Friday, September 4, 2015

กวน T-E-E-N รัก (II Bad boys) # 24







[24]




            เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ก่อนตามด้วยเสียงทุ้มๆของเจ้าของเครื่องที่กำลังขับรถอยู่หยิบขึ้นมากดรับ สรรพนามที่เรียกแทนตัวของอีกฝ่ายคือ ป๊าเนื้อหาคงเป็นเรื่องงานที่ค่อนข้างสำคัญเพราะเห็นเอสตอบรับอยู่ตลอด แคปจึงยื่นมือไปเบาวอลุ่มจากเครื่องเสียงหน้ารถลงให้ เหลือบมองคนที่ยังคุยสายต่ออีกนิด นี่เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่แคปได้ยินเอสคุยสายกับคุณพ่อของเขาเรื่องงาน สีหน้าและน้ำเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์แบบผู้ใหญ่นั้น เพิ่งจะเคยเห็นจริงๆจังๆเป็นครั้งแรก จินตนาการไม่ออกจริง ๆ ท่านรองประธานที่นั่งอยู่เบื้องหลังเก้าอี้ผู้บริหารตัวโตนั้นจะน่าดูชมขนาดไหน ทว่า...

เอี๊ยด!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

รถเบรคลงอย่างแรงจนล้อยางเบียดพื้นถนนฝุ่นตลบไปหมด แคปนั่งตัวแข็งทื่อตาโตอยู่หลังสายเข็มขัดนิรภัยที่พาดรัด “มะ...มันจะตายไหมวะ” นั่นคือคำแรกหลังจากที่เขาตกใจจนหน้าซีด ขณะที่คนขับอย่างเอสนั่งนิ่งถึงกับทำโทรศัพท์มือถือร่วงตก เขาตกใจไม่แพ้คนข้าง ๆ  จริงที่ว่าใช้โทรศัพท์ไปด้วยขับรถไปด้วยมันแย่มากและถือว่าผิดกฏหมาย ทุกครั้งเขาจะใช้ไวเลสอยู่แล้ว แต่วันนี้ถือว่าสะเพร่าใหญ่หลวง สมาธิถูกถ่ายเทมาที่บทสนทนา ความแม่นยำในการขับขี่จึงลดลง เพราะงั้นถ้ามองไม่ผิดไอ้ตัวกลมๆอ้วนๆที่มันวิ่งตัดหน้ารถไปเมื่อสักครู่ เป็นสิ่งมีชีวิตไม่ผิดแน่ เหยียบเบรคจนตัวโก่งไม่รู้ว่าป่านนี้นอนแอ้งแม๊งอยู่ใต้ท้องรถแล้วหรือเปล่า

“กูจะลงไปดูนิดนึงก่อน มึงอย่าเพิ่งเคลื่อนรถนะเผื่อมันจะยังอยู่ใต้ท้องรถเรา..” ทันทีที่แคปพูดถึงได้เรียกสติอีกคนให้กลับคืนมาเช่นกัน เอสพยักหน้าเบา ๆ แคปใจตุ๊มๆต่อมๆก้าวขาลงมามองหาไอ้เจ้าสิ่งที่มันจู่ ๆ ก็วิ่งตัดหน้ารถพวกเขา ถนนเส้นนี้รถราขวักไขว่ ถึงยามโพล้เพล้แบบนี้รถก็ยังถือว่าเยอะไม่น่าเชื่อว่าจะมีลูกหมาตัวอ้วนๆที่มาวิ่งเล่นบนท้องถนนไม่รู้จักกลัวอันตราย แคปก้มมองลงที่ใต้ท้องรถพอไม่เห็นอะไรก็โล่งใจขึ้นมา เขาบอกให้เอสเลื่อนรถเข้ามาจอดแอบตีไฟด้านข้างไว้ก่อน เพราะความรู้สึกที่ได้ยินเสียงตุ๊บไม่ผิดแน่ แต่มันคืออะไรกันเห็นไม่ชัดเพราะว่ารถที่ขับค่อนข้างเร็ว ในความโชคร้ายอาจจะยังพอมีโชคดีอยู่บ้างเพราะดูเหมือนเอสสามารถเหยียบเบรคลงได้ทันท่วงที  ร่างสูงของคนขับก้าวลงมายืนอยู่ข้าง ๆ มองหน้าแคปถามหาสิ่งที่เขาคิดว่าน่าจะชนแต่แคปกลับส่ายหัวแล้วยักไหล่ คือว่าไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ว่างเปล่ามาก

“แต่กูได้ยินเสียงนะ”

“นั่นสิ”

สองคนกำลังจะกลับขึ้นรถกันแล้วแต่ทว่าว่าเสียงเรียกแปลกๆที่ดังขึ้นอยู่ไม่ไกล สามารถดึงความสนใจของคนทั้งคู่ให้หันไปทางต้นเสียงได้พร้อม ๆ กัน

“งี๊ดๆๆๆ” ลูกหมาลาบราดอร์ขนสีครีมวัยน่าจะไม่เกินห้าหกเดือนยืนมองเขาสองคนตาละห้อย คิ้วที่ไม่มีอยู่แล้วของมันตกลู่ลงมา ใบหูเล็กปิดพับหลูบลงข้าง ๆ  หน้าตาโง่ๆแต่ดูสัตย์ซื่อไม่เหมือนใครทำเอาแคปใจอ่อนยวบลงไปกอง

“มะ....มัน” พอพิจารณาดูดีๆแล้วสีและรูปร่างกลมๆอ้วนๆของมันน่าจะเป็นไอ้เจ้าสิ่งที่วิ่งตัดหน้ารถเมื่อตะกี้แน่นอน  แคปรีบเดินเข้าไปดูใกล้ๆเพื่อตรวจสอบว่ามีบาดเจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่า เอสเองก็เดินตามไป ในตอนนั้นเองที่ตำรวจจราจรจอดแวะเข้ามาถาม เอสคุยกับนายตำรวจท่านนั้นนิดหน่อยพอรู้ว่าเป็นลูกสุนัขวิ่งตัดหน้ารถเขาก็ยิ้มสุภาพให้และบอกว่าเจ้าลูกหมาตัวนี้แม่มันเพิ่งถูกรถชนตายเมื่อวันก่อนอยู่ถนนฝั่งทางโน้น มันเป็นหมาลูกผสมระหว่างลาบราดอร์กับหมาไทยธรรมดา แต่ตัวนี้มันจะไปทางฝรั่งมากกว่าจึงดูน่ารักน่าชังและอ้วนกลม คนแถวนี้เลี้ยงมันอยู่ใต้ทางด่วนเอาอาหารมาให้บ้างน้ำบ้าง มีคนจะมาเอามันไปเลี้ยงหลายคนแล้วแต่มันจะวิ่งหนีไปแอบไม่ยอมไปด้วย ตอนกลางคืนก็จะไปนอนรอแม่มันอยู่ตรงที่แม่มันนอนตายนั่งจ้องอยู่แบบนั้นไม่ไปไหน ตำรวจท่านนั้นเห็นก็สงสารครั้นจะเอาไปเลี้ยงไว้เองก็ลำบากด้วยสถานที่และอะไรหลาย ๆ อย่าง  ขณะที่พูดอยู่นั้นเจ้าหมาน้อยแทนที่จะเดินหนีไปมันกลับเดินเข้ามาหาแคปแล้วเงยหน้ามอง

“หมูอ้วนเจ็บไหม เมื่อกี้เราถูกรถพี่ชนรึเปล่าครับ โดนตรงไหนหรือเปล่า” แคปย่อตัวลงคุยกับมันพลางลูบหัวมันไปด้วย ทำท่าถามราวกับมันเป็นเด็กตัวเล็กๆ เอสที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ได้ยินถึงกับหูกระตุกเลยทีเดียว ก็แคปมันเคยพูดจาน่ารักแบบนี้กับใครซะที่ไหน

“ดูเหมือนมันจะชอบพวกเธอมากนะ” นายตำรวจจราจรพูดขึ้นอีกครั้ง เขาก้มตัวลงไปลูบหลังมันด้วย  “เธอชอบมันรึเปล่าล่ะ” เขาถาม

“ขอมือๆ  เอ๊ะ ครับ?” แคปเงยหน้า ดูเหมือนเขาจะได้ยินคำถามอะไรสักอย่าง  จากตอนแรกที่กำลังเล่นกับมันอยู่และดูท่าทางมันจะชอบเขามากๆ คุณตำรวจก็ก้มลงมาถามขึ้นอีก

“ถ้าชอบก็เอามันไปเลี้ยงเถอะนะ ดูๆไปแล้วมันน่าสงสารจริงๆ ถ้าพวกเธอไม่ได้ลำบากอะไรฉันก็อยากรบกวนขอให้ช่วย นึกเสียว่าทำบุญก็แล้วกัน มันวิ่งอยู่แถวนี้อันตรายมากไม่รู้จะเสี่ยงโดนรถมาชนเข้าวันไหน ปกติไม่เคยชอบคนที่จะมารับไปอยู่ด้วยเลยแท้ ๆ แต่กับพวกเธอเจ้าลูกหมานมสดนี่มันชอบใจเธอจริงๆ”

“มันชื่อนมสดเหรอครับ” คงเพราะสีขนแน่ ๆ แคปนึกไปพลางเงยหน้าถาม

“เปล่าไม่ใช่หรอก วันก่อนฉันได้ยินเด็กจรจัดแถวนี้เรียกมันว่าแบบนั้น เพราะว่าสีขนมันสวยเป็นสีครีมปนน้ำตาลอ่อนเหมือนนมสด แต่เด็กบางคนก็เรียกคุ๊กกี้โทบี้กรุ๊ฟฟี่นะ จริงๆแล้วมันเป็นหมาร้อยชื่อล่ะมั้ง”

“หมาร้อยชื่อ” เอสได้ยินถึงกับหัวเราะหึหึออกมา เขามองหน้าเจ้าลูกหมาอีกรอบ ความรู้สึกเอ็นดูจะเกิดอยู่แล้วเชียวถ้าหากว่ามันจะไม่กำลังตั้งอกตั้งใจเลียมือแคปอยู่ ดูดเอาดูดเอาอีกต่างหาก

“หมาโง่ต่างหาก” เอสสบถเบาๆในคอไม่อยากจะสน เขาสะกิดแคปบอกกลับกันได้แล้ว พอแคปพยักหน้าให้สายตาคมกริบเลื่อนไปมองไอ้เจ้าตูบอีกครั้ง มันทำหน้าโง่ๆเหมือนคนจะโดนทิ้งคราวนี้เสร็จเลยสิ แคปติดบ่วงมันเข้าจนได้ อ้อมแขนที่เขาหวงนักหวงหนาโอบอุ้มมันขึ้นมาแล้ว

“นี่อย่าบอกนะว่ามึง.....” เอสยังพูดไม่ทันจบ

“ถ้าอย่างนั้นผมก็ขอเอามันไปเลี้ยงเลยละกันนะครับ ถ้าคุณยืนยันว่าแม่ของมันไม่อยู่แล้วและมันเป็นหมาไม่มีเจ้าของจริงๆ”

“เอาเถอะถือว่าช่วยๆกัน อยู่แถวนี้ก็เสียดายชีวิตเปล่าๆ” นั่นคือคำพูดสุดท้ายก่อนที่สองคนกับอีกหนึ่งหมาจะขึ้นมานั่งยิ้มแป้นอยู่บนรถ

“ขอมือๆ ยื่นมือมาเร็วเข้า” แคปทำเสียงเล็กเสียงน้อย เขาจับมันนั่งตักกอดมันไว้แนบอกลูบไล้ขนนุ่มนิ่มของมันไปมา ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นหมาจรจัด เหมือนกับว่ามันชอบอาบน้ำทุกวันมากกว่า

“มึงจะเลี้ยงจริงเหรอเนี่ย” เอสหันมาถาม แต่พอเห็นว่ามันซุกหน้าอยู่ในอกแคปแล้วเขายิ่งขึ้น ปรี๊ดมากจริง ๆ แต่ก็อดทนไว้

“ที่คอนโดกูเลี้ยงได้เคยเห็นห้องชั้นล่างเขาเลี้ยงอยู่ จะปล่อยไว้ก็น่าสงสารนี่หว่า หรือว่ามึงจะเอาไปเลี้ยงล่ะ เอาไว้ห้องมึงดีไหม แล้วมึงก็กลับไปดูแลมันทุกวันจะได้ไม่ต้องว่ามาหากูไง”

“กูจะฆ่ามัน” เอสว่าหน้านิ่ง

“ไอ้คนใจร้าย” แคปสวนขึ้นทันที เขายิ่งกอดลูกหมาแนบชิด ทำท่าว่าหวงมากจนเอสไม่อยากจะสน แต่ทว่ามองแล้วก็ต้องมองอีกตาเขียว

“มันเป็นเพศอะไร” เอสหันมาถามเสียงดุๆ ลาบาดอร์ผสมอะไรมั่งวะทำไมถึงมีขนนุ่มนิ่มแล้วก็อ้วนจัดแบบนี้ พุงมันบดบังทุกอย่างไปหมด

“ตัวผู้” แคปพลิกดูจู๋มันแล้วบอก เอสหน้าหงิกขึ้นมาทันที

“กูเกลียดตัวผู้” เขาว่าเสียงขุ่นแคปรีบพาเจ้าตูบหันหนี ไม่อยากจะเสวนากับไอ้คนใจยักษ์

“อะไรเนี่ย มึงใจร้ายเรอะ”

“ใครสนล่ะ มึงต้องพามันไปฉีดยานะถ้าคิดจะเลี้ยง”

“เราต่างหาก เราต้องพามันไป..” แคปหันมาตอบหน้าตาเฉย สรุปว่าเย็นวันนั้นแทนที่จะได้ไปดินเนอร์หวานฉ่ำสวีทและด่ากันสองต่อสองกลับกลายเป็นว่าไปปรากฏตัวที่โรงพยายบาลสัตว์แทน รอให้ลูกหมาทำวัคซีนอาบน้ำเล็มขนทุกอย่างเรียบร้อยปาเข้าไปเกือบ ๆ สามทุ่ม เขาสองคนก็แค่นั่งกินข้าวแถว ๆ นั้น ร้านอาหารตามสั่งแบบง่าย ๆข้างทางทำเอาเอสหน้างอเป็นตะขอ

“ไว้วันหลังเดี๋ยวค่อยไปกินร้านที่มึงจะพาไปน่า วันนี้มันจำเป็นนี่ทำไงได้ล่ะ”

“..........”

“อย่าบอกว่างอนนะไอ้เอส”

“..........”

“มึงเป็นเด็กสามขวบเหรอวะ..” แคปย่นคิ้วถามหน้ายุ่ง ได้ยินแต่เสียงทุ้มแค่นเหอะอยู่ในลำคอ “ถ้ามึงเผลอเมื่อไหร่กูจะเอาเจ้าหมูตอนนั่นไปทิ้ง” แคปแทบสำลักน้ำ ตบหน้าอกตัวเองผั๊วะๆใช้สายตามองคนพูดอย่างเหยียดหยาม มันจะใจร้ายไส้ระกำไปแล้ว มันพูดจริงเหรอวะ แคปพลันนึกเรื่องดีๆบางอย่างออก

“แต่กูจะให้มึงเป็นตั้งชื่อน้อง”

“เรื่องสิ” เอสเถียงขึ้นมาทันที  “กูจะเอามันไปทิ้งจะไปตั้งชื่อมันทำไมวะ” แคปกำลังจะพูดต่อแต่มีสายเรียกเข้าจากโรงพยาบาลบอกให้เขามารับเจ้าลูกหมาได้แล้ว สองคนออกจากร้านอาหารก็แค่เดินข้ามถนนมาอีกฝั่งทางเท่านั้น เอสยังไม่ยอมพูดจาอะไรต่อเลยจนกระทั่งไปรับเจ้าหมาร้อยชื่อออกจากร้าน มันแปลงโฉมแล้วน่ารักน่าหยิกตัวหอมฉุยขนฟูมากๆ พนักงานยังแซวว่ามันเป็นลาบาดอร์ที่น่ารักที่สุดตั้งแต่เคยเห็นหมาพันธุ์นี้มาเลย แคปเดินยิ้มร่าออกมาก่อนเร่งเอสให้กดเปิดรถเร็ว ๆ จากนั้นทั้งคนทั้งหมาก็เข้าไปนั่งเชิดหน้าอยู่บนรถเมอเซเดสคันโก้ แคปหันไปมองเสี้ยวหน้าคนขับตอนที่รถเคลื่อนตัวออกมาได้สักพักแล้ว

“มึงเป็นคนตั้งชื่อให้น้องนะ”

“ใครจะสน” เอสตอบหน้านิ่ง ในน้ำเสียงเจือไปด้วยความเย็นชา ไม่สนใจอย่างที่ปากว่าจริง ๆ แต่แคปไม่ยอมแพ้หรอก

“เอาเหอะน่า มึงตั้งชื่อเดี๋ยวกูเลี้ยงเองไง”

“กูไม่สนใจ กูไม่ตั้งชื่อและกูก็ไม่เลี้ยง กูจะเอามันไปทิ้ง” ถ้ามึงยังเอาแต่กอด สนใจแล้วก็อุ้มมันไว้ตลอดแบบนั้น เอสปรายสายตามองแคปอีกครั้ง คำพูดต่อท้ายนั่นคือสิ่งที่เขาคิดแต่ไม่ได้พูดออกมา

“มึงมันใจร้าย”แคปต่อว่าอีกครั้ง เอสส่ายหัว “ใครสนล่ะ”

“..........” แคปไม่อยากต่อปากด้วยแล้ว เขาก้มลงมองหน้าลูกหมาในอ้อมอก เพราะว่าไอ้เจ้าตัวเล็กเงยหน้ามองพวกเขาสองคนสลับไปมา แคปสอดมือเข้าลูบหลังมันเบา ๆ เมื่อมันซุกใบหน้าเหมือนหาที่พึ่งพิง เขาเองก็ไม่ได้ว่าจะรักจะชอบหมาอะไรมากนักหรอกแต่พอนึกว่าจิตใจของคนที่ขาดแม่และรอคอยมันว้าเหว่ขนาดไหนเขาก็นึกสงสารมันมากๆ แคปเอื้อมมือไปจับมือใหญ่ของเอสเข้ามาลูบหลังมันเบา ๆ ตอนแรกทางนั้นก็เล่นตัวนิดๆรั้งมือตัวเองไว้แต่สุดท้ายก็ต้องยอม แคปหันไปฉีกยิ้มให้เอสจึงผลักหัวเล็กนั้นเบาๆ ยอมแพ้เลยจริงๆ

“คูเปอร์” เสียงทุ้มพูดขึ้น แคปหันไปมองแววตาเต็มไปด้วยคำถาม “อะไร? นั่นชื่อมันเหรอ”

“ถ้ามึงชอบ”

“แน่นอนอยู่แล้วเนาะคูเปอร์เนาะ ขอบคุณครับพี่เอสก่อนเร็ว คูเปอร์ขอบคุณงับ!” แคปจับเอาอุ้งเท้าป้อมๆของลูกหมาขึ้นมาแตะใส่ฝ่ามือใหญ่ สายตาคมกริบเบนลงมามอง  เขาปล่อยให้หนึ่งเมียกับหนึ่งหมาเล่นกับมือตัวเองจนพอใจ ไม่นานนักรถก็มาถึงที่หมาย น้ำลายเจ้าตูบเหนียวมือเป็นบ้า แคปดูเหมือนจะรู้รีบเอาเสื้อตัวเองมาเช็ดๆให้เป็นการใหญ่

“น้องสะอาดไม่เป็นไรหรอก”

“สะอาดนักล่ะ” คนฟังค่อนแคะ

“แล้วทำหน้าโหดทำไมวะเนี่ย น้องกลัวมึงจะแย่แล้ว” แคปต่อว่านิดๆตอนที่เข้าไปยืนกันอยู่ในลิฟต์

“ใครสน” เอสไม่รู้เขาพูดคำนี้กี่ครั้งแล้ว หันหน้าหนีไม่อยากเห็นภาพบาดตาหรอกว่าแคปมันโอ๋หมามากกว่าตัวเขา พอลิฟต์เปิดออกคนตัวโตเดินฉับๆไม่สนใจ

“เดี๋ยวๆ แล้วน้องจะนอนที่ไหน” ก่อนผลักบานประตูเข้าไปแคปรีบคว้าเอามืออีกคนไว้ ถามคำถามโง่ ๆ ที่ไม่รู้ว่าจะถามออกไปทำไม นี่มันห้องเขาเองแต่จำเป็นต้องขออนุญาตอีกคน ถ้าเข้าไปถามข้างในเดี๋ยวเกิดมีเรื่องด่ากันขึ้นมาอีก ก็สงสารเพื่อนอย่างไอ้ปอต้องทนนั่งฟัง

“ที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ห้องมึง”

“แต่ว่ากูอยากจะให้น้อง...”นี่คือจุดประสงค์หลักของเขาเลย

“ไม่มีแต่ คูเปอร์ต้องนอนนอกห้อง”

“แต่ว่า...” แคปหน้ายุ่งเหยิงยิ่งกว่าเก่า เอสก็แค่จ้องหน้าเขาแค่นั้น

“ถ้ามึงเอามันเข้ามานอนด้วย ตื่นมาหมาหายกูไม่รู้ด้วยนะ บอกไว้แล้วว่าจะเอามันไปทิ้ง คำพูดไหนของกูที่มึงไม่เข้าใจมั่งล่ะหื้อ”

“ไอ้เอส มึงแม่ง...”

“กูเกลียดหมาตัวผู้ บอกไปแล้ว”

“อะไร นี่ถ้าเป็นตัวเมียมึงจะชอบงั้นสิ”

“ตัวเมียยิ่งเกลียด”

“อะไรของมึงวะ”

“ตามนั้นแหละ” เสียงทุ้มตอบอย่างไม่ใส่ใจก่อนผลักบานประตูเปิดเข้าไป และคืนนั้นลูกหมาคูเปอร์ก็ต้องนอนเหงาแกร่วอยู่หน้าห้อง มันฉลาดมากรู้ว่าแคปกับเอสนอนที่ห้องไหนร้องเรียกงี๊ดๆอยู่ตลอดแคปก็ส่องออกมาดูมันตลอดเช่นกันจนเอสโมโหเขาจัดการส่งภาระนี้ให้กับปอบอกให้เป็นคนดูแล รายนั้นเอ๋อๆเบลอๆออกมาจากห้องไม่รู้เรื่อง พอเห็นคูเปอร์ก็ชมว่าน่ารัก แต่คูเปอร์ไม่ยอมจะเอาแคปท่าเดียว ปอเลยต้องนั่งเฝ้าจนมันหลับกว่าจะได้นอนปาเข้าไปตีสองกว่าๆซ้ำตอนเช้ายังต้องตื่นมาเก็บกวาดฉี่มันอีกด้วย

“ไอ้แคป! มึงมาเอาหมามึงออกไปจากห้องครัวเดี๋ยวนี้เลยมันกวนกูฉิบหายเนี่ยทั้งฉี่ทั้งอึ มึงต้องหาเชือกจูงมาพามันออกไปเดินเล่นสิวะ ฝึกขับถ่ายให้เรียบร้อยด้วยวู๊วกูเช็ดห้องจนจะเป็นลมแล้วเนี่ย ตื่นสักที!” เสียงปอโวยวายขึ้นมาแต่เช้า แคปงัวเงียหัวยุ่งปีนออกมาจากอ้อมกอดใหญ่ที่คุ้นเคยเดินออกมาดูเจ้าคูเปอร์

“งี๊ดๆ” เสียงคูเปอร์ดีใจวิ่งเข้ามาเลียเท้า มันกระดิกหางแล้วร้องงี๊ดๆต้อนรับ แคปก้มลงไปอุ้มมันขึ้นมาหอมเบาๆ

“หิวไหม...”

“มันคงตอบมึงได้หรอกไอ้แคป หาอะไรให้มันกินเลย อ้อแล้วก็ออกไปซื้อเชือกจูงมาด้วย”

“ไปตอนไหนเล่า เดี๋ยวก็ไปเรียนแล้วเนี่ย มึงก็ด้วยดิ”

“แล้วจะเอายังไง ตัวเองยังเอาตัวไม่รอดเสือกไปเอาหมามาเลี้ยง”

“เหอะน่า อย่าบ่นเป็นไอ้เอสสองนักเลยวะ”  ปอหันมองเพื่อนตัวเองแล้วส่ายหัว มันก็แน่อยู่แล้วที่เอสจะบ่น  เมื่อคืนเขาโดนเรียกให้มาโอ๋เจ้าคูเปอร์แทนแคปแล้วมองเพื่อนตัวเองถูกเอสลากเข้าห้อง เสียงตุ๊บตั๊บอื้ออ้าดังลอดออกมาก็รู้แล้วว่าแคปมันโดนทำโทษแน่ ๆ ปอหยิบเอานมจืดในตู้เย็นออกมาหนึ่งกล่องแล้วคว้าเอาถ้วยมาม่าพลาสติกที่ไม่ได้ใช้งานมาเทนมเย็นๆลงไป เจ้าคูเปอร์แค่ได้กลิ่นนมมันทำท่าดีใจแทบจะกระโจนลงไปกินหัวทิ่มถ้วย  แคปจึงดุมันบอกให้ใจเย็นๆค่อยๆกิน สักพักเอสเดินหัวยุ่งออกมา หน้าตายังไม่ตื่นแท้ๆแต่คงลืมตาขึ้นมาแล้วไม่เห็นคนข้าง ๆ เขาจึงเดินออกมาดู

“เอาใจมันแบบนี้เสียนิสัยตาย” เสียงทุ้มประชดประชันมาจากโซฟาแล้วตัวคนก็เอนลงนอนยืดขาพาดยาวไปจนเต็มเบาะนุ่ม แคปจับเอากล่องกระดาษทิชชู่แถวนั้นปาไปใส่หัวเอสโดนเต็มๆเลย เจ้าตัวลุกขึ้นมานั่งกัดปากชี้หน้าแคปแล้วทำมือเชือดคอจากนั้นชี้ใส่ไอ้เจ้าลูกหมาคูเปอร์

“มึงไม่กล้าหรอกไอ้สัส ลองดิ” แคปด่าแบบไร้เสียง เอสก็แค่ทำหน้าโหดๆใส่ ปอสะกิดเรียกเพื่อนตัวเองให้หันมา “แล้วจะทำไงกับวันนี้ล่ะวะ มึงกับกูมีเรียนนะ บ่ายก็ยาวต่อเลยคงไม่บ้าพากูกลับห้องมาเอาข้างเอาน้ำให้มันหรอกใช่ไหม”

“กูไม่บ้าแบบนั้นหรอกน่า”

“ก็แล้วจะทำไงล่ะวะ มึงบอกแผนมาสิ”

แคปนิ่งไปพักนึงครุ่นคิด มือลูบหัวที่มีขนสีครีมของคูเปอร์ไปด้วย จากนั้นเขาจึงตอบคำถามปอโดยการมองไปที่เอสด้วยใบหน้าแสนเจ้าเล่ห์  ปอถึงกับผงะ “เดี๋ยวกูจัดการเอง”

ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น แคปที่อาบน้ำจนเสร็จอยู่ในชุดเสื้อยืดสีขาวกางเกงยีนส์สีดำมองไปที่เตียง เอสมันเดินตามเข้ามาตั้งแต่ตอนที่เขาเข้ามาอาบน้ำแล้ว ตอนนี้ก็ยังนอนหลับสนิทอยู่ นิสัยชอบนอนคว่ำหน้าโชว์แผ่นหลังเป็นอะไรที่แคปมองเห็นจนชินชา

“กูจะไปเรียนแล้วนะมึง” แคปดึงเอาเสื้อช้อปออกมาพาดบ่าไว้ ก่อนเดินเข้าไปนั่งลงข้าง ๆ นึกๆดูแล้วแปลกใจอยู่นิดๆ เพราะปกติถึงไม่มีเรียนเวลาเดียวกันเอสมันกจะไม่พลาดไปส่ง น้อยครั้งจริงๆที่จะปล่อยให้เขาไปกับปอไม่ก็ขับรถไปเอง วันนี้มันไม่ยอมตื่นมาแต่งตัวแสดงว่าจะนอนยาวอยู่ห้องแน่ ๆ

“อืม” คนนอนงัวเงียตอบ ขยับตัวหันมาหาแล้วจับมือแคปมาจูบตามด้วยเล่นทะลึ่งๆโดยการเลียไปตามซอกนิ้วนิดๆ แคปฟาดผั๊วะไปที่ต้นแขนเอสถึงได้พออกพอใจ ยิ้มบางๆ

“มึงดูคูเปอร์นะ”แคปเข้าเรื่องทันที คนฟังถึงกับขมวดคิ้วทั้งที่ตายังหลับ “หือ?”

