[28]
เสียงโทรศัพท์มือถือแผดลั่นขึ้นช่วงหัวค่ำของคืนวันเสาร์
ในตอนที่ท่านประธานคนเล็กแห่งรัชชากำลังให้ความสนใจกับแฟ้มเอกสารสองสามแฟ้มบนโต๊ะทำงานในห้องนอนขนาดใหญ่ เสียงเรียกเข้าทำให้สุนัขลาบลาดอร์สีครีมตัวโตที่นอนหมอบจ้องทีวีซึ่งกำลังฉายการ์ตูนก้านกล้วยช้างศึกที่เจ้านายของมันเปิดเอาไว้ให้
ละสายตาออกมาเห่าเรียก
“โฮ่ง!”
มันเป็นหมาที่ตัวโตมากแต่เวลาที่เห่าเรียกเจ้านายตัวเองชอบทำเสียงเล็กๆ
ออดอ้อน เอสเงยหน้ามองมันขณะที่คูเปอร์มองตอบก่อนที่จะหันไปสนใจทีวีต่อ
เขาจึงหยิบเอาโทรศัพท์มือถือที่ยังร้องลั่นอยู่ขึ้นมากดรับสาย
“ว่าไงวะ”
กรอกสำเนียงติดโหดนิดหน่อยพอรู้ว่าเป็นใครที่โทรเข้ามา
(มึงอยู่ไหน สวะเอส)
คำพูดติดปากของไอ้พวกเพื่อนยากเวลาที่โทรเข้าหา
เสียงเฮฮาดังแทรกเข้ามาจากปลายสาย
ทั้งชิพทั้งเมี่ยงและทั้งไอ้เจ้าของโทรศัพท์อย่างบุ้งโทรเข้ามาเรียกให้ออกไปร่วมดื่ม
มารยาทการเรียกขานไม่ต้องให้กล่าว ไม่มีชั้นวรรณะอะไรทั้งนั้นนอกเหนือเวลางาน
(พวกกูมารอมึงที่เมืองหลวงนานแล้ว นานแล้ววววว
แต่มึงเสือกไประยองอีก ฟายยย”
เอสหัวเราะนิดๆ
นี่ไอ้บุ้งมันเมาแล้วแหงๆทั้งที่ยังหัวค่ำอยู่ขนาดนี้
“ระยองเห้ไร กูอยู่บ้านกูนี่แหละ
พวกมึงเข้ากรุงมาเมื่อไหร่วะบุ้ง”
(เมื่อเย็นเนี่ย ออกจากคฤหาสน์มึงมาเร็วเข้า
ไอ้ชิพกับไอ้เมี่ยงแม่งมันหลอกกูว่ามึงไปกบดานอยู่ระยองทุกสุดสัปดาห์
กูเลยคิดว่าวันนี้จะไม่ได้เจอกับมึงแล้วไง)
“ถุย! ไหนมึงบอกมารอกูที่เมืองหลวงนานแล้วไง
ปากดีนัก”
(เออน่า ออกมาเร็วไอ้เกลอ
พรุ่งนี้กูต้องกลับตราดแล้วมึงรีบมาหาให้ไวๆเลย กูรอมึงอยู่
แดกเหล้ากันให้ยับเลยเพื่อน”
“หึหึ พร้อมเสมอฮะเดี๋ยวเจอกัน”
เอสรับปากไปแล้วบอกอีกสักชั่วโมงเจอกัน
สถานที่ไม่ต้องให้ถามยุ่งยาก รู้ๆกันอยู่แล้ว
ร้านเหล้าเดิมๆที่เคยไปใช้บริการกันอยู่ตลอด
เอสลุกขึ้นเดินเข้าไปที่ห้องแต่งตัวก่อนออกมาในชุดใหม่
เขาเดินเข้าไปลูบหัวคูเปอร์เบา ๆ “เดี๋ยวพี่กลับมา คูเปอร์จะนอนเลยหรือจะลงไปรอพี่อยู่ข้างล่าง”
เจ้าหมาตัวโตลุกขึ้นในตอนที่เอสกดปิดทีวี มันเดินช้า ๆ
แทนคำตอบตามเจ้านายลงมาถึงด้านล่างก่อนเข้าไปนอนหมอบลงข้างท่านเจ้าสัวและคุณหญิงซึ่งกำลังนั่งดูข่าวภาคดึกอยู่ที่ห้องรับแขกใหญ่
“คูเปอร์มานั่งข้างพี่อุ้มเร็ว” นี่เสียงน้องอุ้ม สาวสวยน้องเล็กคนสุดท้องของบ้านรัชชา
เธอเรียนจบไฮสคูลจากอังกฤษจากนั้นบินข้ามน้ำข้ามทะเลไปต่อปริญญาตรีและโทจากคณะเทคโนโลยีสารสนเทศที่โมนาช
และเพิ่งจะกลับมาทำงานที่เมืองไทยเมื่อต้นปีที่แล้ว
งานของเธอคือดูแลในส่วนของระบบไอทีและงานสารสนเทศทุกรูปแบบให้กับรัชชาแม่ข่าย
สำนักงานใหญ่ที่เธอควบคุมอยู่ที่ตึกรัชชาเทเลคอมฯซึ่งเป็นอาคารกระจกสูงใหญ่ที่ตั้งอยู่ข้างกันกับตึกหลักของรัชชาที่เอสนั่งบริหารงานอยู่
“จะออกไปข้างนอกเหรอลูก” คุณหญิงเงยหน้าถามลูกชาย
เอสเดินเข้าไปทิ้งตัวนั่งลงข้างๆคุณแม่ของเขา กอดเอวเธอไว้หลวมๆ “ครับคุณแม่”
เขามองดูเจ้าคูเปอร์ที่เดินแกว่งหางเข้าไปนั่งซบตักน้องอุ้มอย่างดุษดี
“เดี๋ยวคูเปอร์ขึ้นไปนอนห้องพี่อุ้มดีกว่านะ
เฮียเขาจะออกไปหาสาวคูเปอร์อยู่กับพี่อุ้มนะครับนะ”
“เอ๊ยัยอุ้ม ไปว่าพี่เขา” น้องอุ้มโดนคุณแม่เอ็ดไปเบา ๆ
ท่านเจ้าสัวที่นั่งดูข่าวไปจิบไวน์ไปหัวเราะออกมา
“ถ้าเมามากก็เปิดห้องนอนแถวนั้นเลยก็ได้ไม่ต้องขับรถกลับมามันอันตราย”
“ครับป๊า”
“คุณนี่ล่ะก็ ไม่ห้ามลูกซ้ำยังส่งเสริมกันนะคะ”
“อะไรจะตึงขนาดนั้นกันล่ะคุณหญิง
ลูกชายคุณทำงานทุกวันให้เขาผ่อนคลายบ้างเถอะน่า” ว่าแล้วก็ส่ายหัว เถียงกับผู้หญิงคนนี้ท่านไม่เคยชนะได้หรอก
อย่าได้ถามเรื่องเหตุเรื่องผล
“นานๆทีแม่ครับ” เอสมองดูเวลาทำท่าจะลุกขึ้น
แต่คุณหญิงดูเหมือนมีอะไรบางอย่างที่นึกขึ้นมาได้เขาจึงนั่งรอเธอพูดให้จบ
“พรุ่งนี้เอสจะชวนหนูมินต์ไปงานหรือเปล่าลูก”
“งานอะไรครับคุณแม่” ทุกทีจะมีหมายกำหนดการและตารางงานจากปอทำไว้ให้เขาก่อนล่วงหน้าเป็นเดือนหรือไม่ก็จะแทรกมาในระหว่างสัปดาห์
แต่เขาจำไม่เห็นได้ว่าคืนวันพรุ่งนี้ตัวเองต้องไปงานอะไรที่ไหน
“งานแต่งหมวดนตลูกชายคนเล็กของคุณวันวิสา
น้องจบจปร.ปีที่แล้วนี่เอง ลูกน่าจะรู้จักอยู่นะ เพื่อนเราก็เป็นทหารหลายคนไม่ใช่หรือ”
“เพื่อนเก่าน่ะครับ มีติดต่อกันบ้าง”
ที่จริงไม่บ้างหรอก เพื่อนกลุ่มนี้ค่อนข้างสนิท
ดื่มด้วยกันบ่อย นึกย้อนไปเมื่อครั้งยังเด็กช่วงที่เรียนจบชั้นมัธยมต้นจากเซนต์คาเบรียล
เขากับกลุ่มเพื่อนไปสอบเข้าที่โรงเรียนเตรียมทหาร
ในตอนนั้นศรัทธามันแรงกล้ามากจริง ๆ เลือดความเป็นนักรบไม่รู้ว่ามาจากที่ไหน
พวกเขาสิบกว่าคนหนึ่งในนั้นมีเมี่ยงรวมอยู่ด้วย
แห่กันไปสอบทั้งที่ไม่ได้เข้าติวอะไรทั้งนั้น ผลออกมาคือเขาสอบติดกับเพื่อนอีกสี่คนได้
แต่ไอ้เมี่ยงไม่ติด
มันนั่งร้องไห้จนตาปูดตาบวมตามเขาไปที่บ้านงอแงอยู่แบบนั้นจนคุณพ่อคุณแม่เขารู้ความจริงและจับได้ว่าเขาหนีไปสอบเข้าที่นั่นด้วย
ทั้งที่ท่านเพิ่งจะพาไปมอบตัวเรียนที่เตรียมอุดม ซื้อหนังสือหนังหาจนเรียบร้อย
ผลสุดท้ายเอสสละสิทธิ์ที่โรงเรียนเตรียมทหารเพราะว่าคุณพ่อเขาถึงขนาดทิ้งงานใหญ่มารับตัวเขาในวันที่ต้องเข้าไปรายงานตัว
ก่อนที่เขาจะใช้ชีวิตนักเรียนมัธยมปลายทั่วไปและสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ด้วยคะแนนยื่นส่งที่สูงมากจนน่าตกใจ
ถึงเขาจะสละสิทธิ์ในตอนนั้นแต่เพื่อนกลุ่มนี้หลังจากที่ต่างคนต่างทำงานกันแล้วได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง
มีดื่มสังสรรค์กันบ่อยแล้วแต่โอกาส
เจอกันบ้างไดร์ฟกอล์ฟที่สนามไดร์ฟต่างๆด้วยกันบ้าง
โดดร่มบ้างเป็นบางครั้งหนึ่งในกีฬาที่เขาชื่นชอบเป็นอย่างมาก
อันที่จริงเพื่อนฝูงเขามีทั้ง ทบ. ทอ. และทร. เกือบจะครบสี่เหล่าอยู่แล้ว นี่ถ้าเขาได้เป็น
นตท.ในตอนนั้น ตอนที่ขึ้นเหล่าเขาคงเลือก ทบ. อย่างที่ใจฝัน
ป่านนี้คงมีดาวบนบ่าและติดเครื่องหมายหน่วยรบพิเศษเต็มอกไปแล้ว
“แต่งที่ไหนนะครับคุณแม่”
อันที่จริงเขายังไม่เห็นการ์ดเชิญเลยด้วยซ้ำ
“สโมสรทหารบก-วิภาวดีน่ะ เอสจะชวนหนูมินต์ไปไหมลูก”
“ตามใจคุณแม่เลยฮะ” เรื่องจริงก็คือ
เขาไม่เคยออกงานสังคมอย่างเป็นทางการคู่กับมินตราเลยสักครั้ง คำว่า
ว่าที่คู่หมั้นนั้นบางครั้งมันก็ยังเป็นการภายในมากอยู่
เธอยกมือที่ประดับแหวนเพชรเม็ดเล็กๆขึ้นมาเกลี่ยเส้นผมที่ตกลงมาระใบหน้าของลูกชายออกให้
ในดวงตาของผู้เป็นแม่คลับคล้ายว่าอ่านความในใจบางอย่างออก
มันหลายอย่างมากเหลือเกิน เอสคงนึกถึงเรื่องความฝันเก่าๆเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก
แล้วยังเรื่องของมินตราว่าที่คู่หมั้นที่เธอเป็นธุระจัดหาให้
เธอรู้ดีว่าลูกชายคนนี้เสียสละเพื่อครอบครัวมาไม่รู้เท่าไหร่แล้ว เสียสละแม้แต่ความฝันของเด็กผู้ชายในตอนนั้น
ความรู้สึกตันตื้อเอ่อล้นขึ้นมาอยู่ในอกของผู้เป็นแม่
“ถ้าอย่างนั้นให้แม่ควงเอสก็แล้วกันนะลูก” พอเธอบอกว่าจะไปเอง
ประกายตายินดีของลูกชายทำเอาเธอใจกระตุก
รู้ดีทุกอย่างว่าเอสไม่เคยรักชอบมินตราในแบบของคนรักเลยสักนิด เพียงแต่ว่าเธอไม่เคยรู้ว่าลูกชายเธอรักชอบพออยู่กับใคร
ถ้ายอมบอกกันสักหน่อยก็คงจะดีเธอคงจะจัดการเรื่องต่าง ๆ ให้ง่ายขึ้น
“คุณแม่ไม่ชวนน้องอุ้มล่ะครับ ไม่ก็พี่แอมป์
แต่รายหลังนี่คงยากหน่อย” พูดถึงพี่แอมป์พี่สาวคนโตของบ้าน
ตั้งแต่กลับมาจากไปเที่ยวพักผ่อนที่ปารีสกับครอบครัว อาทิตย์ที่ผ่านมาเอสยังไมเคยได้เจอกันเลย
เธอรับผิดชอบงานหลายอย่างของรัชชาจนตัวแทบจะตีเป็นเกลียว อ้อ เธอยังสติลโสดต่อไป
ไม่ยอมแต่งงานเหมือนเดิมทั้งที่อายุอานามจะปาเข้าไปสามสิบกลาง ๆ แล้ว
“ไม่ก็ชวนป๊าไปเลยครับแม่
เดี๋ยวผมกับน้องอุ้มเดินตามถ่ายรูปให้ดีไหม”
“แซวแม่เหรอเรา
ป๊าเขาต้องออกงานคู่กับลูกสาว ส่วนแม่ต้องควงลูกชายสุดหล่อคนเดียวของบ้านอยู่แล้ว
เท่สุดๆจนควงออกงานไหนงานนั้นแม่นี่ฮอตขึ้นมาทันที”
ท่านเจ้าสัวหัวเราะขึ้นมาเบา ๆ
คว้าเอามือคุณหญิงไปกอบกุมเอาไว้แล้วบอกให้เอสรีบออกไปเดี๋ยวเพื่อนจะรอ
เจ้าคูเปอร์นอนมองตาละห้อยพอเห็นเจ้านายตัวเองเดินผ่าน
“คืนนี้นอนกับพี่อุ้มนะคูเปอร์”
เขาก้มลงลูบหัวและบอกมันอีกครั้งก่อนจะเดินออกจากห้องรับแขกใหญ่มา
ได้ยินเสียงคูเปอร์ประท้วงเบา ๆทำเอสเผลอระบายรอยยิ้มออกมาได้
“คุณเอสใช้คันนี้ไหมครับ ผมขัดจนเงาวับเลย”
นายแมนซึ่งเป็นหลานชายของคนดูแลรถเก่าแก่ของบ้านเข้ามารับช่วงต่อในตอนดึกของทุกวัน
เขาทำหน้าที่ดูแลรับผิดชอบเรื่องรถทุกๆคันของบ้าน
กำลังยืนขัดมันรถสปอตสีดำให้สวยงามจนขึ้นเงา
“อืม”
เอสรับกุญแจรถมาแล้วเดินขึ้นไปนั่งประจำที่ก่อนเลี้ยวออกไป เขาใช้เวลาขับรถไม่ถึงสามสิบนาทีก็มาถึงร้านที่ชอบมานั่งชิลแล้วยับแหลกกันทุกที
ผู้จัดการร้านจำเอสได้จึงเข้ามาทักทายแล้วพาเดินไปที่โต๊ะอย่างเป็นกันเอง
เสียงดีเจซึ่งก็คือหนึ่งในบรรดาหุ้นส่วนของร้านกล่าวต้อนรับแบบขำๆซึ่งทำเอาคนเข้ามาใหม่ถึงกับส่ายหัว
ก่อนที่คนเดินมาส่งจะบอกให้นั่งชิลตามสบายเลยเดี๋ยวมีเด็กๆเข้ามาเทคแคร์
“กว่าจะมาได้นะท่านเอส” บุ้งใช้มือข้างที่คีบบุหรี่ยกแก้วเหล้าชูขึ้นแล้วเรียกเอสไปนั่งข้าง
ๆ ตัวมันเมาแล้วแน่ ๆ หากแต่คาแรคเตอร์คือชอบที่จะนั่งนิ่ง ๆ
เมามากแต่ไม่เคยแสดงออกว่าเมา เอสจะเดินข้ามไปนั่งข้างมัน แต่กลับโดนอีกคนที่นั่งอยู่อีกฝั่งดึงชายเสื้อเขาเอาไว้ก่อน
“ไม่ๆๆๆๆ มึงต้องมานั่งข้างกูดิวะ ตรงนี้
ที่ตรงนี้ ที่ของมึง” อันนี้เสียงเมี่ยง
คนตัวเล็กที่ผ่านไปกี่ปีก็ยังเตี้ยคงเดิมไม่เคยเปลี่ยน
เมาจนแก้มขึ้นสีแดงนิดๆยังมีหน้าจะยกดื่มต่อ
“มานี่เลยไอ้เพื่อนรัก...เหล้ามันทำร้ายตับ...แต่ไม่เคยทำร้ายหัวใจ
ยินดีต้อนรับสู่อ้อมกอดของพี่ชิพนะครับนะน้องเอส
เสือน้อยซ่อนเขี้ยวเล็บ คืนนี้ไม่คั่วสาวหน้าไหนทั้งนั้นนะครับนะ
มีคนที่รักอยู่แล้วมึงต้องท่องข้อนี้ไว้ให้ขึ้นใจ หึหึ”
รายนี้เมาหนักที่สุดแน่นอน คำพูดอ้อแอ้อ้อแอ้
ชิพชูสองแขนทำหน้าทำตาเยิ้มเหมือนบอกให้คนมาใหม่ถลาเข้าซบอกตัวเองซะดี ๆ
เอสส่ายหน้าเซ็งก่อนไหวไหล่นิดๆเขาเดินเข้าไปผลักหัวมันอย่างแรงหนึ่งทีแล้วทิ้งตัวนั่งลงข้าง
ๆ
“เอาให้ยับไปเลยเพื่อน คืนนี้กูเปิดห้องด้านบนไว้แล้ว
พวกเราสี่คนกินให้ฟื้นกันพรุ่งนี้เลยก็แล้วกัน”
Yeahhhhh!!
คืนนั้น..เหล้าสีเหลืองอัมพันถูกเติมแล้วเติมอีก
เปิดใหม่จนกินพื้นที่ไปค่อนโต๊ะ
นักดื่มที่แข็งแต่คอหากแต่หัวใจอ่อนแอกันหนักกำลังพยายามทุบสถิติที่เคยทำมาตั้งแต่สมัยเรียน
“ไม่งอแงนะฮะ! อย่าอ่อนแอ” ชิพกอดคอเอสแล้วก้มลงว่าแบบอ้อแอ้
ขณะที่คนฟังผลักไอ้เพื่อนยากออกแล้วเรียกน้องพนักงานบอกย้ายห้องๆ
“ไมค์มาให้กูเลย ไมค์ๆๆๆ”
ในที่สุดเวลาดีก่อนเที่ยงคืนนิดหน่อยห้องกระจกเล็กๆในโซนส่วนตัวถูกเปิดต้อนรับนักร้องขี้เมาจำเป็นสี่ชีวิตที่เข้าไปจับจองไมค์โครโฟนคนล่ะตัวแหกปากร้องเพลงกันอยู่ เมายับ!! อย่างลืมตาย
“อย่าอ่อนแอนะฮะ อย่าอ่อนแอ” ชิพมันยังพูดย้ำอยู่แต่คำเดิม ๆ
ขณะที่เอสเริ่มแหกปากครวญครางเพลงอะไรสักอย่างที่มาเมากันทีไรมันก็ชอบใช้เพลงนี้หากิน
“จากฉันคนเดิม...จากรักไม่เป็น...”
