[29]
เรื่องมันยุ่งยากที่สุด
ตรงนี้....
ปรเมทวางโทรศัพท์มือถือลงพร้อมกับใบหน้าที่แลดูเคร่งเครียดขึ้นนิดๆ
ข้อความจากไอ้เพื่อนสนิทตัวดีที่สั่งตรงมาจากไร่นั่น
(มึงเข้าไปสังเกตให้กูทีสิวะ
เจ้านายมึงช่วงนี้อารมณ์เสียบ่อยหรือเปล่า ชอบทำหงุดหงิดหน้าตาเหมือนยักษ์จ้องจะกินคนอะไรแบบนั้นน่ะ
ช่วงนี้เป็นบ่อยไหม)
“ห๊ะ? อะไรของมึงวะแคป วันนี้ก็จะให้กูดูอีกจริงดิ”
ช่วงอาทิตย์นี้ดูไปกี่ครั้งแล้ววะเนี่ย
(เอาน่า ทำตามที่กูบอก
ถ้ามึงมาที่ไร่กูติดกาแฟไซส์พิเศษมึงแก้วนึง จะชงให้สุดฝีมือเลย)
“เดี๋ยว กูยังไม่ได้บอกเลยว่าตกลงจะดูให้อีก”
(แต่กูเป็นเพื่อนมึงนาไอ้ปอ ทำตามที่กูบอกซะดีๆ!)
“แคปมึงแม่ง”
(ก็เออสิ กูไม่วานให้มึงช่วย ให้กูวานใคร)
“โถ่แคป
กูก็บอกมึงไปแล้วเรื่องแค่นี้ไม่เห็นต้องเข้าไปดูให้ยุ่งยาก
กูเจอกับเขาทุกวันเห็นกันทุกวันคุยกันทุกวัน กูบอกมึงแล้ว เจ้านายกูน่ะ...ปกติ”
(กูไม่เชื่อ) แคปยืนยัน
“พอกูบอกความจริงก็ไม่เชื่อ”
(นี่จริงเหรอวะ นายมึงไม่หงุดหงิดสักนิดจริงดิ)
“อืม คุณเอสปกติว่ะ”
(แปลก)
“ทำไมมึงถึงคิดว่าแปลก” มันแปลกเหรอวะ
เจ้านายเขาก็ชอบทำหน้านิ่ง ๆ แบบนี้ตลอดอยู่แล้ว
(.........................) ก็แปลกสิ คนอะไรบอกให้เขาจีบ
พอเขาตกลงแล้วตั้งใจหายตัวไปนานๆมันกลับไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิดเหรอวะ???
แคปคิดจนหัวคิ้วพันกันยุ่งไปหมด
“แคป? ยังอยู่ป่ะเนี่ย” เพราะว่าแคปเงียบหายไปนานปอจึงเรียกขึ้น
(เออๆช่างเหอะ เอาใหม่ดิ๊ไอ้ปอ
มึงช่วยกูอีกนิดดูให้หน่อยวันนี้เจ้านายมึงมีหงุดหงิดมั่งไหม ช่วยเข้าไปดูให้กูที
เดี๋ยวอีกสักครึ่งชั่วโมงกูโทรหามึงนะ)
“กูเข้าไปสืบให้มึงก็ได้ แต่มึงต้องตอบคำถามกูมาก่อน”
(ว่า...)
“ทำไมมึงไม่เข้ามาหาเจ้านายกูเลยวะ
มึงหายหัวไปไหนตั้งเกือบสองอาทิตย์ ไหนว่ามึงจะ...”
(โอ๊ยๆๆๆไอ้หมาปอมึงมันไม่รู้อะไร กูแม่งเตรียมการอยู่
มึงก็รู้กูไม่เคยจีบผู้ชายกูก็ต้องเตรียมมั่งไรมั่ง)
“เตรียมอะไรของมึงวะ หายหัวไปตั้งนาน ถ้ากูเป็นคนรอนะ
ขาดใจตายรอนานเกิ๊น”
(ใช่ไหมล่ะ กูก็กะให้เจ้านายมึงหงุดหงิดงุ่นง่าน
รอกูจนแทบขาดใจตายไปเลยล่ะ ถึงตอนนั้นอะไรๆมันก็ง่ายยยย หึหึ)
ปอขำพรืดออกมาในความเจ้าเล่ห์ของแคป จะว่าไปมันก็จริง
เสียงหัวเราะน่าจะดังจนแคปต้องจุ๊ปากปรามแบบดุ ๆ สุดท้าย เขาก็ถามออกมาว่า
“แล้วมึงจะมาหานายกูวันไหนน่ะ”
(เร็ว ๆ นี้)
.
.
หลังจากนั่งคิดตามคำพูดเพื่อนรักเพื่อนแสบอยู่ครู่หนึ่งปอตัดสินใจลุกขึ้นไปชงกาแฟร้อนก่อนเดินไปเคาะประตูห้องทำงานของเจ้านาย
พอค่อย ๆ เปิดเข้าไปเจ้าของห้องเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะทำงานตัวใหญ่
หน้าตาไม่ต้องบอกก็น่าจะรู้ว่าดูนิ่ง ๆ
และสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคำถาม....มึงจะเข้ามาทำไม กูไม่ได้เรียก
แต่ปอหาได้สนใจไม่ เขาต้องทำตามคำขอร้องของไอ้เพื่อนเกลอก่อน
“กาแฟครับ”
“ขอบใจ”
แก้วกาแฟแทบหลุดมือตอนที่ปอได้ยินคำว่าขอบใจจากปากเจ้านายตัวเอง
ทุกทีจะโดนด่าสิไม่ว่า บังอาจเสิร์ฟกาแฟให้ทั้งที่ไม่ได้สั่ง แต่วันนี้แปลก
หรือว่าจะอารมณ์ดี..............ไม่จริ๊ง!!!
“มีอะไร” เพราะว่าปอยืนจ้องเขาตาโต ไม่ยอมออกไป
เอสที่กำลังจะยื่นมือไปหยิบแก้วกาแฟมากินจึงถามขึ้น
“คุณเอสไม่ออกไปที่ไหนเหรอครับ”
“ทำไม” เอสสวนกลับเสียงดุ
ปอสะดุ้งกับเสียงนั่นแต่แล้วเขานึกบางอย่างขึ้นได้จึงอมยิ้มออกมานิดๆ
“เพราะว่าคุณอารมณ์เสียมากจนไม่คิดจะออกไปที่ไหนเลยใช่ไหมครับ”
เพราะว่าเพื่อนผมไม่ยอมมาหา นั่นทำให้คุณอารมณ์เสีย รอแล้วรอเล่าเฝ้าแต่รอ หึหึ
ปอนึกกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ แคปมันต้องมีอิทธิพลกับเจ้านายเขามากพอดูแน่ ๆ ล่ะ
แต่ทว่าคำตอบของเอสก็คือ
“อารมณ์เสีย? ไม่นี่
ช่วงนี้กูรู้สึกตัวเองอารมณ์ดีเป็นพิเศษด้วยซ้ำ กำลังนึกอยู่เลยว่าคืนนี้จะชวนสาวสวยคนไหนไปเที่ยวด้วยดี
มึงเองจะไปด้วยกันไหมล่ะ”
“...............” ปออึ้งไปกับคำตอบนั่น
นึกเสียใจแทนแคปจนต้องก้มหน้าไว้อาลัยให้มันเลยทีเดียว
“ออกไปได้แล้ว กูจะทำงาน”
“ครับนาย” คนถูกไล่ตอบเสียงแผ่วถอยหลังออกมาแทบไม่ทัน
เขาทิ้งตัวนั่งลงที่โต๊ะสักพักมีเสียงโทรศัพท์ดังเรียกเข้ามา
พอเห็นเป็นชื่อแคปเขาถึงกับนึกคำพูดที่จะปลอบใจมันไม่ออก
ก็รู้ว่าแคปมันค่อนข้างหวัง แต่เจ้านายเขาทำแบบนี้ก็เหมือนกับว่า
แคปมันไม่สำคัญอะไรเลย จะมาจะไปไม่มีผลอะไรสักนิด
ที่สำคัญ ช่วงเกือบ ๆ สองอาทิตย์ที่ผ่านมา เขายังไม่เคยเห็นเจ้านายเขาเปิดคลิปวีดีโอวันคริสมาสต์ที่เพียรดูมาตลอดห้าปี
ขึ้นมาดูอีกเลยแม้แต่ครั้งเดียว
แปลก...
ช่วงสายของวันนี้อากาศที่ไร่ยังคงร้อนระอุ
ต้นมังคุดขนาดใหญ่แผ่กิ่งก้านออกมาปกคลุมให้ร่มเงา ข้างๆกันเป็นต้นเงาะที่จวนจะหมดฤดู
“คุณแคป?
เป็นอะไรครับ”
โชนสังเกตเห็นว่าแคปที่กำลังนั่งย่อตัวคุยเรื่องพืชเรื่องดินกับเขาอยู่ดี
ๆ จู่ ๆ มีสายเรียกเข้าแล้วคุยไปสักพักหน้าตาอารมณ์ดี ๆ กลับหดหายไปหมด
เหลือแต่คุณแคปที่ทำหน้าตาเซ็งโลก ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
ในแววตาแฝงไปด้วยความกังวลเต็มดวงหน้าและยิ่งกว่านั้นหลังจากกดวางสายแล้วกลับถอนหายใจออกมาหนักหน่วง
ทิ้งตัวนั่งแหมะลงที่พื้นดิน ไม่สนใจว่าจะเปื้อนจะดำอะไรทั้งนั้น
“มีอะไรรึเปล่าครับ ต้องให้ผมไปรายงานคุณโก้ไหม” โชนถามขึ้นเพราะเห็นท่าไม่ค่อยดีแล้ว
เขารีบลุกขึ้น หากแต่แคปกลับคว้าแขนไว้แล้วฉุดให้นั่งลงที่เดิม
“คุณแคปมีอะไรไม่สบายใจเล่าให้ผมฟังได้นะครับ
ผมเป็นที่ปรึกษาให้”
ความจริงแล้วโชนอายุมากกว่าแคปแค่ไม่กี่ปี
เขามาอยู่ที่ไร่นี้ตามคำสั่งของนายเหนือชีวิตเพราะว่าคุณเอสมีพระคุณกับเขาและครอบครัวอย่างหาที่จะเปรียบไว้ไม่ได้
การที่เขาถูกนายสั่งให้มาประจำการอยู่ที่นี่มันยังไม่เพียงพอด้วยซ้ำกับการที่จะทดแทนบุญคุณที่ชาตินี้ใช้เท่าไหร่ก็คงไม่หมด
บุญคุณที่มีให้กับทั้งแม่ของเขา
น้องชายของเขาและที่สำคัญเจ้านายยังฉุดดึงชีวิตของเขาให้ขึ้นมาเงยหน้าอ้าปากในสังคมได้อีกครั้ง
เขาคิดว่าตัวเองรู้เรื่องระหว่างเจ้านายกับคุณแคป...หากแต่มันไม่ใช่เรื่องที่เขาจะต้องมาพูดจาแถลงไขให้ใครฟัง
เรื่องส่วนตัวและความลับของเจ้านายไม่เคยรั่วไหลออกจากปากของเขาแม้แต่น้อย
เพราะอย่างนั้นเขาจึงได้รับความไว้วางใจจากคุณเอสเสมอ
“คุณแคป?”
เพราะว่านายน้อยของไร่ยังนั่งหน้าเซ็งมะทื่ออยู่
โชนจึงเรียกขึ้นมาอีกครั้ง แคปเงยหน้าขึ้นมองคนเรียก
ก่อนเอื้อมมือขึ้นไปโน้มกิ่งของลูกเงาะสีแดงสุกเป็นพวงและเด็ดลงมาส่งให้นายโชนหนึ่งลูก
“คุณแคปให้ผมหรือครับ” คนถามๆหน้าตาตื่น ๆ มันไม่ปกติไง
คือจริง ๆ แล้วเขาอยู่ในสวนแบบนี้จะเด็ดกินตอนไหนก็ได้
แต่แคปเป็นคนเด็ดให้มันดูแปลกพิกลอยู่
แล้วยังให้แค่ลูกเดียวอีก.....สมแล้วกับเป็นคนที่เจ้านายเขาชอบ
“ใช่ ลูกนี้สวยที่สุดในกิ่งนี้เลยนะ”
“ขอบคุณครับ” โชนไม่รู้จะพูดอะไรดีกว่าคำนี้
จะว่าแคปขี้เหนียวคงไม่น่าใช่
เคยให้อะไรๆเขาตั้งมากมายแต่ไม่ใช่เจ้าเงาะลูกเดียวนี่แน่ ๆ
“ผมมีอะไรจะถามนายโชนน่ะ ถ้าไงก็ช่วยตอบหน่อยได้ไหม”
“ถามอะไรหรือครับ”
โชนเก็บเงาะลูกนั้นใส่กระเป๋าเสื้อไว้
เขานึกในใจว่าเรื่องแบบนี้จะต้องรายงานคุณเอสหรือไม่
คิดไปคิดมาเขาก็ปลงตกว่าไม่ควร เพราะเป็นเรื่องเล็กน้อย
ดังนั้นเขาจึงเริ่มทำงานของเขาต่อ นั่นก็คือกำลังโรยปุ๋ยใส่ใต้ต้นเงาะ
และเก็บเศษวัชพืชเล็กๆน้อยๆ
ในตอนนั้นรู้สึกเหมือนกับว่าแคปจะขยับเข้ามาใกล้เขาอีกนิด โชนจึงเงยหน้าขึ้น
ก่อนจะได้ยินคำถามที่ทำเอาตัวเองตกใจจนแทบเสียสติ
“ถ้านายโชนคิดจะจีบใครสักคนมาเป็นแฟน นายโชนจะจู่โจมยังไง
จะทำวิธีไหนที่จะได้เขามาเป็นของตัวเองให้เร็วที่สุดเหรอ”
“.................”
