือนผมเป็นเซ็ทเดียวกันกับต่างหูและสร้อยข้อมือขนาดจิ๋วขับให้เธอดูอ่อนหวานงดงาม เธอยืนยิ้มรออยู่แล้ว ทุกอย่างบนใบหน้าล้วนถูกแต่งแต้มจนครบเครื่อง หมดจรด สวยงามจนเกินบรรยาย  ปอลงไปเปิดประตูให้เธอก้าวขึ้นมานั่งเคียงข้างกันกับเอส

อืมม..

...มันเจ็บจริงว่ะให้ตาย...

แคปกัดริมฝีปาก

ทั้งๆที่ไม่มีอะไร  ทั้งๆที่ก็แค่นั่งอยู่เคียงข้างกัน  ทั้งๆที่แค่นั้น.....กูเบื่อจริง ๆโคตรเกลียดเวลาที่รู้สึกหึงทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เป็นอะไรกับมันเลยด้วยซ้ำ ทั้งๆที่เราไม่ได้เป็นอะไรกันเลย ณ ตอนนี้ความสัมพันธ์เหี้ยไรก็ไม่มี ไม่ใช่อะไรสักอย่างของมัน หึ จะทำอะไรได้นอกจากนั่งนิ่ง ๆ มองตรงไปข้างหน้า ขับรถ!  ทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป...

ระหว่างทางจากบนรถถึงโรงแรม เสียงใสๆชวนเอสคุยโน่นนี่นิดหน่อยทว่าดูเหมือนเขาจะนิ่งกว่าปกติจนเธอนึกกลัวจึงเลือกที่จะสงบปากคำเอาไว้ พอโรงแรมหรูสูงตระหง่านปรากฏขึ้นไม่ไกล รถยนต์คันสวยก็เลี้ยวปราดเข้าไปจอดเทียบลงที่หน้าประตูทางเข้า ปอที่รู้งานดีก้าวลงมาเปิดรถให้เจ้านายตัวเองขณะที่ประตูอีกฝั่งบริกรรีบวิ่งเข้าไปเปิดให้คุณผู้หญิงสุดสวยในชุดราตรียาวสีม่วงเนียน ทั้งท่วงท่า กิริยา ช่างงดงามทั้งเนื้อทั้งตัว แสงแฟลชสว่างวาบขึ้นจากตากล้องที่ยืนรอถ่ายภาพนับสิบ แค่รถที่มาจอดส่งก็สร้างความฮือฮาแล้วอย่าว่าแต่สองคนที่เดินเคียงคู่กันลงไปช่างเหมาะสมราวกับกิ่งทองใบหยก

แคปมองส่งแผ่นหลังสง่างามของชายหญิงที่เดินผ่านซุ้มประตูเข้าไปอย่างบอกความรู้สึกตัวเองไม่ถูกเลยจริง ๆ  

 รู้สึกตัวอีกทีคือปอใช้ศอกสะกิดบอกให้ออกรถได้แล้ว จากนั้นมือใหญ่ๆของมันก็ลูบเข้าที่หัวเขา

“มึงต้องหัดทำใจ เจ้านายกูคอนเน็คชั่นเยอะมาก เขารู้จักคนเยอะมีทั้งผู้หญิงทั้งผู้ชาย แต่ละคนทั้งสวยทั้งหล่อดูดีไปหมด ที่สำคัญฐานะทางสังคม หน้าตา การเงิน คือทุกๆอย่างอ่ะแคป กูอยากจะให้มึงทำใจกว้าง ๆ เห็นชีวิตในแบบที่เขาเป็นแล้วมึงลองคิดดูว่าอย่างมึงน่ะจะปรับตัวให้เขากับเขาได้ไหม ไม่ใช่แค่ตอนนี้ ไม่ใช่แค่กับคนนี้ สวยกว่านี้ ดูดีกว่านี้ สนิทยิ่งกว่านี้ มึงก็ต้องรับให้ได้”

“...............”

“แคป..”

“กูหึง..”

ไม่บ่อยเลยที่แคปจะเผยความในใจด้วยคำพูดสั้นๆง่ายๆแต่ชัดเจนขนาดนี้ ปอถึงกับนึกสงสารเพื่อนขึ้นมาจับใจ

“กูรู้ว่ากูไม่มีสิทธิ์เหี้ยอะไรเลย ไม่ได้เป็นอะไรกับมันเลยสักอย่าง ไม่ใช่ทั้งเพื่อน ไม่ใช่คนรัก ทั้งๆอย่างนั้นกูก็ยังหึง กูเกลียดความรู้สึกแบบนี้” เกลียดตัวเองที่ขี้หึง เกลียดตัวเองที่รู้สึกมาก ยิ่งรู้สึกมากยิ่งเจ็บมาก เจ็บเจียนจะตายอยู่แล้ว

“กูปลอบคนไม่เก่งนะ แต่ถ้ามึงร้องไห้กูจะร้องด้วย เพราะงั้นมึงต้องเข้มแข็งและอดทนแคป กูบอกได้แค่นี้”

แคปนิ่งไปหน่อยแล้วหันมองปอ คำพูดมันชวนซึ้งจนเขาต้องแค่นรอยยิ้ม ในหัวใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความขอบคุณ “ทนเท่าที่ทนได้ว่ะเพื่อน วันไหนทนไม่ได้กูจะปล่อยให้ทุกอย่างจบจริงๆไปเลย”
แค่ลูบหัวคงไม่เพียงพอแล้วปอเลื่อนมือเข้ามาบีบลงที่ไหล่อย่างให้กำลังใจ เขาสองคนนำรถเข้าไปจอดไว้ในบริเวณช่องจอดที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้

“เราต้องไปรอที่ไหนวะไอ้ปอ” แคปลงจากรถเดินตามหลังปอออกมา สองคนตัดผ่านข้ามไปเข้าประตูฝั่งด้านข้าง ล็อบบี้ชั้นล่างของโรงแรมซึ่งตอนนี้กำลังมีนักเปียโนบรรเลงเพลงเบา ๆ น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดี

แคปออร์เดอร์เอสเพรสโซ่เย็นๆไปหนึ่งที่ แตกต่างจากปอที่สั่งแค่ชาร้อนมานั่งจิบฆ่าเวลา