“เมื่อวานมึงบอกกูว่าคอร์สบ่ายถูกอาจารย์เลื่อนไปชดเชยวันอื่น แสดงว่าวันนี้มึงว่างทั้งวันถ้างั้นบ่ายพาคูเปอร์ไปซื้อสายจูงด้วย ถ้วยนมถ้วยน้ำแล้วก็อาหารเม็ด อ้อ มีนมกล่องรถจืดด้วย เอายี่ห้ออะไรก็ได้” จบคำสั่งร่ายยาวแคปลุกขึ้นทันที กะว่าจะไม่ให้คนฟังได้ทันตั้งตัวอะไรทั้งสิ้น ได้ยินแต่เสียงทุ้มแค่นหัวเราะ

“ไม่มีทาง”

“แต่มึงต้องทำ” แคปหันมากำชับใหม่ ขณะที่เอสก็แค่ส่ายหัว  “กูไม่สน เดี่ยวจะเอามันไปทิ้งถังขยะแถวๆนี้แหละข้างล่างมีถังขยะใหญ่กูเห็น”

“ไอ้สัส กูรู้มึงไม่กล้าทำหรอก น้องน่ารัก คูเปอร์เป็นหมาของมึงนะ ตั้งชื่อให้มันแล้วจะใจร้ายเอามันไปทิ้งได้ไงวะ  รีบตื่นด้วยล่ะหาข้าวให้มันกินด้วย นมสดกูให้แล้วเหลือแต่ต้องพามันออกไปฉี่อย่าลืมเรื่องสายจูง หรือมึงจะฝึกมันให้ฉีในห้องน้ำก็ได้ถ้ามึงสามารถพอ”

“บ้าฉิบแคป” เอสลุกขึ้นนั่งอย่างโมโห เขาพ่นคำด่าออกมาโดยที่ตัวแคปเดินออกจากห้องไปแล้วด้วยซ้ำ จริงๆก็รู้อยู่แล้วว่าวันนี้ต้องอยู่เป็นเพื่อนไอ้ลูกหมาหน้าโง่นั่น แต่ใครจะสนล่ะก็แค่ต่างคนต่างอยู่แล้วนี่อะไรแคปมันมาสั่งให้เขาพาคูเปอร์ไปซื้อนั่นซื้อนี่น่ะนะ บ้าเอ๊ย

“กูไปเรียนแล้วนะดูคูเปอร์ให้ดีด้วย” เสียงแคปดังลอดเข้ามาอีก ตามด้วยเสียงปิดประตูด้านนอกโครมใหญ่บอกให้รู้ว่าตอนนี้ไปกันหมดแล้วแน่ๆ เอสลุกขึ้นนั่งเสยผมอย่างหงุดหงิด ตอนที่กำลังจะเข้าไปอาบน้ำเสียงงี๊ดๆดันดังสะท้อนเข้ามาจากหน้าประตู

“โว๊ย!!!” เขากระชากผ้าเช็ดตัวแล้วเข้าห้องน้ำไม่อยากจะสน  ใช้เวลาไม่นานก็ออกมาแต่งตัวในชุดเล่นสบายๆ เปิดผั๊วะประตูออกมาเกือบจะเหยียบไอ้ลูกหมาป้อมๆอ้วนๆที่นอนพิงอยู่หน้าบานประตูจนชิดติดกรอบเลย  เอสกระโดดข้ามเกือบไม่ทัน

“นอนไม่เป็นที่เป็นทางนะมึง” เขาดุมัน คูเปอร์เงยหน้ามองพลางเอียงหัว หูลู่ไปด้านหลังด้วยความกลัวว่าอีกฝ่ายทำไมจึงโกรธ มันร้องขึ้นมา “งี๊ดๆ”

“น่ารำคาญ” เอสเห็นหน้ามันแล้วยิ่งหงุดหงิด เขาเดินไปที่ตู้เย็นคว้าเอาน้ำผลไม้เทใส่แก้วดื่ม คูเปอร์เดินส่ายตูดช้าๆตามมายืนมอง มันร้องงี๊ดๆอีกครั้งพอเอสไม่สนใจมันก็เห่าเรียกทำเสียงเล็กๆ

ดูเหมือนเป็นครั้งแรกที่มันเห่าตั้งแต่พามาอยู่ด้วย

“แค่วันเดียวเท่านั้น” เขาเดินเข้าไปชี้หน้าทำเสียงดุ แต่เจ้าลูกหมาทำหน้าตาราวกับจะเข้าใจ มันกระดิกหางอย่างดีใจ เดินเข้าไปดมขาคนที่เดินฉับๆไปคว้าเอาพวงกุญแจรถแล้วช้อนเอาตัวมันขึ้นมาอุ้ม ในตอนนั้นเองที่เอสต้องชะงักไปนิดๆ เพราะว่าตัวเขาใส่นาฬิกาเหล็กเรือนค่อนข้างใหญ่กลัวว่าจะไปขูดถูกท้องคูเปอร์เข้า เขาจึงถอดออกวางไว้ จากนั้นอุ้มมันขึ้นมาใหม่ทุลักทุเลนิดๆนี่เป็นครั้งแรกหลังจากที่เคยเลี้ยงหมาตัวแรกของที่บ้านพอมันตายเขาและครอบครัวไม่เลี้ยงตัวไหนอีกเลยเพราะเข็ดกับการสูญเสีย  ดวงตาคมกริบจ้องมองลูกหมาที่อยู่ในมือ มันดูกลัวนิดๆตอนที่ต้องอยู่ในลิฟต์ เอสก็แค่ตบหัวมันบอกเป็นตัวผู้จะกลัวทำไมกะอิแค่ลิฟต์ คูเปอร์ร้องประท้วงงี๊ดๆเอสส่ายหัวไม่อยากจะสน

“ขอบคุณมากนะคะน้องน่ารักจังเลย” นี่คือเสียงจากพี่สาวที่ร้านขายอุปกรณ์เกี่ยวกับสุนัขทุกรูปแบบ เขาพามันมาหาของใช้ต่างๆที่นี่ ปล่อยให้เลือกเองลูกหมาอย่างคูเปอร์ก็ได้แต่นั่งจ๋องมองเจ้าของอยู่ที่ปลายเท้า เอสไล่ให้มันไปเลือกเอาของที่อยากได้เองแต่มันก็ไม่เข้าใจหรอก เขาจึงต้องเดินไปหยิบสุ่มๆออกมาลูกบอลบ้าง ขนมกระดูกเทียมบ้าง ท็อฟฟี่หมาแล้วก้อะไรอีกหลาย ๆ อย่าง  อะไรบ้างนะที่แคปสั่งไว้เมื่อเช้า ลืมไปเกือบหมด แต่ก็หอบของได้เต็มตะกร้า

“คุณพ่อน่ารักจังเลยซื้อขนมให้หนูเยอะแยะเลยครับ” เสียงเสียดหูของพี่สาวเจ้าของร้านพูดขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเห็นเอสถือตะกร้าของออกมาวางลงที่เคาน์เตอร์เพื่อเช้คบิล เรียกแทนตัวเขาว่าเป็นคุณพ่อของเจ้าตูบหน้าตาโง่ๆเนี่ยนะ

“น้องจะทานได้เหรอคะ ฟันน้ำนมยังไม่ขึ้นเลย” เธอหัวเราะเบาๆอย่างอารมณ์ดี เอสยิ่งอายไปใหญ่ ลืมนึกเรื่องนี้ไปเลยเขาจึงขอให้เธอไปเปลี่ยนมาให้ เธอจะพาคูเปอร์ไปเลือกด้วยแต่เจ้าลูกหมาไม่ยอมคูเปอร์เงยหน้าเรียกเอสงี๊ดๆ แต่เอสส่ายหัวบอกไม่สนแล้ว เจ้าของร้านหัวเราะอีกครั้งก่อนเดินไปเลือกของอร่อยๆนุ่มนิ่มอันใหม่มาให้

วันนั้นกว่าเอสจะพาคูเปอร์กลับถึงห้อง แคปกับปอก็กลับมาถึงก่อนแล้ว

“โหหหหได้เชือกจูงสีชมพูด้วย มึงตัวผู้หรือตัวเมียกันแน่ฮึเจ้าคูเปอร์” แคปแซวตอนที่เอสโยนถุงทั้งถุงส่งให้ ก่อนที่เขาจะเข้าไปอาบน้ำอาบท่าแล้วบอกห้ามกวนเพราะมีงานต้องเคลียร์ แคปยักไหล่แล้วดึงชายเสื้อคนตัวสูงไว้ 

“ขอบใจ” คนพูดๆแล้วทำท่าเขินนิดๆ ขณะที่คนฟังยกยิ้มขึ้นที่มุมปาก จำไม่ได้ว่าเขาเคยได้คำๆนี้จากแคปหรือไม่ แต่วันนี้พาเจ้าตัวโปรดของมันไปแล้วทำให้เขาได้เห็นใบหน้าแบบนั้นของแคปได้ก็ถือว่าคุ้ม

“มีรางวัลให้ไหมล่ะ” เขาว่าแกมหยอกล้อบิดแก้มแคปไปหนึ่งทีแต่โดนตีมือกลับมาก่อนพร้อมกับโดนไล่ให้เข้าห้องอย่างไว  คืนนั้นสองคนนั่งทำการบ้านอ่านหนังสือที่โต๊ะข้างกัน เสียงเคาะประตูดังขึ้นจากนั้นปอก็เปิดเข้ามาพร้อมกับคูเปอร์ที่เห็นแคปแล้วรีบเข้ามาอ้อนๆดมๆเท้าจะขอขึ้นตัก

“เอามันเข้ามาทำไมวะ” เอสหันไปตำหนิ ช่วงนี้ปอจะค่อนข้างอยู่ในอาณัติของเจ้านายอย่างเอสมาก แคปสังเกตหลายรอบแล้วเขาเชื่อว่ามันต้องโดนคุณนาคินเลขาท่านเจ้าสัวล้างสมองมาแหง ๆ ไม่ว่าเอสจะสั่งให้ทำอะไรถ้ามันทำได้ก็จะทำให้เลยไม่บ่น ราศีเลขารองมือรองเท้าเจ้านายเริ่มจะมาแล้ว แถมไม่ค่อยจะพูดจาหยาบๆกับเอสเหมือนก่อน บางครั้งถึงขนาดลงท้ายว่าครับรับคำสั่ง พอรู้สึกตัวแม้แต่ตัวมันเองยังสะดุ้ง

“มันร้องนี่หว่า กูก็เอาไม่อยู่แล้ว มันอยากหามึงอ่ะให้มันนอนด้วยเหอะกูขี้เกียจไปนั่งเฝ้ามีการบ้านเหมือนกันนะเว้ย แล้วที่สำคัญกูอุ้มมันเข้าไปนอนถึงเตียงมันยังหยิ่งจะออกมาหามึงลูกเดียวเลย”

“หมาหน้าโง่” เอสหันไปมองแล้วก็ชี้หน้าดุใส่ แคปตีนิ้วดุๆนั่นหนึ่งที

“ให้มันนอนนี่แหละกูพามันฉี่แล้ว” ปอไม่สนอะไรแล้ว ว่าจบเดินออกไปปิดประตูเสียงดัง คูเปอร์ทำหน้าร่าเริง กระดิกหางส่ายตูดมองเอสทีแคปที จากนั้นจะเดินไปกระโดดขึ้นเตียงแต่มันเตี้ยมากจึงขึ้นไม่ได้กัดผ้าปูเตียงที่ห้อยชายลงมาอย่างดกรธแค้นก่อนเดินส่ายก้นเข้ามาหาเอส แต่รายนั้นก็ไม่สนใจอีก แคปมองแล้วส่ายหัว งานตัวเองก็ยังไม่เสร็จเขาจึงไม่สนใจมันเหมือนกัน ในตอนนั้นมันจึงนั่งแหมะลงที่พื้นแล้วใช้ฟันที่กำลังจะขึ้นแทะๆขาเก้าอี้ของเอสเล่นเสียงดังครืดๆคราดๆ ชวนให้รำคาญ

“กูแน่ใจว่าจะต้องเอามันไปทิ้งสักวัน” จู่ๆเสียงทุ้มต่ำพูดขึ้นเย็นเฉียบ แคปที่ได้ยินเต็มสองหูถึงกับวางปากกาในมือลงเสียงดัง “มึงนี่มัน...” เขาถอดแว่นสายตาออกแล้วหมุนเก้าอี้หันมาจ้องหน้า “อย่าพูดอะไรแบบนั้นอีก บางทีคูเปอร์อาจจะเข้าใจ”

“เข้าใจแล้วยังไง” เอสยักไหล่ไม่อยากจะสน

“มึงมันใจร้าย ถ้าน้องฟังออกมันน้อยใจ”

“ใครสน”

“บ้าเอ๊ย” แคปโมโหลุกขึ้นแล้วเดินย่ำเท้าออกไปที่ห้องปอดึงเอาผ้าห่มผืนใหม่ที่จำได้ว่าปอมีอยู่ในตู้เอาไว้ให้อาร์เวลามานอนค้างด้วยออกมา มันเป็นผ้าห่มลายไดโนเสาร์สีเขียวอ่อนผืนไม่ใหญ่นัก ปอร้องโวยวายแคปจึงบอกว่าเอสสั่งให้มาเอา นั่นแหละมันจึงเงียบแล้วเขาจึงได้ผ้าผืนนั้นมา

“คูเปอร์มานี่ นอนๆ” แคปพับผ้าห่มเป็นก้อนสีเหลี่ยมเล็กๆแล้วตบลงไปสองสามที เขาเรียกคูเปอร์ที่กำลังตั้งอกตั้งใจแทะลูกบอลสีแดงที่เอสเพิ่งซื้อให้มันแบบไม่ได้ตั้งใจในวันนี้ วิ่งดุ๊กๆเข้ามาหาแคป มันหันซ้ายหันขวาหมุนตัวแล้วนอนขดน่ารักมาแคปมองแล้วก็ขำ เขาลูบขนสีครีมของมันเบา ๆ ยาวไปตามแนวหลัง คูเปอร์ยิ้มตาหยีขยับเป็นนอนหงายโชว์พุงแคปจึงเกาท้องอ้วนๆนั้นให้เบา ๆ มันร้องงี๊ดๆแล้วงับมือแคปไว้

“พี่แคปจะต้องทำการบ้าน คูเปอร์ห้ามกวนนอนได้แล้วนอนตรงนี้นะ” แคปบอกมันไว้ดิบดีพอเขาเดินมานั่งลงที่โต๊ะลูกหมาคูเปอร์ก็กระโดดลงมาเล่นอยู่แถวพื้นปลายเตียง

“สนใจมันจริงนะ ไม่พามันขึ้นไปนอนด้วยที่เตียงเลยล่ะ” เสียงทุ้มประชดแขวะขึ้นอีก ดูเหมือนเอสจะแอบดูแคปอยู่ตลอดนั่นแหละ

“ได้เหรอ” แคปถามหน้าซื่อแกล้งกลับบ้าง แต่มิวายโดนเอสล็อคคอเล็กอย่างเร็วก่อนจูบลงไปหนักๆหนึ่งทีแต่ยาวนาน เสียงหัวเราะเบาๆหลุดออกมาจากลำคอเขาทั้งคู่ สองคนใช้ปลายลิ้นสู้รบกันอยู่ มือใหญ่ขยับเลื่อนเข้าไปช้อนเอวเล็กให้เข้ามานั่งลงที่ตัก จูบกันต่ออีกสักพักริมฝีปากหยักจึงค่อยๆถอนออกมาอย่างแสนเสียดาย

“ถ้ามึงทำอย่างนั้นกูฆ่ามันแน่ แม้กระทั่งหมากูก็ไม่สน”

“มึงมันบ้า”

“ก็แค่อย่าทำ” แคปตีปากคนตรงหน้าไปเบาๆหนึ่งที เขามองดูคูเปอร์ที่นอนแทะลูกบอลแล้วมองเขาสองคนอยู่ตาแป๋ว คงงงว่าไอ้อาการดูดปากกันแบบนี้มันคืออะไรแต่แคปก็ไม่จำเป็นต้องมานั่งอธิบายหรอก เขาสองคนต่างนั่งทำงานกันต่ออีกสักพักจนเวลาล่วงมาราวๆตีหนึ่งเศษจวนจะตีสอง เอสปิดหนังสือดับโคมไฟรวมถึงอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ทุกอย่างที่โต๊ะ  ชำเลืองมองแคปที่ยังง่วนอยู่กับรายงานเล่มใหญ่ที่ต้องใช้มือในการเขียนส่ง ก่อนที่ตัวเองจะเข้าไปทำธุระส่วนตัวเล็กน้อยที่ห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตาจนปอยผมเปียกชุ่มแล้วมานอนรอแคปอยู่ที่เตียงเย็นๆ คงอีกไม่นานนักเพราะลิมิตของทางนั้นเขารู้ดีไม่น่าจะเกินตีสองครึ่งเขาจึงหยิบเอานิตยสารเกี่ยวกับรถยนต์ที่แคปมันชอบซื้อมาอ่านพลิกเปิดดูเรื่อยๆรอ 

อากาศเย็นๆจากลมของเครื่องปรับอากาศกวนใจเขาอยู่ตลอด ไม่ใช่ว่าเพราะตัวเองหนาวหรือแคปหนาว แต่ไอ้ตัวกลม ๆ สีครีมที่มันนอนตะแคงหลับปุ๋ยอยู่แถวหน้าประตู ขนนุ่มนิ่มนั่นขยับปลิวเพราะว่าลมจากแอร์ที่ตกลงมาใส่ ที่นอนที่แคปปูไว้ให้ก็ไม่ยอมปีนขึ้นไปนอนดันพาตัวเองไปนอนแอ้งแม๊งอยู่ตรงนั้นได้ พื้นก็ออกจะเย็นครั้นจะไปอุ้มมันขึ้นนอนบนเบาะดีๆก็ใช่เรื่อง เขาไม่สนใจมันขนาดนั้นอยู่แล้วก็แค่ลูกหมาที่ชอบทำหน้าโง่ ๆ  ทว่าไม่รู้ทำไมเหมือนกันที่เขากลับไม่สามารถละสายตาออกมาจากไอ้ลูกหมานั่นได้เลย เขาเหล่มองคูเปอร์อีกครั้ง และอีกครั้ง หลังจากบอกตัวเองอยู่นานว่าช่างหัวมันสิวะ ก็แค่หมาที่มันติดแคปแจ

“บ้าชะมัด!” จู่ ๆ เขาก็ลุกพรวดขึ้นหน้าตายุ่ง เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าคว้าเอาผ้าเช็ดตัวออกมาผืนนึงแล้วเดินเข้าไปหาคูเปอร์ จะโยนใส่หัวก็เดี๋ยวเกิดตื่นขึ้นอีกแคปมันคงจะยุ่งยากลงไปนั่งเอาใจโอ๋กันน่าดู เอสจึงค่อยคลี่ผ้าออกแล้วห่มให้มันอย่างเบามือจนชิดถึงคอ ไม่ใช่ว่ารักหรอกนะบอกไว้เลยก็แค่หมาหน้าโง่ที่ทำตัวน่ารำคาญกับเขาและแคปมันก็แค่นั้น คูเปอร์ขยับตัวเล็กน้อยด้วยอาจเพราะเป็นหมาเด็กมันจึงไร้เดียงสานัก เอสมองมันแล้วก็ย่นหัวคิ้ว หน้าตาโง่ๆแบบนั้นแคปบอกว่าน่ารัก เห่อะ แต่กับเขาหล่อกว่าตั้งหลายเท่าอะไรวะ ไม่เคยชมกันแม้แต่สักครั้ง

เสียงลมหายใจของเจ้าตูบดังงี๊ดๆขึ้นมาอีกครั้ง มันเหมือนกับว่าปรือตาขึ้นมามองแต่แล้วก็หลับลงไปต่อด้วยหน้าตาที่ไร้เดียงสา เพราะไว้วางใจในฝ่ามือใหญ่ของอีกคน เอสลุกขึ้นมองไม่วางตา เขาแทบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าอมยิ้มออกมาตั้งแต่ตอนไหน และทั้งหมดนั่นตกอยู่ในสายตาคู่นั้นของแคปทุกอย่าง ริมฝีปากที่จุดรอยยิ้มอบอุ่นขึ้นกลางดึกทำเอาคนมองอย่างแคปหน้าร้อนผ่าว ๆ

ลูกหมาลาบาดอร์สีน้ำตาลอ่อนถูกฝึกให้ขับถ่ายเป็นที่เป็นทางตลอดมาหลังจากนั้นมันเริ่มปรับตัวเข้าที่เข้าทางและจดจำคำสั่งหายอย่างของแคปได้ภายในช่วงเวลาไม่กี่สัปดาห์หลังจากนั้น ตอนนี้มันกลายเป็นหนึ่งในรูมเมทของห้องนี้ไปแล้ว อาหารที่ปอซื้อมาแช่ตู้ไว้บางครั้งจะมีไอติมหวานๆของมันด้วย คูเปอร์ชอบกินไอติมมากเพราะว่ามันขี้ร้อน ชอบนอนหน้าห้องน้ำ ลิ้นสีแดงๆเวลากินไอติมรสสละจะห้อยยาวออกมาทำหน้าตาโง่ๆน่ารักมากมาย  เวลาประจำในช่วงเย็นถ้าแคปกับเอสออกไปทานข้าวกันข้างนอกปอจะพาคูเปอร์ไปเดินเล่นที่สนามหญ้าของคอนโดเพื่อให้มันขับถ่าย ตอนนี้คูเปอร์น้ำหนักเพิ่มขึ้นมาอีกนิดหน่อยแล้วจากที่อ้วนอยู่แล้วกลับยิ่งอ้วนขึ้นไปอีก แคปกับปอเอาใจมันมากขณะที่เอสก็ยังคงตั้งแง่เป็นคู่ปรับมันอยู่เหมือนเดิม แต่แปลกอยู่ว่าทุกคืนคูเปอร์จะคาบที่นอนของตัวเองไปนอนอยู่หน้าเตียงฝั่งที่เอสนอนเป็นประจำ รายนั้นก็เลยจำเป็นต้องห่มผ้าให้มันไปโดยปริยายจนเป็นหน้าที่ไปแล้ว


หนึ่งเดือนหลังจากนั้นเป็นวันที่แคปจะต้องเดินทางไปจัดรายการนอกสถานที่ บนเกาะที่ขึ้นชื่อว่าศิวิไล สวยงามและคึกคักที่สุดของระยอง  เสม็ดคือจุดหมายปลายทาง รถออกจากกรุงเทพสายๆพอมาถึงบ้านเพก็ช่วงบ่ายพอดี สารถีหนุ่มรูปหล่อไม่ใช่ใครที่ไหน เซอร์ไพรส์นิดๆเพราะว่าอาฟี่ออกคำสั่งให้ลาเต้มาคุมน้องชายเองตลอดทั้งทริป ตอนนี้ในรถเลยมีแคปที่นั่งข้างกันกับพี่ชาย ส่วนเบาะหลังคือแบงค์ที่ติดรถสองพี่น้องมาด้วยตามคำสั่งของพี่หนึ่งที่พาทีมงานมาเที่ยวกันก่อนหน้าแล้ว แต่เพราะว่าตารางเรียนเต็มวันของทั้งคู่  เต้เลี้ยวรถเข้าไปจอดฝากไว้เรียบร้อยสามหนุ่มคว้าเป้คนล่ะใบสะพายบ่าเดินลงไปรอที่ท่าเรือ แบงค์โทรดิวกับทีมงานอยู่ไม่นานสักพักเรือเร็วสีฟ้าขาวของรีสอร์ทก็มาจอดเทียบท่ารับสามผู้โดยสารก่อนทะยานออกตัวบนพื้นผิวน้ำ

“หิวรึเปล่าคาปู” เต้หันมาถามน้องชาย พวกเขาสามคนยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงกันเลย ออกจากกรุงเทพมาเกือบๆเก้าโมง รถติดกว่าจะฝ่าใจกลางดงออกมาได้ เขาเลยเหยียบยาวแวะปั๊มไปแค่สองที

“ไม่หิวหรอก ร้อนมากกว่า” แคปส่ายหัวบอกไม่หิวเขาร้อนมากว่าหิวเสียอีก แคปขยับเข้าร่มเมื่อแสงแดดไล่เข้ามา เต้เองก็ขยับตาม บนเรือเร็วที่ทะยานเข้าสู่เกาะขนาดกลางเรื่อย ๆ วิวรอบๆสวยงามแปลกตากว่าในเมืองหลวงบนผืนแผ่นดินที่เห็นจนชินตา อย่างน้อยก็กลิ่นหอมของทะเล สายลมและเกลียวคลื่น ถึงจะเคยมาเที่ยวก่อนหน้าแล้ว แต่ทุกคนยังอดไม่ได้ที่ต้องมองไปรอบๆสำรวจน่านน้ำสีฟ้าครามอย่างตื่นเต้น แบงค์ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามมองสองพี่น้องคุยกันแล้วอมยิ้มออกมา ขณะที่เต้มองเพื่อนน้องชายนั่งกลางแดดเปรี้ยงแบบนั้นจึงบอกให้เลื่อนมานั่งที่ฝั่งเดียวกัน

“อากาศดีว่ะวันนี้ ท้องฟ้าโปร่งเชียวถึงจะแดดไปนิดก็เถอะ” แบงค์ชวนคุยหลังจากย้ายมานั่งลงข้างแคป เขามองดูคนที่ถูกลมทะเลโกรกใบหน้าสีขาวจนแดงจัดไปหมด เส้นผมสีอ่อนที่ยาวปรกหน้าปิดตาแลดูยุ่งเหยิงจนนึกขำ มองอยู่อย่างนั้นจนแคปฟาดมือโบกใส่หัวแล้วทำตาดุ ดูเหมือนจะรู้ตัวว่าโดนจ้อง แบงค์จึงหัวเราะเบา ๆ ก่อนถอดหมวกแก็ปสีดำที่อยู่บนหัวตัวเองสวมให้แทน “ใส่ไว้สิ อ่ะ..”

