ปองฤทัยใฝ่รัก
เพชร...น้ำหนึ่ง งามซึ้งจึงเป็นยอดมณี
ผ่องแผ้วสดสี......เพชรดีมีหนึ่งในร้อยดวง.....
..วังพิชชากร..
ก๊อกๆ
ดวงพักตร์อ่อนโยนเงยขึ้นจากงานเอกสารบนโต๊ะทรงอักษร สายลมยามบ่ายคล้อยโบกพัดม่านหน้าต่างสีครีมพลิ้วไสว กลิ่นหอมของลั่นทมกรุ่นกำจายกำซาบในนาสิก เนตรสีอ่อนทอประกายนุ่มนวลระคนกังขา เนื่องจากเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ ตามปกติแล้วเมื่อใช้เวลาอยู่ที่วังจะไม่มีใครกล้าเข้ามารบกวนโดยเฉพาะเมื่อท่านทรงงานในห้องทรงอักษรเช่นเพลานี้
“ใคร” สุรเสียงทุ้มนุ่มรับสั่งถามออกไปเรียบๆ
“กระหม่อมเองขอรับ”
“อ้อ เข้ามาสิ” ด้วยเสียงตอบรับที่คุ้นเคย
จึงมีรับสั่งอนุญาตผู้มาเยือนเข้ามาที่ห้องทรงงานได้ ปากกาหมึกหัวแหลมถูกวางลง
ประสานหัตถ์พักที่เพลา
มหาดเล็กผู้ทำหน้าที่เข้ามาส่งแขกคนสำคัญโน้มบังคมทำความเคารพอย่างนอบน้อมก่อนถอยหลังลาออกไป
ขณะผู้มาใหม่สืบเท้าเคลื่อนเข้ามาโน้มบังคมลงอย่างคุ้นเคย
“ถวายบังคมฝ่าบาท”
“คุณอนิรุทธ์มีธุระอะไรหรือ” หม่อมเจ้าปกรเกียรติตรัสถาม
ขนงสีเข้มเลิกขึ้นในตอนที่ดวงเนตรมองสิ่งที่อยู่ในมือของเลขานุการส่วนองค์วางลงให้
“เรื่องที่ท่านชายทรงมีรับสั่งให้คัดเลือกพระอักษรเรียบร้อยแล้วกระหม่อม”
“จดหมายหรือ..”
ในสุรเสียงที่แผ่วเบาแฝงไว้ด้วยความกังขาระคนเหนื่อยอ่อน แต่ละวันที่ผ่าน มีจดหมายที่ถูกคัดเลือกมาจากเลขาส่วนองค์เพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น
หากแต่เป็นส่วนที่ท่านไม่โปรดเอาเสียเลย จดหมายเชิญไปงานเลี้ยงเต้นรำบ้าง
งานเลี้ยงน้ำชาบ้าง งานสมาคมบ้าง ไม่ก็งานของสโมสรที่ท่านเป็นสมาชิก
ในแต่ละวันมีมาไม่ต่ำกว่าสิบๆฉบับ
อนิรุทธิ์คุ้นเคยกับงานคัดเลือกจดหมายเป็นอย่างดี
เขารู้ว่าฉบับไหนควรส่งให้ท่านพิจารณาและฉบับไหนควรปล่อยเฉยไปเสียบ้าง อย่างไรเสียหากแต่ท่านชายทรงกังขาการปรากฏตัวในวันนี้ของเขามากพอสมควร
วันอาทิตย์เป็นวันหยุดของบริษัทถ้าหากไม่มีธุระสำคัญยิ่ง จดหมายที่ถูกรวบรวมช่วงปลายสัปดาห์อนิรุทธิ์จะส่งให้ท่านพิจารณาในเช้าวันจันทร์ที่ห้องทำงานใหญ่ของบริษัทอยู่แล้ว
“กระหม่อมขอประทานอนุญาตให้ท่านชายทรงพิจารณาพระอักษรฉบับนี้กระหม่อม”
อนิรุทธิ์เลื่อนซองจดหมายหนึ่งในกองนั้นส่งให้กับหัตถ์ของผู้เป็นนายเหนือหัว
ขณะที่ท่านชายทรงรับเอามาแล้วสะดุดเนตรที่ชื่อผู้รับ
‘คุณ วัชพล’
ทันทีที่ทรงเห็นนามเชษฐาของท่านปรากฏโดยไม่มียศฐานันดรนำหน้า
ขนงสีเข้มขมวดมุ่นขึ้น
หัตถ์เรียวขาวสะอาดค่อยเปิดจดหมายฉบับนั้นออกอ่าน.....เนื้อความไม่สั้นไม่ยาวใช้เวลาในการอ่านชั่วขณะเท่านั้นหากแต่...
