[30]
ปลายฝนต้นหนาว...
อากาศเย็นสบายได้ย่างกรายเข้ามาแล้ว
คนบนเตียงยังติดอยู่ในความฝันคิดว่าตัวเองกำลังสูดเอากลิ่นชื้นแฉะของดินหอม ๆ ที่ลอยเข้ามาแตะถึงปลายจมูก
เขามุดหัวออกมาจากผ้าห่มนวมผืนโต ยืดแขนยืดขาบิดขี้เกียจรับอรุณหากแต่รับรู้ได้ถึงความผิดปกติบางอย่างรอบตัว
จากกลิ่นที่คิดว่าเป็นกลิ่นดิน มากลายเป็นว่าเขากำลังสูดเอากลิ่นหอมอโรมาอ่อน ๆ
จากห้องแอร์เย็นเฉียบภายในคอนโดสูงใหญ่ย่านใจกลางเมืองกรุง
ห้องพักหรูหราที่ให้ความรู้สึกเสมือนเซฟเฮาส์ของหน่วยปฏิบัติการพิเศษคดีลับกรมตำรวจ....ห้องของอาฟี่
แคปลุกพรวดขึ้นหลังจากลืมตาตื่นแล้วกลอกลูกกะตาทวนความจำอยู่สักพัก
พอจดจำเรื่องราวได้ว่าเพราะเหตุใดตัวเขาถึงได้มาซุกหัวนอนอยู่ที่นี่เขาถึงกับสะดุ้ง
“ตายห่า
กี่โมงแล้ววะ!”
แคปสบถพลางควานหาโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดยิกๆเช็คเวลาและเช็คอะไรต่อมิอะไร
พอลุกออกจากเตียงใหญ่เดินไปแง้มม่านหน้าต่างดู ถึงกับผงะไปนิดเนื่องจากความสูงที่เกินบรรยาย
ไม่ไหว ๆ เพ่งมากๆแล้วปวดตาปวดหัว เขารีบปรี่ออกไปที่ด้านนอก กวาดตามองทุกสิ่งรอบตัวให้ชัดๆอีกสัก
เนื่องจากเมื่อคืนกลับมาถึงก็รีบมุ่งเข้าสู่ห้องเล็กในทันที ยังไม่มีเวลาดูทุกอย่างให้แน่ชัด
นี่จึงถือเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่แคปมีโอกาสได้เข้ามาเห็นห้องพักของอาฟี่
สถานที่ๆเฮียโก้บอกว่ามันมีอยู่จริง หากแต่ไม่สามารถบอกใครๆได้ว่าตั้งอยู่ที่แห่งไหนและห้องอะไร
ทุกอย่างในห้องยังคงอยู่ใสความเงียบและมืด มีแสงรำไรจากม่านหน้าต่างผืนหนาที่รูดปิด
คือจะบอกว่าเงียบกริบก็คงไม่ได้เพราะว่าเสียงเครื่องปรับอากาศที่ดังหงี่ร่วมอยู่เบา
ๆ รู้แค่ว่ามันเงียบในแบบที่ว่าน่าจะมีใครสักคนอาศัยอยู่ด้วยกัน
และใครคนนั้นก็น่าจะเป็นเจ้าของห้องๆนี้
แคปมองไปที่ประตูห้องนอนใหญ่ที่อยู่อีกฟากหนึ่งของห้องนอนเล็กที่เขาเพิ่งเดินออกมา
เวลายังพอมีแต่ก็ถือว่าน้อยนิด มีเรื่องบางอย่างที่เขาต้องทำ
แคปจึงรีบย่องเข้าไปแนบใบหูเข้ากับบานประตูเย็นเฉียบ
“อาฟี่นอนอยู่จริงๆด้วย
กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ” เขาพูดบ่นอยู่คนเดียวด้วยเสียงที่เบาหวิวราวกับกลัวว่าคนในห้องจะได้ยิน
หลังจากนิ่วหน้าคิดอย่างชั่งใจว่าจะเปิดเข้าไปดีหรือไม่
เพราะว่ามันมีเหตุให้ต้องเข้าไปที่ห้องๆนี้เพื่อนำของบางอย่างออกมา
“เอาวะ
เสี่ยงเป็นเสี่ยงล่ะกู”
จบคำพูดให้กำลังใจตัวเองแคปจับก้านลูกบิดประตูกดลงให้เบาที่สุด
เงียบที่สุด หลับตาปี๋ด้วยความลุ้นเพราะกลัวว่ามันจะมีเสียงกริ๊กดังเล็ดลอดออกมา
ถึงตอนนั้นถ้าโดนคุณอาสุดโหดของเขาจับได้ว่าย่องเข้ามาตอนคุณชายท่านหลับอยู่เขาคงถึงคาดตายคาเตียงแน่
ๆ ก็รู้กันอยู่อาฟี่เกลียดคนไร้มารยาทที่ชอบรบกวนเวลานอนอันแสนมีค่าเสมอ
เมื่อคืนหลังจากแคปกลับมาจากตึกรัชชานั่น
เจ้าปอพาไปนั่งกินข้าวแล้วดื่มกันเล็กๆน้อยๆ
เขาเค้นคอวางแผนอะไรบางอย่างสำหรับเช้าวันนี้จนมันต้องยอมรับ
หลังจากนั้นว่าจะแยกไปหาโรงแรมพักแต่เฮียโก้ดันโทรเข้ามาแล้วบอกให้เขาเข้าไปพักที่ห้องของอาฟี่แทน
ทางนั้นโทรคุยกันอย่างไรไม่มีใครรู้
รู้แค่ว่าในตอนที่เข้าไปรอว่าจะขอขึ้นไปที่ห้องนี้ได้ ทางผู้ดูแลโทรเข้าหาคุณอาเขาไม่รู้กี่สิบครั้งหากแต่คนที่รับสายกลับไม่ใช่อาฟี่เลยสักครั้ง
แคปนั่งรอไปจนสักพักจนมีตำรวจชั้นสัญญาบัตรนายหนึ่งผลักประตูกระจกเดินเข้ามาแล้วบอกอะไรบางอย่างกับทางผู้ดูแล
ในตอนนั้นเขาถึงได้รับอนุญาตให้ขึ้นมาได้
ช่างเป็นห้องที่เข้าถึงได้ยากสมกับเจ้าของห้องจริง
ๆ
“นอนอยู่จริงๆด้วยว่ะ”
แคปเข้ามาด้านในได้แล้ว
บนเตียงใหญ่
มีกองผ้านวมสีขาวฟูๆคลุมร่างกายใครบางคนที่นอนคว่ำหน้ามุดซุกอยู่ในนั้น ที่ผนังห้องสีขาวสะอาดตาติดตั้งกรอบรูปถ่ายขนาดใหญ่ของอาฟี่ในชุดฝึกของทหารถูกติดตั้งคู่กันกับรูปถ่ายของคนๆเดียวกันหากแต่ภาพนี้ให้กลิ่นอายของนายแบบนิตยสารเพราะอาฟี่เปลือยท่อนบนในกางเกงยีนส์สีสนิมแอคท่าดูดบุหรี่แบบเท่
ๆ เนื้อตัวเปื้อนไปด้วยดินและหยาดเหงื่อที่ปอยผม น่าจะเป็นลูกน้องหรือใครสักคนที่แอบถ่ายเอาไว้
แคปมองแล้วถึงกับตาโต
อดคิดในใจไม่ได้ว่ารูปนี้คงไม่ใช่เฮียโก้หรอกนะเพราะว่าแรงดึงดูดที่ออกมาจากรูปดูมีเสน่ห์เย้ายวนแม้แต่เพศเดียวกันยังต้องหันมอง
กว่าเขาจะละสายตาออกมาได้แคปต้องเพ่งแล้วเพ่งอีกอยู่สักพักไม่แน่ใจว่ารูปนั้นเป็นรูปอาฟี่หรือเฮียโก้ตอนถอดแว่นกันแน่
เพ่งจนกระทั่งเห็นไฝเม็ดเล็กๆที่ขอบกางเกงในโผล่แพลมออกมานั่นแหละ
เขาจึงจำได้ทันทีว่านั่นคืออาฟี่ตัวจริง
เอ๊ะแต่ก็ไม่แน่หรอกบางทีเรื่องนี้เขาเองยังสับสนอยู่ว่าใครกันแน่นที่มีไฝตรงขอบเอวนั่น
อย่างไรก็ตามแคปบอกตัวเองว่าให้หยุดคิดเรื่องไร้สาระ เขารอช้าไม่ได้แล้วแล้วขืนรอให้เจ้าของห้องรู้ตัวก่อนอะไรๆที่ตระเตรียมไว้คงไม่ได้ทำ
ถึงไม่มีเสียงกรน
เสียงหายใจหนักๆจากคนหลับเล็ดลอดออกมาแต่ทว่าเขาก็มั่นใจว่าคุณอาหลับสนิทแน่นอน
มีอย่างที่ไหนเข้ามายืนจ้องขนาดนี้ยังไม่รู้ตัวไม่มีตื่นไม่รู้เป็นทหารตำรวจได้ยังไง
หรืออาจเพราะเพิ่งจะกลับเอาเกือบสว่างแล้ว เพราะอย่างนั้น หึหึ
อาฟี่ไม่มีทางรู้เรื่องว่าเขาแอบเข้ามาเอาอะไรๆในนี้แน่ๆ
แคปมุ่งไปที่เป้าหมายทันที....นั่นคือตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่
มันเป็นตู้บานเลื่อน เพราะงั้นเขาจึงดันแล้วค่อย ๆ เลื่อนช้า ๆ
เพื่อให้เสียงเงียบเชียบมากที่สุด แคปกวาดสายตาในที่มืดๆอย่างเร็ว จุดหมายคือ..
สูทดีๆสักชุด
อย่ามานึกสงสัยว่าเหตุใดไม่เอาของไอ้ปอเพื่อนรักตัวดี
ก็เพราะว่าเมากันไปแล้ว ตกลงกันว่าวันนี้เขาจะต้องใส่สูทแล้วเพื่อนตัวดีอย่างมันก็ไม่นึกเสนอขึ้นมาว่าของตัวมันก็มี
เพราะงั้นเขาที่จวนจะนอนหลับฝันดีเพราะว่าได้คุยสายกับใครบางคนแล้วถึงกับเพิ่งนึกได้
จะเป็นคนขับรถให้คุณชายกลางของรัชชา...แน่นอนว่ามันจะต้องใช้สูทดี
ๆสักชุดและที่ๆจะหาได้ก็มีแต่ตู้เสื้อผ้าของอาฟี่นั่นแหละ
ของฟรีที่หรูหราแต่ว่าต้อง...เสี่ยง!!
และแน่นอนว่าตอนนี้แคปได้สิ่งที่ต้องการมาอยู่ในมือแล้วเรียบร้อย
ทั้งกางเกงทั้งเสื้อตัวในเสื้อตัวนอก
มีเนคไทสีอะไรสักอย่างจากลิ้นชักที่หยิบขึ้นมาแบบมั่ว ๆ
ถ้าหากว่ามันไม่เข้ากันกับสีเสื้อตัวในนั่นก็ช่วยไม่ได้ไปละกัน
แคปยิ้มเผล่
วางมือลงที่บานประตูตู้เพื่อที่จะเลื่อนกลับคืน
หากแต่เสียงทุ้มน่ากลัวจากด้านหลังดังขึ้นมาก่อน ทำเอาเขาสะดุ้งโหยง หายใจติดๆขัดๆ
ยืนนิ่งเป็นปูนปั้น
“มึงกำลังทำอะไร”
ตายๆๆๆๆ
หลักฐานทุกอย่างอยู่ในมือเขานี่เอง
ทั้งหมดในมือคู่นี้ฟ้องสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ทุกอย่าง แคปค่อยหันไปมองคนบนเตียงช้า
ๆ อาฟี่ที่ขอบตาคล้ำสุดยันตัวลุกขึ้นมาจ้องหน้าเขาแล้วถามนิ่ง ๆ
เชิ้ตสีแดงราคาแพงอาบด้วยกลิ่นน้ำหอมยับยู่ยี่แถมกระดุมยังหลุดลุ่ยเผยให้เห็นแต่กล้ามเนื้อสวยสุขภาพดีขาวอมชมพูสีเดียวกันกับเฮียโก้เปี๊ยบ
แคปมองแค่ครั้งเดียวเกิดความคิดขึ้นเลยว่าเมื่อคืนอาฟี่ไปทำงานอะไรมาวะ??
“กูถามว่ามึงเข้ามาทำอะไร”
คำถามครั้งที่สองทำไมแลฟังดูน่ากลัวกว่าครั้งแรกอีกวะ
แคปหน้าซีดเหลืองเข้าไปใหญ่ อ้าปากยืนถือหลักฐานโชว์ความผิดพลาดของตัวเอง
สบตากับคนที่พลิกตัวขึ้นมานั่งก่อนเสยผมยุ่ง ๆ นั่นให้เข้าที่
หน้าตาบึ้งตึงอยู่บนเตียงกว้าง
ฟี่สะบัดผ้าห่มที่คลุมท่อนล่างของเขาออกแล้วทำท่าจะลุกขึ้นมาเอาเรื่อง
แคปรีบปรี่เข้าไปนั่งลงบนเตียงแล้วเทหลักฐานทั้งหมดให้คุณอาเขาดู
ไม่มีคำว่าปิดบังได้อีกต่อไป หลานชายคนเก่งพูดด้วยน้ำเสียงสำนึกผิด
แผ่วเบาราวยุงตัวน้อย ๆ กำลังจะโดดตบ
“จะมาขอยืม”
“แล้วขอหรือยัง”
“ผมเห็นอาฟี่นอนเลยไม่อยากรบกวน
“แล้วแบบนี้เรียกว่ากวนไหม”
“กวนครับ”แคปเสียงอ่อนยอมจำนน
“แล้วมึงจะออกไปได้หรือยัง”
“แต่ผม..”
คนถูกไล่ กวาดตามองชุดที่กองลงอย่างแสนเสียดาย
“กูตัวใหญ่กว่ามึงตั้งเยอะคิดว่าจะใส่ได้หรือไง”
“ใส่ได้สิครับ
แค่ให้ผมยืม คือว่ามีธุระต้องใช้อ่ะ”
“............”