“ต่างคนต่างนั่งได้ป่ะ..”  แคปเอียงหัวหลบตามสัญชาตญาณแต่สู้คนที่พยายามจะสวมให้ไม่ได้หรอก

“หัวมึงเป็นรังนกเหรอ” แบงค์ว่าขำ ๆ พอใส่ให้ได้สำเร็จ มองดูผลงานตัวเองแล้วยิ่งขำหนัก  

“กูชอบให้หัวยุ่งๆ รังนกก็เข้าท่าดี” แคปบอกพลางขยับหมวกที่ได้มาใหม่ให้เข้าที่ มองแบงค์ที่เพิ่งไปตัดผมมาใหม่พอถอดหมวกแล้วจึงเห็นชัด มันสั้นขึ้นพอสมควรหน้าตาเลยยิ่งดูเด็กและสดใสมากขึ้นไปอีก

“มึงไปตัดผมมาใหม่เหรอวะ” แคปถาม แบงค์หันมองก่อนเสยผมแล้วยักคิ้วให้แคปกวนๆ “หล่อป่ะ สู้แฟนมึงได้ไหม” ประโยคหลังโน้มตัวเข้าไปกระซิบแคปได้ยินรีบหันไปมองพี่ชายแต่เต้หันไปอีกทางคุยโทรศัพท์ไม่ได้สนใจ เขาจึงหันมาประเคนคำด่าใส่ไอ้เด็กตัวกวน

“สัส! ปากมากนัก” แบงค์หัวเราะเบา ๆ ย้ายก้นกลับไปนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามสองพี่น้องเพราะว่าเห็นว่าแดดเริ่มอ่อนลงแล้ว ตะวันยามบ่ายคล้อยถูกก้อนเมฆเคลื่อนตัวมาบดบัง  จุดหมายปลายทางใกล้เข้ามาทุกทีเมื่อเรือลำเล็กกำลังมุ่งไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือคาดว่าคงจะลงที่หน้าหาดที่พัก ไม่ผ่านท่าเรือใหญ่ที่หน้าด่าน  แบงค์ล้วงเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปวิวไปเรื่อยเปื่อย มีเกาะเล็กๆที่มองเห็นได้ชัดจากที่ตรงนี้ หาดทรายทางทิศตะวันออกของเกาะที่ค่อนข้างเงียบเหงา รวมไปถึงเรือหาปลาที่ลอยอ้อยอิ่งห่างออกไป ทว่ามีอยู่สามรูปที่เป็นรูปของสองพี่น้องที่เขาตั้งใจถ่าย รวมถึงรูปที่มีเฉพาะแคปติดอยู่ในเฟรมร่วมกับภาพวิวทิวทัศน์อีกสี่ห้ารูป พอกดดูแล้วนึกขำขึ้นมา เห็นแต่แขนเฮียเต้กอดบ่ามันไว้

“แอบถ่ายรูปกูกับน้องมึงต้องจ่ายค่าใช้บริการสิ..” เสียงทุ้มของเต้แซวขึ้น แบงค์ลดโทรศัพท์มือถือลงมองคนตรงหน้า เต้ล็อคคอแคปเข้ามาใกล้ยิ่งกว่าเก่า  บอกแบงค์ว่าให้ถ่ายเพิ่มอีกรูป มือใหญ่จับหัวแคปแล้วบอกน้องชายว่าให้ฉีกยิ้มแต่แคปมีหรือจะฟัง เขาก็แค่ทำหน้าตาบิดเบี้ยวตาเหลือกๆแลบลิ้นใส่เต้ คนรอถ่ายอย่างแบงค์ขำจนตัวงอ

แชะ!

“ไลน์มาให้กูด้วย เอารูปที่ติดคาปูกับกูทั้งหมดที่มึงมีนั่นแหละ” เต้บอกหลังจากรูปที่ตั้งใจถ่ายสำเร็จเรียบร้อย แคปรีบมุดออกจากวงแขนใหญ่ลุกขึ้นแล้วเดินไปถามอะไรสักอย่างกับน้องคนขับเรือ

“ไม่คิดมาก่อนเลยนะว่ามึงกับน้องกูจะมาสนิทกันได้” เสียงทุ้มของเต้เอ่ยขึ้น แบงค์หันมอง  “เห็นกระทืบกันเมื่อวันกีฬาสีแล้ว นึกว่าจะเหม็นขี้หน้ากันไปตลอดซะอีก ที่ไหนได้ตอนคาปูมาบอกกูว่าคนที่ต้องจับคู่กันทำงานก็คือมึง กูนี่อึ้งไปพักใหญ่เลยล่ะ แต่สุดท้ายถ้างานเข้ากันดีก็โอเค”

“..............” แบงค์เพียงแค่ไหวไหล่ เขาไม่ได้โต้ตอบอะไรเต้เลยสักคำ

“เราจะลงหน้าหาดเลยใช่ไหมน้อง” แคปที่ยืนอยู่ข้าง ๆ คนขับเรือถามขึ้น เขาตั้งใจมองวิวสวยๆของชายหาดที่ใกล้เข้ามาเต็มที หาดนี้ยังไม่เคยมาแต่หลายวันก่อนฟังจากที่แบงค์มันเล่าให้ฟังเลยต้องหาข้อมูลเองบ้าง

“ใช่ครับ รีสอร์ทของเรามีท่าเรือส่วนตัว เกือบถึงแล้วล่ะครับพี่ ตรงนั้นไง” น้องคนขับชี้ให้ดู แดดที่ร้อนในตอนแรกหุบตัวลงแล้ว เรือโดยสารที่บรรทุกนักท่องเที่ยวสามสี่ลำวิ่งสวนกันอยู่ไม่ไกล สันกั้นน้ำจากชายฝั่งที่ห่างออกไปมากทุกขณะ ไม่รู้ทำไมจู่ๆแคปกลับนึกถึงคูเปอร์กับเอสขึ้นมาได้ จะว่าไปเมื่อวานจนถึงเมื่อเช้ากว่าเขาจะได้เดินออกมาจากห้องเกือบๆจะต้องฆ่ากันตายกับใครบางคน แถมยังต้องรีบลงไปรอด้านล่างเพราะกลัวพี่ชายขึ้นมาถึงห้องอีกต่างหาก


“ไม่ให้ไป” เอสยืนยันเสียงเขียวทันทีที่แคปบอกเขาว่าพรุ่งนี้จะต้องไปทำงานที่เสม็ด ความจริงบอกไว้ตั้งแต่หลายสัปดาห์ก่อนแล้วคิดว่าจะเข้าใจกันแล้วเสียอีก พอบอกวันที่แน่นอนเข้าจริง ๆ เอสมันโกรธเขาจนตาเขียว

“กูไปทำงานแค่คืนเดียว มึงอย่าบ้าไปหน่อยเลย” แคปอุ้มคูเปอร์ให้ลงจากโซฟา งานนี้กูง้อยาวแน่ ๆ เอาลูกหมาลงไปก่อนเดี๋ยวมันโมโหเตะกระเด็นได้ทะเลาะกันตาย   คูเปอร์กระดิกหางวิ่งไปฉี่ในห้องน้ำก่อนออกมานอนกัดลูกบอลเล่นมองหน้าพวกเขาสองคน

“แล้วทำไมเพิ่งมาบอกวะแคป” เสียงทุ้มหงุดหงิดเต็มที่ เขาถามไปพลางส่ายหัวทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟา

“จำได้ว่าบอกมึงไปแล้วครั้งนึงนะ”

“คำว่า อาจจะ กับคำว่า พรุ่งนี้ต้องไปนี่มันต่างกันไหมมึงว่า”

“โฮ้ย กูไม่พูดแล้ว ยังไงก็ต้องไปกูบอกพี่หนึ่งไปแล้วไม่มีอะไรเปลี่ยนหรอก” แคปคว้าเอาหมอนอิงเข้ามากอด เอสปรายสายตาดูแล้วยิ่งโมโห

“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวกูไปด้วย”

“กูบอกว่ากูไปทำงานเอส มึงเข้าใจบ้างสิวะ”

“ถ้าไปทำงานกับไอ้เด็กนั่นกูไม่เข้าใจหรอก”

“ก็แค่คืนเดียวไอ้สัสมึงจะอะไรนักหนาวะห๊ะ” แคปย้ำชัดๆอีกครั้งอารมณ์ขึ้นแล้วเขายิ่งใจร้อนขึ้นง่าย แต่เอสก็แค่ส่ายหัวปฏิเสธลูกเดียว แคปปรับลมหายใจจากนั้นขยับเข้าไปนั่งใกล้ ๆ แล้วจับมือมันขึ้นมาต้องใช้น้ำเย็นเข้าลูบ ต้องใจเย็น ๆบอกตัวเอง  “กูไปทำงานเท่านั้น มึงไม่ไว้ใจกูเหรอ กูมันเชื่อไม่ได้ใช่ไหม”

“กูไม่ไว้ใจไอ้เด็กนั่นต่างหาก” เอสสวนขึ้นทันทีไม่รอช้า เขารู้ว่าแคปกำลังพยายามพูดแล้วแต่ให้ตายเหอะ ยังไงก็ไม่ยอมแน่ ๆ มือใหญ่จะดึงออกจามือแคปที่จับไว้เพราะความโมโห แต่แคปก็แค่จับมือมันไว้แน่นๆเท่านั้น

“ถ้ามึงไปด้วยแล้วใครจะดูน้อง คูเปอร์ยังเด็ก”

“กูไม่สนใจ ไอ้ปอก็อยู่”

“แต่ว่า...

“ครั้งสุดท้ายแคป กูจะไม่พูดเรื่องนี้แล้วนะ ถ้าไปคนเดียวกูไม่ให้ไป มีคำไหนที่มึงไม่เข้าใจอีกบ้าง..” เอสว่าแล้วลุกเลย แคปเงยหน้ามองอย่างจนใจ ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องเป็นราวขนาดนี้ วันก่อนโทรบอกที่บ้าน เฮียโก้ซักไซ้ใหญ่แต่สุดท้ายก็ยอมเพราะว่าแค่คืนเดียว ขณะที่อาฟี่ไม่สนใจแม้แต่จะถามว่าใครไปมั่ง แต่กับไอ้ผู้ปกครองยักษ์จอมยุ่งยากนี่สิ แคปจนปัญญาก็เพราะว่าเอสมันเคยมีเรื่องกับแบงค์มาก่อน จะทำไงได้สุดท้ายก็คงต้องพามันไปด้วยอยู่ดี แคปมองไอ้คนที่นั่งหน้ายุ่งอยู่ข้าง ๆ แล้วขยี้หัวตัวเองจนยุ่ง กำลังจะเอ่ยปากบอกมันว่าโอเคมึงไปด้วยก็ได้ แต่เสียงโทรศัพท์ดันดังขึ้นก่อน

Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr

เป็นสายจากเต้ที่โทรมาโวยวายใหญ่บอกอาฟี่โทรไปสั่งให้เขาตามไปคุมแคปทำงานที่เกาะนั่นด้วย

“ห๊ะ!” แคปอุทานนึกว่าฟังผิด

(อะไรนี่มึงได้ยินไม่ชัดอีกเรอะ)

“โหยเฮียเต้ จะไปด้วยจริงดิ” แคปย่นคิ้วหน้างอโวยวายขึ้นมา ตอนที่โทรบอกอาฟี่รายนั้นไม่สนใจแท้ ๆ แต่สุดท้ายดัดหลังโดยการส่งให้พี่ชายเขาตามไปคุมซะงั้น

(คำสั่งอาฟี่มึงคิดว่ากูกล้าขัดเหรอคาปู)

“ผมโตแล้วเหอะ อะไรวะมีแต่คนคิดว่าผมเป็นเด็ก ไม่มีใครเชื่อใจเลยให้ตาย”

(มึงโตแค่ไหนมึงก็เด็กที่สุดในบ้านอยู่ดี อย่าเรื่องมากแล้วก็อย่าคิดว่ากูอยากไปกับมึงนักหนา พรุ่งนี้เก้าโมงเดี่ยวเข้าไปหา เอารถกูไป)

“ไหนว่าไม่อยากไปไง”

(กูต้องขาดเรียนมึงรู้รึเปล่า)

“ผมไม่อยากไปกับเฮียเต้”

(ทำใจเถอะมึง)

สายถูกวางไปแล้ว แคปเงยหน้าไปมองไอ้ตัวข้าง ๆ ที่มันทำหน้าอยากรู้อยากเห็นอยากให้เล่ายิ่งกว่าข่าวสดสายด่วน แต่จะว่าไปถ้าเฮียเต้ไปด้วยแบบนี้เอสหมดสิทธิ์แน่นอนและนอนแน่ มันไม่มีอะไรที่จะมาอ้างอิงความเกี่ยวพันระหว่างเขากับมันได้อยู่แล้ว

“ตกลงว่าเฮียเต้ไปกับมึง?” เสียงทุ้มเอ่ยถามขึ้นมาเองโดยที่แคปได้แต่อ้าปากมอง มันแอบฟังและจับใจความได้แม่นยำอีกต่างหาก

“.............”แคปพยักหน้าเบาๆ

“.............”

“คำสั่งอาฟี่”

“งั้นกูหมดสิทธิ์แล้วใช่ไหม”

“.............”แคปเงียบไม่ได้ตอบอะไร ขณะที่เอสถอนหายใจหนักหน่วง 


....มันก็มีอยู่จริงกับสิ่งที่ไม่ว่าจะต่อสู้แค่ไหนเขาก็ไม่มีวันสู้ได้.......ครอบครัว



“พวกพี่จะลงที่สะพานหรือว่าจะลงหน้าหาดเลยครับ” ภาษาไทยเสียงแปร่งๆของน้องคนขับเรือดังขึ้นมาพาให้แคปหลุดออกจาภวังค์นึกคิด เต้ที่ตอนนี้ย้ายมานั่งอยู่กับแคปแถวกราบเรือชี้บอกว่าให้ไปลงบนสะพาน เขาคิดว่าสะพานไม้เล็กๆที่ทอดยาวเข้ามาจนถึงท้องทะเลน่าสนใจมากกว่าต้องลุยน้ำเดินต่อไปจนถึงหน้าหาด ที่สำคัญพวกเขาใส่ห้าส่วนมากันทุกคน กางเกงเปียกแน่ ๆ จะให้ถกขึ้นโชว์ขาอ่อนที่เต็มไปด้วยขนมันก็ยังไงอยู่

“เดินระวังนะมึง” เต้เหยียบไม้กระดานแผ่นพอดีกับฝ่าเท้าที่วางระหว่างกราบเรือกับขอบสะพานก่อนข้ามไปยืนที่สะพานไม้แคบๆจุดขึ้นลงเรือของนักท่องเที่ยวที่รีสอร์ทมีไว้เซอร์วิส หันมองน้องชายตัวเองแล้วยื่นมือลงไปหวังดึงมือเล็กของแคปขึ้นมา แต่แคปก็แค่โยนเป้ส่งให้เต้แรง ๆ เจอชี้หน้าบอกห้ามเล่นเดี๋ยวเสื้อผ้าตกลงไปจะทำไง คนทำยักไหล่ไม่สนใจก่อนก้าวขึ้นไปที่ตัวข้าม ช้าหน่อยแต่ก็คิดว่ามั่นคง

“เหยียบดีๆแคปเดี๋ยวไม้กระดกใส่หรอก” คนต่อหลังอย่างแบงค์เห็นแคปมัวแต่เล่นเลยต้องเตือน แคปหันมาชักเสียงดุใส่  “เฮอะ กูไม่พลาดหรอกไม่ใช่เด็กๆ มึงอ่ะขึ้นมาดีๆละกันอย่าตกลงไปล่ะขี้เกียจลงไปเก็บ”

“ขี้บ่นว่ะ”

“ปากเสีย”แคปว่าใส่เสียงเขียว พอขึ้นมาได้เขาก็ยืนมองแบงค์ก้าวตามขึ้นมาติดๆ

“มึงดูปลาสิ น้ำใสเชียว” แบงค์สะกิดชี้ให้ดูที่ใต้สะพาน แคปมองตามนิดหน่อยพอเห็นว่าอีกฝ่ายอมยิ้ม เขาทำตาเขียวใส่แล้วไม่สนใจมันอีกตั้งใจเดินตามหลังพี่ชายไปติดๆ สะพานไม้ไผ่โยกเยกโย้ไปตามแรงเดินทำเอาเกือบจะเสียหลักซวนเซจนแบงค์ต้องเดินเข้ามาจับเอาไว้

“มาเดินหน้ากูนี่มา” เต้ดึงแคปให้เดินขึ้นมาอยู่ด้านหน้าเขาจะได้ดูแลได้สะดวก สามคนในรองเท้าแตะก้าวลงที่หน้าหาดโดยไม่เปียกแม้แต่นิด พี่หนึ่งและทีมงานในชุดกางเกงลายมะพร้าวและดอกไม้สดใสออกมารอรับโบกมือให้ไวๆ ยิ่งพอรู้ว่าพี่ชายแคปที่โทรบอกว่าจะพามาด้วยนั้นหน้าตาและรูปร่างแบบไหน หนึ่งยิ่งดี๊ด๊าแต่แต่พยายามจะดัดเสียงให้เท่ให้แมน ซึ่งมันไม่เป็นแบบนั้นหรอก อยู่ต่อหน้าคนที่คุ้นเคย เก็บอาการไม่อยู่ประจำ

“ตายห่าแล้วมึงหล่อทั้งบ้าน ตั้งแต่คุณพ่อยันลูกชาย” แคปยิ้มแห้งๆ มองหน้าคนที่ปลื้มทั้งอาฟี่ ทั้งเจ้าเอสและล่าสุดคือเฮียเต้

“ผมก็หล่อเหอะ พี่หนึ่งชมผมมั่งดิ”

“อะไรกันเจ้าแคป เพิ่งรู้นะเนี่ยว่ามีพี่ชายหล่อเท่ขนาดนี้” นี่เป็นเสียงจากพนักงานเทคนิคมือเก๋า ชายแท้ พี่ย้งของพวกเรานั่นเอง นั่งอยู่ข้าง ๆ ปากคาบบุหรี่แต่ตามองไปเป้าหมายของพี่หนึ่ง

“หน้าแบบนั้นหล่อตรงไหนวะครับ เฮียเต้กับผมก็คล้ายๆกันน่ะแหละ  ฝาแฝด” แคปยักไหล่ตอบโต้อย่างไม่ใส่ใจย้งถึงกับขำตอนที่ได้ยินคำว่าฝาแฝดอะไรนั่นเพราะว่ามันไม่เหมือนกันเลยต่างหากน่ะสิ  จากนั้นชีแมนสาวจากฝ่ายคอสตูมเจ๊จูดี้วางมือสวย ๆ ของเธอลงที่ไหล่แคป แต่ทว่าสายตาคมกริบจ้องอยู่ที่เต้ไม่เลิก

“น้องแคปขาาา พี่ขอเบอร์พี่ชายเราหน่อยได้ไหมอ้ะ ยอมตายถวายหอย ถ้าได้สักน้ำจะเลียจนล้มแล้วจับขย่มจนเดินไม่เป็นเลย กรี๊ดดดดด” เสียงโห่แซวขึ้นดังลั่นเมื่อจบประโยคสองแง่สองง่ามแคปถึงกับส่ายหัวก่อนตวัดสายตามองไอ้เจ้าตัวเอ้ที่ไม่รู้เรื่องราว เฮียเต้ยืนสูบบุหรี่กดโทรศัพท์ไม่สนใจใครเลย รอกุญแจห้องเพราะพี่อีกคนกำลังพาเช็คอินแล้วทุกคนก็มารุมมาตุ้มแคปถามวุ่นวายอยู่แบบนี้

“น้องแคปอย่าว่างั้นงี้เลยน๊า เต้น่ะเขามีแฟนหรือยังจ๊ะ คนพิเศษหรืออะไรเทือกๆนั้น” นี่อีกเสียง จากผู้ช่วยฝ่ายไอทีสุดสวยมากกกก แคปถึงกับต้องกุมขมับ พอมองไปข้างๆเห็นเจ้าแบงค์ยืนขำหนักอยู่

“แคปครับหนูไม่รู้สึกอะไรบ้างเหรอลูก หน้าตาหนูไม่ได้ครึ่งของลาเต้เลยนะนั่น” หยุดเรียกผมว่าหนูเน๋ออะไรนั่นเถอะครับผมเกือบจะหมดความอดทนอยู่แล้ววววว นี่เขาเกือบจะตะโกนออกไปแล้วเชียวนะถ้าไม่ได้เจ้าแบงค์มันเข้ามาสะกิดไว้ก่อน

“โห้ยยยยอีป้าจะเป็นลม พ่อเจ้าประคุณรุนช่องหล่อแซบเหมือนอิตาคนที่มันตามมารอรับหนูที่ตึกทุกคืนวันศุกร์นั่นเลย” แคปตาแทบถลนรีบกระโดดเอามือเข้าไปปิดปากคนพูดมองซ้ายมองขวาจนพี่หนึ่งหัวเราะขำ นั่นคือบรรดาคำพูดทั้งหมดจากเหล่าทีมงานที่มารอสแตนบายกันตั้งแต่เมื่อวันก่อน

หลังจากเอากระเป๋าเข้าไปวางไว้ในห้องที่ต้องนอนเรียงกันบนเตียงใหญ่ถึงสามคน แคปเต้และแบงค์ออกมานั่งรวมกลุ่มกับทีมงานที่ด้านนอก พอเข้าโหมดทำงานทุกคนทุ่มเทเต็มที่ สองดีเจนั่งต่อสคริปกันสดๆโดยมีเต้นั่งดูดน้ำมะพร้าวเป็นลูกๆ อภินันทนาการจากพี่หนึ่งและเจีจูดี้นั่นเอง

“แบงค์ แคป เดี๋ยวพวกมึงเข้าไปดูสถานที่หน่อยละกัน หลังจากนั้นก็แยกกันไปอาบน้ำพักผ่อนเย็นๆออกมาทานข้าว พี่ให้เขาจัดโต๊ะยาวที่หน้าหาดสำหรับพวกเราทั้งหมดเลย ทุกคนโอเคกับห้องใช่ไหม อยู่ได้นะ” หนึ่งเดินแยกจากทีมงานฝั่งเทคนิคเข้ามาถาม เต้พยักหน้าบอกโอเค เขาไม่ค่อยพูดมากนักเพราะว่าเป็นทีมงานที่ทำงานกับน้องชาย เขาเป็นแค่ผู้ร่วมเดินทาง ถือว่าเป็นคนนอกจึงได้แต่นั่งมองอยู่เงียบ ๆ แบงค์ที่ต่อสคริปกันกับแคปก็เข้าขากันได้ดี เวลาเย็นย่ำแบบนี้แดดที่เคยเจิดจ้ากลับกลายเป็นสายลมเย็นๆที่พาดผ่านใบหน้าเขาไป มีสาวจีนสาวญี่ปุ่นกลุ่มใหญ่ในชุดว่ายน้ำสีสดตัดกับผิวขาว ๆ ทะยอยออกมาเล่นน้ำกันแล้ว

“เดี๋ยวผมจะไปดูทางนั้นหน่อย เฮียเต้ไปไหม” แคปลุกขึ้นพร้อมกันกับแบงค์ เขาจำต้องไปสำรวจสถานที่ๆต้องใช้ทำงานคืนนี้ก่อน เต้ลุกขึ้นสวมรองเท้าแตะที่เต็มไปด้วยทรายแล้วเดินตาม ผับใหญ่ของที่นี่เป็นรูปทรงเรือหินขนาดใหญ่มีสองชั้น ด้านในเป็นเคาน์เตอร์รูปวงรีอยู่ตรงกลาง แคปเคยได้ยินว่ามีสถานที่แบบนี้อยู่แต่ไม่เคยเข้ามาพักที่หาดนี้เลยเพราะว่าขึ้นชื่อเรื่องการจอง ที่พักที่นี่ต้องวอร์คอินเท่านั้น คุณจะใหญ่โตร่ำรวยมาจากไหนก็ไม่สน ถ้าคุณต้องการห้องต้องวอร์คอินอย่างเดียวไม่มีการจองล่วงหน้า เพราะอย่างนั้นพี่หนึ่งจึงต้องมาก่อนสองวันเพื่อมาเปิดบ้านพักและรอห้องว่างสำหรับเหล่าทีมงาน ไม่งั้นอย่าคิดว่าจะได้พักที่ชายหาดที่ถือว่าสวยงามและเงินเดินสะพัดที่สุดในเกาะทางฝั่งนี้

“มึงจัดรายการที่ชั้นบนใช่ไหม” เต้ลูบมือลงที่เคาน์เตอร์บาร์ไม่ไผ่เล็กๆฝั่งด้านข้างริมทางขึ้นบันไดอิฐโรมัน มันเป็นสิ่งก่อสร้างที่สวยงามนะ ไอเดียเลิศมากถ้าเทียบกับแนวคิดแบบเบสิคของวิศวกรโยธาอย่างเขา งานสถาปัตยกรรมหินขัดเนื้อทรายที่แต้มแต่งบนกำแพงกำลังเป็นที่นิยม

“ใช่ครับเฮียเต้ ชั้นล่างก็เปิดเป็นบาร์ตามปกติ”  โดยที่วันนี้จะไม่มีการโทรเข้ามาเล่าเรื่องดราม่า แคปกับแบงค์คงต้องถูแผ่นจัดรายการมันส์ๆตามคำขอของพี่หนึ่งตอบแทนสำหรับวันพิเศษฉลองครบรอบยี่สิบห้าปีของสถานี

“แบงค์แคป มาลองซ้อมใหญ่ไว้ก่อนสักนิดพอได้รู้ เดี๋ยวนักท่องเที่ยวออกมากันแล้วพวกเราจะเข้ามาที่นี่อีกทีก็ดึกเลย เร็วหน่อยแดดร่มลมตกแล้วพี่กลัวจะไม่ทัน”

หลังจากนั้นสองดีเจก็ซักซ้อมกันจนโอเคก่อนแยกย้ายกันกลับที่พัก เต้แยกออกไปนั่งคุยโทรศัพท์มือถืออยู่ที่ระเบียงด้านหน้าขณะที่แคปเองก็ต้องไลน์ไปรายงานสดกับเอสอยู่ตลอดไม่งั้นเดี๋ยวเกิดบ้าโทรเข้ามาหาเฮียเต้จะยุ่งเหยิงไปใหญ่

“แปลกนะที่มันยอมปล่อยมึงมา” แบงค์รื้อเอาชาร์ตเจอร์ออกมาจากกระเป๋า มองแคปที่เพิ่งวางโทรศัพท์ลงไปแล้วนั่งทำหน้ายุ่ง 

“มึงไม่เกี่ยว” แคปตอบนิ่งๆชำเลืองมองไปที่หน้าประตูกลัวเต้จะเข้ามาแล้วได้ยิน

“รีบกลับรึเปล่า ทำงานเสร็จพรุ่งนี้เที่ยวต่ออีกวันดีไหม”

“ไม่มีทาง”

“แต่บ้านกูอยู่แถวนี้นะ แวะไปไหว้คุณแม่ในอนาคตหน่อยไม่ดีเหรอ หึหึ” แบงค์ก็หาเรื่องแหย่จนแคปเหวี่ยงขึ้นมาอีกจนได้ เสียงหัวเราะหึหึในคอทำเอาแคปจับหมอนที่อยู่บนเตียงฟาดใส่หัวได้อย่างจัง ๆ 

“ไอ้สัส ปากมากนักนะมึง”

“อย่าดุนักเลยน่า”

“มึงก็อย่าเสือกพูดอะไรมากสิวะ พี่กูนั่งอยู่ข้างนอกเดี๋ยวมึงจะโดนดี”

“ล้อเล่นน่าแคป ทำหน้าอะไรน่ะดูกระจกซิ” แบงค์ต่อปากต่อคำแล้วชี้ให้ดูในกระจกเงาบานใหญ่ที่อยูข้างเตียง แคปโมโหเดินตึงตังคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าไปอาบน้ำ

