[27]
“โบว์ครับ”
เสียงทุ้มอ่อนโยนที่เรียกขึ้นจากด้านหลังทำให้เจ้าของชื่อหันขวับไปหา
เธอยิ้มทั้งดวงตาให้กับคนรักของเธอ สองมือของเขาประคองเบาๆที่ต้นแขนเล็กนั่น
ไม่รู้ว่าจะมีใครสังเกตเห็นหรือเปล่า
คนที่นั่งข้างเจ้าของวันเกิดตอนนี้ถึงกับเบิกตาโพลง แก้วเหล้าที่อยู่ในมือชะงักค้างจ่ออยู่ริมฝีปาก
“คุณเอสหายไปไหนมาคะ
โบว์รอตั้งนานจวนถึงเวลาเป่าเค้กแล้ว” เธอพูดพลางลุกขึ้นขยับออกจากที่นั่งข้างแคปเลื่อนไปนั่งที่เดิมของเธออย่างแท้จริง
คนมาใหม่แทรกตัวเข้ามานั่งลงแทนที่
เขาวางโทรศัพท์มือถือที่เพิ่งถูกใช้งานลงบนโต๊ะ
ใช้สายเย็นชาเหลือบมองคนข้างๆนิดหน่อยก่อนหยิบแก้วเครื่องดื่มที่แฟนสาวส่งให้ขึ้นสาดใส่ลำคอรวดเดียวจบ
“คืนนี้เธออยากได้อะไรฉันให้หมดทุกอย่าง”
โครม!!
เสียงก้นแก้วกระแทกโต๊ะดังสนั่นราวฟ้าผ่าทำเอาคนนั่งอยู่มองกันเป็นตาเดียว
เปล่า..ไม่ใช่จากเอสหากแต่เป็นของอีกคน
ปอสาบานได้ว่าแวปหนึ่งในเสี้ยวใบหน้าของเจ้านายเขามีรอยยิ้มผุดขึ้นเล็กๆและมันก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว
นั่นทำให้เขานึกได้ในทันทีว่าตัวเองควรจะทำอะไรต่อ
เขารีบดึงชายเสื้อเพื่อนตัวเองยิกๆ
ไม่คิดว่าปฏิกิริยาแคปจะรุนแรงได้ขนาดนี้
ไม่ใช่ว่ามันเลิกกันนานห้าปีแล้วหรือวะ? กระแทกแก้วทำเพื่อ??
“โทษที”
แคปว่าขึ้นหน้าตาบึ้งตึงขึงขังสุดๆ ในใจนี่เต้นรัวไม่ต่างกับกลองศึก ไม่สิ
ที่จริงแคปพูดผิด เขาต้องใช้คำว่า ‘ลืมตัว’.....น่าจะเหมาะสมกว่าหากแต่แคปไม่คิดที่จะพูดอะไรแบบนั้นออกมาเพราะระลึกบางอย่างขึ้นมาได้ เขาจึงเอ่ยคำขอโทษที่เสียมารยาทให้กับเจ้าของงานคิดว่าน่าจะดีที่สุด
เสียงแค่นแค้นในคอดังขึ้นเบาๆจากคนข้าง
ๆ
เมื่อเหลือบไปมองดันเห็นรอยยิ้มลี้ลับจุดอยู่ที่มุมปากหยักแค่ชั่ววินาทีก่อนจะเลือนหายไป
ทำเอาแคปยิ่งต้องขบริมฝีปากแล้วตีหน้าให้เรียบนิ่งเข้าไว้
ทำราวกับคนไม่เคยรู้จักกัน
“พี่แคปเป็นอะไรรึเปล่าคะ”
น้องโบว์ทำหน้าตื่น
เธอกระวีกระวาดดึงกระดาษมาเช็ดให้
ปอจึงรีบขยับจึงไปรับเอามาแล้วบอกว่าเดี๋ยวเช็ดต่อเอง
“โทษทีครับโบว์” มือพี่ลั่น แคปย้ำอีกรอบ
“หึ...”
เสียงแค่นคอดดังออกมาอีกครั้งหากแต่แคปไม่นึกอยากจะใส่ใจเพราะน้องโบว์กำลังถือโอกาสแนะนำเขากับอดีตคนคุ้นเคยให้รู้จักกัน
“พี่แคปคะนี่คุณเอสค่ะ
เขาเป็นคนสำคัญของโบว์ คนที่โบว์เคยเล่าให้พี่แคปฟังไงคะ”
บรรยากาศที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่แล้วยิ่งกระอักกระอ่วนขึ้นอีกอย่างช่วยไม่ได้
แคปได้แต่เค้นรอยยิ้มแห้งแล้งออกมา
“แล้วก็คุณเอสคะ
นี่พี่แคปค่ะ
พี่แคปเป็นเพื่อนสนิทของพี่ชายโบว์เอง”
ปอแทบจะสำลักเหล้าในปากขณะที่ได้ยินน้องโบว์แนะนำทั้งสองคนให้รู้จักกัน
ยิ่งไอ้ประโยคท้ายๆนั่น..เพื่อนสนิทพี่ชายเธองั้นหรือ? หึ
เจ้านายเขาเห็นหน้านิ่งๆแบบนั้นป่านนี้ในใจคงนึกอยากลากคนบางคนที่ยังมาไม่ถึงลงมากระทืบให้จมฝ่าเท้าเสียล่ะ
เขารีบกลืนเหล้าลงคอให้เร็วที่สุด
ก่อนจะได้พ่นออกมาจริงๆเมื่อได้ยินเจ้านายเขาเอ่ยประโยคถัดมา
“ทำไมโบว์ไม่บอกเขาไปล่ะครับ
ว่าผมเป็นแฟนโบว์”
น้ำเสียงทุ้มเอ่ยยิ้มๆ
ขณะที่น้องโบว์ตกใจกับสรรพนามนั่นจนหน้าขึ้นสียกกำปั้นเล็กทุบลงเบาๆอย่างเขินอายเมื่อเอสพูดจาอนุญาตเชิงอ่อนโยนแล้วยังคำแทนตัวแบบนั้น โบว์รีบเปลี่ยนคำพูดใหม่ทันที “พี่แคปคะ นี่คุณเอสแฟนโบว์เองค่ะ”
ธารน้ำตกใสเย็น
ดอกไม้กลิ่นหอม
รวมถึงกังหันน้ำที่เป็นเอกลักษณ์ความสวยงามของที่นี่ไม่ได้ทำให้ความรู้สึกหดหู่ในหัวใจจืดจางลงได้ แคปบอกความรู้สึกตัวเองไม่ถูกเลยจริงๆ
เขาเพียงพยายามกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ
มันช่างยากลำบากจนต้องอาศัยน้ำขมๆของเหล้าเทกรอกลงไปเป็นตัวช่วย
เขาคล้ายคนโดนของหนักๆโยนทับลงที่อกแบบตูมเดียวจอด พอวางแก้วลงแคปปั้นรอยยิ้มแสนฝืดส่งให้กับคนที่น้องโบว์แนะนำว่าเป็นแฟนของเธอทันทีพร้อมกับนึกในใจว่าเขาควรจะใช้คำพูดอะไรถึงจะดูเหมาะสม
แต่ทว่าในตอนนั้นเองที่เสียงทุ้มเย็นชา
ชิงเอ่ยขึ้นก่อน “ยินดีที่ได้รู้จัก”
อ่าา..
คำพูดแรกหลังจากที่ห่างเหินกันไปนานถึงห้าปี
แคปมองลึกเข้าไปในดวงตาคมกริบคู่นั้น ไม่นึกไม่ฝันว่าจะต้องมาได้ยินอะไรแบบนี้
เขายังเพียรพยายามปั้นรอยยิ้มให้คงไว้ขณะที่คนพูดอย่างเอสดูเหมือนหางตาจะกระตุกยิบๆ
ที่มุมปากประดับรอยยิ้มเหยียดมองหน้าคนที่นั่งจ้องตาเขาอยู่จนแคปต้องกล้ำกลืนก้อนแข็งๆในคอลงไปอีกครั้งก่อนเอ่ยคำพูดเสียดสีทว่าแฝงซึ่งความเป็นจริงขึ้นมา
“ยินดีที่ได้รู้จัก..เช่นกันครับ
แฟน-น้อง-โบว์”
นับตั้งแต่วินาทีนั้น
สงครามเย็นก่อตัวขึ้นรอบๆทั้งสองคนที่นั่งใกล้กันแค่ชั่วฝ่ามือเดียว
โบว์ถูกเพื่อนๆแซวไม่หยุด เธอแก้มแดงคุยจ้ออย่างร่าเริง
คงมีเพียงแต่ปอที่รู้ว่าเอสกับแคปเคยอยู่ในฐานะอะไรกันมาก่อนและสองคนจะมีความกระอักกระอ่วนแค่ไหน
คนนึงเพื่อนสนิท
อีกคนเจ้านายเหนือหัว เขาทำได้แค่เพียงนั่งมองอยู่เงียบๆ
มองดูคนทั้งคู่ตีสีหน้าแน่นิ่งได้แนบเนียนเกินกว่าที่น้องโบว์หรือใครคนอื่นจะรู้ฐานะ...ที่เคยเป็น
“มึงโอเคนะ?”
ปอขยับเข้ามาถามเสียงเบาใส่
แคปหันไปมองหากแต่ไม่ได้พูดอะไรตอบ
ไอร้อนผ่าวแผ่ออกมาจากร่างกายของคนที่นั่งไหล่เกือบจะชิดติดกันกับเขา
เมื่อเหลือบไปมองสายตาสองคู่ประสานกันอยู่ชั่วเศษเสี้ยววินาทีก่อนที่เอสหันไปคุยอะไรสักอย่างกับน้องโบว์ ในขณะนั้นเองที่แคปขยับสายตาลงต่ำในหัวคิดปะติดปะต่อเรื่องราวระหว่างคนรักเก่าของเขากับน้องสาวคนเดียวของแบงค์
แคปไม่อยากจะเข้าข้างตัวเองนัก
แต่ไม่ว่าคิดสักเท่าไหร่เขาคิดไม่ออก
มีเหตุผลอะไรที่เอสต้องเลือกเข้าหาน้องโบว์แบบนี้
ทั้งที่ตัวเองมีคู่หมั้นคู่หมายเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว
เป็นเรื่องบังเอิญ? เขาไม่ได้โง่ขนาดนั้น
เป็นน้องสาวแบงค์?
เป็นน้องสาวคนสนิทของเขา?
คำพูดในวันเก่าๆของเอสลอยเข้ามาในหัว......
“เป็นไปไม่ได้..”
