-ปองฤทัยใฝ่รัก ๑-
(ต่อจากบทนำ)
เด็กชายภูมิพัฒน์เริ่มต้นชีวิตใหม่ในวังพิชชากรอย่างสงบเสงี่ยม
ในแต่ละวันมีกิจกรรมให้ทำน้อยนัก
จะกระดิกไปทางไหนแต่ละครั้งต้องหลบหูหลบตาของมหาดเล็กหนุ่มอย่างเอื้ออังกูร
เพราะว่าถูกมอบหมายให้เป็นคนดูแลเด็กชาย เอื้ออังกูรจึงต้องคอยตามติดใกล้ชิด
หลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องเริ่มสอนกันใหม่ทั้งหมด ไม่ต้องอะไรมากมาย
แค่เรื่องอาบน้ำยังต้องไล่ตามไล่ฟัดกำชับขัดเนื้อตัวให้สะอาดอยู่เสมอ
มารยาทบนโต๊ะอาหารซึ่งท่านชายเพชรทรงมีรับสั่งให้เด็กชายนั่งทานข้าวร่วมโต๊ะที่ตำหนักน้ำทุกเย็น
คำพูดคำจา
กิริยาหลายๆอย่างซึ่งอันนี้ดีหน่อยที่ดูเหมือนครูยุพินจะอบรมบ่มนิสัยภูมิพัฒน์มาแล้วถึงแม้ยังมีอีกหลายส่วนที่ต้องขัดเกลา
เอื้ออังกูรก็ทำเต็มที่
ภูมิพัฒน์มักชอบเล่นซนตามประสาเด็ก
ในตอนเช้าเด็กชายจะลงมาไม่ทันร่วมโต๊ะกับท่านชายเพชรเพราะท่านจะเสด็จไปทรงงานแต่เช้าตรู่และรับสั่งไม่ต้องให้ปลุกภูมิพัฒน์เร็วนัก
ท่านประสงค์ให้เขาได้นอนหลับพักผ่อนเต็มที่หลังจากตื่นมาเขาจึงค่อยไปทานอาหารอยู่ที่ห้องอ่านหนังสือของเรือนริมน้ำ
ซึ่งเป็นสถานที่ๆเขาชอบมาก นั่งบนพื้นชาน
มีโต๊ะตัวเล็กๆไว้สำหรับขีดเขียนและมีหนังสือนิทานมากมายที่ท่านชายทรงสั่งความให้เอื้ออังกูรนำไปจัดเรียงไว้
ที่สำคัญ...บรรดาอาหารและของว่างอร่อย ๆ
เขาสามารถหาทานได้ที่นั่นเพราะว่าห้องเครื่องหลักของวังแห่งนี้ตั้งอยู่ด้านหลังของตำหนักน้ำนั่นเอง
ทั้งนมแม้นและบรรดาข้าหลวงรวมถึงบ่าวในเรือนของหม่อมเจ้าปกรเกียรติ
รักและเอ็นดูภูมิพัฒน์มากไม่ใช่เพราะเป็นคำสั่งของท่านชายเหนือหัวเท่านั้น
หากแต่อุปนิสัยและหน้าตาที่หล่อเหลาน่ารักน่าชัง
คำพูดคำจาที่ฉลาดของเด็กชายใครเห็นใครก็อดรักและเอ็นดูไม่ได้ ถึงตอนนี้แค่ชั่วสัปดาห์ที่ผ่านมา
ภูมิพัฒน์ได้รู้จักข้าหลวงบ่าวไพร่ไปทั่วทั้งวังแล้ว
“คุณภูครับ
บ่ายนี้ต้องเรียนวิชาภาษาไทยกับผมนะครับ
ถ้าจะออกไปเที่ยวเล่นที่สวนต้องกลับมาให้ตรงเวลาด้วยและขอกำชับว่าห้ามไปเล่นที่สระบัวหลังวังเด็ดขาด
ถ้าคุณภูหนีหายไปแบบเมื่อวานอีกผมคงต้องทูลท่านชาย”
หลังอาหารเที่ยงเอื้ออังกูรกำชับแกมขู่เจ้านายตัวเล็กของเขาเรื่องเรียนเขียนอ่านเป็นรอบที่สามของวัน
ท่านชายเพชรทรงมอบหมายให้เขาขัดเกลาพื้นฐานการอ่านการเขียนรวมถึงการบวกลบวิชาเลขคณิตให้กับคุณภูก่อนที่ช่วงเดือนหน้าจะมีครูพิเศษที่ท่านชายทรงจัดการหาให้เด็กชายด้วยองค์เองเข้ามาสอนถึงที่วัง
ภูมิพัฒน์จบชั้นประถมศึกษาปีที่สี่มาจากหมู่บ้านบนดอยหากแต่ท่านคิดว่าพื้นฐานเด็กชายยังไม่แน่นมากพอ
ดังนั้นท่านชายเพชรจึงได้จัดการมอบหน้าที่เบื้องต้นนี้ให้เขาดูแล เอื้ออังกูรที่พอจะได้วิชาการอ่านทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศบ้างเป็นบางอย่างจึงถูกท่านชายมอบหมายงานนี้ให้
เด็กชายภูมิพัฒน์เดินทำหน้าเซ็งออกมาจากเรือนริมน้ำเพราะว่าโดนนายเอื้อกำชับเรื่องเวลาและที่สำคัญคือสั่งห้ามไม่ให้เขาไปที่สระบัวหลังวัง
ที่ซึ่งเมื่อวานเขาไปแอบๆดูแล้วเห็นว่ามีดอกบัวหลวงบานสะพรั่ง เขาคิดว่ามันสวยดีกำลังเอื้อมตัวจะลงไปเด็ดเพิ่งก้าวขาลงไปแค่ก้าวเดียวมือเกือบจะแตะถูกก้านบัวอยู่แล้วแต่ทว่าเสียงทุ้มๆของเอื้ออังกูรร้องห้ามปรามเอาไว้
ในตอนนั้นเองเขาตกใจจนไถลตกสระเนื้อตัวมอมแมมไปหมด
ถึงอย่างนั้นก็ยังโดนนมแม้นเอ็ดพร้อมกับจับอาบน้ำขัดขี้โคลนออกจากตัวอยู่ที่ตำหนักริมน้ำและลงโทษโดยการให้อ่านนิทานสิบเรื่องให้ยายสายบัวฟังจนกระทั่งพลบค่ำเกือบไม่ทันได้ไปแอบดูตอนที่ท่านชายเพชรเด็จกลับจากทรงงาน
ภูมิพัฒน์เดินคิดโน่นคิดนี่เพลินมาจนถึงด้านหลังวัง
แปลงพืชผักสวนครัวมากมายอยู่ที่นี่ ถ้าเดินลึกเข้าไปอีกจะเจอกับต้นผลหมากรากไม้เยอะแยะแต่เห็นทีวันนี้ด้วยเวลาจำกัดอาจจะไม่ทันเขาคิดว่าจะเล่นอยู่แค่ที่ตรงนี้ไปก่อน