“มีอะไรหรือกระหม่อม” อนิรุทธิ์สังเกตุเห็นพักตร์เจ้านายแบบนั้นถึงกับต้องค้อมศีรษะลงถาม
หากแต่ท่านชายโบกหัตถ์เบา ๆ ให้เขารู้ว่าไม่มีอะไร
“จดหมายฉบับนี้ได้มาตั้งแต่เมื่อไร”
ท่านชายรับสั่งถาม อนิรุทธิ์อึกอักนิดหน่อย หากแต่ก็ตอบออกมา
“ฝ่าบาทประทานอภัย
กระหม่อมละเลยมิทราบเลยว่ามีพระอักษรฉบับนี้วางอยู่ที่โต๊ะ
คิดว่าคงจะร่วงลงไปที่ตะกร้าด้านล่างกระทั่งล่วงมาถึงเมื่อสายของวันกระหม่อมเข้าไปสะสางงานถึงได้เห็น
พอเห็นว่าจ่ายหน้าซองถึงท่านชายวัชพลกระหม่อมรีบร้อนนำมาถวายเลยกระหม่อม” ความจริงอนิรุทธิ์เข้าไปสะสางงานที่บริษัทเขาจึงค่อยเห็นจดหมายฉบับนี้ร่วงอยู่ใกล้ๆกับโต๊ะ
พอเห็นว่าจ่าหน้าซองถึงใคร
งานการไม่เป็นอันทำต่อแล้วเขารีบร้อนขับรถออกมาที่วังทันที
“ช่างเถอะ
เรื่องนั้นคราวหน้าคราวหลังต้องตรวจสอบให้ดี อย่างน้อยวันนัดหมายก็ไม่ได้สายเกินไปนักหรอก”
“วันนัดหมายหรือขอรับกระหม่อม”
“ใช่”
สุรเสียงทุ้มรับสั่งเฉียบขาด
มีบัญชาเรื่องหลังจากนี้ให้เขาจัดการอีกนิดหน่อยเลขาส่วนองค์อย่างอนิรุทธิ์จึงได้โน้มบังคมลาแล้วล่าถอยออกมาจากห้อง
เมื่อเดินผ่านมหาดเล็กสองนายที่ด้านล่างเขาพยักหน้าทักทายกัน นมแม้นผู้ดูแลห้องเครื่องเดินถือพานดอกจำปาสีเหลืองนวลที่เพิ่งเก็บจากสวนเดินผ่านมา
เขาจึงค้อมศีรษะลงไหว้อย่างสุภาพ
“คุณอนิรุทธิ์ไหว้พระเถอะค่ะ”
“ดอกจำปาหอมจังเลยครับนมแม้น”
“ค่ะ ดิฉันกำลังจะนำไปถวายท่านชายเพชรที่ห้องทรงอักษร
เห็นว่ากลิ่นหอมดีท่านคงจะโปรด เวลาทรงงานจะได้อารมณ์ดีๆไม่เครียดน่ะค่ะ
คุณอยู่ทานอาหารเย็นด้วยกันก่อนดีไหมคะ หรือว่ามีธุระจะรีบไปไหนหรือเปล่า”
“วันนี้คงไม่สะดวกจริงๆครับนมแม้น
ไว้วันหลังผมขอมาฝากท้องกับนมแม้นด้วยนะครับ” เพราะว่ารู้จักคุ้นเคยกันตั้งแต่ติดสอยห้อยตามคุณพ่อของเขาเข้ามาทำงานรับใช้ในวังแห่งนี้
ดังนั้นนมแม้นจึงเปรียบเสมือนญาติผู้ใหญ่ของเขาเช่นกัน
วังพิชชากรอยู่ในการดูแลของเจ้าของวังองค์ปัจจุบัน
หม่อมเจ้าปกรเกียรติ พิชชากร
หรือท่านชายเพชร เป็นโอรสคนสุดท้องของพระองค์เจ้าก้องกิดากร
เมื่อสองปีที่แล้วชนกรวมถึงเชษฐาของท่านสิ้นพร้อมกันโดยอุบัติเหตุทางรถยนต์ในขณะเสด็จไปที่สนามบินแห่งชาติ
ข่าวคราวอุบัติเหตุครั้งนั้นใหญ่จนทางวังใหญ่ของพระมารดาของพระองค์เจ้าก้องกิดาการหรือก็คือหม่อมย่าของท่านชายเพชรเรียกองค์กลับมาจากต่างประเทศขณะที่กำลังจะเริ่มต้นศึกษาต่อปริญญาโทก็เป็นอันต้องพับ
ทรัพย์สมบัติจำนวนมหาศาลของทั้งชนกและเชษฐาต่างตกมาอยู่ในการดูแลของท่าน
แม้ว่ายังมีเชษฐภคินีอีกองค์แต่ท่านหญิงสละยศเพื่อสมรสกับสวามีที่เป็นชาวต่างชาติและเดินทางไปพำนักอยู่ที่ต่างประเทศเป็นการถาวรมิได้ข้องเกี่ยวกับราชสกุลอีก
เพราะอย่างนั้นปัจจุบันท่านชายเพชรจึงเป็นผู้ดูแลทรัพย์สินมรดก
รวมถึงกิจการทุกประเภทที่พิชชากรควบคุมอยู่ ซึ่งในเชิงสายธุรกิจแล้ว
อนิรุทธิ์รับรู้มาตลอดว่าท่านชายเพชรนายเหนือหัวของเขาทรงพยายามมากยิ่งขนาดไหน
ท่านชายเพชรหรือหม่อมเจ้าปกรเกียรติ พิชชากร
เข้าครอบครองสมบัติของราชสกุลตั้งแต่มีอายุเพียงแค่ยี่สิบสองชันษาเท่านั้นด้วยเหตุการณ์มากมายหลายอย่างถึงแม้ว่าท่านชายยังทรงเยาว์นักหากแต่โชคดีที่ท่านทรงสำเร็จการศึกษาปริญญาตรีด้านการบริหารมาโดยตรง
และด้วยทรงปรีชาสามารถในทุกๆด้าน ชื่อเสียงในวงสังคมของท่านจึงเลืองลือ ทั้งรูปโฉมหล่อเหลางดงาม