“งานจัดชั้นไหนวะเนี่ย” แคปมองไปบันไดโค้งซึ่งปูด้วยพรมสีทองแซมดิ้นสีน้ำเงินหรูหราเป็นชั้นๆๆไปตามทางเดินขึ้นไปจนสุดทาง ดอกกุหลาบสีแดงสดสวยงามจัดตกแต่งตั้งแต่หัวบันไดทอดยาวขึ้นไป

“ชั้นสองดิ ห้องใหญ่สุดนั่นไง”

แคปพยักหน้ารับรู้แล้วยกกาแฟขึ้นดูด เขาถามปอเรื่องของคุณบี ใช้สายตาเค้นคอมันให้บอกกับเขาแบบตรงไปตรงมา

“รู้สึกว่าจะเป็นเพื่อนเก่า อันนี้กูก็ไม่แน่ใจว่าเก่าแค่ไหน แต่ดูเหมือนว่าจะมีผู้หญิงอีกคนเข้ามาเอี่ยวด้วยรู้สึกจะชื่อเกรซนะ เป็นพี่สาวคุณบีนั่นแหละ”

“แล้วคนชื่อเกรซเกี่ยวอะไรวะ”

“อันนี้กูไม่รู้ แต่ที่เจ้านายกูยอมเทคแคร์คุณบีแบบนี้ส่วนนึงน่าจะเพราะความสำคัญของผู้หญิงที่ชื่อเกรซว่ะ”

“งงว่ะ”

“เออกูก็งง”

“เอาดีๆดิวะมึงก็” แคปดึงแก้วชาร้อนที่กำลังจะจรดริมฝีปากปอออกมาแล้วใช้สายตาบีบมันใหม่ขอให้บอก คราวนี้ปอเลยส่ายหน้าแล้วยักไหล่ “กูก็ไม่รู้ว่ะแคป มึงก็รู้ว่านายกูไม่ค่อยพูดหรอก เขาแค่สั่งมากูทำตามให้แค่นั้นก็จบ” เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

“มึงสืบให้กูทีแล้วกัน”  แคปเหมือนจะจมลงในห้วงความคิดส่วนตัว อยากรู้เหมือนกันว่าคนชื่อเกรซนี่สำคัญยังไง ทำไมถึงขนาดยอมเป็นคู่ควงออกงานให้กับผู้หญิงคนนี้

“กูว่าคุณเกรซอาจจะเป็นญาติมันไหมอะไรแบบนั้นไหมวะ” ปอทำหน้าสงสัยหันมาถามแคป โดนด่าด้วยสายตาไปหนึ่งที

“มึงถามกู กูจะไปถามใครเล่า!

คนถูกด่าฉีกยิ้มแหะๆยอมจำนน หลังจากนั้นแคปถามถึงเรื่องว่าที่คู่หมั้นอย่างมินตราขึ้นมา ในตอนแรกปอลังเลว่าจะบอกดีหรือไม่ ไปๆมา ๆ เขาตกลงใจว่าจะบอก

“จริงดิ!?” แคปตาโต ไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน

“ก็จริงสิวะ มึงห้ามไปบอกนายกูนะว่ารู้เรื่องนี้แล้ว”

“ทำไม”

“เอาเหอะน่า มึงรู้ไว้แค่เขาสองคนไม่ใช่ว่าที่คู่หมั้นกันแล้ว นายหญิงใหญ่ส่งของไปขอขมายาวเป็นหางว่าวเลยมึงรู้ไหม สุดท้ายเจ้านายกูยังต้องหอบช่อดอกไม้ไปขอโทษด้วยตัวเองอีกด้วย”

แคปนิ่งไป เสี้ยวหนึ่งของความรู้สึกแคปคิดว่าตัวเองดีใจ แต่คิดดูดีๆอีกทีแคปไม่แน่ใจกับสิ่งที่เอสกำลังทำ เพราะอะไรถึงยกเลิกเรื่องหมั้นในช่วงนี้ แล้วยังเรื่องของน้องโบว์นั่นอีก

“เขาสองคนไม่ชอบกันแล้วเหรอวะ”

“ถามอะไรของมึง” ปอส่ายหัว อยากพูดใจจะขาดว่านายตัวเองเคยชอบคนอื่นซะที่ไหน แต่เรื่องแบบนี้คงต้องรอให้เจ้าตัวพูดออกมาเองน่าจะขลังกว่าเพราะงั้นเขาจึงเลือกที่จะเงียบไว้และบอกกับแคปว่าไม่คุยเรื่องนี้แล้วรู้แค่ว่าสองคนนั้นยกเลิกกันไปแล้วเท่านั้นคือจบ

“งานใหญ่เหมือนกันเนอะ คนเยอะเลยว่ะ”

เวลาล่วงเข้ามาจนถึงกาแฟแก้วที่สามคราวนี้แคปสั่งกาแฟร้อน เสียงเปียโนยังคงขับกล่อมท่วงทำนองแผ่วเบา ต้องยอมรับเลยว่าดนตรีคลาสสิคนี่ทำให้อารมณ์คนเราเย็นลงได้จริง ๆ แคปปิดปากหาวหวอด ปอจึงมองดูนาฬิกา

“ง่วงป่ะมึงอ่ะ”

“อืม นิดๆ” คงเพราะวันนี้เดินทางนั่งรถนาน ก็นะหน้าหนาวแต่ทำไมตอนกลางวันร้อนจัง

“แล้วคืนนี้มึงเอาไง นอนไหนวะ”

“นอนกับมึงได้ไหมล่ะ”

“แน่ใจเหรอที่พูดน่ะ” ปอมองคนข้าง ๆ อย่างไม่อยากจะเชื่อ ก็ตั้งแต่แคปมันออกมาจากห้องเขาจนถึงตอนนี้ยังไม่เคยกลับไปเหยียบเลยแม้แต่ครั้งเดียว ไม่เข้าใจความรู้สึกของมันเหมือนกัน แต่ที่สำคัญนอกเหนือจากนั้นคือมันจะรู้ไหมว่าห้องนอนเก่าของมันทุกอย่างถูกเอสกำชับให้เขาดูแลให้เหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง และนั่นคือเหตุผลหลักที่เขาไม่ได้ย้ายออกมาอยู่คอนโดของบริษัทเสียที

ถ้าเจ้านายเขาไม่รักมันก็ไม่รู้จะพูดว่ารักใครได้แล้ว

“เออน่าเดี๋ยวค่อยว่ากัน”