เสียงยิ่งกว่าควายตกมัน ถึงอย่างนั้นเพื่อนอีกสามคนก็ยังนั่งฟังตาเยิ้มด้วยฤทธิ์ของสุรา
ชิพคว้าเอาคอเพื่อนรักเข้ามากอดอีกหน “อย่าอ่อนแอไงวะ กูบอกมึงแล้วว่าอย่าอ่อนแอ”
เขาพูดย้ำในคำเก่า ๆ บุ้งกับเมี่ยงเหลือบมามองแล้วก็ยังขำ
ปล่อยให้เพื่อนสองคนกอดคอกันพล่ามไปร้องไป เอสหันมองเพื่อนสนิทตัวเองนิดหน่อยก่อนยกแก้วขึ้นกรอกอีกรอบ
เขายกยิ้ม “หึ..ไอ้สัส”
“หาใหม่ดิ๊ล่ะ เอาแบบที่มึงคิดจะจริงจังไปเลยเหอะ”
“จบเลยคนแบบนั้นน่ะ น้องอุ้มบอกถ้าไม่สวยเท่าคุณยายไม่ให้เข้าบ้านเว้ย”
“ไอ้สัสจบเห่ล่ะมึง” ชิพวางไมค์ในมือลง หยิบแก้วขึ้นมาดื่มต่อ
เอสเองก็กำลังดื่ม เขาเหล่มองมันแล้วก็ขำ
“กูจะยิ้มรับเลยถ้าคนแบบนั้นมีจริง
คือจริงๆแล้วมันต้องมีเว้ยสหาย กูต้องเจอแน่ คนดีๆคนที่รักกูแล้วไม่คิดจะทอดทิ้งกู
คนที่กูถูกใจแล้วเขาก็เข้าใจกู รักกูไม่ใช่ที่ฐานะหน้าตาเสื้อผ้าหรือเหี้ยห่าอะไรที่ฉาบตัวกูไว้อยู่เนี่ย”
“แหม่ กูจะรอดูคนแบบนั้นของมึงนะเพื่อน ว่าแต่
คุณนายมึงมีกี่คนล่ะวะ หึหึ” บุ้งสอดขึ้นมาจากอีกฝั่งในทันที
เสียงเมี่ยงสอดแทรกขึ้นมา “มากมาย” แล้วก็หัวเราะขำ เอสใช้ไมค์ชี้ใส่หน้า
“กูก็พูดไปเรื่อยเปื่อยเว้ย อินกับเพลงพวกมึงไม่รู้อ่อ?
โมเมนต์อินๆกูมีน้อยขอกูอินบ้างเหอะ”
“เออๆๆร้องเพลงต่อๆๆๆ
อะไรวะมันมีแต่เพลงนี้หรือไง วนแม่งสามสี่รอบแล้ว” ชิพตบลงที่หลังเอสเรียกให้ยกไมค์ขึ้นร้องต่อ
คนถูกเรียกจัดการตามคำร้องขอ นานทีมาเจอกันก็สนุกสนานให้เต็มที่
ชีวิตต้องมีความสุข
“จากฉันคนเดิม
จากรักไม่เป็น...จะขอเป็นคนที่รักเธอยิ่งกว่าคนไหน ๆ
จากนี้คือเธอ..จากนี้จนวันตาย
เธอคือสุดท้ายของทั้งชีวิตและหัวใจ”
เอสแหกปากลงไปอีกรอบ
ร้องท่อนฮุกแบบเมาๆพอจบเขาล็อคเอาคอชิพมากอดไว้บ้าง “ไอ้สัสชิพ
กูเคยบอกมึงหรือยังว่า...ถ้าไม่ไหว จะฝืนเหรออออ”
“หึหึ..” ชิพหัวเราะขำแบบคนเมาไม่ต่างกัน
เงยหน้ามองเพื่อนรักของตัวเอง แล้วพูด
“ไอ้แคปแม่งเป็นเหี้ยไรที่โชคร้ายที่สุดในสามโลกแล้วนะกูว่า”
“จริงดิ? แคปคือใครวะทำไมกูไม่เห็นรู้จักเลออออ” เอสทำหน้าทำตาได้จริงจังมากมาย
เขาเมาหนักแล้วเพื่อนที่เหลือก็ดูรู้ ชิพงี้หรี่ตาส่งเสียงในคอใส่ “หื้ม???”
“เหี้ยไรล่ะ บอกไม่รู้จักก็คือไม่รู้จักสิโว๊ววว..”
เอสหรี่ตาเยิ้มๆ เถียง
ริมฝีปากยกรอยยิ้มเจ้าเล่ห์แสนลี้ลับ....คืนนั้นไม่รู้สี่คนจบความรื่นเริงบันเทิงเครงลงที่เวลาไหน
รู้แค่ว่าพอเช้ามาสี่หนุ่มโสดนอนเป๋เรียงกันอยู่ในสวีทรูมชั้นบนที่ทางโรงแรมเปิดไว้บริการให้กับลูกค้าวีไอพี
แสงแดดยามเช้าสาดเข้าใส่ใบของต้นมังคุดสีเขียวสดสะท้อนเข้ามาถึงห้องนอนใหญ่ที่อยู่ชั้นสอง
เสียงเคาะประตูดังขึ้นแค่สามครั้งก่อนที่ใครบางคนจะเปิดแล้วเดินเข้ามารวบม่านหน้าต่างให้จนเรียบร้อย
“ตื่นได้แล้วคาปู”
“หื้อ?” เสียงทุ้มปลุกคนนอนหลับให้รู้สึกตัวตื่น
แคปหรี่ตาแค่ข้างเดียวขึ้นมอง
ขมวดคิ้วจนยุ่งเหยิงก่อนดึงผ้าห่มนวมผืนหนาขึ้นมาปิดบังใบหน้ากันแสงอาทิตย์ยามเช้าเอาไว้
เขาจะนอนต่ออีกหน่อย
“หกโมงเช้าอากาศดีๆรีบตื่นเร็วเข้า ไปปั่นจักรยานกัน”
“อื๋อ??”
ขี้เซาเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน
พี่ชายตัวโตยืนจ้องน้องชายเขาอยู่แบบนั้นก่อนตัดสินใจกระชากผ้าห่มครั้งเดียวลอยหวือขึ้นในอากาศ
แคปรีบตะแคงข้างกอดหมอนข้างไว้อย่างไว ไม่ใช่อะไรนะ
ตอนตื่นนอนใหม่ๆเจ้าลูกชายตัวดีมันก็กำลังตื่นอยู่ด้วยเหมือนกันนี่นา สัญชาตญาณบอกให้รู้ว่าเขาต้องตะแคงข้างนั่นแหละถูกต้องที่สุด
“ลุก!” เต้ยิ่งรู้ยิ่งแกล้งน้องชายโดยการดึงตัวมันให้พลิกกลับมา
แคปจึงรีบดีดตัวขึ้นนั่งอย่างไว หน้ามุ่ย หัวเหอยุ่งเหยิงไปหมด แกะขี้ตา
“เฮียเต้มาเมื่อไหร่อ่ะ”
“เมื่อคืน เห็นมึงหลับไปแล้วเลยไม่ได้ปลุก” คนเป็นพี่ลุกขึ้นยืนพับผ้าห่มเก็บที่นอนให้น้องเหมือนเช่นทุกๆครั้งที่เขาเคยทำ
พอทำจนเสร็จคว้าเอาแขนแคปแล้วดึงบอกให้รีบลุก “ลงไปปั่นจักรยานกัน”
“ตอนนี้?”
“ก็เออสิวะ ล้างหน้าเร็ว”
จากนั้นสองพี่น้องก็ลงมาจับเอาจักรยานคันเก่าสองคันปั่นออกไปพร้อม
ๆ กัน ตอนนี้พื้นที่โดยรอบของไร่ถูกปรับแต่งภูมิทัศน์ใหม่จนสวยงาม
เฮียโก้ออกแบบทางเดินที่เป็นรูปอิฐแดงตัวหนอนยาวโค้งไปจนสุดความกว้างของตัวไร่
ในขณะที่ทางรถวิ่งที่ถูกปูด้วยพื้นซีเมนต์ก็สามารถรองรับกับความกว้างของรถกอล์ฟที่สวนกันได้ถึงสามคัน
สองพี่น้องลาเต้คาปูชิโนโลดแล่นอยู่บนถนนเล็กๆที่ทอดยาวไปตามทาง
คนงานที่กำลังพรวนดินรดน้ำใส่ปุ๋ยต่างโบกมือทักทาย ถึงแม้ว่าเต้นั้น
นานๆทีถึงจะกลับมาหากแต่คนงานในไร่ต่างเคารพรักเขาไม่น้อยไปกว่าคนอื่นๆเลย
“คุณเต้คุณแคปสนใจรับสักพวงไหมครับ”
พอขับรถผ่านในโซนที่เขากำลังตัดลูกสละกัน นายโชนคนงานก็ถามขึ้น
ก่อนเดินถือผลสละที่แกะเรียบร้อยแล้วส่งให้แคป
“รุ่นนี้หวานหอมอร่อยมากครับเนื้อนวลก็เยอะ
เห็นคุณโก้บอกไว้ว่าคุณแคปจะอนุมัติให้พวกผมเพิ่มเนื้อที่การปลูกเพื่อรองรับจำนวนดีมานด์ของตลาดที่เพิ่มสูงมากขึ้นในปีนี้น่ะครับ”
“แหมนายโชนพูดซะเหมือนกับนักการตลาดชั้นยอดเลยนะเนี่ย”
เอาจริง ๆ แคปเคยนึกสงสัยว่าพี่โชนแกเรียนจบอะไรมา
หน้าตาผิวพรรณถึงจะเข้มแต่ดูไม่เหมือนชวนสวนเลยสักนิด
คำพูดคำจาการวางตัวเหมือนกับพวกบอดี้การ์ดอะไรทำนองนั้นมากกว่า
“มึงเป็นคนที่ไหนวะโชน” คราวนี้เป็นเสียงทุ้มของเต้ถามขึ้น ดวงตาคมกริบที่มองมาราวกับกำลังล้วงลึกขุดเอาความรู้สึกบางอย่างของเขาขึ้นมาให้ได้
นั่นทำเอาโชนนึกไปถึงนายเหนือหัวคนสำคัญของตัวเอง
ดวงตาที่เหมือนกับคุณเอสไม่มีผิดเลย
“คนกรุงเทพครับ”
“ตอนที่มึงเข้ามาทำงานใครสัมภาษณ์มึง เฮียโก้หรืออาฟี่”
“คุณแคปครับ” ที่จริงคือแคปกับอาร์
“เฮียเต้จะซักอะไรเล่า
นายโชนเขาเก่งแบบนี้ช่วยผมได้เยอะเลยล่ะ” แคปรับเอาสละที่แกะแล้วชิ้นนั้นมากิน
จนเต็มปากแล้วพยักหน้าบอกอร่อย ๆ เต้มองน้องชายแล้วส่ายหัว
“คุณแคปกินอีกไหมครับเดี๋ยวผมแกะให้อีก” โชนถามขึ้นพลางชูพวงสละในมือให้อีกฝ่ายดู
แคปส่ายหน้าบอกพอแล้ว
“ขอบใจมาก ไปเหอะเฮียเต้” แคปว่าจบจับจักรยานเพื่อปั่นต่อ
เต้เองก็ปั่นตามไป อากาศดีๆสองพี่น้องออกกำลังกันจนได้เหงื่อ
“เฮียเต้กลับพรุ่งนี้?”
“อังคารเช้า พรุ่งนี้จะใช้เวลาอยู่กับมึงให้เต็มที่เลยไง”
แคปหันไปเบะปากใส่คนที่ยักคิ้วยั่ว จากนั้นหักหัวรถจักรยานทำท่าจะชน
เต้รีบเร่งปั่นแซงขึ้นไป ก่อนร้องท้าทายน้องชายอย่างที่ชอบเล่นกันประจำตอนเด็ก
“แน่จริงตามกูให้ทันสิวะคาปู”
“ผมไม่ตามหรอก เฮียเต้ขี้โกงนี่”
“อย่ามางอแงเป็นเด็กๆ
มึงโตขนาดนี้แล้วต้องเอาชนะกูให้ได้สิรู้ไหมล่ะ”
“ผมโตแล้วจริงดิ?”
“แน่นอน” จบคำว่าแน่นอน
เต้ไม่รู้เลยว่าแคปปั่นขึ้นมาตีคู่กับตัวเองได้อย่างไร
หันไปมองหยาดเหงื่อที่ไหลตกเต็มหน้าน้องชายที่เป็นดั่งหัวใจดวงเดียวของเขาแล้วเผลอระบายรอยยิ้มให้
“มึงโตแล้วจริงๆนี่หว่า”
“ของมันแน่” สองพี่น้องหัวเราะกันดังลั่น แคปขับเข้าไปตีคู่กับพี่ชายแซงล้ำหน้าขึ้นไป
“แล้วคนที่โตแล้วเขาทำอะไรได้บ้างอ่ะ”
“อะไรของมึงวะ” เต้หันไปถาม
“เอาน่าเฮียเต้ตอบมาก่อน คนที่โตแล้วเขาทำอะไรได้มั่ง”
“ก็ทำได้หลายอย่าง หลักๆก็คือ มึงรับผิดชอบตัวเองได้แล้ว
มีงานมีการมั่นคง ซ้ำยังรับผิดชอบชีวิตคนอื่นๆในไร่อีก เพราะฉะนั้นมึงสามารถตัดสินใจอะไรหลายๆอย่างเองแล้ว”
“เช่นเรื่องอะไรบ้าง”
“ก็แล้วแต่
เรื่องส่วนตัวไรงี้”
“เรื่องส่วนตัวหรือ?”
“มันก็ทำนองนั้น
พอคนเราเริ่มเติบโตขึ้นครอบครัวก็ดูเหมือนจะถอยหลังออกไปอีกนิดเพื่อจะเป็นแค่คนที่คอยมองมึงอยู่ข้างหลัง
มองแผ่นหลังของมึง เป็นกำลังใจคอยสนับสนุน ทุกอย่างทุกเรื่องที่มึงตัดสินใจว่าจะทำ
แต่ว่าทั้งหมดนั่น อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับมึงเป็นเด็กดี”
“คำว่าเด็กดีของเฮียเต้ มันจำกัดผมให้อยู่ในกรอบมากๆเลยนะ”
“โตขนาดนี้แล้ว คำว่าเด็กดีไม่จำเป็นต้องเป็นเด็กที่อยู่ในกรอบเสมอไปหรอกเว้ยคาปู
นอกระบบฮะมึงไม่เคยคิดหรือไง” เต้หยุดรถลงทันทีแคปเบรกตามเฮียแทบไม่ทัน
สองพี่น้องมองหน้ากัน
“ผมทำได้หรือไงล่ะ”
“เพี้ยนเหรอมึง ถ้าคิดจะพูดคำว่านอกระบบ
ก็ห้ามมาถามกูเด็ดขาดเลยนะว่าจะทำนั่นทำนี่ได้ไหม ไม่ต้องมาขอ มึงทำเลยสิวะ”
เต้พูดจบถีบรถต่อไปอีก แคปก็เร่งตามพี่ชายไปอย่างเดิมไม่นานก็ย้อนกลับมาถึงหน้าไร่
สองพี่น้องเอารถไปจอดไว้ใต้ต้นมังคุดข้างๆแคร่ไม้ไผ่
ซึ่งโก้กำลังกวักมือเรียกให้เข้าไปกินข้าวกินปลากัน
เห็นอาฟี่ยืนหัวยุ่งหน้าบูดเหมือนเพิ่งโดนปลุกขึ้นมากลางครันไม่มีผิด เต้กำลังจะเดินเข้าไปในบ้านแคปรีบดึงแขนพี่ชายไว้
“มีอะไร”
“ผมนอกระบบเรื่องความรักได้ไหมอ่ะ”
“............” ไม่ต้องเดินต่อแม่งแล้ว
เต้หยุดชะงักเลยสิแคปมันยิงตรงมาขนาดนี้ เขาเองก็จะตรงๆกลับไปเหมือนกันล่ะวะ
“แบบที่มึงเคยนอกระบบมาน่ะเหรอ”
“.............” อืม ก็ทำนองนั้น
แคปจ้องตาพี่ชายแบบไม่ยอมลดลาวาศอกลงเช่นกัน
เต้ถึงกับนิ่งไปครู่ใหญ่ก่อนจะเผลอหลุดรอยยิ้มบาง ๆ ออกมา
เพราะว่าแววตาของแคปแตกต่างจากเมื่อห้าปีก่อนแล้วจริง ๆ
แววตาของคนที่กล้าหาญพอที่จะสู้เพื่อตัวเอง
กล้าที่จะก้าวเดินฉีกตัวเองออกจากกรอบที่คนรอบตัววางไว้ด้วยหัวใจที่แข็งแกร่ง
ไม่อ่อนแอและขาดความมั่นใจเช่นวันเก่า ๆ
“หน้าตามึงแม่งฟ้องแทนคำตอบจริงๆนะคาปู”
“ก็บอกมาก่อนดิ
ทำได้ป่ะล่ะ”แคปยังจ้องดวงตาคบกริบของพี่ชายนิ่ง รอฟังคำตอบ
เต้จึงใช้ฝ่ามือใหญ่วางลงบนศีรษะเล็กแล้วขยี้อย่างอ่อนโยน “ก็บอกแล้วว่าอย่าถาม”
“เดี๋ยวก็มีปัญหาอีก ไม่อยากให้ใครโดนตีนเฮียอีกหรอกนะ”
“หึ มึงเลือกคนให้มันดีๆละกัน รักใครชอบใครกูไม่ว่าหรอก
แต่เลือกหน่อย อย่าไปเอาคนที่มันมีฐานะทางสังคมสูงส่งมากนัก
ที่กูห้ามเนี่ยไม่ใช่อะไรนะกลัวมึงจะเจ็บจนกระอักเลือดอ่ะ” นี่ไม่ได้สื่อถึงใครนะ
แต่พูดโดยรวม หากแคปมันจะคิดได้ก็คงจะหมายถึงเรื่องอดีตน้องรหัสเขานั่นแหละ
“งั้นเอาคนธรรมดางี้เหรอ ใครก็ได้ใช่ป่ะ
พ่อค้าขายผักสดตามตลาดแผงลอยก็ได้งั้นดิ” แคปแกล้งประชด เต้หน้ายักษ์ขึ้นมาทันที
ขายอะไรเขาไม่ว่าหรอกอาชีพอะไรไม่เคยดูถูก แต่ทำไมมันต้องพูดว่าเป็นพ่อค้าด้วยวะ
เต้ตาเขียวขึ้นมาอีก “ถามหมาๆออกมาได้นะมึง”
“เฮียก็ตอบสิ”
“ใครก็ได้ที่มึงรัก ฐานะไม่เกี่ยว ขออย่างเดียวห้ามรวย!”
“อะไรของเฮียวะ”
เต้เหล่มองก่อนส่ายหัวบอกไม่อยากจะพูดต่อแล้ว
เขาคว้าเอาคอน้องชายล็อคเข้ามากอดไว้ “ไปแดกข้าวกันดีกว่า มึงจะรีบมีไปไหนวะแฟนน่ะ
อย่ารีบครับอย่ารีบ ยิ่งอายุเยอะยิ่งโสดยิ่งมีเสน่ห์นะมึงไม่เคยได้ยินเหรอวะหื้อ
ไม่รีบครับผม”
“แบบเฮียอ่ะเหรอ”
“ก็เออ โสดอยู่เนี่ย”
แคปยิ้มออกมาแบบขำๆ เฮียเต้โสดจริงไรจริง จนป่านนี้ยังไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตน
ส่วนเมียน่ะอย่าให้พูดมีเยอะ!
