Monday, September 28, 2015

กวน T-E-E-N รัก (ภาคพันธนาการหัวใจ) # 25




[25-ภาคพันธนาการหัวใจ]




คนเรา....

พบกัน..เพราะวาสนา

จากกัน..เพราะโชคชะตา

แต่ทว่า

กลับมา..เพราะพรหมลิขิต


(Cr. Twitter #บังเอิญโลกกลมไร้พรหมลิขิต)





แสงตะวันยามบ่ายคล้อยแทรกตัวลอดหมู่แมกไม้เข้าสาดส่องพวงองุ่นสีแดงสด ผลไม้ในไร่ร่มรื่นเบียดตัวชูช่อเพื่อให้ใบสีเขียวๆรอรับแสงแดด ร้านกาแฟเล็กๆหน้าทางเข้าไร่ลูกค้าพลุกพล่านแน่นขนัดไปหมด ป้ายบอกทางตั้งแต่ออกจากตัวเมืองชลบุรีมาจนถึงชานเมืองระยอง

ไร่แห่งรัก สถานที่ซึ่งนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่รู้จักกันดี หลายปีที่ผ่านมาทั้งรสชาติของกาแฟสดๆที่พิถีพิถันคัดเมล็ดพันธุ์ด้วยมือเจ้าของร้านเองหรือสวนผลไม้ตามฤดูกาลด้านใน ที่นักท่องเที่ยวสามารถซื้อบัตรเหมาเข้าไปทานผลไม้สดๆจากต้น บุฟเฟ่ผลไม้ ส้มตำผักสด รวมถึงสลัดผักออแกนิกส์ต่าง ๆหรือถ้าอยากได้จะกรุณาอุดหนุนซื้อติดไม้ติดมือกลับบ้านด้วยเจ้าของไร่ใจดีคุณพ่อยังหนุ่มกับลูกชายรูปหล่อก็จะจัดการให้ผู้ดูแลไร่อย่างคุณอาร์สั่งบรรดาลูกน้องคัดเลือกใส่กระเช้าและบรรจุลังให้อย่างเรียบร้อย

“คุณผู้จัดการ”  เสียงเรียกจากเคาน์เตอร์ดังลอดออกมา อาร์โค้งให้ลูกค้าคนสุดท้ายของร้านอีกครั้งหลังจากเขาส่งไกด์รายใหญ่ที่พาคณะทัวร์จีนมาลงชิมผลไม้สดที่ไร่ ก่อนวิ่งปรู๊ดเข้าไปหาโก้ที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์กาแฟ “มาเอากาแฟไปให้ลูกพี่เอ็งหน่อยไป แล้วนี่ผ้าเช็ดหน้าด้วย เราเองก็เช็ดซะด้วยกัน”

“ขอบคุณครับเฮียโก้” อาร์รับกระติกกาแฟที่เสียบหลอดดูดไว้สองอันกับผ้าขนหนูผืนเล็กพาดลงที่คอกำลังจะหันหลังเดินออกไปทว่าโก้ฉุดแขนเขาไว้อีก คนตัวเล็กจึงหันกลับมามองโก้ที่ชี้ถามเป็นนัยว่าวันนี้อาหารว่างสองคนอยากกินอะไร เมนูเดิมไหมเคลียร์ลูกค้าหมดแล้วจะทำให้ อาร์ฉีกยิ้มพยักหน้าหงึกๆบอกครับผมก่อนวิ่งออกจากร้านไปหาแคปที่กำลังยืนคุยกับคนสวนสองสามราย

“คุณแคปเข้าสวนพร้อมพวกผมไหมครับ พุทราแอปเปิ้ลวันนี้สุกเต็มที่กำลังกรอบอร่อยเลยนะครับ เมื่อกี้เด็กๆญี่ปุ่นวิ่งเข้าไปเด็ดกินกันใหญ่” ผลไม้ที่ไร่นี้เน้นเรื่องความสะอาดและปลอดสารพิษ เพราะงั้นจึงเด็ดสดๆกินได้ไม่ต้องกังวลเลย

“เดี๋ยวผมตามเข้าไปช่วงเย็นๆ นะครับลุงมิ่ง ว่าจะไปเช็คที่แปลงองุ่นด้วย”