ตอนที่มาอยู่วันแรกๆเขายังไม่ค่อยกล้าสำรวจมากนักมัวแต่คิดถึงครูยุพินและเศร้าเสียใจเรื่องของลุงวัชของเขา
แต่เด็กร่าเริงอย่างไรก็คือเด็กร่าเริง แค่สัปดาห์เดียวเท่านั้นภูมิพัฒน์ก็รู้จักผู้คนไปทั่วทั้งวังจากนั้นเขาก็กลับมาเล่นซนเป็นทะโมนได้อย่างเก่า
เวลาคิดถึงลุงวัชขึ้นมาเมื่อไรเขาจะวิ่งเข้าไปที่ห้องรับรองของวังใหญ่แล้วเข้าไปนั่งมองฉายาลักษณ์ของท่านชายวัชพลที่ประดับติดอยู่บนผนัง
มองให้หายคิดถึงแล้วค่อยออกไปเล่นต่ออีก
น้องภูคิดแบบนั้นเพราะครูยุพินบอกเขาไว้ก่อนไปว่าจงเข้มแข็ง
หากคิดถึงก็จงดูฉายาลักษณ์ของท่าน เอาองค์ท่านไว้เป็นกำลังใจ
“ลุงเพิ่มทำอะไรอยู่ครับ”
เด็กชายร้องทักนายบุญเพิ่ม คนสวนที่กำลังนั่งดายหญ้า
ดูแลพืชผักและเป็นหัวหน้ารับผิดชอบอุทยานทั้งหมดของวัง ภูมิพัฒน์มาเล่นที่นี่จนคุ้นเคยกับเขาเป็นอย่างดีอาทิตย์ที่ผ่านมาให้อาหารกระต่ายไปหลายตัว
ไล่จับกระรอกบนต้นไม้ และช่วยปลูกผักไปหลายอย่างแล้ว
เมื่อวานนี้บุญเพิ่มยังสอนให้เด็กชายลองปลูกต้นมะเขือเทศโดยใช้เมล็ดที่เขาพาแตกแห้งไว้
บุญเพิ่มบอกให้เด็กชายมารดน้ำบ่อย ๆ อีกเดือนสองเดือนพอโตก็จะเก็บผลไปให้นมแม้นทำอาหารได้
“ดายหญ้าครับคุณภู
ต้นหอมที่คุณภูปลูกไว้เริ่มแตกหน่อแล้วนะครับ”
ภูมิพัฒน์ฟังแล้วยิ้มอย่างปลื้มอกปลื้มใจ
นายเพิ่มเคยบอกเขาว่าผักสวนครัวที่วังเราปลูกเองปลอดสารเคมี ท่านชายเพชรทรงงานหนักเพราะอย่างนั้นเขาจึงอยากให้ท่านอาคนใหม่ของเขาได้ทานแต่สิ่งที่สะอาดและปลอดภัยจริง
ๆ นมแม้นเองก็เห็นดีด้วย ที่วังนี้ปลูกผักทานเองมาแต่ไหนแต่ไร
ปัจจุบันมีบุญเพิ่มรับผิดชอบผลผลิตผักปลอดสารพิษทุกอย่าง
ฝีมือดีเยี่ยมกระทั่งเมื่อใดก็ตามที่ท่านชายเสด็จวังพัชรพลหรือวังใหญ่ของหม่อมย่าขององค์ท่าน
จะต้องรับสั่งให้เขาเก็บผักสดใส่กระเช้าไปฝากด้วยเสมอ
ดวงตาคมกริบของเด็กน้อยมองซ้ายมองขวาคล้ายกำลังค้นหาอะไรบางอย่าง
ในที่สุดสะดุดอยู่ที่ต้นมะละกอลูกเล็กๆออกดอกออกผลอยู่เต็มต้น
หากแต่หนึ่งผลในนั้นสุกจนเหลืองทองน่ารับประทาน เขารีบเดินเข้าไปดู
“คุณภูอยากทานไหมครับ
ผมปอกให้ทานตรงนี้เลยสดๆจากต้น”
นายเพิ่มลุกขึ้นจะไปเด็ดผลสุกของมะละกอต้นนั้นลงมาให้
ทว่าน้องภูรั้งแขนเขาเอาไว้แล้วเงยหน้าบอก
“ลุงเพิ่มอนุญาตให้ผมเก็บเองได้ไหม”
“ได้สิครับ ผลไม้ทุกอย่างที่นี่คุณภูมีสิทธิ์เก็บทุกชนิดอยู่แล้ว
ไม่ต้องขออนุญาตผมอีกนะครับ
ยกเว้นต้นที่สูงมากๆถ้าเก็บไม่ถึงต้องบอกเดี๋ยวผมจัดการให้”
“งั้นผมจะเก็บลูกนี้ก็แล้วกัน”
เด็กชายมองซ้ายมองขวาเห็นตั่งไม้เตี้ยๆวางอยู่ไม่ไกล
เขาเดินไปเอามาวางลงแล้วต่อขาตัวเองปีนขึ้นไปเอื้อมปลิดมะละกอลูกเล็กๆที่เหลืองจนสุกงอม
พอได้มาอยู่ในมือก็ทำท่าทางภูมิอกภูมิใจเป็นการใหญ่จนบุญเพิ่มต้องส่ายหัวด้วยความเอ็นดู
ไม่อยากจะคิดถ้าเป็นสิ่งที่คุณภูปลูกเองจะปลื้มใจมากขนาดไหน
“คุณภูระวังยางมะละกอหน่อยนะครับ”
“ครับลุงเพิ่ม” ภูมิพัฒน์เดินประคองมะละกอสุกใส่อุ้งมือ
เขาระมัดระวังเหตุเพราะกลัวว่ามันจะบอบช้ำ
หนทางที่เดินไปไม่ใช่ห้องครัวที่เรือนริมน้ำหรอกหากแต่เป็นวังใหญ่ต่างหาก
“สาธุขอให้อย่ามีคนเห็นเลย เพี้ยง”
ภูมิพัฒน์ทำท่าราวกับหัวขโมย
อันดับแรกเขาซ่อนมะละกอลูกนั้นไว้ที่ชายเสื้อกันหนาวโดยม้วนห่อเอาไว้เพราะกลัวว่าเกื้ออังกูรจะผ่านมาเห็นแล้วเอ็ดว่าเขามาเล่นอะไรที่ตึกใหญ่
ด้วยห้องเรียนในเวลากลางวันของเขาคือเรือนริมน้ำ
แต่ความจริงแล้วท่านชายเพชรทรงอนุญาตให้เขาเข้าออกห้องสมุดส่วนองค์ท่านได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว
ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังต้องแอบข้าหลวงและมหาดเล็กที่เดินยามเฝ้าอยู่เพื่อหลบเข้าไป
โดยทำให้ดูเหมือนเดินตัวเปล่าทั้งที่มีมะละกอห่ออยู่ที่เสื้อ
“คุณภูจะขึ้นห้องสมุดหรือครับ”