“อาฟี่คร้าบ
คาปูจะชงโกโก้ร้อนๆวางไว้ให้ อาฟี่ออกไปเมื่อไหร่ได้กินเมื่อนั้นเลย..”
แคปลากเสียงทำตัวเป็นเด็กแปดขวบ จำได้ว่าช่วงนั้นอาฟี่ใจดีกับเขาที่สุดแล้วและแน่นอนที่สุดคุณอาเขาโนกาแฟนะฮะ
ดื่มอยู่แค่อย่างเดียวคือโกโก้
แคปทำตาละห้อยจนฟี่ต้องถอนหายใจหนักๆอย่างเบื่อหน่ายก่อนส่ายหัวแล้วตามมาด้วยขยี้ๆจนหัวทุยๆของเขายุ่งเหยิงไปหมด
“ไปเอาที่ตู้ฝั่งโน้นโน่น
มีชุดของโก้แขวนอยู่สองสามชุดมึงไปเลือกเอาที่ตรงนั้นเลย”
“จริงเหรอครับอาฟี่ขอบคุณมาก”
แคปรีบลุกขึ้นรวบเก็บชุดที่กองอยู่บนเตียงอย่างเร็ว
ก่อนเอาเข้าไปแขวนๆยัดๆไว้ที่เก่าจากนั้นเลื่อนตู้อีกฝั่งออกแล้วคว้าชุดที่อยู่ริมสุดออกมาโดยไม่ได้เลือกสีอะไรเลย
รสนิยมของเฮียโก้เรียบร้อยอยู่แล้วมั่นใจได้ ส่วนเนคไทไม่จำเป็นต้องใส่หรอก
ขอแค่ได้ชุดที่เข้ากับขนาดตัวของตัวเองเขาก็พออกพอใจ
“อาฟี่ทำไม....”
“เสร็จแล้วก็ออกไป
ปิดประตูให้กูด้วย”
แคปกำลังจะอ้าปากถามว่าทำไมและเหตุใดจึงมีชุดของเฮียโก้อยู่ในตู้เสื้อผ้าของห้องๆนี้
แต่ทว่ายังไม่ทันได้ถามหรอก
เพราะคุณอาของเขาไล่แบบโคตรจะรำคาญจากนั้นมุดตัวซุกลงในผ้าห่มผืนหนาเหมือนเดิม
“อะไรกัน
อาฟี่อายุสี่สิบจริงๆหรือวะ ไม่ใช่ว่ายี่สิบห้ายี่สิบหกเรอะ”
แคปมุ่นคิ้วสบถอย่างไม่เข้าใจพลางเดินออกมาที่ห้องนอนเล็กของตัวเอง
แล้วรีบเร่งจัดการทำธุระส่วนตัวทุกอย่างให้เสร็จก่อนที่จะมายืนอยู่หน้ากระจกตรวจเช็คความหล่อด้วยชุดสูทสีเข้มตัวนอกกับเสื้อเชิ้ตสีเทามันเงาตัวใน
ไม่มีอุปกรณ์เซ็ทผมใดๆทั้งสิ้นเขาไม่เสี่ยงเข้าไปหยิบออกมาจากห้องอาฟี่เด็ดขาด
“แบบนี้หล่อเหมือนกันล่ะวะ
แต่เอวคับไปหน่อยแฮะต้องแขม่ว”
ก็แหงล่ะสิเขาอ้วนขึ้นราวๆสามโลได้
ปกติรูปร่างส่วนสูงพอกันกับเฮียโก้แต่เดี๋ยวนี้เอวกับพุงแซงคุณพ่อรูปหล่อมาดแว่นของเขาไปเสียแล้ว
แคปยักคิ้วพออกพอใจก่อนคว้าเอาโทรศัพท์กระเป๋าตังค์กับพวงกุญแจแล้วเดินออกจากห้องไป
“ช้าฉิบหายเลย!!!!!!!”
นี่คือคำพูดแรกของเจ้าปอหลังจากที่เห็นแคปก้าวลงมาจากรถแท็กซี่แล้ววิ่งหน้าตั้งเข้ามาที่ลานจอดรถคอนโดเก่าของตัวมันเอง
แคปหอบแฮกๆทำหน้าตาสำนึกผิดหน่อยๆ
“อย่าเพิ่งด่ากูไอ้หมาปอ
มึงรีบขึ้นไปหยิบรองเท้าหนังมาสักคู่ซิ รองเท้าของมึงน่ะคู่ไหนก็ได้เร็ว!”
ปอกวาดตาสำรวจชุดที่แคปใส่มาด้วยความรวดเร็ว
โอเคล่ะว่ามันผ่านหากแต่มองลงไปที่เท้าถึงได้เห็นว่าแคปมันท่าจะบ้าใส่รองเท้าผ้าใบกับสูทหรูหราแบบนี้มาได้ยังไงกันเขาถึงค่อยเข้าใจความหมายของมัน
“ทำไมมึงถึง...”
“อย่าถามมากน่า
รองเท้าอาฟี่คู่ใหญ่อย่างกับรองเท้ายักษ์ใครจะไปใส่ได้วะ
เอาของมึงนี่แหละกูคิดมาดีแล้ว” ปอพยักหน้าหงึกๆราวกับต้องมนต์
เขาบอกให้แคปรอหลังจากนั้นไม่ถึงสิบนาทีก็ลงมาพร้อมกับหิ้วรองเท้าหนังมันปลาบมาส่งให้
“พอดีเลยให้ตาย”
แคปถอดคู่เก่าออกแล้วสวมคู่ใหม่อย่างเร็วก่อนจะบอกให้ปอเปิดท้ายรถแล้วหยิบเอารองเท้าผ้าใบเข้าไปวางเก็บไว้ด้านใน
“แบบนี้มึงว่าโอเคไหม”
“ก็โอแหละ
แต่กูไม่เข้าใจว่ะ” ปอเบ้หน้าสงสัย
“ทำไม
ไม่เข้าใจอะไร” แคปดูเวลาชี้บอกให้ปอไปขึ้นรถ เขาจะขับเอง
พอรถออกตัวก็เกิดคำถามทำลายความเงียบของยามเช้าขึ้นมา
“ทำไมมึงไม่มาเอาชุดกูเลยวะ
ไหนๆก็จะเอารองเท้ากูแล้ว ทำไมถึงจะต้องยุ่งยากไปเอาชุดอาฟี่มาใส่แบบนี้”
ดูเหมือนปอยังทำท่านึกต่ออีกนิด เขามองชุดที่แคปใส่ ความยาวแขนเสื้อ ความยาวปลายขา
คือมันทำไมพอดีทั้งที่อาฟี่ตัวสูงใหญ่กว่าแคปมันตั้งเป็นสิบเซ็นต์แบบนั้น
“นี่ใช่ชุดอาฟี่แน่เหรอวะ
ไหงมันเล็กจนมึงใส่ได้พอดีอ่ะ”
“นี่ชุดเฮียโก้เว้ย
มีอยู่ในห้องว่ะ” แคปหมายถึงที่ตู้ผ้าอาฟี่มีเสื้อผ้าของเฮียโก้ด้วย
“กูก็ว่าอยู่...”
ปอลูบคางพลางพยักหน้าหงึกๆคลายความสงสัย สักพักมองแคปแล้วก็นึกสงสัยขึ้นมาอีก
“แล้วนี่ถ้าหากว่าไม่มีชุดเฮียโก้อยู่ในนั้นมึงจะไม่ต้องใส่กางเกงลากขา
ใส่เสื้อแขนยาว ๆ คลุมมือมาเลยหรือไงห๊ะ”
“มึงอย่าเป็นเจ้าหนูจำไมเจ้าสงสัยไปหน่อยเลย
มันไม่น่ารักสักนิดหรอกไอ้หมาปอ
กูจะเป็นยังไงก็ช่างกูเหอะตอนนี้ใกล้จะถึงที่ทำงานมึงแล้วลองตรวจสอบดูกูก่อนซิ
กูแต่งตัวแบบนี้มันโอเคแล้วใช่ไหม ดูเหมือนจะเป็นคนขับรถที่ดีของเจ้านายมึงขึ้นมาได้หรือยัง”
“แต่งตัวน่ะดีแล้ว
เสื้อผ้าราคาแพงเกินมาตรฐานของพนักงานขับรถเช่นกูด้วยซ้ำ มึงไม่ต้องกลุ้มใจไปหรอก”
“อ่ะจริงดิ
งั้นก็ค่อยยังชั่วหน่อย”
รถยุโรปหรูหราใช้เวลาโลดแล่นบนท้องถนนเพียงไม่นานก็เลี้ยวเข้าที่ชั้นใต้ดินซึ่งเป็นชั้นจอดรถของผู้บริหารระดับบนสุดของรัชชา
แคปขับไปจอดลงที่ล็อคจอดตามที่ปอชี้บอก
“มึงต้องจำไว้นะห้ามทำเสียเรื่องเด็ดขาด
มีหน้าที่ขับรถแค่อย่างเดียว”
“เออน่า” กูรู้หรอก มึงอย่ามาทำหน้ากลุ้มแบบนั้นสิวะ
กูก็รู้สึกผิดเหมือนกันนะที่บังคับมึงแบบนี้
“งั้นนั่งรออยู่นี่เดี๋ยวเจ้านายกูจะเดินลงมาแล้ว
ระหว่างทางถ้าเขาไม่รู้มึงก็ทำเฉยไว้ปกติเจ้านายกูจะไม่ค่อยพูด
มึงก็ขับของมึงไปเรื่อย ๆ จนถึงที่หมายนั่นแหละ เข้าใจตามที่กูบอกใช่ไหม
ห้ามทำเสียเรื่องจริงๆนะแคป คุณเอสต้องเข้าประชุมแทนท่านเจ้าสัวเลทไม่ได้เด็ดขาด”
“เข้าใจแล้วน่า”
แคปพยักหน้ารับคำ
กวาดตามองรอบๆบริเวณเนื่องจากเป็นชั้นใต้ดินในนี้มันจึงดูมืดกว่าปกติ
และกว่าเจ้านายไอ้ปอจะรู้ตัวก็คงจะอยู่บนท้องถนนไปแล้ว
แคปส่ายหัวกับความคิดเจ้าแผนการณ์ของตัวเอง บางทีก็ทำเรื่องเสี่ยงไปนะ
แต่ก็อย่างว่าริจะจีบดอกฟ้าแบบนั้นเขาต้องทุ่มสุดตัวกันหน่อย ดีนะไอ้เพื่อนปอยังเป็นเลขาของมันอยู่
“อีกนิดนะแคป
ถ้ามีปัญหามึงต้องจอดเลยนะกูจะขับตามอยู่ใกล้ ๆ
เดี๋ยวค่อยเปลี่ยนกันถ้ามันไม่ไหวไม่เวิร์คจริง ๆ”
“มึงจะโดนตัดเงินเดือนไหมเนี่ยไอ้ปอ”
กูล่ะหวั่นใจ
“ตัดไปเหอะ
ถึงตอนนั้นจะลาออกไปทำงานที่ไร่กับมึงก็แล้วกัน” ปอเองตั้งแต่เมื่อคืนที่ตัดสินใจว่าจะร่วมมือกับแคป
เขาก็นึกปลง นึกทางออกไว้แล้วเหมือนกัน
“นี่พูดจริงดิ?”
“ก็เออสิวะ”
“เออมึงไปได้แล้วไป
เผื่อนายมึงลงมาเดี๋ยวเห็นเป็นเรื่องอีก”
ปอพยักหน้าบอกแคปเปิดท้ายรถ
เขาเดินไปหยิบรองเท้าผ้าใบของเพื่อนเอาไปใส่ไว้ที่รถยนต์ส่วนตัวของตัวเองที่จอดทิ้งไว้ที่บริษัทตั้งแต่เมื่อวานเหตุเพราะวันนี้ต้องทำหน้าที่ขับรถให้เจ้านายไปประชุมที่ตึกปีกอินทรย์ตึกใหญ่แม่ข่ายของรัชชา
อันที่จริงแล้ววันนี้ถือว่าเขาบกพร่องในหน้าที่อย่างแรงเลยก็ว่าได้
มีความผิดถึงขึ้นถูกไล่ออกได้ด้วยซ้ำ เพราะว่าเป็นทั้งเลขาเป็นทั้งบอดี้การ์ดหากแต่ปล่อยให้คนนอกบริษัทมาขับรถให้เจ้านายนั่งแทนตัวเอง
“เอาวะ
เป็นไงเป็นกัน”
ในที่สุดปอที่นั่งพึมพำอยู่หลังพวงมาลัยรถอีกคันก็มองดูท้ายรถเมอเซเดสสีดำคันใหญ่ที่แคปทำหน้าที่รอเป็นสารถีอยู่
ประตูลิฟต์เปิดตัวออกแล้ว ร่างสูงสง่าในชุดสูทสากลเข้ารูปสีเข้มก้าวออกมาพร้อมกับเปิดขึ้นไปนั่งที่เบาะหลัง
ในตอนนั้นปอเพียงแค่ยิ้มแห้งๆ
นึกอวยพรขอให้เพื่อนรักโชคดี แม้จะเห็นสีหน้าแบบนั้นจากเจ้านายของเขา
ตอนนี้เขาไม่รับรู้แล้วว่าในรถคันนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง
กรุงเทพวันนี้ทำไมมันร้อนนักวะ!