“คุณแคปครับผลสละก็สุกเกือบหมดแล้ว ต้นทางฝั่งตะวันตกผมว่าจะเด็ดผลออกมาเตรียมไว้สำหรับวันพรุ่งนี้ ส่วนต้นทางฝั่งทิศใต้ทั้งหมดเรากันไว้ส่งผลสดเข้าโรงงานทำสละลอยแก้วครับ ปีนี้ได้ยินคุณโก้บอกว่าพ่อค้าคนกลางมาติดต่อเพิ่มขึ้นอีกคิดว่าผลผลิตจากไร่เราคงสวยงามถูกใจ เพราะว่าได้ปุ๋ยเกษตรที่คุณแคปสอนพวกผมทำนั่นแหละครับ สูตรลับเฉพาะของไร่เราเลยก็ว่าได้”

“เก็บเลยครับพี่สิทธิ์ อันไหนพร้อมก็เก็บผลผลิตได้เลยครับ ถ้าคิดว่าทำอะไรแล้วเป็นผลดีกับไร่ของเราพี่ลองเสนอมาดูเดี๋ยวผมพิจารณาให้ แต่ว่าผมขอกันส่วนนึงไว้ให้กับลูกค้าสำหรับเด็ดกินสดด้วย เพราะนั่นคือเสน่ห์และจุดเด่นของไร่เรา ห้ามลืมจุดนี้เด็ดขาดนะครับ”

แคปสั่งงานกับหัวหน้าคนงานในไร่เสร็จเขาจึงถอดหมวกคาวบอยที่สวมอยู่บนหัวลงมาพัดให้คลายร้อน มองดูเวลากะว่าพักสักสามสิบนาทีจะเข้าสวนไปสำรวจองุ่นเขียวแปลงที่เขาค่อนข้างห่วง วันนี้ลูกค้าลงเยอะมันก็อาจจะมีที่เสียหายไปบ้างต้องสั่งให้คนงานบำรุงรักษา ปกติเกือบทุกเย็นเขาจะเข้าไปสำรวจไร่เป็นประจำอยู่แล้ว 

“กำลังออกพวงสวยเลยครับ ผมกันไว้สำหรับชมอย่างเดียวห้ามเด็ดอยู่สองสามแปลง คุณแคปเข้าไปเลือกได้เลยนะครับ” แคปพยักหน้ารับ วันนี้เขารับลูกทัวร์สามคันรถบัส กับอีกห้ารถตู้ สู้ศึกกับเจ้าอาร์ตั้งแต่เช้า เฮียโก้ชงกาแฟจนมือเป็นระวิงเดี๋ยวนี้ในร้านกาแฟนอกจากพี่พายพ่อครัวสลัดออแกนิกส์แล้วยังมีผู้ช่วยเพิ่มอีกสองคนไม่อย่างนั้นก็ไม่ทันเสิร์ฟ ยิ่งสุดสัปดาห์แบบนี้ทุกเสาร์อาทิตย์คนจะค่อนข้างแน่นขนัด แต่มันก็ยุ่งแค่ระยะเวลาหนึ่งเท่านั้นสักบ่ายสี่โมงห้าโมง ไร่แห่งรักก็กลับมาเงียบสงบได้อย่างเก่า

“ช่วงนี้บูมน่าดูเลยว่ะ ลูกค้าเข้าเยอะฉิบหาย วันนี้หมดทุเรียนไปสามเข่ง พี่กล้าแกปอกจนมือจะหัก พวกคนจีนก็ช๊อบชอบกินเนอะ มันอร่อยเหรอวะ” แคปหัวเราะคนที่ปากบ่นไปแต่สีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม รู้ว่าบ่นแต่มันก็มีความสุข อาร์ยื่นกระติกกาแฟเย็นส่งให้เพื่อนดูด เห็นหน้าแคปมีแต่เหงื่อซึมไปหมดเขาก็อดสงสารไม่ได้ แคปกลายเป็นเจ้าของไร่ไปแล้ว ส่วนเขาก็ถูกเฮียโก้บอกให้มาทำงานช่วยแคปมัน  อาร์ยื่นผ้าขนหนูผืนเล็กๆที่พาดบ่าตัวเองอยู่ส่งให้ แคปรับมาเช็ดพลางดูดกาแฟไปด้วย