แคปเผลอพึมพำออกมาอย่างลืมตัว
เพียงแค่หวังว่าจะไม่มีใครได้ยินหากแต่เสี้ยวหน้าของคนข้าง ๆ
ที่ดูเหมือนกำลังแสยะยิ้มขึ้นเหลือบมองมาที่เขาเพียงครู่
ในมือแกร่งถือแก้วเหล้าเอาไว้แล้วเขย่ามันเบา ๆ
ทำให้เขาไม่แน่ใจนักเพราะดวงตาคมคู่นั้นไม่ได้หันมามองที่เขาอีก
“เปลี่ยนที่กับกูไหมมึง”
ปอเห็นสีหน้าแคปไม่ค่อยเข้าท่าเขาจึงขยับเข้าไปถามด้วยความเป็นห่วง
หากแต่คนถูกถามยังไม่ทันได้ตอบอะไรทั้งนั้น สายตาคมกริบจากเจ้านายของเขากลับตวัดสาดใส่แทบจะทันที
ปอรีบล่าถอยออกมาแทบไม่ทัน
เอสถึงค่อยเบนสายตาคมออกไปได้แล้วยกแก้วขึ้นจิบต่อแบบสบายๆ
ในตอนนั้นเองมีเพื่อนน้องโบว์มาสะกิดเรียกเอสให้ลุกออกไปทำอะไรสักอย่าง
แคปถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ไงล่ะ หายใจไม่ออกเรอะ” ปอเหล่ถามยิ้มๆ “กูว่าอากาศดีอยู่นะ
กลิ่นดินกลิ่นหญ้าก็หอมสะอาดชื่นใจ”
“เดี๋ยวเหอะมึง”
แคปหันมาทำตาดุใส่ ปอจึงค่อยยกมือขึ้นทำท่ายอมแพ้ เขายิ้มแห้งๆบอกแซวเล่น
แคปจึงชี้หน้ามันไป
ก่อนจะล้วงเอาโทรศัพท์มือถือที่กำลังสั่นเรียกเสียงค่อนข้างดังขึ้นมาคุยอะไรสักอย่างกับปลายสายส่งเสียงอือๆออๆ
พอกดวางก็บอกปอว่าแบงค์มันจวนจะเสร็จงานแล้ว ปิดเบรคสุดท้ายคงจะหนีออกมาที่นี่เลย
“มันจะมาจริงดิ”
“อืม
ก็งานน้องสาวมันนี่หว่า แล้วเดี๋ยวกูมีเรื่องจะคุยกับมึงด้วยนะ
งานจบแล้วคุยยาวแน่” ปอฟังแล้วผงะไปนิด
เขารีบยกมือยกไม้
“ถ้าเป็นเรื่องน้องโบว์
กูไม่รู้เรื่องนะเว้ย”
เพิ่งรู้เมื่อวานนี้จริง
ๆ สาบาน
“เดี๋ยวกูจะเค้นจากมึงนี่แหละ”
แคปย้ำชัดๆอีกรอบ ปอถึงกับทำหน้าบึ้ง “ก็บอกแล้วว่าไม่รู้เรื่อง”
แคปนิ่ง
หากแต่ใช้สายตาต่อว่าใส่ไอ้ปอเพื่อนรักแทน
รายนั้นต้องรีบหลบก่อนแสร้งมองไปที่อื่นอย่างหวาดๆ
กำลังจะพูดอะไรขึ้นมาอีกสักอย่างไฟบริเวณนั้นพลันดับมืดลง
เสียงเพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์ดังขึ้นจากบนเวที
ดนตรีสดวงเล็กบรรเลงเพลงพร้อมบรรดาเพื่อนๆของเจ้าของงานวันเกิด
น้องโบว์ลุกขึ้นหันไปสบตากับคนรักของเธอที่ถือเค้กซึ่งถูกจุดเทียนแฟนซีเอาไว้อย่างสวยงามวางลงให้
มีการบันทึกภาพจากเพื่อนฝูงของเธออย่างเป็นกันเอง
หลายช็อตต่อเนื่องโดยมีน้องโบว์เจ้าของงานนั่งแย้มยิ้มอยู่ในวงแขนของแฟนหนุ่มรูปหล่อ
ใบหน้าเล็กน่ารักภายใต้แสงเทียนสีส้มจากเค้กทั้งสองแบบส่องสว่างดูแล้วงดงามสมวัย
หากแต่แคปไม่อยากมองดูภาพตรงหน้าสักนิด
เจ็บแสบเหมือนโดนสะกิดแผลตกสะเก็ดที่กำลังจะแห้งสนิทกลับมาให้ช้ำเลือดช้ำหนองได้อีกครั้ง
เขาเลือกที่จะมองไปทางเวทีแทน
ต้นไม้ใบหญ้าก้อนกรวดแม่งอะไรก็น่าดูกว่าทั้งนั้นตอนนี้ กว่าทุกอย่างจะผ่านพ้นไปกินเวลาไปชั่วอึดใจ
แสงของโคมไฟก็ถูกจุดขึ้นมาเช่นเดิม เพื่อนสนิทของเธอช่วยกันตักเค้กแจก
“นี่ของพี่แคปค่ะ”
แคปปั้นหน้ายิ้มรับมาอย่างขอบคุณ
จะรู้สึกดีกว่านี้ถ้ามันจะไม่ใช่ชิ้นที่ได้รองจากไอ้คนข้าง ๆ
แน่นอนว่าเธอให้เอสคนแรก
เสียงค่อนแคะในลำคอดังขึ้นมาอีก
ไม่ต้องหันดูก็รู้ว่าเป็นใคร แคปโคตรอยากจะเดินออกจากงานนี้ให้ไวเป็นที่สุด
“ขอบคุณครับ”
เขารับเค้กชิ้นเล็กมา
“ชิ้นนี้ของพี่ปอค่ะ
พี่ปอต้องทานเยอะๆนะคะ แล้วก็ห้ามกลับก่อนด้วย ต้องพาพี่แคปรอพี่แบงค์ก่อนนะ”
ปอยิ้มแห้งรับขนมเค้กจากเธอ
บรรยากาศกระอักกระอ่วนยังคงระอุอยู่รอบกายอย่างช่วยไม่ได้
โชคดีที่เสียงโทรศัพท์ของแคปดังและสั่นขึ้นทำลายรังสีถมึงทึงที่เจ้านายเขาเป็นคนแผ่ขยายออกมา ปอเงยหน้าถามเมื่อแคปลุกขึ้นจะเดินออกจากโต๊ะไป
เขาเห็นเอสแอบมองมาด้วย
“รับโทรศัพท์แปป
เดี๋ยวกูมา” แคปเดินเลี่ยงออกมายืนคุยอยู่แถวๆกังหันน้ำขนาดใหญ่ของร้านที่หมุนอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งเป็นโซนทางด้านข้างของร้านที่คนไม่พุกพล่านมากนัก
เป็นเจ้าอาร์มันว่างหนักไม่มีอะไรทำเลยโทรมากวน
“ถ้าว่างมากก็นอน
แต่ถ้าไม่ง่วงนอนก็ไปหากระดูกมาแทะ” แคปรับปุ๊ปก็โปรยถ้อยคำอันศักดิ์สิทธิ์ปั๊ป
(กูเป็นหมาเรอะไอ้แคป
ไปอารมณ์เสียมาจากไหนวะ กูคิดถึงมึงนี่โทรไปไม่ได้อ่อ)
“ได้ยินเสียงมึงแล้วกูยิ่งปวดหัว
อยากกระทืบคนอีกด้วย”
(อะไรเนี่ยแคป
มึงแม่งกูร้องไห้ดีกว่า) เสียงเจ้าอาร์ง้องแง๊งขึ้นมาแคปถึงยิ้มขึ้นได้สักที “เดี๋ยวกลับไปจะทำให้ร้องไห้เลยจริงๆ”
(ไอ้คนใจร้าย)
“โทรมาไร้สาระ
กูจะวางแล้ว”
(เฮ้ยเดี๋ยว!)
“มีอะไรอีก”
(เปล่า ก็แค่ได้ข่าวว่ามึงเจอมันที่งานด้วยเรอะ
มึงยังสบายดีอยู่ป่ะวะ) เพราะกลัวแคปจะวางสายไปจริงๆ
อาร์รัวคำถามเด็ดออกมาอย่างเร็วเลย
“สวะอาร์
ข่าวเร็วแบบนี้กูควรให้รางวัลใครดี ไอ้หมาปอหรือว่ามึง
แล้วไอ้คำถามของมึงหมายความว่ายังไง)
(โถ....แคป
เทคโนโลยีมันก้าวไปถึงไหนแล้ว)
“พวกมึงสองตัวแม่ง”
กวนสัส
(อย่าทำหน้าบึ้งดิ)
ฟายยย
“กูเกลียดพวกมึงจริงๆ” อย่ามาทำเป็นรู้ทันหน่อยเลย มึงจะเห็นหน้ากูได้ยังไง
รู้เรอะว่ากูทำหน้าแบบไหนอยู่
(เอาน่า
ไอ้ปอมันไม่รู้เรื่องนะเว้ย มันส่งข้อความมาบอกกูเมื่อกี้เอง มึงต้องเห็นใจมันสิวะ
ว่าแต่..มึงโอเคใช่ไหม)
“เหอะ...”
แคปนึกอยากจะจับไอ้ตัวดีขี้ฟ้องมาบีบคอให้ตายไปสักยก
(ไอ้คาปู
พรุ่งนี้เจอกัน มึงโอเคใช่ไหมลองแสดงพลังของมึงให้กูรู้หน่อยซิ นี่กูเป็นห่วงนะ) ทุกครั้งที่อาร์เรียกเขาว่าคาปูนั่นคือต้องการดึงสติ
แคปรู้แต่แกล้งเงียบ
“...........”
(แคป
ไม่เอาดิวะ)
“...........”
(กูนับถึงสาม
มึงด่าออกมา) มึงจะได้สบายใจ
“...........”
(แคป)
“เดี่ยวกูจะกลับไปจัดการมึง
ไอ้อ่อนนนน! กล้วยยยยย!!!” ประโยคหลังแคปตะโกนใส่อย่างดัง
ทำเอาอาร์หัวเราะพอใจที่แคปด่าออกมาได้
(ว๊าวพี่แคปด่าออกมาได้ขนาดนี้ผมนี่เตรียมถุงยางเลยครับ)
“ถุงยางนั่นเด็กๆฮะ
อย่างมึงกูแจกสดเลยฮะน้องอาร์ฮะ อยากได้บัลลังก์ทองไหมน้อง”
เสียงเจ้าอาร์หัวเราะลั่นออกมาจากปลายสาย
หลังจากโดนด่าต่อไปอีกนิดรายนั้นก็บอกอยากจะวางแล้วหูชาบลาๆๆ
แคปจึงกดตัดสายวางไปอย่างหงุดหงิดแกมหัวเสีย
เขาถอนหายใจก่อนมองดูเวลาพลางนึกไปว่าเดี๋ยวเจ้าแบงค์มาคงต้องขอตัวกลับกันเลย
อยู่นานนักหายใจไม่ค่อยออกอย่างที่ปอมันถามจริงอย่างว่า
พลั่ก!!!