เสียงทุ้มของใครสักคนดังขึ้นในตอนที่เด็กชายกำลังย่องขึ้นบันได
ภูมิพัฒน์สะดุ้งจนเกือบเหยียบขั้นบันไดพลาด นี่ถ้าเป็นเสียงของนายเอื้อเขาคงไถลพรวดลงมาตามพรหมสีทองที่ปูพาดไว้แน่นิ่งพร้อมหลักฐานมะละกอสุกกลิ้งขลุกๆๆต่อหน้านายเอื้อเป็นแน่
ยังดีหน่อยที่เป็นเสียงมหาดเล็กอีกคนที่ท่าทางใจดีกว่ามาก
“ชะ
ใช่ครับผมกำลังจะขึ้นไปเอาหนังสือนิทานน่ะ”
“เดินระวังด้วยนะครับ ให้ผมขึ้นไปช่วยไหม”
มหาดเล็กบอกอย่างนอบน้อม
ตั้งแต่ท่านชายเพชรทรงรับอุปการะและทรงอนุญาตให้ภูมิพัฒน์เรียกองค์ท่านว่า ‘อาเพชร’ บรรดาบ่าวไพร่ที่วังต่างให้ความเคารพภูมิพัฒน์ไม่ต่างไปจากเชื้อพระวงค์
ยิ่งท่านชายย้ำว่าน้องภูเสมือนภาติยะของท่าน ทุกคนในวังพิชชากรแห่งนี้ยิ่งต้องดูแล
“ไม่เป็นไรครับ
เดี๋ยวผมรีบหยิบแล้วรีบลงมา” เด็กชายตอบแล้ววิ่งหายขึ้นไป
บนทางเดินไปสู่ห้องสมุดอยู่ฝั่งขวาติดกับห้องทรงงานส่วนองค์ของท่านชายเพชร
มือเล็กผลักบานประตูไม้หนักๆเข้าไป ชั้นหนังสือสูงเต็มไปด้วยบรรดาหนังสือชนิดต่างๆละลานตาแต่แทนที่เขาจะตรงไปยังตู้ไม้ที่เรียงไว้ด้วยนิทาน
เด็กชายผลักบานประตูเล็กที่เชื่อมต่อเข้ากับห้องทรงงานของท่านชาย
มองซ้ายมองขวาประสาเด็กกลัวจะมีใครมาพบเห็นว่าตนเองนั้นแอบเข้าห้องทรงงานของท่าน
พอคิดว่าทุกอย่างปลอดภัยภูมิพัฒน์ซอยเท้าวิ่งจี๋ผ่านชั้นหนังสือต่างประเทศตรงเข้าไปที่โต๊ะทำงานตัวใหญ่ก่อนประคองผลมะละกอสีเหลืองนวลสุกงอมที่ตัวเองหอบมาลงที่มุมหนึ่งของโต๊ะ
ตำแหน่งเดิมที่ๆเขาแอบเอาผลชมภู่มาวางไว้ให้เมื่อเย็นวาน
“ป้ายุเคยบอกผมว่ามะละกอสุกมีประโยชน์สำหรับคนที่ทำงานหนักกินแล้วสดชื่น
อาเพชรทำงานหนักไม่มีเวลาอยู่ที่วังเลยต้องกินมะละกอลูกนี้นะครับจะได้สดชื่นและมีเวลาอยู่กับน้องภูบ้าง”
เขาพึมพำกับเก้าอี้ว่างเปล่าทำอย่างกับพูดอยู่กับท่านอาของเขา
ในดวงตาใสแจ๋วเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มเนื่องเพราะผลชมภู่ของเมื่อวานหายไปแล้วนั่นแสดงว่าท่านชายเสวยเรียบร้อย
วันนี้เขาเอาผลมะละกอมาให้อีกเดี๋ยวพรุ่งนี้จะต้องไปเก็บน้อยหน่าลูกนั้น
เขาเล็งไว้แล้วเมื่อตอนที่เข้าไปในสวนเมื่อตะกี้
คะเนไว้ว่าช่วงเย็นหลังจากเรียนการอ่านกับนายเอื้อเสร็จเขาจะไปเก็บมาบ่มสุกไว้
พรุ่งนี้จะได้นิ่มพร้อมรับประทานได้ทันทีแล้วเขาก็จะเอามันขึ้นมาวางไว้ให้อาเพชรเสวยช่วงดึก
คิดได้อย่างนั้นเขาค่อยย่องออกจากห้องทรงงานมาที่ห้องสมุดหยิบหนังสือนิทานสองเล่มติดตัวออกไปด้วยเผื่อมหาดเล็กด้านล่างถามเข้า
“คุณภูช้าไปห้านาทีนะครับ” และทันทีที่มาถึงห้องเรียนหนังสือที่เรือนริมน้ำ
เด็กชายก็โดนเอื้ออังกูรดุทันที
นี่ขนาดเขาวิ่งหอบจนตัวโยนออกมาจากตึกใหญ่ข้ามสะพานกลางอุทยานกว่าจะมาถึงได้คุณครูจำเป็นยังทำหน้ายักษ์ไม่สงสารเห็นใจเขาสักกะนิด
“นี่ผมรีบสุดขีดแล้วนะนายเอื้อ
อย่าทำหน้าดุนักเลยน่า ยิ้มหน่อยสิ กินขนมเอ้า”
มือเล็กยื่นขนมตาลที่แอบเอาใส่กระเป๋ากางเกงไว้ตั้งแต่เมื่อตอนเช้าส่งให้
เอื้ออังกูรที่ปกติแล้วใจดีแต่พอถึงเวลาเล่าเรียนเขาจะขรึมและเข้มงวดเป็นพิเศษถึงกับต้องกลั้นยิ้ม
ก็ขนมที่อยู่ในมือเด็กชายมันเหี่ยวเสียจนไม่น่าดูเลยจริงๆ
“อร่อยนา ลองดูหน่อยเถอะ” ภูมิพัฒน์ว่าต่อ
เขาพยายามยัดขนมใส่มือนายเอื้อจนได้ รายนั้นก็ต้องจนใจกินมันลงไปทั้งๆแบบนั้น
เด็กชายยิ้มร่าโชว์ฟันขาวเรียงสวย
จะว่าไปบางคราเอื้ออังกูรยังรู้สึกราวกับว่าบางกิริยาของภูมิพัฒน์คล้ายคลึงกับท่านชายวัชพลเสียเหลือเกิน
กระทั่งหน้าตาบางมุมยังมีความมะม้าย
นี่ยังไม่นับว่าหัวดีสุดๆให้อ่านให้เรียนอะไรก็เข้าใจทะลุปรุโปร่งจนบ่าวอย่างเขาแทบจะหมดเนื่อหมดตัวในความรู้
“วันนี้เราจะเรียนเรื่องอะไรกันครับครูเอื้อ”
พอเข้าสู่เวลาเรียนน้องภูจะแกล้งเรียกนายเอื้อว่าครูเอื้อ
คนฟังพอได้ยินก็ใจคอไม่ดีขึ้นอีก
“ผมบอกคุณภูกี่ครั้งแล้วครับว่าไม่ให้เรียกผมว่าครูเอื้อ”