“เดี๋ยวหน้าฝนก็หมดช่วงท่องเที่ยวแล้ว” แคปว่าขึ้น มองดูคนงานในไร่ขนบรรดาเปลือกผลไม้ที่ลูกค้ากินแล้วทิ้งใส่เข่งออกมาทิ้งด้านนอก หน้านี้นักท่องเที่ยวเยอะส่วนฤดูฝนเป็นฤดูกาลตระเตรียมและบำรุงดิน พอเข้าหน้าหนาวยิ่งแห้งแล้งต้องบำรุงหนัก จะว่าไปคนเยอะก็แค่ช่วงหน้าร้อนเท่านั้นแหละเพราะเป็นเทศกาลปิดเทอมยาว ทุกซัมเมอร์ลูกค้าจะเยอะอยู่แล้ว เพราะอย่างนั้นแคปจึงได้พยายามคิดหาผลไม้ที่เปลี่ยนไปทุกฤดูกาลมาลงไว้จะได้มีให้คนที่ตั้งใจเข้ามาชมมาชิมได้กินผลไม้สดๆเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ถึงอย่างนั้นก็ยังโตไม่ทันออกลูกเร็วบ้างช้าบ้างจนต้องไปรบกวนสวนของคนรู้จักบ่อย ๆ

“อะไร เดี๋ยวนี้มึงกินแต่ลาเต้นะแคป ไม่กินเอสเพรสโซ่เหมือนเดิมแล้วเหรอวะ” อาร์ท้วงขึ้นมาหลังดึงเอากระติกกาแฟไปดูดบ้าง เขาทำหน้าบอกหวานๆๆ

“หึๆ” แคปหรี่ตามองเพื่อนตัวเองแล้วแค่นเสียงในคอพร้อมผลักหัวมันเบา ๆ หนึ่งที เจ้าอาร์มันตั้งใจแซวเขาแน่นอนอยู่แล้วก็รู้ว่าเขาเลิกกินเอสเพรสโซ่ไปหลายปี จะกลับไปกินอีกปากก็ไม่ชินความขมปี๋ของรสชาติสองช็อตที่เขาชอบ ปัจจุบันเลยกินแต่ลาเต้หวานๆมันๆไม่รู้ตัว เขาอ้วนขึ้นด้วยนะสองสามกิโลเห็นจะได้ ก็อย่างว่าทุกอย่างเปลี่ยนแปลงและเติบโตขึ้นตามกาลเวลาไม่ใช่แค่อายุหรอกหากแต่ความคิดความอ่าน นิสัยที่วู่วามใจร้อนปากไวของเขาเดี๋ยวนี้ลดลงมากแทบจะไม่เหลือเลยก็ว่าได้ กลายเป็นผู้ใหญ่จนเฮียโก้ยังชม

“ลาเต้ก็อร่อยดี กูเปลี่ยนมาชอบหวานๆมันๆมากกว่ามึงจะมีปัญหาอะไรล่ะ”

“ก็เปล่าหรอก จะว่าไปคิดถึงเฮียเต้ว่ะ เดือนนี้ยังไม่โผล่มาให้น้องให้นุ่งเห็นหน้าเล๊ย” อาร์บ่นไปพลางรับแซนวิชจากพนักงานอีกคนด้านในมีข้อความเขียนติดมาที่ขอบจานว่าให้เขากับแคปกินให้หมดห้ามเหลือเด็ดขาด อาร์เหลือบกลับไปมองเจ้าของลายมืออย่างเฮียโก้ที่ยืนอยู่ในร้านกาแฟด้านในชี้ไม้ชี้มือบอกให้กินๆไปซะเขารีบหันกลับมาแทบไม่ทัน เอาขนมยัดมือแคปให้เร็วที่สุด

“เฮียเต้ยุ่งไง เมื่อคืนโทรมาบอกยังเคลียร์ไซด์ไม่เสร็จง่ายๆหรอก คุณเอย์เจ้านายเขาจะออกพื้นที่เสาร์หน้าด้วยเลยต้องคุมเข้มไว้ก่อน เห็นว่าเป็นศูนย์การค้าใหญ่ที่สุดในภาคอีสานด้วยนะ ทุกอย่างเลยต้องควบคุมดูแลเป็นพิเศษ”

เฮียเต้ตอนนี้ทำงานให้กับอัศวคอนสตรั๊คชั่น บริษัทก่อสร้างที่ใหญ่พอๆกันกับรัชชาคอนสตรั๊คชั่นแต่เนื้องานคนล่ะรูปแบบและรับลูกค้าเฉพาะกลุ่ม เฮียถูกส่งตัวไปรับผิดชอบโครงการใหญ่ที่กำลังก่อสร้างอยู่แถวภาคอีสาน ระยะเวลาก่อสร้างใช้เวลาเป็นปีๆ ถึงแม้จะเป็นโครงการเร่งด่วนก็ยังช้าอยู่ดีในความรู้สึกของครอบครัว เพราะอย่างนั้นเต้จะกลับบ้านประมาณเดือนล่ะครั้งหรือสองครั้งเท่านั้น
               