“กูจะอาบก่อนมึงรออยู่เลยห้ามเข้ามายุ่มย่าม”แคปชี้หน้ากำชับ

“กลัวแอบดูหรือไง มึงเห็นกูโรคจิตขนาดนั้น?”แบงค์นั่งยิ้มสบายใจ เอนสองแขนเท้าลงบนที่นอน ปวดเมื่อยเนื้อตัวไปหมด ขอเอนหลังสักนิด

“มึงมันไว้ใจไม่ได้หรอก ถ้าพี่ชายกูไม่มาด้วยอย่ามาฝันว่ากูจะยอมพักห้องเดียวกันกับมึง”

“น่ากลัวจริงจริ๊ง...” เสียงประตูห้องน้ำปิดดังโครม มือใหญ่ปัดป่ายคว้ารีโมทมาเปิดทีวีนอนดู รอคนบางคนอาบเสร็จเขาจะได้เข้าไปอาบมั่ง เต้เดินเข้ามาจากหน้าห้องพอดี แบงค์ที่ไม่ค่อยสนิทสนมกับเต้มากนัก  เรียกได้ว่านี่เป็นการเจอกันครั้งแรกเลยก็ว่าได้ เพราะอย่างนั้นเขาจึงไม่ค่อยคุยอะไรด้วยมากมาย

“มึงกินเหล้าป่ะวะไอ้แบงค์” จู่ๆเต้ถามขึ้นมาไม่มีปี่ขลุ่ย แบงค์ที่นอนอยู่เหล่ตามอง

“ก็..ครับ”

“กินใช่ไหม” เต้หันไปถามย้ำให้แน่ใจ

“ก็กินนะ เฮ้ยเต้มีอะไรครับ”

“แล้วยาล่ะ เล่นรึเปล่า”

“เฮ้ย!  เฮียพูดอะไรวะ จู่ๆถามอะไรขึ้นมาเนี่ย” แบงค์ลุกพรวดขึ้นมาเลย ขณะที่เต้ยังมองด้วยสีหน้าเรียบ ๆ เขากำลังรอคำตอบ

“เล่นยารึเปล่ามึงน่ะ”ถามย้ำอีกรอบ

“โฮ่เห็นหน้าตาผมแบบนี้ผมก็ไม่ยุ่งกับเรื่องแบบนั้นหรอกครับ ไว้ใจได้เหอะ”

“แต่ข่าวมึงไม่ใช่ย่อยนี่หว่า ทั้งเรื่องผู้หญิงเรื่องชกต่อย สารพัดคนเขาจะลือกัน กูถามเพื่อให้แน่ใจว่าน้องกูไม่ได้อยู่ใกล้กับไอ้พวกสันดานแย่ ๆ ก็แค่นั้น”

“ข่าวลือมันก็แค่ข่าวลืออ่ะ เรื่องผู้หญิงไม่ปฏิเสธแต่เรื่องยาขอบอกว่าไม่เคยและไม่คิดจะลอง”

“แบบนั้นก็ดี บอกให้รู้ไว้ก่อนอย่าชักจูงแคปไปในทางผิดๆเด็ดขาด ถ้าไม่อย่างนั้นกูเอามึงจมธรณีแน่”

“ผมจะกล้าเหรอ”

กริ๊กก~ เสียงประตูห้องน้ำเปิดออก เต้ใช้สายตาสั่งแบงค์บอกให้หยุดพูด ขณะที่แคปเดินเช็ดหัวเข้ามาหาพี่ชายบอกกางเกงที่ใส่มาแม่งจู่ ๆ ไปเกี่ยวกับลวดอะไรไม่รู้ขาดเลยเต้เลยถามว่าตรงไหนแคปบอกว่าคลานเข้าไปดูใต้อ่างล้างมือมันมีตู้ที่เปิดได้อยู่

“ซุ่มซ่ามเอ๊ย มึงไปเล่นอะไรแถวนั้นล่ะวะ” เต้ผลักหัวเล็กเบา ๆ อย่างหน่ายกับพฤติกรรมซนๆของน้องชาย ก่อนคว้าเอาผ้าเช็ดตัวสีขาวสะอาดที่พับเป็นรูปหงส์อยู่ปลายเตียงขึ้นมาแล้วหันไปหาแบงค์ที่นอนเอนอยู่ใกล้ ๆ กัน

“มึงหรือกูจะอาบก่อน”

“เชิญเฮียเต้เลยครับ” แบงค์บอกออกมาเบา ๆ ไม่รู้ทำไมรู้สึกว่าเต้น่ากลัวจริง ๆ ขนาดเอสที่เขาเจอกระทืบมาแล้วก่อนหน้าออร่ายังไม่เท่าพี่ชายมันเลย แบงค์เบนสายตากลับมาหาคนที่ยืนเช็ดหัวอยู่ปลายเตียง แคปนุ่งแค่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียวเนื้อตัวไร้ร่องรอยผิวเนียนมากจริง ๆ

“มองหาพ่องมึงเหรอไอ้เด็กเกรียน” แคปว่าเสียงดุๆแถมถลึงตาใส่อีกด้วย แบงค์ก็แค่ส่ายหัวแล้วเหยียดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา เขากดรีโมทเปลี่ยนช่องไปพลางพึมพำ “รู้ได้ไงว่ากูมองมึงน่ะ”

“เหอะกูไม่ได้โง่นี่ มึงหันไปเลยไป ห้ามมองกูจะแต่งตัว”

“อะไรเนี่ยผู้ชายด้วยกันมึงลืมไปรึเปล่า” แบงค์โต้ เขามองแคปแบบเต็มๆเลยคราวนี้ เจอนิ้วเรียวยาวชี้ใส่เน้นๆย้ำๆ “ก็เพราะว่ามึงมันไว้ใจไม่ได้กูต้องรอบคอบไว้ก่อน”

“แฟนกำชับมารึไง” คนนอนถามหน้าตาย ทำเอาแคปแทบควบคุมสติไม่ได้

“ไอ้เด็กประสาท มึงอย่ามาพูดมากนะ รีบหันไปเร็ว ๆ ไม่งั้นก็นอนคว่ำหน้าลงจะมานอนจ้องกูแบบนี้ไม่ได้ กูไม่อนุญาต!” แคปชำเลืองมองตัวเองในกระจกแวปนึง ที่คอว่างเปล่าเพราะว่าสร้อยที่คล้องเกียร์ถูกเขาถอดเก็บไว้อย่างดีไว้กลับไปค่อยใส่ใหม่ เฮียเต้มาด้วยแบบนี้จะให้เห็นไม่ได้เด็ดขาด

“อย่าหันมานะมึง ยังไม่เสร็จโว๊ย” แคปขู่ฟ่อออกมาก่อนหยิบเสื้อยืดออกมาจากกระเป๋าแล้วสวมลงไปอย่างเร็วเหลือแต่กางเกงที่ยังไงก็ไม่ไว้ใจสายตาเจ้าเล่ห์แบบนั้นของไอ้เด็กอันตรายนี่เด็ดขาด

“โอเคๆ มึงเรื่องมากจริง ๆ กูเพิ่งรู้วันนี้นะเนี่ย..” เสียงทุ้มบ่นเบา ๆ พลางพลิกตัวนอนคว่ำหน้าลงที่หมอน แคปเอียงหน้ามองมันจนแน่ใจ

“รู้แล้วก็จำไว้ซะ อย่ามายุ่งกับกูอีก กูมันทั้งเรื่องมากขี้บ่นเอาแต่ใจและที่สำคัญปากร้ายมาก มึงไม่ควรเข้ามาใกล้ที่สุด รัศมีหนึ่งเมตรเป็นอย่างต่ำ”

“ใจร้าย” เสียงอู้อี้ดังลอดออกมาจากหมอนใบใหญ่ แบงค์เบะปากทั้งที่นอนคว่ำหน้าอยู่แบบนั้นนั่นแหละ

ราวๆสามสิบนาทีถัดมาพี่ผู้ช่วยฝ่ายเทคนิคเดินมาตามพวกเราถึงหน้าห้อง บอกอาหารพร้อมแล้วพี่หนึ่งให้มาตาม สามคนที่อาบน้ำแต่งตัวเป็นชุดง่ายๆจึงเดินออกไปพร้อม ๆ กัน

“พวกมึงจะแต่งชุดนี้ไปจัดรายการเหรอวะ ไหนว่าเป็นดีเจวันนี้ต้องถูแผ่นพาคนเต้นไง แต่งแบบนี้ใครจะอยากไปเต้นกับมึงเนี่ย” เต้มองชุดขาสั้นลายต้นมะพร้าวสีฟ้าสีเขียวของสองดีเจแล้วส่ายหัว

“แบบนี้ที่ไหนเล่าเดี๋ยวก่อนทำงานก็ต้องเปลี่ยนสิ” แคปเหล่มองพี่ชายก่อนทุบแผ่นหลังกว้างแรง ๆหนึ่งที

“กูเจ็บนะคาปู มือหนักตลอด”

“ก็มาด้วยทำไมล่ะ มาแล้วก็ต้องมาให้ผมตีสิ”

“ตรรกะอะไรของมึง กูว่าต่อไปถ้ามึงแต่งงานมึงต้องซ้อมเมียมึงแหงๆ” จบคำพูดเต้ แบงค์ขำพรืดออกมาอย่างดังจนแคปต้องหันไปฟาดมันเพิ่มด้วยอีกคน

“ตรรกะอะไรของพี่เต้ต่างหาก”

“กูคิดยังไงก็พูดแบบนั้นแหละ หัดอ่อนโยนซะบ้างนะ หน้าตาก็น่ารักดีถ้าออดอ้อนเอาใจสักหน่อยกูว่าเมียมึงคงต้องหลงมากแน่ ๆ นี่อะไรได้ข่าวว่าโดนทิ้งตลอดไม่ใช่เรอะ”

“เฮียเต้หยุดพูดสักที ส่วนมึงไอ้แบงค์มึงจะขำตายห่าไหมล่ะหื้อ ขำอยู่นั่นแหละ จะขำอะไรนักหนาห๊ะ!” แคปหันไปทำหน้าดุใส่เต้ ก่อนหันไปแว๊ดใส่แบ้งค์อีกระรอก เต้ดึงน้องชายเข้ามาใกล้ ๆ แล้วล็อคคอ

“เมื่อกี้อาฟี่โทรมา บอกเฮียโก้บังคับให้โทรมาถามว่ามึงโอเคไหมยังไง”

“แล้วพี่เต้ตอบไปว่ายังไงล่ะ”

“กูบอกมึงดื้อมากไม่เชื่อฟังกูเลยสักครั้งเดียว”

“เฮียเต้แม่ง..” แคปชะงักเท้าหน้ามุ่ยจะมุดออกมาจากแขน เต้เลยดึงเอาไว้อีก “อาฟี่บอกจะหักเงินค่าขนมมึง” ยิ่งพูดกวนให้แคปมันขึ้น งานถนัดเขานักล่ะ

“เออดี งั้นผมจะบอกเฮียโก้ว่าพี่เต้เอาแต่คุยโทรศัพท์กับสาว ๆ มาด้วยก็เหมือนไม่ได้มา ทำตัวชิลๆทิ้งผมไว้ตลอดตอนกลางคืนก็หนีไปแซ่บกับผู้หญิง กลับมาทีเช้าเลย”

“ไอ้หมาแคป! มึงกล้าอ่อ” เต้แว๊ดขึ้นอย่างดังจนพี่พนักงานผู้ช่วยที่เดินอยู่ข้าง ๆ ได้ยินบทสนทนาของสองพี่น้องอดจะขำออกมาไม่ได้ แบงค์เองก็เดินยิ้มมาตลอดทางฟังสองพี่น้องกัดกันไปมา จนในที่สุดพี่ย้งพนักงานฝ่ายเทคนิคที่เดินมาด้วยกันสะกิดเต้แล้วบอก “มีที่ดีๆจะแนะนำ เดี๋ยวต้องรอให้งานเสร็จก่อน คลับลับๆของที่นี่เขาติดต่อแขกต่อแขกให้กัน ทริปนี้กูเห็นมาแล้วแต่ละคนแจ่มๆทั้งนั้น ถ้าหากว่าพวกมึงสนใจ พี่จัดการให้” ได้ยินแบบนั้นเต้ก็ปล่อยแคปออกจากอกเลย เขาเดินไปคุยอะไรแบบผู้ใหญ่ ๆ อยู่กับพี่ย้ง พอแคปเสนอหน้าเข้าไปถามก็โดนผลักหัวกลับมา แถมเต้ยังบอกให้แบงค์ลากแคปไปนั่งรอที่โต๊ะก่อนอีกต่างหาก

หลังเวลาอาหารเย็นที่ยาวนานลากกันจนเกือบสามทุ่ม พนักงานที่เป็นสตาฟต้องไปประจำที่ดูพวกสายไฟต่าง ๆ แล้ว คนเริ่มเยอะขึ้นมา ทานอาหารริมหาดเสร็จก็ถึงคิวจะต้องไปต่อกันที่บาร์เรือเพื่อย่อยอาหาร ยิ่งวันนี้โปรโมทกันสุดๆว่ามีสองดีเจชื่อดังจากกรุงเทพมาจัดรายการสดออนแอร์กันที่นี่คนยิ่งเยอะ มีสาวๆหลายคนที่เป็นแฟนคลับทั้งของแคปและแบงค์เริ่มทะยอยเข้ามาทัก ฝ่ายคอสตูมเลยต้องเรียกสองคนไปแต่งตัวเปลี่ยนชุดมีแค่เต้ที่รับหน้าคุยกับสาวน้อยสาวใหญ่ให้  แคปเห็นพี่ชายถูกรุมจีบแบบนั้นก็ถึงกับส่ายหัว เขานึกไปได้ยังไงว่าดีแล้วที่เอสมันไม่ได้มา ไม่งั้นคืนนี้คงไม่ต้องทำงานถ้าขืนถูกรุมแบบนี้ไม่รู้ใครจะบ้าอาละวาดก่อนกัน

“ทุกอย่างพร้อมแล้วเดี๋ยวขึ้นไปแสตนบายเลยนะ แบงค์มึงนำส่วนแคปตามเหมือนเดิมพอถึงช่วงห้าทุ่มเดี๋ยวพี่ให้สัญญาณแล้วค่อยส่งคำพูดตัดเข้ารายการ สคริปตามที่เตรียมมา อย่ากลัว มั่นใจตัวเอง ถ้าเจอปัญหาแก้ไขสถานการณ์สดๆไปเลยพี่มั่นใจพวกแกนะ ลุยเลยน้องรัก”

“ขอบคุณครับพี่หนึ่ง” สองคนรับคำก่อนก้าวขึ้นบันไดโซนหลังสูงขึ้นไปปรากฏตัวที่ชั้นสอง เพียงแค่แบงค์แนะนำตัวขึ้นเสียงสาว ๆ กรี๊ดตรึม พอแต่งตัวแปลงโฉมแต่ล่ะคนก็ราศีออร่าจับ เสียงดนตรีจากผับหรูที่ดังกึกก้องสะท้อนไปทั่วทั้งหาด เต้ที่นั่งจิบเบียร์อยู่ด้านนอกได้ยินเสียงทุ้มๆนุ่มๆของน้องชายตัวเองแทรกเสียงเพลงสร้างความคึกคักเขาก็อมยิ้มออกมาบางๆ นี่เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่เขาได้เห็นแคปจัดรายการสดๆ ทุกครั้งจะดูผ่านหน้าจอ

เสียงทุ้มไพเราะที่แฝงนุ่มนวลแบบนี้พาให้นึกถึงเฮียโก้ขึ้นมาจับใจ ครอบครัวของเขามีกันอยู่แค่นี้จริง ๆ เฮียโก้คือป๊ะป๋าสุดที่รัก ส่วนอาฟี่คือพ่อรองและเจ้าแคปน้องชายที่เขารักและหวงที่สุด พูดได้เต็มปากว่ารักมันยิ่งกว่าตัวเอง ญาติพี่น้องทางฝั่งพ่อของเขาเหลือแค่ญาติห่าง ๆ เท่านั้นในขณะที่ครอบครัวทางฝั่งแม่ บ้านเขาไม่ได้ติดต่อกันอีกเลยเพราะว่าอาฟี่ที่เข้ากับคนได้ยากเมื่อตอนเป็นเด็กจำได้ว่าคุณยายของเขาเคยจะมาเอาตัวแคปไปเลี้ยงแต่โดนอาฟี่ไล่ตะเพิดกลับไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งนั้น ตอนนั้นเฮียโก้ร้องไห้แทบขาดใจอาฟี่โกรธจนมือที่อุ้มแคปไว้สั่นเทิ้มไปหมด  เต้จำได้แม่นยำไม่มีทางลืมเพราะน้องชายคนเดียวของเขาเกือบโดนเอาตัวจากไปแล้ว หลังจากนั้นอาฟี่จึงรับหน้าที่ดูแลคุมตัวแคปไม่ยอมห่างจนกระทั่งโตและคุณยายเสียไปอาฟี่ถึงได้ยอมปล่อยเจ้าแคปให้ห่างจากสายตาบ้าง ก็กลายเป็นว่าพี่ชายอย่างเขาต้องเข้ามาดูแลแทน

“โหเฮียเต้นั่งชิลไปกี่ขวดแล้วเนี่ย” เต้สะดุ้งเฮือกขึ้นมา ไม่รู้เลยว่าแคปกับแบงค์ทำงานเสร็จกันแล้ว ตีหนึ่งเศษไวมากจริงๆ

“แคปแบงค์ ขออีกรูปครับ รบกวนหน่อย” หนึ่งในทีมงานเข้ามาสะกิดเรียก มีน้องผู้หญิงที่ตกหล่นจากการแจกลายเซ็นต์และถ่ายภาพยืนร้องไห้ตาแดงอยู่ไม่ไกล แบงค์ลุกขึ้นไปลูบหัวเธอเบา ๆ พอแคปเดินเข้าไปหาเธอโผกอดเลย

“พี่แคป” เสียงเล็กๆสั่น แคปบอกเธอว่าอย่าร้องเดี๋ยวไม่สวย ให้มาถ่ายรูปด้วยกัน เธอพยักหน้า อายุน่าจะราว ๆ เด็กมัธยมปลายคงมากับกลุ่มเพื่อน ๆ เพราะเห็นยืนรอกันอยู่ หลังจากนั้นแบงค์จัดการต่อรองเรื่องถ่ายรูปที่มีคนใหม่มารออีก ใช้เวลาสักครู่พี่หนึ่งพาทีมงานมากันตัวสาวๆออกไป จากนั้นไล่ให้บรรดาเด็กๆแยกย้ายสลายตัว

“เต้แบงค์แคป ไปป่ะวะ เอาไงพวกมึง” พี่ย้งเข้ามาสะกิดถามอีกครั้ง เฮียเต้ที่ยืนสูบบุหรี่รออยู่หันมองหน้าแคป แบงค์เองก็โดนพี่ฝ่ายเทคนิคอีกคนสะกิดยิกๆบอกให้ไปด้วยกัน “มีแต่เด็ดๆนะเว้ย ขาวสวยหมวยอึ๋ม”

“ไปเหอะน่า ไปกันหมดนี่แหละ สาว ๆ ทั้งกลุ่มเขามาเที่ยวกันครบทีมเราพอดีเจ็ดคนรวมมึงด้วยนะแคป”

“ห๊ะ! รวมผมด้วย?” แคปถามขึ้นมาหน้าหราไม่ใช่ว่าไก่อ่อนหรอกนะทั้งสูบบุหรี่แดกเหล้าเอาหญิงเขาทำทั้งหมดนั่นแหละ แต่ว่า...มันติดที่มากับพี่เต้นี่สิ แคปกลืนน้ำลายอึกๆ ไอ้อยากน่ะมันก็อยากเห็นแล้วแหละมีแต่น่ารักทั้งนั้นหน้าตาไปทางสาวญี่ปุ่นเลยสิ  แต่ๆๆๆๆ

“ผมไม่ไปอ่ะครับพี่ ง่วงจริง ๆ ทำได้ไม่ถึงไหนหรอกผมหลับก่อนแหงๆ” แคปกัดฟันพูดขึ้นมาอย่างแสนเสียดาย ก็ถ้าไม่นึกถึงว่ามีไอ้บ้าตัวโตๆเลี้ยงหมาทำหน้างอแงรออยู่ที่กรุงเทพเขาก็คงออกไปแรดแน่อยู่แล้ว บ้าที่สุดกลายเป็นคนมีพันธะแล้วไงซวยชะมัด แคปอยากจะตบปากตัวเองที่ปล่อยโอกาสดีงามแบบนี้หลุดลอยไปนัก

“อ้าวซะงั้น” พี่ย้งพอเห็นว่าแคปสละสิทธิ์ก็ทำหน้าผิดหวังนิดๆ พอหันไปหาเต้ รายนั้นทิ้งก้นบุหรี่ลงก่อนบอกออกไปว่าตัวเองก็ไม่ไหวเหมือนกัน มึนเบียร์ง่วงนอน แคปปรายตามองดูพี่ชายตัวเอง ปกติเฮียเต้คอแข็งมากโอกาสมาถึงตัวแบบนี้ดันปฏิเสธซะอีก

“เหลือแต่มึงแล้วไอ้แบงค์ กูจะบอกเลยว่ามึงไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธแน่ ๆ เพราะสาวสวยหัวหน้าทริปเขาระบุตัวมึงมาแบบด่วน ๆ กูยอมเสียลาเต้ไปแล้วก็ต้องเอามึงนี่แหละวะไปต่อรอง”

“เกี่ยวอะไรกับผมเนี่ย” แบงค์ถอยห่างหนึ่งก้าว หันมองหน้าแคปราวกับจะขอความช่วยเหลือ แต่แคปทำไม่รู้ไม่เห็นหรอก แบงค์เลยโดนพี่ย้งจับแล้วลากตัวออกไป ทีมงานผู้ชายอีกสองสามคนก็เฮกันตาม เหลืออยู่แค่สองพี่น้องครอบครัวกาแฟ

“เฮียเต้ไม่ไปจริงอ่ะ”

“อย่าถามน่า กูง่วงนอนเบียร์อะไรวะกินแค่ไม่กี่แก้วเมาแล้วบ้าเอ๊ย” เต้พึมพำ เดินย่ำไปบนผืนทรายมุ่งกลับไปที่บ้านพักเรือนไม้หลังเล็ก เสียงจอแจดังขึ้นจากบ้านพักถัดออกไปอีกสามสี่หลังกลายเป็นว่าพวกพี่ย้งกับทีมงานคนอื่นๆ กำลังโดนสาวสวยห้าหกคนยืนล้อมวงคุย มีที่แบงค์ยืนสูบบุหรี่อยู่ข้างสาวเซ็กซี่มองมาทางฝั่งนี้ด้วย แคปหันมามองดูพี่ชายตัวเองอีกครั้ง

“เฮียเต้ไม่ต้องสนใจผมหรอกนะ นอนคนเดียวได้อยู่แล้ว ถ้าพี่อยากไปผมไม่รายงานเฮียโก้กับอาฟี่หรอกน่า”

“อย่าเซ้าซี้ กูบอกไม่ไปก็คือไม่ไปไง”

“แล้วเหตุผลล่ะ”  แคปละสายตาออกจากฝั่งนั้นก่อนก้มลงมองที่ผืนทรายสีขาวนวลหน้าบ้านพักที่ตัวเองกำลังเดินย่ำ  วงแขนใหญ่ของคนข้าง ๆ กอดคอน้องชายตัวเองเข้าหาตัว “ก็บอกไปแล้วนี่ว่าเมา”

“ผมไม่เชื่อหรอก ผมไม่อยากเป็นตัวถ่วงของพี่นะ”

“มึงจะเป็นตัวถ่วงได้ยังไงวะ มึงน่ะเบอร์หนึ่งของกูอยู่แล้วไม่มีอะไรสำคัญไปกว่ามึงหรอกนะจำไว้คาปู”

“แต่ว่า..”

“เข้าห้องเหอะ อย่าถามมากง่วงฉิบหายเลย” แคปอ้าปากค้างกำลังจะถามต่อ แต่เมื่อก้าวขาขึ้นบันไดแค่สองขั้นเขาสองคนก็ยืนอยู่หน้าประตูห้องเรียบร้อย  เต้ไขกุญแจแล้วเปิดเข้าไป ต่างคนพุ่งไปล้างเท้าก่อนเป็นอย่างแรกก่อนที่เต้จะคว้าผ้าเช็ดตัวแล้วเข้าไปอาบน้ำไม่สนใจจะถามหรอกว่าใครควรจะอาบก่อน อย่าว่างั้นงี้เลยเขาเมาจริงๆนั่นแหละ

คืนนั้นสองพี่น้องหลับไปด้วยกันบนเตียงกว้าง แคปกางแข้งกางขาเต็มพิกัดเพราะคิดว่าแบงค์คงอยู่ต่อกับพวกสาวๆที่บ้านหลังนั้นไปแล้วไม่กลับมานอนแน่ๆ และเต้ที่ชินกับการโดนน้องนอนเบียดก็นอนแอบอยู่ฝั่งหนึ่งของเตียงหลบหน้าแข้งเล็กๆของคนข้าง ๆ  แต่ทว่าตีสามเศษแบงค์กลับไขประตูเข้ามา แสงสว่างจากริมระเบียงที่ลอดชายผ้าม่านเข้ามาถึงพื้นชานทอให้เห็นเสี้ยวหน้าคนที่นอนหลับตาพริ้มอยู่ แขนขาก่ายไปมามั่วไปหมดแต่ก็พอมีที่ว่างเหลือให้เขานอนข้างมันได้แบบพอดี แบงค์เดินไปวางโทรศัพท์มือถือลงที่โต๊ะปรายสายตาไปที่เตียงใหญ่อีกครั้ง ถามตัวเองเป็นรอบที่เท่าไหร่จำไม่ได้ว่าทำไมเขาถึงต้องเดินกลับมาทั้งที่คนข้างกายเมื่อสักครู่นี้เป็นสาวสวยเซ็กซี่ช่างเอาใจเขาขนาดนั้นทว่าในหัวใจกลับนึกถึงแต่หน้าคนที่นอนอยู่ตรงนี้ ยิ่งรู้ว่าทำอะไรไม่ได้ทั้งที่นอนอยู่ข้างกันยิ่งรังแต่จะทำให้วุ่นวายหัวใจมากขึ้นไปอีก

ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเลือกที่จะเดินกลับมา  หลังจากเข้าไปอาบน้ำทำจิตใจให้สงบสักพักแล้วเขาก็ออกมาสอดตัวลงนอนอยู่ข้าง ๆ แคปขยับตัวนิดหน่อยขณะที่เขาหันมองแต่มือใหญ่ของเต้ที่ดึงน้องชายตัวเองซุกเข้าไปกอดจนจมอก ผ้าห่มที่มีแค่ผืนเดียวจำเป็นต้องแบ่งกัน แบงค์ดึงเอาชายผ้ามาห่มได้แค่หน่อยเดียวเท่านั้น ไอความร้อนจากผิวกายทั้งกลิ่นหอมอ่อนๆของคนข้าง ๆ ทำเอาเขาต้องตั้งสติใหม่อีกสักรอบกว่าจะข่มตาลงได้ คิดโน่นคิดนี่จนเวลาล่วงเลยนึกก่นด่าตัวเองว่าแย่มากดันคิดอะไรไม่เข้าท่าออกมาทั้งที่พี่ชายแคปนอนอยู่ด้วย แบงค์กำลังจะผลอยหลับลงแล้วแต่จู่ๆแคปลุกพรวดขึ้นมาทั้งที่ตายังหลับ ละเมอจะเอาหัวทิ่มลงที่ปลายเตียงแบงค์รีบดึงเอาไว้แล้วกอดคนตัวเล็กกว่าลงมาซุกอยู่กับอก ใจเต้นโครมๆแทบจะหลุดออกมากองแต่คนถูกกอดหลับใหลไม่รู้เรื่องหรอก เขากอดแคปไว้แบบนั้นจนกระทั่งหลับลงไปตอนไหนจำแทบไม่ได้



เสียงนกกาขยับร้องฮัมเพลงปลุกให้ใครบางคนที่อยู่ในห้วงนิทราตื่นขึ้นมาต้อนรับวันใหม่ ดวงตาคมกริบยังคงจ้องมองคนที่นอนซุกเขาไว้แบบนั้นราวกับเคยชินที่ถูกปกป้องเสมอจากอ้อมกอดของใครสักคนที่นอนอยู่ฝั่งด้านนี้เป็นประจำ ปลายจมูกโด่งกดลงที่กลุ่มผมนุ่มหอมแผ่วเบานำพาความคิดเรื่อยเปื่อยหลากหลาย เขาอยากต่อเวลาในเช้าวันนี้ให้นานออกไปอีกสักนิด เพราะว่าความสุขที่มีพลันหมดลงไปเพียงแค่เต้พลิกตัวกลับมาและตื่นขึ้น วงแขนรีบปล่อยออกจากตัวแคปแม้ว่าคนนอนจะยังซุกหน้าอยู่แบบนั้น แบงค์หลับตาลงในทันที ความรู้สึกหลังจากนั้นคือคนในอ้อมกอดโดนดึงห่างออกไปก่อนเตียงหลังใหญ่จะยวบขึ้น ตามมาด้วยเสียงน้ำจากห้องน้ำที่ผ่านโสตเข้ามา แบงค์ค่อยๆลืมตาขึ้นอีกครั้งมองเห็นแคปขยับไปนอนที่หมอนของพี่ชาย มีผ้าห่มสีขาวถูกดึงมาห่มจนชิดอก

....เวลาแห่งความสุขที่ลักขโมยมามันช่างสั้นนัก....