“เฮียเต้ แล้วพี่รัฐอ่ะ”
“มันทำไมวะ” มึงถามหามันทำไม
“ไหนว่าไปทำงานที่อัศวฯด้วยกันไง”
“ก็แล้วทำไมอ่ะ”
“ผมก็ถามดู งานคราวนี้รับผิดชอบโครงการเดียวกันป่ะเนี่ย”
“ไม่ใช่เว้ย แต่มันก็เป็นคนตรวจสอบงานจากสำนักงานใหญ่นั่นแหละ
กูนี่ต้องออกพื้นที่ตลอด”
“แล้วช่วงนี้ได้ติดต่อกันบ้างไหม”
“พวกกูเจอกันตลอดอ่ะ มึงถามทำไม”
“ก็เปล่า” แคปแค่นึกๆ ที่แล้ว ๆ
มาเฮียเต้พาพี่รัฐมาเที่ยวที่บ้านบ่อยมาก
เดือนก่อนก็พามาแต่ค้างแค่คืนเดียวแล้วก็กลับ เดือนนี้ยังไม่เห็น
“มันไม่ว่างหรอก สัปดาห์นี้กลับบ้านเหมือนกูนี่แหละ
เดี๋ยวอังคารก็เจอกันแล้ว มึงอยากได้อะไรค่อยโทรหามัน”
แคปปรายสายตาไปมองพี่ชายที่ดูเหมือนจะรู้ความคิดเขาไปเสียทุกอย่าง
“กูรู้หรอกมึงคิดอะไรคาปู อย่ามาคิดกูไม่ใช่แบบมึงแน่นอน”
“จริงดิ” แคปทำหน้าเหมือนไม่อยากเชื่อซึ่งเต้แทบจะคว้าหัวน้องมาแดกได้ทั้งหัวแคปแกล้งโวยวายก่อนที่สองพี่น้องจะถูกโก้เดินออกมาลากให้เข้าไปกินข้าวเช้าจนถึงโต๊ะ
“ไอ้อาร์ล่ะครับเฮียโก้”
“เข้าเมืองแต่เช้าแล้ว เห็นว่าจะไปซื้ออะไรสักอย่างที่ตลาดน่ะ
ไม่ได้โทรบอกเราหรือไง” แคปหยีตายอมจำนน เขารีบร้อนจนไม่ได้พกโทรศัพท์ลงมาด้วย
โดนเฮียเต้ลากออกมา จับจักรยานได้ก็ต่างคนต่างขับเลยน่ะสิ
“นี่กุ้งผัดผงกระหรี่ของโปรดเต้
พ่อให้พี่พายเขาทำไว้ให้เราเลยนะ คาปูก็ตักเอาเอง
อย่ากินเยอะช่วงนี้อ้วนขึ้นจนแก้มออกแล้วไหมล่ะนั่น เพลาๆเนื้อหมูเนื้อไก่ลงบ้างหันไปทานจำพวกปลาพวกผักน่าจะลงได้สักโลสองโลนะพ่อว่า”
โก้พูดไปพลางตักเมนูอาหารสุดแสนอร่อยลงในจานของเต้
แคปเหล่มองด้วยความอิจฉาจนลูกตาแทบหลุด
ไม่ตักให้เขาบ้างไม่ว่าหรอกซ้ำยังมาบอกว่าให้เพลาอาหารลงเพราะว่าเขาอ้วนอีกนี่มันสุดที่จะทนได้เสียจริง
ที่สำคัญเสียงหัวเราะเย้ยหยันของคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามอย่างอาฟี่
ทำเอาเขาแทบอยากจะลุกขึ้นออกไปเด็ดลูกเงาะมากินกับข้าวแทนปลากุ้งผักพวกนี้จริง ๆ
“อ่ะ เอาไปกิน
ปล่อยให้มันอ้วนอยู่แบบนี้แหละมึง อย่าลดเชียวนะ” แคปตาโตเมื่อจู่
ๆอาฟี่ตักอาหารที่เขาอยากจะทานสุดๆวางลงให้
เขาค้างเติ่งอยู่แบบนั้นมือไม้ไม่ขยับเคลื่อนไหว จนฟี่ต้องเลิกคิ้วถาม
“อะไร อย่าบอกนะว่ากูตักให้แล้วมึงจะไม่กิน
เดี๋ยวกูจะจับเขวี้ยงทิ้งทั้งจานเลยนี่” ฟี่ไม่ว่าเปล่าทำท่าจะมายกจานแคปออกจริง ๆ
อีกคนเลยรีบตะครุบจานตัวเองไว้แทบไม่ทัน ก็ของโปรดเขาทั้งนั้นเหอะ
“เอ้ยๆๆๆๆ อะไรเล่า อาฟี่ทำอะไรน่ะครับ
กินสิทำไมผมถึงจะไม่กินล่ะ” มันก็ตกใจอ่ะแหละปกติเคยตักให้เขาที่ไหน
ร้อยวันพันปีหรอก จะว่าไปตอนเป็นเด็กเคยป้อนข้าวเขาอยู่นะ
แต่ไม่อยากจะเรียกว่าป้อนหรอก อาฟี่น่ะยัดแล้วบังคับให้เขาเคี้ยวเสียมากกว่า
ตอนนั้นน่ะน้ำตาร่วงผล็อยๆตามประสาเด็กนั่นแหละ
“อ้วนเอ้ย” เสียงทุ้มของฟี่แซะเข้าอีก
แคปยิ่งหน้าเซ็งไปใหญ่
“อ้วนที่ไหน น้ำหนักผมขึ้นแค่สองกิโลเองอ่ะ” ความจริงสามโล
“มึงต้องตื่นขึ้นมาปั่นจักรยานทุกเช้าสิ
ชวนไอ้อาร์ปั่นเป็นเพื่อน” เต้ตักไข่เจียวปูส่งให้น้องตัวเอง
แคปยิ้มรับจัดการตักยัดเข้าปากทันที แก้มป่องเขี้ยวตุ้ย ๆ แล้วก็พูด
“โถ่เฮียเต้บางวันนอนดึกจะตายจะให้แหกขี้ตาตื่นมาแต่เช้าอีก
มันลุกไม่ไหวนี่”
“ถ้างั้นมึงก็จงอ้วนต่อไป”
อ้วนอะไร๊ แค่สองสามโลพวกผู้ใหญ่นี่เข้าใจยากจังวะ
“เดี๋ยวผมหาทางลดลงเองแหละน่า”
“กูกลับมาคราวหน้า ถ้าน้ำหนักมึงยังไม่ลด
อดของฝากจากอีสานนะครับนะ”
แคปชอบกินหมูหยองกรอบของฝากขึ้นชื่อในจังหวัดที่เต้ไปคุมไซต์งานก่อสร้างอยู่มาก ๆ
มาทีไรเป็นต้องติดมาให้ทีละหลาย ๆ ถุงครั้งนี้ก็เช่นกัน
“โหยไม่อยากรับปากอ่ะ
เอาเป็นว่าเฮียเต้กลับมาคราวหน้าผมหล่อขึ้นแน่นอน”
รับปากไปเกิดทำไม่ได้กลุ้มใจตายห่า
“ขอให้มันจริงเหอะ!”
สามคนบนโต๊ะพูดขึ้นพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย คนฟังอย่างแคปถึงกับนั่งทำหน้ายักษ์
ยิ่งโมโหก็ยิ่งกิน ยิ่งเครียดก็ยิ่งกิน ยิ่งเหนื่อยก็ยิ่งกิน
นี่ยังไม่รวมว่ายิ่งคิดถึงก็ยิ่งกินเข้าไปอีก
ผลมันก็เลยมาออกที่แก้มเขาเองนี่แหละ
หลังทานอาหารกันเสร็จแคปใช้เวลาทั้งหมดที่เหลือไปกับพี่ชายที่นานๆจะกลับบ้านมาที
เขาสองพี่น้องออกไปช่วยโก้อยู่ที่ร้านกาแฟหน้าไร่ ยิ่งสายคนยิ่งเยอะ
พอเจ้าอาร์กลับมาจากตลาดรถตู้นักท่องเที่ยวสี่คันก็เข้ามาจอดลง
จากนั้นอีกสักพักรถบัสคันใหญ่เป็นลูกทัวร์จากจีนทั้งหมดอีกสองคัน
ซึ่งล็อตหลังนี่เสียงดังเจี๊ยวจ๊าวเป็นพิเศษ
คนใจเย็นอย่างอาร์จึงได้เข้ามารับหน้าที่เทคแคร์ไป ไมค์พร้อมคนขับรถรางพร้อม
อาร์กระโดดขึ้นไปเป็นไกด์ด้วยตัวเอง
เต้เองก็เข้ามาช่วยด้วยอีกแรง
ช่วงเวลาอาหารเที่ยงผ่านพ้นไปโดยที่ต่างคนต่างต้องช่วยเหลือตัวเอง
ใครว่างก็เข้าไปตักทานกันเองในครัว สำหรับอาฟี่อย่าได้ถามถึง
วันนี้วันอาทิตย์อยู่บ้านก็จริง แต่พอกินข้าวเช้าเสร็จก็เดินเข้าห้องทันที
นอนต่อตามระเบียบได้ยินเฮียโก้บอกว่ากลับมาถึงไร่ตีสี่กว่าๆเข้าไปแล้ว
ทะเลาะกันเข้าไปอีกเพราะว่าเฮียโก้ไม่อยากให้ขับรถกลับดึกๆแต่อาฟี่ก็หาทางแก้ตัวแล้วโอ้โลมเฮียโก้ให้กลับมาอารมณ์ดีได้เหมือนเก่าทุกทีนั่นแหละ
จนบ่ายสามกว่า ๆ ทุกอย่างก็เคลียร์จนเสร็จเรียบร้อย
“คาปูบอกจะเดินไปบ้านเล็กน่ะแบงค์ ลองเข้าไปตามดูสิ”
ช่วงบ่ายแก่ๆแบงค์ขับรถเข้ามาที่ไร่
โก้ที่กำลังชงกาแฟอยู่หลังเคาน์เตอร์จึงบอกว่าแคปน่าจะอยู่ที่บ้านของอาร์
“ขอบคุณครับเฮียโก้” ก่อนออกมาแบงค์รับกระติกกาแฟปั่นหรือที่แคปมันชอบเรียกว่าเฟรบปูชิโน่อร่อยลืมโลกจากโก้มาด้วย
เขาจับเอารถกอล์ฟมาหนึ่งคันแล้วขับตรงเข้าไร่ไป จอดลงที่หน้าบ้านสีฟ้าหลังเล็ก
เห็นแคปนอนแผ่หราสูบบุหรี่อยู่ที่ระเบียง
“อากาศดีๆเสียหมด”
แบงค์แซะจนคนที่แอบหนีมาสูบถึงที่นี่ต้องรีบลุกขึ้นมาดับมลภาวะในมือลงอย่างเร็ว
“อ่ะ กินนี่ดีกว่าสูบนั่นนะ”
แคปมองหน้าคนพูดซ้ำยังใช้สายตาบอกให้รู้ว่าอย่ามาทำเป็นพูดดี
ตัวมันสูบเก่งกว่าเขาอีกแท้ ๆ
“เดี๋ยวจะเลิกแล้ว”
“โฮ่ ขอให้มันจริง”
แบงค์ยิ้มรับบอกจริง ๆ
แคปจึงผลักหัวมันไปหนึ่งทีก่อนที่จะสังเกตเห็นว่าในดวงตาคมคู่นั้นช่างเต็มไปด้วยความเศร้าและกังวล
แน่นอนว่าแบงค์เองก็มีเรื่องให้คิดอยู่หลายเรื่องเช่นกัน
“มีอะไรวะ
มาหากูมีอะไรหรือเปล่า”
“อาทิตย์นี้กูว่าจะเข้ากรุงเร็วขึ้นหน่อยว่ะ”
ดูเหมือนแบงค์กำลังจะพูดอะไรต่อ หากแต่เขาหยุดไว้ที่แค่นั้น แคปจึงคิดว่าควรจะเป็นฝ่ายถามเอาเอง
“มึงจะไปหาโบว์?” เข้าประเด็นเลยดีที่สุด
“ใช่ คงต้องคุย”
“อืม กูคิดว่ามึงคงต้องหาทางคุยกับน้องอยู่แล้ว
ดีแล้วแหละรีบจัดการให้มันเสร็จๆก่อนน่าจะดีกว่า”
“แต่กูไม่มั่นใจเลยแคป มึงก็รู้เรื่องความรัก...”
มันห้ามกันไม่ได้
“เอาน่า” แคปมองคนที่พูดไม่ออก ก้มหน้าคล้ายกับน้ำท่วมปาก
แบงค์มันก็อยู่ในสถานะแบบนั้นแหละ พูดก็พูดห้ามอะไรก็ห้ามกันได้
แต่จะไปบังคับใจใคร บังคับความรู้สึกของใครมันยากเย็นเหลือเกินจริง ๆ
ไม่ต้องอื่นไกลดูตัวอย่างเขาสิ
“จะไปวันไหนวะ”
“วันพุธ มึงไปกับกูได้ไหม”
“เอาสิ”
งานแต่งของอดีตนักเรียนเตรียมทหารที่สำเร็จการศึกษารับราชการติดยศเรียบร้อยแล้ว
ถูกจัดขึ้นที่สโมสรทหารบก บนพื้นที่ของถนนวิภาวดี
ประธานคนเล็กแห่งรัชชากรุ๊ปเดินทางมาถึงพร้อมกับนายหญิงใหญ่ของบ้านโดยมีผู้ติดตามสองคน
งานนี้ทั้งปอและคุณนาคินถูกท่านเจ้าสัวสั่งให้มาดูแลภรรยาและลูกชายด้วยตัวเองโดยเฉพาะ
สำหรับคุณนาคินที่มางานแบบนี้กับท่านเจ้าสัวค่อนข้างบ่อยจึงกว้างขวางรู้จักกับบรรดาแขกผู้มีเกียรติมากหน้าหลายตา
แม้แต่นายทหารยศสูงหลายๆท่านยังต้องทักทายเขา แต่สำหรับปรเมทแล้วนี่คือครั้งแรกที่เขาต้องมาเจองานของบรรดา
จปร ทั้งหลายแหล่ ทั้งนายเก่านายใหม่ นายใหญ่นายเล็ก
ท่านเจ้าสัวมีคำสั่งให้คุณนาคินช่วยแนะนำปอให้คุ้นเคยกับงานแบบนี้มากเป็นพิเศษ
เมื่อผ่านการถ่ายรูปแสดงความยินดีทักทายกับเครือญาติเจ้าของงานและบรรดาสื่อมวลชนเสร็จ
มีนายทหารมานำทุกคนของรัชชาเข้าไปนั่งที่โต๊ะวีไอพีด้านหน้าสุด
คุณหญิงกล่าวขอบคุณและทักทายบรรดาคุณหญิงคุณนายลูกท่านหลานเธอทั้งตระกูลสายเก่าสายใหม่ที่ทะยอยเข้ามาค้อมไหว้อย่างนอบน้อม
เซเลปสกุลดังอย่างเธอที่ยอมทิ้งนามสกุลผู้ดีเก่าของตนเองเปลี่ยนมาใช้อัครรัชชานนท์ทำให้เธอมีพาวเวอร์กับแขกทุกระดับชั้น
รวมถึงผู้ที่เป็นเพื่อนร่วมสมาคมการกุศลต่าง ๆ
พาลูกสาวที่เป็นนายทหารหญิงมาแนะนำอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย
แน่นอนว่าหัวข้อการสนทนาไม่พ้นเรื่องลูกชายคนเดียวของเธอ
แต่เอสชินเสียแล้ว เขาก็แค่ยิ้มรับบางๆ
ใช้ใบหน้าที่ฉาบไว้ด้วยหน้ากากแห่งความเป็นนักธุรกิจโต้ตอบไป
กว่าจะเคลียร์ผู้คนได้รู้สึกว่าทั้งคุณแม่และเขาตื้นตันยิ่งกว่าเจ้าของงานเสียอีก
คิดไปคิดมาคล้ายประชดเอสจึงหยิบแก้วไวน์สีแดงบนโต๊ะขึ้นมาจิบ
“อากาศดีนะ แม่ชอบเลยล่ะ” คุณหญิงชวนลูกชายคุย
เขาพยักหน้าบอกครับ ดื่มด่ำกับบรรยากาศในโซนข้างสระน้ำของสโมสร
มีน้ำพุถูกปล่อยออกมาสะท้อนกับแสงไฟสวยงาม จนกระทั่งถึงช่วงเวลาสำคัญ
บรรดาแขกเหรื่อต่างยืนขึ้นให้เกียรติคู่บ่าวสาวที่จูงมือผ่านซุ้มกระบี่ซึ่งตั้งแถวจากบันไดพรมสีแดงทอดยาวขึ้นมาก่อนถูกเชิญขึ้นไปบนเวทีด้านนอก
วีทีอาร์ฉายภาพขึ้น ก่อนที่พิธีกรซักถามอะไรหลายอย่าง
งานเลี้ยงดำเนินไปอย่างราบรื่น อาหารถูกเสิร์ฟลงเรื่อย ๆ มีนักร้องหญิงดีวา
ขึ้นไปขับร้องเพลงสากลช้าๆโอบล้อมบรรยากาศให้นุ่มนวลเต็มอิ่มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความรัก
“เป็นแขกรับเชิญไปเรื่อยๆนะเอสนะ”
จู่ๆคุณหญิงก็หันมาพูดด้วย เอสละสายตาออกจากเวทีแล้วหันมอง เขาเลิกคิ้วขึ้นนิดๆ
คุณแม่เขากลับย้ำคำเดิมอีก “เป็นแขกรับเชิญไปเรื่อยๆนะลูก
ให้แม่ได้ควงเรานานๆหน่อย”
คราวนี้คนฟังยิ้มรับออกมา “ผมไม่รีบครับคุณแม่ ไม่คิดอยากจะแต่งเลยด้วย”
คนฟังขยับยิ้มบาง เธอนึกในใจเรื่องของหนูมินตราว่าที่คู่หมั้นลูกชายคนเดียวของเธอ
บางทีอาจจะต้องมีอะไรที่เปลี่ยนแปลง ถึงตอนนั้นเธออาจจะต้องทำใจไว้ก่อน
แน่นอนว่าเรื่องความเหมาะสมก็สำคัญมากแต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ
เธออยากให้ลูกชายเธอกลับมายิ้มได้ดั่งเช่นเมื่อก่อน
ไม่ใช่รอยยิ้มฉาบฉวยแบบวันนี้
รอยยิ้มในแบบที่เขาแสดงออกว่ามีความสุขเหลือเกิน
นานมาแล้วที่เธอไม่เคยได้เห็น..นับตั้งแต่เขาเรียนอยู่แค่ปีสอง
“ไม่ใช่ว่าเจอคนถูกใจล่ะขี้คร้านจะรบเร้าแม่ให้ไปสู่ขอเร็วๆนะ”
“ไม่รีบครับผม” เสียงทุ้มตอบหนักแน่น เขาจับมือคุณแม่มากุมไว้ที่ตักก่อนขยับเข้าไปใกล้เธออีกนิดจนคุณหญิงต้องร้องประท้วงออกมา
เอสบอกอยากนั่งใกล้ๆมันอุ่นดี
แค่นั้นแหละฝ่ามือเล็กๆของคนเป็นแม่จึงยกขึ้นมาลูบแผ่นหลังกว้างของลูกชายแผ่วเบา
“รักใครชอบใครก็บอกแม่สิลูก”
เอสหันมายิ้มบางส่งให้คุณแม่ของเขาอีกครั้ง
บีบมือเธอไว้แน่นแล้วขยับปากบอกว่าเขาไม่รีบเป็นครั้งที่สอง
คุณหญิงได้แต่ส่ายหัวระอาใจกับความดื้อรั้นของลูกชายตัวเองก่อนที่จะมีนายทหารเข้ามาเชิญให้เธอและเอสออกไปถ่ายรูปหมู่ของบรรดาแขกกิตติมศักดิ์เพื่อเป็นเกียรติกับเจ้าภาพของงาน
ระหว่างทางจากระยองถึงกรุงเทพไม่ได้ใกล้นักแต่มันก็ไม่ได้ไกลเกินไปกับคนที่ต้องขับรถขึ้นลงอยู่ทุกสัปดาห์
ระหว่างทางมีบรรยากาศเงียบ ๆ โรยตัวเข้ามาบ้างเป็นบางช่วงเวลา
แคปหันไปมองเสี้ยวหน้าของคนขับอยู่บ่อย ๆ
ตั้งแต่เกิดเรื่องราววันนั้นแบงค์แวะมาที่ไร่แค่ครั้งเดียวเพื่อบอกเขาว่าจะเข้ากรุงเทพเร็วหน่อยเพื่อคุยธุระกับน้องโบว์
และชวนเขามาด้วยกันซึ่งแคปเองก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร
“หิวไหมแคป แวะกินที่นี่กันก่อนนะ”
รถจอดลงที่ร้านอาหารเจ้าประจำที่พวกเขาเดินทางเมื่อไหร่มักจะแวะใช้บริการเสมอ
วันนี้ก็เช่นกัน
“สั่งให้หน่อยดิ เหนื่อยว่ะ”
พอนั่งลงได้แบงค์เลื่อนเมนูส่งให้แคป ส่วนตัวเองแยกไปล้างหน้าล้างตาที่ห้องน้ำ
แต่ทว่ากลับมานั่งลงแคปยังมองเห็นร่องรอยความไม่สดชื่นอาบอยู่เต็มใบหน้าคม
“กินของเบา ๆ ก็แล้วกัน
ท่าทางมึงไม่ค่อยโอเคเลย เดี๋ยวออกจากที่นี่กูจะขับให้เอง”
“ไม่เป็นไรสักหน่อย”
แบงค์ตอบว่าไม่ป็นไรออกมาแต่หน้าตานี่คือไม่ใช่เลยสักนิด
ในตอนนั้นเองที่อาหารมาเสิร์ฟลง สองคนนั่งกินกันไปเรื่อยๆ
ที่จริงแล้วไม่อาจพูดว่าสองคนได้หรอกเพราะอีกคนก็แค่นั่งเขี่ยๆข้าวในจานหลังจากกินไปได้แค่สองสามคำ
“อิ่มหรือยัง” แคปวางช้อนเมื่อทานจนเสร็จก่อนจับแก้วน้ำขึ้นดื่ม
ไม่นึกเลยว่าตัวเองจะอดทนมาได้แค่ตอนนี้เมื่อแบงค์พยักหน้าบอกว่าอิ่มแล้วเช่นกัน
แคปวางเงินลงที่โต๊ะแล้วจัดการกระชากแขนไอ้ตัวอ่อนแอเข้าไปโยนไว้ในห้องน้ำ
กดหัวมันลงกับอ่างล้างมือเปิดก๊อกแรง ๆ แล้วกวักๆๆน้ำใส่หน้ามันเอาแบบไม่ให้ได้หายใจหายคอกันเลย
แบงค์จะขืนคอออกแต่อย่าคิดว่าจะสู้แรงแคปได้
ถึงแม้ว่าเดี๋ยวนี้แบงค์มันจะสูงขึ้นเยอะแต่เรี่ยวแรงอาจจะยังไม่คณามือแคปนักหรอก
“แค่กๆๆๆ มึงทำอะไรเนี่ย แค่กๆๆ”
พอถูกปล่อยคอให้เป็นอิสระ แบงค์ทั้งสำลักทั้งไอ หน้าแดงไปหมดเนื้อตัวก็เปียกโชก
แคปถอยไปยืนกอดอกมอง
“ได้สติขึ้นมาหรือยัง”
กระดาษเช็ดมือถูกแบงค์ดึงออกมาหลายแผ่นเพื่อนำมาเช็ดตามหน้าตามลำคอ
เช็ดไปก็บ่นไปแคปมันก็ยังยืนดูแบบขำๆ “เละเลยนะมึงหน้าตา
รู้สึกดีขึ้นแล้วใช่ไหมล่ะ”
“เออ! ทีหลังทำอย่างอื่นเหอะ
จะเรียกสติกันก็เตะมาสักที ไม่ก็ชกมาสักหมัด ตบมาสักฝ่ามือ ไม่ใช่ว่าลากกันมากดหัวลงน้ำแบบนี้เกิดกูจมน้ำตายขึ้นมามึงจะทำไง”
“โถๆๆๆ จะจมน้ำได้ยังไงวะไอ้แบงค์มึงพูดเรื่องเหี้ยไร
นี่มันแค่อ่างล้างมือมึงจะบ้าเรอะไม่ได้กดลงชักโครก”
“ก็ใครมันชอบรังแกล่ะ”
“หนอยรังแกที่ไหน” กูหวังดีเหอะยังมาทำหน้ายุ่งอีก
“เช็ดให้ดิ เสื้อเปียกเนี่ยไม่เห็น?”