“งบโครงการคงอื้อซ่าเลยสิท่า”

“ก็งั้นแหละ” แคปยักไหล่ นึกย้อนถึงบ้านเก่าเขาที่กรุงเทพ เกือบๆห้าปีแล้วตั้งแต่เฮียโก้ย้ายออกมาจากที่นั่น ร้านกาแฟถูกปิดตายและที่ดินตรงนั้นอาฟี่ขายทิ้งอย่างไม่แยแสอะไรทั้งสิ้น ครอบครัวกาแฟย้ายออกมาหลังจากเหตุการณ์นั้นหนึ่งปีเพราะว่าเต้เรียนจบได้ทำงานที่อัศวฯ โก้จึงต้องเทียวจากระยองขึ้นมาอยู่กับแคปที่ห้องเช่าจนกระทั่งแคปเรียนจบและอาฟี่กลายเป็นคนรับผิดชอบค่าใช้จ่ายภายในครอบครัวทุกอย่างตั้งแต่นั้นและสองปีต่อมาไร่แห่งรักก็เริ่มเป็นที่รู้จักจนถึงตอนนี้ยิ่งจะมีลูกค้าเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

“เย็นนี้อาฟี่กลับป่ะวะ” แคปพยักหน้าตอบว่ากลับ อาฟี่มีห้องส่วนตัวอยู่ที่คอนโดหรูขนาดใหญ่ที่มีระบบรักษาความปลอดภัยดีเยี่ยมที่สุดในประเทศล่ะมั้งนะ ราคาค่าเช่าแน่นอนว่าแพงมากแต่อาฟี่บอกไม่สนใจเพราะทางกรมฯจ่ายให้แลกกับข้อเสนอไม่ให้คุณอาสุดหล่อของเขาลาออกมาทำไร่อยู่ที่เมืองชายทะเลแห่งนี้

 แคปจำได้ติดตาตอนที่อาฟี่บอกเฮียโก้ว่ายื่นเรื่องลาออกไปแล้วจะมาอยู่ไร่ด้วยกัน คืนนั้นดูเหมือนสองคนจะมีปากเสียงกันหนักหนาอยู่ วันต่อมาท่านผู้บัญชาการมาหาครอบครัวของเราถึงที่ไร่และตามคุณอาของเขาให้กลับไปรับใช้กรมตำรวจในฐานะหน่วยงานลับที่ครอบครัวเรารู้กันเป็นอย่างดี แต่คนอย่างอาฟี่ลองได้ตัดสินใจแล้วจะมีใครห้ามได้นอกจากเฮียโก้

สุดท้ายเฮียโก้เลยเป็นคนเจรจาแล้วได้คอนโดห้องนั้นมาแลกกับการกลับเข้าไปทำงานอีกครั้ง สวัสดิการไม่รู้กี่สิบเท่า ผลประโยชน์มากมายหลายอย่างนี่ยังไม่รวมถึงว่าเมียท่านผู้บัญชาการเป็นเจ้าของที่ดินด้านหลังไร่แห่งนี้ เพราะอย่างนั้นเฮียโก้จึงต่อรองแล้วซื้อพื้นที่เพิ่มในราคาถูกแสนจะถูกเพื่อขยายไร่เล็กๆในตอนแรกให้เป็นไร่ผลไม้สวนผสมที่มีขนาดใหญ่ขึ้นมาอีกนิด จะว่าไปมันก็ใหญ่อยู่นะเดินไม่ถึงอ่ะเหนื่อยก่อน ต้องใช้รถกอล์ฟขับชมภายในถึงจะทั่ว นักท่องเที่ยวก็เหมือนกันตอนแรกเฮียโก้บอกคงต้องใช้รถรางแต่อาฟี่กับแคปลงความเห็นว่าใช้รถกอล์ฟคันเล็กๆสำหรับครอบครัวน่าจะดีกว่า ต่างขับอยากจอดกินตรงไหนก็ได้ กินจนพอใจแล้วก็ขับออกมา

“คาปูโทรศัพท์ลูก เจ้าแบงค์โทรมาแน่ะ” โก้เดินออกมายื่นโทรศัพท์มือถือที่กำลังสั่นเรียกส่งให้ แคปรับมามองดูชื่อคนโทรก่อนกดรับสาย เขาก็แค่อือๆออๆตอบกลับไปก่อนจะกดวาง

“ว่ายังไง รายนั้นจะเข้ามากินข้าวด้วยเหรอ” ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมเฮียโก้ถามแบบนั้น หลายปีมานี่แบงค์มันกลายเป็นคนสนิทของบ้านเขาไปแล้วเรียบร้อย 