“ถ้างั้นเรียกอาเอื้อเหรอ”
“ไม่ได้ครับ ห้ามเรียกอาเอื้อเด็ดขาด”
เขารีบกำชับคิ้วขมวด สำหรับคำนี้ยิ่งต้องห้าม
ท่านอาของภูมิพัฒน์มีแค่คนเดียวเท่านั้นคือหม่อมเจ้าปกรเกียรติหรือท่านชายเพชรนายเหนือหัว
เขายังไม่อยากขี้กลากขึ้นหัวหรอกนะ
ตอนที่พบกันวันแรกให้เรียกอาได้เพราะว่าเขาไม่รู้จักฐานะที่แท้จริงของภูมิพัฒน์หากแต่วันนี้ได้รู้ว่าท่านชายยอมรับเด็กชายอยู่ในอุปการะในฐานะของภาติยะ
เขาย่อมรู้ที่สูงที่ต่ำ
“แล้วให้ผมเรียกว่าอะไรดีล่ะครับ”
ภูมิพัฒน์เปิดหนังสือนิทานเล่มบางๆสำหรับหัดอ่านพลางเงยหน้าถามตาใส
แอบคิดในในท่าทางเอื้ออังกูรเวลาถูกเขาก่อกวนช่างตลกนัก
“เรียกนายเอื้อครับ
ผมว่าผมบอกคุณภูไปหลายครั้งแล้วนะ”
เอื้ออังกูรแสร้งทำเสียงดุอีกครั้งก่อนหยิบหนังสือนิทานเล่มใหญ่ขึ้นมาแล้วเปิดกางออก
“วันนี้เราจะเรียนเล่มนี้กัน
ผมจะสอนให้คุณภูอ่านบทร้อยกรองของนิทานประวัติศาสตร์ไทยนะครับ
เมื่อเช้าท่านชายรับสั่งให้คุณภูศึกษานิทานเล่มนี้ให้เข้าใจ
ท่านถือลงมาให้ผมกับหัตถ์ท่านเองเลย”
“เล่มนี้น่ะเหรอ”
“ใช่ครับ”เอื้ออังกูรเลื่อนนิทานส่งให้อีกฝ่ายดู
ภูมิพัฒน์พลิกเปิดดูบ้างเห็นตัวอักษรลายตาไปหมดแต่มีรูปภาพที่น่าสนใจอยู่
หากเป็นเด็กทั่วไปเห็นแค่นี้คงถอดใจนั่นไม่ใช่สำหรับเขาแน่นอน
เขาไม่รู้สึกเบื่อเลยสักนิดถ้าหากว่าเป็นเรื่องเรียน ยิ่งถ้าหากว่าเป็นคำสั่งจากท่านอาเพชรแล้วเขายิ่งต้องทำให้สำเร็จให้ได้
ป้ายุสอนไว้ว่าท่านทรงมีบุญคุณต้องเคารพและรักท่านให้มากดั่งชีวิตของเราเมื่อเขาเข้าใจเหตุผลข้อนี้เรื่องราวหลังจากนั้นทุกอย่างก็ง่ายดาย
ดวงอาทิตย์ในเพลาบ่ายคล้อยดำเนินเรื่อยไป
กระแสน้ำใต้พื้นชานของตำหนักไหลเอื่อยๆ ลมแม่น้ำโกรกพัดเข้ามาเย็นสบาย
เสียงท่องร้อยแก้วร้อยกรองดังลอดออกมาจากห้องหนังสือของตำหนักริมน้ำ
เสียงเจื้อยแจ้วนกแก้วนกขุนทองของเด็กชายทำให้บ่าวไพร่ในครัวที่ได้ยินยังมองหน้ากันแล้วอมยิ้มออกมา
กลิ่นใบมะกรูดจากการปรุงอาหารลอยคลุ้งหอมโชยไปทั่วตำหนัก ไม่รู้เวลาผ่านไปนานแค่ไหน รู้แต่ว่า ณ ตอนนี้
เสียงเล็กๆนั่นเงียบไปแล้วเพราะว่าเด็กน้อยหลับพับลงไปเรียบร้อย
แก้มกลมแนบตั่งไม้สักทองที่ใช้เรียนเขียนอ่าน มุมปากเล็กมีหยดน้ำลายไหลเป็นทาง
เอื้ออังกูรค่อยใช้ผ้าซับออกให้ก่อนประคองลงให้นอนกับหมอนหนุนดี ๆ เสื่อผืนใหญ่ที่ปูไว้
กับอากาศช่วงต้นฤดูหนาวอาจทำให้รู้สึกเย็นเพราะว่าเขาทั้งคู่นั่งเรียนนั่งสอนกันอยู่ที่พื้นชาน
มองเห็นเสื้อกันหนาวของเด็กชายยังคงมีแค่ตัวเดียวก็พลันนึกไว้ว่าพรุ่งนี้อาจจะต้องเบิกเงินไปซื้อหามาไว้ให้
ภูมิพัฒน์นอนหลับไปจนกระทั่งเย็นย่ำเสียงนมแม้นดังจอแจอยู่ข้างหูทำให้เขาต้องรู้สึกตัวงัวเงียตื่นขึ้น
มือเล็กขยี้ตาพลางเช็ดริมฝีปากเพราะรู้สึกเหนียวเหนอะขณะที่หูก็ฟังเสียงนมแม้นคุยกับใครสักคนที่ด้านนอก
จับใจความได้แม่นมใจดีกำลังต่อว่านายเอื้อเรื่องปล่อยให้เขานอนยาวจนพลบค่ำเช่นนี้
พลบค่ำ?
พอได้ยินคำว่าพลบค่ำเท่านั้นเด็กชายสะดุ้งโหยง
นี่เขาเผลอหลับไปจนพลบค่ำได้อย่างไรกัน
มองไปที่นอกหน้าต่างเห็นดวงอาทิตย์จวนจะลับขอบฟ้าอยู่รอมร่อ คนตัวเล็กลุกพรวดขึ้น
“ว๊ายตาเถร!” นมแม้นตกใจอุทานดังลั่น
ภูมิพัฒน์ไม่มีเวลาแล้วเขารีบยกมือไหว้ขอโทษพลางสวมรองเท้าแตะแล้ววิ่งจ้ำอ้าวไปที่วังใหญ่ด้วยความรวดเร็วขณะที่ในใจนึกภาวนาอยู่ตลอด
“ขอให้ทันทีเถอะ”
มันเป็นกิจวัตรประจำวันไปแล้วที่ทุกเย็น
เด็กชายจะต้องมาแอบมองท่านชายเพชรเสด็จกลับมาจากทรงงาน
เขาแอบอยู่ที่หลังต้นกันเกราขนาดใหญ่ดอกสีเหลืองทองบานสะพรั่งพร่างพรูร่วงลงสู่พื้นดิน
เขามาถึงในตอนที่รถยนต์สีดำคันใหญ่ของท่านชายเคลื่อนเข้ามาจอดเทียบลงที่หน้าตึกพอดิบพอดี
เด็กชายมองเห็นมหาดเล็กคนเดิมวิ่งมารับฉลององค์สูทจากท่านก่อนที่จะเห็นนายเอื้อวิ่งหอบแฮ่กเข้ามาแล้วค้อมศีรษะคุยอะไรบางอย่างอยู่สักพัก
พรืดดดด!!