ปอพยักหน้าพลางรินน้ำชาจากกาเซรามิกที่บริกรเพิ่งมาเติมให้ใหม่ลงที่แก้วชาของตัวเอง มันร้อนมากเขาจึงค่อยเป่าไอร้อนออกมาแผ่วเบาแล้วค่อยจิบ แคปเริ่มนั่งไม่ติดดื่มมากๆก็พาลอยากเข้าห้องน้ำห้องท่า พอถามปอว่าห้องน้ำอยู่ฝั่งทางไหนปอจึงชี้บอก

ห้องน้ำที่นี่หรูหราน้อยกว่าที่ตึกรัชชานิดนึงนะขนาดว่าเป็นโรงแรมใหญ่ติดเกรดห้าดาวอันดับต้นๆของเมืองไทย เมื่อเขาทำธุระเบาเสร็จออกมาแวะที่โซนสูบบุหรี่ แคปผลักประตูเข้าไป เลือกมุมที่มีต้นไม้เยอะหน่อย ความจริงทั้งสวนนี่ก็มีแต่ต้นไม้อยู่แล้วแคปจึงเลือกที่นั่งใกล้กับต้นไม้ในกระถางใหญ่สีน้ำตาลพาดขาว ต้นอะไรสักอย่างที่คิดชื่อยังไงก็คิดไม่ออก

ม่านควันปกคลุมไปทั่วทั้งบริเวณ แต่ละคนที่เข้ามานั่งปล่อยอารมณ์ในนี้ก็ต่างก้มหน้ก้มตาเล่นโทรศัพท์กันทั้งนั้น แคปล้วงเอาโทรศัพท์มือถือของเขาขึ้นมากดเล่นฆ่าเวลาบ้าง อัดบุหรี่แค่พอหายอยากก่อนเดินกลับออกไป ในตอนนั้นเขาสวนทางกับแขกที่น่าจะมามางานเลี้ยงชั้นบนลงบันไดทางฝั่งนี้มาได้ด้วย แคปจึงลองเดินขึ้นไปดู ใกล้มากกว่าฝั่งนั้นอีกมั้งถ้าให้เดา

ห้องจัดเลี้ยงหรูหราอลังการ งานตามหมายกำหนดการคงเสร็จสิ้นหมดแล้วตอนนี้บรรดาแขกเหรื่อด้านในเริ่มบางตา แต่ด้านนอกคนเริ่มเยอะ บ้างยืนทานอาหารอยู่ตามมุมและซุ้มจัดวางอาหารต่าง ๆ ในมือแต่ละคนถือแก้วไวน์เอาไว้ บางคนกำลังโพสท่าถ่ายรูปอัพเล่น ทั้งเสียงหัวเราะเสียงพูดคุยสนุกสนาน จนแคปมึนหัว คนเยอะเกินไปจริง ๆ มองไม่เห็นเลยว่าใครเป็นใครแม้แต่ที่ด้านนอก

ขณะกำลังตัดสินใจเดินลงไปอีกฝั่งทางที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวหน่อย ปรากฏชายหญิงสองคนที่แยกตัวออกมายืนอยู่ด้วยกัน โดดเด่นเป็นสง่ามากเนื่องจากชุดราตรีสีม่วงยาวอวดลาดไหล่หลังขาวเนียน มองจากตรงนี้ช่างสวยสะท้าน สัดส่วนความสูงเหมาะสมกับคนข้าง ๆที่มองแค่ปราดเดียวก็นิยามคำว่าเพอร์เฟคลงไปได้แบบไม่ต้องรั้งรอ

ผู้ชายต้องคู่กับผู้หญิงเหรอวะ?? ทำไม???

ทำไมเขามองแล้วถึงคิดว่า..ช่างเหมาะสม

ทำไมถึงมองสองนั้นแล้วถึงคิดว่า..ตัวเองช่างห่างไกล

แล้วทำไมถึงมองจากตรงนี้แล้ว...ยิ่งรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจไปหมด

เสี้ยวใบหน้าชายหญิงที่กำลังฟังคู่สนทนานั้นมีรอยยิ้ม ภาพนักธุรกิจเขร่งขรึมที่นั่งเงียบอยู่บนรถเมื่อสักครู่หายวับไป ในตอนนี้เหลือเพียงใบหน้าหล่อเหลาที่มีแต่แววความอบอุ่นอ่อนโยนมอบให้กับคนที่เขากำลังพูดคุยด้วย

บริกรเดินผ่านมาหญิงสาวเรียกไว้แล้วฉวยหยิบแก้วไวน์สีใสๆยื่นส่งให้ฝ่ายชายขณะที่ตัวเธอเองเลือกไวน์แดงสด

คุณไม่ต้องมองเห็นก็น่าจะรู้ใช่ไหมว่าสองคนที่เขากำลังมองอยู่ตอนนี้เป็นใคร ขอบไวน์สองแก้วจรดเข้าหากันเสียงดังกริ๊งเป็นสัญญาณการชนเพื่ออะไรไม่มีใครรู้  เธอเผยรอยยิ้มหวานฉ่ำเชิญชวน พลางหัวร่อต่อกระซิกแล้วใช้ฝ่ามือขาวเนียนตีลงเบา ๆ ที่ท่อนแขนแกร่งนั่นอย่างหยอกเย้าหลายๆที

เอสหัวเราะ.. 

ภาพแบบนั้นทำเอาแคปเจ็บปลาบเข้าไปถึงขั้วหัวใจ

เจ็บ...โคตรเจ็บ...ที่สุดของความเจ็บ...เจ็บมากมายจริง ๆ

สองขาก้าวฉับๆลงไปที่ด้านล่างได้อย่างไรไม่รู้ตัว

คำถามมากมายเกิดขึ้นในหัวใจ....กูมาอยู่ตรงนี้ทำไมกัน??? กูมาเพื่ออะไร????? มาเพื่อเหี้ยอะไร!!!!!!!!!!!!!

“โหแคปมึง...” ปอหันมาทักเมื่อเห็นเพื่อนที่หายเข้าห้องน้ำไปนานกว่าจะเดินกลับมา แต่แคปไม่มีอะไรรมณ์จะต่อความเขาหน้าตึงยื่นกุญแจรถวางลงให้ปอ

“กูจะกลับแล้วนะ มึงจ่ายให้ด้วยก็แล้วกัน” ไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบซักถามหรืออื่นใด ไม่รับรู้ว่าอีกฝ่ายเงยหน้าอ้าปากมองอย่างไม่เข้าใจอย่างไร ปอรีบคว้าเอาแขนเล็กของเพื่อนไว้

“เฮ้ยเดี๋ยวก่อนดิ”

“ทำไม”

“ แล้ววันนี้มึงนอนไหน ยังไงนี่ มีอะไรหรือเปล่า”

“กูนอนห้องไอ้แบงค์ มึงไม่ต้องห่วงนัดกับมันไว้แล้ว กูรีบแค่นี้ก่อน”

“เอาจริงดิ แล้ว งาน..คือ..”