พอหันกลับมาตัวทั้งตัวกระแทกเข้ากับแผงอกของใครสักคนแรงจนเขาเซแถ่ดๆ
“ระวังหน่อย” เสียงทุ้มของเจ้าของมือใหญ่ที่คว้าต้นแขนเขาเอาไว้เอ่ยขึ้นเรียบๆ
แคปกำลังจะเอ่ยปากขอบคุณพอเห็นว่าเป็นใครแค่นั้นแหละ
ทุกอย่างกลับหยุดชะงักไว้แค่ตรงนั้น
เมื่อสายตาสองคู่ประสานกันเพียงชั่วแวปเดียว
แคปสาบานได้ว่าเขามองเห็นความรู้สึกน้อยอกน้อยใจประทุอยู่ในสายตาคู่นั้น
แต่นั่นก็แค่แวปเดียว
เพราะหลังจากนั้นมันก็ถูกเกลื่อนไว้ด้วยนัยน์ตาที่เย็นชาราวกับหุบเหวดำมืด
ลึกจนเกินจะหยั่งเช่นเดิม ฝ่ามือใหญ่ปล่อยแขนเขาออกแล้วและเอสไม่ได้พูดอะไรต่อ
ร่างสูงใหญ่เพียงแค่เบี่ยงตัวออกจากตรงจุดนั้น
กำลังจะเดินมุ่งไปที่ทางเดินแคบๆก่อนถึงห้องน้ำ
เรื่องทุกอย่างคงจะจบอยู่แค่นั้นหากว่าไม่ใช่เป็นเขาเองที่กลับทำเรื่องไม่คาดฝันเมื่อแคปก้าวยาวๆเพียวแค่สองก้าวแล้วฉุดรั้งเอาแขนอีกคนดึงกลับมา
“เดี๋ยว!”
แม้แต่ตัวเองยังตกใจ...
“มีอะไร”
คนถูกดึงหันมาถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาไร้ความรู้สึก
ใบหน้าคมเข้มเรียบนิ่งราวกับว่ามันก็แค่หันมาถามใครสักคน คนที่บังเอิญรู้จัก
ไม่ก็คนที่เคยเห็นหน้ากันห่าง ๆ อะไรเทือกนั้น ซึ่งทำให้หัวใจคนรั้งกระตุกวูบ
จุกจนเจ็บทว่าแคปสังเกต..ในแววตาคมคู่นั้นนิ่งสนิท
ราวกับว่าความรู้สึกน้อยอกน้อยใจที่เขาเห็นเมื่อสักครู่เพียงแวปเดียวนั้น
ทุกอย่างเป็นภาพลวงตา
“ถ้าไม่มีอะไรแล้วคุณจับผมทำไม”
คนพูดไล่สายตาลงมองมือของแคปที่ยังรั้งท่อนแขนเขาเอาไว้ ใช้สายตาบอกให้รู้กลายๆว่าให้ปล่อย
สรรพนามที่ห่างเหินทำเอาแคปถึงกับชะงักไปชั่วครู่
รีบปล่อยมือออกแทบไม่ทัน
เขาชั่งใจอยู่ชั่วขณะแต่ในที่สุดก็ตัดสินใจพูดบางอย่างออกมา “ผมมีเรื่องอยากจะถาม ขอรบกวนเวลาสักครู่”
เราสองคนห่างกันเกินจะเรียกความสนิทอย่างวันเก่าๆคืนมาได้อีกต่อไปแล้ว
พูดแบบนี้คิดว่าน่าจะเหมาะสม
“ถามใคร?
ผมเหรอ”
“ใช่
ถามคุณ” คนตอบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าน้ำเสียงตัวเองแผ่วจางลงแค่ไหน
ทว่าเขาก็กลับมาเกลื่อนความรู้สึกของตัวเองได้ดี
เมื่อคู่สนทนายังทำสีหน้าเรียบเฉยได้
“ว่ามาสิ”
แคปจ้องมองคนที่พูดกลับมาแบบห้วนๆ
น้ำเสียงไร้เยื่อใยประหนึ่งคนไม่เคยรู้จักกันมาเลย
เขามองดูอีกฝ่ายให้เต็มตาหลังจากที่ไม่เคยได้พบใกล้ๆอย่างนี้เลยแม้สักครั้งในรอบห้าปีเต็มที่ผ่านมา
รู้ว่าเป็นตัวเองทั้งนั้นที่ปล่อยมือ
รู้ว่าเป็นตัวเองทั้งนั้นที่เลือกทอดทิ้งความรักเมื่อวันวาน
เขาเองที่ปล่อยมือจากคนๆนี้เพื่อเลือกยืนเคียงข้างครอบครัว ในตอนนั้นเขายังเด็กนัก
อ่อนแอและไม่มีความกล้าหาญที่จะต่อสู้เพื่อรัก เขาจึงต้องสูญเสียคนตรงหน้าไป
ทว่าวันนี้ไม่เหมือนเมื่อครั้งวันวาน
ความกล้าหาญของเขาเติบโตขึ้นถึงขั้นแอบคิดไปว่าถ้าหากเราสองคนได้กลับมารักกันอีกสักครั้ง
เขาจะยอมแลกทุกสิ่งทุกอย่างที่มีเพื่อให้ความรักของเรานั้นคงอยู่ตลอดไปหรือไม่
แต่ก็อย่างว่า...ทุกอย่างต้องเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา หัวใจของคนเราก็เช่นกัน
โดยเฉพาะหัวใจของคนตรงหน้าที่แสดงให้เห็นแล้วว่ามันเปลี่ยนไปหมดแล้วจริงๆ
แคปแค่นยิ้มสมเพชให้กับตัวเอง
คนโง่ที่สมควรแล้วกับการต้องเสียใจและเจ็บเจียนตายเมื่อเห็นเขามีใครคนใหม่ที่กลายเป็นเจ้าของหัวใจดวงนั้น ผ่านมาจนถึงตอนนี้คำว่าเสียใจ...ก็คงไม่เพียงพอให้ใครบางคนหวนกลับคืน
“ผมอยากคุยกับคุณเรื่องของโบว์”
แคปถอนหายใจก่อนพูดออกมา คนตรงหน้าเบนสายตาเย็นชามอง “ทำไมล่ะ”
“คุณรักชอบน้องสาวผมจริงหรือ?”
ถามเองก็ยังรู้สึกเสียดๆ
แอบหวังว่าจะเห็นคำตอบบางอย่างจากดวงตาคมคู่นั้นบ้าง หากแต่มันก็ยังเย็นชาราวกับคนไร้ความรู้สึกอยู่เช่นเดิม
“ผมรู้มาว่าคุณมีว่าที่คู่หมั้นอยู่แล้ว”
“แล้วยังไง”
เคยสนใจด้วยเหรอ
“ถ้าคุณไม่คิดจะจริงจังกับน้องผม
ก็รบกวนทำเรื่องราวต่างๆให้ชัดเจนด้วย”
“นายมีน้องสาวตั้งแต่เมื่อไหร่?”
เสียงทุ้มสวนวูบขึ้นเมื่อดวงตาคมกริบหรี่ลงแล้วล็อคนัยตาอีกคนไว้ราวกับมีพลังดึงดูดมหาศาล
ความรู้สึกน้อยใจท่วมท้นขึ้นมาจนจุก
เมื่อเขาได้ยินแคปเรียกเต็มปากว่าน้องสาวแบบนั้น
คงสนิทกับพี่ชายเธอมากน่าดู
“เท่าที่รู้
เธอไม่ได้ใช้นามสกุลเดียวกับนายนี่”
“คุณรู้อยู่แล้วว่าโบว์เป็นใคร
ผมแค่อยากจะบอกคุณไว้ว่าถ้าหากคุณรักชอบเธอจริงๆก็รบกวนทำทุกอย่างให้มันชัดเจน”
“แล้วมันไม่ชัดเจนยังไง?
นี่ผมก็อนุญาตให้เธอใช้สถานะแฟนแล้วยังจะเอาแบบไหนอีก”
“แต่คุณมีคู่หมั้นแล้ว ได้บอกเธอเรื่องนี้หรือเปล่า”
“อยากให้บอกไหมล่ะ?”
เอสก้าวเข้าหา เขาเบี่ยงตัวบังคนด้านนอกกักแคปไว้แล้วตั้งใจพูดให้ฟังแบบชัดๆ
“ผมทำให้ได้นะ จะเอาเป็นของขวัญวันเกิดให้เธอคืนนี้เลยก็ยังได้”
“มึงเปลี่ยนไปเยอะนะเอส”
แคปหมดความอดทนโพล่งคำพูดที่ไม่สมควรจะพูดออกมาจนได้ ขณะที่คนฟังเพียงแค่เลิกคิ้วขึ้นเท่านั้นราวกับคำพูดว่าไม่อนุญาต
แคปจึงส่ายหน้าก่อนจำใจเปลี่ยนคำพูดตนเองเสียใหม่ “คุณเปลี่ยนไปเยอะเลยนะ”
ได้ยินแต่เสียงอีกฝ่ายแค่นแค้นเสียงออกมาจากลำคอก่อนจะเอ่ยคำพูดบางคำออกมาแผ่วเบาทว่าแคปได้ยินอย่างชัดเจน “ผมไม่เคยเปลี่ยนหรอก” ไม่เหมือนคนบางคน “แต่ก็ไม่แน่
คืนนี้อาจจะเปลี่ยนไปแล้วจริงๆก็ได้”
คนฟังยืนขบริมฝีปากแน่นจนสั่น
ขอบตาร้อนผ่าวพาลให้นึกอยากจะกระชากมันเข้ามาถามแล้วฟังคำตอบตรงไปตรงมาแทนที่จะมาพูดจายอกย้อนใส่กันแบบนี้
แล้วเขาก็ทนไม่ไหวจริงๆกระชากคอเสื้ออีกฝ่ายเข้ามาหาตัวอย่างแรง
“มึงต้องการอะไรห๊ะ!” อย่ามากดดันกูแบบนี้
“เรียกผมไว้เองแล้วมาถามว่าผมต้องการอะไร
เข้าใจยากไปหน่อยนะ” เอสรีบตะปบฝ่ามือที่ตรงเข้าจู่โจมเขาไว้ได้
มือใหญ่กำมือเล็กของแคปไว้แน่น
แคปกัดฟันกรอด “เลิกปั้นหน้าพูดจากวนตีนกับกูสักทีไอ้สัส!
มึงบอกมาเลยดีกว่าทำแบบนี้ไปทำไมห๊ะ! มึงรู้สถานะของตัวเองดี
มึงมีคู่หมั้นแล้วยังเสือกมาจีบน้องกู บอกโบว์ให้เรียกมึงว่าแฟน มึงทำไปเพื่ออะไร!!”
“จุ๊ๆ
ใจเย็นๆสิ” เอสว่ายียวนดึงมือแคปให้หลุดออกได้นิดหน่อยเท่านั้น
เพราะอีกฝ่ายมีหรือจะยอม แคปมันไม่ยอมปล่อยซ้ำยังจับกระชับไว้แน่นกว่าเดิมพร้อมทั้งจ้องหน้าคนพูดนิ่ง
ๆ จ้องลึกลงไปในดวงตาคมกริบคู่นั้นก่อนพูดลอดไรฟันออกมา “มึงกำลังคิดจะทำอะไร”
“หึ ใจร้อนไม่เปลี่ยน”
“กู-ไม่-เคย-เปลี่ยน” เน้นๆ ย้ำลงไปชัดๆ
คำว่าไม่เคยเปลี่ยนของเขานั่นคือไม่เคยเปลี่ยนจริง ๆ
ไม่มีความนัยแฝงอะไรอยู่ทั้งนั้น
รอยยิ้มลี้ลับถูกจุดขึ้นที่มุมปากหยักชั่วแวปเดียวก่อนที่มือใหญ่จะกระชากฝ่ามือแคปดึงให้หลุดออกจากคอเสื้อตัวเองเรียบร้อย
“คุณจะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยนยังไงก็คงไม่เกี่ยวอะไรกับผมหรอก
หมดธุระที่จะพูดหรือยัง”
เมื่อคนพูดตีสีหน้านิ่ง
ๆ ความเงียบจึงแผ่เข้าปกคลุมทั้งสองคนอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้
แคปไล่สายตามองไปทางฝั่งด้านนอกเห็นว่าโบว์คงยังคงนั่งอยู่อย่างเดิมโดยที่ปอขยับเข้าไปนั่งคุยด้วยแทน
เขาจึงเบนสายตากลับมาที่คนตรงหน้าอีกครั้งก่อนจะตัดสินใจถามสิ่งที่คาใจที่สุดออกมา
“กอดไปแล้วหรือยัง?”