เพราะว่าเหยียบอยู่บนรากของต้นไม้เป็นเถาวัลย์
ภูมิพัฒน์เกิดลื่นไถลลงมาด้วยเหตุเพราะว่าพื้นที่ค่อนข้างชุ่มและดินบริเวณใต้ต้นเหนียวและชื้นมาก
ก้นคนตัวเล็กจ้ำเบ้าลงที่โคนต้นไม้อย่างแรงจนทุกคนที่อยู่บริเวณนั้นหันมองเป็นตาเดียว
มหาดเล็กสองนายรีบเดินมากันองค์ท่านในท่าเตรียมพร้อมแต่พอเห็นว่าเป็นใครกันที่เป็นต้นกำเนิดของเสียงสองคนก็พร้อมใจล่าถอย
“คุณภูทำอะไรน่ะครับ”
เอื้ออังกูรรีบเดินมาพยุงเด็กชายขึ้น
ภูมิพัฒน์เบ้หน้าด้วยความเจ็บแต่ก็ส่ายหัวบอกว่าไม่เป็นอะไรมาก
มองไปที่ท่านชายอีกครั้งสายเนตรยิ้ม ๆ ยังมองมาที่เขาก่อนพยักหน้าเรียก
“มานี่สิ น้องภู”สุรเสียงทุ้มกังวาลเรียก
“สวัสดีครับ อาเพชร”
มือเล็กกระพุ่มแล้วค้อมศีรษะลงไหว้
ทุกวันเขามาแอบดูท่านชายไม่ทรงเห็นแต่วันนี้ความลับแตกเสียแล้ว กลัวจะโดนเอ็ดหากแต่ท่านชายทรงรับสั่งถามเรื่องอื่นดังนั้นเขาจึงค่อยระบายลมหายใจอย่างโล่งอก
“เป็นอย่างไรบ้างเรื่องเรียน
นายเอื้ออ่านนิทานให้ฟังตามที่สั่งไว้หรือเปล่า”
“อ่านครับ”
“แล้วน้องภูล่ะ ได้ลองอ่านไหม”
“อ่านครับ ผมอ่านจนเกือบจบเลย” ภูมิพัฒน์เชิดอกตอบด้วยท่าทางภูมิใจหากแต่มองเห็นขนงเข้มของท่านชายเลิกขึ้นนิดๆก่อนมองไปที่นายเอื้อด้วยแววตาเชิงตำหนิ ภูมิพัฒน์จึงได้ทำสีหน้ายอมจำนน
“ที่อ่านไม่จบเพราะภูหลับก่อนครับ”
“อาให้อ่านหนังสือแต่น้องภูแอบหลับเนี่ยนะ”
สายเนตรสีอ่อนหรี่มองอย่างรู้ทันไปเสียทุกอย่าง เด็กชายก้มหน้างุด
“อาจะให้โอกาสเธออีกครั้ง
พรุ่งนี้คัดบทความนิทานภาษาต่างประเทศมาให้อาดูหนึ่งเรื่อง
แล้วอาจะยกโทษเรื่องที่เธอแอบหลับในเวลาเรียนให้”
“ภูไม่ได้แอบหลับสักหน่อย
ภูหลับให้นายเอื้อเห็นเลยต่างหาก”
“หืม..” ท่านชายทรงเค้นกระแสเสียงทุ้มอยู่ในคอ
นายเอื้อที่ยืนอยู่ด้วยฟังแล้วหนาวเลย
“แล้วจะอย่างไร
พรุ่งนี้น้องภูจะคัดนิทานตามที่อาสั่งไว้หรือไม่ล่ะ”
“คัดครับ”คนตัวเล็กตอบเสียงแผ่ว
มันก็จริงเขาผิดที่หลับในเวลาเรียนแต่ใครใช้ให้ลมช่วงบ่ายมันเย็นสบายกันล่ะ
ยิ่งนั่งอยู่ตำหนักน้ำแบบนั้นด้วยแล้วอากาศที่พื้นเย็นจะตายถึงจะปูเสื่อไว้ก็เถอะ
น่านอนก็ต้องนอนน่ะสิ
“ดีมาก
เป็นเด็กดีอามีรางวัลให้นะ”
ท่านทรงหยิบดินสอไม้หนึ่งแท่งออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นส่งให้
น้องภูแค่เห็นก็ยิ้มดีใจจนอยากจะกระโดดไชโย
เพราะว่าดินสอที่ติดตัวมาด้วยสั้นกุดเต็มที เมื่อคืนเขียนหนังสืออยู่ที่ห้องยังคิดหนักใจอยู่ว่าจะไปหาได้จากที่ไหนอีก
“ขอบพระทัยท่านชายเร็วเข้าครับคุณภู”
เอื้ออังกูรรีบเข้ามาบอกเด็กชายเบา ๆ
หลังจากที่เจ้าตัวมัวแต่ดีใจยิ้มไม่หุบจนลืมขอบคุณองค์ท่านที่ตั้งใจซื้อหามาให้
“ขอบคุณครับอาเพชร” มือเล็กกระพุ่มไหว้
ค้อมศีรษะลงอย่างนอบน้อมจากนั้นเงยหน้าขึ้นมายิ้มจนตาหยีใส่
ท่านชายเพชรทอดเนตรแล้วต้องจุดรอยยิ้มที่มุมโอษฐ์ขึ้นมาอีกครั้ง
“ถ้าน้องภูเขียนจนเกือบจะหมดอีกเมื่อไหร่
คราวนี้อาจะเปลี่ยนให้เป็นดินสอกด”
“ดินสอกดเหรอครับ?” ใบหน้าเล็กทำท่าสงสัย
คำว่าดินสอกดเด็กบ้านนอกบนภูอย่างเขายังไม่เคยได้ยินจึงนึกฉงน
แต่ท่านชายไม่ให้เด็กน้อยสงสัยอยู่นานเพราะว่าท่านเฉลยออกมาอยู่ที่ฝ่าพระหัตถ์แล้วเรียบร้อย
“โอ้โห สวยจังครับ
สวยกว่าปากกาของป้ายุอีก”
“แน่นอน
เธอจะได้มันหลังจากเขียนดินสอแท่งนั้นจนหมดไงล่ะ”
“ครับอาเพชร ภูจะตั้งใจเขียนตั้งใจคัดจะได้ใช้ดินสอกดไวๆ”
ท่านชายเพชรแย้มสรวลในความไร้เดียงสาของเด็กน้อย
ก่อนเอื้อมหัตถ์ลงมาจับจูงมือเด็กชายแล้วแล้วพยักหน้าชวนเข้าไปด้านในพร้อมกัน
ภูมิพัฒน์ก้าวเดินตามวรกายสูงโปร่งขององค์ท่านไป รู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กจิ๋วเดียว
เขาสูงเพียงแค่อุระท่านเท่านั้น
ดวงตาไร้เดียงสาคมกริบไล่มองจากอังสากว้างลงมาที่หัตถ์ใหญ่ทว่าแฝงไว้ซึ่งความอบอุ่นจนเด็กน้อยอย่างเขาสัมผัสได้
ครูยุพินเคยบอกกับเขาไว้ว่าสัมผัสทางกายเป็นการบอกรักที่อ่อนโยนและมีความหมายมากที่สุด
นี่เป็นครั้งแรกเลยหรือเปล่านะที่ท่านอาเพชรทรงจับจูงมือเขาแน่นแบบนี้
ภูมิพัฒน์จ้องมองฝ่ามือเล็กของตนเองที่อยู่ในอุ้งหัตถ์อย่างไม่วางสายตาคิดฝันไปว่าในวันหนึ่งข้างหน้ามือของเขากับหัตถ์ของท่านอาคงจะมีขนาดใหญ่เทียบเท่ากันหรือไม่ก็ให้เขามีขนาดใหญ่กว่า
ถึงตอนนั้นท่านอาชันษามากขึ้นเขาจะเป็นฝ่ายจับจูงหัตถ์เล็กของท่านไว้ด้วยตนเอง
“อาบน้ำอาบท่าแล้วลงไปรออาที่เรือนริมน้ำ
เราจะทานข้าวกันที่นั่น”
“อาเพชรจะให้ภูรอไหมครับ