กิริยา จรรยา และจริยวัตรของสุภาพบุรุษ ทุกอย่างล้วนเป็นคุณสมบัติโดดเด่นจนเป็นที่กล่าวขาน
ที่สำคัญท่านชายครองตัวเป็นโสตไร้สตรีใดเคียงกาย ตั้งแต่กลับมาดูแลราชสกุลนั่นยิ่งทำให้บรรดาคุณหญิงคุณนายในแวดวงสังคมอยากได้องค์ท่านมาเกี่ยวดอง
แต่ท่านกลับไม่โปรดใส่ใจในเรื่องนั้นเพราะคิดว่ายังไม่ถึงเวลาและนั่นจึงทำให้บรรดาผู้ถือหุ้นในบริษัทเครือพิชชากรเห็นถึงความจริงจังและมุมานะ
ยอมรับในองค์ท่านแท้จริงในเวลาอันรวดเร็ว มิหนำซ้ำความเฟื่องฟูยังถือว่ารุ่งเรืองยิ่งกว่าเมื่อครั้งชนกและเชษฐาของท่านทรงเป็นผู้บริหารเสียอีก
วังพิชชากรตั้งอยู่ใจกลางมหานคร
โดยที่ในบริเวณวังเต็มไปด้วยสวนไม้ร่มรื่นต่างจากนอกเขตรั้ววังที่ความเจริญค่อยขยับขยายเข้าถึงจนเต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องและร้านค้า
ในพื้นที่ส่วนหนึ่งของวังแบ่งออกเป็นสองตำหนัก มีตำหนักใหญ่ที่ใช้ทรงงานและรับอาคันตุกะรวมถึงเครือญาติอยู่ฝั่งทิศตะวันออก
ขณะเดียวกันมีทางเดินเชื่อมไปสู่วังปีกตะวันตกที่ใช้สำหรับพักผ่อนบรรทมและมีห้องเล็กไว้ทรงงานส่วนองค์รวมถึงห้องหนังสือและห้องพระ
ด้วยสถาปัตยกรรมแบบไทยแท้ผสมผสานเข้ากับสถาปัตยกรรมตะวันตกที่ท่านชายทรงให้บูรณะเพิ่มเติมเมื่อต้นปีทำให้วังแห่งนี้งดงามยิ่งนัก
โดยเฉพาะตำหนักน้ำที่ปัจจุบันใช้เป็นห้องเครื่องหลัก ท่านชายยังเสด็จไปเสวยอาหารอยู่เกือบทุกเย็น
เมื่อเพลากลางคืนย่างเข้ามาท่านชายเพชรทรงหยิบจดหมายฉบับนั้นขึ้นมาจากโต๊ะเล็กข้างแท่นบรรทม
โคมไฟสีส้มอ่อนขับให้บรรยากาศภายในห้องโอบล้อมไปด้วยความอบอุ่น
สายเนตรอ่อนโยนไล่อ่านตัวหนังสือฉวัดเฉวียนที่ปรากฏอยู่บนตัวจดหมายอีกครั้ง...
12 พฤศจิกายน
อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่
ถึง คุณวัชพลที่เคารพ
เนื่องด้วยครบกำหนดในเรื่องที่คุณได้ให้คำมั่นหมายไว้กับเด็กชายภูมิพัฒน์
ภัทรดนัย ที่ว่า เมื่ออายุครบสิบปีบริบูรณ์จะรับตัวเข้ามาเลี้ยงดูในวังพิชชากร
บัดนี้น้องภูผู้ซึ่งคุณส่งเสียเลี้ยงดูและสนับสนุนเงินทุนการศึกษาและค่าใช้จ่ายต่าง
ๆ มาตั้งแต่แรกเกิดมีอายุครบสิบปีแล้ว
ดิฉันครูยุพิน สีนาศร
จึงส่งจดหมายฉบับนี้มาให้เพื่อทวงคำสัญญาดังกล่าวของคุณ
หากว่ามีเหตุจำเป็นอย่างไรที่คุณไม่สามารถทำตามที่เคยตกลงกันไว้รบกวนช่วยแจ้งกลับมาภายในสิบวันนับตั้งแต่วันที่ปรากฏในจดหมาย
หากทุกสิ่งยังเป็นไปตามกำหนดการณ์เดิม
ดิฉันขออนุญาตนำน้องภูมาส่งให้ที่วังพิชชากรภายในวันที่ 29 พฤศจิกายน
จึงเรียนมาเพื่อทราบ
ด้วยความเคารพ
ครูยุพิน สีนาศร
ดวงเนตรเลื่อนออกจากอักษรมองไปยังวันที่ที่ปรากฏบนปฎิทิน
ดูเหมือนว่าจะเป็นวันพรุ่งนี้แล้วที่เจ้าของจดหมายจะนำเด็กชายมาที่วังแห่งนี้ เนื้อความในจดหมายติดอยู่ในห้วงดำริตั้งแต่เมื่อตอนกลางวัน
‘เด็กชายที่ท่านพี่วัชพลทรงใกล้ชิดงั้นหรือ’
ดวงตาไร้เดียงสาของเด็กน้อยกระพริบปริบๆเมื่อเงยหน้ามองดูขอบรั้วสูง
ขณะที่ฝ่ามือน้อยจับอุ้งมือใหญ่ที่อ่อนนุ่มของคุณป้าที่เลี้ยงดูเขามาตั้งแต่จำความได้
เมื่อประตูรั้วถูกเปิดออก มีชายในชุดเครื่องแบบเข้ามาเชื้อเชิญทั้งสองคนเข้าไปด้านในพื้นที่วัง
“ป้ายุครับ นี่เหรอคือบ้านของลุงวัช”
“ชู่ว...” เพราะเสียงเล็กไร้เดียงสาถามออกมาแบบนั้น
ครูยุพินผู้ซึ่งเลี้ยงดูเด็กชายรีบย่อตัวนั่งลงแล้วเอานิ้วชี้ทาบริมฝีปากเป็นสัญลักษณ์ไม่ให้ส่งเสียงดัง
เธอรู้แน่ ๆ ว่าที่นี่คือวังพิชชากร เธอรู้แน่ ๆ