เพียงแค่ได้ยินคำถาม
เอสถึงกับหันหน้าไปอีกทาง ชั่วอึดใจเสียงทุ้มพร่าต่ำจึงถามออกมาเรียบๆ
“กอดใคร?”
ผู้หญิงต้องห้ามเพียงคนเดียวถ้าไม่นับคนในครอบครัว
ที่เขาจะกอดไม่ได้เด็ดขาด ทั้งที่รู้ว่านี่จะเป็นเดิมพันครั้งสุดท้ายแล้วเขาก็ยังเลือกที่จะทำ
“มึงกอดน้องโบว์ไปแล้วหรือยัง!”
“ถ้ากอดไปแล้วล่ะ”
เอสตั้งใจหันหน้ากลับมาตอบ
เจ็บแทบทรุดเมื่อมองเห็นแววตาผิดหวังจนถึงที่สุดฉายชัดออกมาจากดวงตาคู่นั้นของแคปจนคนมองเองก็เจ็บหนักไม่แพ้กัน
กระบอกตาสองคู่ร้อนผ่าว
หากแต่เป็นเอสที่รีบเกลื่อนสายตาตัวเองไว้ขณะที่แคปเลือกที่จะถอยสายตาตัวเองลงมาแล้วส่ายหน้าช้าๆ ความรู้สึกเหมือนถูกคนโยนหินก้อนใหญ่มากทับลงมาใส่
ทั้งหนักและจุกเพียงไหนเขาเพิ่งตระหนักถึงความรู้สึกจริงๆก็วันนี้
“คิดว่ากอดไปแล้วจริงๆหรือไง”
“ไอ้สัส!! เรื่องแบบนี้อย่ามาล้อเล่นนะ
กูไม่ตลกด้วยมึงจะเอายังไงกันแน่ห๊ะ กอดหรือยังไม่กอดพูดออกมาให้มันจริงจัง” แทบจะวิ่งเข้าใส่เมื่อฟังอีกฝ่ายพูดจาอะไรแบบนั้น
“เหอะ
จริงจังทำไมวะ”
“เรื่องของกู!
มึงตอบกูมาให้จริงแค่นั้นก็พอ”
คราวนี้กลับเป็นเอสที่ขบริมฝีปากแน่น
หางตากระตุกจนเส้นเลือดปูดโปนออกมา เขาส่งเสียงเย็นเฉียบตอบ
“กะจะกอดคืนนี้แหละ”
“มึงชั่วมาก”
“ไม่เคยบอกว่าตัวเองดีสักที”
“กูขอห้าม!
ไม่ให้มึงทำอะไรน้อง” แคปสวนขึ้นมาหากแต่..ใบหน้าคมคายส่ายปฏิเสธอย่างช้าๆ
พลางแค่นเสียงสมเพชใส่คนสั่งอย่างคั่งแค้น “คุณมีสิทธิ์อะไรล่ะ
บอกสิทธิของคุณมาก่อนสิ บอกเหตุผลดีๆของคุณให้ผมฟัง” แคปถึงกับอึ้งไปเมื่อได้ยินแบบนั้น
เขาจึงถือโอกาสพูดต่อ “สิทธิอะไรก็ไม่มี ถึงแบบนั้นคิดว่าจะห้ามผมได้หรือยังไง”
“ถ้ามึงรักโบว์จริง
มึงก็ต้องไปจบกับคู่หมั้นคู่หมายมึงให้เรียบร้อย
จบกับเขาแล้วมึงจะมาขอน้องกูแต่งงานหรือจะทำบ้าบออะไรกันมึงก็มีสิทธิ์แล้วทั้งนั้น!”
บ้าเอ๊ย!! ไม่รู้หรอกว่านั่นเป็นคำพูดประชดพอให้มันจบๆไปหรืออย่างไร
แต่มุมปากหยักของคนฟังในตอนนี้กลับเหยียดรอยยิ้มยียวนขึ้น
และนั่นทำเอาคนมองอย่างแคปนึกอยากกระชากตัวมันมาอัดให้หนักๆสักที
“เสียใจด้วยนะ
นี่เป็นเรื่องระหว่างผมกับโบว์ จำได้ว่าคุณไม่เห็นจะเกี่ยวข้องตรงไหนเลย หลีกทาง!”
ว่าจบใช้แขนกันแคปออกจากทางได้ ขายาวๆก้าวแค่ครั้งเดียวเกือบจะพ้นไปได้อยู่แล้ว
ถ้าไม่เพราะโดนฉุดรั้งแขนไว้อีกครั้ง
“มึงกำลังจะทำลายชีวิตผู้หญิงดีๆคนนึงเลยนะ
เห็นแก่กูได้ไหม”
“ทำลายอะไรกัน เรื่องที่วินๆกันทั้งสองฝ่ายเขาไม่เรียกว่าทำลายหรอกนะ
อย่าบอกว่าคุณน่ะอ่อนถึงขนาดดูไม่รู้ว่าผู้หญิงเดี๋ยวนี้ซิงหรือไม่ซิง
มาขวางความสุขที่น้องเขาร่ำร้องอยากจะได้ระวังโดนเกลียดไม่รู้ด้วยนะคุณพี่ชาย”
“น้องกูไม่ใช่คนแบบนั้น”
“เรื่องบนเตียงไม่เข้าใครออกใครหรอกน่า ก็น่าจะรู้ความสามารถผมอยู่แล้ว”
“หุบปากชั่วๆของมึงเอาไว้
และกูขอสั่งไม่ให้มึงยุ่งกับน้องกูอีก” หึ
จำไม่เห็นได้เมื่อห้าปีที่แล้วเราสองคนจบกันแบบจะฆ่าแกงกันตายอย่างงั้นเหรอวะ
ทำไมมึงต้องมาทำท่าทำทางเหมือนแค้นกูมากขนาดนี้ พูดจาแม่งกดดันกูเชี่ยๆเลย
“หึ...”
“กูจะไม่พูดเรื่องนี้กับมึงอีก
ถือว่าพูดจบไปแล้วและมึงต้องทำตามให้ได้ด้วย”
“ไม่ทำ!”
เอสตอบมาแบบมึนๆ เขาจำเป็นต้องทำตามหรือยังไง
“กูจะทำตามใจตัวเอง และกูจะทำในสิ่งที่กูคิดว่าอยากจะทำ
ที่สำคัญคืนนี้มึงห้ามพวกกูไม่ได้”
“........”
เอส
“นอกเสียจากว่า....”
“อ่ะ แดกนี่เข้าไปเยอะๆ” พอกลับมานั่งแหมะลงที่โต๊ะ
ปอรู้หน้าที่รีบส่งแก้วเหล้าเข้มๆให้เพื่อนรักทันที
แคปถอนหายใจก่อนเหลือบมองมันด้วยความหน่าย เขารับเอามายกกรอกใส่คอรวดเดียวจบ
น้ำเหล้าขมเฝื่อนในปากไม่ได้สะท้านหัวใจเขาเลยแม้แต่น้อย
หากแต่เป็นอย่างอื่นคงจะถูกต้องมากกว่า ปอจัดการชงให้ใหม่อีกแก้ว
ในตอนนั้นเองที่เอสเดินกลับมาแทรกตัวนั่งลงที่เดิมแล้ว
น้องโบว์รีบยื่นแก้วเครื่องดื่มให้คนรักของเธอทันที
บรรยากาศสบายๆกับดนตรีจังหวะเบาช่วงดึกแบบนี้
มีสายลมบางเบาพัดโกรกเอากลิ่นหอมของดอกลีลาวดีสีขาวอมเหลืองที่ปลูกอยู่รอบธารน้ำตกใสเย็นกำจายไปทั่วทั้งบริเวณ
เพื่อนฝูงเจ้าของงานอย่างน้องโบว์ยังคงคุยกันอย่างร่าเริง
เธอหันมาส่งยิ้มให้เพื่อนสนิทของพี่ชายและตักอาหารส่งให้เขาด้วย
“พี่แคปทานเยอะๆนะคะ”
“ขอบคุณครับโบว์”
แคปบอกขอบคุณไปเบา ๆ เห็นในความพยายามเพราะเธอถึงขนาดตักข้ามจานของเอสมาเลย
ถึงเขาจะมีสีหน้าลำบากใจเพียงใดแต่ก็ต้องเกลื่อนมันไว้ให้มิด
“พี่แคปต้องทานเยอะๆนะ
เดี๋ยวพี่แบงค์มาแล้วโบว์จะโดนด่าว่าไม่ดูแลพี่แคปให้ดี”
ทั้งแคปทั้งปอแทบจะพ่นเหล้าในปากย้อนออกมา
หากแต่ยังคงรีบกลืนลงคอให้เร็วที่สุดไว้ก่อน ได้ยินเสียงค่อนแคะจากไอ้ตัวข้าง
ๆ
“พี่ชายโบว์นี่ท่าทางจะห่วงเพื่อนคนนี้มากไปหน่อยนะครับ”
“ทั้งห่วงทั้งหวงเลยล่ะค่ะคุณเอส
กับพี่แคปน่ะบางทีโบว์ยังแอบรู้สึกเลยว่าพี่แบงค์ให้ความสำคัญมากกว่าโบว์เสียอีก”
ปอถึงกับกระแอมไอโขลกๆขณะที่แคปหน้าเจื่อนลงไปได้อีก
“โบว์ครับ
พอเถอะ” แคปหันไปมองคนที่แค่นเสียงเหอะในคอก่อนที่มันจะยกเหล้าเทรวดเดียวเข้าปาก
เอสตวัดสายตาหันมามองคนข้างๆเขียวอื๋อทำเอาแคปนึกหวาดๆขึ้นมามากเหมือนกัน
อะไรวะไม่เจอห้าปีสายตาขี้งอนแม่งมาได้ยังไงกัน...มันไปฝึกมาจากที่ไหน แล้วที่สำคัญ
มันจะมาทำหน้าทำตางอนเขาหาพระแสงมึงเหรอ
“ถ้ามึงจ้องมากๆกูจะเอาตะเกียบจิ้มตามึงให้บอดเลย”
แคปคีบมะเขือเทศชิ้นโตในจานสลัดรวมขึ้นมาแล้วยัดเข้าปากตัวเองทั้งเคี้ยวทั้งพูด
ทำท่าว่าพูดไปคนเดียว ไม่รู้ว่าใครมันจะได้ยินก็ช่าง
“ทุกวันนี้ก็บอดจนมองไม่เห็นเหี้ยไรอยู่แล้ว”
เอสเขย่าแก้วเหล้าในมือแล้วพึมพำโต้ออกมา นี่ก็ทำท่าว่าพูดไปคนเดียวเช่นกัน
บรรยากาศบ้าๆแบบนั้นดำเนินต่อไปท่ามกลางเสียงเสียดสีประชดประชันใส่กัน
ทว่าไม่รู้ทำไมปอถึงค่อยรู้สึกว่า
หัวใจที่แห้งแล้งของเขาชุ่มฉ่ำขึ้นมาราวกับได้สายน้ำเย็นๆของฤดูใบไม้ผลิสาดใส่ทั้งกะละมัง
เผลออมยิ้มนั่งชิลแอบมองสองคนที่มันนั่งค่อนขอดกันอยู่ดีๆสักพักกลับมีเรื่องขึ้นมาอีก
เมื่อเสียงโทรศัพท์แคปดังขึ้น
เขาเห็นหน้าจอชัดเจนว่าใครคือคนที่โทรมา
“ตรงเข้ามาเลยกูอยู่ด้านในขวาสุดของเวที
โต๊ะยาวๆนั่นแหละ”
แคปหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาพูดใส่แค่นั้นก่อนจะกดวางสายไป
“ไอ้แบงค์?”