เราจะได้เดินไปพร้อมกันไง ภูอาบน้ำเดี๋ยวเดียวภูรอได้” เด็กน้อยเงยหน้าถามอย่างไร้เดียงสา
ท่านชายเพชรลอบยิ้มเล็กน้อยก่อนส่ายหน้าบอกไม่ต้องรอ ให้นายเอื้อพาลงไปก่อนได้เลย
เดี๋ยวท่านจะตามไปสมทบทีหลังจากนั้นท่านกำชับเอื้ออังกูรให้ดูแลเรื่องเนื้อตัวที่มอมแมมของภูมิพัฒน์ให้ดี
ในดำริแรกที่พบเมื่อสักครู่ท่านก็ทรงรู้แล้วว่าวันนี้คงซนเป็นทะโมนขนาดไหน
หม่อมเจ้าปกรเกียรติทรงเข้าที่ห้องทรงงานทันทีที่ขึ้นมาชั้นบน
ทั้งกระเป๋าทรงถือของท่าน ทั้งฉลององค์สูทที่มหาดเล็กรับมา
ของใช้ส่วนองค์ทุกอย่างจะถูกนำมาวางไว้ที่ห้องนี้
ขณะที่ห้องฝั่งขวามือคือห้องสมุดสำหรับค้นคว้าและฝั่งซ้ายมือของห้องทรงอักษรนี้คือห้องบรรทม หัตถ์ขาวสะอาดเลื่อนมาขยับปมเนคไทแล้วค่อย ๆ
ถอดออก ก่อนปลดดุมที่รัดพระศอคลายออกทีละเม็ด
สายตาเลื่อนมองสิ่งของแปลกๆบางอย่างที่อยู่บนโต๊ะทรงงาน สิ่งที่ไม่เข้าพวก
สามสี่วันมานี่จะมีบรรดาผลไม้จากสวนหลังวังมาวางแอบไว้ที่มุมหนึ่งของโต๊ะท่านเสมอ
วันก่อนเป็นผลมะยมสี่ห้าผล เมื่อวานเป็นชมพู่มะเหมี่ยวสี่ผล ขณะที่วันนี้กลายเป็นมะละกอสุกผลเล็กๆแค่ผลเดียว
นัยน์เนตรสีอ่อนทอประกายหวานละมุนเมื่อนึกถึงความซนระคนแก่นแก้วของเจ้าเด็กในปกครอง
ก่อนที่ท่านจะมีรับสั่งเรียกข้าหลวงรับใช้แถวนั้นเข้ามานำผลไม้ไปจัดการปอกเปลือกแล้วจัดถวายช่วงดึกในเวลาที่ทรงงาน
ที่ตำหนักน้ำค่ำคืนนี้ลมโชยเอื่อยโปรยเอากลิ่นหอมของราชาวดีสีขาวที่ผลิบานอยู่ตามซุ้มโค้งบริเวณทางเข้าตำหนักมาถึงห้องเสวย
ม่านหน้าต่างที่ผูกม้วนสะท้อนขึ้นลงไปมาตามแรงไหวของกระแสลมราวกับตุ๊กตากำลังร่ายรำต้อนรับต้นฤดูกาลแห่งเหมันต์
แสงดาวพร่างพราวระยับประดับม่านท้องฟ้ายามราตรี อากาศที่หนาวเย็นแตะต้องผิวกายจนเด็กชายที่นั่งร่วมโต๊ะรับประทานอาหารอยู่กับหม่อมเจ้าปกรเกียรติถึงกับสั่นสะท้านขึ้นมานิดๆ
“เธอหนาวหรือ”
ทรงรับสั่งถามขณะที่ภูมิพัฒน์ส่ายหน้าปฏิเสธทั้งที่ปากเขียวไปหมด “เปล่าครับ”
เด็กน้อยปดต่อหน้าองค์ท่านเสียแล้ว ทรงทอดเนตรเห็นแบบนั้นจึงทรงถอดเสื้อกันหนาวส่วนองค์ให้ภูมิพัฒน์สวมไว้แทนจากนั้นบอกข้ารับใช้ที่ยืนรอรับใช้อยู่ไปตามเอื้ออังกูรเข้ามา
ท่านสั่งความให้จัดการเรื่องเสื้อผ้ากันหนาวให้เด็กชาย
รวมถึงให้ตามช่างจากร้านที่องค์ท่านใช้บริการเป็นประจำมาวัดตัวตัดชุดต่าง ๆ
เผื่อเอาไว้ด้วย
“อย่าเล่นซนจนเพลินล่ะ
พรุ่งนี้อากลับมาจะถามความจากนายเอื้อรู้ไหม”
“ครับอาเพชร
แล้วอาเพชรไม่หนาวเหรอครับให้เสื้อผมใส่แบบนี้”
“ไม่หนาวหรอก อาตัวโตกว่าทนได้อยู่แล้ว”
ท่านตรัสเรียบง่ายพลางใช้สายตาบอกเด็กชายท่านอาหารกันได้
ขณะที่ภูมิพัฒน์แอบจับชายจับเสื้อไหมพรมผ้าเนื้อดีที่เพิ่งสวมใส่
กลิ่นหอมอ่อนๆจากผิวกายที่ติดมากับตัวเสื้อบันดาลให้หัวใจดวงเล็กอบอุ่นยิ่งนัก
ราวกับถูกวงแขนท่านโอบกอดมอบความอบอุ่น เด็กชายก้มหน้าก้มตาอมยิ้มด้วยหัวใจพองโต
ครั้งหนึ่งลุงวัชก็เคยสวมเสื้อกันหนาวให้เขาแบบนี้เช่นกัน
ถึงจะเนิ่นนานมาแล้วหากแต่เขาไม่เคยลืม
เสื้อตัวนั้นบัดนี้เล็กจนเขาสวมไม่ได้แต่ครูยุพินก็ช่วยเก็บพับไว้ในตู้อย่างดี
“ทานข้าวได้แล้วครับคุณภู ทานเยอะๆนะครับจะได้โตไวๆ”
นายเอื้อคลานเข่าขยับเข้ามาตักหมูผัดหวานใส่จานเด็กชาย
ภูมิพัฒน์กล่าวขอบคุณแล้วจัดการตักอาหารเข้าปาก อยู่ที่นี่เขาถูกสอนให้ใช้ทั้งช้อนทั้งส้อมตักอาหารรวมถึงช้อนกลางที่ต้องใช้ทุกครั้งที่รับประทาน
ท่านชายเพชรทรงทอดเนตรที่เด็กชายแล้วจุดรอยแย้มสรวลอบอุ่น
ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาเอื้ออังกูรทำงานได้ดีพอสมควรทั้งมารยาทบนโต๊ะอาหาร
ทั้งวิชาความรู้เขียนอ่านที่ท่านทรงรับสั่งให้ดูแลปรับระดับความรู้พื้นฐานเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับชั้นเรียนวิชาต่าง
ๆ
“ท่านชายลองเหวยฉู่ฉี่กุ้งนางดูเพคะ
วันนี้แม่เรไรไปได้กุ้งแม่น้ำตัวโตมาจากตลาดเช้า รสชาติดีอย่างที่ชอบเลยนะเพคะ
หวานนิดๆ” นมแม้นเข้ามาตักอาหารเด่นของวันนี้ใส่ลงในจานให้
ท่านชายเพชรเสวยยากตั้งแต่ยังเยาว์
เพราะอย่างนั้นอาหารทุกอย่างที่ห้องเครื่องทำถวายจะต้องเป็นรายการอาหารที่ท่านชายทรงคุ้นเคยถึงจะยอมเสวย
เรื่องนั้นนมแม้นกับแม่สายบัวแม่ครัวใหญ่ประจำห้องเครื่องทราบดีทุกอย่าง
อาหารทุกจานที่ถูกจัดตั้งสำรับวางต้องเป็นรายการที่ท่านชายเสวยเป็น
“เป็นอย่างไรเพคะ
ถ้าโปรดไว้วันหลังเดี๋ยวหม่อมฉันทำให้เสวยอีกนะเพคะ”
“อร่อยดีครับนมแม้น
ชายทานอะไรก็ได้นมแม้นทำอร่อยทุกอย่าง ทำอะไรมาชายก็ทานทั้งหมดแหละครับ”