นี่คือความคิดในหัวแคป
ณ ขณะนี้เลย
ทุกอย่างบนรถระหว่างทางไปตึกแม่ข่ายของรัชชาเงียบกริบ
คือมันเงียบจนแคปต้องยื่นมือออกไปเพื่อที่จะเปิดเพลงจากสถานีวิทยุฟังบ้างไรบ้างแต่พอนึกขึ้นได้ว่าตัวเองตอนนี้กำลังทำหน้าที่อะไร
อยู่ในสถานะไหน เขาก็ยั้งมือไว้ได้สองรอบแล้ว
แอบมองกระจกหลังบ้างหลายต่อหลายครั้งแต่มองไม่เห็นหน้าคนข้างหลังเลยเพราะว่านั่งคนล่ะฟาก
จู่ ๆ จะให้ปรับกระจกเพื่อมองไปอีกทางมันจะดูจงใจเกินไป
แคปจึงต้องแอบมองจากกระจกด้านข้างเอา
หากแต่มันก็เห็นไม่ชัดเพราะความมืดของฟิล์มติดรถ
อึดอัดขึ้นมาแล้ว
แน่นอนว่าคนไฮเปอร์อย่างเขาต้องให้มาอยู่นิ่ง
ๆ ทำตัวเรียบร้อยสงบปากสงบคำมันดูไม่ใช่ตัวเองชะมัด
แต่อย่างไรก็ตามเขาบอกตัวเองว่าให้พยายาม พยายาม และพยายาม
คนข้างหลังยังคงนั่งเงียบ
ๆ ไม่พูดอะไร นี่มันครึ่งทางแล้วด้วยซ้ำ แคปมองรถยนต์ของปอที่ขับตามไล่กันมาเรื่อย
ๆ ผ่านทางกระจก บางทีเขาก็แกล้งหลบมันบ้าง เปลี่ยนเลนแกล้งมันบ้าง
แต่สักพักมันก็จะโผล่มาเกาะตูดรถเขาได้อย่างเดิม
สองคนเหมือนกำลังเล่นกันอยู่มากกว่า แคปคงไม่รู่ว่าปอนี่หัวเสียสุดๆ
ในขณะที่คนทางนี้นั่งอมยิ้มเพราะมีเรื่องแก้เซ็งทำ พอเจอรถบางคันขับปาดหน้าแคปจะสบถออกมาก็ต้องรีบหุบปากเอาไว้
รักษากิริยามารยาทให้เรียบร้อย
เขาขับต่อไปอีกหน่อยพอตัดเข้าถนนเส้นนี้รถเริ่มติดแบบบรมโคตรติด
โชคดีที่มีทางเบี่ยงเลี่ยงออกได้ สัญชาตญาณทำให้แคปส่งสัญญาณไฟขอทางก่อนเลี้ยวตัดเข้าซอยเล็กๆ
โดยมีปอขับจี้ตามมาเรื่อยๆ รถมุ่งหน้าซอกแซกไปตามซอกตามซอยจนกระทั่งออกมาโผล่ก่อนถึงทางเข้าตึกสูงใหญ่ของรัชชาแม่ข่ายแค่บล็อคเดียวเท่านั้น
‘ตายห่าแล้วกู ลืมถามมันมาว่าต้องไปจอดส่งคุณชายที่ตรงไหน’
พอนึกขึ้นมาได้แคปร้อนใจจนเหงื่อตก
มองกระจกข้างเห็นรถของปอตีคู่ขึ้นมาอย่างรู้งาน เขาจึงเบาคันเร่งลงเพื่อให้อีกฝ่ายแซงหน้าขึ้นไปได้
จะว่าไปคล้ายกับได้ยินเสียงหัวเราะโทนต่ำเย้ยดังมาจากเบาะหลังด้วยสิ
แคปลองเงี่ยหูฟังดูดีๆอีกทีกลับไม่ได้ยินอะไรเลย
เขาจึงคิดว่าตัวเองคงหูฝาดคิดมากไป รถต้องเลี้ยวซ้ายมุดเข้าชั้นใต้ดินของตัวตึก
ก่อนที่แคปจะจอดลงตามหลังรถคันหน้าของปอแบบนิ่มนุ่มและละมุนละเมียดอย่างถึงที่สุด
นี่ไอ้คนนั่งมันไม่รู้จริงๆเหรอวะว่าใครขับรถมาให้ตลอดทาง
เซ่อจริงๆเป็นผู้บริหารได้ยังไงวะ
แคปคิดไปพลางกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ
แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกันเดี๋ยวเกิดรู้ขึ้นมากลางทางบอกให้จอด เขานี่ยังคิดไม่ตกว่าจะต้องทำอะไรยังไง
ว่าแต่....ทำไมจอดตั้งนานแล้วคุณชายไม่ยอมลงวะ
หรือว่าเขาต้องทำอะไรให้มันก่อนรึเปล่า ตายๆไอ้หมาปอมันไม่ได้บอกไว้ด้วยสิ
จอดแล้วก็น่าจะลงเลยสิวะ
นั่งเงียบกริบอยู่แบบนี้เขาก็แย่สิจะให้หันไปเรียกงั้นเรอะ
แคปชั่งใจไปพลางเริ่มเหงื่อตกทำอะไรไม่ถูก
ไม่เข้าใจทำไมเอสถึงยังไม่ยอมลงหรือว่าจะรอให้ลงไปเปิดประตูให้วะ ไม่น่าใช่
ตอนที่ขึ้นมามันยังเปิดเองเลยนี่หว่า เอ๊ะหรือว่า..
“ทำไมถึงเป็นมึง”
เสียงทุ้มเย็นเฉียบทำลายความเงียบถามแทรกขึ้นมา
แคปใจหายวาบหันขวับไปมองหน้าคนบางคนที่นั่งทำหน้าบึ้งตึงจ้องมาที่เขาราวกับยักษ์กำลังจะฉีกเหยื่อ
“
ระ...รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ประสาท!”
เอสสบถพลางส่ายหน้า
เขาทำท่าจะเปิดประตูลงหากแต่แคปเองก็เร็วมากไม่แพ้กันกระเสือกกระสนตัวจนแทบจะหลุดมาเบาะหลังได้ทั้งตัวเพื่อที่จะมาจับมือเอสเอาไว้ยังไม่ยอมให้ลง
เอสจ้องหน้าคนที่มันกำลังทำท่าทางบ้าๆแบบนั้นอยู่บนเบาะรถ
อะไรคือการที่ลำตัวพาดมาที่ด้านหลังครึ่งนึงอีกครึ่งนึงส่วนล่างยังยักแย่ยักหยั่นอยู่บนเบาะ
“หยะ...อย่าเพิ่งลง”
“ทำไม”
“กูขับรถนิ่มดีไหม
มึงชอบหรือเปล่า”
“.................”
“น่า
อย่าใจร้ายสิ ขับดีไหมบอกมาก่อนแล้วจะปล่อยให้ลงนะ นะครับ” พูดจบหน้าร้อนผ่าว ๆ
จนต้องเบือนหนีไปอีกทางแต่ก็แอบๆเหล่รอฟังคำตอบ
“ว่าไง
มึงชอบไหมกูขับรถนิ่มดีใช่ไหมล่ะ”
“ขับรถได้แย่มาก”
เฮ้ย! แย่ที่ไหนวะ!
นี่กูคอนโทรลคันเร่งจนฝ่าเท้าปวดไปหมดยังมาหาว่าแย่
เดี๋ยะเถอะอย่าให้กูได้มึงก่อนเถอะนะไอ้ๆๆๆๆ “ไม่แย่หรอกครับ กูทำเต็มที่เลยนะ
เพื่อมึง ตั้งใจให้นิ่มนุ่มที่สุดเลย”
“ก็ยังยืนยันคำเดิม
คำรถไม่ได้เรื่อง”
“..................”
ฮึ่มมมมมมมมม
“ปล่อยได้แล้ว”
แคปทำหน้าสุดแสนเสียดายเมื่อเอสดึงมือเขาที่จับข้อมือมันไว้ออก
เสียงดังปึ๊ดเลยเชื่อเหอะ มันดึงออกแรงมากจริง ๆ
หรือว่าเพราะเขาจับมันแน่นมากไปก็ไม่รู้
“มึงมันใจร้าย”
แคปถอนหายใจก่อนหันมาทิ้งตัวนั่งลงหลังพวงมาลัยแบบดี
ๆ ขยับตัวจับเสื้อสูท
ได้ยินเสียงประตูรถด้านหลังเปิดออกแล้วเขาจึงต้องรีบหันไปพูดด้วยความรวดเร็ว “จะรอรับมึงกลับนะ”
“ไม่ต้องรอ”
สวนกลับมาเร็วเช่นเดียวกัน ทำเอาคนฟังน้อยใจขึ้นมา
“เดี๋ยวกูกลับกับเลขากูเอง
มึงจะไปที่ไหนก็ไปเลย”
....เจ็บที่สุด....
“ไม่ไปที่ไหนหรอก
จะรออยู่แถวนี้แหละ”
“................”
“นานแค่ไหนก็รอเหมือนเดิมอ่ะ”
ไม่มีคำตอบ
มีแต่เสียงประตูรถปิดลงอย่างดัง
ปอที่ยืนรออยู่ไม่ไกลหันมองมาที่แคปครั้งหนึ่งก่อนเดินตามหลังเอสเข้าไป
หนึ่งเจ้านายกับหนึ่งเลขาเดินหายเข้าลิฟต์ไปแล้ว แคปเลื่อนรถมาจอดเข้าซองไว้ดี ๆ
ยอมรับว่าเจ็บกับคำพูดของอีกฝ่ายมากพอสมควรแต่เขายังยอมรับได้
ดับเครื่องลงแล้วนั่งรอต่อไป ไม่มีอะไรทำก็เล่นมือถือไปสิ ฟังเพลงไปสิ
จนรู้สึกตัวอีกทีสิบเอ็ดโมง
น่าจะเป็นช่วงพักเบรคเพราะว่าเจ้าปอโทรลงมาถามแล้วบอกแคปให้หาข้าวเที่ยงกินเลย
ประชุมคราวนี้เลิกเย็นแน่ ๆ
แคปยังจะรอไหมถ้าไม่รอปอจะเอากุญแจรถคันเล็กลงมาให้แล้วให้ขับคันเล็กของเขากลับไปก็ได้
“มึงไม่ต้องห่วงหรอก
กูบอกแล้วว่าจะรอ กูก็ต้องรอ”
(แล้วข้าวเที่ยงมึงจะกินที่ไหน)
“แถวนี้แหละ
เดี๋ยวหาดูก่อน”
(กูห่วงมึงนะ
ไม่ฝืนรู้ไหม)
“ห่วงทำไมวะ
มึงรู้อยู่แล้วไม่ไหวกูไม่ฝืนแน่ ๆ
ว่าแต่มึงเหอะโดนเจ้านายด่ามารึเปล่าวะ” นายมึงพูดเรื่องกูมั่งไหม
(ไม่หรอก
เขาไม่ได้พูดอะไรเลย)
“อืม”
แคปครางรับอย่างเหนื่อยใจ
ก่อนที่ปอจะขอตัววางสายไปก่อนเพราะโดนเรียกตัวถามเรื่องงาน
แคปนั่งชั่งใจอยู่ครู่ใหญ่ๆดูเวลาแล้วราวๆก่อนเที่ยงสักเล็กน้อยเขาจึงค่อยเคลื่อนรถออกไปที่ลานด้านหน้าหาที่จอดให้เรียบร้อยก่อนมุดออกมามองซ้ายมองขวาว่าตัวเองจะไปหาอะไรกินที่ไหนดี
จำได้ว่าเคยผ่านมาแถวนี้ครั้งหนึ่ง
มีร้านกาแฟเล็กๆที่อยู่ถัดไปจากทางออกของอาคารสูงใหญ่นี้น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
แคปมุ่งไปทันที
ปิ้น!
เสียงแตรรถที่ดังขึ้นดักหน้าทำเอาเขาชะงักเท้าที่จะข้ามทางแทบไม่ทัน
รถยนต์สีดำคันสวยเคลื่อนตัวมาหยุดลงตรงหน้าพร้อม ๆ
กับกระจกรถฝั่งคนขับที่ลดลงแบบเรื่อย ๆ
“แคปจริงๆด้วย
พี่ก็นึกว่าตัวเองจะจำผิดหรือเปล่า ตาฝาดไหม ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ”
สาวสวยคนนี้คือพี่แอมป์
พี่สาวคนเดียวของเอส เธอน่าจะมาเข้าประชุมด้วยแต่ไม่รู้ทำไมถึงได้ออกมาช่วงเที่ยงไหนว่าประชุมยาวจนถึงเย็นไง
“สวัสดีครับพี่แอมป์”
แคปยกมือขึ้นไหว้สวัสดี เธอรับไหว้แล้วยิ้มให้อย่างอ่อนโยน เขาจดจำใบหน้าของเธอได้อย่างแม่นยำแบบไม่ต้องให้ใครมาบอกมาเตือน
พี่สาวเอสมีแววตาอบอุ่นแบบนี้ให้เขาเสมอ แต่ไหนแต่ไร
“มาประชุมเหรอครับ”
“ใช่จ๊ะ
ยังไม่เสร็จหรอกพอดีมีธุระที่อื่นนิดหน่อยเลยขอตัวออกมาก่อน ดีใจนะที่เจอเรา
แคปกลับมาแล้วจริงๆด้วย พี่รู้แล้วมิน่าล่ะ...”