แบงค์ยื่นกระดาษที่ดึงมาใหม่ส่งให้แล้วบอกให้แคปเช็ดหัวให้หน่อย
คนฟังส่ายหน้าบอกไม่ จากนั้นชี้ออกไปว่าบนรถมีผ้าเช็ดตัวให้ไปนั่งเช็ดบนนั้นเลย
“เดี๋ยวกูขับต่อเองมึงจัดการเนื้อตัวมึงให้แห้งไปเถอะ”
จากนั้นแคปกลายไปเป็นคนขับขณะที่แบงค์เปลี่ยนไปนั่งแทนที่เขาถอดเสื้อออกมาผึ่งแล้วใช้ผ้าเช็ดตัวเช็ดหัวไปด้วย
“เสื้อมึงอยู่หลังรถน่ะ ให้กูจอดไหม”
แคปหันไปถาม แบงค์ส่ายหน้าบอกไม่ต้องเพราะว่าจวนจะแห้งแล้ว
รถเริ่มเข้าแถบชานเมืองมา คนที่เพิ่งแต่งตัวจนเสร็จเรียบร้อยบอกแคปให้จอดเพื่อเปลี่ยนมือมาขับเอง
“เดี๋ยวกูจะแวะเข้าไปหาน้องเลย
มึงจะเข้าไปด้วยกันไหมวะ”
“มึงคิดว่ากูควรจะไปไหมล่ะ”
แบงค์หันมาจ้องหน้าคนถามนิ่ง ๆ หากแต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ
ใบหน้าคมเคร่งเครียดขึ้นนั่นทำให้แคปรู้ดีว่าเขากำลังใช้ความคิดอย่างหนัก
จนสุดท้ายเขาพาแคปมาส่งที่คอนโดของตัวเอง
“เดี๋ยวตอนเย็นพากินข้าวข้างนอก” แบงค์ดึงแขนคนที่กำลังจะมุดออกจากรถไว้
แคปพยักหน้าแล้วโบกมือไล่ให้ขับออกไปได้แล้ว รถเคลื่อนตัวออกไปไม่เร็วนักแต่กลับหยุดนิ่งลงแล้วคนขับก็เปิดประตูลงมาตะโกนเรียกแคปไว้
“ถ้ากูกลับดึกมึงก็หาอะไรกินไปก่อนเลยนะ
ไม่ต้องรอก็ได้” แคปพยักหน้าอีกครั้งบอกโอเครับรู้
เขาไม่มีปัญหาเรื่องมันจะกลับไม่กลับเมื่อไหร่
บางทีแบงค์เข้ากรุงมาก่อนวันทำงานมันจะนัดเจอเพื่อนฝูงบ้างสาว ๆ
ของมันบ้างตามโอกาส ช่วงแรกก็มีชวนแกมบังคับขู่เข็นเขาไปนั่งดริ๊งนั่งดื่มด้วย
แต่เขามักจะปฏิเสธพร้อมกับบอกมันว่าจะอยู่เฝ้าห้องทำความสะอาดให้แทน
หลังจากนั้นเขาจะไม่โดนเซ้าซี้อีกเพราะอีกฝ่ายดูเหมือนจะเข้าใจความหมายของเขา
เที่ยวเสร็จดื่มเสร็จดึกๆก็กลับมาถึงห้องต่างคนต่างนอน เป็นแบบนั้นมาตลอด
อันที่จริงแล้วมันก็ควรจะเป็นอย่างนั้น
หากแต่คืนนี้กลับไม่เหมือนเดิม....ราวเที่ยงคืนเศษ
แคปที่ออกมานั่งรับลมชมวิวยามดึกอยู่ริมระเบียงสูงชัน ด้านหลังห้องนอนใหญ่ของแบงค์
กำลังเพลิดเพลินอยู่กับเสียงเพลงเบา ๆ ที่เปิดทิ้งไว้ด้านใน
เขานั่งทอดอารมณ์คิดคำนึงเรื่องราวหลากหลาย แน่นอนเขามีเรื่องที่ต้องคิด
เห็นเขาใช้ชีวิตชิลๆเหมือนคนไม่คิดอะไรแบบนี้แต่เรื่องที่จำเป็นต้องคิดก็ต้องนำมาคิดอยู่ดี
ทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวที่ดูเหมือนตอนนี้จะครอบงำสมองส่วนหนึ่งของเขาไว้เกือบทั้งหมด
โดยเฉพาะเรื่องที่เขากำลังคิดและตัดสินใจว่าพรุ่งนี้ควรจะเข้าไปที่ตึกรัชชาดีหรือไม่
ความจริงคำตอบมันออกมาตั้งแต่คืนวันนั้นแล้วด้วยซ้ำ
“จะเอาอะไรมึงพูดมาตรงๆเลย”
“พฤหัสนี้ไปหากูที่ตึกรัชชา แล้วคืนนี้กูจะทำตามข้อตกลงของมึง”
“................”
“ก็แล้วแต่นะ”
“..............”
“งั้นก็ต่างคนต่างอยู่ไปแล้วกัน หลีกทางหน่อยซิ”
“................”
ในตอนนั้นเอสกำลังจะก้าวเดินออกไปแล้วหากแต่เขาที่ยืนเงียบงันอยู่กลับคว้าเอาท่อนแขนอีกคนเอาไว้อีกครั้ง
ก่อนที่คนถูกรั้งจะหันมาฟังคำพูดช้า ๆ ชัดๆที่ขยับออกมาจากริมฝีปากของเขา
“คืนนี้มึงอย่าผิดสัญญาก็แล้วกัน”
เสียงไลน์เด้งรัวๆขึ้นมาทำเอาแคปสะดุ้งหลุดออกจาภวังความคิด
เขายกโทรศัพท์ที่กำไว้ขึ้นมาดู มันเป็นข้อความเข้าจากเจ้าอาร์ แคปถอนหายใจแล้วปล่อยให้มันดังต่อไปก่อนเปิดอ่านข้อความเพี้ยนๆสารพัดเรื่องของมันแล้วตอบไปแค่คำเดียวว่าหลับแล้วห้ามกวน
แค่นั้นแหละ สติ๊กเกอร์เศร้าเสียใจน้ำตาไหลพรากๆแทบทุกตัวถูกโหลดส่งมาจนเขามึนตึ๊บ
ทิ้งมือถือลงแทบไม่ทัน แคปชักโมโหกำลังจะเอาขึ้นมากดโทรออกเพื่อยิงสลุตด่ากราดไปทางสายเสียเลยแต่เสียงเรียกเข้าจากเบอร์โทรที่เขาไม่รู้จักดันแผดลั่นขึ้นมาก่อน
แคปกดรับสาย
“ฮัลโหลนั่นพี่แคปใช่ไหมพี่”
เสียงแหบๆไม่คุ้นเคยจากปลายสายทำเอาแคปคิ้วขมวดขึ้นนิดๆ พออ้าปากถามว่านั่นใคร
คนทางนั้นก็เฉลยออกมาว่ามันคือเพื่อนของเจ้าแบงค์ ตอนนี้ดื่มกินกันอยู่ที่ร้านXXXให้เขาออกไปรับไอ้แบงค์ที่เมายับหมดสภาพกลับห้องแบบด่วน ๆ
“แถวไหนนะ”
แคปถามไปพลางลุกขึ้นปิดระเบียงให้เรียบร้อย
“เออเดี๋ยวกูไป”
เขาเปลี่ยนชุดนิดหน่อยก่อนคว้าเอาเสื้อคลุมกับกระเป๋าสตางค์และโทรศัพท์มือถือ ลงมาด้านล่างจับแท็กซี่ออกไปยังร้านเป้าหมาย
ไม่นานนักก็มาถึงแลกบัตรก่อนจึงจะสามารถผ่านเข้าไปได้เหตุเพราะไม่ใช่ขาประจำ
จะว่าไปร้านนี้ยังไม่เคยเข้ามานั่งเลยนะ ไม่รู้ว่าพวกมันกินกันอยู่โซนไหน
แคปโทรหาเบอร์ล่าสุดอีกครั้งก่อนจะเดินไปในทางที่ปลายสายบอกออกมา
“หวัดดีพี่หวัดดีครับ
มาๆๆนั่งๆๆพี่แคปนั่งครับนั่งพี่”
พอเข้ามาถึงกวาดตามองหาไอ้แบงค์ก่อนเป็นอันดับแรกอันที่จริงก็เห็นอยู่ทนโท่นั่นแหละ
สภาพมันยับแหลกจริง ๆ เหมือนว่ามันจะหรี่ตามองมาที่เขา มองแล้วมองอีกว่าเขาคือใคร
มายืนจ้องมันทำไม
“เป็นเหี้ยไรของมึงวะ เมาได้หมดสภาพขนาดนี้”
แคปนั่งลงข้างแบงค์ก่อนรับแก้วเครื่องดื่มที่บรรดาเพื่อนฝูงมันยื่นส่งให้แล้วถามขึ้น
ความจริงเห็นหน้ามันก็รู้แล้วว่าเรื่องที่ไปคุยกับน้องโบว์น่าจะเป็นสาเหตุหลักๆที่ทำเอามันเฟลได้ยับแบบนี้
“มาได้ไงวะ” แบงค์ไม่ได้ตอบคำถามหากแต่เขากลับถามขึ้นแบบมึน
ๆ ลูบหน้าลูบตาสะบัดหัวกะจะให้หายมึน
แต่ถึงอย่างนั้นใบหน้าแคปมันก็ยังโย้ไปโย้มาตามประสาคนเมามอง
“จะมาจับทำไมเล่า”
แคปปัดมือไอ้คนที่มันยกขึ้นมาจับจับหน้าเขาดูให้ชัดๆ “กลับกันได้ยัง”
“มารับอ่อ?”
“กูคงมานั่งกินเป็นเพื่อนมึงมั้งนะ” ตีหนึ่งเนี่ย ถามออกมาได้
“อยากกินให้หายกลุ้ม
กลับไปจะได้หลับตายไปเลยไง” ว่าจบก็ยกขึ้นซดหมดอีกแก้วก่อนฟุบหน้าลงไปที่โต๊ะ
แคปส่ายหัวก่อนลุกขึ้นยืนแล้วดึงแขนคนข้าง ๆ ให้ลุกขึ้นเหมือนกัน
“พี่พามันกลับเหอะครับเดี๋ยวทางนี้พวกผมเคลียร์เอง
ไม่ต้องห่วง”
“อืม พวกมึงก็ขับรถดีๆล่ะ”
“มันคงกลุ้มมากอ่ะพี่
เข้ามาได้ก็กินเอากินเอา ดีหน่อยยังไม่เรื้อนขนาดไปหาเรื่องโต๊ะอื่น”
“เออขอบใจพวกมึง กูจะพามันกลับล่ะ”
หลังจากนั้นก็เป็นหน้าที่แคปที่ต้องทั้งหิ้วทั้งลากไอ้ตัวดีออกไปด้านนอก
กว่าจะถามกันรู้เรื่องว่าเอารถจอดไว้ตรงไหนและกว่าจะล้วงจะควักเอากุญแจรถออกมาได้
เขาสองคนช่างดูเหมือนตัวอะไรสักอย่างที่มากอดมาล้วงกันอยู่ตรงที่จอดรถของร้าน
“มึงยืนดีๆสิวะแบงค์ บ้าเอ๊ย”
แคปสบถก่อนดึงไอ้คนตัวหนักไปยัดเข้ารถ เสร็จมันยังไม่ยอมเอาขาขึ้นเขาถึงขนาดต้องถีบๆยัดๆมันเข้าไป
“นอนไปอย่าพูดมาก ห้ามเพ้อเจ้อด้วยนะมึง”
กำชับเสร็จจัดการล็อคทุกอย่างให้เรียบร้อย
จากนั้นขับรถเลี้ยวออกไป ระหว่างทางได้ยินเสียงเหมือนคนสะอื้นต่ำๆ พอหันมองคนข้าง
ๆ ก็เห็นแบงค์มันพร่ำเพ้ออะไรของมันสักอย่าง ฟังดูดี ๆ น่าจะเป็นเรื่องที่ทะเลาะกับน้องสาว
และคงจะเป็นการทะเลาะกันครั้งใหญ่น่าดู
หัวข้อเรื่องก็รู้กันอยู่แล้ว
“ไหวไหมเนี่ย” แคปถอนรถเข้าช่องจอด
ดึงเบรกมือเรียบร้อยหันไปมองคนที่นอนหมดสภาพ
เขาถอนหายใจหนักๆหนึ่งทีก่อนลงจากรถแล้วเดินอ้อมไปเปิดประตูอีกฝั่งหนึ่งออกแล้วดึงคนตัวโตลงมา
ทุลักทุเลกันเหลือเกินแต่ในที่สุดก็ขึ้นมาถึงหน้าห้องได้ แบงค์สะบัดแขนออกอย่างรำคาญต่อต้านขัดขืนพุ่งตัวจะนอนลงที่โซฟาอย่างเดียว
เซแถดๆจนแคปเริ่มโมโห
เขากระชากตัวมันแล้วดึงเข้าไปเหวี่ยงไว้ทิ้งที่อ่างอาบน้ำอย่างแรง
“ตายไหมมึงอ่ะ!”
แคปตะคอกใส่หน้าเปิดน้ำใส่หัวมันแรง ๆ
เอาให้เลิกบ้าก่อนดึงฝักบัวออกมาฉีดใส่ไปอีกทาง
“น้องมันไม่ฟังมึงต้องค่อย ๆ คิดสิวะ ทำร้ายตัวเองแบบนี้บ้าไหม”
“..........”
“อาบเสร็จแช่เสร็จแล้วออกมาคุยกัน
หรือถ้าจะไม่คุยก็นอน แต่ยังไงก็แล้วแต่มึงต้องอาบน้ำล้างตัวให้เรียบร้อยก่อน”
เหม็นเหล้าแบบสุด ๆ ยังคิดจะนอนเลยอีก โตเป็นควายแล้วแม่ง
“กูกลุ้มใจ”
“กลุ้มแล้วยังไงห๊ะ
แดกเหล้าแล้วมันหายไหมล่ะ!”
“...........”
“กูจะออกไปรอด้านนอกเสร็จแล้วก็ออกมาเดี๋ยวชงน้ำขิงแก่
ๆ ให้กิน อ่ะ!!” แคปสั่งความเสร็จกำลังจะหันกลับออกไปแต่เขากลับโดนกระชากโดยคนที่นั่งจมอยู่กับอ่าง
แคปเซถลาลื่นเกือบล้มจนต้องยึดตัวเองกับขอบอ่างไว้ เขาโมโหจนจี๊ดขึ้นหัว
“ทำอะไรของมึงห๊ะ!”
“กูง่วงนอน อาบให้หน่อยดิ”
“อย่ามามากเรื่อง อาบไปให้เสร็จ
ปล่อยมือกูได้แล้ว”
แคปจ้องหน้าไอ้คนที่บอกว่าตัวเองเมานักเมาหนาตาเขียวอื๋อ
ในที่สุดแบงค์ยอมปล่อยมือเขาอย่างจำนนพร้อมกับทำหน้าสำนึกผิดเต็มที่
นั่นแหละจึงถูกแคปชี้หน้าคาดโทษอีกครั้ง
“อาบๆเร็วเข้าอย่ามัวแต่เล่นมันดึกแค่ไหนแล้วไม่รู้จักเวล่ำเวลานะมึง
สระผมให้เรียบร้อยด้วย”
ได้ยินแต่เสียงไอ้คนที่นั่งอยู่ที่อ่างบ่นอุบว่าแคปบ้าออกคำสั่ง
เขาจึงปิดประตูโครมลงให้ ออกไปชงน้ำขิงร้อนๆแก้เมาเตรียมไว้ให้มัน
ในตอนนั้นเองที่ได้ยินเสียงประตูห้องนอนเปิดออก
“มึงมานี่เลย กินนี่เสร็จแล้วก็เข้านอนซะ”
เขากวักมือเรียกพร้อมกับยืนรออีกคนให้เดินออกมากินน้ำขิงร้อนๆในถ้วยแก้วใบใหญ่
แบงค์ยืนมองแล้วส่ายหน้าก่อนเดินเซนิดๆออกมานั่งกิน
“กูมันเป็นพี่ชายที่ห่วยแตกที่สุดในโลกเลยมึงรู้ไหม”
“.............”