อากาศดีๆยามเช้ากับเกลียวคลื่นที่ม้วนตัวอยู่หน้าหาด สองพี่น้องออกไปเดินเล่นกันแต่เช้าตรู่   “แคปมึงอย่ามั่วสิวะ มานี่เลยมาถ่ายรูปกับกู” เต้ดึงแขนน้องชายที่ทำท่าจะเดินหนีเขาลูกเดียวแล้วบอกออกมาว่าการเซลฟี่ร่วมกับพี่ชายอย่างเขามันเป็นเรื่องไร้สาระ

“อะไรเล่าเฮียเต้ ผมไม่อยากถ่ายอ่ะ”

“แต่กูต้องส่งรูปไปให้เฮียโก้ดู ไม่อยากถ่ายมึงก็ต้องถ่าย”

“เมื่อคืนผมเห็นหรอก ใครก็ไม่รู้มาแอบถ่ายรูปผมไปตั้งเยอะอ่ะ”

“เยอะที่ไหนรูปมึงในมือถือกูมีแค่สองรูป”

“สองรูปอะไร ผมเห็นเฮียรัวตั้งหลายช็อต”

“สองรูปจริงๆมึงดูดิอ่ะ” เต้ทำท่าจะยื่นให้แคปดูแต่มีข้อแม้แคปต้องถ่ายรูปกับเขาอีกสักสี่ห้ารูปก่อน แคปไม่ได้โง่หรอกแต่ขัดใจก็ลำบากยอมๆไปซะงั้น เบะปากทำหน้าตาบิดเบี้ยว เต้เลยหยิกแก้มกลมนั้นไป

แชะ!

เสียงกดชัตเตอร์ดังมาแต่ไกล แบงค์กับพี่หนึ่งเดินมาด้วยกัน พวกพี่ย้งและทีมงานคนอื่นๆก็ตามมาด้วย ในมือของเจ้าแบงค์สะพายกล้องแบบมืออาชีพ และแน่นอนว่าช็อตเด็ดของสองพี่น้องตกอยู่ในเม็มโมรี่การ์ดเรียบร้อย

“อะไรวะไอ้แบงค์มึงแม่งได้รูปกูกับไอ้แคปไม่ใช่ว่าสิบรูปแล้วเรอะ” เต้หันไปถามกวนๆใส่ แบงค์ยกยิ้มนิดๆไม่ได้ตอบ เขากดดูภาพที่หน้าจอเต้กับแคปวิ่งเข้ามาชะโงกหัวดูด้วย

“เหยยยยยไม่หล่อเลยเอาใหม่ได้ไหมล่ะ ไอ้เด็กบ้ามึงถ่ายกูให้มันเท่หน่อยเซ่ รูปนี้อะไรวะเฮียเต้โคตรเท่มีแต่กูที่ดูปัญญาอ่อน” นี่เสียงแคปมันโวย ทุกๆคนต่างขำ แบงค์เองก็แกล้งบอกไม่ให้ลบ เต้ดึงแขนน้องชายบอกลงน้ำกันสักหน่อยก่อนกลับ สรุปทีมงานทุกคนเล่นน้ำยามเช้ากันจนหนำใจ พอช่วงสายเร็วสีฟ้าลำเดิมก็พาทีมงานทั้งหมดขึ้นฝั่ง

“ไอ้แบงค์มึงจัดการเรื่องรถ อ่ะ” เต้โยนกระเป๋ากับพวงกุญแจส่งให้แล้วบอกแบงค์จัดการเอาบัตรไปแลกรถออกมาเขากับแคปจะไปหาซื้อน้ำเย็นๆกินเดี๋ยวซื้อไปเผื่อด้วย

“ขับเป็นใช่ไหมวะ รถยนต์น่ะ”

“เป็นสิครับ” แบงค์ตอบเรียบๆก้าวฉับๆไปจัดการยื่นบัตรหลังจากนั้นเลื่อนรถมาจอดรออยู่ริมถนน เต้สับเปลี่ยนไปขับก่อนเลี้ยวออกมาจอดลงที่ตลาดของฝาก ใช้เวลาไปไม่นานพวกเขาทั้งหมดก็ออกมาจากบ้านเพ

“เฮียเต้แวะบ้านผมหน่อยไหมครับ ไหนๆก็มาแล้ว” แบงค์กดวางสายหลังจากที่คุยกับคุณแม่เขาที่โทรเข้ามา ถามเต้ว่าจะแวะบ้านเขาหน่อยดีไหม

“บ้านมึงอยู่ระยองเหรอวะ” เต้มองกระจกหลังถาม

“ใช่ครับ แต่อยู่ในเมืองนะต้องขับเข้าไปอีกนิดหน่อย”

“เอาสิ ทางผ่านพวกเราอยู่แล้วนี่” พวงมาลัยถูกหักเลี้ยวซ้ายออกถนนใหญ่มุ่งหน้าสู่ตัวเมืองระยอง ไม่นานนักก็มาจอดนิ่งอยู่ที่หน้าเรือนไม้สองชั้นขนาดกลางแต่ทว่าสวยงามสไตล์ไทยแท้ยุคโบราณ

“โอ้โหนี่บ้านมึงจริงเหรอเนี่ยไอ้แบงค์ สวยดีกูชอบมากเลย” แคปมองเข้าไปแล้วอดไม่ได้ที่จะร้องอุทานขึ้นมาอย่างที่ใจนึก เรือนไม้ที่ให้บรรยากาศร่มรื่นสวยงามขณะที่อีกฝั่งฟากของถนนเป็นชายทะเลมองเห็นเกลียวคลื่นม้วนซัดชายหาดสีทองอยู่ตลอด แตกต่างจากชีวิตในเมืองมหานครมากจริง ๆ ที่นั่นแทบจะหาบ้านแบบนี้ไม่ได้เลยดูสิมองจากจุดนี้เห็นชานไม้ชั้นสองที่ยื่นออกมาเป็นมุมทำอาหารด้วย มีโอ่งดินให้บรรยากาศแบบชนบทชานเมืองที่แคปชอบมาก

“คุณนายเดินออกมาแล้วว่ะ ลงเหอะ” แบงค์เห็นคุณแม่ของเขาเดินออกมาชะเง้อดู ทั้งสามคนรีบลงไปกล่าวสวัสดี

“ไหว้พระเถอะลูก เข้ามาเร้วแม่เตรียมอาหารไว้ให้เยอะเลยนะ มีของโปรดของทุกๆคนด้วยเจ้าแบงค์บอกมาตั้งแต่เมื่อคืนแม่เลยจัดเตรียมไว้ให้ แคปทานเยอะๆลูก อ่ะนี่ของเต้ แบงค์เขาบอกว่าชอบอันนี้ใช่รึเปล่านะ..” เธอพูดยิ้มแย้มตลอดเวลาที่รับประทานอาหาร ตักนั่นตักนี่ใส่ให้เพื่อนๆของแบงค์ไม่ขาด จริง ๆ แล้วสิ่งที่แบงค์บอกเมื่อคืนเธอจำพลาดไปหน่อย ทอดมันกุ้งเป็นของโปรดของแคปแต่เธอกลับคิดว่าลาเต้ชอบซะอย่างนั้น พอทานข้าวกันเสร็จแคปชวนเต้บอกอยากเดินดูสวนรอบ ๆบ้านเพราะเมื่อกี้ตอนเข้ามาเขาเห็นนะว่ามันมีต้นมังคุด ทุเรียนแล้วก็เงาะที่เริ่มหมดช่วงฤดูกาล ยังคงเหลืออยู่บนต้นบ้างประปราย

“ไปสิ เดี๋ยวพาไป” แบงค์พาทั้งสองคนเดิน แคปก็เด็ดสดๆจากต้นกินไปเรื่อยๆ แบงค์ถามว่าอยากกินทุเรียนไหมเขาจะปอกให้เต้จึงหัวเราะบอกว่าแคปกินทุเยนไม่เป็น

“จริงดิ?”

“โถ่เอ้ยก็แค่ไม่อยากกินเท่านั้นแหละ” แคปตอบไปแบบกวน ๆ เจอต้นเงาะที่พวงมันอยู่สูง เขาต้องบอกให้เต้ก้มลงแล้วกระโดดขึ้นขี่คอเพื่อเอื้อมเด็ด แบงค์เห็นแบบนั้นก็หัวเราะขำแล้วบอกให้แคปมาขี่คอเขามั่งก็ได้เพราะเต้หน้าเหลืองไปหมดแล้ว

“อ้าวแล้วนั่นบ้านใครล่ะ” แคปชี้ถามเมื่อเห็นบ้านตึกหลังใหญ่ในรั้วเดียวกัน เหมือนกับว่าถูกสวนผลไม้แบ่งเขตกึ่งกลางเอาไว้ ฝั่งด้านหน้าของทางนั้นมีอิฐตัวหนอนปูยาวไปจนถึงรั้วอัลลอยด์ขนาดใหญ่สวยงาม

“นั่นก็บ้านคุณนายอีกนั่นแหละ” แบงค์ตอบหน้าซื่อๆ คุณนายที่เขาเรียกก็คือคุณแม่ของเขานั่นเอง

“อ้าว แล้วทำไมมีหลายหลังจังวะ ตกลงอันไหนคือบ้านมึงกันแน่เนี่ย”

“เมื่อกี้ที่พวกเราไปนั่งกินข้าวกันเรียกบ้านสวน ส่วนบ้านที่กูกับพ่อแม่นอนหลับพักผ่อนคือหลังนี้ หน้าบ้านคือตรงนี้ ส่วนที่พาเข้าเมื่อกี้คือประตูหลังบ้านต่างหาก”

“โหยยยไอ้เด็กเวรมึงนี่มัน....” แคปทำตาดุ แบงค์จึงแกล้งทำท่าว่ากลัว “อะไรล่ะ ทำหน้าดุทำไมเนี่ย”

“ก็มึงพาพวกกูเข้าด้านหลังทำไมล่ะวะห๊ะ หน้าบ้านอยู่ทางนี้พาเข้าหลังบ้านซะได้”

“ก็ด้านนั้นมันติดทะเลไง อยากให้ดูวิวสวยๆงามๆ”

“บ้าเอ๊ย”

“เอาน่าๆอย่าเถียงกัน” เต้ห้ามทัพ พอดีกับว่าคุณแม่แบงค์เดินมาเรียกให้ออกมากินสละลอยแก้ว แคปที่กินยากอยู่สักหน่อยตอนแรกก็ไม่กล้าแต่พอเต้คอนเฟิร์มบอกอร่อยกินง่าย ๆแคปจึงตักทานบ้าง

“แคปเอาอีกไหมลูก อิ่มหรือเปล่า” เธอมองแคปที่กินอย่างเอร็จอร่อยทั้งที่ตอนแรกบอกไม่ชอบ พอลองปุ๊ปถึงกับติดใจกินไม่ยอมลุก ทำท่าทางน่าเอ็นดูจนอดยิ้มออกมาไม่ได้ พอถึงเวลาที่ต้องลากลับเธอเอาผลไม้หลายชนิดใส่ตะกร้าบอกให้เอาขึ้นมากินด้วย แคปกับเต้ไหว้แล้วไหว้อีก

“พระรักษานะลูก ขับรถดีๆค่อยๆไปว่างเมื่อไหร่อยากมาวันไหนก็แวะมาแม่ยินดีต้องรับเสมอ  แล้วก็เจ้าแบงค์ กลับบ้านบ่อยๆรู้ไหมคุณพ่อเขาบ่นตลอดน้องโบว์ก็บ่นคิดถึงพี่ไม่แวะมาหาน้องเลยนะเรา แล้วดูซิเนี่ย พอวันนี้จะมาก็ว่างไม่ตรงกันซะอีก พ่อลูกเลยไม่ได้เจอกันอีกจนได้”

“ก็พ่อเขาทำแต่งานนี่” แบงค์ว่าพร้อมขยับเข้าไปกอดเอวเธอไว้ มือเล็กอบอุ่นลูบลงที่หัวทุยๆของลูกชาย

“ก็ทำงานหาเงินให้ใครใช่ล่ะหื้อ”

“ครับๆรู้แล้วว่าหาให้ผมกับน้องนี่แหละ”

“รู้ก็ตั้งใจเรียนอย่ามัวแต่หลงสาวๆรู้ไหม” เต้กับแคปได้ยินแล้วก็ขำพรืด คำพูดของเธอเหมือนเฮียโก้ไม่มีผิด

“ผมไปแล้วครับแม่” หลังจากนั้นสามคนก็ตรงดิ่งเข้าเมืองกรุง สถานที่อันแอร์อัด เมืองศิวิไลที่เต็มไปด้วยรถและก๊าซพิษ บรรยากาศที่ต่างจากบ้านสวนริมทะเลลิบลับ เต้ส่งแบงค์ก่อนจากนั้นค่อยขับเข้ามาส่งแคปที่ห้อง ผลไม้ที่แบงค์ไม่ยอมเอาลงด้วยบอกให้แคปกับเต้นำไปฝากที่บ้านถูกแคปแบ่งเอาขึ้นห้องเพื่อฝากปอ เขากำลังนึกสงสัยว่าเจ้าคูเปอร์มันกินเงาะเป็นหรือเปล่า

“เดี๋ยวกูจะแวะกลับบ้านก่อนเข้าห้อง ต้องเอาของฝากไปให้เฮียโก้ มึงจะเอาอะไรไหมคาปู”

“บอกพ่อว่าผมคิดถึงก็แล้วกัน ส่วนอาฟี่บอกว่าไม่คิดถึงเด็ดขาดถ้าเจออ่ะนะ”

“มึงคงอยากหัวหลุดจากบ่า”

“ก็ถ้าเฮียเต้พูดจริง อาฟี่เอาผมตาย..” เต้พ่นรอยยิ้มขำๆ แคปก้มลงมาเคาะกระจกบอกทุกอย่างเรียบร้อยแล้วขับออกไปได้ เขาจึงโบกมือให้ก่อนเลี้ยวรถออกมาจากลานจอด สวนทางกับรถสีขาวของใครสักคนที่คุ้นตามากๆ พอมองกระจกหลังให้ชัดเจนถึงได้เห็นป้ายทะเบียน

“รถไอ้เอส?” นึกสงสัยว่าเอสมาทำอะไรที่นี่ ช่วงสามสี่วันก่อนรัฐคุยกับเขาเรื่องของปอ บอกว่าเห็นสองคนนี้ขับรถไปด้วยกันโดยที่ปอเป็นคนขับส่วนเอสนั่งด้านหลังใช้รถยุโรปสีดำคันใหญ่ ดูๆไปแล้วเหมือนเจ้านายกับลูกน้องมาก และรถหรูคันนั้นเลี้ยวเข้าไปในตึกใหญ่ของตระกูลรัชชา เขาสันนิฐานเสร็จสรรพว่าเอสคงเอาปอเข้าทำงานด้วยแน่ ๆ ได้ยินข่าวมาว่าชอบไปสนิทสนมกับกลุ่มพวกแคปหลายเดือนแล้วเหมือนกัน เต้ไม่ปล่อยให้ความสงสัยกัดกินเขานานจนเกินไป มือหนาหยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์น้องรหัสตัวเองทันที

ในขณะเดียวกันเอสถอยรถเข้าช่องจอดเดิมก่อนเดินเข้ามินิมาร์ทซื้อขนมปังนิดหน่อย ช่วยไม่ได้เจ้าคูเปอร์พักนี้แคปฝึกให้มันแทะขนมปังมากกว่ากระดูกปลอมของหมา มันเลยยิ่งอ้วนเข้าไปใหญ่

“แปดสิบห้าบาทค่ะ” พนักงานสาวบอกราคา พอรับเงินทอนเสร็จมีเสียงโทรศัพท์เรียกเข้ามาพอดี

“ครับ..” พี่รหัสเขาโทรเข้ามา เอสชั่งใจอยู่สักครู่เพราะว่าเห็นรถของเต้ขับออกไปสวนตอนที่เขาเลี้ยวเข้ามาแต่ไม่คิดว่าอีกคนจะสังเกตเหมือนกัน

(มึงอยู่ไหนวะ) เต้ยิงคำถามเข้าใส่ทันที

“อยู่ห้องเพื่อน เฮียเต้มีอะไรครับ” เขาจะโกหกไม่ได้เพราะถ้าทางนั้นเห็นเขามาที่นี่จริง ๆ การโกหกยิ่งอันตรายที่สุด

(เมื่อกี้กูเห็นมึงที่คอนโดน้องกู แวะไปหาใครวะ ไอ้ปอ?)

“ใช่ครับ มีอะไรกับผมรึเปล่า”

(ได้ยินข่าวมาว่า ไอ้ปอทำงานให้มึง จริงป่ะเนี่ยมึงคอนเฟิร์มกับกูซิ ไอ้รัฐมันเห็นมึงสองสามตัวรวมถึงน้องกูด้วยสุมหัวอยู่ด้วยกันหลายทีแล้วนะ)

“............”

(เฮ้ย! ได้ยินที่กูถามไหมเนี่ย)

“กำลังคิดว่าจะบอกยังไง”

(ทำไมมึงต้องคิดด้วยล่ะวะ)

“ใช่ครับ ผมให้ไอ้ปอมันเข้ามาทำงานให้ ยังเป็นแค่เด็กฝึกงานอยู่เลยต้องคุยกับมันมากหน่อย”

(เรื่องจริงเหรอวะเนี่ย)

“ใช่ครับ”

(ตำแหน่งอะไร กูถามได้รึเปล่าอย่าบอกกูนะว่าเป็นคนขับรถของมึงน่ะ รับจ็อบเหรอหรือว่ามันตกลงใจทำเป็นงานประจำ แล้วมึงไปถูกอกถูกใจสไตล์การขับรถของมันเข้าหรือไงวะ นี่กูงงนะเนี่ย เพื่อนสนิทมึงหรือก็ไม่ใช่)

“เลขาส่วนตัวผมเอง”

(ห๊ะ!) เสียงอุทานอย่างตระหนกตกใจดังลอดออกมา จนเอสต้องเอียงหูออก เต้ส่งสารพัดคำถามตามมาอีกเป็นระรอก เอสก็ตอบไปเท่าที่จะตอบได้แต่ก็อิงหลักความจริง มันก็จริงที่ปอเป็นเลขาของเขาถึงแม้จะเพิ่งเริ่มต้นก็เถอะ แต่แน่นอนว่าอนาคตก็ด้วย เขาเดินเข้าลิฟต์จนมาถึงชั้นที่ต้องการ ขยับไปยืนคุยที่ริมกระจกบานใหญ่มองลงไปที่วิวด้านล่าง ที่เห็นแค่สวนหย่อมเท่านั้น

(เอาเถอะ ถ้ามึงคิดว่ามันโอเค อ้อ แคปมันถึงห้องแล้วใช่ไหมพวกกูไปได้ผลไม้มาจากบ้านไอ้แบงค์ แคปมันชอบใจใหญ่ได้เก็บกินจากต้นสดๆงานโปรดของเด็กเกษตรเขาเลยล่ะ มึงลองขอดูรูปกับมันสิ ไอ้แบงค์ถ่ายไว้ให้มันเยอะแยะ)

“.................” เอสไม่ได้ตอบโต้อะไรอีก เต้กดตัดสายทิ้งไป เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าวางระเบิดไว้ลูกใหญ่มากแค่ไหนเพราะว่าเอสต้องยืนหงุดหงิดหัวเสียอยู่นานสองนานกว่าจะเปิดห้องเข้าไปได้

“งี๊ดๆ” คูเปอร์วิ่งมาร้องทักพลางกระดิกหางจากก้นกลมๆที่เต็มไปด้วยขนของมัน เอสยืนจ้องคนที่นั่งอยู่บนพื้น ในมือถือเงาะหนึ่งพวงดูเหมือนแคปกำลังพยายามจะป้อนเงาะให้คูเปอร์กิน

“มาถึงนานหรือยัง” เขาถามเสียงเรียบๆ หน้าตาไม่บอกอารมณ์แต่แคปแค่เห็นก็รู้แล้วว่ามันกำลังไม่พอใจอะไรแน่ ๆ

“สักพัก  เป็นเหี้ยไรอีก” แคปลุกขึ้นเดินเข้ามาหา ขณะที่คนมาใหม่เลี่ยงจะเดินสวนเข้าไปวางของที่โต๊ะในครัวพอเห็นตะกร้าผลไม้ก็ยืนจ้องอยู่แบบนั้น

“มึงกินสิ ผลไม้สดๆจากต้นเลยนะ เพิ่งเด็ดมาเมื่อเช้านี่เอง” แคปเดินเข้ามาบอกหยิบมังคุดยื่นส่งให้ แต่เอสยังยืนจ้องนิ่งอยู่แบบนั้น

“อร่อยนะเว้ย มังคุดหวานมากมึงกินเป็นรึเปล่า” เขากำลังจะบีบแล้วส่งให้กินแต่เอสกลับทำใหนสิ่งที่แคปไม่อยากจะเชื่อ มือใหญ่หยิบตะกร้าทั้งใบแล้วเดินไปที่ถังขยะเททิ้งลงไปจนหมด แคปร้องโวยวายขึ้นมาหน้าตื่น

“ทำบ้าอะไรของมึงห๊ะ!” ห้ามไว้ไม่ทันหรอกเพราะเอสแค่หันมามองหน้าแล้วโยนตะกร้าเปล่าทิ้งอย่างไม่ไยดี

“มึงบ้าไหมเนี่ยกูตั้งใจหิ้วมาฝาก แต่มึงทำอะไรแบบนี้วะห๊ะ บ้าหรือไงของดีๆเอาไปทำทำไมเนี่ย..” แคปจะเดินเข้าไปรื้อถังขยะแต่เอสคว้าแขนเล็กเอาไว้แล้วกระชากให้ออกไปนอกครัว

“อะไรของมึง อ่ะ กูเจ็บนะไอ้สัสมึงเป็นบ้าอะไรมาอีกเนี่ย”

“ชอบเหรอ มังคุดลำไยแล้วก็เงาะน่ะ” 

“ก็ชอบสิวะ มึงมันบ้าแล้ว” แคปหลุดออกมาจากมือใหญ่ได้ เขาจะเดินไปที่ถังนั่นอีกแต่เอสไม่ยอมปล่อยหรอก ก้าวขาดักทางเอาไว้

“เดี๋ยวกูซื้อให้ใหม่ ถ้าอยากกินสดๆขับรถไปด้วยกันแป๊ปเดียวซื้อจากสวนของรัชชาเลย มึงไม่จำเป็นต้องไปเอาอะไรของใครคนอื่นเข้ามาที่ห้องแบบนี้หรอก”

“..............”