หญิงสาวว่าแล้วยิ้ม
แคปนึกสงสัยกับคำว่ามิน่าล่ะของเธออยู่นิดๆเหมือนกัน
แต่อย่างไรก็ตามก่อนอื่นต้องขอบคุณเธอก่อนที่ไม่เคยจะลืมกันเลย
“ครับพี่
ขอบคุณมากครับ”
“โอเคงั้นพี่ไปก่อน
อ้อ ข้างในมีร้านอาหารนะ อร่อย
สะอาดเข้าไปทานได้เลย
แล้วก็อย่าลืมถ้ามีเวลาบอกเอสพาไปกินข้าวไข่เจียวหมูสับที่ร้านด้วยกันอีก
เดี๋ยวจัดการเตรียมไว้ให้...เหมือนเดิม”
แคปยิ้มรับพลางขอบคุณเธออีกครั้ง
คำว่าเหมือนเดิมของเธอแฝงความนัยไว้เมื่อครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
แคปรู้สึกขอบคุณมากจริง ๆ
เขายิ้มให้เธออีกครั้งถูกแซวกลับมาว่ามีน้ำมีนวลอ้วนขึ้นนิดๆ
แคปได้แต่พยักหน้ายอมรับไป
“งั้นพี่ไปล่ะ
ถ้าจะขึ้นไปหาเอสก็ชั้นบนสุดเลย มีบัตรแล้วใช่ไหมเราน่ะ”
“ครับพี่”
แคปรับคำพลางโบกมือให้เมื่อตอนที่รถเคลื่อนตัวออกไปแล้ว
นึกถึงเรื่องร้านอาหารด้านในแล้วมองดูเวลาโอเคว่ายังมีเวลาอีกเยอะเขาจึงเดินตามทางเท้าดูร้านรวงแถว
ๆ นี้ก่อน
มันมีซอยที่เต็มไปด้วยของน่ารักสวยงามสำหรับวัยรุ่นนักศึกษามากมายอยู่แถวๆนี้ด้วยแค่เดินต่อไปอีกหน่อยเดียวเท่านั้น
แต่จะว่าไปเขาใส่สูทนี่หว่าจะมาเดินโด่ๆร่อนอยู่แบบนี้คงไม่ค่อยเหมาะ
เลี้ยวเข้าร้านเพื่อหาเอสเพรสโซ่เย็นๆขมๆสักแก้วแหกตาไว้ก่อน
ระหว่างรอมองเห็นว่าร้านข้าง ๆ กันเป็นร้านหมี คือสารพัดหมีเขาก็นั่งดูรอไปเรื่อย
ๆ พลันความคิดหนึ่งพัดวูบเข้ามา แคปยิ้มนิดๆในตอนที่เดินเข้าไปรับกาแฟ
“ประชุมนานเหี้ยๆเลยว่ะ”
ก็รู้
ก็เข้าใจนักธุรกิจใหญ่ที่เข้าประชุมลากยาวเป็นวัน ๆ แต่ช่วยเห็นใจคนรอมั่งเห้อะ
คือมันนานใช่ไหม เออแล้วใครใช้ให้มึงมารอ
เขาก็บอกแล้วว่าไม่ต้องรอยังจะเสือกอวดดีบอกเขาอีกว่าจะรอ นานแค่ไหนก็รอ
จะรอกลับไปด้วยกัน
“โถ่เว้ย!!!!!!!!!”
รอจนเหนื่อยแล้วเนี่ย ความอดทนมันต่ำและต่ำ ต่ำจนน่าตกใจด้วยนะบอกเลย
แคปถอนหายใจพรืดยาว ๆ หลังจากเดินวนรอบรถแล้วประมาณสองสามร้อยรอบได้
ดีนะที่เลื่อนเข้ามาจอดชั้นใต้ดินเหมือนเดิมแล้ว
ขืนให้ไปรอกลางแดดได้เป็นลมกันสองตลบแน่นอน
คนรอยืนหน้ามุ่ยกอดอกพิงฝากระโปรงรถ
เขาคงจะทำตัวได้น่าสงสัยมากจนถึงขนาดพี่ยามพี่รปภ.เดินเข้ามาถามเลยนั่นแหละ
แคปจึงบอกเหตุผลไป
ฝ่ายนั้นมองทะเบียนรถมองเสื้อผ้าสุดท้ายก็เข้าใจได้ว่าเป็นรถของใคร
“สี่โมงเย็นแล้ว
พี่ว่าเจ้านายผมจะเลิกยังอ่ะ” แคปหาเรื่องคุยไปเรื่อย ๆ พี่ยามแกก็เอียงหน้าทำงงๆ
“นี่น้องเป็นคนขับรถให้คุณเอสเธอร์แน่
ๆ เหรอวะ”
“กะ..ก็ใช่ดิพี่”
ทำไมวะ
“ปกติพนักงานขับรถเขาไม่ค่อยมีใครทำตัวแบบน้องอ่ะ
ทุกคนจะสำรวม ส่งเจ้านายเสร็จก็จะขึ้นไปนั่งรออยู่ที่ห้องรับรองเล็กในล็อบบี้
ไม่ก็ร้านกาแฟชั้นหนึ่ง ไม่มีใครมานั่งรอยืนรออยู่ที่นี่แบบน้องหรอก
ไม่สังเกตเหรอ”
กูจะฆ่ามึง
ไอ้หมาปอ
“อ่ะจริงเหรอพี่
แหม่ๆผมก็เพิ่งมาทำงานใหม่ไม่รู้มาก่อนเลยแฮะ”
“งั้นจะขึ้นไปเลยไหมล่ะ
แต่เดี๋ยวพวกคุณๆเขาคงจะเลิกแล้วล่ะ ปกติได้ยินว่าถ้ามีประชุมยืดเยื้อก็จะเสร็จราว
ๆ ห้าหกโมงเย็นอ่ะ แล้วนี่ห้องน้ำล่ะเข้ามั่งหรือยัง”
แคปทำหน้าแบบยอมจำนน
ปวดจนจะตายห่าแล้ว ทนต่อไปไม่ไหวหรอก สุดท้ายก็เดินตามพี่ยามออกไปที่ด้านนอกแล้วขึ้นบันไดเข้าไปที่ฟร้อนด้านหน้าหาห้องน้ำห้องท่าเข้า
โครม!!!
“โอ๊ย!!”
“เฮ้ยขอโทษครับ”
แคปชนเข้าอย่างจังกับพนักงานหญิงตัวเล็กๆข้าวของร่วงกรู
เขารีบกุลีกุจอช่วยเก็บขึ้นมา ปากเธอก็พูดขอโทษๆขอบคุณๆไม่ขาดปาก
แคปเองก็กล่าวขอโทษเธอเช่นกัน
“ขอโทษนะครับ
ขอโทษจริง ๆ”
“ฉันก็ขอโทษคุณเหมือนกันค่ะ
พอดีว่ารีบเดินไม่ระวังเลยฉันเนี่ย”
เธอหอบแฟ้มใส่อกพลางขยับแว่นด้วยทีท่าเนิร์ดๆให้ความรู้สึกว่าน่ารัก
หน้าหมวยๆตัวขาว ๆ จะว่าไปสเป็คแคปเลยนี่หว่า
“มีอะไรเหรอวิกันดา”
เสียงใสกริ๊กดังขึ้นจากด้านหลังก่อนจะเผยร่างโปร่งบางของหญิงสาวหน้าตาหมดจรดงดงามคนหนึ่งเดินเข้ามาถาม
วิกันดารีบเข้ามาค้อมศีรษะลงให้เธอทันที
“วิทำของหล่นค่ะคุณอุ้ม
คุณเอ่อ..คุณคนนี้เลยช่วยเก็บให้ค่ะ”
แคปเริ่มทำหน้าไม่ถูกเพราะจริง
ๆ แล้วเขาชนเธอ คือไม่รู้ล่ะว่าใครชนใครแต่เขาเป็นผู้ชายใช่ไหมยังไงก็คิดว่าตัวเองผิดเอาไว้ก่อนอ่ะมันเกิดการชนกันของถึงได้หล่นไม่ใช่ว่าเธอทำหล่นแล้วเขาเข้ามาช่วยเก็บสักหน่อย
“เอ่อ
คือจริงๆแล้ว...”
“งั้นเหรอ
ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยเหลือเลขาของฉัน” คุณคนสวยที่แคปได้ยินวิกันดาเรียกเธอว่าคุณอุ้มหันมาขอบคุณเขา
แคปนี่ยิ่งไปไม่ถูกเลย
“อ่ะ...เอ่อ
ครับ”ความจริงไม่ได้ช่วย แต่แคปดูๆแล้ว
คุณน้องหมวยแว่นวิกันดาเธอทำหน้าเหมือนไม่อยากให้เขาบอกความจริง
เพราะงั้นแคปจึงปล่อยเลยตามเลย จากนั้นสองคนก็บอกขอตัวแยกออกไป คุณอุ้มหันมายิ้มโชว์ลักยิ้มสวย
ๆ ให้เขาหนึ่งครั้งก่อนที่วิกันดาจะส่งเสียงวิ่งตามหลังเธอไว ๆ
“วิขอโทษค่ะคุณอุ้ม”
“ช่างเถอะ
ต่อไปก็ระวังแล้วกัน”
“ค่ะ”
แคปยืนฟังบทสนทนาของสองหญิงสาวที่เดินห่างออกไปก่อนที่จะนึกบางอย่างขึ้นมาได้
ว่าตอนนี้มันห้าโมงกว่าแล้วไม่ใช่ว่างานประชุมอะไรนั่นจะเลิกแล้วหรอกนะ
เออจะว่าไปคุณคนสวยนั่นทำท่าเหมือนจะเป็นระดับผู้บริหารที่พาเลขามาเข้าประชุมเสียด้วย
แคปจ้ำอ้าวออกจากจุดนั้น ณ ตอนนี้ไม่คิดอะไรแล้วอยากลงไปรอที่รถให้เร็วที่สุด
เขาจึงรีบใช้ทางหนีไฟลงบันไดไปประจำการอยู่ที่รถแบบพอดิบพอดี
เสียงข้อความจากปอส่งมาบอกให้เอารถเคลื่อนมาจอดรอได้เลย
แคปรีบถลาเข้ารถไปจัดการทำตาม ในตอนนั้นเองที่ประตูลิฟต์เปิดออกพอดี
ติ๊ง~
ทันพอดีเลยกู
แคปหายใจรดต้นคอเฮือกใหญ่ ๆ
รถจอดลงแบบหมิ่นเหม่มากๆแต่ก็ถือว่ายังทันคนที่ยืนหน้าบึ้งตึงรออยู่แค่ไม่ถึงครึ่งวิฯ
ปอรีบเชิญเจ้านายตัวเองก้าวขึ้นรถไม่รอช้า
หลังเสียงประตูปิดลงแคปก็ออกรถเลยสิครับจะช้าอยู่ทำไม
หน้าตาคนข้างหลังนี่แบบบึ้งสุดขีด
ไม่รู้ว่าประชุมเหนื่อยงานหนักหรือว่าอารมณ์เสียมาจากไหน
แคปไม่เสี่ยงทำอะไรให้โดนคำพูดเจ็บใจเล่นงานอีก เขาเลือกที่จะนั่งอยู่แบบเงียบ ๆ
ขับรถไปเรื่อย ๆ
และแน่นอนว่า...
เขาขับรถแบบอ้อมโลกกกกกกกกก
อย่าถามว่าทำไม เย็น ๆ
แบบนี้หมดเวลางานไอ้หมาปอเพื่อนที่รู้ใจมันเลี้ยวไปคนล่ะทางโน่นแล้ว
แคปไม่รู้ล่ะว่าคนข้างหลังจะรู้ตัวหรือเปล่า แต่ก็นะ
คงไม่โง่หรอกเพียงแต่ไม่ยอมพูด ยังนั่งนิ่งๆไม่ทักไม่ท้วง เขาจึงขับต่อไปเรื่อย ๆ
เรื่อยๆ และเรื่อย ๆ
จนมืด
จ๊อกกกก...จ๊อก~ ~ จ๊อกกกกกกกกกกก
เสียงท้องตัวเองร้องดังขึ้นมาให้ขายขี้หน้าได้จริงๆ
แน่นอนว่าคนมันอ้วนมันก็หิวเร็ว ความอดทนอะไรๆก็น้อย
ถ้าได้บางอย่างกระแทกปากอารมณ์ก็คงจะดีขึ้น แคปได้แต่ภาวนาว่าไอ้คนนั่งเงียบๆเบาะหลังจะไม่ได้ยิน
แต่นั่งไปนั่งมาชักปวดท้องขึ้นเรื่อยๆ
“มึงหิวหรือยังวะเอส”
ลองถามดู
“ยัง”
อืม
เสียงยังนิ่ง เย็นชาไม่เปลี่ยน ไม่ใช่แค่เสียง หน้าตาท่าทางก็นิ่ง แคปชักโมโหแล้ว
เขาปรับกระจกขอดูหน้าไอ้คนใจยักษ์ซะเลย หน้ามันนิ่งได้ใจจริง ๆ เขาล่ะอยากจะด่าๆๆๆๆแล้วลากไปหาอะไรๆแดก
แต่ตอนนี้..
“แต่กูหิวนี่”
ก็ได้แต่พูดเสียงอ่อนแบบนี้แหละวะ
“เรื่องของมึง”
“อย่าพูดจาใจร้ายแบบนั้น”
“.............”
“อยากกินอะไรวะ
แถวนี้มีแต่ของกินอร่อยๆนะ”
ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองขับวนมาย่านของกินแบบนี้ได้ยังไง
นี่เขาอ้วนถึงขนาดหายใจหายคอเป็นเรื่องกินขนาดนี้เลยเรอะ
“ไม่ถามแล้ว
เอาร้านนี้ล่ะ” แคปจอดรถลงที่ข้างๆฟุตบาตหน้าร้านๆนึง
มันไม่ใช่ร้านอาหารหรูหราอะไร หากแต่เป็นรถเข็นขายก๋วยเตี๋ยวข้าวมันไก่
แล้วผู้ชายสองคนในชุดสูทเต็มยศจะมานั่งกินมันก็...
ปัง!
แคปหันขวับไปที่เบาะหลังปรากฏว่าเอสเปิดประตูเดินลงไปแล้ว
มีเสื้อนอกถอดทิ้งไว้
แคปเองก็รีบถอดออกบ้างกระดงกระดุมสองเม็ดบนหลุดออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
รีบเดินเข้าไปหาไอ้คนที่เดินฉับๆเข้าไปนั่งรอก่อนแล้ว
“กินอะ...