ปอหันมาถาม แคปพยักหน้าบอกใช่
เขาคีบขนมปังสลัดชิ้นเล็กๆเข้าปากก่อนมองที่ปอแล้วเลิกคิ้วถามว่าจะเอาไหม
ไม่รอให้ตอบแคปคีบวางใส่จานแล้วชี้บอกให้กินๆลงไปอย่าถามมากอีก
“ทำไงล่ะทีนี้”
ปอกินแล้วถาม แคปเลิกคิ้ว “ทำไม”
“ก็เจ้านายกูไง
คงไม่เกิดเรื่องใช่ไหมล่ะ” ปอพูดเสียงเบาๆ พยักเพยิดไปทางเอส
แน่นอนแบงค์ไม่เคยรู้ว่าเจ้านายเขามีคู่หมั้นอยู่แล้ว แต่เรื่องที่เขาห่วงก็คือ
ถ้าแบงค์มันรู้ว่าน้องสาวตัวเองคบหาอยู่กับเอสแล้วมันจะทำหน้าตายังไง
“ถ้าเกิดเรื่องมึงก็จัดการสิ
มึงเป็นถึงมือขวาคนที่สองของรัชชาไม่ใช่หรือไง” มึงเก่งนะกูรู้
“ไอ้สัสแคป
กูจะจัดการมึงนี่แหละคนแรกเลย”
ถ้าไม่ใช่เพราะมึงเจ้านายกูจะทำเรื่องยุ่งยากแบบนี้เพื่ออะไรกันล่ะวะ
อย่านึกว่าเขาจะไม่รู้เพียงแต่มันพูดไม่ได้โว๊ย
แคปนั่งขำเมื่อเห็นเพื่อนตัวเองนั่งกัดฟันกรอดๆ
เขม้นมองไปแถวทางเข้าสะพานน้ำตก คงลุ้นอยู่ว่าแบงค์มันจะเข้ามาตอนไหน
“มาแล้วไอ้เหี้ย”
ปอสะกิดแคปยิกๆ
“พี่แบงค์!”
เสียงน้องโบว์ดังขึ้นอย่างดีใจ
พร้อมๆกับเสียงทุ้มของปอที่พึมพำขึ้นอย่างไม่อยากให้คนๆนี้ปรากฏตัวเลยสักนิด
น้องสาวตัวเล็กวิ่งเข้าไปดึงแขนพี่ชายให้เข้ามานั่งที่โต๊ะไวๆ
ทว่า...
“เอาแล้วไงไอ้สัส”
ปอกำลังคิดว่าจะลุกขึ้นดีไหมเมื่อเขาเห็นแบงค์หยุดชะงักอยู่แค่ตรงหัวโต๊ะ
ดวงตาคมกริบจ้องเขม็งอยู่ที่ใครบางคน
“พี่แบงค์เดินสิ
หยุดทำไมล่ะเอ้า”
เธอดันตัวพี่ชายให้มาหยุดอยู่ที่ด้านหลังใครบางคนที่แบงค์กำลังจดจ้องอยู่
“พี่แบงค์นี่คุณเอส เอ่อ..เขาเป็นแฟนโบว์เองล่ะ”
เสียงพูดอย่างเขินอายของน้องสาวไม่ได้เข้าหูแบงค์เท่ากับคำพูดที่น้องโบว์บอกออกมาว่าใครคือแฟนของเธอ
แบงค์ถึงกับยืนอึ้งจัด ใบหน้าคมเย็นเฉียบไปหมด ในตอนที่เอสลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากัน
ปอรีบขยับลุกอย่างรู้หน้าที่
เปล่า...เขาไม่ได้จะเข้าไปห้ามเจ้านายเขา
หากแต่ตั้งใจเดินเข้าไปจับแขนแบงค์ไว้แทน เพราะเห็นแล้วว่าแคปมันกำลังจะลุกขึ้น
แล้วนึกว่าใครกันล่ะที่มันจะเลือกยืนอยู่ข้างๆ
ถึงตอนนั้นเขาสิบคนก็คงเอานายเขาไม่อยู่ ถ้าแคปเดินไปยืนข้างแบงค์จริงๆ
“ใจเย็นมึง”
ปอพูดให้เบาที่สุด กะให้แค่คนฟังเท่านั้นที่ได้ยิน แบงค์ถึงได้ละสายตาออกมาได้
โบว์เองก็คงรู้สึกว่าผิดสังเกต หากแต่เธอคิดไปว่าอาจจะเป็นเพราะพี่ชายคงหวง
จึงได้เขย่งเท้ากระซิบกระซาบอะไรสักอย่างกับแบงค์อย่างไม่รู้อะไรเลย
“พี่แบงค์อย่าทำหน้ายักษ์สิ คุณเอสเขาเป็นถึงผู้บริหารของรัชชาเลยนะพี่รู้รึเปล่า
เขาเป็นเจ้าของบริษัทที่พ่อของเราทำงานอยู่นะ
เขาเป็นลูกชายคนเดียวของท่านเจ้าสัวรัชชาด้วยล่ะ โบว์โชคดีชะมัดเลยพี่”
ความรู้สึกพลุ่งพล่านที่ยากจะอธิบายเกิดขึ้นในอก
เหตุการณ์ที่อยู่นอกเหนือความคาดคิดดันเกิดขึ้นต่อหน้า เขาเพียงพยายามระงับสติให้นิ่ง
เมื่อมองลงที่แคปก็เห็นอีกฝ่ายเพียงแค่นั่งนิ่งๆแล้วยกแก้วเหล้าในมือดื่มไปเรื่อยๆแค่นั้น
“ปรเมท
รินเหล้าให้กู” เสียงเอสดังขึ้นเย็นเฉียบ
ปอหน้าเจื่อนจำใจขยับเข้าไปยืนข้างเอสแล้วรินเหล้าส่งให้แทน
ขณะที่น้องโบว์เริ่มงงๆ ไม่เข้าใจว่าเธอแนะนำพี่ชายกับเอสให้รู้จักกันทำไมสองคนถึงได้ยืนจ้องกันอยู่แบบนี้
“พี่แบงค์”
เธอเขย่าแขนแบงค์อีกครั้ง บอกให้รู้ว่าควรทักทายแฟนของเธอด้วย
เพราะว่าเขาอายุมากกว่าซ้ำยังมีชื่อเสียงทางสังคมที่ดูสูงกว่า
สมควรที่แบงค์จะเป็นฝ่ายเอ่ยปากทักทายก่อน
หากแต่แบงค์ก็ยังคงนิ่ง
“พี่แบงค์!”
น้องโบว์หน้าเสีย เธอเขย่าแขนพี่ชายอีกเป็นครั้งที่ไม่รู้เท่าไหร่
จนเพื่อนๆเริ่มหันมอง
แคปที่นั่งนิ่งอยู่นานแล้วจึงได้ลุกขึ้นเดินเข้าไปยืนด้านหลัง แตะตัวแบงค์เบา ๆ
พลางพยักหน้าให้บอกเป็นนัยว่าให้รีบทักรีบเสร็จ นั่นแหละแบงค์ถึงได้สติสตังกลับมา
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
ในที่สุดแบงค์ก็ข่มใจพูดออกไป ขณะที่ฝ่ายคนฟังถึงกับส่งเสียงคำรามกระหึ่มในคอ
ก่อนหรี่ตาจ้องไอ้คนที่อยู่ดีๆก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปยืนซ้อนอยู่ด้านหลังคนตรงหน้า
ดวงตาคมกริบ คมยิ่งกว่าใบมีดมองย้อนกลับมาที่แบงค์อีกครั้ง
“เช่นกัน”
คำพูดสั้นๆห้วนๆหากแต่น้องโบว์กลับฉีกยิ้มดีใจที่พี่ชายกับคนที่เธอรักรู้จักกันได้เสียที
เพื่อนเธอจัดแจงที่นั่งให้คนมาใหม่
แบงค์จึงได้ไปนั่งฝั่งตรงข้าม
รับแก้วเหล้ามาจากน้องสาวก่อนมองเอสกับแคปที่นั่งข้างกัน
“แคป
มึงมานั่งข้างกูสิ”
เพล้ง!!!
แก้วเหล้าในมือเอสหลุดกระแทกลงบนโต๊ะอย่างตั้งใจจนแตกกระจายไม่มีชิ้นดีซ้ำมือยังปัดไปชนขวดเหล้าเทลงไปทางคนพูดจนแบงค์ต้องรีบลุกขึ้นหนีแทบไม่ทัน
คนทั้งโต๊ะมองกันเป็นตาเดียวก่อนลนลานหากระดาษทิชชู่มาซับเหล้าราคาแพงที่หกราดเลอะเทอะอย่างไร้คุณค่า
“พี่แบงค์เสื้อเปื้อนน่ะค่ะ”
หนึ่งในเพื่อนของโบว์ ดึงเอากระดาษทิชชู่ส่งให้ ในขณะที่เจ้าของงานอย่างน้องโบว์มองพี่ชายแล้วหันมามองคนรักของเธอ
“คุณเอสเป็นอะไรรึเปล่าคะ”
“โทษทีครับโบว์
มือลั่นจริงๆ”
เธอนึกสงสัย
ทำไมจู่ ๆ เอสทำแก้วหล่นได้ ซ้ำมือยังชนถูกขวดทั้งขวดสาดไปทางพี่ชายเขาอีก
แต่ก็อย่างว่าแค่รอยยิ้มเดียวของเอสกลับทำให้เธอลืมเลือนเรื่องสงสัยไปได้จนหมดสิ้น มีพนักงานเข้ามาช่วยทำความสะอาด
แคปจึงขยับออกมายืนอยู่กับปอที่สะกิดเขายิกๆ
“อย่าย้ายที่นะมึง”
ปอกัดฟันพูดออกมาเมื่อหน้าตาเจ้านายเขาไม่เข้าท่าแล้ว หากว่าจู่ๆแคปเดินไปนั่งข้างแบงค์อีก
มีตายห่ากันแน่ ๆ งานนี้
“มึงห้ามใครได้
ระหว่างกูกับมัน” แคปเวลาที่ดื้อ มันก็ดื้อจนเขาเอาไม่อยู่เช่นกัน
ปอปวดประสาทจนรอยย่นขึ้นกลางหว่างคิ้วไปแล้ว
“กูห้ามมึงไม่ได้ใช่ไหม”
ก็รู้อยู่แล้วความจริงห้ามไม่ได้ทั้งคู่นั่นแหละ แคปยักคิ้วให้ก่อนคว้าแก้วตัวเองแล้วเดินข้ามไปอีกฝั่ง
พนักงานเก็บเช็ดจนเสร็จ พอทุกอย่างเข้าสู่โหมดปกติ
แคปก็เดินไปนั่งข้างแบงค์เรียบร้อยแล้ว
“นายครับ..”