“ครับพ่อ เห็นบอกว่าถึงบ้านแล้วเดี๋ยวค่ำๆจะเข้ามา” แบงค์ยังเป็นดีเจอยู่เหมือนเดิมแต่ชื่อเสียงดังกว่าเดิมมาก มันพัฒนาถึงขึ้นเป็นวีเจช่องพิเศษต่างๆไปแล้ว ขณะที่แคปลาออกหลังจากเกิดเรื่องคราวนั้น เต้ตามประกบน้องชายตลอดจนเขาไม่มีเวลาจะกระดิกตัวไปไหน ทุกคนในบ้านลงความเห็นว่าแคปควรจะลาออกจากงานอดิเรกนั่น หลังจากนั้นไม่นานอาฟี่ได้คนรู้จักของเจ้านายขายสวนผลไม้เล็กๆต่อให้ เฮียโก้พาทุกคนในครอบครัวมาดูพอทุกอย่างโอเคร้านกาแฟเล็กๆแต่รสชาติอร่อยใหญ่โตก็ถือกำเนิดขึ้นหน้าทางเข้าไร่แห่งนี้

“แล้วไอ้แบงค์มันจะเอาเงาะของพรุ่งนี้เข้ามาให้ด้วยหรือเปล่าวะ กูโทรไปบอกมันไว้เงาะที่สวนเรายังไม่ติดลูกค้าก็อยากจะกินเหลือเกินวันนี้รบกวนเสด็จแม่มันสองรอบแล้วด้วย” อาร์ถามขึ้นหน้าเจื่อน ๆ ไม่ใช่แค่รบกวนวันนี้หรอก ถ้าฤดูท่องเที่ยวทีไรก็จะได้รบกวนสวนของบ้านแบงค์เป็นประจำ สวนนั้นเงาะออกเร็วต้นใหญ่มาก มังคุดลำไยกับทุเรียนก็ด้วยเพราะอย่างนั้นทางนี้จะไปรบกวนแม่แบงค์เป็นประจำ จนสองบ้านจำต้องสนิทสนมกันไปปริยาย

“เออมันว่าแม่มันจัดเตรียมใส่เข่งไว้ให้แล้ว เดี๋ยวใส่หลังรถมาส่ง”

“ไอ้เหี้ยรบกวนมึงไม่เกรงใจมันหรือไง  แล้วมันจะเอามากี่เข่งวะ เข่งเดียวไม่พอหรอกพรุ่งนี้วันอาทิตย์ลูกค้าเยอะต้องหลายๆเข่งด้วยสิ” แคปมองหน้าคนพูดอย่างดุๆ อาร์เห็นแบบนั้นก็แกล้งลุกหนีทำท่ายกมือถือคุยโทรศัพท์กับใครสักคนแคปจึงชี้หน้าบอกกลับมาคุยเลย

“ไอ้ปอโทรมากูรับก่อน” อาร์ว่า

“ถามมันดิ๊ พรุ่งนี้มาหรือเปล่า” อาร์ถามลงไปแล้วยกมือโบ๋เบ๋บอกปอติดประชุมไม่ว่าง จะโทรหาแคปทีหลัง แล้วมันก็เดินแยกออกไปคุยอยู่แถวทางเข้าสวนบิดต้นไม้ใบไม้ของมันไป แคปขี้เกียจจะตามด่าเขาก็แค่เดินเอาจานของว่างกับกระติกกาแฟเข้าไปเก็บที่ครัวหลังร้านกาแฟ

“เอาอะไรอีกไหมคาปู นมสดปั่นไหมลูกเดี๋ยวพ่อทำให้”

“ใส่น้ำผึ้งด้วยครับเฮียโก้”

“กินน้ำผึ้งทุกวันแบบนี้เลยอ้วนขึ้นน่ะสิ แก้มยุ้ยเชียว” โก้จ้องหน้าลูกชาย อดไม่ได้จะดึงแก้มยุ้ยนั่น แคปอ้วนไม่ออกอะไรหรอก ออกที่แก้มทั้งหมดรูปร่างยังเท่าเดิมอยู่ดี

“เฮียโก้อ่ะ อย่าแซวดิ” แคปก็แค่ย่นจมูกแล้วยิ้มให้ดันหลังคุณพ่อของเขาบอกไปทำมาให้กินเร็ว ๆ