“มึงขับรถให้นายมึงเหมือนเดิมอ่ะดีแล้ว กูมันความอดทนต่ำ ขออยู่อย่างชาวสวนชาวไร่เถอะว่ะ กูสู้ไม่ได้หรอก ไปแล้วนะ”

“เดี๋ยวแคป”

“แล้วกูจะโทรหา มีธุระไปก่อนนะเว้ย”

“.....................” 

กว่าปอจะรู้สึกตัวแคปก็หายออกไปจากประตูหน้าแล้วเรียบร้อย ทุกอย่างรวดเร็วมากจนตั้งตัวไม่ทัน และในตอนที่เอสกับคุณบีลงมาเขาก็เพิ่งสั่งเช็คบิลเสร็จพอดิบพอดี



ในรถขากลับทำไมมันถึงได้เงียบนักวะเขาเองก็ไม่เข้าใจปอ ทั้งๆที่ขามาแคปมันเป็นคนขับไม่ได้พูดอะไรสักคำ ขากลับเขาทำหน้าที่ขับแต่บรรยากาศด้านหลังนี่หนักอึ้งจนขนาดคนสวยช่างคุยอย่างคุณบียังต้องนั่งนิ่งๆเงียบๆ

ก็เพราะว่าสายตาเจ้านายเขา หลังจากที่รู้ว่าแคปมันกลับไปก่อนแล้ว แทบจะกรีดเนื้อคนมองให้แตกออกเป็นเสี่ยงๆได้เลยน่ะสิ

“ขอบคุณมากนะคะเอส ไว้บีจะโทรบอกพี่เกรซให้ว่าเอสดูแลบีดีมากๆคืนนี้บีขอบคุณมากจริง ๆ ค่ะ”

“ไม่เป็นไรครับ”

“ไว้บีจะโทรหานะ”

ไม่มีคำตอบรับอะไรจากปากเจ้านายของเขา ปอรีบเคลื่อนรถออกไปอย่างไว คนอารมณ์กรุ่นหน้าตายิ่งกว่ายักษ์มาร นั่งเงียบหน้าตึงแผ่ออร่าทมิฬตั้งแต่ออกมาจากงานนั่นแล้ว

“ทำไมเพื่อนมึงถึงกลับไปก่อน”

ปอสะดุ้งโหยง ไม่นึกว่าจะได้ยินคำถาม

“เห็นบอกว่าเหนื่อยแล้วก็ง่วงนอนครับ” พูดตอบเสร็จแทบจะกัดลิ้นตัวเอง ไม่รู้ล่ะว่าเชื่อหรือไม่เชื่อ แต่ตอนที่แคปกลับมาจากห้องน้ำก็ผลุนผลันออกไปแบบนั้นมันน่าสงสัยอยู่

“...............” เอสฟังแล้วก็เงียบไป ปอจึงขับรถมาเรื่อย ๆ จนมาถึงคฤหาสน์หลังใหญ่ รถเทียบจอดลงมีนายแมนคนดูแลรถของบ้านรัชชาวิ่งเข้ามารับรถต่อ ขณะที่เอสเดินหน้าเครียดเข้าบ้านไปแล้ว

“นายอารมณ์ไม่ดีเหรอครับคุณปอ”

“อืม” ปอพยักหน้าเบา ๆ เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเดินไปเปิดรถคันเล็กของตัวเองที่มาจอดทิ้งเอาไว้ตอนมาเปลี่ยนเป็นลีมูซีนเมื่อตอนเย็น แมนรีบยื่นกุญแจส่งให้ พร้อมฉีกยิ้ม

“ผมล้างรถให้คุณปอด้วยครับ ขัดเงาใหม่เอี่ยมเลย”

ปอตบหลังบอกขอบใจจากนั้นค่อยขับรถของตัวเองออกมาจากบ้านเจ้านาย

ดึกแล้ว...ไม่รู้ป่านนี้แคปมันจะทำอะไรอยู่ที่ไหน...






เสียงเพลงช้าซึ้งๆจากผับเล็กใต้โรงแรมใหญ่คลอเคลียท่วงทำนองอบอุ่นทว่าชวนให้วาบหวามไปกับอารมณ์เศร้าบนซึ้ง ก้อนน้ำแข็งในแก้วเหล้าสีเหลืองอำพันละลายตกลงมาจนชนกับอีกก้อนที่อยู่ก้นแก้ว ผู้ชายหนึ่งคนนั่งปล่อยอารมณ์อยู่ที่เคาน์เตอร์บาร์สั่งเติมแอลกอฮอล์ในแก้วซ้ำแล้วซ้ำอีก

ดึกแล้ว...ใช่แคปรู้

สมควรมาเมาอยู่ ณ ตรงนี้ไหม....ไม่ อันนี้แคปก็รู้อีก

แต่แล้วจะทำไงได้ หลังจากเดินดุ่ม ๆ ออกมาจากโรงแรมนั่นจะเรียกแท็กซี่ให้ขับไปส่งที่ตึกไพร์มก็ยังไม่ถึงเวลาเลิกงานไอ้เจ้าแบงค์ จะกลับไปรอที่ห้องมันก่อนใจก็ยังร่ำๆไม่อยากจะกลับ อารมณ์ไม่คงที่ คุกรุ่นแบบนี้มีทางเดียวต้องหาอะไรดื่ม

แน่นอนเหล้ามันทำร้ายตับแต่ไม่ทำร้ายหัวใจครับผม แคปจึงเลือกที่จะเดินย้อนกลับไปแล้วลงลิฟต์อีกฝั่งเข้าชั้นใต้ดิน พอจะรู้อยู่บ้างผับนั่งดื่มกินที่ชั้นใต้ดินของโรงแรมนี้ค่อนข้างปลอดภัย เพลงเพราะ ซึ้งเศร้าสัส ที่สำคัญบริการดีหากเมาหนักก็เปิดห้องนอนแม่งบนโรงแรมเลยนี่แหละ ไม่ต้องกวนใคร