“โดนน้องสาวเกลียดเข้าแล้ว”
แบงค์ใช้น้ำเสียงสมเพชตัวเองบ่นพึมพำขึ้นมา มุมปากหยักแค่นแค้นรอยยิ้มรัดทดหดหู่
ทำให้คนมองอย่างแคปที่นั่งอยู่ข้าง ๆ
ถึงกับส่ายหัวแล้วขยับเข้าไปตบลงที่แผ่นหลังกว้างเบาๆ
“คิดมากวะมึง”
“โบว์เกลียดกูแล้ว
น้องตะโกนใส่หน้ากูไล่ตะเพิดกูออกมาจากห้อง”
“............”
“โดนเกลียดแล้ว
กูโดนน้องเกลียดทั้งที่ตั้งใจตักเตือนด้วยความหวังดีทั้งนั้น”
“มึงก็รู้อยู่แล้วนี่หว่า
เรื่องความรักถ้ากำลังหน้ามืดตามัวมันก็ยากที่จะปีนขึ้นมาจากหลุมได้ด้วยกันทั้งนั้นเว้ย
ให้เวลาน้องโบว์หน่อย
น้องยังเด็กมึงเป็นพี่มึงต้องทำใจนะ”แคปพูดแล้วก็นึกถึงเรื่องตัวเองเช่นกัน
หน้าอย่างเขายังจะคิดไปสอนใครได้ ตัวเองยังเอาตัวไม่รอดแท้ ๆ
“กูเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรจะบอกแบบไหน
มันตื้อมันตันไปหมด กูเหมือนคนน้ำท่วมปากมันจุกอยู่ตรงนี้!” เสียงตุ่บๆจากคนพูดที่ทุบลงที่หน้าอกข้างซ้ายของตัวเอง
ตำแหน่งหัวใจพอดิบพอดี แคปมองแล้วก็ได้แต่ถอนใจ
“แล้วมึงบอกโบว์ว่ายังไงวะ
บอกเรื่องคู่หมั้นหรือว่าบอกเรื่องเก่า ๆ.......ของกู”
“...........”
“...........”
“แค่เรื่องคู่หมั้นโบว์มันก็ร้องจนกูแทบจะทนไม่ได้แล้ว
กูจะกล้าพูดเรื่องของมึงได้ยังไง..” มันพูดไม่ได้หรอกเรื่องนั้นน่ะ
“จะให้กูพูดให้ดีไหมล่ะ”
คนฟังส่ายหน้าทันที
ก่อนที่ดวงตาคมที่เต็มไปด้วยความเศร้าสร้อยจะมองจ้องเข้ามาที่ดวงตาของแคป
นัยน์ตาที่แดงก่ำเต็มไปด้วยความน่าสงสาร แคปมองแล้วแทบจะทนไม่ได้
จะว่าแบงค์มันเข้ามาเป็นเพื่อนเขาทีหลังอาร์กับปอ
ถึงแม้ว่ามันจะน่ารำคาญเพราะว่าคอยมาตามตื้อแต่ทว่ามันเป็นคนดีไม่น้อยไปกว่าใครๆ
รู้จักกันมานาน ๆ ก็อดจะรู้สึกอดสูแทนมันไม่ได้
“มึงต้องเข้มแข็งไว้นะ”
“กูจะทำอะไรได้มากไปกว่านั้นล่ะ”
“เอาน่า คิดได้แบบนั้นมันก็ดีแล้ว”
“..........”
“ลุก
เข้านอนเร็ว” แคปลุกขึ้นพยักหน้าชวน แบงค์ถอนหายใจยาวเหยียดก่อนยกสองมือเสยผมที่เปียกหมาดแล้วลุกขึ้นเดินตามหลังคนตัวเล็กกว่าเขาเข้าห้องไป
“หลับตาแล้วก็นอนไปเลยกูปิดไฟเอง”
แคปจัดการปิดไฟเรียบร้อยก่อนเดินไปนอนอีกฝั่งหนึ่งของเตียง
ความเงียบโรยตัวเข้าปกคลุมห้องที่มืดมิด คนสองคนนอนลืมตาโพลงอยู่ในความมืด
ในที่สุดเป็นแคปที่หลับตาลงก่อน....หากแต่อีกคนยังไม่ได้หลับลงไปด้วย
ลมหายใจที่เต็มไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์อ่อนจางกับดวงตาคมกริบที่อัดแน่นไปด้วยความรู้สึกมากมายเกินกว่าจะข่มหลับได้ลง
“แคป”
“หื้อ”
หลังแคปขานรับจบร่างสูงใหญ่พลิกตัวเข้ามาคร่อมคนตัวเล็กกว่าไว้จนจมมิด
สองมือกดเอาสองแขนแคปล็อคลงกับเตียงนุ่มจนคนที่ตั้งตัวไม่ทันติดเบิกตาวาวโรจน์
ตะคอกขึ้นอย่างดัง “ทำเหี้ยไรของมึงห๊ะแบงค์!”
“...........”
สายตาที่จ้องลงมาแดงก่ำราวกับเปลวไฟ แบงค์ไม่ได้พูดอะไรตอบเขาเพียงแค่ก้มลงมาเรื่อย
ๆ ช้า ๆ ใบหน้าคมที่แคปจ้องมองอยู่บัดนี้มันอยู่ห่างจากหน้าเขาแค่นิดเดียวเท่านั้น
“ไอ้แบงค์มึงอย่าบ้านะ”
ใกล้ชิดเข้ามาเรื่อย ๆ
จนลมหายใจร้อนผ่าวสัมผัสได้ที่ปลายจมูกซึ่งเกือบจะแตะชิดกันอยู่แล้ว
แคปกัดฟันแน่นจนกรามสั่น ก่อนขยับริมฝีปากพูดลอดไรฟันออกมา
“รู้ใช่ไหมถ้ามึงจูบลงมาจริง ๆ
นี่จะเป็นครั้งเดียวและครั้งสุดท้ายที่มึงจะได้สิ่งนี้จากกู”
คำพูดเรียบ ๆ
จากแคปคือสิ่งที่ดึงสติแบงค์ให้กลับคืนมาได้
เขาชะงักอยู่เพียงแค่นั้นทั้งที่ปลายจมูกโด่งแตะชิดกันเรียบร้อยแล้ว
ครึ่งเซ็นติเมตรเท่านั้นก่อนที่ริมฝีปากหยักจะได้เบียดบดลงไปสัมผัสหากแต่แคปกัดปากตัวเองไว้จนเลือดไหลซิบซึมออกมา
เขาจ้องหน้าแคปอยู่แบบนั้นก่อนที่จะปล่อยมือข้างหนึ่งออกมาจากแขนอีกฝ่ายแล้วเช็ดลงไปที่ริมฝีปากเล็กให้
ผลั่ก!
แคปได้โอกาสผลักอีกคนจนกระเด็นเกือบตกเตียง ลุกพรวดขึ้นแล้วคว้าเอาหมอนจะเดินออกไปนอนที่ด้านนอก
แบงค์รีบคว้าข้อมือเล็กเอาไว้
“ไม่ทำแล้ว ขอโทษนะ”
“มึงนอนนี่แหละเดี๋ยวกูไปนอนหน้าห้องเอง” แคปว่าไม่มองหน้า
“แคป ไม่เอา กูไม่ทำแล้วเข้ามานอนด้วยกัน”
แคปส่ายหน้าบอกไม่แล้วผลักแบงค์ออกบอกให้ปล่อย
เขาจะเดินออกไปแบงค์มันลุกขึ้นมาดักหน้าเอาไว้เลย
“ถ้ากูคิดจะทำกูทำต่อแล้วแคปไม่รอให้มึงลุกขึ้นมาได้แบบนี้หรอกนะ”
“ก็ถ้ากูนอนลง
ใครจะมารับรองความปลอดภัยกูได้ล่ะ
มึงมันบ้าไหมคิดว่าต่อไปกูจะกล้ามากับมึงอีกไหมห๊ะไอ้สัส!”
“..............”
“มึงนอนไปเหอะ”
“งั้นกูไปนอนข้างนอกเอง มึงไม่ต้องไป”
แบงค์ดึงเอาหมอนในมือแคปมา เขาจะออกไปด้านนอกเองแคปจึงกระชากคืนไว้
ยืนจ้องหน้ากันสักครู่ไม่มีใครยอมลง
แคปฟาดหมอนลงไว้ที่เตียงอย่างเดิมแล้วเดินตึงตังไปนอนดึงผ้าห่มขึ้นมาห่อตัว
“ถ้ากูรู้สึกตัวขึ้นมากลางดึกเจอว่ามึงรุ่มร่ามกับกูนะ
กูจะเอามึงให้เจ็บจนตายจริง ๆ ไอ้เหี้ยแบงค์”
“ไม่ทำหรอกน่า ขอโทษแล้วไง”
“นอนได้แล้วอย่าพูดมาก”
แม้ว่าจะเป็นคืนที่ยากลำบากนักกว่าจะผ่านพ้นไปได้ทว่าในที่สุดเขาสองคนก็หลับกันไปคนล่ะฟากฝั่งของเตียง
จนกระทั่งในตอนที่แสงจากดวงตะวันยามเช้าอาบม่านหน้าต่างสีหม่นสาดส่องลอดพ้นรอยแยกเข้ามาแคปถึงได้รู้สึกตัวตื่น
แน่นอนว่าสิ่งแรกที่เขาหยิบคว้าควานเข้ามาดูคือโทรศัพท์
พอเห็นว่ายังสามารถนอนต่อได้อีกหน่อยก็หลับตาลงในทันที
ในตอนนั้นเองที่รู้สึกได้ว่าคนที่อยู่อีกฝั่งเตียงขยับตัวขยุกขยิก
แคปลืมตาโพลง
นึกได้เรื่องเมื่อคืนเขารีบลุกพรวดขึ้นนั่งเลย
แบงค์ยังนอนกอดหมอนข้างหลับเป็นตายทำหน้าตาสบายอารมณ์
เขานึกอยากจะถึบมันขึ้นมาทันที เวลาไม่เมานี่มันก็เป็นเด็กดีอยู่หรอก
แต่พอเมาเท่านั้นชอบทำแต่เรื่องไม่เข้าท่าบ้าตลอด
นึกๆพลางเหล่ตามองไอ้คนที่นอนกรนเบา ๆ อีกรอบ ก่อนที่เขาจะลุกออกจากห้องไปจัดการทำธุรส่วนตัวทุกอย่างให้เรียบร้อย
“ทำไมมึงตื่นก่อนกูวะแคป”
นี่คือคำถามของคนที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องในสภาพเหมือนหมาเพิ่งฟื้นจากฤทธิ์น้ำเมา
แคปนั่งอยู่ที่โซฟาพับหนังสือพิมพ์ลงแล้วเงยหน้ามอง
“กี่โมงแล้วมึงดูเวลาด้วย”
แบงค์หาวหวอดเอนตัวทำท่าจะนอนลงที่โซฟา
เขามองดูเวลาด้วยสายตาแบบเบลอๆ
“ไหนมึงบอกวันนี้พี่หนึ่งนัดมึงห้าโมงเช้าไง”
จบคำพูดแคป แบงค์ลุกพรวดขึ้นอย่างเร็ว
วิ่งหน้าตั้งเข้าไปในห้องไม่นานเสียงฝักบัวในห้องน้ำก็ดังฉ่าขึ้น
พอแต่งตัวเรียบร้อยแถบจะวิ่งถลาออกมา แคปชี้ไปที่โต๊ะอาหารในครัว
“ไม่ทันแล้ว”
บอกไม่ทันแต่เดินไปเปิดฝาชีที่ครอบออก
หยิบแซนวิชไข่ที่แคปทำเผื่อไว้ให้ยัดเข้าปากพลางเปิดตู้เย็นคว้านมกล่องแล้วดิ่งไปที่ตู้รองเท้า
“ลุกสิวะแคป กูสายเนี่ย”
แบงค์มันพูดทั้งที่คาบของกินเต็มปาก ทั้งกระเป๋าทั้งเครื่องมืออะไรต่อมิอะไรของมัน
แคปมองแล้วก็ส่ายหัว เขาเดินเข้าไปดึงเสื้อคลุมกับแฟ้มงานมาช่วยถือไว้ให้
ก่อนที่สองคนจะเข้าลิฟต์ลงไปที่ชั้นล่าง
“กูขับเอง”
แคปดึงเอากุญแจรถมาแล้วเปิดเข้าไปนั่งรอ โยนทุกอย่างที่ถือมาใส่เบาะหลัง
“เหยียบให้มิดเลยนะมึง” ด่วน ๆ
กูสายฉิบหายเลย
“ถูกปรับมาแล้วสองครั้งยังไม่เจียมตัวนะครับคุณแบงค์”
เดี๋ยวนี้มีกล้องตรวจจับความเร็วเกือบทุกเส้นทางด่วน
เข้ากรุงทีไรเจอเสียค่าปรับทุกที ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่เข็ด
“เออน่า เร่งให้หน่อยละกัน”
“มึงโทรไปบอกไป อาจจะเลทสักสิบห้านาทีชัวร์”
แบงค์ทำตามอย่างว่าง่าย
รถฝ่ามรสุมช่วงเที่ยงของแยกนรกแตกมาได้ในที่สุดก็มาจอดลงที่ทางเข้าหน้าตึกไพร์มมีเดีย
แคปเงยหน้ามองอีกฝั่งด้านข้างของตึกสูงชันเห็นกำลังมีการก่อสร้างตึกหลอดแก้วใหม่
เขาเห็นข่าวในหนังสือพิมพ์เมื่อเช้านี่เอง ที่แท้ก็เป็นหนึ่งในโครงการของรัชชาด้วย
“เดี๋ยวกูโทรหา แต่คิดว่าคืนนี้คงดึก”
“เออ เสร็จแล้วก็โทรมาละกัน”
“จะมารับใช่ป่ะ”
“ถามทำไมวะ”
เขาก็รับส่งมันเวลาเข้ากรุงตลอดอยู่แล้ว
“ก็...นึกว่าเรื่องเมื่อคืน คือ
มึงคงจะไม่ยกโทษให้กูอีกแล้วไง” ก็เลยถาม
แคปเหลือบมองไอ้คนที่พูดเสียงแผ่วทันที
จริงๆเขานึกมาตลอดว่าท่าทางแบงค์มันไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองทำผิดเหี้ยไรเลย
ตื่นเช้ามาไม่เอ่ยถึงเรื่องที่ผ่านมาสักคำ
เพิ่งรู้ว่ามันเองก็เก็บเอามาคิดอยู่บ้างเหมือนกัน
“ก็เพราะว่ามึงไม่ได้ทำอะไรไงเราถึงยังคงเป็นอย่างเดิมได้
ซึ่งมึงคิดได้ถูกต้องแล้ว”
“ไม่โกรธกูนะ”
“มึงรู้สึกว่าผิดใช่ไหมล่ะ”
“อืม กูกลุ้มใจหลายเรื่องจริง ๆ ขอโทษว่ะ”
“เออช่างเหอะเดี๋ยวกูเข้ามารับ
มึงเข้าไปทำงานได้แล้วไป พี่หนึ่งแกคงบ่นอุบแล้วป่านนี้น่ะ”
“จะกลับไปรอที่ห้องใช่ไหมวะ” แบงค์หันมาถามในตอนที่เขาก้าวลงจากรถไปแล้วนึกบางอย่างขึ้นได้
มือซ้ายจับกรอบประตูรถไว้
“เปล่า วันนี้มีธุระ”
“............” ทำหน้าทำตาอยากรู้เต็มที่ว่าแคปจะไปไหน
ฝ่ายคนมองส่ายหน้าให้รู้ว่าเขาไม่บอก “มึงขึ้นไปทำงานไป”
“โอเค ”แบงค์ยักไหล่ก่อนปิดประตูรถลงให้ รถมุ่งหน้าไปที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มินตรามีโอกาสได้นั่งมองใบหน้าคนรักของเธอแบบชัดๆใกล้ชิดขนาดนี้
เธอยังถือทั้งช้อนและส้อมคาอยู่กับมือ
ในระหว่างเวลาอาหารเผลอจ้องมองเครื่องหน้าคมคายที่หมดจดเกินกว่าจะบรรยายออกมาได้ ถึงแม้ว่านิสัยเขาจะดูเย็นชามากไป
ก็ไม่อาจนำมาหักล้างกับบุคลิกที่สง่างามสมกับเป็นถึงประธานคนเล็กของรัชชาลงได้เลย
เธอนั่งมองเขานิ่งงันอยู่แบบนั้นจนคนถูกมองที่ดูเหมือนจะอิ่มแล้วยกแก้วไวน์สีแดงขึ้นมาจรดริมฝีปากแล้วใช้สายตาถามเธอว่า
จ้องหน้าเขาทำไม
“ไม่อร่อย?”
เอสมองเห็นอาหารในจานเธอพร่องลงแค่นิดเดียวเท่านั้น
“เปล่าค่ะ มินต์อร่อยมากเลย”
ความจริงแล้วอาหารที่ห้องรับรองของรัชชาอร่อยและน่าทานทุกอย่าง
ถ้าหากเธอมาหาเขาในเวลาทำงานแบบนี้เอสจะพาเธอลงมาทานอาหารที่ห้องนี้เป็นประจำ รสชาติอร่อยถูกปากมากๆ
การจัดก็ดูเรียบหรูที่สำคัญดูเหมือนอาหารที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้ทุกครั้งจะเป็นของที่เธอชอบทั้งนั้นเธอจึงอดคิดไปไม่ได้ว่าเขาช่างใส่ใจ
ทั้งที่ทำหน้านิ่ง ๆ แบบนั้น
“ขอบคุณนะคะเอส”
หลังมื้อเที่ยงจบลงเธอเดินเคียงคู่กับเขาขึ้นไปที่ห้องทำงานใหญ่
ปรเมทผู้เป็นเลขายืนขึ้นค้อมศีรษะให้ในตอนที่เจ้านายของเขาเดินผ่าน
ช่วงเวลาบ่ายโมงเศษแล้วมินตรารู้ดีว่าเขาไม่ชอบให้ใครมารบกวนเวลาทำงานเพราะอย่างนั้นจึงตั้งใจเลือกเฟ้นเวลาที่จะมาให้ถึงที่นี่ในช่วงเที่ยงของวันเพื่อทานข้าวด้วยกัน
“มินต์กวนคุณหรือเปล่าคะที่รัก”
เธอเดินเข้าไปสวมกอดแผ่นหลังกว้างไว้ในตอนที่เขากำลังจะนั่งลงที่เก้าอี้ทำงานตัวใหญ่
เอสหันไปมองนิดหน่อยก่อนเบี่ยงตัวนั่งลงไปแล้วเธอจึงค่อยขยับเข้ามานั่งบนแขนของเก้าอี้ เอนศรีษะเล็กๆซบไหล่แข็งแกร่ง
เอสหยิบเอกสารขึ้นมาพลิกเปิดอ่าน
ปล่อยให้ว่าที่คู่หมั้นของเขากอดไป
“มินต์ไม่อยู่หลายวันคุณคิดถึงมินต์ไหมคะ”
นี่เป็นการถามครั้งที่สามแล้วถ้าเขาจำไม่ผิด ตั้งแต่ก่อนกินข้าว ตอนที่กำลังกิน
และล่าสุดคือถามขึ้นมาในตอนนี้
คนฟังเหลือบมองเพียงแค่นิดเดียวก่อนเพ่งความสนใจลงที่เอกสารในมือต่อ
มินตราเองก็มองดูบ้าง เธออยากรู้ว่ามันคืองานอะไรกันที่สามารถดึงความสนใจเขาให้มากกว่าตัวของเธอได้
“ที่รักตอบสิคะ คุณคิดถึงมินต์ใช่ไหม”
“อืม คิดถึงครับ” เขาตอบเรียบ ๆ
คำพูดที่บอกว่าคิดถึงทำให้เธอดีใจถึงแม้ว่าหน้าตาและน้ำเสียงจะไม่ได้บ่งบอกว่าคิดถึงเธอเลยสักนิดก็ตาม
“ดีใจจังเลยค่ะ”’
เอสฟังแล้วนิ่งไป เขาวางงานในมือลงก่อนแตะที่แขนเธอเบา
ๆ “มินต์”
“คะ?” เธอขานรับอย่างตระหนกนิดๆ
นับครั้งได้ที่เขาจะเรียกชื่อเธอแล้วดึงให้ขยับเข้าใกล้เหมือนกำลังจะพูดอะไรด้วยแบบนี้
กลิ่นน้ำหอมอ่อนจางที่ให้ความรู้สึกของบุรุษเพศที่สะอาดแข็งแรงผสมไปกับกลิ่นบุหรี่อ่อนๆจากกายชายหนุ่ม
เธอเลื่อนปลายจมูกเฉียดเข้าที่แก้มเขาอย่างตั้งใจ
เอสไม่ได้หลบ
“ว่าไงคะที่รัก”
“มีคนมาจีบคุณบ้างหรือเปล่า”
เธอชะงักทันทีที่ได้ยิน ทั้งดีใจทั้งตกใจ
ไอ้คนเข้ามาจีบมันก็ต้องมีอยู่แล้วเธอทั้งสวยทั้งหน้าตารูปร่างดีขนาดนี้
เป็นถึงนางแบบ แต่ไม่เคยคิดฝันว่าคนเย็นชาอย่างเขาจะถามขึ้นมาได้
นี่เขาหึงเป็นด้วยงั้นหรือ
“ทะ...ทำไมเหรอคะเอส
มินต์ไม่เคยนอกใจคุณเลยนะ” ดีใจจนแทบพูดออกมาไม่เป็นคำ
เอสดึงให้เธอขยับเข้ามาใกล้เขาอีกนิด เธอยิ้มจนหน้าแดงแจ๋
กล่าวถ้อยคำปฏิเสธขึ้นมาเป็นพัลวัล “มินต์ไม่มี...”