“อย่ามาเย้านมเล่นเหน่อยเลยค่ะ
ถ้าอร่อยจริงท่านชายต้องเหวยจนหมดจานสิเพคะ นี่เห็นเหลือเกือบทุกวัน
สู้คุณภูก็ไม่ได้เดี๋ยวนี้ทานข้าวหมดเกลี้ยงไม่เคยเหลือเลย”
“ว้า ชายโดนต่อว่าเสียแล้ว
สู้เด็กไม่ได้เลยน่าน้อยใจจริงๆ” ท่านชายทรงรับสั่งยิ้มๆเย้าแม่นมของท่าน
นมแม้นอารมณ์ดีมีความสุขท่านก็พลอยดีใจ
ความจริงแล้วตั้งแต่มารดาของท่านสิ้นไปนมแม้นก็คล้ายกับเป็นญาติผู้ใหญ่ที่สำคัญคนหนึ่งของท่าน
ไม่ว่าอย่างไรก็อยากจะให้มีสุขภาพดีและมีความสุขอยู่เสมอ
ค่ำคืนนั้นหลังจากเสด็จกลับตึกใหญ่
นายเอื้อพาภูมิพัฒน์ไปส่งที่ห้องนอนของเด็กน้อย
ขณะที่ท่านชายเพชรเข้าทรงงานที่ห้องอักษร
นายเอื้อถูกตามให้เข้าไปรายงานและรับคำสั่งเรื่องของภูมิพัฒน์ที่จะต้องจัดการในวันพรุ่งนี้อีกครั้ง
“ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ
ให้เบิกกับอนิรุทธิ์ได้เลยฉันบอกเขาไว้ให้แล้ว มีอะไรสงสัยอีกหรือเปล่า”
“ไม่มีขอรับกระหม่อม”
“ถ้าอย่างนั้นนายเอื้อก็ไปพักผ่อนเถอะ
ดูแลน้องภูมาทั้งวันฉันรู้ว่าเหนื่อยมากแต่ก็ขอให้อดทนไปสักพักก็แล้วกัน”
“ไม่เหนื่อยขอรับ
กระหม่อมเต็มใจคุณภูเป็นเด็กน่ารัก หัวไว ที่สำคัญจิตใจงดงาม
กระหม่อมยินดีรับใช้ตามที่ท่านชายทรงรับสั่งทุกประการ ยินดีดูแลให้ขอรับ”
“จริงสิได้ยินว่าภูเขาชอบไปเลี้ยงกระต่ายกับปลูกต้นไม้อยู่หลังสวนด้วยใช่ไหม”
“ขอรับกระหม่อม
นายเพิ่มเองก็คอยเป็นหูเป็นตาช่วยอยู่อีกแรง”
“ดีแล้วล่ะ
อย่าลืมกำชับเรื่องสระบัวด้านหลัง น้ำลึกและค่อนข้างอันตรายถึงจะว่ายน้ำเป็นฉันก็ยังไม่วางใจ”
“ขอครับ กระหม่อมจะกำชับไปอีกที”
“ดีมาก ฉันขอบใจนายเอื้อ
ไปพักผ่อนได้แล้ว”
ทรงโบกหัตถ์บอกให้รู้ว่าถ้าไม่มีอะไรอีกก็ไปได้แล้วเพราะท่านจะทำงานต่อ
เอื้ออังกูรรู้ดีว่าในเวลาเช่นนี้ควรทำอย่างไร
เขาค้อมศีรษะโน้มบังคมลาก่อนล่าถอยออก
ขณะที่ข้าหลวงเฝ้าด้านนอกนำผลไม้เสวยเป็นมะละกอสุกหั่นชิ้นสวยงามเข้ามาวางไว้ให้
สวนทางกับนายเอื้อล่าถอยออกไปพอดี
สองสามวันมาแล้วที่เขาเห็นว่าท่านชายเพชรมีรับสั่งให้จัดเครื่องว่างเป็นผลไม้ขึ้นมาให้ทุกคืน
นึกสงสัยจนต้องคิ้วขมวด เหตุเพราะท่านชายของเขาไม่ชื่นชอบเสวยยามดึก
แต่พักหลังมานี่เพราะเหตุใด
เอื้ออังกูรเข้าไปตรวจดูความเรียบร้อยที่ห้องของภูมิพัฒน์อีกเล็กน้อย
เมื่อแอบเห็นว่าเด็กชายนั่งเปิดดูหนังสือนิทานภาษาต่างประเทศอยู่จึงลอบอมยิ้มและแสร้งทำท่ากระแอมไอขึ้นมาเพราะดูเหมือนว่าเจ้าของห้องจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามีใครเดินเข้ามาจนถึงโต๊ะแล้ว
“คุณภูสนุกไหมครับ อ่านเข้าใจไหมหรือว่าดูแต่รูป”
เขาพูดแหย่แล้วยิ้มขบขันเมื่อเห็นเด็กชายตัวเล็กทำหน้าตกอกตกใจ
“นายเอื้อมาเมื่อไรกัน
ไม่ให้สุ้มให้เสียงภูตกใจหมดเลย”
“ตกใจคนเดียวต่างหากครับ
ผมไม่ได้ตกใจด้วยสักหน่อย ว่าแต่คุณภูทำอะไรอยู่ยังไม่นอนเหรอครับ”
“จวนแล้วล่ะ กำลังดูรูปภาพน่ะ นิทานเรื่องนี้น่าสนใจภูหยิบมาจากห้องหนังสือ
นายเอื้อช่วยอ่านให้ฟังหน่อยได้ไหม”
“ผมอ่านไม่ออกหรอกครับ
แค่ได้ภาษาไทยก็ดีเท่าไหร่แล้ว ภาษาต่างประเทศแบบนี้อ่านได้แค่ตัวอักษรเอบีซี
ถ้าให้ประสมเป็นคำเดี๋ยวคิดว่าคงต้องขอเวลาเรียนอีกสักสิบยี่สิบปี”
“โหนานแบบนั้นภูก็โตก่อนพอดีน่ะสิ”
“นั่นสิครับ
ผมว่าให้คุณภูเรียนแล้วหัดอ่านมาให้ผมฟังจะเร็วยิ่งกว่าอีก”
“ก็ได้ถ้าภูเรียนจนอ่านออกแล้วจะอ่านให้นายเอื้อฟังคนแรกเลยนะ”
“ขอบคุณมากครับคุณภู
แต่ตอนนี้ผมว่าถึงเวลาเข้านอนได้แล้ว
พรุ่งนี้จะได้ตื่นแต่เช้าไปเล่นที่เรือนริมน้ำกับนมแม้นอีกดีไหมครับหรือจะไปตลาดเช้ากับผมข้างวังมีร้านขนมไข่นมสดร้อนปาท่องโก๋น้ำเต้าหู้อร่อย
ๆ ถ้าหากว่าคุณภูอยากทาน”
“จริงเหรอ
ผมไปได้เหรอ”เด็กน้อยตาเป็นประกาย
“ได้สิครับ ถ้าคุณภูตื่นทันนะครับ”
“ตื่นทันสิ ภูจะตื่นให้ทัน”
“อ้อ
ผมได้ยินมาว่าพรุ่งนี้วันเสาร์หลานของนมแม้นจะเข้ามาที่วัง
คุณภูอาจจะมีเพื่อนใหม่ก็ได้นะครับ”
“จริงเหรอครับ ภูจะมีเพื่อนที่นี่ด้วยเหรอ”
“จริงสิครับผมไม่เคยโกหกคุณภูเลยสักครั้งนะ”
“ว่าแต่
หลานนมแม้นนี่เป็นชายหรือหญิงล่ะนายเอื้อ”
“ผู้หญิงครับ น่ารักมาก แก่นแก้วแล้วผมก็คิดว่าคุณภูต้องชอบเธอมากเลยล่ะครับ”
“งั้นเหรอ”
เด็กชายตอบเสียงอ่อนดูเหมือนจะผิดหวังอยู่นิดๆ
เขาหลับตาลงทำท่าเหมือนจะหลับพลางคิดในใจได้เพื่อนใหม่นั่นก็ดีอยู่หรอก
แต่เพื่อนผู้หญิงจะเล่นสนุกอะไร
เขาไม่ชอบต้องมานั่งเล่นแคะขนมครกขุดดินทำอาหารหรือจะให้เล่นตุ๊กตาผ้าแบบนั้นก็น่าเบื่อแย่สิ