แคปปล่อยมือที่คีบบุหรี่ค้างอยู่ที่จานเขี่ย มองดูเถ้าบุหรี่ร่วงตกลงไปข้างในนั้นทีล่ะนิดๆ

“พักนิดนึงก่อนไหมครับ คุณดื่มติดๆกันแบบนี้ไม่ค่อยดีนะ”

คนฟังเหลือบตาขึ้นมองบาร์เทนเดอร์หนุ่มร่างสูงที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์บาร์ ที่นี่มีบาร์เทนเดอร์สามคนที่ยืนเทคแคร์แขก หนึ่งในนั้นคือคนที่รับผิดชอบแก้วเหล้าของเขาและเป็นคนพูดประโยคชวนหงุดหงิดนั่น เขาจับแก้วขึ้นมากระดกที่เดียวหมด จากนั้นวางลงเสียงดังแล้วเลื่อนแรง ๆ ไปด้านหน้าบอกขอเติมอีก เน้นย้ำว่าให้เติมลงมาอีก เติมเรื่อย ๆ อย่าได้หยุดจนกว่าเขาจะหลับ

หลับไปจะได้ลืม

ดื่มให้หลับ

หลับแล้วก็จำอะไรไม่ได้ ไม่อยากนึกถึงเรื่องบ้าบอที่ตีกันวุ่นวายในหัวตอนนี้อีกต่อไปแล้ว

ขอแค่วันนี้ ดื่มเพื่อให้ลืมๆมันไป ลืม...ลืม...ลืม...ลืมหน้าไอ้ตัวใจร้าย ลืมไปให้หมด

“ขออีก เติมมา” ดวงตาหวานฉ่ำเพราะฤทธิ์จากสุรา กับเสียงแตกระแหง แดกเหล้าทีไรเสียงแม่งใหญ่กว่าเดิมทุกทีไม่รู้เป็นอะไร

“ถ้าอย่างนั้นผมจะผสมให้อ่อนลงอีกนิดนะครับ”

ชายหนุ่มบอกอย่างสุภาพ ดึงแก้วใบเก่ามาเติมผสมลงไปให้อีก ด้วยจรรยาบรรณในอาชีพ สาบานได้ว่าเขาเคยเจอคนลักษณะนี้มานักต่อนัก ดื่มให้หนัก ดื่มให้หลับ หลับให้ลืม ในเมื่อลูกค้าอยากจะเมาให้ลืมเขาเองก็มีหน้าที่ซัพพอร์ตความต้องการแบบนั้น แต่ทว่า กับลูกค้าที่เขาถูกชะตาด้วยในบางราย คำว่าศีลธรรมมันก็ค้ำคออยู่ เป็นนักชงเหล้าก็จริง แต่อยากให้ดื่มเพื่อผ่อนคลายมากกว่าดื่มเพื่อทำร้ายตัวเอง

“ตามใจนายเถอะ ชงมาให้เร็วหน่อยก็แล้วกัน”

เสียงแคปแหบพร่า ยิ่งดึกเขายิ่งเมา ลุกไปเข้าห้องน้ำสามสี่รอบแล้วกลับมานั่งที่เดิมก็ง่วงนอนขึ้นมา

“ขอผ้าเย็นที”

“ผมฉีกให้นะครับ” ผ้าเย็นถูกยื่นส่งให้ หน้าตาคนดื่มค่อยสดชื่นขึ้นนิดๆ แต่ทว่าหลังจากนั้นก็กลับฟุบหน้าลงที่เคาน์เตอร์อีก พนักงานเหลือบตามองอย่างชั่งใจ ถ้าหลับคือต้องให้ฝ่ายจัดการลูกค้ามาพาขึ้นไปนอน แต่ตอนนี้น่าจะยังไม่จำเป็นเพราะอีกฝ่ายกลับล้วงเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้ว

“กี่โมงแล้ววะเนี่ย ไอ้แบงค์แม่งเลิกงานแล้วหรือยัง..”  แคปพึมพำทั้งที่ฟุบหน้าหรี่ตาอยู่กับแสงของหน้าจอโทรศัพท์ ตีหนึ่งสิบนาทีแบงค์มันน่าจะเลิกงานแล้วนี่หว่า เขาไล่มือไปตามหมายเลขเลื่อนหาไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ หรี่ตาด้วยความเมามาย สุดท้ายไม่รู้ว่าตัวเองกดโทรออกไปที่ของไอ้ตัวใจร้ายได้อย่างไร....






Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr

Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr

เสียงโทรศัพท์มือถือแผดลั่นขึ้นพร้อมๆกับตัวเครื่องสั่นครืดๆ เรียกให้คนที่นอนนิ่งอยู่ใต้ผ้าห่มนวมสีขาวผืนใหญ่ขยับตัวสอดมือควานหาต้นตอของเสียง เอสพลิกตัวกลับมาทันทีที่มองเห็นว่าเป็นสายเรียกเข้าจากใครเบอร์นี้เป็นเบอร์ของแคปที่ได้มาจากปอ ทว่าเจ้าของเบอร์ไม่เคยใช้โทรหาเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว

“ฮัลโหล” เอสเสยผมขึ้น

(...................)

ทางนั้นกลับเงียบ

“ฮัลโหล”

เสียงทุ้มกรอกลงไปอีกครั้ง ทว่ายังไร้เสียงโต้ตอบกลับมาอีกเช่นเดิม เขานิ่งไปพักเพื่อรอ

โทรมาทำไม โทรแล้วไม่พูด

ในที่สุดเขาตัดสายวาง

ข่มตานอน บอกตัวเองไม่ให้สนใจ

กำลังจะผล็อยหลับ เสียงครืดคราดปนกับเสียงเรียกเข้าแผดลั่นขึ้นมาอีก เอสลืมตาจ้องที่หน้าจอในมือที่กำโทรศัพท์เอาไว้อยู่

Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr

Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr

เขาขยับตัวลุกขึ้นมาอิงหัวเตียงไว้ เสยผมที่ปรกหน้าขึ้นไปอีกรอบ

“ฮัลโหล”

(.........................)

เงียบ....เงียบอีกแล้ว โทรมาแล้วไม่พูดเอากับมันสิให้ตาย ตีหนึ่งกว่าแบบนี้ไม่หลับไม่นอนไปอยู่ที่ไหนกัน พอลองเงี่ยหูฟังเสียงจากปลายสายให้ดี ๆ ได้ยินแต่เสียงเพลงหวานซึ้งแว่วมาจากที่ไกล ๆ เสียงจอแจของคนคล้ายอยู่ในสถานที่อโคจรที่ไหนสักแห่ง เมื่อฟังให้แน่ชัดเอสถึงกับข่มกรามครางในลำคอ กดเสียงต่ำๆ เย็นเฉียบ

“มีธุระอะไร”

(........................)