ใจเย็นๆ
ปอไม่กล้าพูดประโยคถัดมา
เขาทำได้เพียงแค่ขยับไปนั่งข้างเอสแล้วพยายามเรียกนายครับๆเพื่อเตือนสติ เห็นคนข้าง
ๆ
นั่งหน้านิ่งเย็นชาจ้องมองแคปกับแบงค์ที่นั่งอยู่ข้างกันชนิดไม่วางสายตาเลยแม้แต่น้อย
เขายิ่งนึกกังวล กลัวว่าจะมีคนสงสัยหากแต่ทำอะไรมากก็ไม่ได้
เดี๋ยวเกิดมีเรื่องมีราวขึ้นมาอีก
น้องโบว์ตักอาหารให้พี่ชายเธอที่ทานน้อยนิดจนน่าตกใจ
ขณะที่แคปนั่งดื่มไปเงียบ ๆ นึกรู้ว่าอีกคนถือแก้วเหล้าแล้วจ้องเขาตาเป็นมัน
พอหันไปมองแรงๆสายตานั้นก็กลับกลายเป็นสุมอัดไปด้วยไฟแห่งความเคียดแค้นแสนงอนอะไรของมันสักอย่างเขาก็ไม่แน่ใจ
เพราะงั้นเขาจึงเลือกที่จะมองไปทางเวทีบ้าง โต๊ะอื่นๆบ้าง ดอกไม้ต้นไม้บ้าง
มีเสียงน้ำตกจากฝั่งทางเข้าสาดใส่ความรู้สึกคลอเคลียไปกับบทเพลงรักที่กำลังถูกขับร้องอยู่บนเวที
“เป็นอะไร”
เสียงแบงค์ดังขึ้นข้าง ๆ ทำเอาแคปสะดุ้งเฮือก “ห๊ะ?”
“มึงนั่งจ้องหน้ามัน”
จริงดิ
?!
แคปรีบคีบขนมปังก้อนสีเหลี่ยมเล็กๆที่ชุ่มไปด้วยเนื้อครีมช็อคโกแลตเข้าปาก
ก่อนคีบอีกชิ้นวางส่งให้แบงค์ด้วย จากนั้นใช้สายตาบอกให้อีกฝ่ายกินๆเข้าไป
“มึงอิ่มหรือยัง
กลับกันเลยดีไหม” แบงค์เอียงตัวเข้ามาถาม
“จะกลับไร่เลยหรือมึงจะค้างที่ห้องกูก่อน”
“กลับไร่เลยดิ”
แคปยัดต่ออีกชิ้น แบงค์จึงพยักหน้าก่อนยกข้อมือขึ้นดูเวลาและมองไปที่น้องสาวตัวเองซึ่งกำลังรับของขวัญกล่องเล็กๆจากเอส
เสียงเพื่อนๆกรี๊ดกร๊าดแซวกันอย่างดัง
“อะไรเหรอคะคุณเอส”
เธอถามออกมาอย่างเอียงอาย
ที่จริงแล้วยังแปลกใจที่คืนนี้ยังไม่ได้อะไรจากคนรักของตัวเองเลย
แอบนึกไปว่าเขาอาจจะลืมหรือไม่ก็คงเตรียมเซอร์ไพร้ซ์ไว้ให้ ซึ่งนั่นก็อย่างที่เธอคิดไว้จริง
ๆ ก่อนเที่ยงคืนเล็กน้อย เอสก็หยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อ
“ลองเปิดดูสิ
เธอชอบหรือเปล่า”
แน่นอนว่าหลังคำพูดประโยคนี้จบลง
สายตานับสิบคู่ที่นั่งล้อมโต๊ะตัวยาวโฟกัสไปที่กล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินเข้มคาดแบรนด์สีทองหรูหรา
มือเล็กค่อยบรรจงเปิดออกดู
ทันทีที่เห็นแสงสะท้อนระยิบระยับจากเพชรน้ำดีรายล้อมเข็มกลัดรูปร่างเหมือนโบว์อันเล็กๆซ้อนกันอยู่สองอันน้องโบว์ยกมือไหว้ลงที่ไหล่เอสอย่างอ่อนน้อมและช่างแลดูน่ารักนัก
คนถูกกระทำถึงกับเบนสายตาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่นั้นของคนฝั่งตรงข้าม
หัวใจคนมองชาวาบหล่นฮวบลงไปถึงพื้น
ไม่เห็นกับตาก็ว่าไปอย่าง
พอได้มาเห็นว่าคนที่ตัวเองไม่เคยลืมได้เลยตลอดห้าปีที่ผ่านมา...อีกฝ่ายซึ่งมีคนรักคนใหม่แล้ว
ที่สำคัญยังเป็นถึงน้องสาวคนสำคัญของเขาเอง ทำเอาแคปร้าวไปทั้งหัวใจ
แผลที่กำลังจะหายดีถูกสะกิดแล้วสะกิดอีก เป็นใครก็คงเจ็บ
ไม่มาเจอด้วยตัวเองไม่รู้เลยจริง
ๆ
...เจ็บแสบดีแท้...
“ขอบคุณมากค่ะคุณเอส”
“ไม่เป็นไร”
เสียงทุ้มอ่อนโยนบอกเธอเรียบ
ๆ พร้อมกับฝ่ามืออบอุ่นสัมผัสเข้าที่แผ่นหลัง น้องโบว์ยกมือขึ้นเช็ดหยาดน้ำตาที่ซึมออกมาด้วยความดีใจ
เพื่อนๆดึงเธอเข้าไปกอดพลางพูดว่าเธอช่างเป็นผู้หญิงที่โชคดี ขณะที่พี่ชายอย่างแบงค์เห็นแววตาของคนตรงหน้า
ทุกอย่างทุกการกระทำ รวมทั้งแววตาที่เขม้นมองมาที่เขากับแคป
แบงค์รู้ดีทุกอย่าง
“กลับกันเถอะว่ะ”
แคปเป็นฝ่ายเอ่ยชวนขึ้น
เขายกแก้วเหล้าสาดใส่ลำคอเป็นครั้งสุดท้ายก่อนลุกขึ้นแล้วบอกกับน้องโบว์กับเพื่อนๆของเธอว่าเขาต้องกลับแล้วเพราะต้องเดินทางต่ออีกไกล
ทุกคนยกมือสวัสดีล่ำลา
สำหรับแบงค์ไม่พูดไม่จาอะไรมาก มองหน้าน้องสาวแล้วเดินตามแคปออกมาเลย
ปอรีบลุกขึ้นก้าวตามแคปออกมาเช่นกัน
“มึงจะกลับไร่เลย?”
แคปเดินเร็วมาก ไม่ทันไรข้ามสะพานน้ำตกพ้นไปแล้ว ปอแทรกตัวแบงค์ขึ้นไปหาเพื่อนตัวเองแทบไม่ทัน
“ใช่
กลัวจะดึกน่ะ” แคปหันมาตอบ
“เดี๋ยวกูมีเรื่องจะเล่าให้มึงฟัง
จะโทรหาได้ตอนไหนวะ”
“ไว้วันหลังเถอะ
วันนี้ดึกมากแล้วกูเหนื่อยว่ะ” แคปเดินมาถึงที่จอดรถ
แบงค์ดึงแขนไปในที่ๆรถเขาจอดอยู่
“เรื่องสำคัญ มึงต้องรู้” ปอพูดแบบจริงจัง
หากแต่แคปส่ายหน้าแล้วบอกย้ำลงไปอีก “ไว้วันหลังนะ กูไปแล้ว”
พูดจบมุดเข้ารถเลยทันที แบงค์เองก็ขึ้นประจำตำแหน่งคนขับเช่นกัน
เมื่อรถเคลื่อนตัวออกไปปอได้แต่ยืนส่ายหัว
ก็เข็มกลัดอันนั้นที่น้องโบว์เธอได้น่ะ
เขานี่แหละที่ไปเลือกหามาให้ ใครจะรู้ว่าจะเอามาให้เด็กคนนี้
แค่บอกว่าจะเอาเข็มกลัดเพชรรูปโบว์ให้ไปเลือกจากรัชชาไดมอนมาสักอัน
เขาก็ไปเลือกเอาแบบที่คิดว่าสวยที่สุดในร้านเลยน่ะสิวะ
“กูน้อกู”
ปอส่ายหัวพลางบ่นให้กับตัวเอง เขาเดินกลับเข้าไปที่โต๊ะอีกครั้ง
ในตอนนั้นเห็นเอสลุกออกมาแล้วเขาจึงรีบเดินเข้าไปหา
ผิดสังเกตเจ้าของงานอย่างน้องโบว์นิดหน่อย สีหน้าเธอดูเจื่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
ทั้งเศร้าทั้งหมองผิดหวังปนเป ไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่ที่แน่ ๆ
เอสลุกขึ้นเดินออกมาจากตรงนั้นแล้วโดยที่เธอไม่ได้เดินตามมาส่งเลยด้วยซ้ำ นั่งก้มหน้าก้มตาอยู่กับเพื่อนในมือยังถือกล่องเข็มกลัดนั้นไว้
กำแน่นจนสั่นเลยเชียวล่ะ
“นายจะกลับแล้วเหรอครับ”
เอสพยักหน้าบอกใช่ เขาไม่พูดอะไรมาก
ปอเองรีบเข้าไปบอกลาเธอแล้วเดินตามเจ้านายตัวเองออกมา
“เพื่อนมึงกลับไปแล้ว?”
เอสหยุดลงที่ประตูรถแล้วหันมาถามปอที่เดินมาส่ง
“ครับ
กลับไร่เลย”
เอสพยักหน้าเบา
ๆ แต่ก่อนที่เขาจะเข้ารถไป เลขาหนุ่มกลับเดินไปขวางทางเอาไว้ก่อน “มีอะไร”
“คุณโบว์เป็นอะไรหรือครับนาย”
ทั้งที่รู้ว่าเสียมารยาท แต่เพราะเขาเห็นว่ามันผิดปกติจริงๆถึงได้ถาม สัญชาตญาณบอกให้รู้ว่าหลังจากที่แคปกับแบงค์เดินออกไปแล้วต้องมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นแน่
ๆ หากแต่เขาเองก็ไม่รู้ว่าเรื่องอะไร
“คุณนาคินเขาฝึกมึงมาดีเกินไปนะกูว่า”
“ผมขออนุญาตถามได้ไหมครับ”
เอสจ้องอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่งก่อนใช้แขนกันปอให้หลีกออกจากทาง
เขาเปิดประตูรถออกมาแล้วทำท่าจะมุดเข้าไป หากแต่จู่ ๆ
ก็หันมาหาแล้วพูดขึ้นเสียงเรียบ “กูก็แค่บอกกับเธอว่า คืนนี้ไปส่งไม่ได้”
“แค่นั้น?”