คืนนั้นท่านชายทรงงานเสร็จไม่ดึกมากนักในขณะที่กำลังจะเข้าห้องบรรทมในดำริทรงนึกถึงเด็กชายภูมิพัฒน์ขึ้นมา
ท่านจึงดำเนินออกจากห้องไม่กี่ย่างก้าวก็มาถึงหน้าห้องบรรทมเก่าของเชษฐาตน
ภูมิพัฒน์ได้นอนที่ห้องนี้นับตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาอยู่ที่วังพิชชากร
ช่วงแรกท่านให้เอื้ออังกูรนอนเป็นเพื่อนเด็กชาย
หลังจากนั้นไม่นานเมื่อคุ้นชินกับสถานที่ภูมิพัฒน์ก็สามารถนอนคนเดียวได้
เสียงเคาะประตูดังแค่สองครั้ง
ก่อนที่บานประตูจะถูกเปิดเข้ามาอย่างเงียบเชียบหากแต่เจ้าของห้องที่กำลังนอนดูรูปอาวัชกับคุณแม่ของเขาที่อยู่ในล็อกเก็ตห้อยคอรีบหลับตาปี๋เพราะคิดว่าเป็นเอื้ออังกูรที่เข้ามาตรวจตราดูว่าเด็กชายหลับหรือยัง
แต่อย่างไรเด็กก็คือเด็ก แสร้งหลับมีหรือท่านชายเพชรจะจับไม่ได้
ท่านทรงปิดไฟหลอดยาวแล้วเปิดโคมไฟผ้าสีส้มอ่อนๆที่โต๊ะหัวเตียงแทน เปลือกตาเด็กน้อยยิ่งขยับยุกยิก
มุมโอษฐ์จึงแย้มยิ้มอย่างขบขันก่อนเดินไปงับบานหน้าต่างเข้ามาอีกนิดพร้อมขยับรูดม่านให้เต็มบาน
คืนนี้อากาศค่อนข้างเย็น ลมเจ้าพระยาโกรกผ่านเข้ามาจนถึงตึกใหญ่
กลัวว่าเด็กชายจะเป็นหวัด ขณะที่คนบนเตียงหรี่ตาขึ้นนิดๆแอบเห็นปฏษฎางค์กว้างขัดกลอนจนเรียบร้อยแล้วหันกลับมา
ภูมิพัฒน์หลับตาปี๋ลงอีกครั้ง ท่านชายเพชรเห็นแบบนั้นถึงกับส่ายพักตร์กลั้นสรวล
เดินไปห่มผ้าให้จนชิดอก หนังสือนิทานเล่มใหญ่โผล่พ้นออกมาจากใต้หมอน
ท่านนิ่งไปชั่วขณะคล้ายดำริใคร่ครวญบางอย่าง
ในที่สุดทรงหยิบนิทานเล่มนั้นขึ้นมาแล้วประทับลงที่เตียงก่อนสุรเสียงทุ้มนุ่มและกังวาลจะทรงอ่านเนื้อความนิทานเป็นถ้อยคำภาษาต่างประเทศไพเราะรื่นหูให้ภูมิพัฒน์ฟัง
“There
once lived a king and his queen....
“อาเพชร..”
เด็กชายลืมตาขึ้นอย่างตกใจครางเรียกชื่อท่านอาคนใหม่ของเขา ในความคิดของเด็กน้อย ท่านอาเพชรทรงงานยุ่งมาก
แม้แต่ตอนกลางคืนยังคงสะสางงานอยู่ที่ห้องทรงอักษรเสมอ
นิทานเล่มนี้เป็นนิทานภาษาต่างประเทศที่มีรูปภาพสวยมากถึงเขาอยากจะอ่านให้เข้าใจทั้งหมดได้ก็จนปัญญา
บอกให้นายเอื้ออ่านให้ฟังรายนั้นก็ไม่สามารถอีกเช่นกัน
เขารู้ว่ามีแค่คนเดียวในวังแห่งนี้ที่สามารถอ่านเล่มนี้ให้เข้าใจนั่นก็คือเจ้าของหนังสือเล่มนี้นั่นเอง
แต่เขาไม่คาดคิดฝันมาก่อนเลยว่า ท่านจะทรงมีพระทัยดีขนาดนี้
นี่เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่ท่านอาทรงเมตตาอ่านนิทานกล่อมนอนให้เขาฟัง
“ว่าอย่างไร จะลุกขึ้นมาอ่านด้วยกันไหม
หรือจะให้อาอ่านให้ฟังแล้วน้องภูก็หลับตานอนเสีย”
“ไม่ครับภูง่วงนอน
น้องภูหลับตาแล้วอาเพชรก็อ่านนิทานให้ภูฟัง” ใจเต้นโครมครามกลัวว่าท่านอาจะเปลี่ยนใจ
น้องภูจึงต้องทำตัวเรียบร้อยนอนนิ่งๆแทบจะไม่ขยับ
แม้แต่ลมหายใจยังผ่อนเข้าออกแผ่วเบา คือมันเกร็งไปหมด
“เด็กดี ถ้าอย่างนั้นก็จงนอนเสีย”
หัตถ์อบอุ่นนิ่มนวลลูบลงบนเรือนผมนิ่มก่อนที่สุรเสียงทุ้มนุ่มลึก
หวานซึ้งจนบาดเข้าไปในหัวใจเด็กน้อยก็เริ่มเล่าเรื่องราวนิทานตะวันตกต่อไปเรื่อย ๆ
ภูมิพัฒน์หลับตาแน่นในอกปวดหนึบ ทั้งดีใจทั้งปลาบปลื้มใจแต่เหนืออื่นใดคงไม่เท่ากับเรื่องที่ว่า..ความจริงแล้วนิทานเรื่องนี้เขาฟังมาไม่ต่ำกว่าสิบรอบ
ไม่ใช่ว่าจากครูยุพินพาอ่านพาท่อง
หากแต่แต่ฟังจากโอษฐ์ของท่านชายวัชพลหรือก็คืออาวัชคนใจดีของเขานั่นเอง....สุรเสียงสององค์ไม่ได้แตกต่างกันสักเท่าใดเลย
ทั้งหวานซึ้งรื่นหูและนุ่มนวลชวนให้คนฟัง....ฟังแล้วยังอุ่นหัวใจยิ่งกว่าใดๆ
“Finally,
he found the princess. Oh! What a
beautiful girl..”
“The
prince kissed her.” ภูมิพัฒน์ต่อคำขึ้นในใจพร้อมๆกับกระแสเสียงของท่าน
ไม่รู้หรอกว่าความหมายคืออะไรหากแต่ฟังและจดจำจนขึ้นใจได้ต่างหาก
ฟังต่อไปอีกแค่หน่อยเดียวนิทานเรื่องนี้ก็เข้าสู่บทสุดท้ายของเนื้อเรื่องแล้ว
“The
prince and the princess got married and live happily ever after.”
ขนงสีเข้มเลิกขึ้นอย่างนึกฉงน
ริมฝีปากเล็กเปล่งเสียงแผ่วออกมาเป็นประโยคสุดท้ายที่องค์ท่านเอื้อนเอ่ยออกมา
ท่านชายดำริ เหตุใดเด็กชายจึงสามารถเอ่ยถ้อยคำสุดท้ายออกมาได้ ทั้งสำนวน
ทั้งน้ำเสียง ช่างคล้ายกับท่านพี่วัชพลยิ่งนัก
ภูมิพัฒน์หลับสนิทไปแล้ว
และคืนนี้ดูเหมือนจะเป็นคืนแรกที่เขานอนหลับฝันดี
..ในฝันเขาฝันว่าอาวัชมานอนอยู่ข้าง ๆ เล่านิทานให้ฟังเหมือนทุกครั้งก่อนจะก้มลงหอมที่หน้าผาก
.....อาวัชครับ...ทำไมครั้งนี้หอมภูเบานักล่ะ.....
Tbc.