“มองคนอื่นบ้างก็ได้”
“.....!!!....”
หากแต่รอยยิ้มนั้น ยิ้มได้แค่ไม่ถึงห้าวินาทีด้วยซ้ำเธอถึงกับตะลึงงันรีบหุบยิ้มลงแบบแทบไม่รู้ตัวเหตุเพราะประโยคแสนเย็นชาและโหดร้ายถัดมาของเขา
“อย่ารักผม มากกว่ารักตัวคุณเองเลยนะ”
ความรู้สึกของคนที่ถูกดึงขึ้นไปบนที่สูงแล้วถูกผลักตกลงมาที่พื้น
เธอค้างนิ่งอยู่แค่ตรงนั้นเพราะว่าหลังจากที่พูดจบเขาพยักหน้าให้เธอเบา ๆ
สายตาคมกริบราวกับบังคับให้เธอต้องยอมเข้าใจ
ก่อนที่มือของเขาจะวางปากกาลงแล้วยกหูโทรศัพท์เรียกเลขาให้เข้ามา
เธอจึงต้องผละออกจากเขาแบบจำใจ
เดินไปนั่งรออยู่ที่โซฟารับรอง เปิดนิตยสารอ่านเล่นฆ่าเวลาไปเรื่อย ๆ พร้อมกับคิดไปว่าเย็นนี้คงจะรอกลับพร้อมกัน
ในขณะที่ปอยืนรับงานจากเจ้านายของเขาอยู่ที่หน้าโต๊ะ
เอสยื่นซองเอกสารส่งให้
ในตอนที่เขารับมาเสียงโทรศัพท์มือถือเครื่องสีดำที่วางอยู่ข้างแม็คบุ๊คที่ปิดฝาพับไว้อย่างเรียบร้อยกลับดังขึ้น
เจ้าของเครื่องหยิบขึ้นมาแล้ววางมันลงก่อนใช้สายตาบอกให้รู้ว่าหน้าที่ของเลขาควรเข้ามาจัดการกับโทรศัพท์ที่เจ้านายไม่ต้องการรับสายและมันกำลังแผดร้องลั่น
พอปอมองเห็นว่าเป็นชื่อใครโชว์ขึ้นที่หน้าจอ
อดไม่ได้ที่จะมองไปที่คุณมินตราว่าที่คู่หมั้นของเจ้านายนั่งอยู่
เอสจึงลุกขึ้นแล้วเดินนำเขาออกไปที่ด้านนอก
สองคนมาหยุดลงในห้องกระจกซึ่งเป็นโซนสูบบุหรี่
เอสกึ่งนั่งกึ่งยืนพิงกับพนักโซฟาไว้พลางจุดบุหรี่ขึ้นสูบ
ขณะที่ปอรู้หน้าที่ดียกโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสายแทนแล้วเรียบร้อย
ควันบุหรี่สีหม่นลอยคละคลุ้ง
สายตาคมกล้ามองเลขาส่วนตัวที่กำลังคุยต่อคำอยู่กับคนที่ปลายสายสักพักก่อนจะกดวางลงไป
เอสยื่นมือไปขอโทรศัพท์ของตัวเองคืนมา
“คุณโบว์บอกว่าอยากจะคุยกับคุณน่ะครับ
ถึงผมจะปฏิเสธไปแต่เธอก็คงจะโทรหาคุณอีกอยู่ดี”
“เมื่อคืนเธอโทรหากูทั้งคืน”
เอสหันมองไปที่ด้านนอก
ภาพที่สะท้อนให้เห็นหลังกระจกบานใสที่โอบล้อมตัวตึกคือภาพของแม่น้ำสายหลักที่ทอดผ่านด้านหน้าของบริษัทซึ่งทอดยาวไปจนสุดลูกหูลูกตา
ตึกหลักของรัชชาถือเป็นจุดชมวิวที่งดงามเป็นอันดับต้น ๆ ของมหานครแห่งนี้
หวนนึกไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนที่ผ่านมา โบว์โทรหาเขาทั้งคืน
แทบไม่ได้หลับได้นอน ผู้หญิงบางคนหน้าตาน่ารักท่าทางเรียบร้อยกลับน่ากลัวฟูมฟายยิ่งกว่าผู้หญิงที่ดูเปรี้ยวจี๊ดแต่เข้าใจอะไรได้ง่าย
ๆ ถึงเขาจะรู้อยู่แล้วว่าหลังจากคืนวันเกิดนั่น
เขาอาจจะต้องบอกความจริงกับเธอเรื่องของมินตรา
แต่เอาเข้าจริงเขาก็แค่พูดจาสารภาพธรรมดาในขณะที่คนฟังปลายสายร้องห่มร้องไห้ไม่หยุดจะให้เขาออกไปหาท่าเดียวหากแต่เขาเพียงแค่ปฏิเสธ
เธอกลับร้องไห้ออกมาอีกรอบแล้วบอกยอมรับได้ทุกอย่างขอแค่เขายังทำตัวเหมือนเดิมกับเธอ
“ก็คุณไปสร้างเรื่องอะไรไว้ล่ะครับ”
เอสเบนสายตาเย็นยะเยือกเหลือบมองคนที่พูดก่อนจะส่ายหัวแล้วลุกขึ้นผลักบานประตูออกไป เขาเดินมาหยุดลงที่โต๊ะของปอก่อนดึงแฟ้มรายงานที่วางอยู่ยื่นส่งให้
“งานดีนี่”
“นายเห็นแล้วหรือครับ” มันเป็นรีพอร์ตแบบด่วน
ๆ ที่ปอเพิ่งปั่นเสร็จเมื่อคืน
รายงานที่เขาขึ้นเหนือไปจัดการพนักงานบางคนที่ทุจริตเรื่องเงินของรัชชา
นี่เป็นงานภายในซึ่งเอสส่งเขาไปทำ ตอนเช้าเอาเข้าไปวางไว้แต่เห็นว่ามันไม่ขยับจากจุดเดิมแล้วเอสก็ไม่ได้ว่าอะไรเขาจึงเอากลับออกมาว่าจะแก้ไขใหม่แล้วพรุ่งนี้ค่อยส่งอีกที
“เห็นตั้งแต่เช้าแล้ว”
“ผมนึกว่าคุณยังไม่มีเวลาอ่านครับ”
“อ่านสิ”
“ครับนาย ผมจัดการตามคำสั่งทุกอย่างครับ
ไม่ได้ทำอะไรนอกเหนือหน้าที่
เรื่องเลขาของคุณสุรชัยเป็นอีกเรื่องที่ต้องรอคำสั่งอนุมัติ
เขาอยากได้เลขาเก่าขึ้นไปช่วยเหลืออยู่ที่นั่นด้วย
เรื่องนี้ต้องรอนายอนุมัติอีกทีครับ”
“ฝ่ายบุคคลว่ายังไง”
“ฝ่ายบุคคลยังไม่ทราบครับ”
เอสพยักหน้ารับรู้
คำสั่งภายในแบบนี้ฝ่ายบุคคลจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อเขาอนุญาตแล้วเสมอ
“มึงจัดการให้เรียบร้อย
คิดเห็นว่ายังไงก็อนุมัติลงไปแล้วกัน เรื่องนี้กูให้สิทธิ์มึงตัดสินใจแทนได้
โคฯกับเอชฺอาร์ให้ดีด้วย”
“รับทราบครับ” ปอค้อมศีรษะรับคำ
ในตอนนั้นเอสมอบงานอีกอย่างหนึ่งให้กับเขา
“ไปทำตอนนี้หรือครับนาย”
“ใช่”
“แต่ว่าคุณมินตรา..” เธออยู่ด้านใน
“มินตราทำไม
เธอเป็นว่าที่คู่หมั้นกูนะถ้าจำไม่ผิด” คนฟังดูหน้าสลดลงทันที
เอสมองแล้วก็ส่ายหัวก่อนจะกำชับว่าให้รีบไปรีบกลับ เขาจึงโค้งรับคำสั่งอีกหน
จุดหมายคือทั้งตลาดหลักทรัพย์
ทั้งที่ทำการธนาคารใหญ่ตึกปีกอินทรีย์สัญลักษณ์ที่โดดเด่นของแวดวงการเงินแห่งรัชชา
ซึ่งที่นั่นคนนั่งกุมบังเหียนคือท่านเจ้าสัวใหญ่และนายหญิง
เพราะอย่างนั้นสามชั่วโมงมันจะเสร็จทันไหม
แสงแดดยามบ่ายร้อนจนแสบตาในตอนที่แคปก้าวออกมาจากร้านกาแฟเล็กๆ
เขาเงยหน้ามองหอคอยชั้นบนสุดของตึกกระจกที่สูงตะหง่านจนเสียดฟ้าฝั่งตรงข้าม
มีป้ายทางเข้ายิ่งใหญ่อลังการ “อัครรัชชานนท์”
ก้มมองดูเวลาที่ข้อมืออีกหน เข็มสั้นของนาฬิกาชี้ไปที่เลขสองเศษแล้ว
ถึงตั้งใจนั่งแหงกเล่นเน็ตอยู่ในร้านกาแฟนานนับสองชั่วโมง
ขบคิดและชั่งใจเรื่องที่จะต้องเข้าไปหาใครบางคนที่ตึกนั่น
แคปต่อสายหาเพื่อนสนิทอย่างปอในตอนที่รอกลับรถเพื่อใช้ถนนอีกฝั่ง
แต่ทางนั้นดูเหมือนจะปิดเครื่องเอาไว้
เขาพยายามติดต่ออยู่ราวๆสามสี่หนจนรถต้องบังคับเลี้ยวเข้าตัวบริษัท จึงได้วางสายไปก่อน
“สวัสดีครับ ขอดูบัตรด้วยครับ”
แคปลดกระจกลงเพื่อคุยกับพนักงานรักษาความปลอดภัย
รปภ.ของที่นี่แม้กระทั่งชุดยังใส่เสียเต็มยศ ติดอาวุธเต็มเอว
เผลอคิดในใจตายห่าแล้วกูจะต้องเอาบัตรประชาชนแลกเหรอวะ แล้วไอ้เพื่อนปอบ้าแม่งโทรหาเท่าไหร่ไม่ติด
เดี๋ยวตูออกไปตั้งหลักก่อนค่อยวกเข้ามาใหม่มันจะดูน่าสงสัยรึเปล่า
“ใช้บัตรประชาชนได้ไหมครับ”
แคปดึงบัตรออกมาจากกระเป๋าสตางค์ยื่นส่งให้คุณ รปภ.
หลังจากรับไปดูเขายื่นส่งคืนให้
“ไม่ทราบว่าคุณมีธุระติดต่อเรื่องอะไรกับที่นี่ครับ
คุณต้องมีบัตรผ่านเข้าจอดรถนะครับและนอกเหนือจากนั้นตอนที่คุณเข้าไปติดต่อที่ฟร้อนเขาจะขอให้คุณยื่นบัตรแสดงตัวอีกรอบครับ
สรุปแล้วคือคุณต้องมีทั้งบัตรเข้าอาคารจอดรถและบัตรสำคัญแสดงตัวว่าคุณมาพบกับใครที่แผนกไหนครับ”
“ผมมาทำธุระน่ะครับ
คือผมเข้าใจว่าต้องแลกบัตรแต่ว่า เอ่อ...”
“ผมเสียใจจริงๆครับที่ไม่สามารถให้คุณผ่านเข้าไปได้
ถ้ายังไงคุณลองติดต่อไปที่บุคคลที่คุณมาพบแล้วบอกให้โทรเข้ามาที่ศูนย์รักษาความปลอดภัยของตึกนี้นะครับ
ไม่ก็ให้ติดต่อที่ฟร้อนชั้นหนึ่ง ขอบคุณครับผม” พูดจบทำความเคารพคล้ายกับทหาร
แคปทำหน้าไม่ถูก นึกได้อีกทีเขาก็ถามออกไปแล้วว่าสามารถจอดรถไว้ที่ด้านนอกได้ใช่หรือเปล่า
“ได้ครับ
บุคคลทั่วไปสามารถจอดที่ลานด้านหน้าได้เลย”
แคปพยักหน้าแล้วกล่าวขอบคุณก่อนเลื่อนรถออกจากตรงจุดนั้นแล้วไปหาที่จอดกลางแดดอยู่ที่ลานจอดด้านหน้าซึ่งเต็มไปด้วยบรรดารถยนต์หลากหลายยี่ห้อยิ่งกว่าหน้าห้างฯ
กว่าจะหาช่องเข้าจอดได้ทำเอาเขาหัวเสียกับอากาศร้อน ๆ และบ่นอุบอิบกับตัวเอง
“ยุ่งยากฉิบหาย กูไม่ขึ้นไปหาซะดีมะ!”
บ่นไปแบบนั้นก็จริงทว่าเดินเข้าประตูกระจกหมุนอัตโนมัติเข้ามาแล้วเรียบร้อย แคปรีบก้มมองดูเสื้อผ้าของตัวเองเพราะคนที่เดินสวนออกไปมองเขาแบบเหลียวหลังเลยทีเดียว
“รับสักทีสิวะไอ้หมาปอ มึงนะมึง”
เขายกโทรศัพท์ต่อหาปออีกสักครั้งก่อนที่จะนึกแค่นแค้นในใจเหตุเพราะไอ้เพื่อนตัวดียังคงปิดเครื่องไว้
จนแคปเผลอคิดไปว่าบางทีมันอาจติดประชุมไหมยังไง
แล้วถ้ามาแล้วไอ้ตัวคนนัดไม่อยู่เขาจะได้กลับ
เปล่า..ไม่ได้ผิดสัญญา
แต่มาหาแล้วมึงดันไม่อยู่เองนี่
“เอ่อขอโทษนะครับ ผม...”
แคปชะงักนิดหน่อยตอนที่เดินเข้าไปคุยกับพนักงานต้อนรับสาวสวย
เธอจ้องเขาตาแป๋วรอฟังคำพูดของเขาเต็มที่
แต่แคปก็นึกขึ้นมาได้ว่าถ้าหากบอกว่าตัวเองมาติดต่อขอพบกับท่านประธานของที่นี่มันอาจจะดูไม่ค่อยน่าเชื่อสักเท่าไหร่
เขาจึง..
“ผมมาติดต่อพบคุณปรเมทครับ คุณปรเมท.....”
แคปบอกชื่อสกุลจริงของปอไป เธอจึงพยักหน้ายิ้มรับแล้วบอกให้เขารอสักครู่
แคปเห็นเธอยกหูโทรศัพท์กดต่อสายอยู่สักพักก็เปลี่ยนมาใช้โทรศัพท์มือถือแล้วแจ้งเขาว่า
“คุณปรเมทไม่อยู่ค่ะ
ท่านไม่ได้บอกไว้ว่าจะมีแขกมาติดต่อพบ ต้องรบกวนคุณรออยู่ที่นี่นะคะ”
“แล้วไม่ทราบว่าเขาจะกลับมาช่วงไหนครับ” ไอ้สัสปอเอ๊ยมึงกลายเป็นท่านตั้งแต่เมื่อไหร่
กูติดต่อมึงไม่ได้ต้องมาบากหน้าพูดจาเหมือนกับคนไม่รู้จักกันซะงั้น เซ็งสุดดด
“สักครู่นะคะ”
มีสายภายในเข้ามาเธอจึงยกหูรับ พอวางลงไปก็บอกกับแคปว่า “น่าจะเป็นช่วงเย็นค่ะ
ไม่ก็ จะไม่แวะเข้ามาแล้วรบกวนคุณติดต่อวันพรุ่งนี้เลยค่ะ”
เธอยิ้มหวานให้หลังจากพูดจบแล้วทำท่าจะผละออกไป แคปจึงเรียกเธอไว้อีกครั้ง
“ถ้าอย่างนั้นผมขอเข้าพบเจ้านายของคุณปรเมทแทนได้ไหมครับ”
“ถ้าจะเข้าพบท่านประธานคุณจะต้องมีบัตรค่ะ
ไม่มีบัตรผ่านให้เข้าพบไม่ได้นะคะ”
“แต่..ผมไม่มีบัตรจริง ๆ ครับ”
“ดิฉันขอโทษด้วยค่ะ
เราให้คุณเข้าพบท่านไม่ได้
คุณเอสเธอร์เป็นเจ้านายสูงสุดของที่นี่ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้าพบโดยไม่มีบัตรที่แสดงสิทธิพิเศษนะคะ”
แคปจะพูดอะไรต่ออีกสักอย่างแต่พอดีว่ามีพนักงานหญิงที่ดูสูงวัยมากกว่า
สวมแว่นสายตาเลนส์แหลม
มวยผมเก็บเรียบร้อยเหมือนคุณครูฝ่ายปกครองเดินเข้ามาถามเธอว่ามีอะไรที่จัดการไม่ได้งั้นหรือ
หลังจากคุยกับเธอได้สักพักคุณคนใหม่นั้นใช้สายตามองจิกมาที่แคปแล้วเดินเข้ามาหาเขาใกล้
ๆ พอเธอก้าวพ้นจากเคาน์เตอร์มาถึงได้รู้ว่า
เธอขยับแว่นไล่มองตัวเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าเลยทีเดียว
โหดน่าดูยัยผู้หญิงเฮี้ยบคนนี้
“คุณมาจากบริษัทไหนหรือคะ”
“.............” มาจากสวนผลไม้แถวชานเมืองระยองอ่ะ
“คุณไม่มีบัตรเข้าพบ
ดิฉันคงจะต้องเชิญคุณให้มาพบท่านที่คุณต้องการทำธุระด้วยในวันหลังค่ะ
บอกให้คนของคุณแจ้งทางเราไว้และกรุณาแต่งกายให้เรียบร้อย
ถ้าเป็นไปได้ควรสวมใส่สูทรวมถึงสวมรองเท้าหนังหุ้มส้นนะคะ”
แคปก้มลงมองการแต่งกายของตัวเองตามสายตาดวงสวยที่กำลังกวาดมองตัวเขาของเธอ
มันไม่สุภาพเหรอวะ เสื้อทีเชิ้ตกับกางเกงยีนส์แบบนี้ แล้วรองเท้าก็นะ
ผ้าใบสีนี้มันยังดูสุภาพไม่พอใช่ไหม
“ผมขอโทษเรื่องการแต่งกายครับ
แต่ผมจำเป็นต้องติดต่อกับคุณปรเมท ในเมื่อเขาไม่อยู่ผมจึงต้องขอติดต่อท่านประธานของที่นี่แทนครับ”
“ท่านประธานของเราไม่อนุญาตให้คนไม่มีบัตรแสดงตัวเข้าพบค่ะ”
“ผมยื่นบัตรประชาชนไว้ได้ครับ
คุณช่วยกรุณาโทรขึ้นไปติดต่อให้ผมสักครู่”
“ขอโทษอีกครั้งนะคะ
ทางเราไม่สามารถทำแบบนั้นได้ เรียนเชิญคุณกลับออกไปค่ะ อย่าให้ดิฉันต้องเรียกใช้งาน
รปภ.เลย”
แคปเลือดขึ้นหน้าเลยทีนี้
ท่าทางคงจะดูเหมือนนักเลงที่กำลังคุกคามเธออย่างไรเขาไม่ทราบได้
หากแต่หลังจากนั้นมี
รปภ.สองคนเข้ามายืนประชิดตัวเขาแล้วบอกให้ออกไปรอที่ด้านนอกแทน
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นในตอนที่เอสเลื่อนแฟ้มงานที่เพิ่งเซ็นต์อนุมัติลงไปเสร็จเรียบร้อย
เขาเบนสายตาไปมองที่หน้าจอเครื่องที่สั่นเรียกก่อนยกขึ้นมากดรับ
เป็นสายจากเลขาส่วนตัวที่เขาใช้ให้ออกไปทำธุระ
(................)