จะทำอะไรได้นอกจากอ้าปากค้างทั้งที่มือยังกำปุ๋ยคอกอยู่เต็มๆ
คุณแคปถามอะไรออกมาวะ?? ทั้งที่เจ้านายเขาใช้ให้เขาเฝ้าดูไว้แท้
ๆ....ทั้งที่เจ้านายเขาไว้ใจใช้ให้เขาตามประกบอย่าให้ใครหน้าไหนได้เข้าใกล้แท้ ๆ
แต่คุณแคปกลับมาถามคำถามแบบนี้กับเขา
นี่เขาทำอะไรผิดพลาดตรงไหนวะ?????
“คะ คะ...คุณไปชอบใครมาเหรอครับ”
ตายไหมล่ะมึงไอ้โชน
มึงกลับเข้ากรุงคราวนี้คุณเอสฉีกอกมึงตายห่าแน่ ๆ
“บอกไม่ได้หรอก ผมแค่ถามว่านายโชนจะทำยังไงต่างหาก
ดูท่าทางเขาไม่ค่อยโอเคกับผมเลย เฮ้อออ งานนี้สงสัยจะเจองานหินแหง ๆ” แคปว่าไปเอามือถอนวัชพืชไปด้วย
โชนที่ยังเอามือกำปุ๋ยอยู่แทบจะยกขึ้นมาป้ายหน้าให้ดำเป็นแบบทหาร
แต่ติดที่ว่ามันเป็นปุ๋ยถ้าทำแบบนั้นคงเหม็น
“ธะ
เธอเล่นตัวเหรอครับ”
แคปผงะไปนิดกับคำว่า..เธอ..ที่โชนใช้เรียกบุคคลที่พวกเขากำลังเอ่ยถึง
แต่พอคิดในหลักความเป็นจริง โชนจะคิดว่าเขาพูดถึงผู้หญิงก็คงไม่แปลก
แคปจึงพยักหน้ารับบอกว่าใช่
นายโชนดูหน้าเจื่อนลงไปได้อีกแคปจึงเอื้อมมือขึ้นไปเด็ดเงาะมาอีกครั้ง
คราวนี้ไม่ใช่ให้แค่ลูกเดียว เขาหักกิ่งยกให้ทั้งพวงกันไปเลย
นายโชนหน้าตาตื่น
“ช่วยผมคิดทีสิ ผมคิดจนหัวจะแตกแล้วเนี่ย
พวกคนกรุงเทพเขาชอบให้เข้าหาแบบไหนอ่ะ จู่โจมเลยดีไหม หรือว่าค่อยเป็นค่อยไป อ้ะ!หรือว่าจะทำแบบในหนัง
เอาทุเรียนดักตีหัวแล้วลากเข้าห้องไปเลยอะไรแบบนั้นน่ะ”
“คุณแคปตลกแล้วครับ จะไปทำแบบนั้นกับผู้หญิงได้ยังไง”
“ถ้าไม่ใช่ผู้หญิงก็ทำได้งั้นสิ”
“ไม่ใช่แบบนั้นครับ ผมหมายถึงมันไม่ใช่เรื่องดี”
“งั้นนายโชนบอกมาก่อน
ถ้านายโชนจะจีบใครสักคนโดยที่เขาท่าทางจะยากเนี่ย นายโชนจะทำยังไง”
“ผมไม่แนะนำหรอกครับ” ผมไม่อยากให้คุณไปจีบใครหน้าไหนทั้งนั้น
คุณเป็นของเจ้านายผมคนเดียวนะ
“ใจร้ายนะเรา ผมมาขอคำปรึกษาเพราะคิดว่านายโชนน่าจะมีประสบการณ์อะไรแบบนี้เยอะ
บอกกันหน่อยสิ ผมรู้หรอกสาว ๆ ไร่ข้าง ๆ
มาติดนายโชนเยอะจะตายแสดงว่าต้องมีไม้เด็ดอะไรดีแน่เลย”
ที่จริงเรื่องนี้เจ้าอาร์บอกมาว่าพี่โชนแกเนื้อหอมสำหรับสาวแถวนี้มากๆ
อาจเพราะหุ่นสีแทนกำยำ ตัวสูงใหญ่เพราะว่าออกกำลังกายและทำงานหนักเสมอ
สาวๆคลั่งไคล้กันแบบสุดๆแต่ก็ยังไม่เห็นว่าแกจะเลือกเอาใครมาทำภรรยาเลยสักคน
“แล้วทำไมจู่ ๆ ถึงได้มาถามเรื่องนี้กับผมกันล่ะครับ ผมว่าคุณต้องมีประสบการณ์เยอะกว่าผมอีกนะ”
สำหรับผู้หญิงน่ะก็ใช่ครับพี่ ที่สำคัญมันนานมาแล้ว “เอ่อ
ผมก็แค่ลองถามดูน่ะ”
“ว่าแต่คุณแคปไปชอบสาวที่ไหนล่ะครับ”
ผมจะได้ตามไปเก็บกวาดให้เรียบร้อยก่อนที่คุณจะได้จู่โจมเธอ หึหึ
โชนอยากจะร้องไห้อยู่ในใจ ต้องพยายามหาข้อมูลให้ได้มากที่สุด....เพื่อนาย
“ก็บอกแล้วว่า ผมบอกไม่ได้”
“บอกนิดนึงเถอะครับ”
“บอกไม่ได้หรอก”
“ถ้าคุณไม่บอก ผมจะไปฟ้องคุณอาร์
ให้คุณอาร์ไปบอกคุณโก้และหลังจากนั้นคุณโก้ก็จะโทรไปบอกคุณเต้
สุดท้ายคนที่จะมาบีบคอคุณก็คือคุณฟี่ ถึงตอนนั้น ผมไม่ช่วย!”
แคปมองคนพูดอย่างไม่อยากจะเชื่อหู นายโชนที่ว่าซื่อๆ
นายโชนที่ว่านิ่ง ๆ นายโชนที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ยิ้มสุภาพชาวบ้านๆให้เขาเสมอ
แต่หน้าตาตอนนี้มันคือปิศาจโชนชัด ๆ
“บอกผมมาได้แล้วครับ คุณไปชอบผู้หญิงที่ไหนมา”
“ผู้หญิงที่ไหนเล่า!” ผู้ชายเหอะ อุ๊บ!!
แคปเผลอหลุดปากสวนพรวดออกไปยกมือปิดไว้แทบไม่ทัน
เขารีบลุกขึ้นในขณะที่นายโชนเองก็ลุกตาม ตาเหลือกขึ้นอีกหน
ยืนอึ้งและทึ่งอยู่กับคำตอบแบบไม่ตั้งใจที่ได้ยิน
“เดี๋ยวครับ คุณแคปคุณ....” นี่อย่าบอกนะว่าคุณจะไปชอบผู้ชายคนอื่นนอกจากเจ้านายของผม
“แคปโว้ยยยย เฮียโก้เรียกไปที่ร้านกาแฟน่ะ
มึงมานั่งทำอะไรอยู่ที่นี่วะ อ้าวนายโชนก็อยู่ด้วยเหรอ”
ราวกับเสียงระฆังจากสวรรค์มาช่วยชีวิตแคปไว้ เขารีบดึงอาร์บอกให้ออกไปจากที่ตรงนั้นแล้วหันไปมองคนที่ยืนมองตามพวกเขาสองคนอยู่
แคปใช้นิ้วชี้แนบริมฝีปากเป็นสัญลักษณ์ว่า ห้ามพูดมากล่ะ
โชนพยักหน้ารับราวกับต้องมนต์ แคปจึงส่งยิ้มให้
แล้วแบบนี้ เขาจะส่งรายงานแบบไหนไปให้คุณเอสเจ้านายเขาวะเนี่ย
ปัง!!
เสียงประตูรถกระแทกปิดลงดังราวฟ้าผ่า
เจ้าของรถหน้าตาหงุดหงิดก้าวลงมาไม่มองหน้าใคร
ช่วงนี้คุณเอสอารมณ์ไม่ค่อยดี ไม่ใช่สิ อารมณ์ไม่ดีเลยมากกว่า
ปกติกลับมาจากทำงานทีไรจะจอดรถลงที่หน้าบ้านแล้วส่งกุญแจให้เขาเลื่อนรถเข้าเก็บให้เสมอ
หากจะออกไปที่ไหนอีกก็จะบอกให้เขาเตรียมคันที่จะใช้งานจอดไว้รอ
แต่ช่วงนี้...
หากเจอถังขยะก็คงจะเตะโด่งโดยไม่ต้องถาม
ฟิ้วววววว ตุ่บ!!!
“โอ๊ยย”
กระทั่งกุญแจรถยังเขวี้ยงให้อย่างแรง
หน้าตาหล่อๆไม่ต้องพูดถึง
บูดบึ้งหงิกงอยิ่งกว่าปลาทูแท้ทะเลอ่าวไทยที่ว่ากันว่าหน้างอคอหัก ไม่มีคำสั่งออกจากปากอะไรทั้งนั้น
ไม่หันมาด่าก็ดีถมไปแล้ว
ร่างสูงสง่าเดินฉับๆเข้าบ้านไม่สนใจไถ่ถามกันเล๊ยว่าหน้าผากที่โดนกุญแจพวงใหญ่ ๆ
พุ่งเข้าใส่จะเป็นแผลแบบไหนอย่างไรบ้าง มีแค่สายตาที่ตวัดหันกลับมาแบบดุ ๆ
ราวกับกำลังต่อว่า....มึงมันเซ่อเอง ไม่รู้จักหลบให้พ้น
ไอ้แมน!!
แมนเป็นหลานชายของคนดูแลรถเก่าแก่ตระกูลรัชชา
จะบอกว่าครอบครัวของเขารับใช้รัชชามาตั้งแต่รุ่นคุณปู่เลยก็ว่าได้
เพราะงั้นตัวเขาที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับคุณเอส
พอเรียนจบออกมาจึงต้องเข้ามารับหน้าที่เป็นผู้ดูแลรถของคุณๆในคฤหาสน์หรูหลังนี้ตั้งแต่ช่วงเย็นถึงช่วงเช้าของวันถัดไป
และแน่นอนว่าไม่ใช่แค่เรื่องรถ
หน้าที่ดูแลความปลอดภัยของที่นี่ในช่วงดึกเขารับผิดชอบทั้งหมด
แมนเลื่อนรถเข้าช่องจอดเรียบร้อย
หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดดูตารางงานของเจ้านายว่ามีงานที่ต้องออกไปที่ไหนอีกบ้างจะได้จัดเตรียมรถไว้ให้
คือบางทีคำสั่งก็ออนไลน์มาจากคุณปรเมทไม่ก็คุณนาคิน
ในขณะที่เขากำลังเลื่อนดูหน้าจอโทรศัพท์มือถือ
รถยนต์คุ้นตาของใครบางคนขับเข้ามาจอดลงที่หน้าทางเข้าบันไดหินอ่อนหน้าบ้าน
แมนจำได้ทันทีว่าเป็นรถของใครเขาวิ่งเข้าไปต้อนรับ ทำความเคารพ
“สวัสดีครับคุณปอ”
“คุณเอสกลับมาแล้วใช่ไหม” ปอก้าวลงมาจากรถพร้อมกับแฟ้มงานปึกใหญ่ในมือ
“ครับ สักครู่แล้วครับ ให้ผมเข้าไปรายงานให้ไหมครับ”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมจัดการเอง”
“ครับ” เขาเดินตามปอขึ้นไปส่งจนเกือบจะผ่านเข้าประตูใหญ่
กำลังจะหมุนตัวหันหลังออกไปแต่ปอกลับเรียกไว้
“ครับ?”
“หน้าผากนายไปโดนอะไรมา”
แมนเผลอยกมือขึ้นลูบที่หน้าผากตามคำถาม เขายิ้มเจื่อน ๆ
ก่อนมองซ้ายมองขวาแล้วขยับเข้าไปพูดเสียงเบา ๆ “ช่วงนี้คุณเอสอารมณ์ไม่ดีเลยครับ
หงุดหงิดตลอด”
“แล้วเกี่ยวอะไรกับแผลนี้ของนาย”
เดี๋ยวนะ! ช่วงนี้เจ้านายเขาอารมณ์ไม่ดีเรอะ
ทำไมอยู่ที่บริษัทถึงบอกว่าตัวเองอารมณ์ดี หืม?