คำพูดของอีกฝ่ายทำให้แคปพอจับใจความได้คร่าว ๆ แล้ว เขาคว้าเอาโทรศัพท์มือถือของเอสมากดเลื่อนๆดูเห็นเฮียเต้โทรเข้ามาก่อนหน้านี่ก็เข้าใจได้ในทันที มองคนตัวโตที่เลี่ยงไปนั่งเสยผมอย่างหงุดหงิดอยู่หน้าทีวี

“ไม่มีอะไรมึงอย่าคิดมากน่า” แคปขยับเข้าไปหามองคนที่สายตามองจอทีวีแต่ไม่ได้มีจุดโฟกัสว่ามันกำลังดูเลย ว่าจะโกรธก็ใช่เรื่อง เขาเข้าใจดีเอสมันไม่สบายใจตั้งแต่วันที่เขาไปเสม็ดแล้ว และเฮียเต้ที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรก็คงจะพูดเรื่องแบงค์ให้ฟัง

“เออๆๆทิ้งแล้วก็แล้วกันไป เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยไปซื้อมากินใหม่ก็ได้วะ มึงซื้อให้กูใช่ไหมล่ะ” แคปไม่รู้จะง้อแบบไหน

“จะเหมาทั้งแผนกให้เลย มึงกินให้หมดก็แล้วกัน” เอสที่เริ่มอารมณ์ดีขึ้นแล้วหลังจากได้ฟังว่าแคปไม่แคร์ผลไม้นั่น หันมาบอกยิ้ม ๆ

“มึงมันเอาแต่ใจจริง ๆ อารมณ์ขึ้นๆลงๆ มีใครเคยบอกไหมวะเนี่ย”

“ก็ถ้าเป็นเรื่องของมึง”

“ไอ้สัส กูเลี่ยนเลย” แคปมองดูคูเปอร์เดินส่ายตูดเข้ามาหา มันนั่งลงแล้วเงยหน้ามองเขาสองคนไปมา เอสยังทำหน้าเย็นชาใส่มันเหมือนเดิม แคปจึงลูบหัวมันเบาๆก่อนอุ้มขึ้นมาวางไว้ที่ตักของคนข้าง ๆ คูเปอร์ร้องงี๊ดๆออดอ้อน เอสจึงตีก้นมันเบาๆ




เวลาผ่านไปหลายเดือนหลังจากวันนั้น คริสมาสต์แรกก็มาถึง ปอกับอาร์จัดเตรียมอาหารเครื่องดื่มไว้มากมาย เพราะพวกเขานัดกับแคปและเอสไว้ว่าจะดื่มฉลองเล็กๆกันที่ห้องเนื่องจากปีใหม่ต้องแยกย้ายบ้านใครบ้านมันอยู่แล้ว งานเลี้ยงนี้จึงเป็นงานเลี้ยงลับ ๆ 

“กุ้งอบวุ้นเส้นของกูหอมสุดๆ” เสียงอาร์ดังลอดออกมาจากครัว แคปที่กำลังหยอกเจ้าคูเปอร์อยู่ต้องรีบลุกไปดูบ้าง

“อันนี้ทอดมันกุ้งของกูนะ มึงห้ามเข้ามาใกล้ ไหนซอสมะเขือเทศของกูล่ะไอ้ปอ” แคปรีบผลักอาร์ออกห่างเมื่ออีกฝ่ายแกล้งยั่วโมโหโดยการทำท่าจะหยิบขึ้นมากิน

“พวกมึงออกไปรอก่อนสิวะ ขวางทางเป็นบ้าเลยเนี่ย” ปอที่อยู่ในชุดผ้ากันเปื้อนง้างตะหลิวขึ้นทำท่าจะตีทั้งสองคน กลับต้องชะงักเมื่อคูเปอร์เข้ามางับขาแล้วเห่าเสียงเล็ก ช่วงนี้มันเริ่มเห่าเสียงน่ารักๆเรียกคนนั้นคนนี้บ้างแล้ว แคปมองดูมันที่เลียปากแล้วทำจมูกฟึดฟัดเพราะกลิ่นหอมจากอาหารหลายๆจานที่เสร็จแล้วแต่ยังไม่อนุญาตให้กินถูกเรียงไว้บนโต๊ะ

“บ๊อกๆ”

“ของมึงคืออะไรวะคูเปอร์ ไหนบอกซิเมื่อวานคูเปอร์บอกพี่ปอว่าอยากกินอะไร พี่ปอทำให้ผมรึเปล่าน๊า” แคปอุ้มมันขึ้นมาส่องดู คราวนี้ปอไล่อย่างดังเลยบอกว่าเดี๋ยวน้ำมันกระเด็นใส่น้อง แคปไม่เชื่อฟังหรอกเขาก็แค่ถอยห่างออกมาสองก้าวแล้วโอ๋มันใส่อก

“คูเปอร์มานี่..” เสียงทุ้มจากโซฟายาวดังขึ้น เอสกำลังดูช่องรายการข่าวอยู่เรียกเจ้าลูกหมาที่หลายเดือนมานี่มีพัฒนาการเข้าหากันและกันขึ้นมาก จะว่าไปคูเปอร์ติดเอสพอสมควรเลยก็ว่าได้ถึงแม้รายนั้นจะชอบทำเสียงเย็นชาใส่มันก็ตาม

“อะไรเนี่ยทำท่าดีใจเชียวนะมึง หมาน้อย” แคปยอมปล่อยคูเปอร์ลงจากอกเพราะว่าเจ้าตูบดิ้นจะลงเสียให้ได้ มันวิ่งเข้าไปเอาใจเอสที่กึ่งนั่งกึ่งนอนมองมันอยู่

“จะขึ้นมาทำไมใครเรียก” เอสทำเสียงโหดๆทั้งที่เรียกมันเองแต่เขาก็แค่อยากแกล้ง เมื่อเห็นว่ามันอยากจะกระโดดขึ้นไปหา คาปูเห่าเสียงเล็กๆและร้องงี๊ดๆ เอสก็แค่ปรายตามองเขาเอาขาเขี่ยๆมันบอกไม่ได้เรียกสักหน่อยมาทำไม  คูเปอร์ทำหูลู่ไปด้านหลังหางตก ตาก็ตก นั่งจ๋องหันไปฟ้องแคป

“มึงชอบแกล้งน้องไอ้สัส” แคปเดินเข้ามาหาอุ้มมันขึ้นมาแล้วนั่งอยู่ตรงข้ามกัน เอสเหลือบมอง

“ไปอุ้มมันทำไม เสียนิสัย” เสียงทุ้มกระแนะกระแหนขึ้นมาอีก แคปมองอย่างเอือมระอา นิสัยเด็กชะมัด

“ใครกันแน่ที่เสียนิสัย อิจฉากระทั่งหมา”

“รักมันเข้าไป เดี๋ยวกูจะเอามันไปทิ้งเข้าจนได้ รักมันให้มากๆเอาใจกันให้สุดๆ” ยังมิวายแดกดันต่อนั่นทำให้แคปนึกโมโห

“ไอ้คนใจร้าย!” เขาคว้าเอาโทรศัพท์มือถือของเอสที่วางอยู่บนโต๊ะขว้างใส่ ดีนะที่อีกฝ่ายรับได้ทัน อยู่ใกล้แคปทำให้สัญชาตญาณการโต้ตอบเขาฉับไวขึ้นมาก ต้องทันมันตลอดจริง ๆ มือหนักมือไวไม่เคยเปลี่ยน ดีหน่อยช่วงนี้ลดๆคำด่าเขาลงไปเยอะแล้ว “โดนหัวขึ้นมาทำไงเนี่ย”

“อย่ามาพูดมากถ่ายวีดีโอให้กูเร็วเข้า กูจะถ่ายคู่กับน้อง คูเปอร์น่าย๊ากกกก เนาะๆ พี่แคปรักน๊า เร็วสิวะ กดถ่ายยังเนี่ย” แคปเร่งคนที่นั่งจ้องยิก ๆ เอสหน้าหงิกงอยิ่งกว่าเก่าตอนที่ได้ยินแคปบอกว่ารักนะกับไอ้หมาหน้าโง่นั่น

“นี่มึงบอกรักมันต่อหน้ากูเหรอวะ”

“กูบอกที่ไหนเล่า กดยังเนี่ย” แคปถามต่ออีกราวกับว่าคำถามต่อว่าของเอสไม่ได้สำคัญอะไรตรงไหน

“ชิ  เออๆกดแล้ว”

“สุขสันต์วันคริสต์มาส ผมคูเปอร์งับ รักผมหน่อยน๊าาา..” แคปที่กอดคูเปอร์ไว้แนบอกจับเอาอุ้งเท้าข้างนึงของมันขึ้นมาโบกใส่กล้องแล้วยิ้มหน้าแป้นทั้งคนทั้งหมา ขณะที่คนบันทึกภาพอย่างเอสเห็นแล้วยังต้องหลุดอมยิ้มออกมาด้วย

“มาๆๆๆๆ กินกันได้แล้วโว๊ย! แคปเอสมากินข้าวกันได้แล้ว อาหารพร้อมเครื่องดื่มพร้อมวันนี้ไม่เมาไม่ให้นอน ไอ้อาร์มึงไปเปิดเพลงแล้วหรี่ไฟลง เราจะเนรมิตรห้องนี้ให้เป็นบาร์ขนาดย่อม”

“อ้าวดื่ม โช้นนนนนน ไม่เมาไม่เลิก” ทั้งหมดชูแก้วเครื่องดื่มของตัวเองขึ้นชน เสียงแก้วกระทบกันดังลั่นเป็นสัญญาณความรื่นเริงของคืนแห่งคริสต์มาส เจ้าคูเปอร์อยากมีส่วนร่วมมันไปคาบเอาผ้าปูโต๊ะพยายามจะดึงลากลงมาอาร์ที่เห็นก่อนจึงไล่ตะครุบมันอุ้มมาไว้แถวๆข้างตัว คูเปอร์ยิ้มตาหยีหูลู่ดูมีความสุขมันขยับเอาตัวเข้าไปนอนพิงแผ่นหลังของเอสไว้นอนแทะขนมส่วนตัว มือใหญ่สอดเข้ามาลูบหลังมันก่อนยกแก้วของตัวเองขึ้นดื่ม “บ๊อกๆ” เสียงหัวเราะครื้นเครงดังขึ้นหลังจากนั้น



ในที่สุดเหมันต์แรกสำหรับใครหลายคนก็ผ่านพ้นไป ช่วงนี้ปอได้เข้าคอร์สฝึกวิชาการต่อสู้และใช้อาวุธสำหรับบอดี้การ์ดมืออาชีพจากคุณนาคิน งานของรัชชาทำเอาเขาตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อต แต่ผลตอบแทนที่ได้ก็น่าพอใจ ได้ยินว่าเร็ว ๆ นี้จะต้องไปสอบเพื่อขอใบอนุญาตพกอาวุธ ปอทุ่มเทกับงานนี้น่าดูจนแคปเห็นแล้วยังอดนึกไม่ได้ว่ามันอาจจะโดนคุณนาคินอะไรนั่นล้างสมอง เพราะพักหลังมานี่ดูเหมือนทุกๆอย่างในชีวิตจะเริ่มเป็นแบบแผนและมีระเบียบขึ้นอย่างเห็นได้ชัด บางทีการถูกขัดเกลาจากมืออาชีพจริง ๆ จะทำให้เราก้าวหน้าขึ้นเป็นเท่าตัว

กระทั่ง..ฤดูกาลสอบไล่ปลายภาคเรียนที่สองไล่หลังเข้ามา ต่างคนต่างต้องเตรียมตัวกันอย่างหนัก ทั้งเคลียร์งาน ส่งเปอเปอร์ แปะโปรเจค รวมไปถึงทุ่มเทเวลากับการอ่านหนังสือแบบข้ามคืน ถึงขนาดแต่ล่ะคนตาโหลไปตามๆกัน

ไม่กี่สัปดาห์หลังจากนั้นในที่สุดการสอบได้ผ่านพ้นไป พวกเขาทั้งหมดต่างวุ่นวายอยู่กับการเก็บข้าวของกลับบ้านแบบระยะยาวยกเว้นกับเลขาจำเป็นที่จะมีวันหยุดยาวได้แค่ห้าวันเต็มที่ จากนั้นได้ยินว่าคุณนาคินจะต้องเอาตัวเข้าฝึกคอร์สพิเศษเฉพาะทางอีกราวๆหนึ่งเดือน แคปเองก็ไม่ได้ถามว่าที่ไหนอย่างไรและปอเองก็ไม่ได้บอก ดูเหมือนเรื่องนี้คงเป็นความลับเพราะถามเอสรายนั้นก็บอกไม่รู้ อันนี้เป็นคุณพ่อเขามอบหมายให้เลขาของท่านจัดการ

“บ็อคๆ” เสียงคูเปอร์เห่าเรียกขณะที่แคปกำลังแพ็คเสื้อผ้าบางส่วนใส่กระเป๋า ของใช้หลายอย่างที่จำเป็นถูกหยิบเข้ามาจัดเรียงลงด้วย

“คูเปอร์จะคิดถึงพี่แคปไหม..” เขายื่นมือลงไปเกาคางมันแล้วยิ้มแห้ง ๆ ให้ นึกแล้วอดใจหายไม่ได้ แรกเริ่มเดิมทีเขาก็คิดว่าจะเอาคูเปอร์กลับไปเลี้ยงที่บ้านด้วยแต่พอโทรไปถามเฮียโก้

“ไม่ได้เด็ดขาดคาปู ลูกก็รู้ว่าอาฟี่ไม่มีทางยอม”

“โถ่พ่อครับ คูเปอร์น่ารักลองให้อาฟี่เห็นมันก่อนเถอะ”

“พ่อไม่อยากจะขัดใจเราหรอกนะ แต่ลูกก็รู้ว่าอาฟี่ไม่ถูกกับลูกหมาที่สุด เพราะงั้นลูกต้องจัดการเอามันไปฝากไว้กับใครสักคนเถอะ บ้านเราเลี้ยงไม่ได้จริง ๆ พ่อไม่อยากเห็นมันช้ำในตายเพราะถูกอาของลูกเตะอัดฝา ไม่ก็เอามันไปทิ้งที่ไหนสักแห่งหรอกนะ”

นั่นเป็นคำขาดจากเฮียโก้เมื่อตอนที่แคปบอกจะเอาคูเปอร์กลับบ้านด้วย จำได้ว่าตอนนั้นเขายังเด็ก คุณป้าข้างบ้านจะไปต่างจังหวัดเธอฝากลูกหมาน่ารักไว้กับพวกเรา เฮียโก้ทั้งเอาใจป้อนข้าว อาบน้ำ อุ้ม แล้วก็พาเข้านอน อาฟี่หน้าเขียวตาเขียวไม่พอใจอยู่เป็นวัน ๆ ตกเย็นวันต่อมาพวกเขาทั้งหมดรวมทั้งพี่เต้หาเจ้าลูกหมาตัวนั้นอยู่ตั้งนานเพราะว่าจู่ๆมันก็หายไป ขณะที่อาฟี่ไม่ได้สนใจตามหามันเลยสักนิดกลับบอกออกมาว่าเอามันไปทิ้งแล้ว เฮียโก้โวยวายใหญ่ ซึ่งนั่นเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นพ่อโกรธอาฟี่มากๆและคุณอาของเขาหุนหันขับรถออกจากบ้านไป หนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นอาฟี่ขับรถกลับมาพร้อมเจ้าหมาตัวนั้นที่สะบักสะบอมสุดๆ

“ก็แค่เอามันไปฝากให้ลูกน้องที่กรมเลี้ยง มึงจะร้องไห้ทำไมกันล่ะแค่นี้กูก็รู้สึกผิดจะแย่แล้ว”

ตั้งแต่นั้นมาเฮียโก้ปฏิญาณไว้ว่าจะไม่รับเอาหมาตัวไหนมาเลี้ยงอีกเด็ดขาดเพราะไม่อยากทะเลาะกันเอง  แคปลืมเรื่องนี้ไปเลยจริง ๆจะว่าไปนิสัยอาฟี่กับเอสทำไมถึงละม้ายคล้ายคลึงได้ขนาดนี้

“เสร็จยังวะแคป จะออกไปตอนนี้เลยรึเปล่า” เสียงทุ้มคุ้นเคยดังมาจากหน้าประตู เอสยืนกอดอกมองเจ้าลูกหมาที่นับจากนี้เดือนกว่าๆมันคงต้องไปอยู่กับเขาที่บ้าน

“กูคิดถึงน้องนี่”

“อย่าพูดว่าคิดถึงคนอื่นต่อหน้ากูนักเลย”

“คนอื่นที่ไหน คูเปอร์เป็นหมาของกูกับมึงนะ เป็นลูก”

“กูเกลียดเด็ก เกลียดหมาด้วย” เกลียดทุกคนที่มึงเอาใจใส่นั่นแหละ เขาอยากจะพูดแบบนั้นอยู่หรอกแต่เห็นหน้าแคปแล้วจึงชะงักไว้ก่อน

“ไอ้คนใจร้าย น้องเป็นหมาของเราแท้ๆ”

“หมาของมึงนั่นแหละ ไม่ใช่หมาของกูสักหน่อยก็แค่รับฝากเลี้ยงหรอกน่า นึกว่ากูใจอ่อนกับมันหรือไง” เอสเข้ามาจับเชือกจูงล็อคเข้าที่ลำตัวของคูเปอร์ สายจูงสีชมพูไม่ยาวมากนักแต่ใช้บ่อยจนเริ่มเก่าแล้วถูกกระตุกขึ้นนิด ๆ คูเปอร์เดินเติมแรงดึงของเอสออกมารอที่หน้าห้อง

“ไปอยู่กับพี่เอสคู เปอร์ห้ามดื้อนะครับ” แคปก้มลงไปลูบหัวมันอีกที

“ลองมันดื้อสิกูจะเอามันไปบริจาคเป็นหมาเก็บกู้ระเบิดเลยคอยดู”

“ไอ้คนใจร้าย คูเปอร์อย่าไปใส่ใจนะพี่เอสพูดเล่น ไม่ทิ้งหรอกรักขนาดนี้จะทิ้งไงล่ะ เนอะๆ” แคปตวัดสายตามองดูคนที่กอดอกไม่พอใจที่เขาบอกรักคูเปอร์ไปอีก แคปยีขนนุ่มๆของคูเปอร์อีกครั้งก่อนจะเดินไปที่หน้าตู้รองเท้า เอสคว้าเอาแขนเล็กไว้แล้วรวบเอวบางเข้ามาหาตัว เขากดริมฝีปากจูบลงไปเบา ๆหนึ่งที ยอมรับเลยว่าเมื่อคืนเขาเต็มที่กับแคปมากจริง ๆ เรื่องบนเตียงจะอย่างไรก็ไม่เคยพอใจและเบื่อเลย ยิ่งรู้ว่าต้องห่างกันเป็นเดือนแบบนี้เขายิ่งไม่อยากจะปล่อยคนในอ้อมกอดไป

“คิดถึงคูเปอร์ก็ไปหาสิ ไปค้างด้วยก็ยังได้เลยบ้านกูยินดีต้อนรับมึงอยู่แล้ว” ริมฝีปากกดจูบไล่ขึ้นไปตามแก้มนิ่ม หางตา และขมับเล็กก่อนหอมเบา ๆ แถวไรผมแล้วเลื่อนลงมางับใบหูเล็กเล่นอย่างเคนชิน แคปยืนตัวแข็งเกร็งอยู่ในอ้อมกอดใหญ่ที่รัดเขาไว้จนจมอก ถึงจะเคยทำแบบนี้ไม่รู้ต่อกี่ครั้งแต่มันไม่ชินนักหรอก

“ไม่อยากปล่อยมึงไปเลยว่ะ กูมันเห็นแก่ตัวใช่ไหม..” เสียงแตกพร่ากับดวงตาคมกริบจ้องลงที่ริมฝีปากสวยของคนตรงหน้าก่อนเลื่อนลงมากดรอยจูบลึกซึ้งอีกสักครั้ง แคปหลับตาพริ้มลงพลางเลื่อนสองมือโอบเอวแกร่งแล้วตอบรับสัมผัสจากริมฝีปากนั้นทันที..ทั้งซาบซึ้ง วาบหวามชวนให้จดจำ 



กลิ่นหอมของกาแฟอบอวลไปทั่วทั้งร้านเคล้าไปกับกลิ่นหวานๆของเบเกอรี่และน้ำสลัดชั้นยอด รวมไปถึงใบชาเลิศรส ร้านกาแฟในย่านธุรกิจใจกลางเมืองในบรรยากาศไทยๆแต่กลับโรยไปด้วยกลิ่นอายของวัฒนธรรมญี่ปุ่นเคล้ากับฝั่งตะวันตก...ไม่รู้ทำไมร้านนี้ถึงเป็นที่ถูกใจของบรรดานักเรียนมัธยมสาวที่มาลงเรียนพิเศษอยู่ในซอยที่เต็มไปด้วยตึกสูงฝั่งข้างๆรวมไปถึงพี่สาวพนักงานออฟฟิศจากสามสี่ตึกใหญ่ฝั่งตรงข้ามและข้างเคียง

“คาปูออกไปรับลูกค้าให้พ่อก่อน เดี๋ยวจัดการสลัดทูน่าจานนี้เสร็จจะตามออกไป เจ้าเต้มันโวยวายแล้วนั่น ลูกค้าเข้าเยอะเลย”

โก้หันบอกแคปที่ยืนเติมพลังกัดขนมปังแซนวิชอยู่ข้าง ๆ ตู้เย็นขนาดใหญ่ในครัวของที่ร้าน สามสัปดาห์ที่แคปกลับบ้านก็ง่วนอยู่กับการช่วยงานโก้ตลอด เต้เองก็ทำหน้าที่หลักเป็นประจำทุกวัน สองพี่น้องในชุดบาริสต้าจำเป็นคาดผ้ากันเปื้อนสีดำสุดเท่เข้าประจำการเฉพาะช่วงปิดเทอมแบบนี้ ถูกใจสาวน้อยหนุ่มน้อยลูกขาขาจรรวมทั้งขาประจำนักล่ะ

“รบกวนพี่ช่วยเขียนเบอร์โทรศัพท์ลงในใบเสร็จให้หนูด้วยได้ไหมคะ” เมื่อแคปวางแก้วโกโก้ร้อนลงที่เคาน์เตอร์พร้อมกับขนมหวานแสนอร่อยอย่างฮันนี่โทสต์ สาวน้อยผมยาวคนนี้ก็เอ่ยปากขึ้น จริงๆเขาสังเกตอยู่หรอกว่าเธอยืนจ้องเขากับพี่ชายนานมากแล้วกับคำถามหรือคำขอร้องที่ต้องได้ฟังทุกวัน วันละหลายๆรอบเสียด้วย แคปก็แค่ยิ้มกลับไปเท่านั้น มองส่งเธอว่าเมื่อไหร่จะถือถาดอาหารไปรวมกลุ่มที่โต๊ะริมกระจกที่บรรดาเพื่อนฝูงของเธอนั่งรออยู่ แต่เปล่าเลยเธอกลับยืนยิ้มมองเขาอยู่แบบนั้น

“เข้าไปต้มกาแฟหม้อใหม่ออกมาไป เดี๋ยวทางนี้กูจัดการเอง” เต้ขยับเข้ามาบอก

“เชิญเลือกที่นั่งได้ตามสบายเลยนะครับ” เขาผายมือบอกเธอทั้งๆที่รู้ว่าโต๊ะของเธออยู่ที่ไหนแต่ทว่าเธอกลับมายืนมองตามแคปแบบไม่วางตา พอรู้สึกตัวก็สะดุ้ง เธอจ้องหน้าเต้ดี ๆ แล้วกรี๊ดออกมา

“เป็นอะไรมากไหม” เต้ถามเรียบๆ เธอละล่ำละลักก่อนหน้าแดงตัวแดงเพราะไม่คิดไม่ฝันว่าสุดหล่อคนพี่จะคุยกับเธอด้วย ได้ยินมาว่าสองพี่น้องครอบครัวนี้หล่อมากคนน้องจะคุยง่ายกว่าในขณะที่คนพี่น้อยคนนักจะได้คุยด้วย เธอจึงเลือกคุยกับแคป พอเต้มาทักทายแบบนี้เธอถึงขั้นจิตหลุด

“หนูชอบพี่นานแล้วค่ะ เพื่อนหนูก็ชอบ นั่นค่ะนั่งมองพี่อยู่ตรงนั้น ส่วนอีกสองคนโน้นชอบพี่แคป ไม่ทราบว่าเอ่อ....”

“ขอบคุณนะครับ เดี๋ยวขอตัวสักครู่” เต้ลุกขึ้นตัดบทเลย สาวสวยยืนเซ่อไม่คิดว่าจะโดนขัดจังหวะเธอรีบเรียกเขาไว้ “เดี๋ยวค่ะ หนูขอเบอร์โทรศัพท์พี่ได้รึเปล่าคะ”

“.......” เต้ชะงักนิดๆ

“หนูมาซื้อโกโก้ที่ร้านพี่ทุกวันเลย ก็เพราะว่าอยากเห็นหน้า หนูขอ...”

“สอบเข้าให้ได้ที่เดียวกับพี่สิ แล้วเราค่อยมาคุยกัน” เด็กสาวใจกล้าชะงักกับคำพูดเย็นชาแบบนั้นแต่เต้หรือจะสนคนที่ใจกล้าเกินงามแบบนี้ พูดแล้วเขาก็เดินจากไปทิ้งให้เธอหน้าเหี่ยวเหลียวซ้ายแลขวา แคปที่ยกหม้อกาแฟมาวางไว้บนเตาไฟฟ้าเห็นเธอตาแดง ๆ

“แล้วพี่เรียนคณะอะไรเหรอคะ มหาลัยไหนใช่ที่คนเขาลือกันหรือเปล่า..” เธอตะโกนเข้ามาถามแคปหันมองพี่ชายที่ยืนสตรีมนมไม่สนใจจะตอบ เพื่อนๆของเธอพากันเดินมายืนข้าง ๆ โก้ที่ออกมายืนชงกาแฟให้ลูกค้าอีกรายเมื่อสักครู่อมยิ้มแล้วส่ายหัว สถานการณ์แบบนี้เขาชินเสียแล้ว มีลูกชายหล่อเกินไปมักยุ่งยากใจเรื่องสาวสวยมาติดพัน

“มหาลัย.....คณะวิศวกรรมโยธาครับ”

กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด เสียงกรี๊ดดังลั่นเพราะสาวสวยน่ารักคนนั้นทำท่าจะเป็นลม เป็นอันว่าเพื่อนๆเธอได้หอบกันออกไป ก็ใครล่ะจะไปเข้าเรียนกันได้ง่าย ๆ มหาลัยอันดับหนึ่งแบบนั้นกับคณะที่มีคะแนนสูงชะลูด

“มึงตัดใจเถอะน่า พี่เขาหล่อขนาดนั้นต้องไม่โสดแน่อยู่แล้ว”

“แต่กูยังไม่เคยเห็นพี่เขาควงผู้หญิงคนไหนเลยนะเว้ย กูสืบ กูสืบ”

“เป็นเกย์ป่ะวะมึง”

“บ้าสิ”

นั่นคือข้อถกเถียงที่ค่อย ๆ ลดหายไปขณะที่สาวสวยวัยมัธยมน่ารักทั้งกลุ่มออกไปจากร้านแล้วเรียบร้อย คืนนั้นแคปนอนคุยโทรศัพท์กับเอสจนดึกดื่นอย่างเช่นทุกๆคืน แต่พิเศษนิดหน่อยก็ตรงที่คนที่โทรเข้ามาอยู่ไกลถึงปักกิ่ง เอสที่ยืนตากลมหนาวอยู่ริมถนนย่านการค้าหน้าภัตตาคารขนาดเจ็ดดาว ด้วยออกมากินเลี้ยงกับคุณพ่อคุณแม่ของเขา ร่างสูงใหญ่ในเสื้อโค้ทสีดำสนิทมีผ้าพันคอสีหมอกสวมทับอยู่ คุณแม่ของเขาใส่ให้ตั้งแต่ก่อนออกมาจากบ้านใหญ่ของตระกูล มือที่เย็นเฉียบเพราะอากาศหนาวเหน็บกลายฤดูของที่นี่ล้วงเข้าไปเอาความอบอุ่นอยู่ในกระเป๋าเสื้อโค้ทตัวยาว

“หนาวว่ะแคป..” เสียงทุ้มกรอกลงในสาย มองดูหนทางที่คับคั่งไปด้วรถลาและการจราจรที่ขวักไขว่แม้ในยามดึก แสงไฟสีส้มทอเต็มไปหมด ตึกสูงใหญ่ฝั่งตรงข้ามมีดวงไฟประดับรายล้อมทุกห้องทุกชั้นบอกให้รู้ถึงความคับคั่งของคนเมืองที่แออัดกันอยู่บนตึกสูง ไม่ใช่สถานที่ในอุดมคติแต่จำเป็นต้องมาเพราะเรื่องธุรกิจการค้าและญาติพี่น้องเก่าแก่ของตระกูล

“ทำไมที่นั่นถึงยังหนาววะ กูเปิดดูสภาพอากาศมันก็น่าจะแค่เย็นๆนี่หว่า ฤดูใบไม้ผลิไม่ใช่เหรอ”

“คำทำนายในแอพเชื่อถือไม่ได้ กูยืนอยู่นี่แสบหน้าแสบจมูกไปหมดแล้ว”

“เข้าบ้านสิ มึงอยู่ไหนน่ะ”

“มากินข้าวข้างนอก เรื่องงานน่ะ คุณพ่อกูมึงก็รู้..”

“อ้อ...”