ว่าคุณวัชพลคนที่ส่งเสียเลี้ยงดูเด็กชายมาตั้งแต่แรกเกิดอาศัยอยู่ที่นี่แต่จะในฐานะอะไรเธอคิดว่าคงจะเป็นบ่าวรับใช้องค์ชั้นสูง
ไม่ก็พนักงานในเครือกิจการของพิชชากรซึ่งแน่นอนว่ามีไพร่พลบริวารเรือนพันเรือนหมื่นหากเขาจะเป็นหนึ่งในนั้นเธอก็ไม่นึกสงสัย
หากแต่เธอไม่เคยรู้เลยว่าบุคคลที่เธอพาเด็กชายมาพบในวันนี้จากไปตั้งแต่เมื่อสองปีที่แล้ว
ด้วยเงินส่งเสียก้อนใหญ่ที่ยังคงเหลืออยู่บางส่วน
ถึงอย่างนั้นก็มีบางครั้งที่เธอรู้สึกเอะใจว่าคนที่ปกติแล้วจะติดต่อมาทุกๆสองเดือนกลับหายไปนานเป็นเวลาถึงสองปี
แต่ทว่ามีเรื่องที่เธอคาดคิดไม่ถึงอีกเรื่องคือที่ว่าแท้จริงแล้ว
คุณวัชพลชายที่หลงรักเพื่อนสนิทของเธอที่ด่วนจากไปตั้งแต่แรกคลอดเด็กชายจะเป็นถึงหม่อมเจ้าคนรองและเป็นโอรสคนโตของวังแห่งนี้
หม่อมเจ้าที่ไปหลงรักหญิงสาวธรรมดาสามัญอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆของจังหวัดทางภาคเหนือ
ยามสายันต์ทาบแสงตะวันคล้อยอาบทอลงมาถึงเรือนชาน ณ ตำหนักเล็กริมน้ำ
มหาดเล็กนำสองป้าหลานมานั่งรออยู่ที่ห้องรับรองตามที่คุณอนิรุทธิ์เลขาส่วนองค์ของท่านสั่งความไว้แต่เมื่อเช้า
สายลมโกรกพัดเข้ามาเอื่อย ๆ หน้าต่างไม้บานพอเหมาะเขยื้อนหยับไปตามแรงลม
ม่านผ้าฝ้ายขาวสะอาดตาม้วนขึ้นพอเนือง ๆ พาให้กลิ่นหอมสดชื่นของลำน้ำเจ้าพระยาใสลอยแตะถึงปลายจมูก
มิใช่แต่เด็กน้อยหรอกที่ทำท่าตื่นเต้น กระทั่งครูยุพินยังรู้สึกแปลกใหม่ยามมองตะวันลาที่ขอบฟ้าไกลจากมุมนี้
เรือนริมน้ำสวยงามตรึงใจเกิดมาเพิ่งเคยพบเคยเห็นเป็นคราแรก...
“คงต้องรอท่านชายอยู่ที่นี่
กว่าจะเสด็จกลับจากทรงงานก็พลบค่ำ เธอทั้งคู่ทานอะไรกันมาหรือยังล่ะ”
“เอ่อคือพวกเรา...”
“แล้วลุงวัชอยู่ที่ไหนเหรอครับคุณอา”
ยังไม่ทันได้ตอบความคนถามหากแต่เด็กชายชิงถามคำถามใหม่ขึ้นอย่างสงสัยขณะที่ครูยุพินเองกำลังจะถามอยู่เหมือนกันเพราะว่าเธอส่งจดหมายถึงคุณวัชพลแต่ตอนนี้คนที่เชิญเธอให้เข้ามานั่งรอกลับบอกให้เธอรอพบกับท่านชายเจ้าของวัง
“ป้ายุครับ
น้องภูอยากพบลุงวัชไวๆ” เด็กชายหันมาเขย่ามือเธออีก มุมปากเล็กยิ้มอย่างมีความหวัง
น้องภูใจเต้นโครมครามเมื่อคิดว่าอีกสักประเดี๋ยวก็จะได้พบกับลุงวัชคนที่เขารอคอยแล้ว
ถึงตอนนั้นจะเล่าเรื่องราวที่ไม่ได้พบกันมาตั้งสองปีให้ฟังจนหมดเปลือก
และจะต่อว่าลุงวัชด้วยที่จู่ ๆ ก็หายตัวไป ก็จะไม่ให้คิดถึงได้อย่างไร
เขากับลุงวัชสนิทสนมกันถึงขึ้นเรียกลุงกับหลาน
สัญญากันไว้แล้วว่าถ้าหากเขาอายุครบสิบเอ็ดปีเมื่อไหร่จะสามารถเข้ามาอยู่กับลุงวัชที่บ้านใหญ่ในเมืองกรุงของลุงวัชได้
ลุงวัชเคยบอกจะให้เรียนหนังสือในที่ดีๆ
ลุงวัชบอกว่าที่เมืองกรุงมีของเล่นเยอะแยะเลย ทั้งมีสาวสวยเต็มพระนคร มีร้านหนังสือมากมายแบบที่เขาชอบอ่าน
นึกแบบนั้นก็อดน้อยใจขึ้นมาไม่ได้ สองปีมานี่ลุงวัชคงมีงานยุ่งมากถึงไม่ยอมแวะไปหาเขากับป้ายุที่หมู่บ้านบนภูเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว
ดวงตาใสซื่อมองอย่างรอคอยคำตอบหากแต่คนฟังมุ่นคิ้วทำท่าสงสัย
“ลุงวัชไหนล่ะเจ้าเด็กหล่อ
บ่าวที่นี่ไม่มีใครคนไหนชื่อวัชเลยนะ” มหาดเล็กพูดกระเซ้าเย้าแหย่เพราะเห็นหน้าตาเด็กชายหล่อคมคายมาก
ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางเห็นแค่การแต่งตัวของคนทั้งคู่ ไม่พ้นมาจากชนบทต่างเมือง