ปอเลิกคิ้ว
“อืม”
ในตอนนั้นเองที่น้องโบว์เดินแทรกตัวพรวดพราดเข้ามา ปอจึงรีบขยับหลีกทางให้อย่างงงๆ
“โชคดีที่มาทัน โบว์ขอโทษนะคะที่งอแงกับคุณ” เธอเข้าไปเกาะแขนอ้อน
เอสส่ายหน้าบอกไม่เป็นไร
“คุณเอสไม่โกรธโบว์ใช่ไหมคะ
โบว์ไม่มีเหตุผล โบว์เป็นเด็กไม่น่ารัก”
“ไม่เป็นไร”
“งั้นคุณเอสบอกมาก่อนสิคะว่าไม่โกรธโบว์”
ผู้หญิงแบบนี้แหละที่น่าเบื่อที่สุด!!
“เข้าไปข้างในเถอะ เพื่อนรออยู่ไม่ใช่เหรอ”
“แต่ว่า..”
“ฉันไม่ชอบคนเรื่องมาก
พูดแล้วเข้าใจกันยากแบบนั้นก็ไม่ชอบ”
“อ่ะ
เอ่อ..” คนฟังยืนนิ่งและอึ้ง
“ถ้าเธอคิดว่าจะปรับปรุงตัวเองไม่ได้ ก็อย่า..รักฉันแบบนั้น” เธอจะได้ไม่เจ็บ
“โอเคค่ะ
โบว์จะปรับปรุงตัว โบว์เข้าไปเดี๋ยวนี้เลย จะเป็นผู้ใหญ่
แล้วคุณจะโทรหาโบว์เหมือนเดิมใช่ไหมคะ ไม่ก็ให้โบว์โทรหา”
เอสเพียงแค่ใช้สายตาธรรมดาๆมองเธอก่อนพยักหน้าตอบรับเบา ๆ
เธอถึงค่อยยิ้มกว้างออกมาแล้ววิ่งเข้าไปด้านในได้
“คุณใจร้ายมากครับ”
เมื่อร่างของสาวน้อยลับสายตา ปอก็เอ่ยขึ้น “ใจร้ายจริงๆ” ทั้งที่ไม่เคยรักแต่หลอกล่อให้เธอรักแล้วบอกห้ามว่าไม่ให้รักหากปรับตัวไม่ได้
ผู้หญิงที่ไหนก็ยิ่งต้องตกหลุมรักเข้าไปใหญ่กันทั้งนั้น ผู้หญิงร้อยทั้งร้อยยิ่งห้ามยิ่งอยากจะได้
เรื่องง่ายๆแค่นี้มีหรือเจ้านายเขาจะไม่รู้
“หึ..”
คนถูกต่อว่าแค่นเสียงออกมาจากลำคอ ก่อนยกมือจับไหล่ปอแล้วบีบแรง ๆ “มึงเชื่อไหม
นี่คือตัวเลือกที่ดีที่สุดที่เพื่อนสนิทมึงเป็นคนเลือกมันไว้เองเลยนะ
ดีใจเสียสิที่คืนนี้น้องสาวคนสำคัญของเพื่อนมึงรอดปลอดภัยจากอ้อมกอดของเสือร้ายอย่างกู”
“หมายความว่ายังไงครับนาย
ขออนุญาตถามครับ”
เอสก็แค่แสยะยิ้มแทนคำตอบ
แล้วเขาก็มุดเข้ารถก่อนขับออกไป
ปล่อยให้คนฟังยืนงุนงงปะติดปะต่อเรื่องราวไม่ได้อยู่ตรงนั้น
ราตรีคืนนี้ยังคงมืดมิด เสียงเพลงเบาๆ
ไม่ได้ทำให้บรรยากาศหนักอึ้งบนรถผ่อนคลายลงได้ ตั้งแต่ออกจากกรุงเทพฯมาจนถึงตอนนี้
ในเชฟฯสีตะกั่วคันสวที่ทะยานตัวมุ่งหน้าสู่จุดหมายปลายทางยังไร่เล็กๆชานเมืองระยองยังคงเงียบกริบ
อันที่จริงไม่ใช่เงียบเชียบเพราะว่าเสียงเพลงที่ยังคงดังออกมาจากเครื่องเล่นเอฟเอ็ม
หากแต่ความเงียบเกิดขึ้นระหว่างผู้ร่วมทางสองคนไม่มีใครเอ่ยปากอะไรต่อกันทั้งสิ้น เสี้ยวหน้าคนขับดูเคร่งเครียดราวกับแบกรับความรู้สึกหนักหน่วงล้นปรี่อยู่ในอก
ตีหนึ่งกว่าๆแล้วรถยังไม่ได้แวะจอดลงที่ไหน
“หิวอะไรไหมแคป
จะแวะห้องน้ำหรือเปล่า” ในที่สุดแบงค์หันมาถาม
แคปที่จมอยู่กับห้วงความคิดหลายๆอย่างถึงกับสะดุ้งขึ้นมา เขาพยักหน้า
“รอแปปนะ”
พอรถจอดลงที่ปั๊มต่างคนทำธุระส่วนตัวเรียบร้อย
แบงค์ยืนสูบบุหรี่รออยู่แถวๆหน้ารถก่อนแล้ว แคปจึงเดินไปยืนข้าง ๆ
จุดไฟแช็คขึ้นต่อปลายมวนของตัวเองเช่นกัน
เงียบกันได้อีกสักพัก
ก่อนที่แคปจะหันไปเลิกคิ้วถามคนที่จู่ๆก็หันมาจ้องหน้าเขาแบบไม่วางสายตา
“มึงรู้นานหรือยัง
เรื่องโบว์”
“เพิ่งรู้วันนี้เหมือนกัน”
“กูไม่รู้จุดประสงค์ของมัน
แต่ที่แน่ ๆ คงไม่ได้มาดี”
“.............”
“มันมีคู่หมั้นอยู่แล้ว
มึงรู้ใช่ไหม” คำถามนี้ทำเอาแคปเบิกตาจ้องคนพูดทันที
ไม่คิดว่าแบงค์จะรู้เรื่องนี้ด้วย
ยังไม่ได้หมั้นเป็นทางการหากแต่เจ้าปอมันเอ่ยปากบอกเขาแค่ครั้งเดียวเท่านั้น
“กูเห็นในข่าวสังคม
เรื่องมันก็ตามไม่ยากนี่ เจ้าสัวคนเล็กของรัชชาจะมีใครบ้างล่ะที่ไม่รู้จัก”
แบงค์แค่นรอยยิ้มสมเพชให้กับตัวเอง คิดมาตลอดทางว่าเพราะอะไร ทำไม ทำไมและทำไม
ผลสรุปออกมาเขาไม่อยากจะโกหกตัวเองเลยด้วยซ้ำว่าเขามันซื่อบื้อจนไม่รู้ว่าเพราะอะไรเอสถึงเข้ามาทำแบบนี้กับน้องสาวเขาทั้งที่ตัวเองก็มีคู่หมั้นอยู่แล้วแบบนั้น
ทุกอย่างมันจงใจเกินไป
“แค่ว่าที่คู่หมั้น
ยังไม่ได้หมั้นหรอก บางทีมันอาจจะรู้สึกจริงจังกับโบว์จริงๆก็ได้”
“หึ
จริงจัง?” แบงค์แค่นหัวเราะรัดทนสุดขีดออกมามองคนที่พูดปลอบใจเขาแต่เสียงท้ายประโยคช่างบางเบามากเหลือเกิน
เขาทิ้งบุหรี่ที่ดูดจนหมดลงที่ถังเขี่ยแล้วหันมาจ้องหน้าแคปด้วยแววตาที่คนมองเห็นยังรู้สึกว่าน่าสงสาร
“กูไม่คิดแบบนั้นหรอกแคป”
“.............”
“ขึ้นรถเถอะ
มันดึกมากแล้ว” เขาเอื้อมมือมาดึงบุหรี่ออกมาจากแคปแล้วทิ้งลงที่ถังเขี่ยให้
ก่อนดันหลังคนตัวเล็กกว่าให้เดินนำแล้วจับยัดเข้าไปนั่งในรถ
“กูขับดีไหม”
แคปเงยหน้าถาม คนมองส่ายหน้าบอกไม่เป็นไร
ระหว่างทางก่อนถึงไร่บรรยากาศบนรถค่อยคลายความตรึงเครียดลงบ้าง
แคปยื่นหมากฝรั่งรสแตงโมที่เขาชอบกินส่งให้แบงค์กินด้วย อีกฝ่ายก็แค่หันมองแล้วใช้สายตาบอกให้แกะ
“อ่ะ
กินเองนะ ไม่งั้นกูจะโยนทิ้ง”แคปแกะเสร็จแล้ววางไว้บนมือยื่นส่งให้
แบงค์หันมามองหน้าอีกครั้ง “ไม่กินกูโยน”
“โยนทิ้งทำไมวะ
เสียดาย” รีบหยิบยัดเข้าปากตัวเองอย่างไว ถ้าแคปบอกจะทิ้งคือมันทิ้งจริงๆนะ
เขาเคยลองมาแล้ว พอรถขับผ่านทางเข้าเมืองมาได้สักพัก
ก่อนถึงไร่เพียงไม่กี่ร้อยเมตรรถชะลอตัวลงแล้วค่อยๆเคลื่อนตัวไปตามไหล่ทาง แคปหันไปมองที่คนขับ
“แคป”
“หื้อ?”
“ห้าปีที่ผ่านมา รู้สึกรักกูขึ้นมาบ้างหรือยัง”
!!!
“อะ..อะไรนะ”
แคปครางเบา ๆ ออกมาอย่างตกใจกับคำถาม “มึงพูดอะไรวะ รู้ตัวไหมเนี่ย”
“เป็นคำถามที่กูคิดอยากจะถามมาตลอด
แต่ไม่เคยกล้าถามมึงเลยสักครั้ง”
จวนถึงทางเลี้ยวเข้าไร่ทุกทีแล้ว
เขาอยากจะหยุดวันเวลาให้มันช้าลงอีกสักนิดเหลือเกิน หากแต่ทุกสิ่งต้องดำเนินต่อไป...
“จะถามออกมาทำมวะ
มึงเองก็รู้คำตอบอยู่แล้ว”
“หึ..”