“ก๋วยเตี๋ยว”
ยังอ้าปากถามไม่ทันจบออเดอร์ก็ออกมาจากปากเสียแล้ว
ท่าทางคนตรงหน้าเองก็คงจะหิวมากอยู่เหมือนกัน
แคปมองคนที่กำลังขยับคลายเนคไทแล้วพูดบอกโดยไม่ได้มองหน้าเขาเขาเลยแม้แต่น้อย
“มึงจะกินเส้นอะไรวะ”
ถามออกไปปุ๊ปรู้สึกอยากตบปากตัวเองขึ้นมาแทบจะทันที
คนถูกถามตวัดสายตาเขียวปั๊ดใส่
“โอเคๆ
เหมือนเดิมใช่ไหม” เหมือนห้าปีที่แล้วน่ะนะ ถ้ากูจำผิดมึงก็ช่วยอภัยให้ด้วยละกัน
เหตุการณ์ไปแดกก๋วยเตี๋ยวด้วยกันมีแทบจะนับครั้งได้แล้วใครจะไปทันสังเกตกันเล่าว่าอีกคนกินเส้นอะไร
ตอนนั้นมันก็อย่างว่า ไม่ละเอียดละอออะไรนักหรอก
แคปลุกขึ้นเดินเข้าไปสั่ง
รอพักเดียวน้องสาวหน้าตาน่ารักน่าหยิกก็ยกอาหารมาวางลงให้
“พี่จะรับน้ำอะไรดีคะ
น้ำเปล่า น้ำมะพร้าว หรือน้ำกระเจี๊ยบ” เธอวางก๋วยเตี๋ยวหนึ่งชามกับข้าวมันไก่ร้อน
ๆพร้อมน้ำซุปกลิ่นหอมฉุยลงให้
แคปมองดูคนที่บอกไม่หิวแต่ตั้งหน้าตั้งตากินโดยไม่ปรุงอย่างไม่สนใจคนที่ถามแม้แต่น้อย
เขาเลยแจกยิ้มให้เธอแล้วบอกไปว่ากระเจี๊ยบสองแก้วก็แล้วกัน
“กูไม่กินกระเจี๊ยบนะ
หวานเกิน” เสียงทุ้มต่ำว่าขึ้นขุ่นๆ แคปกำลังยัดข้าวมันไก่คำแรกเต็มปาก
เขาเงยหน้ามองคนพูด
“งั้นเดี๋ยวค่อยสั่งใหม่”
“มึงสั่งให้”
“แล้วมึงจะกินอะไรล่ะ”
“ไม่รู้”
อ้าวตาย
ขนาดมึงคนกินยังไม่รู้กูคนสั่งจะรู้ไหมเนี่ย
“มะพร้าวกินได้ไหม”
“ได้มั้ง
แต่ต้องมะพร้าวสด” ไอ้คุณช๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
“จะไปรู้เรอะว่าสดหรือไม่สด”
มึงจะแดกไหมล่ะ
“งั้นยังไงก็ได้”
เออก็งงกันไป
แต่ในที่สุดก็กินกันจนเสร็จ ข้าวมันไก่สองจานกับก๋วยเตี๋ยวสองถ้วย “อร่อยไหมวะมึง”
แคปคาบหลอดดูดแล้วถามยิ้ม ๆ จะว่าไปมันก็เหมือนเดทเล็กๆอยู่นา คึคึ
ดวงตากลมจ้องคนตรงหน้าแล้วยิ้มให้ทั้งหน้าทั้งตา
เอสเหลือบตามองดูแล้วส่ายหน้าก่อนหันมองไปที่อื่นแคปจึงค่อยหุบรอยยิ้มลง
เขาไม่รู้หรอกว่าอีกคนคิดอะไรอยู่แต่ก็รู้สึกดีขึ้นมานิดๆนั่นล่ะ
อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมาอย่างเขินอาย
“นี่คือเดทใช่ป่ะ”
“เดทเหี้ยไร”
เสียงแข็งทำไมวะ
พูดซะหมดอารมณ์
“เออๆช่างแม่งเหอะ
กูก็พูดไปเรื่อยๆอ่ะ”
“จะกลับกันได้หรือยัง”
พูดแล้วจ้องลงมาที่หน้าอกแคปตาเขียวๆ คนถูกจ้องก็ตกใจสิ
ก้มลงมองตามเห็นกระดุมตัวเองหลุดลงมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แต่ก็นะ เขาผู้ชายอ่ะ
โชว์นิดๆหน่อยๆมันจะเป็นไรไปวะ เพราะงั้นแคปจึงไม่สนใจ ดูดน้ำแล้วถามต่อ
“มึงจะกลับแล้ว?”
“ติด”
“ห๊ะ?”
“ติดให้เรียบร้อย”
เอสหยิบตะเกียบชี้ตรงมาที่กระดุมอย่างเน้น ๆ แคปเหวอไปทันที
ขี้เกียจเถียงจึงรีบกลัดกระดุมคืนอย่างว่องไว
“เสร็จแล้วก็ลุก”
“จะกลับเลยอ่อ?”
“แล้วจะรอเหี้ยไรล่ะ
กูไม่ได้ว่างมากนักหรอก”
“แต่พรุ่งนี้กูต้องกลับระยองแล้วนะ”
เอสชะงักไปนิดๆตอนที่ได้ยินคำพูดเบาๆจากแคป
“ถ้าไงใช้เวลาอยู่ด้วยกันอีกนิดก็...น่าจะดี”
“................”
สองคนสบตากันสักพัก
ความหมายไม่ต้องพูดถึง....ลึก..จนต่างฝ่ายต่างอ่านกันไม่ออกนั่นแหละ
แคปก็มองแบบอ้อนๆขอความเห็นใจ
ขณะที่ร่างสูงใหญ่จู่ๆลุกพรวดขึ้นเดินล้วงกระเป๋าสบายๆมุ่งไปที่รถ
แคปรีบเดินเข้าไปจ่ายตังค์ตามความรับผิดชอบของคนจีบ
“นั่งหน้ากับกูนะ”
ก่อนอีกฝ่ายจะขึ้นรถได้เพราะว่าเขายังไม่ยอมปลดล็อคให้
แคปรีบเดินมาให้ทันแล้วดักหน้าเอสไว้
หากแต่คนยืนรอก็แค่ใช้สายตาบอกให้ปลดล็อคออกได้แล้ว
“นั่งหน้าด้วยกัน
เดี๋ยวพาไปที่ๆนึง”
“ไม่ไป”
คำตอบง่าย
ๆ ชัดเจนและตรงไปตรงมา แคปก้าวเข้าไปขวางทางไว้อีกครั้ง “ไปนั่งหน้า” ทำเสียงแข็งขึ้นนิดๆ
เอสจ้องกลับตาขวาง “อย่ามาสั่ง”
“แล้วจะนั่งข้างหลังทำไมล่ะวะ
นั่งหน้าจะได้คุยกันไง” แคปพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ แต่เอสกลับใช้ท่อนแขนกันแคปออกจากทางก่อนเปิดรถแล้วก้าวขึ้นไปนั่งกอดอกรอเป็นเจ้าชายอยู่ที่เบาะหลัง
ความห่างเหินเข้ามาคั่นกลางหัวใจไว้อีกครั้งแล้ว
แคปถอนหายใจยาวๆก่อนเดินอ้อมไปนั่งเข้าประจำที่คนขับเขาปรับกระจกมองหลังเพื่อให้ได้เห็นเสี้ยวหน้าคมเข้มที่มองผ่านออกชมวิวทิวทัศน์ด้านนอก
รถเคลื่อนตัวต่อไปเรื่อย ๆ
โดยใช้เส้นทางที่ไม่ได้ใกล้เคียงกับเส้นทางเก่าเลยสักนิด
ใช้เวลาไม่นานนักกลับมาจอดตัวลงในสถานที่แห่งหนึ่ง
แคปดับเครื่องแล้วหันกลับไปมอง
สองคนสบตากันชั่ววินาทีก่อนที่แคปจะเดินลงมาเปิดประตูออกให้แล้วชวนเอสมาเดินเล่นด้วยกัน.....สะพานพุทธ
“ไม่เคยมาที่นี่กับมึงเลย”
แคปเปิดบทสนทนาหลังจากเดินเคียงกันมาทั้งที่อีกฝ่ายหน้าตึงราวกับถูกข่มขู่ ใครจะสนขอให้มันยอมเดินกับเขาก็พอแล้ว
“ดีแล้วที่ไม่เคยมาด้วยกัน”
เอสพูดขึ้นมาลอย ๆ แคปย่นจมูก “โหยอย่าพูดเย็นชาแบบนั้นดิวะ กินป่ะ เดี๋ยวไปซื้อให้”
ร้านขายของด้านล่างเต็มไปหมด อาหารของกินเสื้อผ้าของใช้น่ารักกระจุ๋มกระจิ๋ม
แคปชี้ให้เอสดูร้านขายโคมไฟลูกเล็กๆแล้วบอกว่ามันน่ารัก
ที่หน้าร้านนั้นมีรถไอติมกะทิโบราณจอดแช่อยู่ “เดินขึ้นไปด้วยกินไปด้วยไง” อีกคนจึงต้องยอมเดินตามมาแบบจำนน
“นี่
ไข่ปลาหมึกก็มีนะ หรือจะกินโรตี หมูสะเต๊ะ ผัดไทยไข่ห่อโน่นไง”
เอสส่ายหน้า
แคปยืนเม้มปากมองโน่นนี่นั่นอยู่สักพักพี่คนขายยื่นไอติมส่งให้
“เท่าไหร่ครับพี่”
แคปรับไอติมมาสองถ้วยมาแล้วจ่ายเงิน เขาส่งให้เอสถ้วยนึง จากนั้นจึงออกเดินไปพร้อม
ๆ กัน
“เจ้านี้อ่ะอร่อย”
“อร่อยตรงไหน”
“ชู่วววว
อย่าพูดดังสิวะมึงก็ เดี๋ยวคนขายเขาได้ยินเสียใจกันพอดี” แคปแทบจะกระโดดอุดปากไอ้คนพูดไม่ทันหันซ้ายหันขวา
เอสพยายามจะก้าวถอย
“เอามือออกไป!”
เอสตกใจดึงมือแคปออก เขาทำหน้าบึ้งใส่ ปากก็บ่นอุบอิบต่อ “มือเค็มเป็นบ้า”
“เค็มตรงไหนวะ
มือกูออกจะหอม”
“เหอะ
หอมตลบอบอวลเลยล่ะสิไม่ว่า”
“เออหอม
หอมแล้วก็อร่อยด้วยนะ ไม่เชื่อมึงเลียดูดิ”
“..............”
“..............”
พูดมาถึงตรงนี้ที่ต่างฝ่ายต่างก็ต้องอึ้งกิมกี่กันไป
แคปรีบหันหน้าหนี รู้สึกร้อนผ่าว ๆ ขึ้นมาจนไม่รู้จะทำยังไง เขารีบตักไอติมกินต่อ
“กินสิวะ อร่อยนะ” พูดแก้เขิน
“อร่อยตรงไหนล่ะ”
ยังจะพูดจาแบบเดิมอีก คนฟังนี่พ่นลมหายใจยาวเหยียด “ก็อร่อยทุกตรงอ่ะ มึงลองกินสิ
ไม่ลองกินจะรู้ได้ไง เนี่ยอร่อยจริงเหอะ” แคปกินโชว์แล้วบอกให้เอสกินๆๆเข้าไป
เขาคงไม่รู้ตัวที่ทำท่าทำทางเอร็จอร่อยจนอีกฝ่ายต้องหันมองทั้งเนื้อทั้งตัว
“กินเยอะๆมันถึงได้อ้วนแบบนี้น่ะสินะ”
กึกก!!
โดนเหน็บว่าอ้วนจากปากคนที่เรากำลังตั้งใจจีบนี่มัน...
“อ้วนที่ไหน
กูเท่าเดิมเหอะ” แคปปั้นยิ้มตาหยีโกหกหน้าตาย
อีกฝ่ายถึงกับกระตุกรอยเหยียดยิ้มที่มุมปาก
“ดำด้วยนะไม่ใช่แค่อ้วนขึ้นอย่างเดียว”
กึกก กึกกก กึกกกก ลมหายใจแทบขาดห้วงราวรถไฟกำลังจะไถลตกราง เอาเข้าไป
โดนคนที่เรากำลังตั้งใจจีบเหน็บว่าดำเข้าไปอีก
ขี้เหร่จริงๆน๊อกู
“ดำที่ไหน
ก็แค่นิดหน่อย กูทำสวนทำไร่จะให้มานั่งหน้าขาวผิวเนียนสวยเหมือนคนในออฟฟิศมันก็ไม่ใช่ละ”
ดำแต่ข้างนอกเหอะ ใต้ร่มผ้ากูขาวเนียนใสเหมือนเดิมล่ะเว้ยเห้ย
“หึหึ
ขำ”
“ขำเหี้ยไร”
นี่แคปลืมตัว สวนกลับได้เสียงโหดมาก
“ขำคนทั้งอ้วนทั้งดำไง”
โอ๊ยยยยไอ้สัส!
“จ้าๆพ่อคนขาว
พ่อผิวผู้ดี ผิวอมชมพูวววววว” ฮึ่มมมมม
ต่อล้อต่อเถียงกันมาไม่รู้ว่าเขาสองคนเดินกันขึ้นมาด้านบนตั้งแต่เมื่อไหร่
แสงจันทร์กระจ่างในคืนเดือนเพ็ญสะท้อนเป็นลูกไฟดวงโตลอยเด่นอยู่กลางลำน้ำ
ลมเจ้าพระยาตีโกรกโชยมาสัมผัสอณูผิวแผ่วเบา กลิ่นของลำน้ำ
แสงไฟระยิบระยับที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าช่างพร่าวพราวเคียงคู่ไปกับหมู่ดวงดาราบนท้องฟ้างดงาม
บางที..ในเมืองหลวงที่แสนวุ่นวายยังมีสถานที่ดีๆแบบนี้หลงเหลืออยู่บ้างเหมือนกัน
บรรยากาศดึกๆยามค่ำคืน
ชวนให้นึกถึงที่ไร่ขึ้นมา แคปหยุดลงแถว ๆกึ่งกลางของสะพาน
เอสจึงหย่อนตัวนั่งลงที่ราวท่อเหล็กเตี้ยๆด้านในหันหน้าเข้าหาแม่น้ำ ขณะที่แคปเลือกที่จะยืนพิงเข้ากับราวจับของสะพานหันหน้าเข้ามาหาอีกคน
อยู่กันไปเงียบๆแบบนั้นพักใหญ่จนกระทั่งสองคนบังเอิญมองสบตากันจนได้ แคปจึงตัดสินใจถามบางอย่างขึ้น
“ห้าปีที่ผ่านมา
มึงคิดถึงกูบ้างไหมวะเอส”
“จบแล้วก็คือจบ”
ตอบอย่างไร้เยื่อไยจนคนฟังหัวใจกระตุก คิดมั่งไรมั่งก็ได้แหม่ แต่แคปมีหรือจะยอมแพ้
“ตอบหน่อยสิวะ
ตอบกูให้ตรงคำถาม ห้าปีที่ผ่านมาไม่เคยคิดถึงกูเลยจริงดิ”
“......................”