มั่นใจว่าไม่ใช่ชนชั้นเจ้านายชั้นสูงนึกสงสัยอยู่เหมือนกันที่ว่ามีธุระกับท่านชายเพชรหรือว่าจะมาสมัครเป็นคนงานของวังนี่
“เอ๊ะ
ไม่มีคนชื่อวัชเลยจริงหรือคะ” ครูยุพินถามขึ้นก่อนที่เด็กชายจะได้โวยวายขึ้นมา
ไม่ผิดแน่ ๆ จดหมายในมือเธอยังมีอยู่ ลายมือที่เขียนโดยคุณพลวัช บอกให้รู้ว่าว่าเขาอยู่ที่นี่แน่นอน
“ชื่อวัชงั้นหรือ” มหาดเล็กทวนคำอีกครั้ง
เขาทำท่านึกๆ
“ใช่ค่ะ
คุณวัชพลเขาว่าทำงานอยู่ที่นี่ ทำงานอยู่ที่วังพิชชากร”
“ไม่มีนะ
ถ้าเป็นบ่าวที่ทำงานที่นี่ไม่มีใครเลยที่ชื่อวัชพล เธอจำชื่อเขาผิดไปหรือเปล่า” สิ้นคำของมหาดเล็ก
เด็กชายลุกพรวดขึ้นทันที ยืนประจันหน้ากับเขาทำท่าทางขึงขัง
“ไม่ผิดหรอก
ลุงวัชอยู่ที่นี่จริง ๆ น้องภูรู้ ลุงวัชบอกน้องภู ลุงวัชไม่เคยโกหก คุณอานั่นแหละที่โกหก”
เด็กน้อยร้องตะโกนขึ้นมาจนครูยุพินตกใจรีบเข้าไปกอด เด็กตัวเล็กขอบตาแดงก่ำ
ใบหน้าคมคายตั้งแต่ยังเล็กนั้นแสดงชัดว่าเชื่อมั่นว่าสิ่งที่ตนพูดนั้นไม่ผิดแน่นอน
เขายืนประจันหน้ากับนายทหารมหาดเล็กคนนั้นอย่างเอาเรื่องจนครูยุพินต้องค้อมศีรษะขอโทษ
“ขอโทษแทนน้องภูด้วยค่ะ
เขาคงหวังไว้มากว่าจะได้เจอลุงวัชของเขา”
“เอาเถอะเดี๋ยวพอได้เข้าเฝ้าท่านชายก็ลองถามท่านดูเอาเอง
ไม่ก็ถามกับเลขาท่านก็ได้จะได้ไม่ต้องรบกวนท่านมากนัก งานท่านเยอะ
ท่านชายเพชรยังอุตส่าห์ตอบรับนัดกับพวกเธอก็แสดงให้เห็นแล้วว่าท่านมีเมตตากับคนธรรมดาอย่างพวกเรามากแค่ไหน
ว่าแต่หิวข้าวกันหรือไม่ล่ะ” มหาดเล็กไม่ได้ถือสาความ
ซ้ำยังถามไถ่เรื่องอาหารการกินเพราะเห็นว่าสองคนท่าทางเหนื่อยอ่อนคล้ายคนเดินทางมาไกล
นึกสงสารเด็กชายที่หน้าตามอมแมม คิดว่าอาจจะหิว พอดีกับที่บ่าวท้ายครัวถือถาดน้ำเย็นออกมาเสิร์ฟให้กับแขก
“กินน้ำกินท่ากันก่อนนะ
จริงสิเมื่อตะกี้ฉันถามพวกเธอสองคนว่าทานอะไรกันมาหรือยัง
นี่ก็เย็นแล้วกลัวว่าเจ้าเด็กตัวเล็กจะหิวหรือเปล่า”
“ไม่หรอกค่ะ
เราสองคนทานกันมาเรียบร้อยแล้ว” ครูยุพินว่าเสียงเบาอย่างเกรงใจ
ธุระยังไม่ได้ทำจะมากินข้าวบ้านท่านเรือนท่านได้อย่างไร เธอเห็นสายตาของคนที่มองลงมายังหลานชายของเธอ
มือเล็กนุ่มแต่ทว่ากร้านงานค่อยบรรจงเช็ดแก้มเช็ดปากมอมแมมของเด็กชายออกหวังให้ดูสะอาดสะอ้านยิ่งขึ้น
“ถ้าอย่างนั้นก็นั่งรอที่นี่
อีกสักเดี๋ยวท่านชายคงกลับมาจากทรงงานแล้ว”
หลังจากนั้นสองป้าหลานนั่งรอคอยอยู่อย่างเงียบ
ๆ น้องภูอยากจะวิ่งไปที่ระเบียงส่องดูแม่น้ำเจ้าพระยาแบบใกล้ ๆ ทว่าเธอปรามไว้ก่อน
เด็กน้อยทำหน้าผิดหวัง ก็แค่อยากเล่นซนอย่างเด็กๆเท่านั้น
“ถ้าน้องภูไม่ดื้อไม่ซน
ลุงวัชจะมาหาไว ๆ นะ”
“จริงเหรอครับป้ายุ”
เธอลูบหัวเล็กอย่างอ่อนโยนพลางพยักหน้าเบาๆ หลานรักคนนี้นึกแล้วก็ใจหาย
เลี้ยงดูมาสิบปีถึงเวลานี้อาจจะต้องจากกันแต่เพื่ออนาคตที่ดีเธอจึงยอมทำตามสัญญานั้นแม้ใจไม่อยากปล่อยน้องภูมาที่นี่เลยแม้สักนิดก็ตาม
รถยุโรปคันหรูแล่นเข้ามาจอดเทียบลงที่หน้าตึกใหญ่ มหาดเล็กสองนายรอโน้มบังคมถวายการรับใช้
หนึ่งในนั้นวิ่งมารับกระเป๋าทรงถือและฉลององค์สูทจากท่านชายเหนือหัวของพวกเขา
“มีอะไรล่ะนายเอื้อ มายืนรอฉันหรือ”
ขณะที่ท่านจะเสร็จเข้าไปด้านในทอดเนตรเห็นเอื้ออังกูร
มหาดเล็กดูแลวังส่วนหน้ามายืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ท่านชายจึงรับสั่งถาม
“ขอรับกระหม่อม กระหม่อมจะมาแจ้งเรื่องที่คุณอนิรุทธิ์สั่งความไว้เมื่อเช้า”