แบงค์แค่นยิ้มออกมา รถค่อยๆจอดตัวลงที่หน้าทางเข้าไร่
เสี้ยวหน้าที่แลดูเศร้าหมองของคนขับหันมาหา
ก่อนใช้นิ้วมือเกลี่ยเส้นผมที่ยาวลงมาจนปรกตาออกให้
ในหัวใจนึกทบทวนเรื่องราวตลอดห้าปีที่ผ่านมาระหว่างพวกเขาทั้งสองคน
ใช่...เขาคือคนที่แอบรักมาตลอด อย่าถามว่าความรู้สึกเขามันมีมากมายแค่ไหน
ความรู้สึกของคนที่ยืนอยู่เคียงข้างได้ หากแต่ต้องคอยหักห้ามหัวใจ มิตรภาพของคำว่าเพื่อนเกิดขึ้นท่ามกลางภารดรภาพระหว่างพวกเขาทั้งคู่
หากแต่ไม่เคยได้หัวใจ เส้นคั่นบาง ๆ ถูกเขารักษาเอาไว้ไม่ให้ตัวเองก้าวพ้นออกมา
ทั้งที่ได้อยู่ใกล้ชิดแต่ก็ต้องวางตัวให้ห่างอยู่เสมอ
ต้องรักษาระยะของความเป็นเพื่อนที่ดี แสร้งทำตัวว่าไม่เป็นไร ควงคนโน้นไปกับคนนี้
ทั้งที่หัวใจเขาจริงๆแล้วอยู่ตรงนี้มาตลอด น่าขำนัก...เป็นได้แค่เพื่อน
ทั้งๆที่รักจนหมดหัวใจ ต้องทำตัวเป็นคนรักษาสัญญาเพื่อแลกกับการที่จะได้อยู่เคียงข้าง
เพียงแค่ได้ยืนอยู่ข้าง
ๆ
ไม่เคยได้หัวใจ
“แคป..”
“เรียกแล้วไม่พูดล่ะวะ”
แคปจับเอาข้อมือแกร่งที่พยายามเกลี่ยเส้นผมของเขาทัดเก็บที่หูให้
เอามือหนักๆกลับไปวางลงที่พวงมาลัยเช่นเดิมก่อนปลดล็อคเข็มขัดนิรภัยของตัวเองออก
มองเห็นนายโชนหนึ่งในคนงานของไร่เดินออกมาเปิดประตูรั้วรออยู่แล้ว
“กู...”
“..............”
แคปรอฟัง หากแต่แบงค์ยังคงนิ่ง
ความรู้สึกอยากจะพูดปรี่ขึ้นมาชิดถึงริมฝีปากแต่เขาก็เลือกที่จะไม่พูดอะไรต่อ
กระพริบตาถี่ๆแล้วหันไปจับพวงมาลัยทั้งสองมือบีบไว้จนแน่นซบใบหน้าลงไปด้วยความรู้สึกหนักอึ้งสุมอยู่ในอก
ทั้งเรื่องน้อง ทั้งเรื่องหัวใจ
“เอาน่าอย่าคิดมาก
เรื่องน้องโบว์กูเชื่อว่ามึงต้องหาทางเตือนน้องมันได้
ส่วนเรื่องอื่นๆก็อย่าไปคิดอะไรมากเลยว่ะ”
แคปตบลงที่ไหล่แข็งแกร่งหนักๆสองทีแล้วบีบอย่างให้กำลังใจ
ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบเสื้อคลุมที่เบาะหลัง
เขาตั้งใจเน้นย้ำคำว่าเรื่องอื่นๆให้แบงค์ได้คิดได้ตระหนัก
ห้าปีมาแล้วไม่คิดว่ายังต้องมาเตือนสติกันเรื่องนี้อยู่อีก
“ถ้ามึงสัญญาว่าจะไม่ทำตัวรุ่มร่ามกับกู
ไม่พูดจายียวนกวนตีนจีบกูอยู่ตลอด กูจะยอมให้มึงอยู่ข้าง ๆ ก็ได้ แต่!! ในฐานะเพื่อนรุ่นพี่รุ่นน้องแค่นั้น
มึงทำได้ไหมล่ะ”
“โหแคปโคตรใจร้ายอ่ะ”
“เรื่องของกูเหอะ ทำไม่ได้ก็ไม่ต้องมาให้เห็นหน้า
กูไม่คิดจะรักผู้ชายคนไหนอีกแล้ว
ถ้ากูมีคนใหม่ต้องเป็นผู้หญิงเท่านั้นกูบอกมึงไว้ตรงนี้เลย”
“ได้
กูสัญญา”
“รักษาคำพูดของมึงด้วย
รับปากแล้วต้องทำให้ได้”
“แน่นอนอยู่แล้ว”
ในตอนนั้นคนรับปากยิ้มแก้มแทบปริ
ลากแขนแคปไปกินเค้กกับกาแฟรักษาสัญญากัน
นับตั้งแต่นั้นมาเขาสองคนก็เริ่มสนิทสนมกัน แต่ก็เป็นเพียงแค่ฐานะเพื่อน
ไม่คิดเลยผ่านมาห้าปี
คำถามแบบนั้นยังออกมาจากปากของแบงค์ได้...เรื่องหัวใจที่ฝันรากลึกลงไปข้างใน
ลืมกันยากเย็นจริง ๆ
“ขับรถดี
ๆล่ะ ถึงบ้านแล้วโทรมาก็ได้
หรือมึงจะไลน์มาเดี๋ยวกูรอตอบ” แคปก้าวลงจากรถแล้ว
นายโชนวิ่งเข้ามาหายืนคอยเจ้านายคนเล็กของบ้านเพื่อเดินเข้าไปพร้อมกัน
แคปหันมองที่คนขับที่ยังนั่งแน่นิ่งอยู่แบบนั้นอีกครั้งก่อนที่เขาจะตัดสินใจมุดตัวเอื้อมมือเข้ามาตบลงที่บ่ามันหนักๆอีกสักรอบ
“อย่าคิดมากไอ้น้อง
อ่อนโยนได้แต่อย่าอ่อนแอ คำคมของพวกเราสองคนเวลาเมาไง
มึงเตือนสติตัวเองไว้สิวะ”
แบงค์คว้าหมับเอาข้อมือแคปไว้แล้วพูดจารวบรัดหนักแน่น “สัญญาได้ไหม
ว่าจะอยู่ด้วยกันตลอดไป”
แค่ในฐานะเพื่อนก็ได้ จะอยู่ข้างๆกู
“แบงค์
กูสัญญาไม่ได้หรอก แต่
ณ.วันนี้กูอยู่ตรงนี้กับมึงในฐานะเพื่อนรุ่นพี่คนนึงที่หวังดีกับน้องเสมอ
กูยังยืนยันคำเดิมที่เคยพูดไว้เมื่อนานมาแล้วถ้าหากมึงยังจำได้”
ข้อมือถูกปล่อยออกมาแล้ว แคปก้าวลงมาจากรถอีกครั้ง
เดินหันหลังเข้าไร่ไปโดยไม่หันกลับมามองที่ด้านหลังอีกเลย
เสียงเหง่งหง่างจากนาฬิกาลูกตุ้มขนาดใหญ่ของคฤหาสน์ดังกังวาลต่อเนื่องกันสองครั้ง
บอกให้รู้ว่าเวลาตอนนี้ตีสองแล้ว คนที่ยืนรับสายลมอ่อนๆอยู่ริมระเบียงห้องนอนยังคงเหม่อมองตรงไปยังท้องฟ้าไกลที่มืดมิดเบื้องหน้า
เสียงหวีดหวิวของลมยามดึกพัดผ่านเข้ามา
กลิ่นหอมของดอกไม้โบราณยามค่ำคืนกำจายซ่านไปทั่วทั้งคฤหาสน์ใหญ่
ใบหน้าคมคายที่สะท้อนกับแสงสีเงินยวงของดวงจันทร์..
“นอกเสียจากว่า....”
“ว่าอะไร”
“นอกเสียจากว่า
คุณจะมีข้อแลกเปลี่ยนดีๆ”
“ข้อแลกเปลี่ยนเหี้ยไร
มึงกำลังพูดเรื่องอะไร”
“หึ ก็ไม่เป็นไรนี่ ถ้าไม่มีอะไรดีๆยื่นมาให้
ผมก็แค่สอนครั้งแรกกับน้องสาวแสนบริสุทธิ์ของคุณ กอดให้แน่นๆเสร็จแล้วก็เขี่ยทิ้งเหมือนผู้หญิงทุกคนของผมนั่นไง
คุณรู้ดีอยู่แล้ว”
“มึงต้องการอะไรกันแน่เอส”
“เปล่า..ผมจะต้องการอะไร
คุณทั้งนั้นไม่ใช่หรือไงที่บอกผมว่าห้ามทำโน่นทำนี่ พอผมถามหาสิ่งที่จะมาทดแทนกัน
คุณกลับเสนอมาให้ผมไม่ได้ แบบนี้ก็เอาเปรียบแย่สิ ทำไมผมต้องฟังคำห้ามของคุณด้วย”
“.................”
“เสียเวลา
ในเมื่อไม่มีข้อเสนอดีๆก็หลีกทาง” เขาปัดมือแคปออกอย่างไร้เยื่อใย
ก้าวเบี่ยงจะออกจากตรงนั้นทว่า “มึงเปลี่ยนไปมากนะเอส”
กูไม่เคยเปลี่ยนแม้เลยแม้แต่นิดเดียว
“แน่นอน คนเรามันโตขึ้นนี่น่ะ” เอสหยุดเดินแต่ไม่หันกลับมา
แคปจึงก้าวเข้าไปขวางหน้าไว้
“แล้วความเหี้ยมันเจริญเติบโตตามวัยมึงด้วยหรือไง”
เอสหรี่ตามองคนตรงหน้าก่อนแสยะรอยยิ้มร้าย
ๆ “กลับโต๊ะไปไป๊ ถ้าไม่มีข้อเสนออะไรดีๆก็หลีก!”
ว่าจบดันคนตัวเล็กกว่าให้พ้นออกจากทางก่อนที่ตัวเองจะก้าวเดินไป ทว่า..แคปคว้าหมับแขนเขาเอาไว้อีกเป็นครั้งที่สอง
เอสหันกลับมามองคนที่จ้องหน้าเขาแน่นิ่ง
“จะเอาอะไรมึงพูดมาตรงๆเลย”
เอสชะงักกับคำพูดนั้นอยู่ครู่หนึ่ง
ดวงตาคมกริบวูบไหวก่อนขยับเข้าไปหา ดูเผินๆเหมือนแคปโดนกักตัวไว้ในอกเขาไม่มีผิด
สองใบหน้าใกล้ชิดจนสัมผัสได้ซึ่งลมหายใจที่ปลายจมูก
ก่อนที่เสียงทุ้มจะกระซิบใส่อย่างเย็นชา
“พฤหัสนี้ไปหากูที่ตึกรัชชา
แล้วคืนนี้กูจะทำตามข้อตกลงของมึง”
..อาจจะมีชีวิตอยู่ในวันนี้
แต่อยู่กับความรักที่มีวันนั้น
ค่ำลงทุกคืนหลับตาทุกคราว
ก็ยังคงคิดถึงเธอ....
(Cr.รักกันครั้งหนึ่งฯ-เต้ วิทย์สรัช)
Tbc.
***กว่าจะเข็ญตอนนี้ออกมาได้นะคับแหม่..#ความเหนื่อยอันภาคภูมิใจ
ไม่ไหวจะฝืนหรออออ