“แหะๆ โดนพวงกุญแจครับ”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกหรอก อาทิตย์ก่อนก็โดนไปหนึ่งครั้ง
พอมาอาทิตย์นี้โดนติดๆกันเกือบทุกวันเลย
ไม่รู้ทำไมถึงดูอารมณ์เสียมากขึ้นทุกว๊านทุกวัน ลงรถทีโยนส่งให้กันที
หลบไม่เคยทันมือหนักชะมัดเลย “อันนี้ของวันนี้ครับ ล่าสุดเพิ่งโดนเมื่อกี้นี่เอง
จังเบ้อเริ่มเลยครับ” ดีนะหัวไม่แตก
“นี่เขาอารมณ์ไม่ดีจริงหรือ”
“จริงสิครับคุณปอ
ผมก็ว่าจะถามคุณเหมือนกันช่วงนี้งานที่บริษัทยุ่งมากหรือครับ
ทุกทีก็ว่าท่านไม่ค่อยจะยิ้มอยู่แล้ว
แต่มาอาทิตย์สองอาทิตย์นี้นี่หงุดหงุดสุดๆเลยครับ” แมนหันซ้ายหันขวาอีกทีก่อนป้องปากกระซิบกระซาบ
ปอนึกสะกิดใจกับพฤติกรรมผิดปกติของเจ้านายตัวเอง
เขานิ่งคิดอยู่สักครู่หลังจากแมนออกไปแล้วจึงอมยิ้มออกมา
ชัวร์แล้วว่าคงหงุดหงิดใจเรื่องเพื่อนเขานั่นเอง
“โถ ปากก็บอกว่าตัวเองอารมณ์ดี แต่การกระทำขัดกันชะมัด”
“บ่นอะไรของมึง”
เสียงทุ้มดังออกมาจากอีกด้านทำเอาปอสะดุ้งโหยง
เอสเดินลงบันไดมาพร้อมกับผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่พาดอยู่ที่บ่า
มีเจ้าคูเปอร์เดินลงมาข้าง ๆ กัน พอมันเห็นปอจึงกระดิกหางดีใจนิดๆ
รีบวิ่งลงมาเลียมือเอาใจ ปอจึงลูบหัวมัน ก่อนยื่นแฟ้มงานส่งให้เจ้านาย
“คุณจะไปว่ายน้ำเหรอครับ”
มีสระว่ายน้ำและห้องฟิตเนสอยู่เรือนด้านหลังของคฤหาสน์
สถานที่ๆเอสใช้ออกกำลังในช่วงเย็นเสมอๆ
บางครั้งปอเอางานมาส่งต้องไปรอพบเขาอยู่ที่นั่น ดีหน่อยวันนี้มาเร็ว
ไม่ต้องไปนั่งรอ
“งานด่วนหรือ?” เอสไม่ได้ตอบคำถาม เขารับแฟ้มมา
“ครับ ผมยังทำไม่เสร็จตอนที่คุณออกมา
พรุ่งนี้ต้องใช้ในการประชุมช่วงเช้า”
เอสพยักหน้า พลิกเปิดดูนิดหน่อยก่อนเดินหายไปทางด้านหลัง
ปอรีบวิ่งตามไปอีกที
“เดี๋ยวครับนาย”
“มีอะไรอีก”
“ช่วงนี้คุณอารมณ์ไม่ค่อยดีใช่ไหมครับ
กะจะว่ายน้ำเล่นให้อารมณ์ดีขึ้นแบบนั้นใช่ไหม”
เอสชะงักไปกับคำถาม เขาหันกลับมาจ้องหน้าเลขาตัวเองไม่ลดละ
ใช้สายตาคมกริบล้วงลึกลงไปราวกับกำลังดึงเอาข้อมูลบางอย่างขึ้นมา
อิท่าทีแบบนี้ปอแพ้ราบคาบแต่ไหนแต่ไร เขาไม่เคยปิดบังเจ้านายตัวเองได้สักครั้ง
แพ้ตลอดและครั้งนี้ก็ไม่ต่าง
“ทำไมถึงได้อยากรู้นัก ช่วงนี้กูจะอารมณ์ดีอารมณ์เสียยังไงกระทบกับชีวิตส่วนตัวมึงหรือ”
โดนเข้าไปหนึ่งดอก เต็ม ๆ
“ปะ...เปล่าครับไม่ใช่แบบนั้น” ตายห่าแล้วไอ้แคป
กูสืบให้มึงจนได้เรื่อง โดนเจ้านายโกรธแล้วไหมล่ะ
“ถ้าหมดธุระแล้วก็กลับไปได้แล้ว
วันนี้อากาศดีกูเองก็อารมณ์ดีจะว่ายน้ำเล่น คงไม่ต้องรบกวนให้เลขาอย่างมึงมานั่งมองกูโป๊หรอกใช่ไหม”
คนถูกดุรีบทำความเคารพก่อนล่าถอยออกมาแทบไม่ทัน
ได้ยินเสียงเพลงจากส่วนของสระดังขึ้นในตอนที่เขาเดินออกมาถึงรถ
นายแมนรีบวิ่งเข้ามาส่งขึ้นรถ ปอพยักหน้าบอกขอบใจ
“คุณเอสอารมณ์ดีถึงขนาดเปิดเพลงฟังขณะที่ว่ายน้ำแบบนี้บ่อยเหรอวะแมน”
“ไม่บ่อยหรอกครับ ถ้าไม่อารมณ์เสียหงุดหงิดจริง ๆ
ก็จะว่ายเงียบๆแช่ตัวเงียบ ๆ แต่ถ้าอารมณ์ไม่ค่อยดีอย่างช่วงนี้ก็จะเปิดเพลงช้า ๆ
แบบนี้แหละครับ ไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่งหรอก”
“แสดงว่าถ้าแบบนี้คือเขาอารมณ์ไม่ดีงั้นสิ”
“ชัวร์ครับ”
ปอแทบจะปิดรอยยิ้มไว้ไม่มิด เขาพยักหน้าเบา ๆ
ก่อนตบไหล่แมนหนักๆสองทีแล้วบีบ “กูเชื่อคำพูดมึง”
“คุณปอยิ้มทำไมเหรอครับ”
ไม่มีคำตอบจากปากของปอ
เพราะว่าเขาขึ้นรถพร้อมกับขับเลี้ยวออกไปแล้ว แมนมองตามอย่างนึกสงสัย
แต่ในเมื่อเป็นเรื่องของเจ้านายทำอะไรไม่ได้ เขาเพียงแค่เข้าไปสอดส่องดูว่าคุณเอสยังโอเคอยู่ที่สระหรือไม่
เมื่อเห็นว่าเจ้านายของเขาว่ายไปเกาะที่บันไดฝั่งหนึ่งของสระแล้วเดินขึ้นมาทั้งที่ตัวเปียกโชก
มือข้างนึงถอดแว่นตากันน้ำปลดออก
ก่อนหยิบผ้าเช็ดตัวผืนที่พาดไว้กับพนักเก้าอี้ข้างๆเจ้าคูเปอร์ มาซับน้ำออกจากใบหน้า
“มีอะไรแมน” เสียงเอสดังแทรกออกมาทำเอาแมนที่กำลังชะโงกหน้าเข้ามาดูอยู่ข้างประตูถึงขึ้นสะดุ้งโหยงไม่ต่างกับปอเมื่อสักครู่เลยสักนิด
เขารีบเดินเข้ามาใกล้ ๆ เจ้านาย
“ผมแค่แวะเข้ามาดูครับ คุณเอสมีอะไรให้ผมรับใช้ไหมครับ”
มีหญิงรับใช้ในบ้านเธอเอาน้ำมะพร้าวมาเสิร์ฟลงพอดี เอสยกมะพร้าวน้ำหอมทั้งลูกขึ้นมาดูด
พลางมองหน้าคนถามนิ่ง ๆ แมนเองก็ยืนสงบเสงี่ยมรอฟังคำสั่งอยู่
“ไม่มีหรอก มึงออกไปเถอะ”
“ครับผม”
แมนค้อมศีรษะลง หันหลังกำลังจะเดินกลับออกไปแต่ทว่า
เจ้านายกลับเรียกตัวเขาไว้แล้วถาม
“มึงคิดว่าช่วงนี้หน้าตากูดูซีเรียสมากไหมวะไอ้แมน”
“.................” ใครจะกล้าตอบ
“พูดออกมาตรง ๆ แล้วมึงก็ออกไปได้”
“ครับ โคตรของความซีเรียสเลยครับ”
แมนตอบเสร็จโกยออกจากจุดนั้นเร็วที่สุดเลยสิ
เอสเกือบจะได้แจกมะพร้าวน้ำหอมเย็นเฉียบลูกใหญ่ ๆ
ฟาดใส่หัวมันไปแล้วถ้าช้าไปกว่านี้อีกสักนิด!
เช้านี้ที่ไร่อากาศสดชื่นแจ่มใสกว่าทุกๆวัน
ทว่า
“อ้าวคาปู ไหนเจ้าอาร์ล่ะลูกทำไมไม่ตามมาทานข้าวพร้อมๆกัน
กินให้เสร็จเสียแต่เช้าเดี๋ยวตอนสาย ๆ เกิดลูกค้าเข้าจะได้ไม่ยุ่ง”
“เรียกแล้วครับเฮียโก้
อาร์มันบอกให้กินไปก่อนเลยเห็นว่านัดพี่โชนจะเข้าไปดูอะไรสักอย่างที่ท้ายไร่”
“ดูอะไรล่ะนั่น”
“ได้ยินมาว่าสองคนนั้นกำลังทดลองหมักปุ๋ยชนิดใหม่อยู่ครับ
น่าจะอยู่ที่โรงเพาะเลี้ยง คงมีเรื่องต้องคุยกันอ่ะ”
“โอเคงั้นเดี๋ยวพ่อจะตักเก็บไว้ให้เจ้าพวกนั้นก็แล้วกัน
ส่วนคาปูลูกไปล้างมือให้เรียบร้อยเสร็จแล้วเข้ามายกกับข้าวออกไปที่โต๊ะได้แล้ว”
“พี่พายไปไหนอ่ะครับพ่อ”
แคปถามหาพี่พายพ่อครัวผู้รับผิดชอบอาหารเช้าของเหล่าคนงานในไร่และเป็นผู้ช่วยของเฮียโก้อยู่ที่ครัวของร้านกาแฟด้วย
เช้านี้ยังไม่เห็น
โก้จึงบอกว่าพายเข้าเมืองไปซื้อของใช้ที่ตลาดตามออเดอร์ของเฮียโก้นั่นเอง
“เหยพี่พายไปตลาดจริงดิ”
“อืม ทำไม ลูกจะเอาอะไรล่ะ”
แคปหน้ายุ่งบ่นพึมพำว่าอะไรสักอย่างของตัวเองหมดถ้ารู้ว่าทางนั้นจะไปเขาจะได้ฝากซื้อด้วย
ในตอนนั้นเองฟี่ที่ออกมาจากห้องในชุดเวสของพวกทหารพร้อมกับกระเป๋าสีดำยาว ๆ
ที่แคปมองแค่แวปเดียวก็รู้ว่านั่นคือกระเป๋าใส่ปืนไรเฟิล อาฟี่วางกระเป๋าไว้ที่โซฟาก่อนเดินเข้ามาที่ครัว
“มึงรีบเหรอฟี่?”
โก้เงยหน้าถามพลางวางจานแตงกวาปลอดสารพิษกับมะเขือเทศสดหั่นเฉลียงที่ราดครีมสลัดดูน่ารับประทานลงที่โต๊ะ
แคปเพิ่งเทนมสดใส่แก้วเสร็จ เดินเข้ามานั่งประจำที่
“กูต้องแวะค่ายนวมินทรฯก่อน กลัวว่าจะไปส่งเจ้านี่สายน่ะสิ”
ฟี่ตอบโก้ด้วยเสียงทุ้มนุ่ม หากแต่ตวัดสายตาใส่เจ้าหลานรักราวกับจะกัดกินได้
แคปรีบหันหน้าหนีทั้งที่ปากเพิ่งยัดข้าวผัดไข่ลงไปจนเต็มกระพุ้งแก้ม
“เกี่ยวไรกับผมล่ะ” ก็แค่วันนี้รู้ว่าวันนี้อาฟี่จะเข้ากรุง
เขาก็แค่ขอติดรถเข้าไปด้วยแล้วอ้างว่าจะทำธุระ มีนัดกับเพื่อนแค่นั้น
“ไม่เกี่ยวกับมึงจริงเรอะ” ยังมากระแนะกระแหน
“โหยอาฟี่อย่ามองผมอย่างนั้นขอร้องเหอะ
แค่ผมขอติดรถเข้าไปด้วยทำไมถึงทำหน้ายักษ์แบบนั้นล่ะครับ เสียดายออก
ชุดก็เท่หน้าตาก็เท่ เดี๋ยวความเท่หดหายหมดจะหาว่าหลานคนไม่เตือน”
“เหอะ กูมันเท่อยู่แล้วสามร้อยหกสิบองศาไม่ต้องให้มึงมาบอก
มองข้างหน้ายังแถมความหล่อพ่วงเข้าไปด้วย นี่ก็ไม่ต้องให้มึงมาบอกเช่นกัน”
ฟี่ไม่ว่าเปล่า เขารู้ว่าแคปต้องราดซอสมะเขือเทศใส่ข้าวผัดเสมอเวลากิน
แต่วันนี้ยังไม่เห็นราด ถึงปากจะว่าไปแบบนั้นแต่มือนี่หยิบขวดซอสบีบลงให้ แต่ๆๆๆ
ฟี่ดันทำเป็นรูปผีร้าย แคปร้องจ๊ากขึ้นมาบอกไม่ให้ทำ ฟี่จึงหัวเราะสะใจ
โก้มองดูสองอาหลานเล่นกันแบบนั้นได้แต่ส่ายหัว ก่อนที่เขาจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้
“เออนี่คาปู ลูกจำคุณอรชุลีได้ไหม
คุณป้าที่เป็นเจ้าของตลาดผลไม้กลางน่ะ”
“อ๋อจำได้ครับเฮียโก้ วันก่อนยังเจอเธอชวนผมไปเที่ยวที่บ้านอยู่เลย”
นี่เรื่องจริงนะ เขากับเจ้าอาร์ไปธุระที่ตลาดผลไม้กัน
เจอเธอมาเดินตรวจงานหรืออะไรสักอย่างยิ้มหน้าบานเข้ามาทักทายยกมือไหว้พวกเขาอีกต่างหาก
เขานี่รีบยกมือขึ้นรับไหว้แทบไม่ทัน
ผู้หญิงสูงอายุแบบนี้ก็มีเยอะนะประเภทเจอใครไม่รู้ล่ะเธอจะไหว้ไว้ก่อนเสมอ
“มีอะไรเหรอครับเฮียโก้”
“เธอมาทาบทามลูกไว้ พาลูกสาวมากินกาแฟที่ร้านเราด้วยนะ ตลกดี”
แคปแทบจะพ่นข้าวออกมาทั้งทางปากและจมูก ไอค่อกๆแค่กๆ
จนฟี่ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ
ต้องหันมองพร้อมกับใช้ฝ่ามือใหญ่ตบลงที่หลังหนักๆยิ่งกว่ากำลังตบแม็คลูกปืน
แคปสำลักจนตัวงอ โก้รีบยื่นน้ำส่งให้ “อะไรกัน
พ่อพูดแค่นี้ถึงกับสำลักเชียวเรอะ”
“แค่กๆๆเฮียโก้อ่ะ แค่กๆๆๆ”
“ก็แค่ประโยคบอกเล่าน่า แต่น้องเขาก็หน้าตาน่ารักดีนะ
พ่อยังไม่เห็นว่าช่วงนี้ลูกมีใครก็เลยแจกยิ้มไว้ก่อนยังไม่ได้ตอบรับแต่ก็ยังไม่ได้ปฏิเสธหรอก”
โถ่ พ่อครับ แคปสำลักน้ำหูน้ำตาไหล
ฟี่ก้มลงมองหน้าหลานชายตัวเองแบบจริงจัง
เขามองไม่ค่อยชัดดึงคอเสื้อแคปให้หันมาประจันหน้ากันแบบเต็ม ๆ
พอเห็นว่าแคปตาแดงจมูกแดงถึงกับหัวเราะร่วนออกมา
“อาฟี่อย่ามาเยาะเย้ยกันนะ” ไปช่วยว่าเฮียโก้โน่น จู่ ๆ
จะให้ผมไปดูตัวกับผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้หรือไง
“โถคาปู ไม่ใช่จะให้ไปดูตัวสักหน่อย พ่อก็แค่เล่าให้ลูกฟัง
ว่าแต่ลูกยังไม่มีใครไม่ใช่เหรอ”
แคปแทบจะร้องไห้โฮ ไอ้ไม่มีมันก็ไม่มีหรอก
แต่จะบอกว่าในใจมีคนจองแล้วโว๊ยยยยเขาก็พูดออกมาไม่ได้
“เอ๊ะ หรือว่ามี
ถ้ามีแล้วก็บอกมานะพ่อจะได้ปฏิเสธเขาให้ชัดเจนไป”
ไม่มีก็ปฏิเสธด้ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
แคปรีบคว้าแก้วน้ำขึ้นมาซดอึกๆๆ ตาโตจนเหลือกขึ้นมาอีกครั้ง
เมื่อโก้ถามว่ามีหรือไม่มีเอาให้แน่ ขนาดน้ำก็ยังฝืดคอ
“มึงถามมันทำไมวะโก้ ก็เห็นทำหน้าโง่ ๆ
อยู่ตลอดแบบเนี๊ยะจะไปมีแฟนกับเขาได้ไง๊ อ้วนขึ้นอีกต่างหากผู้หญิงเขาไม่ชอบคนอ้วนเป็นหมูหรอก
มันยังไม่มีแฟนกูฟันธง แต่คนที่มันชอบน่ะอาจจะมีอันนี้ไม่รู้”
พูดอย่างกับตัวเองมีแฟน เห่อะ
หน้าตากับหุ่นไม่ได้ช่วยให้ผู้หญิงมาชอบได้หรอกเว้ยถ้านิสัยจะเสียขนาดนี้
ยังมีหน้ามาว่าคนอื่นเขาอีก แคปเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ได้ยินแต่เสียงฟี่หัวเราะเยาะเย้ยเบา
ๆหลังจากเหล่มองคนข้างตัว เขาก็จับต้นคอแคปแล้วบีบอย่างหมั่นเขี้ยว เงียบกันไปสักพักโก้จึงพูดต่ออีก
“นี่ตกลงว่าไม่มีนะ ลูกจะไปเจอน้องเขาสักครั้งไหมล่ะ”
“โถ่พ่อครับ” ยังไม่จบอีกเรอะ!