“ไม่พูดใช่ไหม”

(.......................)

“รู้รึเปล่าว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว”

(......................)

“แคป”

(......................)

“ไม่พูดกูวาง”

(.....................)

-ติ๊ด-


ปัง!!

เสียงฝ่ามือตบลงที่เคาน์เตอร์ดังลั่นขึ้นมา คนเมาก็ยังเป็นคนเมา จะกดโทรหาไอ้แบงค์ให้มารับ นิ้วมือไม่รักดีไม่รู้เลื่อนไปจิ้มไอ้เบอร์คนใจร้ายได้ยังไง

บ้าเอ๊ย!!

บ้าชะมัด!!!

โทรครั้งที่สองก็เบอร์มันอีก

ใครว่ากูอยากโทรล่ะ ใครว่ากูสนมึงล่ะ ใครว่ากูคิดถึงมึงล่ะห๊ะ  เชิญเทคแคร์ผู้หญิงให้พอใจ เทคแคร์เหี้ยไรของมึงให้หมดทุกคนไปเลยนะ กูไม่สนโว๊ยยย! ไม่สนบอกเลย!! มึงอยากไปไงมาไงคุยกับใครเทคแคร์ใครเหมาะสมเหี้ยไรกับใครเรื่องของมึงเลย กูไม่สน!! กูไม่รักมึงแล้ว!!!กูไม่ง้อแล้ว!!!! กูไม่สนใจมึงแล้ว!!!!

กดโทรครั้งที่สามก็เสือกโทรหามันอีก

สัส...กูเซ็งตัวเอง

(เลิกเล่นได้แล้ว)

“...................”

(ไม่พูดอีกใช่ไหม กูวางคราวนี้ไม่รับอีกแล้วนะ)

-ติ๊ด-

เหี้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

รอกูพูดก่อนสิมึงค่อยวาง เล่นพูดจบแล้ววางเลยให้โอกาสกูพูดมั่งไรมั่งวุ๊ยยย คนยิ่งเมาสติสตังก็ไม่ครบ กว่ากูจะเรียบเรียงคำพูดได้บ้าชะมัดมึงตัดสายกูกี่ครั้งแล้วบ้าที่สุด จะตีสองแบบนี้แม่งคงหลับไปอีกแล้วแน่ ๆ  ทำไงดีวะ

ช่างแม่ง

โทรหาไอ้แบงค์เด็กเลวให้มารับเลยก็ดี

Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr  Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr

Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr  Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr

Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr  Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr

Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr  Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr


ทำไมคราวนี้นานจังวะ

แคปหัวเสีย

ตวัดสายตาใส่บาร์เทนเดอร์ที่ยืนขัดแก้วไม่รู้เรื่องรู้ราว



ขณะที่ฝั่งคฤหาสน์หรูของรัชชา เสียงโทรศัพท์มือถือแผดลั่นขึ้นเป็นรอบที่สี่ เอสเอามือดันบานประตูตู้เสื้อผ้าพับปิด เขาก้าวออกมาจากห้องแต่งตัวพลางติดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวนอก จวนจะตีสองแบบนี้ใครจะนึกว่าต้องมายืนแต่งตัวอยู่อีก  คว้าเอาโทรศัพท์มือถือที่สั่นครืดคราดอยู่บนเตียงขึ้นมากดรับด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบดุดัน “เลิกเล่นได้แล้วแคป”

(ไอ้เหี้ยแบงค์มารับกูหน่อย!)

คนรับสายกัดฟันกรอด พูดตอบด้วยน้ำเสียงโคตรเย็นที่ข่มความโกรธเอาไว้ “ดื่มอยู่ที่ไหนน่ะ ไอ้ขี้เมา” 

(ฮ่ะๆๆ เออกูเมามึงรู้ได้ไงเนี่ย  โรงแรมไรวะกูกะลืม อ้อ โรงแรมXXX ผับใต้ดินนะมึง เร็วเข้าเดี๋ยวเขาปิดก่อน งานดีเจมึงเสร็จเรียบร้อยแล้วดิ..)

โทรศัพท์ถูกโยนไว้ที่เตียงเจ้าของห้องคว้ายีนส์มาสวมเป็นชิ้นสุดท้ายก่อนหยิบทุกอย่างที่จำเป็นเดินลิ่ว ๆ ลงจากห้องมา

“คุณเอสจะออกไปหรือครับ” แมนหน้าตาตื่นพอรู้ว่าเจ้านายจะใช้รถ ตีหนึ่งกว่า ๆ มีโทรศัพท์เรียกตัวเขาบอกให้เตรียมรถไว้เมื่อสักครู่ แมนตั้งตัวเกือบไม่ทัน ยิ่งพอเห็นคนสั่งเดินหน้าตาหงุดหงิดออกมาเขายิ่งต้องรีบบริการทุกอย่างโดยด่วน

“มึงขึ้นไปเอาคูเปอร์ลงมานอนกับมึงด้วย”

“คะ...คูเปอร์!?” คนถูกสั่งทวนคำถามหน้าตาตื่นๆ

“มีปัญหาอะไร”

“ปะ...เปล่าครับ” คูเปอร์มันเคยนอนที่ชั้นล่างกับเขาด้วยเหรอวะ ยิ่งเรือนด้านหลังด้วยอีก

“หลีกทาง จะยืนขวางรถกูอีกนานไหม” เอสกดกระจกชะโงกออกมาด่า แมนสะดุ้งรีบหลบ รถสปอร์ตเปิดประทุนสีบรอนเงินเลี้ยวขวับหายวับออกไปแทบไม่เห็นฝุ่นจากไฟท้าย แมนยกมือขึ้นเกาหัว พยายามทวนคำสั่งที่ได้ยินมา พอคิดว่าตัวเองอาจจะฟังบางอย่างผิดพลาด คุณแม่บ้านก็จูงเจ้าคูเปอร์ออกมายืนยันด้วยตัวเอง

“นอนกับพี่แมนนะครับคูเปอร์คนเก่ง”