คืนนั้นฟี่กลับมาถึงไร่ราวทุ่มเศษรถจอดลงพร้อมกันกับรถกระบะขนผลไม้ของบ้านแบงค์ คนงานออกมาช่วยกันยกเข่งผลไม้หลายชนิดไปพักไว้ด้านในรอจัดเรียงให้ลูกค้ารับประทานแบบบุฟเฟ่ในวันพรุ่งนี้ โก้ขอบคุณแล้วขอบคุณอีกถึงขั้นโทรไปขอบคุณคุณนายแม่ของแบงค์นานหลายนาที ขณะที่ฟี่เองก็ตบหลังตบไหล่บอกมันว่าถ้าไม่ได้บ้านแบงค์ช่วยคงจะแย่ ครั้นจะไปยืมผลไม้จากสวนอื่นหรือซื้อมาก่อนราคาก็สูงอยู่มาก แม่แบงค์คิดให้ในราคาถูกขอแค่ค่าแรงคนงานเก็บเท่านั้นซึ่งถือเป็นบุญคุณมากๆ

“อารบกวนบ้านแบงค์ตลอดเลย คงต้องหาอะไรไปตอบแทนคุณแม่เราสักหน่อยแล้วล่ะ” ในวงข้าวมื้อเย็น โก้เอ่ยขึ้นพลางตักไข่เจียวกุ้งใส่จานให้แคปกับแบงค์ ฟี่รีบตักหมึกผัดไข่เค็มใส่จานโก้ทันทีแล้วชี้บอกให้โก้ตักให้ตัวเองด้วย จากนั้นพูดขึ้นว่า

“ไปสิ เดี๋ยวคืนพรุ่งนี้พาไป แคปมึงไปกับพวกกูด้วยนะ ไปขอบคุณคุณป้าเขาเสียหน่อยก็ดี” แคปอาร์และแบงค์หันมองหน้ากันอัตโนมัติ เจ้าอาร์กระซิบกระซาบใจกล้านินทาฝาแฝดกลางวง

“กูว่าอาฟี่กับเฮียโก้แม่งน่าอิจฉาสุดๆ”

“อิจฉาเรื่องอะไรวะ” แคปพูดให้เบาที่สุดตามคนถาม สายตานึกสงสัยจู่ๆมันพูดขึ้นมาทำไม

“ก็มึงดูสิ ห้าปีมาเนี่ยทำไมอาฟี่กับพ่อมึงหน้าตาไม่เปลี่ยนไปเลยวะ ไม่แก่ขึ้นแม้แต่นิดกูรู้สึกว่าจะหนุ่มขึ้นด้วยซ้ำโดยเฉพาะอาฟี่ช่วงนี้ยิ่งหล่อกว่าเดิมเสียอีก หรือจะจริงอย่างที่ลุงเกียรติคนสวนพูดวะ คนไม่แต่งงานยังไงก็ไม่แก่กูว่ากูไม่แต่งหรอกถ้าไม่แต่งแล้วหล่อแบบอาฟี่กูยอมอยู่เป็นโสดจนตายเลยเหอะ”

“หืมมึงจะทนได้เหรอไอ้เหี้ยอาร์กูเห็นมึงหน้าหม้อยิ่งกว่าใครๆ”

“เอ๊ะนี่มึงด่ากูเรอะ”

“เปล่า ไอ้แบงค์มันด่า”แคปโบ้ยไปหาอีกคนที่นั่งกินไม่รู้เรื่อง แบงค์เห็นเศษใบไม้เล็กๆติดอยู่ที่หัวแคปเขาจึงหยิบออกให้

“ใช่ไหมมึง” แคปปัดมือมันออกบอกว่าห้ามเล่น จากนั้นใช้สายตาข่มขู่แบงค์จึงเหมือนถูกบังคับให้ตอบ เขาก็แค่พยักหน้าเออออไปก่อน

“มึงนะมึง” อาร์ชี้หน้าใส่ แต่ก่อนจะเกิดศึกที่เสี้ยมโดยเจ้าของไร่อย่างแคป ฟี่ก็เอ่ยขึ้น “ตกลงว่าว่าพรุ่งนี้จะไปบ้านไอ้แบงค์ใช่ไหม กูจะได้กลับมาให้ทัน”

“พรุ่งนี้มึงมีงาน?” โก้ถามพลางตักผัดผักน้ำมันหอยวางใส่จานให้  ฟี่จึงพยักหน้าตอบว่าใช่ คนฟังดูทำท่าลำบากใจขึ้นมานิดๆ โก้ไม่อยากให้ฟี่เทียวขับรถไปมามากนัก ปกติถ้ามีงานติดๆกันฟี่จะค้างที่ห้อง เสาร์อาทิตย์ส่วนใหญ่จะว่างลงมาช่วยอยู่ที่ไร่บ้าง ถ้ารู้ว่ามีงานทั้งเสาร์ทั้งอาทิตย์เขาจะบอกไม่ให้มาเพราะกลัวอันตราย ฟี่เป็นคนที่ขับรถค่อนข้างเร็ว