แคปช้อนตาใส่เสียงแผ่ว แค่มองหน้าลูกชายเฮียโก้ไม่รู้จริงเหรอวะว่าเขาคิดยังไง
แคปเฝ้ามองพ่อตัวเองอยู่แบบนั้น
ขณะที่อาฟี่ยังนั่งเงียบน่าจะอิ่มแล้วเพราะว่าเห็นยกแก้วน้ำผลไม้ขึ้นดื่ม
โก้มองแคปสลับกับมองฟี่
มองฟี่สลับกับมองแคปแล้วความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาทำให้เขาถึงกับหน้าเจื่อนถอดสี
ถามออกมาเสียงแผ่ว
“ระ หรือว่าลูกชอบ แบบนั้น................แบบเก่า”
คนฟังกลืนน้ำลายเอื่อก!
แคปไม่รู้จะปฏิเสธไปทำไมแล้วไหน ๆก็ไหน ๆ เขาจึงยิ้มแห้งแล้งแห้งเผือด
ยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ตกลงแถว ๆ ไรผมริมหน้าผาก
พร้อมกับพยักหน้ารับไปด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก
แค่นั้นแหละโก้เลยถึงบางอ้อ หน้าจืดหน้าเจื่อนขึ้นมาพอกันสองพ่อลูก
ฟี่ที่ยังนั่งทำหน้านิ่ง ๆ
อยู่คว้าแก้วน้ำของตัวเองยื่นส่งให้โก้แล้วหันไปถามแคปว่าอิ่มหรือยัง
“อิ่มแล้วก็ลุก”
“จะ...จะไปกันแล้ว?”
ดูเหมือนโก้ยังปรับตัวไม่ทัน
ถึงแม้ในใจลึกๆจะเคยคิดว่าต้องทำใจเอาไว้แล้ว หากแต่ห้าปีที่ผ่านมานี้เขาไม่เคยเห็นว่าแคปจะมีใครใหม่
ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง เพราะอย่างนั้นสองทางทีคิดได้คือ
ลูกชายเขาไม่ได้คิดจะชอบผู้ชายจริงจังในตอนนั้นอาจเป็นได้ว่าหลงผิด
กับอีกทางคือฝังใจกับรักครั้งเก่ามากจนไม่สามารถเปิดใจรับใครคนอื่นได้อีก
มาจนถึงตอนนี้คำตอบมันฟ้องแน่ชัดอยู่แล้ว
ปาเจโร่สปอร์ตสีดำเงาสะท้อนทิวทัศน์สองฝั่งทางกำลังทะยานตัวออกไปตามทางหลวงหมายเลขสาม
จากระยองมุ่งสู่ชลบุรี
ดูเหมือนแคปจะถูกอาฟี่หิ้วขึ้นรถมากกว่าสมัครใจเดินขึ้นมาเอง
อาจเพราะว่ายังคุยกับเฮียโก้ไม่รู้เรื่องสักเท่าไหร่ อย่างน้อยก็ยังไม่ได้ปลอบใจอะไรเลย
แต่คิดในแง่ดี อาฟี่ทำแบบนี้ก็ถือว่าช่วยชีวิตเขาไว้ได้เหมือนกัน
กลัวว่าจะถูกซักฟอกจนขาวสะอาดไปก่อนได้เข้ากรุงไปจีบใครบางคนน่ะสิ
“เฮ้ออออออ...” แคปถอนหายใจยาว ๆ ออกมา ก่อนจะเสยผม เสยๆๆๆๆจนคนขับอย่างฟี่หันมามองตาเขียว ๆ
“ใจเสาะจริง ๆ นะมึง”
“ช่างผมเหอะน่า”
โดนถากถางมาขนาดนี้แคปอย่างเซ็งเลยสิ
จะให้สารภาพแบบหมดเปลือกไปได้ยังไง
เดี๋ยวก่อนให้ได้เป้าหมายในเมืองกรุงมาอยู่ในกำมือก่อนเถอะ เฮียโก้ก็เฮ้ยโก้
อาฟี่ก็อาฟี่ พี่เต้ก็พี่เต้เถอะวะ
คราวนี้จะพามาแนะนำแล้วข่มคอให้ทุกคนยอมรับไอ้คนๆนั้นของเขาให้ได้เลยสิ
ก็ว่าไปนั่น แคปคิดไปเรื่อยเปื่อย
“เออจริงสิ ผมว่าจะถามอาฟี่ตั้งแต่เมื่อกี้แล้วก็ลืม
ทำไมอาฟี่ถึงใส่ชุดนี้ล่ะครับ”
วันนี้ฟี่ใส่ชุดเวสแบบพวกทหารบก(คล้ายๆชุดฝึก)
แล้วยังบอกกับเขาว่าจะแวะที่ค่ายนวมินทรฯก่อนอีก
ที่จริงแล้วเรื่องที่ไม่มีใครรู้เลยก็คืออาฟี่เป็นทหารหน่วยรบพิเศษที่ถูกยืมตัวโดยกรมตำรวจไปทำงานในฐานะครูฝึกให้กับหน่วยปฏิบัติการพิเศษของกรมตำรวจ
ในตอนนั้นแคปยังเด็กอยู่มาก
อาฟี่เคยใส่ชุดเวสแบบนี้ไปรับเขาที่โรงเรียนอยู่สองครั้ง
นับแต่นั้นไม่เคยเห็นอีกเลย อาฟี่หันมาใส่ชุดฝึกของตำรวจแทนและน้อยครั้งทีเดียวที่จะเห็นแต่งเครื่องบบเต็มยศ
เพราะเฮียโก้เคยบอกว่างานของอาฟี่คืองานพรางตัว
เป็นหน่วยพิเศษที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก
ที่ห้องนอนของอาฟี่จะมีคำกลอนบทนี้ติดไว้ที่หัวเตียง ‘จะแน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด จะรักชาติจนชีวิตเป็นผุยผง
จะยอมตายหมายให้เกียรติดำรง จะปิดทองหลังองค์พระปฏิมา’ แน่นอนว่างานปิดทองเบื้องหลังคืองานของคุณอาเขา
เท่าที่รู้ตอนนี้อาฟี่ติดยศตำรวจที่ร้อยตำรวจเอกแล้ว
แต่วันนี้คือแปลกประหลาดที่สุด
อาฟี่ใส่ชุดฝึกของทหารยังไม่พอที่ปกเสื้อยังมีดาวสองดวงปักอยู่ใต้พระมหามงกุฏ
แคปมองแล้วยิ่งนึกสงสัย ทบทวนเรื่องเมื่อเช้า เฮียโก้ไม่ได้ถามอะไรเลย
มันหมายความว่ายังไงกัน
เขาเก็บงำความสงสัยนั้นมาจนถึงประตูทางเข้าค่าย
ที่ป้ายหินอ่อนด้านหน้าเขียนไว้ว่า เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน
มีพลทหารที่ป้อมยามตบอาวุธทำความเคารพ รถขับผ่านเข้าไปสักระยะหนึ่งจนมาถึงหน้ากองร้อยอะไรสักอย่าง
พอรถจอดลงมีทหารสองนายวิ่งเข้ามาตะเบ๊ะและรอรับคำสั่ง
อาฟี่ในโหมดนี้เป็นครั้งแรกที่เขาเคยเห็น...น่ากลัวเอามากๆ
แคปไม่ได้ยินว่าพวกเขาคุยอะไรกันบ้าง
หากแต่ในตอนนั้นมีนายทหารอีกคนนำลูกน้องถือลังไม้สีดำออกมาแล้วเปิดท้ายรถใส่เข้าไป
เขาหันไปมองความรู้สึกส่วนลึกบอกได้เลยว่ามันน่าจะเป็นบรรดาพวกอาวุธต่าง ๆ
แคปมองเห็นคุณอาของเขาเดินนำทหารเหล่านั้นหายเข้าไปในกองร้อย
เขาจึงหันมองไปที่ท้ายรถอีกครั้ง นึกอยากจะปีนเข้าไปเปิดดูว่ามันคือลังอะไรกัน
แต่เขาก็แค่นึกไม่ได้ทำจริงเพราะรู้ว่าไม่สมควร จนในที่สุดอาฟี่เดินออกมาขึ้นรถแล้ว
“อาฟี่ครับ นั่น...”
แคปส่งสายตาไปที่เจ้าลังไม้น่ากลัวในขณะที่ฟี่เลี้ยวรถขับออกมาในทางเดิม
เขาหันมากระตุกยิ้มเล็กๆให้หลานชาย
หากแต่ไม่ได้ไขความอยากรู้ของแคปได้ว่าในลังนั่นบรรจุอะไร ในเมื่อคุณอาเขาไม่บอกแสดงว่าเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้แคปจึงไม่เซ้าซี้อีก
“ผมนึกสงสัยมาตลอด
อาฟี่เป็นทหารแล้วทำไมสิบกว่าปีที่ผ่านมาถึงได้ไปประจำการอยู่ที่หน่วยพิเศษของกรมตำรวจล่ะครับ”
แถมยังติดยศด้วยนะ ไม่ธรรมดา
“...............” คนขับเอาแต่เงียบไม่ยอมตอบอะไรออกมา
ดวงตาคมกริบของฟี่เหลือบมองมาที่หลานชายครั้งนึงก่อนที่รถจะชะลอตัวช้าลงแถว ๆ
สนามฝึกกว้าง ๆ ที่ด้านหน้า
แคปยกมือไหว้สักการะรูปปั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวค่ายโดยไม่ต้องให้คุณอาของเขาได้บอก
“อาฟี่ครับ...”