ไร้คำตอบใดๆหลุดออกมาจากริมฝีปากคม
หากแต่ไม่รู้ทำไมแคปเห็นอีกฝ่ายทำหน้าตึงเปรี๊ยะตาเขียวอื๋อ คล้ายมันกำลังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันทันทีที่ได้ยินคำถามของเขา
“เอ้าตอบดิวะ
คิดถึงกูมั่งไหม..”
“มึงจะบ้าไปแล้วหรือไง
คำถามอะไรของมึงไร้สาระจริงๆ กลับเหอะ”
พูดจบทำท่าจะลุกแคปจึงก้าวเข้าไปดันไหล่กดไว้ให้นั่งลงไปอย่างเดิม
“ไม่เห็นไร้สาระเลยนี่
มึงตอบสิ คิดถึงกูมั่งหรือเปล่า”
“......................”
“เอส”
“คำว่าคิดถึงมันจะเพียงพอได้ยังไง
มึงอย่ามาบ้านะ”
“อะไรของมึงวะคำตอบอะไรล่ะนั่น
ตกลงมึงคิดถึงกันหรือเปล่า เอาดีๆ”
“ไม่เคยคิดถึงหรอกเว้ย!”
เอสลุกพรวดขึ้นก่อนตะคอกใส่คนตรงหน้าไปไม่แรงแต่ก็ไม่เบา
“โอ๋ย
เสียใจ” แคปบ่นอย่างอ่อนระโหยโรยแรง เขาเดินตามแทบไม่ทัน สาวเท้าฉับ ๆ
จนขึ้นไปตีคู่กับคนข้างหน้าได้แล้ว เอสหันมาจ้องหน้าตาเขียวเสียงดุดัน “สมน้ำหน้า”
“มึงพูดจริงดิ”
“อืม
จริง”
แคปเซ็ง...กว่าจะรู้สึกตัวว่าเดินตามอีกฝ่ายลงมาจนถึงด้านล่างแล้วก็ตอนที่มองเห็นร้านรวงที่ขายของมีเยอะแยะขึ้นกว่าตอนที่เดินขึ้นไปเสียอีก
คงเพราะเริ่มดึกแล้วร้านค้าต่าง ๆ รวมถึงนักท่องเที่ยวจึงคับคั่งขึ้น
แคปดึงแขนเอสบอกให้ไปเดินเล่นด้วยกันก่อนจะดูของเผื่อจะซื้อกลับบ้านไปฝากเฮียโก้
เอสชะงักไปนิดๆแต่ก็ยอมเดินตาม
“มึงว่าอันนี้สวยป่ะ”
ถามเหมือนผู้หญิงเลย
“ไม่สวย”
“ไอ้บ้ามึงพูดอะไรออกมาวะ
เบาเสียงหน่อยสิ” แคปกระซิบกระซาบด่า
วางของในมือลงแล้วดึงไอ้ตัวดีออกจากร้านแทบไม่ทัน
เอสที่ขืนตัวเดินตามแรงดึงได้แต่หันไปมองแล้วส่ายหัว
สายตามองไปเห็นร้านๆนึงมีของแปลกๆน่าสนใจเขาจึงเดินตรงเข้าไป
คราวนี้เป็นแคปที่เดินตาม
“อะไร
มึงซื้อกิ๊ปไปทำไม”
คนถามถึงกับตาเหลือกตอนที่เอสยื่นกิ๊ปปากเป็ดสีชมพูตัวใหญ่
ๆ ส่งให้คนขาย ใจนี่แทบจะหล่นไปถึงตาตุ่มนึกโน่นนี่นั่นแล้วร้าวรานจริง ๆ
อย่าบอกนะว่าจะซื้อไปฝากคู่หมั้นไม่ก็น้องโบว์นั่นน่ะ
“กลับได้หรือยัง
จะดูอะไรต่ออีกไหม”
เพราะว่าแคปเงียบไปตั้งแต่เดินกันออกมาจากร้านเครื่องประดับนั่น
เอสจึงถามขึ้น เขาหันไปรอฟังคำตอบ
“ไม่อ่ะ
กลับเลยก็ได้”
“ก็ดี”
ถ้อยคำง่าย
ๆ ที่คนฟังๆแล้วเจ็บจี๊ดเลย ก็ดี? มันคืออะไรวะ
มาเดินด้วยกันนี่น่าเบื่อมากใช่หรือเปล่า เหนื่อยมาก อึดอัดมาก
อยากจะกลับจะตายห่าแล้วแค่จำเป็นต้องมาเดินด้วยกันอะไรแบบนี้ใช่หรือเปล่า???
“เป็นอะไร”
“เราสองคนเป็นอะไรกัน”
“..................”
“เราสองคน
ตอนนี้อยู่ในฐานะอะไร”
“มึงอยากจะพูดอะไรกันแน่”
“กูก็แค่อยากรู้ว่าเราสองคน
ณ ตอนนี้ คบกันอยู่ในฐานะอะไร”
“มึงคิดว่าจีบกูแค่วันเดียว
จะมาให้กูตอบว่าตัวมึงอยู่ในฐานะอะไรของกูนี่มันเร็วไปหน่อยไหม
อยากพูดอะไรถามเข้าเรื่องมาเลย อย่าอ้อม”
“ก็ได้
ถามตรงๆแล้วมึงเองก็ต้องตอบมาให้ตรงด้วย”
“ถามว่า..”
สองคนเดินกันมาถึงที่รถ
แคปดึงแขนเอสให้ขยับเข้ามาใกล้ ๆเขาอีกนิดก่อนชั่งใจอยู่สักพักแล้วถามออกไป
“มึงซื้อกิ๊ปนั่นไปฝากใคร”
“.................”
“ถ้าไม่ตอบกูจะคิดว่ามึงซื้อไปฝากบรรดาผู้หญิงของมึง
ทั้งคู่หมั้น ทั้งน้องโบว์ ทั้งอะไรต่อมิอะไรที่กูยังไม้รู้อีก
เมื่อไหร่มึงจะเคลียร์ตัวเองให้จบไปวะกูไม่เข้าใจ บอกกูให้จีบแต่ตัวเองมีทั้งคู่หมั้นทั้งคู่ควงแบบนี้ไม่เห็นจะดีเลย
แบบนี้กูต้องทำคะแนนแค่ไหนถึงจะแซงหน้าคนสวย ๆ น่ารักๆแบบนั้นได้
มึงก็ต้องช่วยกูดิ
อย่างน้อยมึงเคลียร์ออกไปสักคนสองคนให้กูได้พอมีคู่แข่งสูสีเหลืออยู่แค่คนเดียวก็ยังดี
มึงก็รู้กูเป็นคนขี้หึง แล้วมาทำกันแบบนี้เกิดกูทนไม่ไหวถอยทัพกลับไร่ขึ้นมามึงคงจะดีใจใช่ไหมล่ะ
เอาไหมล่ะแบบนั้นน่ะ นี่โมโหแล้วนะบอกให้รู้ อีกนิดเดียวกูจะโกรธแล้วด้วย
บอกเลยเวลาห้าปีไม่ทำให้กูปากเสียน้อยลง ถ้ามึงยังไม่ยอมตอบอีก
กูจะด่ามึงให้ขี้หูเต้นระบำกันไปเลยเอาดิ”
พูดจบแล้วก็หอบแฮกๆ
พูดยาว ๆ บ่นยาว ๆ เหนื่อยฉิบหายเลยขอบอก
“จบหรือยัง”
“ห๊ะ?”
“พูดจบหรือยัง”
“เออจบแล้วสิ
มึงตอบมาเลย มึงซื้อให้......”
“เงียบซะ”
แคปพูดยังไม่ทันจบดีเขาต้องเบิกตาโพลงขึ้นมาเพราะว่าตกใจที่จู่ ๆ เอสเอ่ยแทรกขึ้นมาก่อนทำหน้าตายก้าวเข้ามาหาแล้วใช้มือเกลี่ยผมที่ยาวจนปรกตาแคปให้เบี่ยงไปด้านๆหนึ่ง
จากนั้นค่อย ๆ สอดกิ๊ปปากเป็ดสีชมพูเจ้าปัญหาหนีบลงไป
ช็อค!!
อ้าปากจะพูดแต่พูดไม่ออก
หลายๆอย่าในหัวตีกันให้อื้ออึงไปหมด เด็กหนุ่มในชุดพนักงานออฟฟิศเสือกต้องมาติดกิ๊ปปากเป็ดสีชมพูสดใสฟรุ๊งฟริ๊งกรุ๊งกริ๊งกระดิ่งเหมียว
ตายๆ
ดีหน่อยแถวนี้มืดสนิท
“หมะ...มึง....”
แคปจะพูดก็พูดไม่ออก ตายังแข็งค้างจ้องหน้าคนที่จู่ ๆ
ก็เลื่อนมือลงมาประคองสองแก้มเขาแล้วบีบจนบู้บี้ไปหมด
“อาไย..”
เค้นคำพูดออกมาแทบจะไม่ชัด เงยหน้ามองอีกฝ่ายที่ไม่รู้ว่าห้าปีที่ผ่านมามันไปแดกหัวอาหารอะไรมาทำไมถึงได้สูงขึ้นกว่าเขามากได้ขนาดนี้กัน
“อาไย๊...”
แคปถามเสียงสูงขึ้นมาอีกครั้ง ขณะที่เอสจู่ๆทำหน้าบึ้งตึงขึ้นมาอีกรอบ
จ้องหน้าแคปด้วยสายตาที่ดุดันแล้วเหยียดริมฝีปากพูด
“โครตขี้เหร่เลย
ทั้งอ้วนทั้งดำ”
ไอ้สัส!!!!!
แคปตาเหลือกเพราะคำด่า
แงะมือมันออกจากแก้มได้ ถอยหลังออกมาตั้งหลักแทบไม่ทัน
อยากจะชี้หน้าด่าแหลกกราดรัวลงไป หากแต่...
“ไม่อ้วนหรอก
กูน่ารัก” ต้องพูดเพราะๆดี ๆ
แล้วเดินก้าวเข้าไปหาพร้อมทั้งยื่นสองมือออกไปดึงชายเสื้อมันไว้ รู้สึกหน้าตัวเองร้อนจนแทบลวก
เขารีบหันหน้าหนีก่อนก้มงุดๆๆๆด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย ความเป็นชายชาติทหารของกูหายหมดเมื่อต้องอยู่ต่อหน้ามันในท่าออดอ้อนแบบนี้
มีเสียงหัวเราะทุ้มต่ำสะใจดังลอดออกมา
แคปจึงค่อยเงยหน้าดู กลับเห็นอีกคนปั้นหน้าบึ้งตึงรออยู่ เขาขยับปากถามเสียงเบา
“หัวเราะกูทำไม”
มึงอย่ามาหัวเราะกูนะไอ้สัส!!
“เปล่านี่”
หัวเราะกูชัดๆยังเสือกพูดว่าเปล่า
“งั้นเหรอ..”
“อืม”
ระหว่างทางบนรถทำไมถึงได้เงียบลงอีกแล้ว
เอสยังคงนั่งเบาะหลังรักษามาดเจ้านายชั้นสูงที่มีคนขับรถจำเป็นมาขับให้ ปอส่งข้อความมาบอกไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าให้ส่งเจ้านายของมันลงที่คฤหาสถ์ได้เลย
จะไปจอดรถรอแคปอยู่ที่นั่น
“ส่งที่บ้านมึงเลยใช่ไหม”
อย่างไรก็ตามแคปลองถามดู อย่างน้อยทำลายความเงียบขึ้นมาได้ เอสเพียงแค่ตอบอืมกลับมาเบา
ๆ
รถยนต์คันสวยยังถูกใช้เป็นเครื่องมือของแคปเหมือนเดิม
เพราะว่าตอนนี้แคปขับอ้อมไปสามโลก ยาวนานยิ่งกว่าขาไปเดินเล่นที่สะพานพุทธกันซะอีก
แต่ไม่รู้ทำไมเอสกลับไม่ว่าอะไรเลย
เขายังคงนั่งเงียบ ๆ
กระทั่งมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา
ที่จริงแล้วแคปได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือดังอยู่หลายต่อหลายครั้งเลยหากแต่อีกฝ่ายยกขึ้นมาตั้งเป็นระบบสั่นไว้แทน
เขาก็ยังคงได้ยิน
มาจนถึงตอนนี้จากระบบสั่นไหงถึงได้กลายเป็นเสียงเรียกเข้าชัดเจนขึ้นมาอีกแล้ว เอสมองดูที่หน้าจอชั่งใจสักครู่ก่อนกดรับสายไป
“ครับโบว์”
แคปแทบจะปล่อยพวงมาลัยทิ้งกลางทาง
อยากกระทืบเบรคจอดรถลงแล้วเดินหนีไปแม่งเสียตรงนี้
แต่ด้วยความเป็นจริงมันทำแบบนั้นไม่ได้หรอก
หูนี่บอดไปแล้วไม่อยากได้ยินว่าสองคนนั้นพูดคุยอะไรใส่กันบ้าง แต่ที่แน่ ๆ
เอสดูเหมือนจะอารมณ์ดีขึ้นทั้งที่มันแค่ตอบอืมๆๆครับๆๆไม่เห็นจะค่อยพูดจาเหี้ยไรมีแต่นั่งอมยิ้มอย่างเดียว
แคปปรับกระจกมองหลังขอดูหน้าไอ้คนใจร้ายให้ชัดอีกทีก่อนอดใจไม่ไหวจิ้มนิ้วใส่วอลุ่มวิทยุเสียงดังลั่นจ้าขึ้นมา
ขนาดตัวเองยังสะดุ้งนับประสาอะไรไอ้คนนั่งคุยอยู่ด้านหลัง
เอสรีบเอื้อมมือไปลดเสียงลงทันที ในตอนนั้นเองที่แคปเหยียบคันเร่งจมมิดลงไป
เบี่ยงรถออกเลนนอกแม่งเลยถนนโล่งดี
เอากับกูซี้!! กูทนไม่ไหวโว๊ยบอกเลย!!!