ปอพูดอะไรสักอย่างละล่ำละลักฟังไม่รู้เรื่อง
อีกทั้งสัญญาณและเสียงที่ดังก้องสะท้อนออกมาทำให้เอสต้องปรามลงไปแบบดุๆ
“อะไรนะ
มึงเรียบเรียงสมองใหม่พูดอะไรไม่รู้เรื่องเลย เป็นอะไรของมึง” คราวนี้ทางนั้นเงียบไป
ได้ยินแต่เสียงสูดลมหายใจยาว ๆ และคงจะตั้งสติเสร็จเรียบร้อย
(นายครับ)
“ว่าไง”
(นายช่วยลงไปรับเพื่อนผมทีได้ไหมครับ แคปมันโดน รปภ.กักตัวไว้ เพราะว่ามันไม่มีบัตร
ที่ฟร้อนไม่อนุญาตให้ติดต่อนายได้ แล้วที่สำคัญตอนนี้มันโดน
รปภ.กักตัวไว้ที่ด้านหน้าของตึก ผมไม่ทราบว่าแคปมันเข้ามาที่นี่ทำไม อาจจะมีเรื่องด่วนสำคัญมากๆ
มันบอกว่าจะเข้ามาหาคุณ ผมขอร้องให้คุณช่วยลงไปรับเพื่อนผมด้วยนะครับ
เดี๋ยวผมจะโทรบอกที่ฟร้อนไว้อีกที)
เอสลุกขึ้นตั้งแต่คำที่ปอบอกว่าแคปโดน
รปภ.กักตัวไว้แล้ว
เขากำลังจะเปิดประตูออกไปแต่มินตราเดินเข้ามาหาใช้สายตาเป็นคำถามบอกให้รู้ว่าเป็นห่วง
เธอจับแขนเขาไว้แน่น “มีอะไรหรือเปล่าคะเอส”
เพราะว่าหลังจากรับสายแล้วเขาก็ทำหน้าตาเครียดขึงอย่างที่เธอไม่เคยเห็นเขาในโหมดนี้มาก่อน
“คุณกลับไปก่อนนะ
วันนี้ผมมีธุระไว้จะโทรหาทีหลัง”
“มินต์...”
พูดยังไม่ทันได้จบหรอก
เพราะว่าเขาเปิดประตูเดินหายลับออกไปแล้ว ลิฟต์แก้วหรูหราอีกฟากหนึ่งของตึกถูกเรียกใช้ทันทีที่เอสเดินตัดมาถึง
คงไม่ต้องถามว่าทำไมเขาไม่ใช้ลิฟต์ส่วนตัวที่อยู่ในห้อง
เพราะหากจะให้จอดลงในโซนเดียวกับที่กราวด์ฟร้อน
ก็มีลิฟต์แก้วความเร็วสูงตัวนี้เท่านั้นที่เขาจะเรียกใช้งานได้
เพียงแค่ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นร่างสูงสง่าก็ก้าวออกมาที่ชั้นหนึ่ง
กวาดตามองเพียงแค่รอบเดียวดูเหมือนเลขาส่วนตัวจะโทรแจ้งไว้เรียบร้อยแล้วเพราะพนักงานที่ดูแลรับผิดชอบในส่วนหน้ากุลีกุจอเข้ามารับรอง
เอสเพียงใช้สายตาเย็นชาจ้องมองก่อนก้าวฉับ ๆ มุ่งหน้าออกไป
“ขอประทานโทษค่ะท่านประธาน คุณปรเมทโทรมาแจ้งแล้วค่ะ
เมื่อสักครู่ดิฉันออกไปตามแขกของท่านให้เข้ามาพักผ่อนอยู่ด้านใน
ทว่าไม่เห็นเขาแล้วค่ะ”
คนที่พูดคือหญิงสาวในแว่นสายตาทรงแหลม
เอสใช้สายตาที่เต็มไปด้วยไฟลุกโชนจ้องมองเธอ
ไม่ต้องให้มีใครมาบอกเธอก็คงจะทราบได้ว่าตัวเองนั้นได้ทำความผิดร้ายแรงเข้าให้แล้ว
ตั้งแต่เธอเห็นท่านเข้ามารับผิดชอบงานที่นี่
นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านเดินลงมาด้วยตัวเอง
ซึ่งปกติถ้าจะมีอะไรกับทางนี้จะมีเลขาส่วนตัวลงมาติดต่องานให้
ในตอนที่เธอตระหนักได้ว่าคนที่เข้ามาขอพบท่านเมื่อสักครู่เป็นบุคคลที่สำคัญมากแค่ไหนก็คือในตอนที่คุณปรเมทติดต่อมาบอกให้เธอไปตามผู้ชายคนนั้นเข้ามารออยู่ด้านใน
แต่เธอกลับไม่เห็นเขาแล้ว
“ท่านประธานคะ
ดิฉันเสียมารยาทกับแขกของ....” เธอพูดไม่ทันจบเอสยกมือบอกไม่ต้องพูดแล้ว
ให้เธอเข้าไปด้านในไม่ต้องตามติดเขาออกมา
สีหน้าที่บ่งบอกว่าเขารำคาญเธอถึงที่สุดนั้นฉายชัดออกมาจนเธอไม่กล้าจะตามเขาออกไปที่ด้านนอก
เอสยืนกวาดตามองอยู่ที่หน้าบานประตูหมุนอัตโนมัติ
นับในใจจากหนึ่งเกือบจะถึงร้อย เขาค่อย ๆ
ใช้สายตาไล่หาไปทีล่ะจุดทีล่ะจุดทั้งที่แดดร้อนมากหากแต่เขายังค่อย ๆ มอง
โดยเชื่อว่าแคปต้องยังไม่ไปที่ไหน...ความรู้สึกมันบ่งบอกออกมาแบบนั้นเขาจึงยังคงยืนนิ่งอยู่
ในที่สุด เขาเห็นแผ่นหลังนั่นแล้ว
คนที่นั่งอยู่ตรงทางลงบันไดฝั่งขวาสุดใกล้กับจุดตรวจรถ
มันเป็นออฟฟิศเล็กๆของรปภ.ที่ทำงานในแต่ล่ะกะ
เอสเดินเข้าไปจนเห็นว่าคนที่ตัวเล็กกว่าเขานั้นนั่งหน้ามุ่ยกำโทรศัพท์มือถือไว้แน่น
มันบ่นอุบอิบอะไรบางอย่าง คงจะโทรไปต่อว่าเจ้าปอจนฝ่ายนั้นหูทะลุทะลวงไปแล้วแน่ๆ
“ชอบหรือไงนั่งตากแดดให้ตัวดำเป็นถ่านเนี่ย”
คนได้ยินหันขวับมาจ้องที่คนพูดทันที
แคปมองเอสตาเขียวนิ่งอยู่แบบนั้นจนคนถูกมองยกมือขึ้นกอดอกแล้วยกมุมปากขึ้นนิดๆ
หนึ่งคนนั่งอีกหนึ่งคนยืน ทั้งสองคนกำลังทำสงครามทางสายตาใส่กัน
โดยมีคุณพี่รปภ.สองท่านแอบมองด้วยความหวั่น ๆ
นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นท่านประธานหนุ่มแบบใกล้ชิดขนาดนี้
และนี่ก็เป็นครั้งแรกอีกเช่นกันที่พวกเขาเห็นว่าท่านลงมายืนตากแดดเพื่อคุยกับใครสักคนที่ดูบุคลิกธรรมดาๆไม่ได้โดดเด่นอะไรเลย
หน้าตาท่าทางแบบบ้าน ๆ ดูคล้ายพวกเด็กวัยรุ่น หรือไม่ก็นักศึกษาที่ไหนสักแห่ง
การแต่งเนื้อแต่งตัวเสื้อผ้าเป็นคนล่ะสไตล์กับผู้คนในโซนนี้มากจริง ๆ
ในตอนนั้นเองที่แคปลุกขึ้นยืนก่อนก้าวเข้าไปหาคนที่ยืนรออยู่ใกล้
ๆ “กูมาหามึงแล้วไง กลับได้แล้วใช่ไหมทีนี่”
เอสจ้องมองคนพูดแบบไม่มีลดละทันทีที่ได้ยิน
เขาใช้สายตาคมกริบบอกให้รู้ว่าอีกคนควรจะทำอย่างไรเมื่อเขาหันหลังให้พร้อมกับเดินนำเข้าไปด้านในก่อน
แคปสบถบางอย่างออกมาเบา ๆ
แต่ก็เดินตาม
กว่าจะผ่านสายตาพนักงานมากมายหลายสิบเข้ามาจนถึงตัวลิฟต์แก้วที่ถูกกดไว้รอเรียบร้อยจากคุณป้าสาวเฮี้ยบมหาภัยที่เป็นคนเชื้อเชิญเขาให้ออกไปนั่งคอยที่ด้านนอก
แคปก้าวตามเข้าไปในลิฟต์นั่น
ความเงียบและแรงกดดันมหาศาลอาจทำให้ลิฟต์ร้องตี๊ดๆได้เพราะน้ำหนักของแรงกดดันในหัวใจที่เกินมาตรฐาน
หากแต่มันไม่ใช่แบบนั้นหรอก แคปยืนมองนั่นมองนี่ไปเรื่อยๆ ทั้งที่รู้ดีว่าตัวเองโดนจ้องอยู่เป็นบางครั้ง
พอเสียงเตือนของสิ่งที่โดยสารดังขึ้นบานประตูเลื่อนเปิดออก
แคปเหลือบมองอีกคนก่อนจะเดินตามแผ่นหลังกว้างนั้นออกไป
มันเป็นทางเดินที่โอ่โถงปูด้วยหินอ่อนสีงาช้างสวยงามไปหมดทั้งชั้น
สวยยิ่งกว่าที่ชั้นหนึ่งที่ว่าสวยงามสะอาดตา ชั้นนี้ยิ่งกว่าโรงแรมหรูที่ไหน ๆ
ที่เคยผ่านตามาเสียอีก
เขาเดินตามอีกคนมาเรื่อย ๆ จนถึงทางเลี้ยว
ระหว่างทางมีบรรดาห้องอะไรต่าง ๆ เต็มไปหมดแต่ถูกปิดทึบไว้
พอพวกเขาเดินผ่านโต๊ะของสาวสวยคนนึงเธอลุกขึ้นยืนค้อมศีรษะให้
“ท่านประธานคะคุณมินตรากลับไปแล้วค่ะ”
ท่านประธานของเธอเพียงแค่พยักหน้ารับรู้
ขณะที่เธอแอบมองมาที่แคปแวปนึงแล้วรีบเก็บสายตาอย่างเร็ว
ถึงอย่างนั้นแคปก็ยังมองเห็นว่าเธอแอบสำรวจตัวเขาแบบม้วนเดียวจบ
คงได้รับคอร์สอบรมคอร์สเดียวกับยัยคุณป้ามหาเฮี้ยบนั่นแน่นอน
เขาแอบคิดไปเรื่อยเปื่อย
จะว่าไปมินตราที่เธอพูดถึงก็คงจะเป็นผู้หญิงคนที่เป็นว่าที่คู่หมั้นของคนที่เดินอยู่ข้างหน้าเขา
ก่อนหน้านี้ก็อยู่ด้วยกันเหรอวะ
นี่เขาเข้ามาขัดจังหวะใช่หรือเปล่ามันถึงได้จ้องหน้าตาเขียวซะขนาดนั้น
คนไม่พอใจมันต้องเป็นเขาต่างหาก นัดให้มาหาแล้วเสือกไม่ให้บัตรเหี้ยไรสักอย่าง
ต้องให้ตกระกำลำบากไปนั่งคอยอยู่กับพี่ยาม เซ็งสุดด
แคปเดินแบบเซ็ง ๆ
ตามจนกระทั่งมาถึงโต๊ะทำงานตัวใหญ่หน้าห้องที่ติดป้ายชื่อของคนที่เดินนำเขาขึ้นมา
โต๊ะสองตัวทำมุมเข้าฉาก โต๊ะที่เต็มไปด้วยบรรดาเอกสารและเครื่องคอมพิวเตอร์
ดูเหมือนป้ายชื่อจะถูกเก็บไปไว้ที่ไหนสักแห่ง
แต่ไม่ต้องเสียเวลาคาดเดาเพราะแค่เห็นก็รู้เลยทันทีว่านี่เป็นโต๊ะของเจ้าปอเพื่อนรักของเขาเอง
จุดสังเกตง่าย ๆ ก็คือ เจ้าของโต๊ะมันเอารูปถ่ายของพวกเขาสามคน ปอแคปและอาร์
ใส่กรอบเล็กๆวางไว้ข้างปฏิทินตั้งโต๊ะและโถปากกากระเบื้องเคลือบรูปเสือคาบดาบที่แคปเป็นคนซื้อมาให้ในตอนที่ไปเที่ยวเชียงใหม่เมื่อสองปีที่แล้ว
“นั่งรออยู่ที่นี่ จนกว่าเลขาฉันจะมา”
แคปอ้าปากหวอเลยสิครับ งงสิ อะไรของมันจู่ ๆ
ให้มานั่งรอเลขามันทำไม
ก็มันเป็นคนนัดเขาเองว่าให้มาหาที่นี่ เขาไม่ได้จะมาหาไอ้ปอสักหน่อย
“ทะ..ทำไมล่ะ” กูไม่ได้มาหาเลขามึงนะ
“แล้วนายจะมาพบใครล่ะ”
“กะ..ก็พบคุณไง” มึงเป็นคนนัดกูนะ
นี่มึงความจำเสื่อมหรือไง
“คนที่เป็นเจ้าของห้องนี้น่ะหรือ”
เอสยังคงถามหน้านิ่ง เขาใช้นิ้วโป้งชี้ไปที่ห้องประธานกรรมการ
ซึ่งมีป้ายชื่อตัวเองติดไว้อย่างชัดเจน พร้อมกับตำแหน่งควบสองที่ระบุคำว่า President/CEO กำกับไว้ด้านล่าง
แคปมองไปตามทางที่อีกฝ่ายชี้แล้วพยักหน้าแบบงงๆบอกว่า “ใช่”
“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรอ จะมาพบกับท่านประธานของที่นี่ไม่ใช่แค่ต้องมีบัตรแสดงสิทธิ์
แต่นายจะต้องติดต่อผ่านเลขาส่วนตัวของฉันเท่านั้น กรณีอื่น ๆ
ฉันไม่อนุญาตให้ใครเข้าพบทั้งสิ้น”
“เพ้อเจ้ออะไรวะ” ใช้คำว่าฉันใช้คำว่านาย
แคปครางออกมาหน้ายุ่งคิ้วขมวดไปหมด เห็นเอสทำท่าจะเดินเข้าไปเขาจึงรีบเดินตามแบบประชิดตัว
พอคนด้านหน้าหยุดจึงชนเข้ากับแผ่นหลังกว้างเต็มรัก
“ทำอะไรของนาย” คนตัวโตหันมาถามเสียงดุ
“ก็มึงทำไมต้องทำเรื่องให้มันยุ่งยากด้วยล่ะ กูมานี่แล้วไงมีอะไรจะคุยก็คุยดิ
ทำไมจะต้อง...”
“อย่ามาใช้คำพูดคำจาไร้มารยาทที่นี่
ผมเป็นถึงกรรมการผู้จัดการของที่นี่ แล้วนายล่ะเป็นใคร”
“ก็เป็นแค่แค่ชาวสวนธรรมดาๆนั่นแหละ
ไม่มีบัตรสีทองสีแดงสีดำเหี้ยไรทั้งนั้น ไม่มีสิทธิ์อะไรหรอก
กูมันก็แค่คนที่ถูกคนบ้าอำนาจนัดให้มาพบภายในบ่ายของวันนี้โดยที่มันไม่สนใจเลยด้วยซ้ำว่ากูจะสามารถขึ้นมาข้างบนนี้ได้ยังไงก็แค่นั้น!”
ร่ายยาวจบหอบหายใจหนักหน่วง
เอสจ้องมองคนพูดด้วยสายตาคมกริบที่แคปไม่มีทางอ่านได้ออก
เขาขยับเดินเข้าไปจับลูกบิดประตูไว้ก่อนหันมองกลับมา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแสนเย็นชา
“รออยู่นี่จนกว่าเลขาฉันจะมา”
“ไม่รอหรอก” เรื่องอะไรจะรอ “ถ้าไม่ให้เข้าไปคุยก็จะกลับเลย”
“ตามใจ
จะทำอะไรก็ทำแต่เรื่องน้องสาวของนายฉันก็จะทำตามใจตัวเองเหมือนกัน”
“...........” แคปขบริมฝีปากล่างจนเจ็บ
เขาเงียบลงไปไม่เถียงต่ออีก
สบตากับคนที่ตวัดสายตามามองอีกครั้งก่อนที่ประตูไม้บานใหญ่จะถูกปิดลงพร้อมกับร่างกายสูงใหญ่ที่เดินหายเข้าไป
“บ้าเอ๊ย ทำเรื่องให้มันยุ่งยาก”
แคปบ่นไปพลางเดินไปทิ้งตัวนั่งลงที่โซฟารับรองใกล้ ๆ โต๊ะทำงานของปอ
ก่อนล้วงเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมาต่อสายหาไอ้เลขาตัวดีเพื่อนรักเพื่อนเกลอสุดสวาทขาดตอนของเขา
“อยู่ไหน! เมื่อไหร่มึงจะเข้ามาไอ้เพื่อน@#$%&$@#&*” พอปอรับสายก็ด่าๆๆๆจนฝ่ายนั้นชะงักนิ่งไปแล้วเรียบร้อย
(มึงอยู่ไหนน่ะ ขึ้นไปข้างบนได้แล้วเรอะ?)
“เออ!
กูนั่งรออยู่ที่โต๊ะมึงเนี่ย ถ้ามึงยังไม่เข้ามาภายในสิบห้านาทีนี้นะไอ้ปอ
กูจะจัดการโกยงานบนโต๊ะมึงทิ้งถังขยะแล้วทำลายเอกสารสำคัญให้หมดตู้เลยมึงคอยดู!!”
(เฮ้ยๆๆๆ มึงพูดเรื่องอะไรเนี่ยแคป
ขึ้นไปได้แล้วทำไมไม่เข้าไปหาเจ้านายกูล่ะ เขาไม่ได้ลงไปรับมึงหรือไง)
“เจ้านายมึงมันแย่ที่สุด ลงไปรับกูแล้วยังไง
พอขึ้นมาข้างบนบอกให้กูนั่งรอมึงกลับมาถึงจะอนุญาตให้กูเข้าห้องไปคุยธุระกับมันได้”
(......................)