“กูขายวิญญาณให้กับการทำงาน
ยึดมั่นศรัทธาในความจงรักภักดีและหน้าที่ ไม่เกี่ยวหรอกว่าจะทำงานรับราชการสังกัดอะไร
ประจำที่ไหน เพราะเส้นทางนี้มีเพื่อนพ้องพร้อมเป็นเพื่อนตาย ไม่ขึ้นกับสถานที่ทำงาน ตำแหน่ง ยศ
ความรักในพี่ๆเพื่อนๆน้องๆ ดูแลลูกน้อง มันอยู่ที่..หัวใจของกูมากกว่า”
“โห ผมขนลุกกับคำตอบมากเลย”
“หึ ตื่นเต้นทำไม กูจะเป็นทหารหรือเป็นตำรวจ จะอยู่ทัพภาคไหน
กูก็เป็นน้องชายของโก้และเป็นคุณอาของมึงกับลาเต้ นั่นคือความจริงที่สุดอยู่ดี”
ผมนับถืออาฟี่จริง ๆ ให้ตายเหอะ “อาฟี่เจ๋งที่สุดอ่ะ”
มือใหญ่ยื่นเข้ามาขยี้ศีรษะเล็ก
ใบหน้าคมคายในชุดฝึกของทหารขับให้อาฟี่ดูหล่อเหลาเท่และสมสง่ามากมายเหลือเกิน
แคปภูมิใจในตัวคุณอาของเขามากที่สุด
“เพราะศรัทธาในความจงรักภักดี จึงยังคงมี
...ลมหายใจ...ในปัจจุบัน"
เป็นคำพูดที่อาฟี่พูดในตอนที่เลี้ยวรถออกมาจากค่าย
สุดท้ายแล้วแคปก็ปีนไปดูจนได้ว่าด้านหลังเป็นลังอะไร บรรดาอาวุธยุทธโธปกรณ์
ลูกปืนรังเพลิงอะไรเทือกนั้นเต็มลังไปหมด ซึ่งในใจก็เฝ้าบอกตัวเองว่ามันคือลูกซ้อม
ลูกสี คงไม่ใช่ลูกจริงอะไรหรอก แคปนึกไปนึกมารีบปิดล็อคไว้แทบไม่ทันกลัวมันจะระเบิดตู้มต้ามขึ้นมา
ได้ยินเสียงทุ้มหัวเราะออกมาเบา ๆ
ก่อนหันมาใช้สายตาลากแคปให้กลับเข้ามานั่งประจำที่
“ดุอะไรเล่า”
“มึงนี่มันยุ่งยากจริง ๆ ถ้าไม่นั่งอยู่เงียบ ๆ
วันหลังไม่พามาด้วย”
“ครับผม ผมเงียบแล้วครับท่านครับ”
“แน่ใจว่าจะลงตรงนี้” รถติดค่อนข้างหนัก
แคปแอบเห็นว่าอาฟี่ทำหน้าหงุดหงิดสุดๆ
ในใจคงบ่นแล้วบ่นอีกเพราะว่าเขาดันไปกำหนดสถานีที่จะลงทำให้อาฟี่ใช้ทางด่วนเส้นประจำไม่ได้
ไม่อยากหันไปสบสายตาให้โดนด่าแคปจึงทำท่าหันมองออกไปด้านนอก
จ้องบรรยากาศรอบกายข้างทาง ก่อนที่จะถูกกระชากคอเสื้อด้านหลังจนหน้าเกือบแหงน
อ้าปากร้องเหวอขึ้นมา
อาฟี่ทำหน้าตาน่ากลัวที่สุด
“มึงกลับไร่วันไหนนะ” เขาต้องขอรู้หน่อยเกิดโก้โทรมาถาม
“อะไรเล่าอย่าทำรุนแรงสิ ผมกลับวันศุกร์
เดี๋ยวกลับพร้อมไอ้แบงค์ โทรบอกมันไว้แล้ว” แคปตอบอย่างแอบหวั่น คนฟังพยักหน้ารับรู้เบา
ๆ ก่อนที่รถจะหยุดลงเพราะติดแหงกกับไฟจราจร
แคปมองซ้ายมองขวาอีกทีก่อนหันไปบอกกับอาของเขาว่าจะลงที่ตรงนี้แล้ว
เขาเปิดรถออกมาและวิ่งตัดเข้าไปด้านในสถานีรถไฟฟ้าหาเครื่องดื่มเย็นๆดับร้อนสักขวดก่อนดูเวลาแล้วยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดต่อสาย
เห็นชัดเลย...
“งานห่วยๆแบบนี้มึงกล้าเอามาส่งกูเหรอห๊ะปรเมท! แล้วไอ้รายงานนี้นี่มันยังไง
ถ้าทำให้ดีไม่ได้ก็บอกเขาไปว่าไม่ต้องเขียนขึ้นมาส่งกูถึงที่นี่
ไหนดูซิมาจากฝ่ายไหนกันน่ะ คงต้องรื้อผังพนักงานใหม่แล้วมั้ง
อยากให้กูเข้าไปควบคุมฝ่ายบุคคลหรือยังไง มึงแจ้งไปที่โพรดักชั่นคอนโทรลพรุ่งนี้ให้ผู้จัดการทุกคนเข้าชี้แจงผลงานในรอบไตรมาสที่ผ่านมาใหม่อีกครั้ง
กูจะนั่งเป็นประธานให้เอง”
“ครับนาย”
“งานห่วยที่สุด!”
ความจริงก็ไม่ได้ห่วยอะไรหรอก แต่นายเขาอารมณ์เสียมากมายจริง
ๆ
“ขอโทษอีกครั้งครับเจ้านาย”
“ออกไปให้พ้นหน้ากู”
ปอแทบจะฉวยแฟ้มที่ถูกโยนออกมาไว้แทบไม่ทัน
เจ้านายเขาหัวเสียหงุดหงิดที่สุดในรอบสองสัปดาห์ที่ผ่านมา
จะว่าไปก็นับตั้งแต่วันที่แคปมันขึ้นมาที่นี่วันนั้นนั่นแหละ
หงุดหงิด.....แต่ถามทีไรก็บอกว่าตัวเองปกติ
ยิ่งวันนี้ พายุทอนาโดที่ว่ากำลังแรงยังต้องขอยอมแพ้ ไม่เชื่อไปถามเฮดสองคนที่มาขอเข้าพบเมื่อเช้า
โดนกันจนกระเจิงเป็นแถบ ๆ
Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr
ปอสะดุ้งนิดหน่อยในตอนที่เสียงโทรศัพท์ภายในดังเรียกขึ้น
เป็นคุณมินตราโทรเข้ามาแจ้งกับเขาว่าเดี๋ยวจะแวะเข้ามาหาเจ้านายของเขา
บางทีมันก็ยากที่จะเข้าใจ คู่หมั้นของเจ้านายที่ไม่ยอมโทรเข้าเครื่องส่วนตัว
แต่ต้องใช้โทรศัพท์ของบริษัทแทน
เขาลุกขึ้นเดินไปเคาะประตูอีกรอบ
ก่อนผลักเข้าไปแล้วก็พบกับใบหน้าคมคายที่งอหงิกจนถึงที่สุดนั่งเอาหูแนบโทรศัพท์มือถือเครื่องสีดำอยู่ด้วยท่าทางเหมือนจะฉีกกินโลกทั้งใบให้ขาดกระจุย
ในตอนนั้นปอค่อยถึงบางอ้อว่าคุณมินตราคนสวยคนนั้นคงโทรมาแล้วสายไม่ว่างเธอจึงได้ใช้เบอร์ภายในติดต่อเข้ามา
กำลังจะปิดประตูไว้คืนแต่เจอสายตาคมกริบตวัดมองเรียกเอาไว้
ก่อนที่จะโยนโทรศัพท์เครื่องที่คุยจนเสร็จแล้วโครมลงที่โต๊ะ
ดีแล้วที่มันยังไม่พัง
“มีอะไร” เอสถามเสียงห้วน ปอเหลือบมองที่โทรศัพท์เครื่องนั้น
มันดับไปแล้วก็จริงแต่ก่อนหน้านั้นก็สามารถเห็นชื่อที่โชว์อยู่ได้ เป็นชื่อน้องโบว์น้องสาวของเจ้าแบงค์
น้องสนิทของไอ้แคปนั่นแหละ
“คุณมินตราโทรเข้ามาบอกไว้ว่าช่วงเย็นเธอจะแวะเข้ามานะครับ”
“ตอนนี้กี่โมงแล้ว”
“บ่ายสองแล้วครับ” ดูเอาเถอะ ขนาดเวลาบนข้อมือยังไม่ยอมดูเอง
“ทำไมถึงบ่ายสองเร็วจังวะ”
คราวนี้เอสยกข้อมือขึ้นมาดูเวลา
กัดฟันกรอดแล้วส่งเสียงลอดไรฟันบ่นออกมาพร้อมกับทำหน้านิ่ง ๆ
ก่อนเหลืบสายตาที่คมยิ่งกว่าใบมีดโกนมองไปที่ปอราวกับจะคาดคั้นอะไรกับเขาสักอย่าง
“มะ...มีอะไรครับนาย”
“..................”
“มะ...มีอะไรเหรอครับ”
มันก็น่ากลัวอยู่นะ เล่นจ้องกันแบบนี้แล้วไม่พูด
ทำอย่างกับเขาไปเรื่องอะไรผิดพลาดมางั้นแหละ
นี่เขาไม่ได้ทำอะไรสักกะหน่อย
“นะ...นาย มีอะไรจะถามผมหรือเปล่าครับ”
“ไม่มี!”
คำว่าไม่มีลั่นพร้อมกับเสียงตบโต๊ะดังสนั่น
เขารีบเผ่นออกมาจากห้องแทบไม่ทัน
ในใจนี่นึกด่าไอ้เพื่อนเลวไอ้เพื่อนบ้าไอ้เพื่อนไม่ดี มึงจะหายหัวไปแบบนี้เพื่อ???
ก็รู้อยู่แล้วว่าเจ้านายเขามันรอ ไม่ถามแต่ก็รอ ไม่ยอมพูดแต่ก็รอ
ไม่ยอมรับว่าตัวเองอารมณ์เสียแต่ก็รอ
โฮ้ยยยยยยยยยยกูอยากจะบ้าตาย!!!!
“เย้ย!”
ปอสะดุ้งโหยงขึ้นมาในตอนที่กำลังคิดจะกดโทรศัพท์ออกไปส่งกันฑ์เทศน์ให้เพื่อนแสบที่ไร่สักหนึ่งบทสวด
แต่ที่หน้าจอดันโชว์ชื่อของแคป เขานี่แทบจะก้มลงกราบมันเลยให้ตายเหอะ
อย่าบอกนะว่าจะโทรมาให้สืบความคืบหน้าให้อีก ทีนี้แหละจะบอกว่าอารมณ์เจ้านายเขามันเสียยิ่งกว่าน้ำเน่า
ๆ แถวคลองแสนแสบซะอีก มึงน่ะรีบ ๆ มาเลยให้ไว
“มึงนะมึง” นี่คือคำทักทายแรกที่เขากรอกทักลงไป
แคปมันอึ้งไปนิดๆอยู่เหมือนกันนะ คิดว่า แต่ก็ได้ยินเสียงมันหัวเราะ
(อารมณ์ไม่ดีเหรอจ๊ะน้องปอ) ดู๊ดูมันถาม
ไม่มีรู้ตัวสักนิดเลยหรือไงวะ
“ก็เพราะใครกันล่ะห๊ะไอ้เพื่อนร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก)
กูอยากลากมึงเข้าป่ามะม่วงจริง ๆ ถ้าอยู่ใกล้นี่กูบีบคอมึงเอาให้ตายเลย เอาสิ
(อารมณ์เสียเหี้ยไรวะ โดนเจ้านายด่าเปิงมาหรือไง
ว่าแต่มึงอยู่ไหนนี่)
“กูควรจะถามมึงมากกว่าใช่ไหม อยู่ที่ไหน! เมื่อไหร่จะมา!”