โชคดีฉิบหายมองเห็นปั๊ม
แคปเลี้ยวขวับเข้ามาจอดลง
“เข้าห้องน้ำแป๊ป”
ปัง!
พูดห้วนๆพร้อมกับปิดประตูรถแรง
ๆ ใส่ ก็อ้างไปงั้นแหละที่ว่าเข้าห้องน้ำน่ะ อันที่จริงไม่ได้เข้าอะไรหรอก เขาก็แค่ลงมายืนดูดบุหรี่ดับเครียดสักมวนสองมวนโดยที่ไม่อยากจะสนใจคนที่นั่งนิ่งอยู่เบาะหลังโดยที่ไม่ยอมพูดจาแก้ตัวเหี้ยไรเลย
ก็รู้อยู่ว่าคนอย่างเขามันขี้หึง
แล้วจะให้ไปวีนมันด่ามันแล้วบอกว่าตัวเองไม่ชอบใจจะทำแบบนั้นได้เหรอวะ...เขาอยู่ในฐานะอะไรของมันล่ะ
ความจริงก็เตือนตัวเองอยู่นะ อย่ารู้สึกมาก อย่ารักมาก อย่าหวังมาก
เพราะมันจะทำให้กูนี่แหละ เจ็บมาก!!
แคปยืนพ่นควันบุหรี่สงบจิตสงบใจอยู่สักพักใหญ่ๆ
กว่าจะกลับมานั่งประจำที่
“อารมณ์ดีขึ้นแล้วหรือไง”
ไม่ต้องมาถามหรอก
กูโกรธแล้ว โกรธมึงแล้ว แคปเงียบกริบ ตั้งอกตั้งใจขับเข้าทางลัดไป
เพื่อให้ถึงคฤหาสน์ยักษ์ของมันให้เร็วที่สุด
กูไม่อยากใช้พื้นที่หายใจร่วมกับมึงแล้วโว๊ย
รู้ไว้ซะ! โกรธแล้ว!!
“จอดตรงนี้แคป”
เอี๊ยด!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
สั่งกระชั้นชิดแบบนี้ไม่อยากตายดีน่าจะใช่
ดีนะที่เลี้ยวเข้าปากทางบ้านหลังใหญ่ของมันแล้ว
รถจอดลงแถวสนามของสวนสาธารณะที่เขาเคยมารอเจ้าปอนั่นแหละ
“เป็นอะไร”
“..................”
“กูคุยกับแฟนกู
มึงมีสิทธิ์โกรธด้วยเหรอ”
“..................”
“.................”
กระทั่งคนถามก็ยังจุกกับพูดของตัวเอง
ประสาอะไรกับคนฟัง ที่ตอนนี้ขบริมฝีปากแน่นิ่ง แคปหันกลับมามองหน้าเอสช้า ๆ
ในสมองคิดได้อยู่คำเดียว...จบเหอะ!
“กูส่งแค่นี้ละกัน
มึงขับเข้าบ้านเอง” แคปตอบหน้านิ่งเปิดประตูแล้วมุดออกไปเลย
ไม่อยากฟังคำพูดปากดีที่ทำเอาหัวใจดวงเล็กๆของเขาเจ็บปวดรวดร้าวแบบนี้อีกแล้ว
เจ็บฉิบหาย เจ็บสัสๆเลยเหี้ย กูนี่อยากร้องไห้แล้ว
หมับ!
เอสเองก็เร็วไม่แพ้กันเขาเปิดรถตามลงมาแล้วคว้าหมับเข้าที่แขนของคนที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาจะเดินจากไป
ภายใต้แสงจันทร์กระจ่างนวลตาสะท้อนเสี้ยวใบหน้าเล็กที่แลดูเศร้าหมองทำเอาคนมองหัวใจหล่นวูบ
กลิ่นหอมของดอกไม้โบราณยามค่ำคืนที่ลอยเอื่อยอยู่รอบอาณาบริเวณไม่ได้ช่วยลดทอนอารมณ์ขุ่นมัวในหัวใจของแคปลงได้เลยแม้แต่น้อย
เขาไม่แม้แต่อยากจะหันกลับมามองหน้าคนฉุดรั้งข้อมือเขาไว้เลยด้วยซ้ำ
“...........................”
“...........................”
“มึงอยากให้กูพอตอนนี้เลยไหมเอส”
กูก็คนนะเจ็บเป็นเหมือนกัน
“ความอดทนต่ำจริงๆนะแคป”
“ก็แล้วมึงจะมาแค้นเหี้ยไรกูนักหนาล่ะ
กูผิดเหรอ ใช่!
แล้วตอนนี้กูกลับมาง้อมึงไหมก็ง้อ!!
แล้วจะเอายังไงอีก ต้องแกล้งพูดจาทำร้ายหัวใจกูอีกสักเท่าไหร่มึงถึงจะพอใจ ต้องให้กูหายไปจากชีวิตมึงอีกครั้งใช่ไหมห๊ะ!!!”
คนพูดด่าจนหอบในขณะที่คนฟังหน้าบึ้งตึงขึ้นมาเพราะคำพูดส่วนท้ายประโยคนั่น
สองคนจ้องหน้ากันตาเขียวอื๋อ
บรรยากาศรอบตัวตึงเครียดจนถึงที่สุดแต่แคปไม่อยากจะสนใจเหี้ยไรอีก
เขาก้าวเข้าหาเอสแล้วกระชากคอเสื้อมันดึงเข้าหาตัวอย่างแรง
“กูจะบอกอะไรให้นะ
เห็นกูอ่อนข้อให้แบบนี้ไม่ใช่ว่ากูจะกลัวหรือว่ายอมแพ้มึงนะไอ้สัส คนอย่างกู ถ้า-ไม่-รัก-กู-ไม่-ทำ!
มึงจำใส่กระโหลกกะลามึงไว้ด้วย!!!”
ตะคอกจบไม่ต้องให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัวแคปจิกล็อคท้ายทอยหนารั้งเข้ามาแล้วเบียดบดริมฝีปากลงไป
คนถูกกระทำตาเบิกกว้างขึ้นตั้งแต่ได้ยินคำสารภาพรักเห่ยๆนั่นแล้ว
แคปขบกัดริมฝีปากล่างของเอสให้เปิดอ้าออกราวกับกำลังทำโทษ
ก่อนจะสอดเรียวลิ้นดุดันเข้าไปเกี่ยวรัด ปลายลิ้นที่แสดงออกถึงความโหยหา คิดถึง
และคำนึง ตลอดห้าปีที่ผ่านมานี้ ความรู้สึกที่กำลังถูกส่งออกไปเอ่อล้นขึ้นจนคนที่กำลังตั้งรับถึงกับมีน้ำใสๆไหลรินออกมาจากหางตาหนึ่งหยด แคปชะงักทว่าฝ่ามือใหญ่เลื่อนขึ้นมาอย่างเชื่องช้าก่อนสอดเข้าที่กลุ่มผมนุ่มแล้วเริ่มใช้หัวใจโต้ตอบกลับไปด้วยความรู้สึกสุดแสนรัก
เสน่หา และอาทร ทั้งสองฝ่ายต่างถ่ายทอดความรู้สึกนับร้อยนับหมื่นที่ได้ตกหล่นหายไป
คำพูดที่ไม่เคยได้พูดจากหัวใจที่หนักอึ้งเอสถ่ายทอดทั้งหมดลงในจูบนี้เช่นเดียวกันกับแคป
จูบที่ทั้งหนักหน่วง รุนแรงทว่ากลับกลายเป็นอ่อนหวานซ่านซึ้งหัวใจ ไม่มีคำพูดไหนๆจะมาบรรยายความรู้สึกทั้งหมดจากใจของพวกเขาได้
ไม่รู้ว่าแคปก้าวถอยจนแผ่นหลังชิดติดกับตัวรถตั้งแต่ตอนไหน
ไม่รู้ว่าฝ่ายที่กลายเป็นคนคุมเกมส์เปลี่ยนมือจากแคปไปเป็นเอสตั้งแต่เมื่อไหร่
รู้แค่ว่าบัดนี้...เมื่อสองคนผละออกจากกัน
ดวงตาสองคู่กลับยังคงจ้องกันและกันอยู่ไม่ยอมปล่อย คนที่หน้าเห่อร้อนขึ้นมาก่อนกลับกลายเป็นแคป
เขาดันตัวเอสออกห่างก่อนเบือนหน้าหนีไปอีกทาง
บอกกับเอสว่าให้ขึ้นรถเดี๋ยวจะขับเข้าไปส่งให้ถึงด้านใน
ระหว่างทางเดินรถสั้น ๆ
แคปกลับคิดวนเวียนอยู่แค่การกระทำก่อนหน้านี้ สมองเจ้ากรรมวอนถูกเขาลงมะเหงกใส่นัก
คิดไปหน้าก็ร้อนฉ่าไปหูเหอแดงไปหมด แตกต่างจากคนข้างหลังที่กลับนั่งเงียบกริบไม่พูดไม่จาอะไรเลย
รถมาจอดนิ่งอยู่ที่หน้าทางเข้ารอประตูค่อย
ๆ ถูกเปิดออก ยามรักษาการณ์ทำความเคารพเมื่อรถเจ้านายตัวเองขับผ่าน
ทุกอย่างบนรถเงียบกริบ
คือมันเงียบมาตั้งแต่ก่อนหน้านั้นแล้วแคปเองก็อยากได้ยินเสียงไอ้คนข้างหลังมั่งไรมั่ง
ไม่รู้ว่ามันคิดยังไงที่ถูกเขาขโมยจูบไปแบบนั้น
แต่ก็เปล่าเลย
เงียบจนรถเคลื่อนมาจอดลง แคปมองเห็นปอเดินยืนอยู่กับใครสักคนแถวโรงจอดรถไม่ไกลนัก
เขาหันไปมองคนข้างหลังอีกครั้งก่อนตัดสินใจดับเครื่องลง
สองคนจ้องหน้ากัน
แต่ก็ยังคงเงียบ ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจของแคปล้นเอ่อขึ้นมา
มานั่งรอมันประชุมทั้งวัน
ตั้งใจมาขับรถให้ทั้งไปทั้งกลับ
พาไปดินเนอร์แม้จะเป็นอาหารถูกๆแต่ก็ถือวาเป็นอาหารที่แสนอร่อย นี่ยังไม่พอ
เขายังพามันไปขับรถเที่ยวรอบกรุงเทพ พาไปเดินเล่นตลาดนัดที่ขึ้นชื่อว่าสวยงาม พาไปเดินบนสะพานที่สุดแสนจะโรแมนติก
ชมจันทร์ชมบรรยากาศไปด้วยกัน ตบท้ายด้วยการขับรถพามันกลับบ้าน
แล้วผลที่ได้คืออะไร
คำพูดเสียดหูชวนให้เจ็บปวดใจ ต้องฟังมันคุยโทรศัพท์กับคนที่มันเรียกเขาว่าแฟน
สุดท้ายพอเขาโมโหทนไม่ไหวจะแยกตัวกลับมันก็กลับมาดึงแขนเขาไว้ จะพูดอะไรก็เสือกไม่พูด
มิหนำซ้ำพอเราสองคนจูบกันมันกลับนิ่งงันเงียบไปอีกทำเอาซะกูหมดความมั่นใจ
ถึงแม้สุดท้ายจะดูเหมือนว่ามันจะเป็นคนตะโบมจูบเองก็เถอะ
แต่สุดท้ายแล้วจนถึงตอนนี้มันก็ไม่เห็นจะพูดจายินดียินร้ายอะไรเลยสักคำ
แคปคิดๆไปแล้วก็ห่อเหี่ยว
แววตาที่เต็มไปด้วยการตัดพ้อและความน้อยอกน้อยใจ
เขาพ่นลมหายใจยาว ๆ ก่อนหันตัวกลับดึงกุญแจรถออกมาจะก้าวลง
ทว่าคำพูดที่ทำให้ต้องตกใจจากคนข้างหลังดังทุ้มขึ้น
“จะจ้างมาเป็นคนขับรถให้กูนั่ง
มึงคิดราคาเท่าไหร่”
.
.
.
.
.
ห๊ะ? แคปชะงักพลางกลอกตานึก..
.
.
.
.
.
.
“ว่ายังไง
คิดเท่าไหร่”
มันพูดอะไรวะ
พูดจริงจังหรือเปล่า แล้วคำถามนั่น...จริงจังแค่ไหน?
“ตอบมาสิ”
“ใครจะไปมีเวลามาเล่นพ่อแง่แม่งอนกับมึงได้ทุกวี่ทุกวัน
กูเองก็มีการมีงานทำมั่งเหอะ”
“อย่าเข้าใจผิดไป
ก็แค่สองวันต่อสัปดาห์ หน้าที่คนขับรถ......เหมาตลอดชีวิตของมึงนั่นแหละ”
แคปถึงกับนิ่งงันไปเมื่อได้ยินคำพูดเต็มประโยคชัดเจน
ความหมายก็คือต่างคนต่างทำงานแล้วเขาต้องเข้ากรุงมาขับรถให้มันสองวันต่อสัปดาห์เพื่อที่เราสองคนจะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันบ้าง
ไรแบบนี้เหรอ???
“กูนับแค่ถึงสาม
ถ้าไม่ตอบถือว่าไม่เคยถาม ทุกอย่างจบ”
..เดี๋ยว
อย่าเพิ่งนับนะ..
“หนึ่ง..”
.
.
.
.
จะนับเหี้ยไรเร็วขนาดนั้น!! มึงไม่ให้เวลากูได้คิดเล๊ยยยยยยยยยยไอ้ห่าราก
.
.
.
.
“สอง...”
.
.
.
.
เร็วจริงเร็วจัง
กูตอบเร็วไปจะหาว่ากูง่ายไหมวะฮึ๊ยยยย เป็นคนขับรถเนี่ยนะ
จีบเพื่อจะกลายเป็นแค่คนขับรถของมันเนี่ยนะ!!!
.
.
.
.
.
“สะ....
“ทรัพย์สินทั้งหมดที่มึงมี
เงินสดในตู้เซฟ ทองคำ เครื่องเพชร
โฉนดบ้านและที่ดินนี่ยังไม่รวมหุ้นลมหุ้มน้ำหุ้นไฟ อ้อแถมอีกอย่าง
เครดิตหุ้นบริษัทน้ำมันที่รัชชาเอี่ยวกับคูเวต กูขอจุดนั้นด้วยนะ”
.