“ไม่เป็นไรหรอกครับอาฟี่ แม่ผมฝากบอกว่าไม่ต้องเกรงใจ แค่ให้แคปไปทำงานเป็นเพื่อนทุกศุกร์นี่ก็รบกวนมากแล้วครับ” เจ้าแบงค์รู้งานพูดขึ้นโก้จึงเอ่ยขอบคุณขึ้นมาอีกครั้ง ไม่ลืมที่จะย้ำฝากคำขอบคุณแบงค์กลับไปบอกแม่เขาว่าขอบคุณมากๆไว้วันหลังจะหาเวลาไปเยี่ยมที่สวนบ้าง แบงค์พยักหน้าแล้วยิ้มจนแก้มแทบฉีก แคปหมั่นไส้ อาร์เองก็หมั่นไส้

“นี่มึงรู้ด้วยเหรอว่ารบกวนกูน่ะ เห็นมาลากกูเข้ากรุงเทพอาทิตย์ละสองครั้งเพื่อเป็นเพื่อนมึงทำงานกูกะนึกว่ามึงไม่รู้สึกอะไรเลย”

“แคปใจร้ายว่ะ” แบงค์ทำหน้างอๆ ตาเขียว จนโก้ยังต้องหัวเราะขณะที่ฟี่ส่ายหัวขำ

“ทำเสียงปัญญาอ่อน มึงเป็นผู้หญิงเรอะ” แคปกระแทกไหล่มันไปแรง ๆแบงค์สะดุ้ง “ก็กูขับรถดึกนี่ ใครกันล่ะบอกกูว่าจะไปเป็นเพื่อนวันแรกนั่นน่ะ”

“นั่นมันเมื่อสี่ปีที่แล้วโน่นโว๊ย..” ใครจะรู้จะลากกูไปด้วยจนแก่แบบนี้ แคปบ่นงึมงำในคอต่อ เขาจ้วงข้าวใส่ปากไปเรื่อยๆ แบงค์เหลือบมองแล้วยิ้มตักแกงส้มกุ้งใส่ให้แล้วบอกว่าอร่อยให้กินเข้าไปเยอะๆเพราะรู้ว่าแคปชอบ

“ยุ่งกับกูจริงๆ”

“เอาเถอะน่า”










ตึกกระจกสูงตระหง่านริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาคือสถานที่ๆปอทำงานอยู่แทบทุกวัน ห้าปีมาแล้วที่เขาเดินเข้าเดินออกที่นี่เป็นว่าเล่น เจ้านายของเขาคือคนที่นั่งกุมบังเหียนสูงสุดของยอดหอคอยแห่งนี้

ก๊อกๆ

“ขออนุญาตครับ ได้เวลาเข้าประชุมแล้วครับคุณเอส”

คนฟังเพียงแค่เบนสายตาจากหน้าจอแอลซีดีขนาดใหญ่ที่ติดตั้งไว้บริเวณกำแพงฝั่งหนึ่งของห้องหรู วิวสูงจากกระจกใสด้านหลังโต๊ะทำงานโชว์ให้เห็นทัศนียภาพของมหานครสองฝั่งเมืองที่ถูกคั่นกลางด้วยแม่น้ำสายหลัก

ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นคว้าเอาเสื้อนอกที่พาดไว้มาสวมใส่ขณะที่เลขาอย่างเขารู้หน้าที่ตรงเข้ามาช่วยจับปกขยับเนคไท เช็คความเรียบร้อยทุกอย่าง ใบหน้าหล่อเหลาคมคายเปี่ยมด้วยเสน่ห์ที่เพิ่มขึ้นตามวัยยังคงนิ่งอย่างไม่บ่งบอกอารมณ์  ปอค้อมศีรษะลงให้ในตอนที่นายใหญ่เดินผ่านตัวเขาออกไป เลขาหนุ่มเหลือบมองที่จอทีวีติดผนังอีกครั้งก่อนเดินเข้ามากดรีโมทปิดลงให้ ภาพนิ่งจากวีดีโอที่ถูกกดพอชไว้เขาเห็นจนชินตา ไม่รู้กี่ร้อยกี่พันครั้งที่เจ้านายของเขาเปิดไฟล์วีดีโอนี้ขึ้นดูแล้วฉายซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้