(อะไรทำไมกูต้องไปหามึงด้วย) เสียงแคปหัวเราะอีก
พลางถามทีเล่นทีจริง ๆ ปอได้ยินทั้งประโยคนี้ยิ่งนึกอยากจะเอาอีโต้เฉาะหัวมันเลย
“ก็ไหนว่ามึงจะมาไงวะ ทำไมจนป่านนี้ยังหายหัวล่ะฮึ”
สองอาทิตย์แล้วด้วย เขาเองก็ไม่กล้าพูดกับคุณเอสน่ะสิ ไม่รู้แคปมันกำลังเล่นบ้าบออะไร
(อะไร ทำไมต้องเร่งล่ะ
หรือว่าเจ้านายมึงอารมณ์เสียขึ้นมาแล้ว)
“ไม่ต้องมาทำเสียงอยากรู้ขนาดนั้น กูว่ามึงแม่งโรคจิตแคป
มึงจะแกล้งนายกูไปถึงไหนวะ ลองคิดถึงสภาพตัวเองมั่งถ้ามึงเป็นเขา
มึงจะหงุดหงิดไหมล่ะ”
(อ้าวก็ไหนมึงบอกว่าเขาดูปกติดีไง)
“มึงมันใจร้าย”
(โหยเดี๋ยวนี้มึงกลายเป็นคนของรัชชาเต็มตัวแล้วจริงๆนี่หว่า)
“แคป มึงใจร้าย”
(ใจร้ายอารั๊ย จะให้กูยอมทำตามคำพูดมันทุกอย่างเลยหรือไง
แบบนั้นน่าเบื่อตาย ไร้เสน่ห์ กูเองก็มีแผนของกูมั่งเหอะ)
“ไม่ต้องมาพูดมาก บอกมาเลยจะเข้ามาวันไหน”
(ไม่บอก)
“แคป”
(ก็ถ้าบอกเดี๋ยวมึงเอาไปบอกมันใช่ไหมล่ะ
แบบนั้นไม่ตื่นเต้นสิ)
“ตื่นเต้นตายห่าล่ะ อย่ามาวันนี้ก็แล้วกัน”
(ทำไม)
“ช่างเหอะ”
ก็คู่หมั้นนายกูเขาจะมายังไงล่ะ
กูยังไม่อยากเก็บซากรถไฟฟ้ารัชชามหานครชนกันหรอกนะ
(จะบอกไหมว่าทำไม)
“ไม่บอก”
“ไม่บอกก็แล้วไป เพราะว่ากูอยู่ตรงนี้....แล้ว”
ปอเงยหน้าขึ้นแทบไม่ทันเพราะว่าเสียงแคปไม่ได้ออกมาจากโทรศัพท์อีกแล้ว
หากแต่เจ้าแคปมันมายืนยิ้มยียวนตัวเป็น ๆ อยู่ต่อหน้าต่อตาเขาแล้วน่ะสิ
“มะ...มาได้ยังไงแคป!” ปอลุกพรวดขึ้นทำหน้าตื่นตกใจ
“คุณคนสวยด้านนอกโน้นพาขึ้นมา” แคปบ่ายหน้าบอกให้รู้ว่าพนักงานสาวสวยที่ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยของปอซึ่งเธอนั่งอยู่โซนนอกเป็นคนพาเขาขึ้นมาได้สักพักแล้ว
“กูเข้ากรุงมาโทรหามึงก็ไม่ติดเลยตั้งใจเข้ามาก่อนแล้วค่อยโทรทีเดียว
ผลที่ออกมาก็อย่างที่เห็น โดนด่าเปิงเลยใช่ไหมล่ะ”
ในมือแคปหิ้วถุงแฝดใส่แก้วกาแฟเย็นสองใบ
เขาวางมันลงที่โต๊ะของปอ
“อย่ามายั่วโมโห มาแล้วก็รีบ ๆ เข้าไปเลย”
“เข้าไปไหน” แคปแกล้งทำหน้าโง่ ๆ ถาม
พลางยกแก้วกาแฟสองใบออกมาจากถุงแล้วถือขึ้นมาทั้งสองมือในท่าเตรียมพร้อม
“มึงไม่รู้จริงดิ” ปอมองสิ่งที่อยู่ในมือแคป
เขากำลังคิดว่าแคปมันจะทำอะไรกับกาแฟวะนั่น ไม่ได้เอาขึ้นมาให้เขาหรอกรึ
“อืม มั้ง”
เสียงปอคำรามอยู่ในคอก่อนแทรกตัวออกมาจากโต๊ะแล้วลากแขนแคปดึงให้เดินตาม
“เดี๋ยวก่อนๆ กาแฟหกยุ่งยากเลยนะมึง”
“ก็แล้วมึงจะเอากาแฟขึ้นมาทำไมวะเนี่ย
วางไว้ที่โต๊ะกูก่อนก็ได้”
“ไม่เอา
ช่างกูเหอะน่า” นี่อ่ะของเซ่นเจ้านายมึงเชียวนะ
“วางไว้ก่อนเดี๋ยวออกมาค่อยกิน”
“ไม่ได้”
“นี่อย่าบอกนะว่ามึงจะเอาไอ้สองแก้วนี้เข้าไปฝากเจ้านายกู”
“...........” แคปเบือนหน้าหนีไปอีกทาง คืออายนิดๆด้วยล่ะ
ทำไมปอมันต้องซักไซ้ให้มากความด้วยวะ
“โอเคๆ กูเข้าใจแล้ว”
ปอกวาดตาเร็ว ๆ อีกรอบตรวจสภาพการแต่งกายของเพื่อนตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกที
วันนี้แคปมันค่อนข้างเรียบร้อยพอสมควรแต่ก็ยังออกแนววัยรุ่นอยู่ดี
ที่ผ่านขึ้นมาได้คงเพราะบัตรสีดำที่มันเคยส่งรูปมาให้เขาดูเมื่อสองสัปดาห์ก่อนนั่นแหละ
“มึงเข้าไปแล้วไม่ต้องออกมาเร็วนักล่ะ อยากจะกินอะไรนอกจากกาแฟที่มึงถืออยู่อีกหรือเปล่า”
แคปส่ายหน้าบอกว่าไม่ สองคนยืนอยู่ด้านหน้าประตูบานใหญ่
ชื่อพร้อมตำแหน่งเจ้าของห้องเด่นหราอยู่ต่อหน้าต่อตา
แคปขบริมฝีปากล่างหนึ่งทีก่อนที่เสียงเคาะประตูจบลง
ปอไม่ได้เข้ามาด้วย เป็นเขาที่ยืนมองด้านหลังของพนักเก้าอี้สูง
ๆ โดยที่เจ้าของที่นั่งหันหน้าไปอีกทาง
มีเพียงเสียงทุ้มเฉียบขาดที่ลอดผ่านออกมาเท่านั้น “เข้ามาทำไม”
เอสนั่งหันหน้ามองออกไปที่ทิวทัศน์กว้างผ่านกระจกใสด้านหลังโต๊ะทำงานของเขา
ไม่ได้หันมามองดูเลยว่าเป็นใครที่เดินเข้ามายืนนิ่งอยู่
เขายังคงคิดว่าเป็นเลขาของตัวเอง
จึงสั่งเรื่องงานต่อด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความขุ่นมัว
“เรื่องประชุมกับฝ่ายสินเชื่อและฝ่ายกฏหมายวันพรุ่งนี้ป๊าจะให้กูเข้าแทน
เจอกันเช้าหน่อย มึงขับรถให้กูก็แล้วกัน”
“.....................”
แคปยังคงยืนนิ่งงันอยู่แบบนั้น แม้ไม่ได้มองเห็นใบหน้าคนพูด
แต่เดาจากน้ำเสียงก็พอจะรู้ได้ว่าเอสไม่สบอารมณ์มากนัก
แก้วกาแฟที่ถืออยู่ทำเอาสองมือเริ่มแข็งเพราะความเย็น
“มึงเงียบทำไมวะ ไม่ได้ยินที่กู........”
พอไม่ได้ว่ายินอีกฝ่ายตอบรับ
เจ้าของห้องจึงหมุนเก้าอี้หันขวับกลับมาตั้งใจจ้องหน้าคนที่ยืนรอรับคำสั่ง
แต่ทว่าพอเห็นว่าเป็นใครที่ยืนจ้องเขาอยู่
จากใบหน้าที่เครียดระดับสาม กลับกลายเป็นเครียดระดับสิบ ระดับยี่สิบ แคปสาบานได้เลยว่าแววตาคมกริบนั้นจ้องมองเขากลับยิ่งกว่าจะจับกินเลือดกินเนื้อ
“มาทำไม”
เสียงโหดไปแล้วครับท่านพี่
“มาหา”
เปล่า ไม่ใช่แค่มาหาแต่กูมาจีบมึงอ่ะ
แล้วทำไมต้องทำเสียงดุด้วยวะ ก็มึงบอกให้กูมาจีบไม่ใช่เรอะ
“มาหาทำไม”
“กะ.........กินไหม”
แคปลังเลเพราะว่าเสียงทุ้มนั้นดุดันเกินไป เขาไม่รู้จะตอบว่าอะไร
มือเย็นจนชาไปหมดนึกขึ้นได้ว่าตัวเองถือแก้วกาแฟเย็นไว้สองแก้ว
เขาเดินอ้อมเข้าไปหาเจ้าของโต๊ะใกล้ ๆ วางแก้วลงพร้อมกับย่อตัวนั่งลงข้าง ๆ
เอสก็แค่เหลือบสายตามอง ถามน้ำเสียงห้วนจนขุ่นขลัก “อะไร”
“ก็ซื้อมาฝากไง มึงเลือกดูสิ ชอบแก้วไหนก็หยิบเอาไปดูด” แคปปั้นหน้าทำใจดีสู้เสือ
ไม่เจอกันนานดุฉิบหาย เอสตวัดสายตามองเขียวอื๋อ
“กินดิ ชอบแก้วไหนมึงลองเลือกดู”
เอสเบนสายตาไปมองทั้งสองแก้วนั่น เกิดคำถามขึ้นในใจ
ทำไมต้องมีสองแก้ว มันต่างกันยังไง หากแต่เขาไม่ได้ถาม เมิน
แล้วหยิบปากกาขึ้นมาพลางเปิดแฟ้มงานที่วางอยู่
ดูเหมือนไม่ได้สนใจคนตรงหน้าที่จดจ่อรอให้เขาทำอะไรสักอย่างกับของฝากของมัน
“ทำไมไม่กินวะ” อย่าเมินกันนักสิ นี่กูอุตส่าห์ตั้งใจถือขึ้นมาฝากเลยเนี่ย
เอสยังคงก้มอ่านรายงานอยู่แบบนั้น แคปก็จ้องมันอยู่นั่นแหละ
นั่งยองๆแบบนี้เมื่อยเหมือนกัน ช่วยไม่ได้เก้าอี้รับแขกดันไปอยู่เสียตรงโซฟานั่น
เขาเลยต้องมานั่งจ้องมันใกล้ ๆ แบบนี้แหละ คนถูกจ้องทำงานไม่รู้เรื่อง
ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ๆก่อนขยับปากถามด้วยน้ำเสียงและหน้าตาที่น่ากลัวไม่เปลี่ยน
“มันต่างกันยังไงสองแก้วนั่น”
แคปยิ้มแล้วอธิบาย “แก้วนี้เป็นคาปูชิโน่
ส่วนแก้วนี้เป็นม็อคค่า กินดิ กูซื้อมาฝากมึงนะ”
“ไม่กิน” เอสตอบเสียงแข็ง อีกคนหุบยิ้มแทบไม่ทัน
“ไม่กินก็เสียใจ” แคปแสร้งทำเสียงให้ดูน่าสงสารที่สุดต่อ
มารยาทุกอย่างที่มีในตอนนี้พยายามจะงัดออกมาใช้ นึกแล้วโคตรอายตัวเองเลยว่ะ
ผู้ชายเช่นกูทำไมมานั่งทำเรื่องน่าอับอายแบบนี้ได้
แต่เขาก็ต้องท่องไว้...อดทน....เพื่อหัวใจ
“เสียใจจริงนะเนี่ยถ้าไม่กิน” แคปว่าอ้อนๆไปอีก
ให้ตายถ้าปกติกูไม่ทำแน่ ๆ ขนลุก
“เรื่องของมึง”
“.................” พูดไม่ออกเลยสิทีนี้ แคปนิ่งไป
กำลังนึกว่าจะทำยังไงต่อ
กับคนที่ตัวเองจริงจังนี่มันทำไมถึงได้อายขนาดนี้วะหน้าร้อนไปหมดไม่เข้าใจ
เมื่อก่อนก็เล่นๆไปเรื่อยจีบใครป้อใครมันทำไมถึงเฉย ๆ ได้วะ จะทำยังไงต่อดี
“จิ๊ น่ารำคาญ” เอสตวัดตาเขียว ๆ
ใส่คนที่เท้าคางทำหน้าจ๋อยอยู่กับโต๊ะก่อนดึงแก้วม็อคค่าเอาไปดูดหนึ่งทีแล้วทำหน้าเหยเกขึ้นมา
แคปตาโตถามเสียงแข็งขึง “ทำไม!”
“อะไร” เอสที่หยิบแฟ้มขึ้นมาดูอีกทีถึงกับต้องละสายตาขึ้นมามอง
เพราะว่าจู่ๆแคปลุกขึ้นแล้ว
“ทำไมมึงไม่หยิบแก้วนี้ล่ะ”
“ไม่อยากกินคาปูชิโน่ไง”
“.............” อย่าตอบออกมาง่าย ๆ แบบนั้นนะเว้ยโฮ้ยยยย
มันเจ็บราวกับเข็มสักพันเล่มพุ่งเข้าใส่เลยมึงรู้ไหมห๊ะ!!
“ไม่ชอบแล้ว?” ไม่ชอบคาปูแล้วเหรอวะ แคปตั้งสติได้นึกว่าไม่ควรจะโวยวาย
เขาจึงค่อยนั่งย่อตัวลงอีก สองมือประสานไว้ที่โต๊ะขยับใบหน้าเข้าไปถาม
“ไม่ชอบคาปูชิโน่แล้วจริงดิ”
“อืม”
ไอ้คนใจร้ายยยยยยยย ไอ้ยักษ์ ไอ้ตัวยักษ์ ไอ้คนใจยักษ์
ไหนมึงหงุดหงิดอยากให้กูมาหาไง ทำไมมาแล้วไม่เห็นจะมีทีท่าดีใจขึ้นมาเลย
ดูทำหน้าโกรธกูยิ่งกว่าเก่าเสียอีกนี่หว่า
“ขยับไป จะทำงาน” เอสใช้แฟ้มดัน ๆ
ให้คนที่เริ่มกินพื้นที่ออกห่างจากตัว เขามองแก้วน้ำที่มันเริ่มละลายเลอะเทอะ
จะกดเรียกปอให้เข้ามาเก็บแก้วออกไป
แต่แคปเหมือนรู้งานรีบหยิบกาแฟเย็นสองแก้วนั้นออกไปวางไว้ที่โต๊ะกระจกหน้าโซฟารับแขกแทน
“นี่
กูก็มาตามที่มึงบอกไว้แล้วไง ทำไมถึงยังทำหน้าแบบนั้นอีกอ่ะ”
“กูบอกให้มึงมาตั้งแต่เมื่อไหร่ จำไม่เห็นได้”
เอสมองแคปที่กำลังพยายามลากโซฟาเดี่ยวเลื่อนๆๆมาใกล้ ๆ เขา จากนั้นมันก็นั่งลง
“ห้องมึงนี่ไม่ค่อยดีเลยนะ ไม่มีเก้าอี้ให้แขกนั่งเลย”
“แล้วที่นั่งอยู่นั่นไม่ใช่เก้าอี้หรือไง”
“ไม่ใช่แบบนั้น กูหมายถึงเก้าอี้ที่เอาไว้วางตรงนั้นน่ะ
หน้าโต๊ะมึงไง”
“ไม่มีห้องผู้บริหารที่ไหนเขามีเก้าอี้ไว้สำหรับให้แขกมานั่งจ้องหน้าหรอกนะ”
“อ่ะจริงดิ งั้นกูไปนั่งตรงนั้นดีกว่า”
แคปไม่ว่าเปล่าลุกขึ้นลากไอ้โซฟาตัวเก่า ลากๆๆมาจนถึงด้านหน้าโต๊ะของเอส
พอเขานั่งลงไปมันกลับเตี้ยจนแทบจะมองไม่เห็นเจ้าของโต๊ะใหญ่ แคปจึงแหงนหน้ามอง
“ตลกไหม กูเป็นคนแคระ ริจะจีบยักษ์”
“ประสาท” เสียงทุ้มบ่นอุบออกมาหน้าบูดบึ้ง
แคปยักไหล่แล้วปีนขึ้นไปนั่งบนแขนของโซฟาแทน
“นี่มึงกินข้าวยังอ่ะ” จะว่าไปยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงเลยนี่หว่า
อาฟี่ไม่พาแวะ ท่าทางจะรีบไปทำธุระต่อเขาเลยลืมเรื่องอาหารเที่ยงเสียสนิท
“นี่ ไม่ได้ยินกูถามเหรอ มึงกินข้าวยังวะ”
“กินแล้ว ทำไม”
ตอบเสร็จก็สนใจงานต่อไม่ยอมมองหน้ากันจนแคปรู้สึกอับอายที่จะถามโน่นนี่นั่นต่อไปอีกเหลือเกิน
ดูเหมือนเขากำลังกวนเวลาทำงานมันมากๆ
แคปลุกขึ้น
แต่ทางนั้นก็ยังนิ่งเฉยไม่มองมา
พอแคปก้าวฉับๆๆไปที่ประตู
เสียงปากกากระทกลงที่โต๊ะดังสนั่นจนเขาต้องหันกลับมามอง
...สองคนจ้องหน้ากัน...