.
.
คนขับรถ...ขอขนาดนี้มากไปไหมวะ??
.
.
.
.
“แคป..”
“อะไร”
“กูจนเลยนะถ้าให้มึงไปทั้งหมดแบบนั้นน่ะ”
“นั่นล่ะคือเหตุผลของกูเลย” แคปตอบออกมาหน้าตาย พี่ชายกูไม่ชอบคนรวยมึงรู้ไหม
“ใครก็ได้ที่มึงรัก
ขออย่างเดียวห้ามรวย”
หึหึ
เฮียเต้ครับ ผมฉลาดเป็นกรดเลยใช่ไหมล่ะ
“แสบจริงๆนะมึง”
แคปหรี่ตายิ้มให้จนตาหยีกลายเป็นขีดสระอิ
รอยยิ้มสดใสแบบนี้เอสไม่ได้เห็นนานแสนนานมาแล้ว หัวใจเขาเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ แต่ยังทำหน้านิ่ง
ๆ ไว้
“ถ้าอาทิตย์หน้ามึงไม่มาเริ่มทำงาน
กูจะตัดเงินเดือนมึงให้เกลี้ยงเลย”
“นี่กูมีเงินเดือนด้วยเหรอ..”
นึกว่าจะได้แต่ทรัพย์สินมรดกของหมั้น
“สมุดบัญชีทุกเล่มของกูไง
แค่นั้นยังไม่พอค่าข้าวผัดก๋วยเตี๋ยวข้าวมันไก่ของโปรดมึงอีกหรือไงห๊ะ” เอสประชด
ขณะที่แคปยังยิ้มเผล่ “อ่ะให้กูจริงดิ?”
มึงจนแน่ ๆ แล้วไอ้คุณเอส งั้นกูก็ขอรับไว้แบบไม่เกรงใจเลยละกันนะ
เอสจ้องคนพูดตาเขียว
“โอ๋ๆๆอย่าโมโหน่า
กูมาแน่สิครับ
เดี๋ยวค่อยสลับกันนะมึงไปทำสวนที่ไร่กูด้วย
ส่วนกูก็เข้ามาขับรถในเมืองกรุงให้มึง
แล้วต่อไปก็จะพูดจาให้เพราะๆ จะขับรถให้นิ่มๆ และจะแถมทั้งตัวทั้งหัวใจให้เจ้านายเลย..”
“อย่ามาตลก”
“ไม่ไหวไม่ฝืนครับนาย
อะไรที่ทำให้นายยิ้มได้ผมจะทำ แต่ก่อนอื่นเคลียร์ผู้หญิงของนายให้ผมด้วยนา
อย่าลืมเรื่องนี้ซะล่ะ”
“หึ...”
รอยยิ้มลี้ลับปรากฏขึ้นที่มุมปากหยักเผยให้เห็นฟันกระต่ายขาวสวย
แคปโคตรเกลียดรอยยิ้มแบบนี้ของมัน พูดเรื่องผู้หญิงทีไรได้รอยยิ้มลึกลับกลับมาทุกที
เกลียดๆๆๆๆๆๆๆ บ้าชะมัด
ทั้งที่เกลียดแต่ทำไมใจถึงเต้นเพราะรอยย้มบ้าๆของมันได้กันวะ
แคปเปิดผั๊วะแก๊ะหน้ารถออกแล้วหยิบตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลอ่อนตัวเล็กยื่นส่งให้
มันเป็นของที่เขาซื้อติดมือมาเมื่อตอนกลางวันข้างร้านกาแฟนั่น
เอสมองตุ๊กตาหมีแล้วหน้าเห่อร้อนขึ้นมา
เขาเม้มปากแน่นอับจนไปด้วยคำพูดเนื่องจากกำลังตกใจไม่คิดว่าตัวเองจะได้รับตุ๊กตาหมีเป็นของจีบ
สุดท้ายแล้วอ้าปากขึ้นจะต่อว่าแก้เขินสักหน่อยทว่าแคปกลับยิ้มแล้วพูดจาห้วนๆ
“ฝากไปให้ลูกชายกูด้วย คูเปอร์อ่ะ”
เออดี....นี่ตกลงไม่ใช่ของเขางั้นสิ
เอสชักหงุดหงิดใจ คิ้วขมวดจนย่นเป็นปม
“บอกมันว่าแม่มันคลอดน้องตัวใหม่แล้วเอามาให้เล่นเป็นเพื่อน
ไว้วันหลังจะเข้าไปหา..ถ้ามึงอนุญาตน่ะนะ”
แคปมองคนที่ทำหน้าบึ้งจ้องหมีในมือเขาราวกับมันจะจับขึ้นมาฉีกกิน
จะพูดอะไรก็ไม่พูด เขาจึงถือโอกาสพูดต่อแบบกวนๆ
“แต่ถ้ามึงอิจฉาหมาเดี๋ยวไว้วันหลังกูจะซื้อตัวใหม่มาให้นะ เอาหมวกหมี
แว่นหมี กระโปรงหมี เสื้อหมี รองเท้าหมี เอาให้ครบชุดน้องหมีเลยดีมะ?”
“ประสาทจริงๆ”
เอสแค่นเสียงใส่ก่อนคว้าหมับดึงเอาตุ๊กตาหมีตัวเล็กจะเปิดรถลง
ทว่าแคปกลับคว้าข้อมือใหญ่ไว้ได้อีกครั้ง “นี่..”
“อะไรอีก”
“เมื่อกี้เราจูบกันแล้วนะ”
“แล้วยังไง”
“..................”
แคปนิ่ง ขบปากจ้องหน้า
“ถ้าไม่พูดต่อก็ปล่อยมือ จะลง”
“มาเริ่มต้นกันใหม่อีกสักครั้งได้ไหมวะ
เปิดใจให้กู ให้โอกาสกูได้แก้ตัวนะ”
“..................”
นัยน์ตาคมกริบของคนฟังดูเหมือนทอประกายขึ้นชั่วขณะ
แต่ทว่าเวลาเพียงแค่ชั่ววินาทีก็หวนกลับคืนมาเป็นแววตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดเย็นชาและเย่อหยิ่งเช่นเดิม
แคปจ้องมองดวงตาที่ลึกจนสุดจะหยั่งนั่นแน่นิ่ง
ดวงตาที่ราวกับจะแช่แข็งหัวใจของคนมองให้จมดิ่งลงไปกับความรู้สึกผิดที่ท่วมท้นขึ้นมา
เวลาห้าปีทรมานและกัดกร่อนคนๆนึงให้กลายเป็นคนไร้หัวใจและเย็นชาได้ถึงเพียงนี้
“เราสองคน...ยังพอจะมีทางเป็นไปได้อีกสักครั้งไหม”
...เราสองคน
ยังใจตรงกันอยู่ใช่ไหม...
บางที..
บางครั้ง..
บางคำพูด..
.
.
.
.
หากไม่เอ่ยออกมาให้ได้ยินเสียเลย
ยังจะดีกว่า...
“ไม่...”
..เธอไม่รักฉันเลยใช่ไหม
บอกทีว่าใจของเราไม่ตรงกัน
ฉันเข้าใจผิดเอง
คิดเอง เออเองทั้งนั้น
พูดแค่เธอไม่รัก
ไม่รัก ก็จะไปให้พ้นจะไม่มาให้รำคาญ
ขอพูดคำว่าฉันรักเธอในใจก็พอ...
(Cr.เพลงขอพูดในใจ-เวียร์)
++++++++++++++
(แถมรัวๆนอกบท-1-)
บนรถระหว่างกลับ
ปอเป็นคนขับขณะที่แคปนั่งเหม่อ
“เศร้าเชียวนะมึง
หมาหงอยหรือไงวะ”
“ยุ่งอะไรล่ะ”
“ก็ไม่อยากจะยุ่งหรอก
แต่เดี๋ยวจะแวะปั๊มเติมน้ำมันหน่อย”
“แล้วยังไง
มึงอยากจะพูดอะไรกันแน่” แคปชักเอะใจกับสายตาของเพื่อน
“ก็ของบนหัวมึงน่ะ
เอาออกสักทีสิ”
“เอาอะไรออก
เหี้ยไรของมึง”
แคปฉุกใจคิดในตอนที่มองตามสายตาขบขันของเพื่อน
เขายกมือจับที่หัวตัวเองแล้วหน้าจืดขึ้นมา โอ๊ยไอ้สัส! นี่กูหนีบกิ๊ปสีชมพูแบบนี้อยู่บนหัวตั้งแต่ตอนไหนแล้ววะเนี่ย!!!!!!
“กูกะนึกว่ามึงชอบ
ไปเอามาจากไหนล่ะนั่น”
ไปถามเจ้านายมึงดูไป๊
“อย่ามายุ่งกับกูเหอะ หัวกูอ่ะใช่หัวมึงเรอะ!”
ปอหัวเราะขณะที่แคปรู้สึกปลง
หน้าทั้งหน้าร้อนผ่าว
อายที่สุดคือไปยืนทำเท่หน้าเครียดดูดบุหรี่อยู่ที่ปั๊มทั้งที่ติดอิฟรุ๊งฟริ๊งแบบนี้อยู่บนหัว
โอ๊ยฮื้อฮือๆๆๆๆ
+++++++++++++++
(แถมรัวๆนอกบท-2-)
เอสเดินเช็ดผมออกมาจากห้องน้ำ
คูเปอร์เห่าเสียงเล็กๆอ้อนร้องงอแงไม่หยุด เขาจึงก้มลงไปลูบหัวมัน
“เป็นอะไร”
“โฮ่ง!”
“โกรธพี่เหรอ”
เมื่อเช้าเจ้าคูเปอร์โดนเขาสั่งกักบริเวณ
เหตุเพราะว่ามันไปแทะขาโต๊ะอาหารในห้องครัว
แม่บ้านร้องโวยวายตกใจมันเลยคาบผ้าปูโต๊ะแล้วลากลงมาข้าวของร่วงกระจาย
ก็นึกว่ามันจะโดนดุ แต่ที่ไหนได้ทุกคนในบ้านต่างโอ๋มันทั้งหมด
ยิ่งกับคุณแม่และอาป๊าเขาด้วยแล้ว เพราะงั้นเขาจึงต้องเป็นคนสั่งทำโทษมันเอง
“โฮ่ง!” คูเปอร์เห่าอีกรอบ
ดุนดันจมูกใส่มือแล้ววิ่งนำไปที่เตียงก่อนเดินไปดมมือเอสอีกครั้ง มันคาบเลยทีนี้
ดึงมือเจ้านายแล้วทำหน้าทำตาแสดงกิริยาว่าให้เดินมาด้วยกัน เอสจึงเดินตามไปดู
“คูเปอร์จะเอาอะไร”
“หงิ๊งๆๆๆ”
โตเท่าควายแล้วยังร้องเสียงเหมือนหมาเด็ก เอสมองดูสิ่งที่มันจ้องอยู่ เจ้าคูเปอร์จอมฉลาดมันเอาคางเกยขอบเตียงไว้แล้วจ้องตาเป็นมันไปที่ตุ๊กตาหมีตัวที่เอสเพิ่งได้มาใหม่
ตุ๊กตาของแคป
หมีสีน้ำตาลที่แคปเป็นคนฝากมาให้เจ้าหมามัน
แต่ว่าตอนนี้กลับไปตั้งอยู่ข้างหมอนหนุนเขาเอง
“นั่นไม่ได้”
เอสทำเสียงดุใส่สายหน้าแล้วบอกเล่นไม่ได้ ห้ามเล่น
คูเปอร์หันมาจ้องหน้าเจ้านายแล้วร้องประท้วงเสียงเล็กในคอขึ้นอีก มันทำท่าไม่ยอมและจะเอา เอสจึงอุ้มมันขึ้นมาแบบดี ๆ
หนักแสนจะหนักก็เพราะมันตัวใหญ่
“มานอนตรงนี้เลยเจ้าหมูอ้วน
อันนั้นน่ะเล่นไม่ได้ ไว้พี่จะซื้อมาให้ใหม่ทีหลัง คูเปอร์เล่นตัวเก่าไปก่อน”
“โฮ่ง!” มันแยกเขี้ยวนิดๆแล้วเห่าประท้วงอีก
ถ้าเป็นคนคงถามว่าทำไม เอสจึงจ้องหน้ามันแบบดุๆ มันร้องเสียงเล็กใส่ต่อหงิ๊งๆๆออดอ้อน
“โอเคๆได้แค่ดมนะรู้ไหม”
เขาจำใจเดินไปเอาหมีเล็กมายื่นให้มันดม
คูเปอร์ทำหน้าทำตาดีใจกระดิกหาง เอสเพิ่งรู้วันนี้ล่ะ ว่าหมาก็ยิ้มเป็น
เขาส่ายหัวแล้วรีบดึงตุ๊กตาหมีออกมาก่อนที่อุ้งเท้าโตๆของมันจะตะปบเอาหมีน้อยไปนอนกกนอนกอด
คราวนี้คูเปอร์ถึงกับงอน
พ่นลมหายใจออกมาทางจมูกยาว ๆ ดังพรืดก่อนหันหน้าหนีจากเจ้านายนอนเอียงหัวไปอีกทาง
เอสเห็นแบบนั้นแล้วอยากจะเตะตูดมันนัก เขาวางมือหนักๆลูบหลังคอมัน
“ไว้วันหลังจะพาพี่แคปมาหา
ถึงตอนนั้นคูเปอร์ต้องแกล้งงอนเป็นเพื่อนพี่ด้วยนะ ห้ามดีใจมากรู้ไหม”
คูเปอร์หันควับมาจ้องหน้าเอสแทบจะทันทีที่ได้ยินชื่อแคป
มันส่งเสียงในลำคอแผ่วเบา
เอสจึงพยักหน้าบอกให้มันนอนก่อนหลับตาลงแล้วนึกถึงช่วงเวลาที่เขาได้สัมผัสริมฝีปากนั่นอีกครั้ง
“รออีกนิดนึงนะหมูน้อย รออีกแค่นิดเดียว..”
Tbc.