“อะไร มึงเงียบไปทำไม
รับไม่ได้เจ้านายมึงแกล้งกูอ่ะดิ”
(เปล่า นี่มึงโดนนายกูบอกแบบนั้นจริงเหรอวะ)
“กูจะโกหกมึงทำซากเรอะ
รีบกลับมาเร็วเข้ากูจะได้รีบเข้าไปตกลงธุระเรื่องน้องโบว์เสร็จแล้วจะได้กลับเสียที”
(เออๆกูเสร็จพอดีเดี๋ยวเข้าไปแบบด่วน ๆ เลย
มึงกินขนมรอไปก่อนก็ได้
ในลิ้นชักมีอมยิ้มรสที่มึงชอบอยู่เปิดแล้วหยิบออกมากินได้เลย)
“เหอะ กูไม่กินหรอก มึงรีบกลับมาก็แล้วกัน”
ถึงปอจะบอกว่างานเสร็จแล้วและกำลังรีบกลับมาให้เร็วที่สุด
แต่ทว่าเวลาผ่านไปร่วมครึ่งค่อนชั่วโมงตัวท่านเลขาก็ยังไม่มีวี่แววจะปรากฏให้เห็น
แคปเริ่มนั่งไม่ติดก้น
เขาเดินไปเดินมาจนรู้ตัวอีกทีคือเปิดเข้าไปที่ห้องใหญ่นั่นได้ยังไงก็ไม่รู้
“...............”
เจอสายตาพิฆาตจากเจ้าของโต๊ะที่กำลังก้มเขียนอะไรสักอย่างเหลือบขึ้นมอง
อาจเพราะว่าเขาไม่ได้เคาะประตู ทำให้มันโมโห
หรืออาจจะเป็นเพราะ เขาฝ่าฝืนคำอนุญาตที่ว่า
จะให้เข้ามาได้ก็ต่อเมื่อเลขาของมันมาถึงก่อน มันก็เลยโมโห
ปัง!
ในเมื่อมันใช้สายตาแบบนั้นมองมาแคปเองก็ไม่อยากจะพูดด้วยเหมือนกัน
จัดการปิดประตูใส่เสียงดังโครม ที่จริงมันน่าจะดังลั่นยิ่งกว่านี้สิวะ ไม่รู้ทำไมประตูของที่นี่ถึงได้มีระบบปิดลงที่นุ่มนวลมากๆ
เงียบกริบแทบไม่ได้ยินเสียง แคปจิ๊ปากขัดใจ
ยืนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่หน้าบานประตูนั่นแหละ ตัดสินใจเปิดผั๊วะเข้าไปใหม่
เจ้าของห้องเงยหน้าขึ้นจากงานบนโต๊ะอีกครั้ง
แคปนี่สุดจะฉุนเลย เหี้ยไรทำหน้านิ่ง ๆ เหมือนไม่รู้เลยว่ามีใครยืนบ้าบอคิดจนคอแทบหักอยู่ด้านนอก
“นี่...”
“ปิดประตู”
คำพูดที่ยังพูดไม่ทันจบถูกกลืนเก็บลงในลำคอเพียงเพราะอีกคนใช้คำสั่งสั้น
ๆ รวบรัดทว่าชัดเจนสั่งให้เขาปิดประตูลง
แคปยืนจ้องหน้าไอ้คนที่นั่งนิ่งๆอยู่หลังโต๊ะประธานตัวนั้น เขาชั่งใจสักพักก่อนตัดสินใจก้าวขาข้างหนึ่งก้าวเข้าไปข้างในแต่ทว่า
เสียงทุ้มจากเจ้าของห้องดังกึกก้องราวฟ้าผ่าขึ้นมาก่อน
“ออกไปรอข้างนอก!”
“เหี้ย! กูจะกลับแล้วโว๊ย!!” อย่ามาตะคอกใส่กูนะบอกให้รู้ไว้ก่อน
แคปไม่ยอมเหมือนกันเอากับเขาสิ ปิดประตูลงไม่สนใจหัวมันแล้วหลับหูหลับตาเดินได้แค่สองสามก้าวชนโครมเข้ากับใครบางคนที่เดินไม่ดูตาม้าตาเรือ
จนต้องร้องขึ้นมาดังลั่นด่าแหลก
“กูเองๆใจเย็นๆแคปนี่กูเอง”
พอเห็นว่าเป็นปอแคปใจชื้นขึ้นมาได้แค่ชั่ววินาทีเดียวเพราะความรู้สึกว่าโกรธมันที่มาช้าและผิดเวลาดันโถมเข้ามาอีก
เขาจ้องหน้ามันนิ่ง ปอยอมจำนน “เออกูรู้ว่ากูช้า
รอตรงนี้แป็ปเดียวเดี๋ยวกูจะออกมาพามึงเข้าไปส่งให้เดี๋ยวนี้แหละ”
“ไม่เอา กูจะกลับแล้ว”
ไล่กูขนาดนั้นกูไม่อยากเข้าไปแล้วเว้ย
“แป็ปเดียวน่า รอนี่นะ”
ปอหายเข้าไปในห้องนั้นแค่ไม่กี่วินาทีก่อนออกมาดึงมือแคปให้เดินตามเข้าไป
คนถูกจูงหน้าตึงแทบไม่อยากจะมองไอ้เจ้าของห้องนี้เสียด้วยซ้ำ
ห้องกว้างขวางหรูหรา
วิวมหานครที่มีแม่น้ำสายหลักทอดยาวอยู่ด้านหลังกระจกใสโค้งกว้างใหญ่จนสุดลูกหูลูกตา
หากแต่..ใจคนคงไม่ได้กว้างเหมือนห้องที่มันนั่งครองอยู่สักนิดหรอก
“มึงออกไปได้แล้ว”
เสียงทุ้มสั่งขึ้นอย่างเย็นชา
เลขาอย่างปอค้อมศีรษะลงให้แล้วหันหลังเดินออกไป
แคปเหลือบมองคนนั่งอยู่แล้วเผลอคิดออกมาไม่ได้
แล้วไหนใครวะที่บอกว่าอย่ามาใช้คำพูดคำจาไร้มารยาทที่นี่ อิโถ
ตัวเองยังพูดกูมึงกับเลขาอยู่ชัดๆ ไม่รู้ทำไมกลับรู้สึกน้อยใจขึ้นมานิดๆ
ถ้อยคำที่แสดงความห่างเหินแบบนั้นกลับถูกนำมาใช้กับเขา
ในขณะที่กับเพื่อนสนิทของเขามันยังใช้คำพูดแบบเดิมๆด้วย
จะทำอะไรได้นอกจากหันหน้าหนีไปทางอื่น
เสียงประตูห้องปิดกริ๊กลงแล้ว
“มีธุระอะไรกับฉัน”
ถามได้ดี! เออแล้วมันใครกันล่ะวะที่เป็นคนนัดมา “เปล่า ผมแค่มาตามที่คุณนัด”
อยากให้พูดแบบสุภาพนักใช่ไหม เดี๋ยวคาปูจัดให้เลยครับ
“ฉันนัดนายงั้นหรือ” คนพูดทำท่านึก
ขณะที่แคปกัดฟันกรอด รอฟังมันพูดต่อ “อ้อ นึกออกล่ะ
โทษทีนะเรื่องมันไม่ค่อยสำคัญน่ะ ฉันเลยจำไม่ค่อยได้”
...กูเจ็บปวดดีจริงๆ...
“เออโทษทีที่ไม่สำคัญ” แคปว่าออกมาเสียงแผ่ว
ช่างแม่งไม่สนว่ามันจะได้ยินหรือไม่เขาไม่อยากจะสนใจอีกแล้ว เอสเงียบไปพักใหญ่ ๆ
บรรยากาศกดดันและอึดอัดยิ่งกว่าตอนที่ยืนอยู่ในลิฟต์ด้วยกัน
แคปกลืนก้อนเฝื่อนๆลงคอรอฟังมันจะพูดอะไรต่อ หากแต่กลับไม่มีเสียงอะไรเล็ดลอดออกมา
เขาจึงขยับสายตามองไปที่มัน
จ้องกูทำไม
“พูดธุระของคุณมาเถอะ”
“ใครกันแน่ที่สมควรจะพูด
นายไม่ใช่หรือที่มีธุระกับฉันน่ะ”
“เอาแบบนั้นก็ได้
ไหนๆเรื่องที่จะพูดก็คงเป็นเรื่องเดียวกัน
เพราะงั้นผมพูดหรือคุณพูดมันก็คงไม่ต่าง”
“เข้าเรื่องสักที”
“คุณช่วยเลิกกับน้องโบว์ได้ไหม”
เสียงพ่นลมหายใจเย้ยหยันดังออกมาจากคนฟัง
แคปรู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดเรื่องแบบนี้ด้วยซ้ำแต่ในเมื่อมาแล้วก็อยากจะพูดสิ่งที่คาใจให้มันจบๆกันไป
“ถ้าตอบว่าไม่ได้ล่ะ”
“ผมอยากจะขอร้อง”
“แค่ขอร้องมันจะพอได้ยังไง ฉันกับโบว์เราสองคนคบกันอยู่จู่
ๆ นายจะมาบอกให้พวกเราเลิกกันมันฟังดูแปลกอยู่นะจริงไหม”
“แต่คุณมีคู่หมั้นอยู่แล้ว
คุณไม่ใช่คนตัวเปล่า คุณมีผู้หญิงของคุณอยู่ ผมไม่เข้าใจคุณเข้าหาน้องสาวผมทำไม”
“ความรักมันจะมีเหตุผลได้ยังไง
ถ้ารักใครแล้วต้องใช้เหตุผลมากมายหลายอย่างแบบนั้นไม่เรียกว่ารักหรอก”
“กล้าใช้คำว่ารักกับน้องผม
คุณคงรักเธอจริงๆสินะ” ถามเองเจ็บเองแต่มันจำเป็นที่ต้องถาม
เขาเองก็อยากจะรู้คำตอบ
“หึ รักจริงหรือไม่ ก็ไม่เกี่ยวกับนาย”
“ถ้ารักจริง ๆ
คุณจะยอมเลิกกับคู่หมั้นของคุณได้ไหมล่ะ”
“นายมีสิทธิ์สั่งให้ฉันเลิกกับคนนั้นคนนี้ได้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
เอสว่าเสียงเย็นเฉียบก่อนลุกขึ้นมาประจันหน้ากับแคปด้วยสายตาที่วาวโรจน์
แคปขยับถอยหลังออกมาหนึ่งก้าว
“ผมรู้ว่าผมไม่มีสิทธิ์อะไร แต่ผมอยากจะ...”
“ฉันจะไม่เลิกทั้งกับคู่หมั้นแล้วก็ไม่เลิกกับน้องสาวเพื่อนสนิทคนนั้นของนาย
จะเอาทั้งสองคน จะเก็บเอาไว้เป็นของเล่น เล่นให้พัง เล่นให้เบื่อ
จากนั้นค่อยโยนทิ้งไป”
เหมือนใครบางคนที่โยนกูทิ้งในคืนที่ฝนตกหนักแบบเมื่อห้าปีก่อนนั่นไง
หัวใจเขาพังแหลกยับไม่มีชิ้นดี...
“หัวใจคุณทำด้วยอะไร”
หัวใจกูตายไปนานแค่ไหนแล้ว
“หัวใจของผู้ชายธรรมดาที่มักมากไปสักหน่อย อยากจะเก็บเอาไว้ทั้งคู่
นายไม่เคยได้ยินแบบนั้นหรือไง”
“ตกลงว่าจะไม่ยอมหยุดความสัมพันธ์กับใคร
ตกลงว่าคุณจะเก็บเอาไว้ควงทั้งสองคน ตกลงว่าที่มาหาถึงที่นี่ไม่ได้มีอะไรทำให้เปลี่ยนแปลงได้เลยใช่ไหม”
“ไม่มีใครบังคับให้นายมานี่ นายมาของนายเอง”
“.............” แคปจุกแสนจุกกับคำพูดโหดร้ายแสนเย็นชา
ราวกับคนโดนหมัดฮุกต่อยลงที่หน้าท้องหนักๆ หลายต่อหลายหมัด เขาพยายามอดทน
“ผมไม่มีอะไรจะพูดกับคุณแล้ว”
“อือ งั้นก็กลับไปซะสิ”
คนฟังข่มลมหายใจขบกัดริมฝีปากล่างจนห้อช้ำเนื้อตัวสั่นในขณะที่เอสไม่ได้มีทีท่าจะสนใจเลยสักนิด
เขาเดินกลับไปที่โต๊ะทำงานแล้วนั่งลง แคปค่อย ๆ หันตามไปมอง
“คุณอยากได้ยินคำนี้ไหม”
พูดแล้วเดินก้าวเข้าไปหา สายตาคมกล้ามองคนตรงหน้าไม่ลดละ
“อะไรล่ะ พูดสิ”
“อย่า-ทำ-ให้-กู-เกลียด”
ยิ่งกว่าโดนหอกปลายแหลมพุ่งหลาวเข้ามาปักลงที่กลางหัวใจ
เอสเจ็บร้าวไปทั้งกายทั้งใจ
ระบมจนแทบกระอักออกมาทางปากเพียงเพราะคำพูดแค่ประโยคเดียวของแคป
หากแต่ม่านในตาเกลื่อนความรู้สึกบนใบหน้าเย็นชานั้นไว้มิดชิดจนคนพูดไม่มีวันมองเห็นได้
เขาเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากำไว้แบบหลวม ๆ พลิกไปพลิกมา
มองหน้าคนที่ยืนจ้องกันอยู่ก่อนที่แคปจะขยับออกจากที่ตรงนั้น
และกำลังจะเดินออกจากห้องไป
เสียงทุ้มต่ำกลับดังขึ้นว่าอะไรสักอย่าง
แคปฟังไม่ชัดเขาหยุดชะงักอยู่ที่ตรงนั้นหันขวับกลับมา ไม่แน่ใจในสิ่งที่ได้ฟังจนต้องเดินเข้าไปหาคนพูดใกล้
ๆ แล้วบอกให้มันพูดให้ฟังอีกครั้งชัดๆ
“ไม่พูด” เอสว่าเสียงแข็ง เขาพูดไปแล้ว ไม่ได้ยินเองก็แล้วไป
“พูดเดี๋ยวนี้ เมื่อกี้กูได้ยินไม่เคลียร์
มึงพูดใหม่”
“ไม่!”
“ทำไมถึงไม่พูด เมื่อกี้มึงพูดว่าอะไร”
“ไม่พูด!” เอสยืนยันคำเดิมอีกครั้ง
แคปจ้องเขานิ่งก่อนกระพริบตาถี่ๆยอมโอนอ่อนลง “ไม่พูดก็ตามใจ ไม่พูดงั้นกูไปล่ะ”
พูดจบจะเดินออกไปอีกครั้งจริง ๆ
มือจับลูกบิดประตูเรียบร้อยจะผลักออกไปคนข้างหลังก็ยังเงียบ
เขาจึงคิดว่าเมื่อสักครู่เขาคงหูฝาดจริง ๆ ชั่งใจอยู่ระหว่างกรอบประตูแบบนั้นนานพอดู
จนสุดท้ายเขาออกแรงดันบานพับออกไปเสียงทุ้มจากด้านหลังกลับดังขึ้น ชัดเจน แจ่มแจ้ง
“ถ้าอยากจะให้กูเลิกกับผู้หญิงทุกคนที่คบอยู่ตอนนี้
มึงก็จีบกูสิ”
!!!!??!!??!!!!!!
แคปตกใจกับสิ่งที่ได้ยินจนตาลอยหันขวับกลับไปมองที่คนพูดอย่างไว
เอสยังคงนั่งทำหน้านิ่งจ้องเขาเขม็งอยู่แบบนั้น คนยืนตาค้างถลาเข้าไปหา
เกาะขอบโต๊ะไว้แน่นจนมือสั่นพร้อมกับจดจ้องใบหน้าคมคายราวกับจะถามว่าสิ่งที่มันพูดมานั้น
พูดจริงหรือพูดเล่น แคปยังไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
เขาจ้องหน้ามันจนมองเห็นฟันกระต่ายขาวสวยจากริมฝีปากหยักเผยอขึ้นนิดๆ
“ถ้ามึงจีบกูได้ กูก็คงจะรักมึงแค่คนเดียว
คนไหนหน้าไหนกูก็ทิ้งได้ทั้งนั้นแหละ”
ตายไปเลยเหอะคาปู มึง! แคปรู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นระส่ำอยู่ในอก
เขาจะอ้าปากพูดอะไรสักอย่างแต่เสียงกลับไม่สามารถหลุดเป็นคำพูดออกมาได้
ในตอนนั้นเองเอสกลับชิงพูดขึ้นต่ออีก
“จีบกูให้ได้ก่อนเถอะ ถ้ามึงทำได้น่ะนะ”
ถ้า
มี
ใคร
สัก
คน
ที่สามารถทำให้เขาตกหลุมรักได้ถึงสองครั้งสองคราในชีวิต
คนๆนั้นอาจจะเป็นคนที่นั่งทำหน้านิ่ง ๆ อยู่ในตอนนี้
ช่วงเวลาก่อนหน้านี้ห้าปี
เป็นมันที่เพียรพยายามจีบเขาเกาะแกะเขา แม้ว่าวิธีการจะแปลกประหลาดไปสักหน่อย
ทั้งบังคับ และตามตื้อทุกอย่าง
ทว่า
หลังจากนี้ คิดว่าเขาคงต้องให้โอกาสตัวเอง
ช่วงชิงหัวใจดวงเดียวจากคนๆเดิมของเขากลับคืนมา
“กู....”
“ไหนว่าจะกลับไง ยืนยิ้มอยู่ทำไมล่ะ”
ไม่ใช่แค่ยิ้มเฉย ๆ หรอก
เขายืนมองมันแล้วก็ยิ้มต่างหาก
“ทำไมจะยิ้มไม่ได้
ก็มองดูหน้าคนที่ตัวเองกำลังคิดจะจีบ ไม่ให้ยิ้มให้กูร้องไห้หรือไง”
แค่นั้นแหละ คนฟังตวัดสายตาเขียวปั๊ดใส่
แคปจึงยกไหล่ขึ้นแบบกวนๆ เอสฉวยเอาอะไรบางอย่างที่วางอยู่บนโต๊ะฟาดออกมาใส่เต็มรัก
ดีที่แคปมันยังรับไว้ได้ทัน มองดูสิ่งที่ตัวเองถืออยู่ในมือถึงกับชะงักค้าง....การ์ดสีดำ
ที่มีชื่อเจ้าของปั๊มนูนเป็นตัวหนังสือภาษาอังกฤษสีทอง
รวมไปถึงตำแหน่งเจ้าของการ์ดใบนี้สลักไว้ชัดเจน ‘คนในตระกูลอัครรัชชานนท์เท่านั้นที่จะได้ถือการ์ดสีดำตัวหนังสือสีทอง
มึงเห็นกูตำแหน่งสูงแบบนี้การ์ดของกูยังเป็นแค่การ์ดทองคาดตัวหนังสือสีขาวเท่านั้น’ ครั้งหนึ่ง ปอมันเคยบอกกับเขาไว้
แคปเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของชื่อที่โชว์หราอยู่ในบัตรสีดำที่เขาถืออยู่ช้า
ๆ ก่อนที่เอสจะเอ่ยปากประโยคสุดท้ายที่เขาได้ยินในบ่ายวันนั้น
“ถ้ามึงทำหาย ก็ไม่ต้องขึ้นมาหากูอีก”
...จะเก็บเอาไว้ในวันที่เธอเผยใจ
รอวันนั้นวันที่ฉันแน่ใจ
ว่าวันนี้เธอคิดว่าฉันนั้นใช่
และเธอพร้อมจะฟังความข้างใน
...จะบอกว่ารักให้เธอได้ยินใกล้ๆ
บอกว่ารักเธอได้ยินหรือไม่
ถ้ายังไม่ชัด ฟังอีกครั้งก็ได้
ได้ยินไหมว่ารักเธอทั้งหัวใจ
(Cr.เพลงไม่บอกเธอ)
Tbc.