“เรื่องอะไร” วรกายสูงโปร่งขยับเข้ามารับสั่งถามพลางพับแขนเสื้อขึ้นนิดๆเป็นการลำลอง
สีพักตร์แฝงแววเหนื่อยอ่อน ท่านชายเพชรทรงงานหนักเกินวัยมากไปจริง ๆ เอื้ออังกูรมิกล้าแม้กระทั่งจะเหลือบมององค์ท่านอย่างเต็มตา
หลังจากที่เขาแจ้งกับท่านชายเรื่องแขกผู้มาเยือน ท่านมีรับสั่งให้เข้าเฝ้าที่ห้องรับรองของวังใหญ่ เอื้ออังกูรจึงได้ไปตามครูยุพินและเด็กชายให้ไปรออยู่ที่นั่น
“ดิฉันนั่งตรงนี้ได้หรือคะ”
เธอนั่งพับเพียบลงที่พื้นพรหม บอกเด็กชายให้ขยับมาชิดๆ กิริยาเก้ๆกังๆทำให้เอื้ออังกูรนึกเอ็นดูความน่ารักของสองป้าหลานคู่นี้
เขาไม่รู้หรอกว่ามีธุระอย่างไรกับท่านชายของเขาแต่ว่าท่าทางที่แสดงออกดูบริสุทธิ์ไร้เดียงสาเช่นนี้
เขารับประกันได้ว่าแม้บางถ้อยคำที่ทูลกับท่านจะผิดพลาดไปบ้างท่านชายเพชรย่อมไม่เก็บมาใส่หทัยอยู่แล้ว
เพราะองค์ท่านใจดีมากๆนั่นเอง
ยิ่งกับสตรีแล้วท่านยิ่งเลื่องชื่อถึงความเป็นสุภาพบุรุษ
ที่สุดแล้วในพระนครแห่งนี้
“เราต้องนั่งที่พื้นเหรอครับป้ายุ”
“ใช่แล้วครับน้องภู
อีกเดี๋ยวท่านชายเจ้าของวังจะเสด็จมา ถึงตอนนั้นน้องภูต้องก้มลงกราบทำความเคารพท่านด้วยนะ”
“ก้มลงแบบไหน ต้องกราบสามครั้งเหมือนกราบพระก่อนนอนเหรอครับป้ายุ”
“เอ่อ...” ดวงหน้าอ่อนละมุนเงยขึ้นถามไถ่
นายเอื้อยิ่งเห็นยิ่งขำ กำลังจะเอ่ยปากบอกกับเด็กชายหากแต่ตอนนั้น
ดวงหน้าเล็กคมคายทำท่าตื่นตกใจอะไรบางอย่าง ดวงตาสีเข้มของน้องภูสั่นไหวจ้องนิ่งอยู่กับสิ่งที่เห็นอยู่บนผนัง
ขณะที่ครูยุพินเองมองตามสายตาหลานชายไปก็ต้องตกใจแทบเสียสติ
“ทะ...ทะ....ทะ....ท่าน.....คะ....คะ....คุณ.......วะ...วัช..”
เธอครางแผ่วเบาไม่ได้ศัพท์เมื่อเห็นเต็มตาว่ามีรูปถ่ายขนาดใหญ่อัดกรอบทองสวยงามของคุณวัชพลที่เธอรู้จัก
แต่ทว่าในรูปนั้นกลับแต่งตัวเต็มยศติดเครื่องเครื่องราชอิสริยาภรณ์
ราวกับว่า...ราวกับว่า...ใจเธอหายวาบใบหน้าชาหนึบไปหมดเมื่อพบว่าเธอควรจะเรียกนามท่านเสียใหม่
ไม่ใช่คุณวัชพลแล้วหากแต่ต้องเป็นหม่อมเจ้าวัชพล พิชชากรโอรสในพระองค์เจ้าก้องกิดากร
พิชชากร ดวงตาสวยเลื่อนมองฉายาลักษณ์ขนาดใหญ่พอกันอีกสองรูปบนผนัง
นั่นคือท่านชายเจ้าของวังพิชชากรแห่งนี้กับท่านหญิงที่มีสิริโฉมงดงามยิ่ง
สามพี่น้องผู้สืบราชสกุลพิชชากรอันโด่งดัง
“ท่านชายเสด็จแล้ว
อย่าลืมลุกขึ้นถวายความเคารพ” สิ้นคำมหาดเล็ก ท่านชายเพชรดำเนินมาถึงพอดี ทรงพยักหน้ารับเมื่อตอนที่ครูยุพินลุกขึ้นถอนสายบัว
ขณะเดียวกับที่น้องภูยังคงหมอบนิ่งอยู่ที่พื้น กระพุ่มมือเล็กกราบลงอย่างไร้เดียงสาขณะปากก็นับไปด้วย...ครั้งที่หนึ่ง...ครั้งที่สอง...ครั้งที่สาม
จนผู้เป็นป้าอย่างเธอต้องกุลีกุจอก้มลงกระซิบบอกด้วยกลัวจะผิดธรรมเนียมของทางวังถึงอย่างนั้นก็ยังพูดผิดๆถูกๆตามประสาคนเพิ่งเคยเข้าเฝ้าเจ้านายเชื้อพระวงศ์เป็นครั้งแรก
“ถวายบังคมเพคะ ดิฉันครูยุพิน
สีนาศร กับเด็กชาย ภูมิพัฒน์ ภัทรดนัย ขอเข้าเฝ้าเพคะ”
“ไม่เป็นไรหรอก
นั่งลงตามสบายเถอะ” สุรเสียงทุ้มเต็มไปด้วยความอารีย์ไม่ติดใจกับสำนวนถ้อยคำผิดถูกแบบนั้น
ครูยุพินขนลุกชันไปทั้งแขนหัวใจเต้นโครมครามด้วยความประหม่า เคยได้ยินมาว่าท่านชายเจ้าของวังแห่งนี้ทรงมีรูปโฉมงดงามยิ่งกว่าบุรุษใดๆในพระนคร
หากเธอลอบมองเต็มๆตาสักครั้งหัวจะหลุดออกจากบ่าไหมหนอ
ในขณะกำลังคิดฟุ้งซ่านมือเล็กที่เข้ามาจับจูงมือเธอไว้กลับกระตุกเบา ๆ
ทำให้เธอหลุดออกจากภวังค์ความคิดได้
“น้องภู ก้มหัวลงเร็ว