อะไรของมันวะพออยู่ก็ทำหน้าไม่พอใจ ทำเหมือนเขาเป็นตัวเกะกะ
พอจะออกไปนั่งรอด้านนอกก็ทำหน้าเหมือนกับจะจับเขากินอย่างนั้นแหละ
จะเอาไงกันแน่
“ถ้ามีความอดทนแค่นี้ มึงก็คืนบัตรนั้นมาแล้วออกไปเลย”
“ไม่ให้! บัตรแฟนเรื่องอะไรจะคืน”
“กูไม่ใช่แฟนมึง!”
เสียงทุ้มน่ากลัวสวนกลับมาอย่างไม่ต้องคิดให้มากความ แคปสตั๊นไปเลย
นี่มัน...ราวกับโลกหมุนย้อนกลับ
คำพูดที่ครั้งหนึ่งนานมาแล้วเขาเคยใช้กับคนตรงหน้า
รู้ว่าฟังแล้วต้องเจ็บร้าว ลึกเข้าไปถึงขั้วหัวใจ
แต่บางที...มันก็นึกอยากจะเสี่ยงลองฟังดูสักครั้ง
รู้ว่าไม่มีสิทธิ์อีกแล้ว
รู้ว่าเราสองคนไม่ได้ข้องเกี่ยวกันอีกแล้ว
แต่ว่า..
ถ้ากูไม่หน้าด้านแบบนี้ กูจะได้มึงมาครอบครองอีกครั้งไหมล่ะ
“ไม่ใช่จริงดิ”
ทั้งที่หัวใจเจ็บจนแทบแตกสลาย
คำพูดคำจาแผ่วเบายังก่อกวนได้ต่อ ดวงตาสั่นไหวของเขาคงจะฟ้องบางอย่างออกมา
เมื่อเอสมองเห็นแบบนั้นถึงกับต้องเบือนหน้าหนีไปอีกทาง ความเงียบโรยตัวขึ้นอีก
กระทั่งแคปค่อยเดินอ้อมเข้ามาที่ด้านหลังเขา ขยับเข้าไปใกล้ ๆ
แล้วยื่นบางสิ่งบางอย่างส่งไปให้
ท็อฟฟี่สีชมพู
เอสคงไม่รู้ตัว ว่าเสี้ยวใบหน้าที่แคปมองเห็นเขาจากด้านหลัง
มันเห่อแดงขึ้นมาจนทำเอาคนให้ใจชื้น กำลังยืนอมยิ้มดีใจจู่ ๆ
ร่างสูงใหญ่ลุกพรวดขึ้นก่อนจะดันแคปให้ออกจากทางแล้วทำท่าจะเดินไป แคปรีบคว้าแขนเอาไว้
“ทำไมวะ” มึงไม่ชอบเหรอ ลูกอมที่กูตั้งใจเอามาให้
“กูไม่กินของเด็กเล่นแบบนี้หรอก”
“แต่กูชอบกินนี่”
รวดเร็วเกินกว่าจะจินตนาการ
เพราะว่าแคปแกะห่อท็อฟฟี่นั้นออกตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
เขายัดมันเข้าไปในปากเอสโดยไม่ให้อีกฝ่ายตั้งตัวทัน คนถูกป้อนยืนทำหน้าเอ๋อแดกไปไม่เป็น
ยิ่งพอแคปเบียดตัวเข้าชิดใกล้ เอสยิ่งตระหนกตกใจ
“ป้อนกูสิ...”
แคปว่าออกมาเบาๆ ปลายจมูกโด่งแทบจะสัมผัสกันอยู่แล้ว
ใกล้ชิดมากจนต่างฝ่ายรับรู้ได้ถึงลมหายใจของกันและกัน
ถ้าเป็นเมื่อก่อน เขาไม่รอดแล้ว โดนจูบแน่ ๆ
แต่วันนี้
ไม่ใช่แบบนั้นอีกแล้ว
เพราะคนที่ไม่ขยับเลยก็คือ.......เอส
ดวงตาคมกริบสองคู่จ้องมองกันอยู่อย่างนั้นชั่วขณะ
จนเป็นแคปที่ต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปาก
“ทำไม” ไม่จูบกูจริงอ่ะ
“หลีกไป”
คำพูดง่าย ๆ ที่พูดออกมาพร้อม ๆ
กับวงแขนที่กันแคปให้พ้นออกจากทาง เอสเดินอ้อมมานั่งลงที่โต๊ะทำงานเรียบร้อย
แคปปลง เวลาดำเนินเรื่อยไปตั้งแต่ตอนนั้น
คนหนึ่งนั่งทำงานไปขณะที่อีกคนนั่งลงที่โซฟาเดี่ยวที่ตัวเองลากออกมาจ้องคนที่โต๊ะนิ่งอยู่แบบนั้นมองซ้ายมองขวานึกบางอย่างขึ้นได้เขาจึงแอบดึงเอากระดาษโน๊ตแผ่นเล็กๆบนโต๊ะออกมาเขียนอะไรบางอย่างลงไป
“นี่..” แคปเลื่อนแผ่นกระดาษที่มีตัวเลขสิบตัวเรียงกันอยู่ส่งให้
เอสละสายตาออกจากหน้าจอรายงาน “ตอนนี้ใช้เบอร์นี้อยู่ โทรหากูได้นะ”
“....................”
โดนเมินตามเคย เอสเหลือบมองอย่างนึกเซ็ง
ก่อนหันไปสนใจงานตัวเองต่อปล่อยแคปไว้อาลัยกับเบอร์โทรศัพท์ของมันไป
“ถ้าอย่างงั้นกูขอเบอร์มึงได้ไหม”
โดนตวัดสายตาใส่เป็นรอบที่ยี่สิบของวัน แคปเริ่มคิดว่าตัวเองอาจพูดอะไรบางอย่างผิดไปเขาจึงพูดใหม่
“ผมขอเบอร์คุณได้ไหม” อึ๋ยยยทำไมถึงตาเขียวอื๋อยิ่งกว่าเก่าวะ
นึกว่าเมื่อกี้พูดไม่เพราะมันเลยทำตาเขียวใส่ นี่น่ากลัวกว่าเดิมอีก เห็นท่าจะไม่ใช่เรื่องสำเนียงการพูดเสียแล้ว
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูขอกับเลขามึงเองก็ได้”
“อยากจะรู้ไปทำไม ถ้าจะโทรหาก็ไม่ต้องนะเสียเวลา
เบอร์ที่กูใช้ก็เบอร์เก่านั่นแหละ ห้าปีที่ผ่านมา ไม่เคยเปลี่ยนหรอก”
“ไม่เปลี่ยนจริงหรือเปล่า” แคปเลื่อนหน้าเข้าไปถามใกล้ ๆ
แน่นอนเขาหมายถึงคน แต่ทำไมถึงได้ยินเสียงเอสหัวเราะออกมาเบา ๆ
“เฉพาะเบอร์นั่นแหละที่ไม่ได้เปลี่ยน
นอกนั้นเปลี่ยนไปหมดแล้ว”
คนฟังจ๋อยไปเลยสิ นี่หน้าชาไปไม่รู้กี่สิบหนแล้วนะ
ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันที่ยังนั่งทนทานหน้าด้านอยู่ตรงนี้ต่อได้ เขาได้ยินเสียงต๊อกแต๊กของคีย์บอร์ด
แอบมองขึ้นไปเห็นเอสพิมพ์ข้อความอะไรสักอย่างในเมล แคปทิ้งเวลาสักครู่
เขาคิดว่าตัวเองช่างไร้ค่าจริง ๆ
ไม่มีอะไรจะทำต่อแล้วยกเวลาขึ้นดูพอเห็นว่าเย็นแล้วเขาเองก็ลุกขึ้น
“นี่...”
ก๊อกๆ ๆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดจังหวะ แคปจึงต้องหยุดไว้ก่อน
ปอเดินเข้ามาพร้อมรายงานในมือยื่นส่งให้กับเอส
ก่อนหันมองมาที่แคปแล้วแอบอมยิ้มร้าย
ๆแคปถลึงตาใส่มันจากนั้นขยับปากแบบไร้เสียงบอกให้รีบ ๆ ออกไปเลย
“นายครับ เดี๋ยวคุณมินตราจะเข้ามาแล้วนะครับ”
“อืม”
แคปได้ยินเต็มสองรูหู
ไอ้เพื่อนปอมันพูดถึงคู่หมั้นเจ้านายมันเหรอวะ บอกว่าจะเข้ามาแล้วหมายความว่ายังไง
แล้วปล่อยให้เขามานั่งป้อเจ้านายมันอยู่นานสองนานนี่นะ
บ้าเอ๊ย
นี่กูลืมไปได้ยังไงว่าเขามีคู่หมั้นอยู่แล้วทั้งคน
สวยแบบฉิบหาย อีกทั้งน้องโบว์อะไรนั่นอีก ถือว่าเป็นน้องที่เขาสนิทด้วยอีกต่างหาก
น่ารักตัวแม่
แคปลุกขึ้นเลย มองเห็นปอโค้งคำนับให้เจ้านายก่อนล่าถอยออกไป
เขาเดินเข้าไปหาเอสใกล้ ๆ
“แบบนี้ไม่แฟร์”
“อะไร” เอสละสายตาออกจากแฟ้มมองขึ้นมา
“คิดเอาเองว่าเรื่องอะไร”
“ใจฝ่อจริงๆ ไหนว่าจะเอาชนะกูให้ได้ไง
ไหนบอกว่าจะเอาชนะบรรดาผ้หญิงพวกนั้นให้ได้ไม่ใช่หรือไง แค่ได้ยินชื่อคู่หมั้นกูมึงก็ฝ่อขึ้นมาแล้วหรือไงหื้ม”
“กูไม่ได้ฝ่อ”
“จะเชื่อดีไหมล่ะ” แคปได้ยินเสียงคนพูดหัวเราะออกมาเบา ๆ
ราวกับจะเย้ย ทำเอาเขากัดฟันไว้แน่น ขยับเข้าไปหาเอสใกล้ ๆ
“ตอนแรกกะจะชวนให้ไปส่งกูที่ห้องเย็นนี้
แต่ตอนนี้คิดว่ามึงคงไม่ว่างแล้วล่ะสิ”
“ไม่ว่างแน่อยู่แล้ว ก็ว่าที่คู่หมั้นกูจะมานี่นะ”
“ขอถามอีกที จะไปส่งกูไหมหรือว่ามึงจะไปพร้อมกับคู่หมั้นมึง”
“คำตอบมีอยู่ในคำถามแล้วนี่”
“จะไปกับใคร”
เอสยกข้อมือดูเวลา ในตอนนั้นเองโทรศัพท์มือถือเขาดังขึ้นมา
ที่หน้าจอเป็นรูปของสาวสวยที่มีชื่อกำกับว่ามินต์ สองคนจ้องหน้ากัน
วัดใจ
จนกระทั่งเอสหยิบเครื่องโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดรับสาย
ทั้งที่ตายังจ้องอยู่ที่คนตรงหน้า
“ครับ”
ทันทีที่เขาเลือกที่จะรับสายแล้วพูดคำว่าครับลงไป
เวลานั้นแคปหันหลังออกไปจากห้องนั้นในทันที เสียงบานประตูปิดลงพร้อม ๆ
กับตัวคนที่เดินกัดฟันกรอดก้าวฉับ ๆ
ผ่านโต๊ะของปอกำลังจะเลี้ยวผ่านเข้าไปที่ห้องสูบบุหรี่ดันสวนทางกับผู้หญิงที่เขาเพิ่งเห็นรูปเธอโชว์อยู่ที่หน้าจอมือถือเครื่องนั้นของเอส
เธอคุยโทรศัพท์ไปยิ้มไป
ไม่ต้องเดาก็รู้อยู่แล้วว่าปลายสายนั้นเป็นใคร
ควันสีเทาลอยหม่นอยู่รอบกาย บุหรี่จวนจะหมดมวนอยู่แล้วในตอนที่ปอเดินเข้ามาตบลงที่ไหล่เพื่อนตัวเองพลางบีบลงแรง
ๆ หนึ่งที ในมือถือกระเป๋าเตรียมพร้อมไว้
“มึงจะค้างที่ไหนวะคืนนี้”
“โรงแรมมั้ง”
“ค้างห้องกูไหม ห้องเก่าของพวกเราไง”
“ไม่ดีหรอกมั้ง” มันทำให้นึกถึงอดีต
ที่สำคัญยิ่งเห็นผู้หญิงคนนั้นเขายิ่งรันทดอดสูจริง ๆ
คนสวยขนาดนั้นเขาจะเอาอะไรไปสู้วะ สู้ได้ด้วยเหรอ
“เข้มแข็งไว้เพื่อน มึงท่องไว้มึงต้องเข้มแข็ง”
“เออกูก็อยากจะแข็งอยู่หรอก แต่มึงก็เห็น....”
“เอาน่านี่มันแค่เริ่มต้น มึงต้องมั่นใจตัวเองเข้าไว้
ให้กำลังใจตัวเองสิวะ กลับกันเถอะ”
“เจ้านายมึงกลับไปแล้ว?”
“อืม คงใช้ลิฟต์ตัวในน่ะ”
แคปพยักหน้าเบา ๆ
สองคนเดินไปเรียกลิฟต์เพื่อลงมาที่ชั้นจอดรถด้วยกัน
แต่ปอบอกว่าต้องแวะทำธุระที่ฟร้อนชั้นหนึ่งก่อน แคปจึงต้องลงมาด้วย
“กูออกไปรอด้านนอกนะ” ปอพยักหน้าให้ มองตามแคปที่เดินเซ็ง ๆ
ผ่านกระจกหมุนออกไป
“อ้าวคุณ สวัสดีครับ” เสียงพี่รปภ.