แล้วเขาสองคนก็คุยโน่นนี่กันต่อสักพัก คุณนาคินเลขาคนสนิทของท่านเจ้าสัวออกมาตาม เอสพยักหน้าให้แล้วบอกว่าสักครู่จะกลับเข้าไป หลังจากนั้นเขาก็ตั้งใจก่อกวนอีกคนให้โดนด่าตลอดอยู่ดี แคปอยากจะเขวี้ยงโทรศัพท์ไปติดประตูให้รู้แล้วรู้รอด

“ปากดีนักนะ กลับเมื่อไหร่บอกกูมาเดี๋ยวนี้เลย” แคปถามเสียงขุ่นๆลงไปแต่คนฟังกลับอมยิ้มออกมา เขาจับน้ำเสียงได้ว่าถูกคิดถึงอย่างแรงแน่ ๆ

“คิดถึงหรือไงวะ”

“กูคิดถึงคูเปอร์เหอะ มึงไม่อยู่ไม่มีใครคอลวีดีโอเอาหน้าน้องให้กูดูเลย ไม่รู้ป่านนี้เป็นไงมั่ง”

“หึหึ พี่แอมป์ดูแลให้มึงหายห่วงเถอะน่า คิดถึงกูก็บอกมาตรงๆดีกว่า”

“ใครจะไปคิดถึงมึงกัน บ้าแล้ว”

“ไม่บ้าหรอกเพราะกูเองก็คิดถึงมึงมากเหมือนกัน..”  เพราะถ้อยคำตรงๆแบบนั้นทำให้ต่างคนต่างเงียบกริบ แม้ความเป็นจริงจะอยู่ห่างกันหลายร้อยพันไมล์ แต่ไม่รู้ว่าทำไมกลับรู้สึกราวกับว่าอยู่ใกล้ชิดกันเพียงลมหายใจกั้นเท่านั้น

“มึงต้องรีบกลับมารู้ไหมห๊ะ ไม่มีใครให้ด่าให้ตีเลยน่ารำคาญชะมัด” เป็นแคปที่ทำลายความเงียบงันนั้นก่อน เสียงกระเง้ากระงอดทำเอาเอสหลับตาลงแน่นพร้อมกับริมฝีปากที่จุดรอยยิ้มอบอุ่นออกมาอีกครั้ง

เขาพยักหน้ารับเบา ๆ  “อีกสองวัน เดี๋ยวถึงแล้วจะโทรบอกมึงคนแรกเลยนะ อยากได้อะไรรึเปล่า”

“ที่นั่นมีอะไรดีล่ะ”

“ก็หลายอย่างไม่รู้สิ มึงอยากได้อะไรลองพูดออกมา”

“อืม..ไอ้ผลไม้สีแดงที่มันเสียบไม้ยาวๆแล้วเคลือบน้ำตาลเป็นไงวะ น่าอร่อยดีออก มันมีสตรอเบอร์รี่ด้วยใช่ไหม กูอยากกินชะมัด”

“เขาเรียกถังหูลู่ มีผลไม้หลายอย่าง เมื่อกี้ยังเห็นเดินผ่านอยู่เลย”

“อ่ะจริงดิ ซื้อมาให้หน่อยสิวะ”

“อะไรของมึงเนี่ย ขอของแบบนั้นเองเหรอ อย่างอื่นล่ะไม่เอาอะไรหรือไง”

“ไม่อ่ะไม่อยากได้ กูอยากกินแต่อันที่ว่า”

“โอเคเดี๋ยวบอกคุณนาคินหาให้ มันน่าจะมีแบบแพ็คใส่กล่อง”

“เฮ้ยแบบนั้นไม่เอากูจะเอาแบบเสียบไม้”

“แล้วแบบนั้นจะเอากลับไปยังไงล่ะ มึงสั่งเนี่ยหัดคิดสักหน่อย”

“นี่มึงด่ากูเรอะ”

“อืม ด่าไง”

“ไอ้....” ว่าแล้วแคปก็โปรยคำด่ายาวเหยียด เอสชินเสียแล้วเขายืนอมยิ้มแล้วฟังพลางเอามือตบๆควานหาบุหรี่เพื่อจะสูบ แต่ก็นึกได้ว่าตัวเองหยุดไปได้สักพักแล้วตั้งแต่วันนั้นที่บอกกับแคปไว้ที่ระเบียงห้อง..วันที่เขาสองคนกอดกันด้วยความเต็มใจทั้งคู่ เขาตั้งใจจะหยุดมันลงที่วันนั้น  “ฝันดีนะแคป”

“แหวะ กูจะอ้วก” คนฟังหน้าร้อนผ่าวๆขณะที่คนตั้งใจกวนกลับแกล้งแหย่ขึ้นอีก “อ้าว ท้องทำไมไม่บอกล่ะเนี่ย ตายๆเมียกูท้อง”

“ไอ้สัสไอ้@#$%^&*.....” นี่ก็คำด่าสาดมาอีกครั้ง เอสหัวเราะขำๆอย่างเคยก่อนที่แคปจะโมโหแล้วตัดสายเขาทิ้งไปจริง ๆ 

ปักกิ่งคืนนี้อากาศยังคงหนาวเหน็บ ถ้าสายลมแห่งความเย็นจะหอบเอาความเหงาสะท้านของใจคนส่งข้ามทะเลแม่น้ำและภูเขาผ่านมาถึง..

“คุณเอสครับ คุณท่านกับนายหญิงรออยู่ด้านในแล้วครับ” นาคินเดินออกมาตามเขาอีกครั้ง เอสเพียงพยักหน้าเบา ๆ รองเท้าส้นหนังก้าวผ่านชายในชุดสูทสีดำสนิทสี่คนที่ค้อมหัวลงให้เขาอย่างนอบน้อม นั่นคือการ์ดส่วนตัวของคุณพ่อเขาซึ่งเป็นลูกน้องที่ขึ้นกับนาคิน ทั้งหมดนั่นเดินตามหลังเขาอยู่โดยตรง

.

.


วันนั้น...

“เฮียโก้ โทรศัพท์ครับ” เต้ถือโทรศัพท์มือถือของโก้ที่สั่นร้องอยู่บนโต๊ะหน้าทีวีเข้าไปส่งให้ที่ครัว เช้าวันอาทิตย์ฟี่ยังไม่กลับบ้านตั้งแต่เมื่อคืน ช่วงนี้เหตุการณ์บ้านเมืองค่อนข้างยุ่งเหยิง ได้ยินข่าวมาว่าหน่วยเฉพาะกิจของเขากำลังตามจับตัวคนร้ายคดีใหญ่อุกฉกรรจ์

“ใครโทรมาน่ะเต้”

“อาฟี่ครับ” โก้พยักหน้าเบา ๆ ล้างมือแล้วบอกเต้ขึ้นไปปลุกแคปลงมาทานข้าวก่อนที่เขาจะถอดผ้ากันเปื้อนออกแล้วกดรับสายเดินออกมานั่งคุยกับน้องชายฝาแฝดของตัวเองอยู่ที่โซฟาเบสตัวใหญ่ ขณะที่เต้วิ่งขึ้นบันไดตรงเข้าที่ห้องของน้องชาย

“คาปูชิโน่ มึงตื่นยังวะ” ไม่มีการเคาะเรียกใดๆทั้งสิ้น บางครั้งเขาก็ติดนิสัยเปิดผั๊วะเข้ามาเลย ก็มันห้องน้องชายตัวเองนี่หว่าถ้ามีอะไรส่วนตัวมากๆเต้คิดว่าแคปคงต้องล็อคประตูเอาไว้แน่อยู่แล้ว

“ตื่นสายนะมึง เฮียโก้เรียกไปกินข้าวแล้ว” เตียงนอนว่างเปล่า เพราะว่าเจ้าของห้องแหกปากร้องเพลงดังลั่นอยู่ในห้องน้ำ คละไปกับเสียงฝักบัวซู่ซ่า เต้มองดูที่เตียงเดี่ยวหลังเดิมที่แคปใช้ตั้งแต่เด็ก ผ้าห่มยับยู่ยี่ยังไม่ถูกเก็บพบเขาจึงจัดการให้ นิตยสารฮาร์ดแวร์เล่มใหม่ล่าสุดกับโทรศัพท์มือถือแคปร่วงตกลงมาเมื่อเขายกผ้าห่มขึ้นพับ

“ไหนดูซิ มีสาวๆน่ารักคนใหม่หรือยังวะน้องกู..” นานทีปีหนที่จะเข้ามาล้วงข้อมูลส่วนตัวของน้องชาย วันนี้นึกอะไรเข้าไม่รู้ เต้กระโดดขึ้นนั่งบนเตียงแล้วจัดการกดโทรศัพท์แคปรัวๆ กะว่าจะเอามาล้อตอนที่เจ้าน้องตัวแสบออกมาจากห้องน้ำเสียหน่อย

แต่ที่ไหนได้...

สิ่งที่เห็นกลับทำเอาเขามือไม้อ่อนหัวใจหล่นฮวบ หน้าชาตัวชาไปหมดและที่สำคัญหัวใจของพี่ชายอย่างเขาเจ็บปวดราวกับถูกเข็มเล่มใหญ่ปักลงกลางจุดตาย

ภาพถ่ายแคปกับน้องรหัสของเขาเอง รูปถ่ายแบบแนบชิดสองใบหน้าขณะที่แคปมันสวมใส่แว่น แบคกราวด์เล็กๆทั้งหมดคือห้องของน้องชายเขา ภาพเซ็ทนั้นมีอยู่สิบกว่ารูปที่ถูกตั้งไว้ในเนื้อที่จัดเก็บส่วนตัว นิ้วที่เลื่อนภาพต่อไปให้ปรากฏขึ้นเรื่อยๆยิ่งตอกย้ำให้ใจเจ็บหนึบขึ้นมา ยิ่งภาพสุดท้ายที่แคปนอนหลับคาโต๊ะหนังสือแล้วอีกคนเอียงหน้าจูบลงไปแบบนั้น...

“เฮียเต้!

เสียงแคปอุทานอย่างตกใจ แต่ทว่าส่งไปไม่ถึงพี่ชายที่นั่งตาลอยกำโทรศัพท์มือถือไว้แน่นจนมือไม้สั่นไปหมด เต้ขบสันกรามจนปูดนูน ดวงตาคมกริบค่อยๆเบนไปที่สร้อยคอเส้นเล็กที่แขวนไว้ด้วยเกียร์สีทองสัญลักษณ์ของพวกเขาทั้งคณะ บัดนี้มันประดับอยู่บนลำคอน้องชายเขาเอง หลักฐานยืนยันที่แม้แต่คนโง่ยังเข้าใจ

“เฮียเต้...” แคปครางเรียกพี่ชายเสียงสั่นก้าวถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว  เต้ลุกขึ้นมาแล้ว นัยน์ตาดวงนั้นทอประกายผิดหวังถึงขีดสุด นี่เป็นครั้งแรกที่เต้มองเขาแบบนี้นับตั้งแต่เกิดมาจนถึงวันนี้ยี่สิบปี แคปกัดริมฝีปากแน่นจนสั่นขณะที่มือใหญ่ของเต้ยื่นเข้ามากระชากสร้อยเส้นเล็กขาดสะบั้น เกียร์สีทองร่วงหล่นลงที่พื้นกลิ้งไปตกอยู่แทบปลายเท้าใหญ่ก่อนที่เขาจะก้มลงไปหยิบขึ้นมาดูให้แน่ใจอีกครั้ง  รหัสรุ่นที่ถูกตีตราไว้ฉายชัดต่อสายตา เหตุการณ์ถูกปะติดปะต่อขึ้นในหัวราวกับแผนภาพจิ๊กซอว์ที่รอชิ้นส่วนสุดท้ายมาแปะเพื่อเติมเต็ม 

“เฮียเต้...” เสียงน้องชายเรียกขึ้นอีกครั้ง แผ่วเบาราวกับจะหายไปกับลมหายใจที่แสนอ่อนแอของพี่ชายที่ยืนนิ่งไม่พูดไม่จา

เคร้ง!!

เต้จับเกียร์รุ่นอันนั้นขว้างทิ้งสุดแรง เสียงเหล็กกระทบผนังเสียดดังจนเหมือนมันจะทะลุกำแพงออกไปได้ แคปสะดุ้งเฮือก

“ตั้งแต่เมื่อไหร่..” เสียงทุ้มต่ำถามออกมาอย่างเย็นชา เขาจ้องหน้าแคปนิ่งรอคอยคำตอบ ขณะที่คนถูกคาดคั้นกระพริบตาถี่ ๆ สองมือกำแน่น หัวใจเหมือนถูกบีบ

“กูถามว่าตั้งแต่เมื่อไหร่!” เต้ตะเบงเสียง ตวาดใส่หน้าจนแคปผงะ ดวงตากลมร้อนผ่าว ครั้งแรกที่พี่ชายที่รักเขามากที่สุดตะคอกใส่หน้าได้ขนาดนี้ แววตาของคนที่จ้องมาเต็มเปี่ยมไปด้วยความเสียใจ ผิดหวังและเจ็บปวด แคปยืนกัดปากจนสั่นเทิ้มไปหมด

“เฮียเต้..” เต้หันไปตวัดสายตาใส่คนตอบไม่ตรงคำถามก่อนเดินไปกระชากตู้เสื้อผ้าหยิบเสื้อยืดออกมาหนึ่งตัวขว้างใส่หน้าแคป  เขาก้าวไปยืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตูมือกำลูกบิดแน่นแต่ยังไม่ได้ก้าวออกไปหากแต่พูดคำบางคำกับแคปโดยที่ไม่ได้หันมา “มึงจะทำให้พ่อเสียใจรู้บ้างรึเปล่า”

“.............”

“พ่อรักมึงที่สุด เขาหวังกับตัวมึงแค่ไหนใจมึงรู้ดี”

“...........”

“ถ้าไม่เห็นแก่พี่ชายเหี้ยๆอย่างกูก็นึกถึงหัวใจพ่อของพวกเราบ้าง”

“...........”

“มึงอาจจะไม่เคยได้เห็นน้ำตาของพ่อเพราะว่าตอนที่แม่เสียมึงยังเด็กแต่กูที่เห็นมาตลอดจะไม่ยอมให้พ่อต้องไห้แบบนั้นอีกเด็ดขาด”

“เฮียเต้ ผม....”

“มึงรู้ไหมความผิดหวังมันร้ายแรงยิ่งกว่าความเสียใจหลายสิบเท่านัก...” เต้เสียงสั่นขึ้นมาขาดๆหายๆ เขากำมือที่ลูกบิดแน่นขึ้นจนเส้นเลือดที่หลังมือปูดบวม ถ้าหากมันจะแตกสลายคามือนี้ได้ก็คงจะเป็นหัวใจที่ยับเยินของเขา 

“ผมรู้..ผมผิด..” แคปครางตอบเสียงแผ่ว ก้มหน้านิ่งยอมรับทุกอย่าง 

“แต่งตัวซะ เดี๋ยวจะพาไปย้ายของออกจากห้องนั้น”

ไวยิ่งกว่าเรื่องโกหกเมื่อตกเย็นของของวันนั้นแคปย้ายข้าวของออกมาจนเสร็จเรียบร้อย ห้องพักขนาดเล็กอยู่คอนโดเดียวกันกับห้องเก่าของเต้ถูกทำสัญญาขึ้นอย่างรวดเร็วหลังเต้วางเงินมัดจำ แคปตั้งหน้าตั้งตาทำตามพี่ชายโดยที่ไม่ปริปากอะไรเลยสักอย่าง โก้ที่ไม่รู้เรื่องว่าสองพี่น้องย้ายออกมาอยู่ด้วยกันแล้วพอรู้ถึงกับงง

“อะไรกันน่ะ ทำไมนึกอยากจะย้ายก็ย้ายแล้วปอกับรัฐเขาว่ายังไงบ้าง”

“........”

“คาปูเป็นอะไรลูก เงียบทำไมดูเหม่อๆนะหน้าตามอมแมมอย่าบอกว่าไปย้ายของออกมาจนเสร็จ”

“ห้องน้องเสร็จแล้วครับเฮียโก้เหลือแต่ข้าวของที่ห้องผม พรุ่งนี้ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย ผมเรียนปีสุดท้ายแล้วแคปเองก็ขึ้นปีสาม อยู่ด้วยกันแบบนี้ผมว่าถูกต้องที่สุดแล้วครับ ความจริงเราน่าจะอยู่ด้วยกันตั้งแต่แคปมันเข้าเรียนปีแรกเลยด้วยซ้ำ”

“แล้วปอว่ายังไงบ้างล่ะแคป”

“ปอมัน..” แคปเหลือบตามองเต้นิดหน่อยก่อนขบริมฝีปากแน่นชั่งใจว่าจะพูดเรื่องของปอออกมาดีหรือไม่ เพราะว่าบางทีเต้อาจจะรู้เรื่องที่ปอไปทำงานให้เอส จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่ามีสักคนที่เคยพูด

“ปอมันกลับบ้านน่ะครับ” แคปโกหกออกมาในที่สุด น้ำเสียงอ่อนแอจนเหมือนกับจะแตกหัก โก้เห็นลูกชายเป็นแบบนั้นเขาขยับมานั่งข้างๆแล้วเสยผมแคปที่ปรกหน้าผากออกเบา ๆ

“คาปูมีอะไร เป็นอะไรลูกบอกพ่อได้นะ ไม่สบายรึเปล่า”

“เปล่าครับ” แคปก้มลงตักข้าวเข้าปากต่อ โก้มองเต้ที่นั่งจ้องน้องชายนิ่ง ซึ่งพอรู้สึกตัวว่าถูกโก้มองอยู่อีกฝ่ายก็แค่ก้มหน้ากินโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมาซึ่งมันผิดวิสัยของสองพี่น้องมาก ๆดูเย็นชาใส่กัน โก้ถอนหายใจเฮือกใหญ่คิดว่าอาจมีเรื่องอะไรไม่เข้าใจกันถึงแม้จะไม่เคยเกิดเรื่องแบบนี้มาก่อนเพราะเต้จะยอมน้องเสมอ

“ขยับเข้าไป”

ตกดึกของคืนนั้น เต้หอบเอาหมอนเอาผ้าห่มเข้ามาโยนลงที่เตียงแคป โทรศัพท์มือถือเครื่องโตของแคปถูกเขายึดไปตั้งแต่ช่วงเช้าไม่ว่าใครหน้าไหนจะโทรติดต่อมาอย่าหวังว่าจะติดเพราะเขาถอดซิมทิ้งชักโครกเรียบร้อยไปแล้ว ยิ่งนึกถึงเบอร์ที่โทรเข้าหาทุกคืนคือเบอร์ของน้องรหัสตัวเองเขายิ่งเจ็บใจ โทษว่าเป็นความผิดของตัวเองที่ไม่จัดการเรื่องแบบนี้ให้ดี ไม่นึกไม่ฝันว่าคนอย่างเอสกับแคปมันจะมีความสัมพันธ์กันได้

“สี่ทุ่ม..” เสียงทุ้มของพี่ชายพึมพำขึ้นแผ่วเบา ซึ่งนั่นทำให้คนที่นอนอยู่ข้าง ๆ หลับตาลงแน่น ใช่แล้ว..ตั้งแต่เอสไปปักกิ่ง สี่ทุ่มคือเวลาที่มันจะต้องโทรเข้ามาหาเขาเสมอ สองคนจะคุยกันนานนับชั่วโมง นับจากนี้ช่วงเวลานั้นจะไม่มีทางเกิดขึ้นอีก

“มึงต้องหยุดความสัมพันธ์ผิดๆแบบนั้น กูทำทุกอย่างเพราะความหวังดี กูรู้ว่าน้องรหัสกูมันเป็นคนยังไง ตอนนี้พวกมึงก็แค่หลงไปกับแรงปราถนาที่หลอกล่อ มึงรู้ไหมไอ้เหี้ยเอสมันนอนกับผู้หญิงมากี่คนแล้ว แล้วมึงรู้ไหมว่ามันฟันแล้วทิ้งทุกคนไม่เคยยกเว้น จำเป็นอะไรที่ต้องมาหยุดไว้ที่มึง กูไม่อยากให้มึงต้องจมลงไปเพราะถลำลึกไปกับสิ่งฉาบฉวยที่มันสรรหามาพูดจาหลอกล่อและประเคนให้ มึงรู้ดีอยู่แล้วสันดานผู้ชาย ถึงตอนที่มันอยากจะได้ ตอนที่มันยังรักยังหลงมันก็ให้คำสัญญาทำทุกอย่างได้ทั้งนั้น แต่เมื่อไหร่ที่มันหมดรักมึงแล้ว มึงจะถูกเขี่ยทิ้งอย่างโหดร้ายที่สุด

กูไม่ได้หมายความว่ารักกับผู้หญิงจะไม่โดนทิ้ง  แต่ว่านะคาปู...ถ้ามึงคบกับผู้หญิงมึงยังถอยออกมาตั้งหลักได้เสมอเพราะมึงก็ยังคงเป็นแค่ผู้ชายธรรมดาคนนึง แต่ถ้าหากว่าเป็นผู้ชายเหี้ยๆที่ทิ้งมึงไป มึงเสียใจ มึงเสียหาย มึงจะถอยออกมาตั้งหลักเป็นชายแท้ ๆ ได้รึเปล่า ถึงวันนึงเผื่อมึงเจอคนที่ใช่ คนที่มึงรัก คนที่มึงอยากแต่งงานใช้ชีวิตด้วยแล้วเธอรู้ว่ามึงเคยคบหามีความสัมพันธ์กับผู้ชายด้วยกัน มึงไม่คิดสงสารผู้หญิงคนนั้นของมึงเหรอ  หัวอกพ่อของเราจะคิดยังไงมึงต้องคิดให้ไกลถึงจุดนี้ด้วย”

“................”

“ไหนมึงพูดออกมาซิ สิ่งที่กูบอกไปทั้งหมดมึงจะแย้งตรงไหนบ้าง”

“................”

“คาปู มึงเป็นน้องชายคนเดียวของกู เป็นคนที่กูรักมากที่สุดในชีวิต....ที่หนึ่งของกูคือมึงตลอดไปจำคำนี้เอาไว้”

“เฮียเต้...ผมขอโทษ..” แคปหันมาซุกลงที่อกพี่ชาย สองมือกำเสื้อนอนพี่แน่น น้ำเสียงที่เรียกนั้นสั่นเทิ้ม น้ำตาไหลออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่ได้อีกต่อไปเมื่อเห็นแล้วว่านัยน์ตาที่สั่นไหวของพี่ชายตัวเองแดงก่ำ อ้อมแขนใหญ่ค่อย ๆ โอบรอบแผ่นหลังเล็กเข้ามาจนจมอกก่อนที่ฝ่ามืออบอุ่นแต่แฝงไปด้วยความเดียวดายจะตบลงเบา ๆ

“มีหลายสิ่งหลายอย่างอาจจะไม่เป็นไปอย่างใจเราคิดฝัน วันนี้  มึงอาจจะคิดว่ามึง รัก’  รักมากจนเสียกันและกันไปไม่ได้ แต่เชื่อเถอะคาปูสักวันนึงมึงจะลืมมันได้ ความรักไม่ใช่ทุกอย่างหรอกนะ จำคำกูเอาไว้”

หยดน้ำค้างริมระเบียงไหลรินปริ่มลงจากยอดไม้ในกระถาง ไม่รู้เป็นเพราะอากาศที่ร้อนใจและหนาวเย็นในช่วงกลางคืนหรือเป็นเพราะหัวใจของใครบางคนกำลังร้องไห้...

“คุณเอส รถมาถึงแล้วครับ คุณท่านกับนายหญิงรออยู่แล้ว” นาคินเข้ามาบอกคนที่นั่งหน้านิ่งอยู่ที่ล็อบบี้ของโรงแรม เช้านี้เขาต้องมาทำธุระเรื่องงานกับคู่ค้ารายใหญ่ของตระกูล คุณพ่อของเขาลองปล่อยเดี่ยวออกมากับนาคินหลังจากคุยธุรกิจการค้าและทานอาหารเที่ยงด้วยกัน ช่วงบ่ายแก่ๆของวัน รถของคฤหาสถ์ตระกูลหยูมารับเขาถึงหน้าโรงแรม ท่านเจ้าสัวรัชชากับคุณแม่ของเขารออยู่ในรถแวนสีดำขนาดใหญ่นั่น ทั้งหมดเดินทางสู่สนามบินเพื่อนตรงกลับกรุงเทพ

“เอสเป็นอะไรลูก ทำหน้าตาหงุดหงิดตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว หนาวเหรอ” เธอสังเกตสีหน้าลูกชายพลางยกมือขึ้นมาจัดปกเสื้อนอกให้

“หน้าตาแบบนี้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วต่างหาก เห็นออกมานั่งกดโทรศัพท์เป็นชั่วโมง ทำหน้าหงุดหงิดยิ่งกว่านี้เป็นเท่าตัวเลยนะคุณ สงสัยสาวทิ้งซะล่ะมั้ง”

“คุณก็.. ไปว่าลูก”

เธอตีแขนสามีเบา ๆ ก่อนปรามว่าไม่ให้ต่อว่าลูกชายสุดที่รัก ท่านเจ้าสัวมองเอสแล้วยิ้มบาง ๆ ออกมาหลังจากนั้นเบนสายตามองออกไปนอกหน้าต่างชี้ให้ภรรยาดูถนนหนทางและโครงการก่อสร้างต่าง ๆ ที่กำลังกำเนิดขึ้นในเชิงธุรกิจ ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้นเที่ยวบินปักกิ่งกรุงเทพก็ลงจอดที่สุวรรณภูมิอย่างปลอดภัย

..ท้องฟ้าที่เคยเป็นสีทองอร่ามบัดนี้ถูกปกคลุมด้วยห้วงแห่งรัตติกาลอย่างเนิบช้าแล้ว..

“เอสเข้าบ้านไหมลูก หรือว่าจะไปค้างที่ห้องหรือเปล่า” คุณแม่ของเขาถามขึ้นเมื่อตอนที่ก้าวขึ้นรถยนต์คันใหญ่ของบริษัทที่มารอรับอยู่ก่อนแล้ว เอสส่ายหัวบอกให้นาคินเตรียมรถคันเล็กมาไว้ให้แล้ว เขาจะกลับไปค้างที่ห้องวันหลังถึงจะกลับบ้าน

“เอาแบบนั้นก็ได้ แต่เอสต้องสัญญาว่าจะเข้าไปทานข้าวกับแม่นะ อาทิตย์หน้าได้ไหมลูก ก่อนแม่ไปสิงคโปร์สักสองสามวัน”

“ครับคุณแม่”

หลังจากส่งคุณพ่อกับคุณแม่ขึ้นรถไปเรียบร้อย เขาล้วงเอาโทรศัพท์มือถือมาปรับเปลี่ยนบางอย่าง ก่อนต่อสายโทรหาแคปทันที ตั้งแต่เมื่อวานช่วงสายที่เขาโทรหาไม่ติดเลย กระทั่งถึงช่วงดึกสี่ทุมเวลาที่นัดหมายกันไว้ประจำก็ติดต่อไม่ได้อีก ซึ่งมันดูผิดปกติมากเกินไปจนเขาไม่อยากจะคิดในสิ่งที่กำลังกลัว

sorry, The number have you dial cannot to be connected.....” เสียงโอเปอเรเตอร์สาวอัตโนมัติยังทำงานได้ดีเหมือนเช่นเมื่อวาน เอสเพียรกดๆๆๆ กดแล้วกดอีกต่อสายหาคนที่เขาคิดถึงไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย รถคันหรูเลี้ยวเข้ามาจอดที่ช่องจอดรถของคอนโดเก่า ที่เดิมที่เคยใช้จอดเสมอ รถของปอที่ปกติจะจอดอยู่ข้างกันตอนนี้กลับไม่เห็น แต่นั่นไม่ได้สำคัญเท่ากับรถแต่งคันเดิมของแคปที่ตอนนี้ช่องจอดนั้นกลับมีรถคันอื่นมาจอดนิ่งอยู่ เอสก้าวฉับๆไปที่ลิฟต์กดสายต่อหาปอทันที

“มึงอยู่ไหน”

(กำลังจะถึงห้อง) น้ำเสียงปอบ่งบอกถึงความเครียดขึงเช่นกัน ขณะที่เสียงรถทางด้านหลังดังขึ้น ปอเลี้ยวเข้ามาจอดที่ล็อคจอดรถของเขาพอดีกับที่เอสกดโทรหา

“แคปอยู่ที่ไหน” คำแรกที่เอสทักขึ้นหลังจากปอเดินเข้ามาด้วยหน้าตาที่เคร่งเครียดไม่ต่างจากเสียง เขามองหน้าเอสแล้วหลบสายตาไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่ปอกลับไม่ได้ตอบคำถามอะไร สองคนก้าวเข้าไปด้านใน

“กูโทรหามันไม่ติดตั้งแต่เมื่อวาน เมื่อเช้าว่าจะถามมึงก็เสือกปิดเครื่องอีกคน”

“ช่วงนี้กูฝึกงานมึงก็รู้ว่าต้องปิดเครื่องอยู่แล้ว”

“ก็แล้วเมื่อคืนแคปมันทำไมไม่รับสายกูล่ะวะ!” เสียงเอสเริ่มดัง เขาเริ่มจะสติสตังหลุด พอตั้งสติได้ต้องยกมือขึ้นบอกขอโทษที่ตะคอกใส่แบบนั้น

“มึงเข้าไปดูอาเองละกัน” ปอเองก็ดูเหมือนมีอะไรบางอย่างในใจ สายตาที่หลบเลี่ยงคนตรงข้ามอยู่ตลอดจนเอสไม่อยากจะคาดเดาอะไรแล้ว พอเปิดเข้าไปในห้องสิ่งแรกที่ทำคือเข้าไปที่ห้องนอนแคปทันที สายตาคมกริบกวาดมองเตียงใหญ่ก่อนกระชากตู้เสื้อผ้าเปิดออก เหมือนโดนน้ำเย็นจัดสาดใส่ใบหน้าจนชาดิกไปหมด มือที่จับบานประตูอยู่กำแน่น  เขาแทบจะถลาเข้าไปดูที่ห้องน้ำในทันที...แปรงสีฟันสองอันที่หันหน้าเข้าหากันเสมอ บัดนี้มันเหลือเพียงด้ามเดียว ที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยวเท่านั้น

ปัง!