“โฮ่ง!” เจ้าหมาเห่ารับคำ มันทำหน้างอแงนิดหน่อยอาจเพราะง่วงนอนแล้วถูกปลุกกลางดึก อย่างไรก็ดีคูเปอร์ยอมให้แมนรับเชือกจูงจากคุณแม่บ้าน มันเดินมายืนข้าง ๆ นายแมน

“เจ้านายจะพาใครมาเหรอครับป้า” เพราะถึงขนาดให้คูเปอร์ลงมาอยู่ข้างล่าง คงต้องพาใครสักคนมาค้างที่ห้องแน่ ๆ ยังไม่เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้แม้แต่ครั้งเดียวนะ เท่าที่แมนนึกได้

“ไม่รู้สิ แต่บอกไว้ว่าจะพาเพื่อนมาค้าง นี่คงออกไปรับ”

“ต้องเป็นคนสำคัญแน่ ๆเลย” ไม่งั้นเจ้าคูเปอร์ไม่ระเห็จลงมาแบบนี้

ใครวะ..สำคัญกว่าคูเปอร์สุดรักสุดสวาทของนาย

.

.

ปัง!

แคปเตะประตูห้องน้ำไปหนึ่งที จากนั้นก็ถอนหายใจออกมาหนักหน่วง วันนี้เขาตบโต๊ะเตะข้าวของไปกี่ครั้งแล้วนึกไม่ออก รู้ตัวว่าตัวเอาเมาแบบมากๆขนาดเดินยังเซ ถ้าหากคนที่โทรหาไม่ยอมมารับให้ทันเวลาที่นี่ปิดทำการรับรองได้ว่าเขาได้เปิดห้องด้านบนนอนแบบจริงแท้แน่ๆร้อยเปอร์เซ็นต์

แคปเดินเซๆหลบหลีกโต๊ะต่าง ๆ มาจนถึงที่นั่งหน้าเคาน์เตอร์ของตัวเอง เขาฟุบหน้าลงแนบกับพื้นบาร์เย็น ๆ แก้วเหล้าที่ดื่มจนหมดวางอยู่ข้าง ๆ แต่แคปไม่มีแก่ใจจะกินต่ออีกแล้ว

ง่วงนอนความรู้สึกเดียวในตอนนี้ของเขา หากแต่บาร์เทนเดอร์กลับส่งค็อกเทลสีอ่อนเลื่อนมาให้ แคปเงยหน้ามองเพราะเขาไม่ได้สั่ง บาร์เทนเดอร์หนุ่มยิ้มให้อย่างสุภาพ

“แก้วนี้ผมเลี้ยงคุณครับ สมนาคุณจากบาร์เรา”

“ทำไมถึงใจดี” ว่าจบคว้ามายกดื่มรวดเดียวจบ

ลื่นคอกว่าเหล้าขมๆเยอะ แต่แบบนี้ไม่มันส์ ขืนดื่มแบบนี้ตั้งแต่ต้นคงไม่เมา ไม่เมาก็ไม่กล้า ไม่กล้าก็คงไม่ได้โทร และถ้าไม่ได้โทรก็คงไม่มีโอกาส หึหึ แม้จะเป็นโอกาสที่ได้มาด้วยวิธีการผิดๆแกมโกงไปหน่อยแต่การที่มีเหล้าอยู่ในปากแล้วกลั้นใจพูดชื่อไอ้เด็กแบงค์ออกไปเพื่อให้คนฟังปลายสายรีบเหยียบรถมารับ นั่นก็คงพอจะลดหย่อนความผิดบาปในใจ อยากจะพิสูจน์ อยากจะรู้ว่ายังแคร์กันอยู่ไหม อยากจะอะไรหลายๆอย่างวู๊วว เมาจนคิดอะไรไม่ออก ปวดหัวฉิบหาย

“เดี๋ยวร้านจะปิดแล้วนะครับ ผมคิดว่าคุณคงขับรถกลับไม่ไหว ถ้าไงก็เปิดห้องพักที่ชั้นบนเถอะครับ สะดวกและปลอดภัย ไว้ใจทางโรงแรมได้ครับ”

บริกรที่นี่ก็ดี๊ดี แคปเงยหน้าขึ้นมองตายืดตาเยิ้ม กำลังจะอ้าปากบอกเหตุผลที่ยังนั่งฟุบอยู่ตรงนี้หากแต่เสียงทุ้มต่ำน่ากลัวดังขึ้นเหนือศีรษะ แคปรีบเงยหน้าขึ้นดู

“เขาสั่งเช็คบิลหรือยัง”

“เรียบร้อยแล้วครับนาย”

“งั้นกูจะพากลับเลย”

“ผมไม่รู้ว่าเป็นเพื่อนของนาย เดี๋ยวผมพยุงช่วยครับ”

“ถอยออกไป”

น้ำเสียงเย็นเฉียบเด็ดขาดที่แคปจับใจความได้มาจากไอ้คนใจร้ายที่กำลังหิ้วปีกเขาพาดลำคอมันไว้อยู่ หึหึ แผนแคปสำเร็จหากแต่เขาเมามายจนแทบจะเดินไม่ไหว อะไรๆช่างไม่ได้ดั่งใจเซไปซวนมา พอหันไปสบตาคนที่กำลังพาตัวเองเดินก็เจอมันจ้องจดเหมือนจะฉีกเนื้อกินแคปรีบหันหน้าหนีทันที น้ำเสียงเหยียดต่ำครางกระหึ่มอยู่ในคอของอีกฝ่าย เขาไม่อยากจะสนหรอก รู้ตัวอีกทีก็ถูกจับยัดเข้าในรถเก๋งคันงามของมันนั่นแหละแคปถึงค่อยเอนตัวลงที่เบาะแล้วหลับตาลงแบบดี ๆ

ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกปลอดภัยทุกครั้งที่ได้นั่งอยู่ที่ตรงนี้ข้าง ๆ กัน วันเวลาที่เคยเงียบเหงาทรมาน บัดนี้เป็นเพียงอดีตที่ห่างไกลแล้ว

กระบอกตาร้อนผ่าวเมื่อเหลือบมองเสี้ยวใบหน้าคมคายของคนขับ เขากำลังนึกย้อนไปถึงช่วงระยะเวลาหนึ่งในอดีต...ช่วงที่เคยรักกัน

ช่วงที่มันยังรักเขาอยู่

----เจ็บ----


“ไอ้ขี้เมา จะเมาไปถึงไหน”

ตุ่บ!