คนเดิมที่เคยกักตัวแคปไว้ร้องทัก
คราวนี้รู้แน่แล้วว่าเป็นแขกของท่านประธานเขาจึงยกมือขึ้นทำความเคารพแคปด้วย
“หวัดดีครับพี่ วันนี้ร้อนจังนะ”
แคปตอบทักแล้วเดินตามพี่เขาไปนั่งลงแถว ๆ บันไดเล็กๆข้างตู้รับบัตรของยาม
ที่เก่าที่เขาเคยมานั่งเมื่อสองสัปดาห์ก่อน มีรถแล่นผ่านเข้าออก
แลกบัตรโดยพี่รปภ.อีกคนที่ยืนอยู่ในตู้
เล็กๆนั่น
“วันนี้คุณก็มาหาท่านประธานเหรอครับ” เป็นแขกวีไอพีที่ทำตัวไม่วีไอพีเลยสักนิด
ไม่น่าเชื่อว่าวันนั้นท่านประธานจะลงมารับผู้ชายคนนี้ด้วยตัวเอง
“อะ..อ๋อครับ เสร็จธุระแล้วล่ะ ผมลงมากับคุณปรเมธน่ะ
เขาคุยธุระอยู่ ผมนั่งเล่นแถวนี้รอได้ไหมเนี่ย”
“ได้สิครับถ้าคุณไม่ว่าอะไรก็นั่งเถอะครับ
แถวนี้พวกผมใช้นั่งเล่นกันช่วงดึกตลอดอ่ะ ยิ่งดึกอากาศจะดีมากๆเลยล่ะครับ”
แคปมองไปที่สวนหย่อมที่เป็นป้ายทางเข้าออกของบริษัท
ต้นลีลาวดีสูงใหญ่ปกคลุม มีดอกร่วงกราวลงมาตามกระแสลมอ่อนๆ
คุณลุงคนสวนกำลังรดน้ำต้นไม้อยู่ด้วย
กลิ่นชื้นของดินมันทำให้เขานึกถึงไร่ของตัวเองขึ้นมา
อากาศที่ไร่ดีกว่าตั้งเยอะจะว่าไปเขาไม่ค่อยถูกกับเมืองกรุงเลยจริงๆนะ
แคปกำลังอมยิ้มอารมณ์ดีๆอยู่รอยยิ้มพลันต้องสลายหายวับ เมื่อรถยนต์สีดำคันใหญ่เลี้ยวผ่านช่องตรวจบัตรออกมาออกมาโดยไม่จำเป็นต้องยื่นบัตรผ่านเลย
แสงแดดที่สาดเข้าใส่ฝั่งด้านหน้าทำให้มองเห็นเลยว่าเป็นใครที่ขับรถคันนี้อยู่
แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับว่า คนที่นั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถ
คือหญิงสาวสวยมากคนนั้น
ก๊อกๆ
แกรกกก~
“ป๊า คุณแม่ล่ะครับ”
“อยู่ข้างในน่ะ
นึกยังไงเข้ามาหาป๊ากับแม่ถึงที่ห้องนอนเนี่ยเราหื้ม”
“เสียงอะไรคะคุณ
อ้าวเอสมาหาแม่กับป๊าเหรอลูก กำลังลองชุดอยู่เลย มาๆมาดูช่วยดูให้แม่ทีนะ
ว่าแต่เรามีเรื่องอะไรสำคัญใช่ไหมเนี่ย ร้อยวันพันปีจะเข้ามาหาแม่ถึงในห้องแบบนี้
มานอนด้วยกันเลยดีไหมหื้ม”
“แม่ครับ ผมมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณแม่น่ะครับ”
“เอ๊ะ เรื่องด่วนเหรอลูก มีอะไรรึเปล่า”
“ครับคุณแม่...”
.....
คืนนั้นไม่รู้ว่าทำไมคูเปอร์ถึงได้เดินวนไปวนมาจนเอสต้องลุกขึ้นมาลูบหัวลูบหลังมันหลายต่อหลายครั้ง
“คูเปอร์”
งิ๊งๆๆ
“ปวดท้องหรือเปล่า หรือจะขึ้นมานอนกับพี่”
เจ้าคูเปอร์เลียมือเอสอ้อน
เขาเดินไปส่งมันขึ้นนอนที่โซฟาซึ่งเป็นที่นอนของมัน แต่มันส่ายหัวไม่ยอม
เดินไปหยุดอยู่ที่ประตูระเบียงหันมามองเอสแล้วร้องหงิงๆ
“จะออกไปเหรอ”
เอสเลื่อนบานประตูเปิดออกให้
ลมเย็นๆยามดึกเย็นพัดเข้ามาปะทะใบหน้า
คูเปอร์เดินไปกระโดดเอาสองขาเกาะอยู่ที่ขอบระเบียง
มันเห่า
“คูเปอร์เป็นอะไร”
“โฮ่ง”
“เข้านอนได้แล้ว นึกยังไงอยากเล่นดึกดื่นขนาดนี้”
เอสอุ้มมันลงมาแล้วบอกให้เดินเข้าไปนอนลงที่เดิม เจ้าคูเปอร์หันมามองหน้าเจ้านายแบบงอน
ๆ จากนั้นกระโดดขึ้นโซฟาเบสตัวสีเทาแล้วหมุนๆๆก่อนทิ้งตัวนอนลง
เป็นเวลาเดียวกับเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เขาเดินไปหยิบขึ้นมาดู
จากนั้นเผลอยิ้มออกมา ก่อนเปลี่ยนไปทำหน้านิ่ง ๆ อย่างเคย
“โทรมาทำไมรบกวนคนจะหลับจะนอนจริง ๆ”
แคประบายรอยยิ้มบาง ๆ ออกมาทันทีที่ได้ยินเสียงทุ้มต่อว่ามาจากปลายสาย
เขาทาบนิ้วที่คีบบุหรี่จรดเข้าที่ริมฝีปากก่อนปล่อยควันสีเทาหม่นเจือจางให้ลอยอ้อยอิ่งออกมา
“อ้าวจริงดิ นี่ไม่รู้ตัวเลยนะว่ากดมาเบอร์มึงเนี่ย
งั้นกูวางเลยละกัน”
(มึงลองวางสิ)
“จะเอาไงแน่วะ”
(รบกวน น่ารำคาญ)
“รำคาญแล้วจะคุยได้ไหมล่ะ”
(สองนาที)
“ก็ยังดีกว่าให้แค่นาทีเดียวล่ะเนอะ”
(มีอะไร)
“เปล่า
แค่อยากได้ยินเสียง”
(อืม งั้นจะไม่พูด)
“งั้นก็ดี
เพราะแค่เสียงลมหายใจของมึงก็ทำให้กูคึกคักน่าดูอยู่แล้ว”
(ประสาท)
“หึหึ ดีใจจัง”
(บ้ารึเปล่า)
“นี่ เมื่อตอนเย็นมึงไปส่งผู้หญิงคนนั้นเหรอ”
กูเสียใจนะ
(ใช่ ทำไม)
“มึงชอบเขาเหรอ”
(เธอเป็นว่าที่คู่หมั้นของกู)
“รักเธอหรือเปล่า”
(ไม่เกี่ยวกับมึง)
“เกี่ยวสิ”
(ตรงไหน)
“ก็ถ้ากูคิดว่าจะจีบ
กูก็จะเคลียร์ตัวเองให้เกียรติคนๆนั้นที่กูคิดจะจีบ มึงเองก็น่าจะคิดแบบเดียวกันนะ”
(นี่มึงมีคนของมึงอยู่แล้ว?)
“ถ้ามีแล้วผิดเหรอ” ความจริงไม่มีหรอก
แต่พูดแล้วก็นึกขำขึ้นมาไม่ได้เพราะว่าทางนั้นเงียบไปเลย
แคปเดินเข้าห้อง กระโดดขึ้นเตียงคว้าหมอนมากอดไว้ที่ตัก
“งอนเหรอวะ”
(......................)
“อะไรล่ะนั่น อย่าเงียบไปดิ คนที่ควรโกรธต้องเป็นทางนี้ไหม
มึงมีว่าที่คู่หมั้นสวยมากขนาดนั้นอ่ะ)
(นี่มึงมีแฟนแล้วจริง?)
“อะไร
ถ้ามีแล้วผิดหรือไงล่ะ”
ทำเสียงดุไปได้
มีที่ไหนกันเล่าของแบบนั้น
(..................)
“โกรธอีกแล้วเหรอ”
(จะวาง)
“ไม่วางดิวะ ยังคุยไม่เสร็จเลย”
(จะวาง)
“เดี๋ยวจะเคลียร์ทุกคนออกให้หมด จะตั้งใจจีบมึงแค่คนเดียว จะไม่เจ้าชู้อีกแล้ว มีแต่มึงคนเดียวเลยดีไหม”
เอ๊ะนี่กูเคยเจ้าชู้ด้วยเหรอวะ พูดแล้วต้องรีบยกมือขึ้นมาปิดหน้า อายตัวเองดิสัส พยายามนึกถึงคำโอ้โลมปฏิโลมมันทุกวิถีทางแล้วเนี่ย
(.................)
“เชื่อใจกูนะ ไม่งอน
แล้วมึงเองก็ต้องเลิกกับทางนั้นให้หมดทุกคนด้วย”
(.................)
“ได้ไหม” อ้อนเข้าไปอีกไอ้แคปมึง
งัดออกมา เทคนิคของมึง
(.................)
“เอส”
(ไม่!)
“โอ๊ยอะไร จะให้กูซื่อสัตย์อยู่คนเดียว
ส่วนมึงจะมีใครก็ได้งั้นดิ”
(ใช่ กูจะมีใครก็ได้)
ไอ้คนชั่วร้าย เห็นแก่ตัวแม่ง ชั่วๆๆๆๆ (ใจร้ายจัง~) พูดได้แค่นี้ไปก่อน เดี๋ยวจีบไม่ติด
(จะวางแล้ว)
“เดี๋ยวดิ”
(เกินสองนาทีแล้ว)
“เพิ่งนาทีเดียวเอง” ถึงความจริงสิบห้านาทีแล้วก็เถอะ
(มีอะไรอีกรีบพูด)
“พรุ่งนี้เข้าไปหาอีกได้ไหม”
(ไม่ได้)
“จริงดิ”
(ตอนเช้าไม่ว่าง)
“งั้นไปตอนบ่าย”
(บ่ายก็ไม่ว่าง)
“ไม่อยากไปตอนเย็นอ่ะ กลัวเจอภาพบาดตาอีก
ผู้หญิงของมึงสวยเกินไป”
(คิดว่าจะเจอเขาอีกหรือไง)
“ทำไมอ่ะ เดี๋ยวเขาก็มาหามึงอีก” กูเจ็บนะ
เขาเป็นว่าที่คู่หมั้นมึงนี่
(...................)
“นี่...”
(วางแล้วนะ ลูกกูเรียกแล้ว)
“เฮ้ย!! มึงมีลูกแล้วดิ” ตอนไหนอะไรยังไงฟร๊ะ!!
(คูเปอร์ไง)
“เหยดดดดดดดดดด แล้วแม่มันล่ะ”
(แม่มันทิ้งไปแล้ว ช่างหัวมันสิ)
“หนอย ไอ้สัส!! คูเปอร์ลูกกูนะ” แคปลืมตัวพ่นคำด่าออกมายกมืออุดปากไว้แทบไม่ทัน
เหมือนได้ยินฝ่ายนั้นพ่นลมหายใจออกมาเบา ๆ
(...............)
“นี่มึงยิ้มอยู่เหรอ”
(ใครยิ้ม)
มึงนั่นแหละ ยิ้มชัดๆยังจะมาถามเสียงดุ
“มึงยิ้มแน่ๆอ่ะ”
(.................)
“เอส”
(กูไม่ได้ยิ้ม)
“เคยมีคนบอกหรือยัง ว่ารอยยิ้มของมึง สวยที่สุดเลย”
(ไม่เจอกันนาน บ้าขึ้นเยอะเหมือนกันนะแคป)
“ก็....
ติ๊ด----
เสียงกดตัดสาย เบรกคำพูดทุกๆอย่างลง แคปที่กำลังอ้าปากค้างเพราะถูกด่า
พูดมาจนถึงตรงนี้กลับหน้าร้อนฉ่าขึ้นมาอีกได้ไงไม่รู้
เขาทำอะไรไม่ถูกคว้าเอาหมอนขึ้นมากัดมาบดจนฟันปวดหนึบไปหมด
แม้ว่าทางนั้นจะวางสายไปแล้วก็เถอะ แต่ความรู้สึกในใจกลับพุ่งพล่านจนยากจะอธิบาย
กัดลิ้นตายไปเถอะกู พูดออกมาแต่ละอย่างช่างไม่อายปากเล๊ยยยย
.
ในขณะเดียวกัน ที่คฤหาสน์ใหญ่ของรัชชา เอสวางโทรศัพท์มือถือลง
เขานั่งสงบใจอยู่สักครู่ก่อนเอนตัวลงนอนแล้วเอื้อมมือไปดึงปิดโคมไฟผ้าที่หัวเตียง
ในความมืดที่โอบล้อมอยู่รอบตัว
คำพูดเมื่อสักครู่ของแคปกลับย้อนขึ้นมาในห้วงความคิดคำนึง.....ครั้งแล้วครั้งเล่า
“เคยมีคนบอกหรือยัง
ว่ารอยยิ้มของมึง สวยที่สุดเลย”
.
.
.
“เคยมีคนบอกหรือยัง
ว่ารอยยิ้มของมึง สวยที่สุดเลย”
.
.
.
“เคยมีคนบอกหรือยัง
ว่ารอยยิ้มของมึง สวยที่สุดเลย”
ก็เพราะ...ทุกอย่างที่เธอเคยได้ทำ
ความอ่อนโยนทุกๆถ้อยคำ
(Cr.เพลงทุกสิ่ง/พรู)
Tbc.