ๆ”
ไม่ใช่แค่เธอหรอกที่อยากจะมองวงพักตร์อ่อนโยนที่เต็มไปด้วยความเป็นสุภาพบุรุษนั่น
ดวงตาใสซื่อของน้องภูกลับจ้องนิ่งงันอยู่แบบนั้น ถึงแม้จะฉุดเรียกเธอด้วยการกระตุกที่มือเบา
ๆ หากแต่สายตาคมกริบของเด็กชายไม่สามารถละออกจากดวงพักตร์ขาวคมคายระคนอ่อนโยนนั้นได้เลย
“ว่าอย่างไร
จ้องฉันขนาดนั้นติดใจสงสัยอะไรฉันหรือ” ทรงรับสั่งถามยิ้ม ๆ
น้องภูถึงกับสะดุ้งโหยง มือเล็กกำมือครูยุพินแน่นยิ่งกว่าเดิม
ถึงอย่างนั้นก็ยังคงแอบมองพักตร์ท่านต่ออย่างกล้าๆกลัว
“ขอประทานอภัยค่ะ เอ้ย
ขออภัยเพคะ คือหลานชายหม่อมฉันเสียมารยาท ต้องขอโทษแทนด้วย”
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันก็แค่หยอกเด็กเล่นน่ะ”
ทรงยกมุมโอษฐ์ขึ้นอย่างเอ็นดู นัยน์เนตรสีอ่อนจ้องมองเด็กชายอย่างรู้สึกถูกหฤทัย
ในดำริถึงจดหมายฉบับนั้นว่าเด็กชายที่อยู่เบื้องหน้าพักตร์ตอนนี้คือคนเดียวกับที่เชษฐาตนทรงเอ็นดูและทรงส่งเสีย
ท่านชายเพชรยิ่งทอดเนตรที่เด็กชายเป็นการใหญ่
“เรื่องจดหมายนั่น
บอกตามตรงฉันเพิ่งได้รับมาเมื่อวานด้วยเหตุผลบางอย่าง แต่ก็เข้าใจจุดประสงค์ของเธอดี”
ท่านทรงสังเกตเห็นสีหน้ากังขาของครูยุพิน
เธอคงคิดว่าส่งจดหมายมาร่วมสองสัปดาห์แล้วจะเป็นไปได้อย่างไรที่จะเพิ่งส่งมาถึงวัง
จึงรีบไขข้อข้องใจของเธอไว้ก่อน
“แต่ก็อย่างว่า
เธอควรจะมีหลักฐานหรือไม่ก็ลายหัตถ์ของท่านพี่วัชพลที่เคยเขียนอะไรบางอย่างทิ้งไว้กับเธอ
ไม่ก็กับเด็กชายคนนี้”
“เอ่อ คือ....”
เธอทำหน้าสงสัยคำพูดอึกอัก เด็กชายเองก็มองท่านชายอยู่แบบนั้น สลับกับมองฉายาลักษณ์บนผนังของท่านชายวัชพล
สิ่งที่เธอไม่เข้าใจที่สุดก็คือ ทำไมไม่ให้เธอพบกับท่านชายวัชพลไปเลย
ทำไมถึงต้องมาพบกับท่านชายเพชร ในที่สุดเธอตัดสินใจถามออกไปพอพอท่านชายตรัสถึงเหตุผลเรื่องถึงชีพิตักษัยของเชษฐาตน
เธอใจหายจนแน่นิ่งไปชั่วขณะ สองป้าหลานกำมือกันแน่นแต่ยังคงสำรวมกิริยาได้อยู่
“มีอะไรสงสัยอยากจะถามฉันอีกหรือเปล่า”
“ไม่มีเพคะ”
ครูยุพินตอบเสียงเบาหวิว
ดวงตาคลอหน่วยไม่ต่างจากน้องภูที่นั่งก้มหน้านิ่งแต่ทว่าหยดน้ำตาหยดลงที่พรหมจนเปื้อนเป็นวง
“เธอว่าท่านพี่ของฉันส่งเสียเลี้ยงดูเด็กคนนี้มาตั้งแต่แรกเกิด
ในจดหมายนั่นเธอบอกไว้ว่ามีสัญญาระหว่างท่านพี่กับเด็กคนนี้ถึงเรื่องจะรับตัวเข้ามาในวังเมื่ออายุครบสิบขวบ
แต่ทว่า สัญญาปากเปล่าแบบนั้นเธอจะให้ฉันเชื่อถือคำพูดลอยๆของเธอได้อย่างไร”
“หม่อมฉัน....ขออภัยเพคะ”
จากที่ก้มหน้ามากอยู่แล้ว บัดนี้คนตอบซ่อนรอยน้ำตาไว้ภายใต้เรือนผมละเอียดนุ่มนั่น
ใบหน้าเล็กของครูยุพินยิ่งก้มต่ำลงอีกจนเด็กชายข้างๆยังหันมอง ทุกประการล้วนอยู่ในสายเนตรของท่านชายเพชร
“ฉันน่ะไม่ใช่จะใจไม้ไส้ระกำหรอกนะ
แต่ทุกอย่างต้องดูที่หลักฐานและเหตุผล ซึ่งฉันอยากจะถามเธอว่า..เธอมีหรือเปล่า”
“..........”
“ว่าอย่างไร
ฉันกำลังถามเธออยู่” เธอรวบรวมสติอีกหน เงยหน้าสบพักตร์กับท่านด้วยสีหน้าแน่วแน่เมื่อคิดว่าที่เธอมาในวันนี้ไม่ได้เป็นการลวงหลอกเลยแม้แต่น้อย
ทั้งหมดก็เพื่อน้องภู เด็กที่ท่านชายวัชพลทรงเอ็นดู
“ทูลท่านชาย หลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรไม่มีเพคะ
เพื่อนสนิทที่สุดของหม่อมฉันเป็นแม่ของเด็กคนนี้ บอกตามตรงจนถึงเวลานี้ดิฉันยังไม่ทราบด้วยซ้ำว่าพ่อของเด็กคนนี้คือใครแต่ท่านชายวัชพลทรงเอ็นดูเพื่อนหม่อมฉันในฐานะ
อะ...เอ่อ....”