ร่างสูงโปร่งถูกโยนลงที่เตียงใหญ่ ตะลึงตั้งแต่รถจอดจนถูกมันลากลงมาจากนั้นหิ้วคอขึ้นบันได  ไปไงมาไงถึงมาจบลงที่เตียงไม่รู้

“เบามือหน่อยสิวะไอ้เหี้ย กูเจ็บเป็นนะสัส” ลืมตัวว่าต้องพูดจาอ่อนหวาน อารามเมาโพล่งคำหยาบที่คุ้นเคยออกมา แคปทำหน้าไม่ถูกพอนึกได้ว่าลืมตัวไป “มึงพากูเข้าบ้านมึงอ่อ อนุญาตให้นอนที่นี่ได้??”

แคปขยี้ตา มองเห็นคนที่พามายืนปลดกระดุมอยู่ที่ปลายเตียง ร่างสูงใหญ่ถอดเสื้อออกจากนั้นตามด้วยกระดุมกางเกงยีนส์เปิดอ้าค้างไว้ก่อนจะเข้ามาฉุดตัวเขาให้ลุกขึ้นแล้วปลดกระดุมเสื้อนอกออกหมดเช่นกัน

“นี่มึง?” แคปเสียงยานคาง เอสก็แค่มองแต่ไม่ได้โต้ตอบ เขากระชากเสื้อแคปออกให้เหลือแค่ท่อนบนที่เปลือยเปล่า ก่อนจะผลักให้นอนลงแล้วเดินหายเข้าไปหยิบผ้าชุบน้ำออกมา

“กูไม่อยากเช็ดให้มึงเลยให้ตาย”

ถึงจะพูดจาโหดร้ายแบบนั้น น้ำเสียงแข็งกระด้างขนาดนั้น แต่ไม่รู้ทำไมการกระทำถึงได้อ่อนโยนนัก ทุกๆสัมผัสที่ผ้าเปียกชื้นลากผ่านไปถึง มันอ่อนโยนวาบหวามราวกับกลัวว่าผิวบอบบางของแคปจะสัมผัสถึงความเจ็บ

มันคงไม่เคยเช็ดตัวให้ใคร แคปสรุปเอาได้แบบนี้

“พอแล้ว กูหนาว”

เอสหยุดมือก่อนโยนผ้าไว้ที่โต๊ะหัวเตียง ดวงตาคมกริบมองหน้าคนขี้เมานิ่ง แคปผู้ซึ่งรู้ว่ากำลังถูกจ้องค่อยช่อนสายตาขึ้นดู

อะไรวะ อย่ามองกูต่อว่าแบบนั้นสิ ผู้ชายที่ไหนเขาก็เมาได้กันทั้งนั้นอ่ะ ทำอย่างกับตัวเองไม่เคยเมา

“จะไปไหน” แคปร้องถามขึ้นทันทีที่อีกฝ่ายจู่ ๆ ลุกขึ้นคว้าหมอนหนึ่งใบจะเดินออกไป เอสชะงัก

“มึงนอนอยู่นี่แหละ กูจะไปนอนห้องอื่น”

“ทำไม”

“ไม่ทำไมทั้งนั้น”

“กูถามว่าทำไม!” แคปกระชากเสียงใส่ ไม่เพียงเท่านั้น เขาลุกขึ้นวิ่งเข้าหาแล้วดึงแขนมันอย่างแรงเหวี่ยงไอ้คนที่ไม่ทันได้ตั้งตัวให้ล้มลงมาบนเตียงนอนพร้อมกัน แคปพลิกตัวขึ้นคร่อมกักมันไว้ใต้ร่างเขาในทันที

สองคนจ้องหน้ากันแน่นิ่ง

“ไม่ให้ไป” ถ้อยคำเอาแต่ใจที่เอ่ยออกแทบไม่ได้ยินเสียง ทว่าแคปก็มั่นใจว่าคนข้างล่างจะอ่านริมฝากเขาได้ ดวงตาที่เต็มไปด้วยถ้อยคำมากมาย หัวใจที่สื่อความหมายเรียงร้อยเป็นข้อความหากแต่ไม่รู้จะส่งสารอย่างไรนอกเสียจากถ่ายทอดออกมาผ่านดวงตาสองคู่ที่ตรึงกันและกันไว้ ณ ตอนนี้

ช่องว่างห้าปีต้องถมสักเท่าไหร่จึงจะเต็ม  แคปคว้าเอามือฝ่ามือใหญ่ของคนใต้ร่างขึ้นมาแนบเข้ากับหัวใจของตัวเขาเองแล้วเอ่ยเสียงทุ้มพร่า

“มันเต้นดังไหมมึงว่า..”

“.................” เอสนอนนิ่ง แคปจึงแนบมือมันให้แน่นยิ่งขึ้นอีก

“รู้ไหมว่าทำไมมันถึงเต้นแรงได้ขนาดนี้”

“..................”

“เพราะว่ามันตื่นเต้น ตื่นเต้นที่ได้ใกล้ชิดกับมึง”  อย่าใจร้ายกับกูนักเลย.....กูเสียใจ

“................”

“อย่าเย็นชา”

“...............”

“อย่าใจร้าย”

“...............”

“อย่าเล่นตัว” 

“..............”

“อย่าทรมานหัวใจกู”

.

.

.

.

.

.

.

.

“ก้มลงมา”

“??!!??”

“ก้มลงมาหากู”

“??!!??”

“ก้มอีก”

ราวกับเข็มนาฬิกาหยุดนิ่ง แคปที่กำลังอึ้งกับเสียงสั่งพร่าทุ้ม ทว่าร่างกายกลับค่อย ๆ โน้มต่ำลงไปราวถูกดึงดูด เลื่อนต่ำลงจนใบหูเกือบแนบชิดกับริมฝีปากคมที่ขยับเอื้อนเอ่ยถ้อยคำกระซิบ ที่ทำให้หัวใจดวงเล็กของหนุ่มชาวสวนจมดิ่งลงไปในห้วงเหวดำมืดที่ยากเกินจะปีนป่ายขึ้นมาถึงปากทางได้อีกต่อไปแล้ว...


“จะเจ็ดสิบหรือยี่สิบ ก็รักมึงเหมือนเดิม.....ไม่เปลี่ยนแปลง”

 

 



...So baby now

Take me into your loving arms

Kiss me under the light of a thousand stars

Place your head on my beating heart

I’m thinking out loud

That maybe we found love right where we are...

 

(Cr. Thinking Out Loud/Ed Sheeran)







Tbc.