เสียงบานประตูกระแทกปิดลงโครมลงใหญ่ ปอยืนนิ่งมองแผ่นหลังที่วิ่งหายลับออกไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เอสออกไปจากห้องแล้ว หน้าตาและท่าทางแบบนั้นทำให้เขานึกถึงสิ่งที่เพิ่งไปเจอมาก่อนหน้านี้ทันที ยกมือขึ้นเสยผมก่อนลูบลงที่มุมปากของตัวเองเบาๆ ถ้าสังเกตดีๆจะเห็นรอยเขียวช้ำซ่อนอยู่ ทว่าแผลที่แตกจนเลือดกลบกลับเผยอยู่ด้านใน บอกตรง ๆ รสหมัดของเฮียเต้ยังเจ็บแสบเหมือนที่คนเขาลือกันไม่มีผิด

.

.


ครืน  ~ ~

ท้องฟ้าคืนนี้ปรากฏก้อนเมฆหนาปกคลุมไปทั่วทุกหนแห่ง ท้องฟ้ามืดยามราตรีที่แต่งแต้มไปด้วยสายลมกรรโชก หมู่เมฆหนาทึบ ท้องฟ้าที่ไร้ซึ่งหมู่ดาวราวกับว่าจะไม่เผยรุ่งอรุ่ณแห่งยามเช้าให้ได้เห็นอีกต่อไป

กลิ่นละอองฝนโชยมาติดถึงปลายจมูกเมื่อรถยนต์คันสวยแล่นเข้ามาจอดลงที่ข้างรั้วบ้านเดี่ยวสองชั้นหลังที่คุ้นเคย เอสก้าวลงมาอย่างไม่รอช้า มองเห็นคนที่ยืนนิ่งอยู่แล้วที่หน้าบ้านนั่นความเคร่งเครียดจากสีหน้าและแววตาบันดาลให้บ้านทั้งหลังเครียดขึงขึ้นได้  ร่างกายสูงใหญ่พอกันก้าวออกมา เผยให้เห็นใบหน้าคมคายใต้แสงไฟ ดวงตาคมกริบไม่ต่างกับสัตว์ป่าสองดวงสบกันแต่ทว่ากลับสื่อถึงคนล่ะความหมาย  ไม่ทันได้มีคำพูดใดๆหลุดรอดออกมาเมื่อมือใหญ่ของเจ้าบ้านตรงเข้ากระชากคอเสื้อผู้มาเยือนเข้าหาตัวแล้วซัดหมัดหนักหน่วงกระแทกใส่ปาก มันทั้งรุนแรง ทรงพลังจนคนถูกชกหน้าหงายก่อนเซทรุดลงที่พื้น  เอสล้มทั้งยืน...นิ่งอยู่แบบนั้น  แต่เขาก็ไม่ได้สู้...เขาไม่ได้สู้เลย  หมัดทั้งสองข้างถูกกำเอาไว้แน่น แม้ว่าท่อนแขนสั่นระริกสัญชาตญาณบอกให้ร่างกายตอบโต้ แต่เอสไม่ได้เงื้อหมัดขึ้นสู้เลยแม้แต่นิด จนกระทั่งเมื่อร่างกายสูงใหญ่ของเต้ยืนค้ำหัวตระหง่านอยู่ต่อหน้าก่อนยื่นมือเข้ามากระชากสาบเสื้อที่หลุดลุ่ยให้ขึ้นไปรับหมัดหนักหน่วงอีกครั้ง..และอีกครั้ง

“ไอ้สัส! สันดานเลวมาก มึงทำกับน้องกูยังไงห๊ะ!! ยังกล้ามาเสนอหน้าให้กูเห็นใช่ไหม เหี้ยเอ๊ย ผั๊วะ!!” กำปั้นรุนๆครั้งที่เท่าไหร่ที่ซัดลงจนเลือดสีแดงอาบกลบลงมาที่มุมปาก เลือดกำเดาทะลักไหลรินออกมา แขนแข็งแกร่งเหวี่ยงอีกคนจนล้มลงไปกองอยู่กับพื้นก่อนเดินเข้าไปกระทืบหนักๆลงที่ท้องแล้วเตะสีข้างเข้าฉาดใหญ่จนเอสล้มลุกคลุกคลานไม่เป็นท่า

“อึกก...” เสียงครางด้วยความเจ็บในลำคอ มือหนากำหมัดแน่น สั่นเทิ้มไปหมด

แต่ทว่า...เขาก็ไม่ได้สู้

“กูไว้ใจมึงทุกอย่าง คนที่กูไว้ใจที่สุด คนที่กูเรียกได้เต็มปากว่าเป็นน้องรหัสที่กูรักมากที่สุด มึงทรยศความไว้ใจของกูแบบนี้ใช่ไหมห๊ะไอ้ชั่ว!!”

“เฮียเต้!!” แคปที่วิ่งมาจากด้านในร้องเรียกพี่ชายสุดเสียง โก้เองก็ออกมาดูเพราะว่าได้ยินเสียงตุ๊บตั๊บและเสียงเต้ที่ดูเหมือนจะตะคอกใครสักคนอยู่หน้าบ้าน แต่โก้ชะงักขายืนนิ่งอยู่แบบนั้นเพราะว่าเห็นแคปวิ่งเข้าไปกอดเอวพี่ชายตัวเองไว้

“เต้...” โก้ยืนนิ่งงัน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นภาพลูกชายซ้อมใครคนนึงจนกองลงไปล้มทั้งยืน

“กูจะสั่งสอนมัน!!” เต้กระชากแคปแล้วเหวี่ยงออกไป นาทีนี้หมดแล้วความยับยั้งชั่งใจ เอสที่จะลุกเข้าไปหาแคปซึ่งถูกเหวี่ยงออกไปกองอยู่ไม่ไกลกันเจอตีนหนักๆของเต้เตะเข้าอีกโครมใหญ่

“เฮียเต้พอแล้ว!!” แคปร้องบอกพี่ชายเสียงสั่นโถมทั้งร่างกอดเอวกอดหลังยื้อร่างสูงใหญ่พี่เขาไว้  ขณะที่เต้ยกมือขึ้นชี้หน้าเอสอย่างเอาเรื่องและไม่มีคำว่ากลัวเกรง

มึงจะเป็นใครมาจากตระกูลยิ่งใหญ่ร่ำรวยแค่ไหนกูไม่สน กูบอกไว้ตรงนี้เลยว่ากูไม่เคยกลัวอำนาจและบารมีของบ้านมึงเลยจำเอาไว้ กูจะพูดแค่ครั้งเดียวมึงจำใส่หัวมึงไว้ให้ดี มึงไม่มีสิทธิ์มายุ่งกับน้องชายกูอีกต่อไป!! ทุกอย่างระหว่างมึงกับมันให้จบลงตรงนี้!! วันนี้!! และเดี๋ยวนี้!!  ถ้าหากกูรู้ว่ามึงยังพยายามจะติดต่อและทำทุกวิถีทางแม้แต่ครั้งเดียว กูจะพาแคปย้ายไปอยู่ในที่ๆมึงจะไม่ได้เห็นแม้กระทั่งเงาของมันอีกเลย มึงจำเอาไว้ไอ้สัสนรก!!

จบคำตะคอกที่ดังลั่น เขาสลัดแคปหลุดพุ่งเข้าไปกระชากสาบเสื้อหลุดลุ่ยของคนที่มีเลือดกลบเต็มปากขึ้นมาซัดหนักๆลงอีกรอบ เลือดกำเดาสีแดงไหลอาบ มุมปากแตกเป็นแผล หากแต่คนถูกกระทำก็ไม่คิดที่จะเงื้อหมัดขึ้นสู้ สายตาของเอสจ้องมองเพียงแค่คนที่ยืนร้องไห้วิ่งมากอดหลังพี่ชายอยู่แบบนั้น แคปตัวสั่นเทิ้มไปหมด สองแก้มเปียกชื้นไปด้วยรอยน้ำตา ดวงตากลมโตสั่นไหวมองสบมาที่เขาราวกับกำลังอ้อนวอน นัยน์ตาคู่นั้นบ่งบอกถึงถ้อยคำมากมายที่สื่อออกมาไม่ถึงใครอีกต่อไปแล้ว เอสค่อยยันตัวลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล หัวใจเจ็บจนจนจุกยิ่งกว่าร่างกายที่เต็มไปด้วยแผล

“ผมรักแคป..” เสียงทุ้มที่ลอดออกมาจากริมฝีปากที่แตกชะโลมไปด้วยเลือด แคปร้องไห้โฮเพราะว่าได้ยินมันอย่างชัดเจน คำๆนั้นแม้แต่ครั้งเดียวก็ไม่เคยหลุดออกมา

ถุย!!ตีนหนักๆกำลังจะเตะเข้าชายโครงหนาอีกรอบ แต่ในตอนนั้นเองแคปกลับทำเรื่องที่เต้ต้องคาดคิดไม่ถึง คนตัวเล็กถลาเข้ามาคุกเข่าแล้วโถมกอดเอสเอาไว้รับน้ำหนักเท้านั้นไว้แทน

“อึกก...” แคปเจ็บจนจุก ขณะที่เต้ถึงกับชะงักงัน หัวใจแข็งแกร่งร่วงหล่นแตกสลาย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาทำร้ายร่างกายน้องชายตัวเอง แม้ว่าจะไม่ได้มาจากความตั้งใจนั่นจึงทำให้เขาเจ็บยิ่งกว่า ยิ่งเห็นว่าแคปใช้ตัวบังอีกคนมากขนาดไหนเขายิ่งเลือดขึ้นหน้ามากขนาดนั้น

“มึงถอยออกไป!” เต้คว้าเอาแขนแคปกระชากออกจากตัวเอส แต่แคปยังไม่ยอมปล่อยส่ายหัวปฏิเสธยิ่งกอดยึดอีกฝ่ายไว้จนแน่น

“ไอ้แคป!” เต้ตะคอกเรียกเสียงดังลั่น

“ถ้าเฮียเต้หยุด ผมจะปล่อย” แคปต่อรองเสียงสั่น แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังโดนมือพี่ชายคว้าแขนแล้วกระชากจนสุดแรงจนแคปหลุดออกมาจากเอสได้ เต้จะซัดหมัดลงไปอีกรอบคราวนี้เป็นแคปที่เพิ่งถูกเหวี่ยงออกไปถลาเข้ามาใช้ตัวบังไว้อีกหน เพราะเขารู้ว่าเอสไม่ยอมสู้ถึงต้องทำแบบนั้น

“กูไม่เป็นไร ถอยออกไปแคป..” เสียงทุ้มแผ่วดังขึ้นใกล้ๆ เอสกะให้ได้ยินกันแค่สองคนเท่านั้น เขาเลื่อนมือขึ้นมาจับตัวแคปบอกให้ถอยออก จากนั้นเงยหน้ามองเต้ด้วยแววตาแข็งกร้าวทว่าเต็มไปด้วยความหนักแน่นและมั่นคง

“ผมรักแคป..” คำยืนยันครั้งที่สองถูกปล่อยออกมา ไม่ดังนักแต่เต้ที่ยืนอยู่ได้ยินชัดเจน สองมือที่กำหมัดแน่นยิ่งจิกเนื้อลงไปจนแดงก่ำ เต้เขม้นมองหน้าน้องรหัสตัวเองก่อนเหยียดริมฝีปากใส่แล้วแค่นรอยแห่งความขมขื่นขึ้นมา “หึ...รัก?”

สายลมยามดึกพัดสาดเข้ามา กลิ่นฝนรุนแรงลอยติดปลายจมูก ฟ้าร้องครืนๆดังไปทั่วทั้งบริเวณ ทุกอย่างตั้งเค้าราวกับเตรียมตัวไว้ล่วงหน้า หากแต่รอเม็ดฝนโปรยปรายลงมาเท่านั้น

“คำมักง่ายจากปากของคนอย่างมึง มึงจะรักจริงใจกับน้องกูได้สักกี่น้ำ ไม่ใช่ว่าดูถูกความรักของมึง แต่กูจะแน่ใจได้ยังไงว่านี่คือรักจริง รักแท้ และรักเดียว ในเมื่อตัวมึงเองย่อมรู้อยู่แก่ใจ ตระกูลของมึง ตำแหน่งหน้าที่การงาน ทุกอย่างเมื่อจับมารวมกันความเป็นไปได้เท่ากับศูนย์ใช่ไหม!!  ถึงตอนนั้นมึงจะเอาน้องชายกูไว้ที่ไหนของมึงห๊ะ!! แคปมันจะกลายเป็นอะไรสำหรับมึงไอ้สัส!!  เมียบำเรอมึงเหรอ หรือว่าเมียเก็บที่จะต้องนอนร้องไห้ทุกวี่วันเพื่อรอแบ่งเวลาว่างจากผู้หญิงที่ครอบครัวมึงสรรหามาให้ ไอ้สัสนรกมึงรู้แก่ใจอยู่แล้วยังคิดจะทำ ไม่รู้จักหักห้ามใจ คิดถึงจิตใจน้องกูบ้างไหมห๊ะ!! อะไรบังตามึงห๊ะไอ้เหี้ย!!!”

ผั๊วะ!!!

“เฮียเต้พอ!

“มึงหลีกไป!

“เฮียเต้พอแล้ว ผมขอร้อง...” เสียงเล็กที่สั่นสะท้าน น้ำตาไหลตกลงมาไม่รู้ว่ามากมายเท่าไหร่ สองมือกอดเอสไว้แน่นเอาลำตัวบัง

“แคปถอยออกไป กูไม่เป็นไร”

“สัสเอ๊ย!!โครม!!

เต้หมดความอดทนถีบเก้าอี้สนามกระเด็นจนติดรั้วก่อนที่เขาจะจ้องมองสองคนตรงหน้าแล้วก้มลงไปกระชากแคปให้ยืนขึ้นมา จากนั้นชี้นิ้วใส่หน้าเอสอีกครั้ง  “ทุกคำที่กูพูดไปแล้วมึงท่องใส่หัวกะโหลกมึงไว้ให้ดี กูพูดจริงทำจริงมึงรู้ดีอยู่แล้ว” จบคำพูดเต้ดึงแขนแคปให้เดินมาทางประตูจะพาเข้าบ้าน ตอนนั้นเองที่ทุกคนมองเห็นว่าโก้ยืนนิ่งอยู่แล้ว

นัยน์ตาของเขาแดงก่ำ...หัวใจของผู้เป็นพ่อแหลกสลายลงเพียงเพราะเห็นลูกชายสองคนต้องทะเลาะเบาะแว้งกันถึงขั้นลงไม้ลงมือ โก้ยืนจ้องหน้าเต้กับแคปนิ่ง หยดน้ำตาไหลอาบลงมา เพียงหยดเดียวก็เพียงพอให้หัวใจของสองพี่น้องร้าวราน

“แคป..” เสียงทุ้มต่ำของอีกคนดังขึ้นที่ด้านหลัง แคปหันไปตามเสียงเรียก เอสลุกขึ้นมาแล้ว สภาพไม่แตกต่างจากนักโทษที่โดนรุมประชาทัณฑ์ เขายื่นฝ่ามือออกไปก่อนจ้องหน้าแคปนิ่ง ดวงตาคมกริบแน่วแน่ไม่หวั่นไหว คาดหวังเต็มเปี่ยมว่าแคปจะเข้าใจความหมายนี้

เดินมาหากู....เราจะไปอยู่ด้วยกัน

เสียงฟ้าร้องคำรามอยู่เบื้อบน ปล่อยแสงสีขาวพาดลงมาเป็นแนวยาวจนดูน่ากลัว

ได้โปรดเถิดแคป...เดินออกมา

“แคป..” 

ได้โปรด.... เสียงเรียกแผ่วเบาจนน่าใจหาย แน่นอนว่าแคปรู้และเข้าใจความหมายนั้นดี แต่ทว่า สองคนตรงหน้าเขาสำคัญยิ่งกว่าชีวิตไม่แพ้กัน ทั้งพ่อทั้งพี่ชาย ดวงตาคู่สวยสั่นระริกอย่างรวดร้าว แคปยืนจ้องเขานิ่งด้วยใบหน้าที่มีแต่รอยน้ำตา เพียงหวังจะให้คนที่อ่านหัวใจกันได้เข้าใจสื่อนัยความหมายนั้น

ได้โปรดเข้าใจกู....นั่นคือทั้งหมดที่เขาอยากจะสื่อก่อนที่มือเล็กจะขยับคว้าเกี่ยวเอาฝ่ามือใหญ่ของพี่ชายไว้....ในตอนนั้นเองที่หัวใจหนึ่งดวงที่รออยู่แตกสลายลง ย่อยยับไม่มีชิ้นดี สายตาที่ทอดมองมือนั้นของคนรักที่เกี่ยวเกาะมือพี่ชายไว้อย่างเจ็บปวด


แคปเลือกแล้ว....เขารู้


สองขาก้าวลากห่างออกไปกับหัวใจที่หนักอึ้งและอ่อนล้า เมื่อทุกอย่างต้องจบและไม่มีอะไรเหลือไว้อีก 


เสียงเครื่องยนต์เคลื่อนตัวขับห่างออกไป สามพ่อลูกยืนนิ่งงันในความมืด มีเพียงแสงสลัวของไฟนีออนจากโคมถนนดวงเล็กที่ติดอยู่รั้วหน้าบ้านสะท้อนเสี้ยวหน้าแสนเศร้าของใครบางคน แคปจ้องมองที่ถนนอย่างไม่วางตา เขารู้ว่าอีกเพียงครั้งเดียวที่เขาจะเห็นรถคันนั้นวิ่งอยู่แถวนี้ได้ เอสต้องกลับรถออกมาจากท้ายซอย ชั่ววินาทีของนาฬิกาที่เดินผ่านราวกับเข็มนาฬิกาถูกหยุดเอาไว้ เสียงเครื่องยนต์คุ้นเคยเคลื่อนตัวกลับออกมาแล้ว รถคันใหญ่ชะลอลงราวกับว่าคนขับกำลังหันมองมาที่เขาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ตัวรถค่อยเคลื่อนห่างออกไป......ทุกที 


เสียงครืนๆจากท้องฟ้าดังแทรกลั่นเข้ามาในโสต ฝนเม็ดเล็กเริ่มร่วงกราวลงมาจากฟากฟ้าที่มืดทึบ


หนึ่งหยด..


สองหยด..


สามหยด..


สี่หยด..


ห้าหยด..


กระทั่ง.......



ครืนน~


วินาทีนั้น มือเล็กสลัดจากพี่ชายวิ่งเท้าเปล่าบนถนนลูกรัง ไล่ตามหลังรถสีดำคันเดิมที่ขับห่างออกไปแล้วหลายร้อยเมตร ความพยายามช่างน่าเวทนานัก หัวใจบอบช้ำเฝ้าวิงวอนร้องขอ


ได้โปรดขับช้าลงอีกหน่อย


ได้โปรด....อีกสักครั้ง


ได้โปรด...


เขาวิ่งสุดชีวิตเท่าที่แรงจะมีพร้อมๆกับสายฝนที่ลงเม็ดหนักขึ้นเรื่อย ๆ และเรื่อย ๆ กับคำภาวนาครั้งสุดท้าย ขอให้ฟากฟ้าเป็นพยานท่ามกลางสายฝนแห่งความเศร้าโศกนี้

ในที่สุด

ร่างกายสูงโปร่งวิ่งถลาเข้าไปตัดหน้ารถไว้ในระยะประชิด เสียงเบรคดังลั่นเมื่อไฟจากหน้ารถสาดใส่ใครบางคนที่ยืนกางแขนกั้นไม่ยอมให้รถขับเคลื่อนต่อไปได้ ฝนเทลงมาหนักหน่วงแล้ว ที่ปัดน้ำฝนหน้ารถทำงานแบบอัตโนมัติ

แคป! เอสพึมพำเรียกราวกับเพิ่งตั้งสติได้  ก้าวลงไปหาคนที่ยืนรอคอยเขาอยู่

ทั้งๆที่ฝนตกหนักขนาดนั้น ทั้งๆที่แทบมองไม่เห็นแต่ทว่า..สายตาสองคู่กลับจ้องมองกันและกันแน่นิ่งราวกับมีแรงดึงดูดตรึงแน่น นัยน์ดวงตาที่เขาหลงใหลมาตลอดแดงก่ำและกำลังร่ำไห้หนักหน่วง ถ้อยคำนับร้อยพันความหมายถูกถักทอเป็นสายใยแห่งความรักและการพลัดพรากกลางทะเลสายฝน หมื่นแสนคำพูดที่เขารู้และเข้าใจดีกับความรักลึกซึ้งที่แฝงไปด้วยกฏเกณฑ์ที่ต้องจากลา

มือเล็กยกขึ้นมาเช็ดเลือดกำเดาที่ไหลรินออกมาจากโพรงจมูกของอีกคนครั้งแล้วครั้งเล่า...เสียงสะอื้นไห้อย่างรวดร้าวท่ามกลางพายุฝนโหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง  มือใหญ่คุ้นเคยดึงร่างเล็กที่สั่นเทิ้มเข้ามาโอบกอด แคปร้องไห้โฮกายแทบทรุดเมื่อฝ่ามือนั้นเลื่อนเข้ามาประคองศีรษะเขากดลงที่บ่า ลมหายใจจมแน่นไปกับเสียงสะอื้นไห้บาดลึกที่พาหัวใจสองดวงบอบช้ำแตกสลายและร้าวราน


.....ทั้งน้ำตาทั้งสายฝนอาบลงที่สองแก้มเนียน กับถ้อยคำกระซิบที่อ่อนล้าแทบขาดใจ.... 



ขอโทษ....



เสียงเล็กสั่นเทิ้มอย่างห้ามไว้ไม่ไหวอีกต่อไป เมื่อฝ่ามือใหญ่โอบแน่นทันทีที่ได้ยินถ้อยคำนั้น...ทุกสิ่งจบสิ้นสะบั้นไม่มีเหลือ ถ้อยคำแห่งการจากลานำพาน้ำตาแห่งความเสียใจหลั่งริน  ใบหน้าคมที่บัดนี้เต็มไปด้วยรอยแผลแหงนมองท้องฟ้าที่พร่างพราวไปด้วยเม็ดฝนสาดลงมาใส่ไร้ความรู้สึก หัวใจทั้งดวงย่อยยับพังทลาย...ฟ้าคืนนี้ไม่เหลือเค้าแห่งรุ่งอรุณของวันใหม่อีกต่อไปแล้ว





รักมึงตลอดไป....









“จำห้องกูได้ไหม คอนโดตรงข้ามร้านที่เราไปนั่งกินเหล้ากันวันนั้น ห้อง 3933 กูจะบอก รปภ. ไว้”
“แล้วทำไมกูต้องไปหามึง..”
“เพราะมึงเป็นเมียกูไงล่ะ..”



“เลิกกี่โมงแคป..”
“กูจะกลับเอง เลิกกี่โมงก็ช่างไม่เกี่ยวกับมึง..”
“ดื้อจริงๆ ดื้อไม่มีใครเกิน..”



“แคป กางเกง...”
“แคป ขอเสื้อ”
“แคป เนคไทล่ะ”
“แคป ที่หนีบไทยังไม่ได้ติดไว้ให้กูเลยนะ”
“แคป ลืมตาสิวะ”
“แคป ใส่อัน...”
“โว๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย กูจะนอนไอ้เหี้ย!!!  เรื่องมากนัก หล่อจะตายห่าแล้วเมื่อไหร่จะไปได้สักทีห๊ะ!!!




“อยากได้อะไรไหมแคป..”
“บ้านพร้อมที่ดินริมทะเลเป็นไง..”
“เอาที่ไหนดี กระบี่ พังงา พีพีหรือว่าสิมิลันดีกว่ากันล่ะ หรือมึงชอบแถวๆภาคตะวันออกตราดก็สวยนะแต่ถ้าให้ใกล้ ๆ หน่อย ปราณบุรีก็ไม่เลวนักหรอก แต่ตอนนี้ต้องขอติดไว้ก่อน ทำงานเมื่อไหร่กูให้เลย”
“มึงจะบ้าเรอะ กูพูดเล่นมึงเข้าใจไหมว่ากูพูดเล่น”
“แล้วคิดว่ากูพูดจริงหรือไง อย่ามาหลงตัวเองกูจะไปซื้อให้มึงทำไมวะ พูดเล่นเหมือนกันเหอะ”
“เออขอบใจไอ้สัส มึงจริงใจเป็นบ้ากูมันหลงตัวเองจริง ๆ ”




“ถ้าเรียนจบแล้ว มึงจะทำงานอะไรวะแคป..”
“ไม่รู้ดิ ทำสวนมั้ง”
“เอาดีๆ”
“ยังไม่รู้เลย คิดว่าอาจจะทำงานดีเจไปก่อนหาเงินทุนสักก้อนเปิดร้านอะไรบางอย่างขึ้นมาล่ะมั้งนะ”
“ร้านอะไร มึงอยากขายอะไร”
“ยังไม่รู้ ยังไม่ได้คิด กูชอบธรรมชาติบางทีอาจจะไปทำไร่ทำสวนเปิดฟาร์มอะไรแบบนั้นก็ได้ ทุกอย่างไม่มีอะไรแน่นอน”
“ไม่คิดอยากทำงานให้กับรัชชากรุ๊ปเหรอวะ?”
“ไม่เลย..”











Fin



>>บทสุดท้ายของภาคเด็ก ใช้เวลาเขียนนานนิดนึงค่ะ รออ่านต่อภาคทำงานนะคะ ขออนุญาตเว้นช่วงชาร์ตพลังนิดนึงก่อน แบตอ่อนเหลือเกิน บทนี้งมอยู่นานมากไม่ได้ดั่งใจเลย กลัวฟิลลิ่งส่งออกไปไม่ถึงคนอ่านค่ะ  รู้สึกยิ่งเขียนยิ่งฝืดไงไม่รู้ ผิดพลาดขาดเหลือประการใดมินขออภัยไว้ด้วยนะงับ!