“พูดมาเถอะ”
ทรงมีรับสั่งให้เธอพูดต่อ เมื่อเห็นว่าเธอมีทีท่าลำบากใจจะพูดต่อขนาดนั้น
“ในฐานะคนรักของท่านชาย
ในตอนนั้นหม่อมฉันไม่รู้ว่าท่านมีพระยศเป็นถึงหม่อมเจ้า
คือหม่อมฉันผิดไปแล้วคือ...คือ...”
“ตกลงว่าเพื่อนของเธอเป็นคนรักของท่านพี่ฉัน
แล้วจากนั้นก็มีเด็กคนนี้ขึ้นมา
ท่านพี่รับส่งเสียเลี้ยงดูจนถึงตอนนี้เลยว่างั้นเถอะ เธอกำลังจะบอกว่าเด็กคนนี้เป็นหลานชายของฉันอย่างนั้นหรือ”
“หม่อมฉันมิกล้าเพคะ
คือหม่อมฉันก็ไม่รู้ หม่อมฉันผิดไปแล้ว รู้แค่ว่าท่านชายวัชพลโปรดเด็กคนนี้มากถึงขนาดให้คำมั่นสัญญากันไว้
พอครบวันเกิดน้องภูหม่อมฉันจึงพามาเขาที่นี่”
“....................”
ท่านชายเพชรทรงเงียบไป ครูยุพินแตะหลังบอกเด็กชายให้ขยับเลื่อนเข้าไปใกล้บาทท่านชายยิ่งขึ้นไปอีก
พร้อมกับตัวเธอค่อย ๆ นำของบางอย่างออกมาจากอกเสื้อของเด็กน้อย...เป็นสายสร้อยเงินที่มีจี้อันเล็กๆ
ในจี้นั้นมีฉายาลักษณ์ของท่านชายวัชพลถ่ายคู่กับอาชาสีน้ำตาลเข้ม ข้างกันมีดรุณีสาวแรกรุ่นอยู่ในวงพาหา
ในรอยแย้มสรวลนั้นแสดงให้เห็นว่าเชษฐาทรงสำราญอย่างยิ่ง
“นี่เป็นของเพียงชิ้นเดียวที่ท่านชายทรงมอบให้กับน้องภูเพคะ”
เธอค้อมศีรษะลงพร้อมยื่นสิ่งของดังกล่าวถวาย
ทันทีที่ทรงเห็นสิ่งของดังกล่าวดวงเนตรสีอ่อนทอประกาย ก่อนขยับเลื่อนขึ้นมองใบหน้าเด็กชายให้ชัดๆ
เค้าโครงบางส่วนของใบหน้าคล้ายคลึงกับเชษฐาท่านอยู่มากโดยเฉพาะจมูกที่โด่งเป็นสันคมคายแตกต่างจากเด็กทั่วไป
ราชสกุลพิชชากรเลื่องชื่อเรื่องรูปโฉมอยู่ก่อนแล้วหากโครงใบหน้าได้รูปรับกับทุกส่วนสัดของเครื่องหน้านั้นก็ชี้ชัดความเป็นไปได้ขึ้นอีก
แต่ถึงแม้ว่าจะไม่มีเค้าโครงของเชษฐาท่านเลยแม้สักนิด หากแต่เด็กคนนี้สามารถครอบครองล็อคเก็ตส่วนตัวองค์ของเชษฐาที่ท่านสวมใส่ติดตัวอยู่ตลอด
เป็นล็อคเก็ตที่ชนกของท่านสวมใส่ให้บุตรทั้งสามคนในวันครบรอบสมภพของหม่อมย่าที่วังใหญ่
หัตถ์ขาวสะอาดที่จับตัวล็อคเก็ตไว้พลิกดูที่ด้านหลังเพื่อดูให้แน่ชัด
ของจริงต้องมีพระตราของราชสกุล และแน่นอนว่า....มี
เด็กคนนี้เป็นคนสำคัญของท่านพี่วัชพลไม่ผิดแน่...และมีโอกาสที่จะเป็นภาติยะที่ถูกต้องตามสายเลือดของท่าน
หรือถ้าไม่ใช่ก็เป็นเด็กที่ท่านพี่วัชพลทรงรักและเอ็นดูมากจึงได้ให้คำสัญญาและให้สิ่งของสำคัญไว้แทนองค์
ท่านชายเพชรดำริใคร่ครวญถี่ถ้วนก่อนวงพักตร์คมคายพยักเบาๆ
“ฉันจะรับดูแลเด็กคนนี้ต่อเอง
ชื่ออะไรนะ ภูมิพัฒน์ใช่หรือเปล่า”
“ใช่ครับ..”
เด็กน้อยตอบรับแผ่วเบา
ยังคงก้มหน้าอยู่อย่างนั้น กระทั่งทรงเอื้อมหัตถ์เข้ามาเชยที่คางเล็กของเด็กชาย
ใบหน้าคมเต็มไปด้วยรอยน้ำตาเงยสบดวงพักตร์อ่อนโยนแฝงไว้ซึ่งนัยน์เนตรที่เปี่ยมด้วยความกรุณา
ในตาสีเข้มของเด็กน้อยสั่นไหวระริกเมื่อหวนคิดไปว่าลุงวัชของเขาจากโลกนี้ไปแล้ว
น้ำตาไหลล้นออกมาอีกอย่างห้ามไว้ไม่อยู่ ใจดวงน้อยสะอื้นไห้หากกลั้นเก็บจนไหล่เล็กนั่นสั่นเทิ้ม
ท่านชายทอดเนตรแบบนั้นยังอดที่จะเอ็นดูไม่ได้ หัตถ์อบอุ่นจึงเลื่อนเข้าไปลูบเรือนผมนิ่มอย่างปลอบโยน
มุมโอษฐ์ขยับยิ้มบาง พลางใช้ปลายอังคุฐปาดคราบน้ำตาให้เด็กชายแผ่วเบา
“เรียกฉันว่าอาเพชรก็แล้วกัน
นับจากวันนี้ฉันเป็นผู้ปกครองของเธอแล้วนะ น้องภู”
Tbc.