“ทำไมวันนี้ถึงใช้ห้องใหญ่” เสียงทุ้มถามขึ้นเมื่อตอนที่ปอรายงานเขาว่าวันนี้เปลี่ยนจากห้องฝั่งปีกซ้ายไปเป็นห้องใหญ่ทางปีกขวาของตึกแทน

“คุณนาคินสั่งไว้ครับ มีคำสั่งลงมาจากท่านเจ้าสัวว่าให้คุณเอสเข้าประชุมแทนท่านทุกหมายกำหนดการของเดือนนี้ทั้งหมดเลยครับ ท่านคงยังไม่กลับจากปารีสง่าย ๆ ได้ยินว่าคุณแอมป์กับคุณอุ้มพานายหญิงเที่ยวที่โน่นที่นี่จนตัวปลิวเลยครับ คุณท่านเองก็พลอยผ่อนคลายไปด้วย”

คนฟังเพียงแค่พยักหน้าเบาก่อนที่บานประตูหนักๆของห้องประชุมจะถูกเปิดออกโดยเลขาคนสนิท เผยให้เห็นโต๊ะประชุมหรูหรารูปตัวยู ที่นั่งรออยู่ล้วนมีแต่ท่านซีอีโอระดับสูงทั้งนั้น ร่างกายสูงสง่าเดินเข้าไปนั่งลงประจำที่อยู่หัวโต๊ะ บรรดาผู้ถือหุ้น หัวหน้าฝ่ายรวมถึงคณะกรรมการร่วมโครงการชั้นรองลงมาต่างลุกขึ้นทำความเคารพนายใหญ่คนปัจจุบัน 

ปัจจุบันเจ้าสัวรัชชาปล่อยธุรกิจหลายสายให้ลูกชายคนเดียวของท่านคุมบังเหียนไว้ทั้งหมด ทั้งงานดี ความรับผิดชอบที่สูงเกินวัย บรรดาผู้ถือหุ้นต่างยำเกรงและให้ความเคารพในการตัดสินใจทุกอย่างของเขา  แฟ้มรายงานถูกแจกไว้ต่อหน้าผู้ร่วมประชุมเรียบร้อย เสียงทุ้มกล่าวเปิดประชุมด้วยพิธีการแบบง่ายๆเหมือนที่คุณพ่อเขาเคยสอน จากนั้นเขาก็แค่รอรับฟังรายงานจากบรรดาผู้ร่วมประชุมและโชว์ศักยภาพในช่วงสรุปพร้อมชี้แนะให้กับข้อคิดเห็นที่แตกต่าง
“กาแฟ”

“ได้แล้วครับคุณเอส”

ปอวางแก้วกาแฟลงให้หลังจากคำสั่งสั้น ๆ สั่งออกมา การประชุมที่กินเวลายาวนานครึ่งค่อนวัน เจ้านายของเขาสามารถอดทนนั่งนิ่งอยู่ได้ขนาดนี้นับว่าเป็นเรื่องดี ปอมองสีหน้าเรียบเฉยของเจ้านายอย่างคาดเดาอารมณ์ไม่ได้

แน่นอนว่าเขาทำงานอยู่ที่นี่เข้าปีที่ห้าแล้วนับจากเรียนอยู่แค่ปีสอง ในช่วงนั้นยังเป็นแค่เด็กฝึกงานก่อนจะเป็นพนักงานเต็มตัวเมื่อสามปีที่แล้ว เจ้านายสายตรงของเขามีแค่คุณเอสเธอร์คนเดียวเท่านั้นซึ่งเขาคนนี้ทำหน้าที่เดียวกับคุณนาคินที่ทำให้กับท่านเจ้าสัวรัชชา คือเป็นทั้งเลขา คนขับรถ บอดี้การ์ด รวมถึงผู้ช่วยส่วนตัวทุกอย่างทุกเรื่อง เพราะอย่างนั้นทั้งเงินเดือน สวัสดิการทุกอย่างที่รัชชามอบให้ตัวเขาและครอบครัวของเขาจึงมากมายจนตอบแทนสักสิบชาติก็คิดว่าคงไม่หมด

แต่น่าแปลกที่ปอยังคงพักอยู่ที่คอนโดเก่าห้องเดิม เอสไม่ยอมเซ็นต์อนุญาตให้เขาได้รับสิทธิ์พักคอนโดส่วนในของพนักงานชั้นสูง แม้ว่าใครจะสงสัยเรื่องนี้มีเพียงแค่ปอเท่านั้นที่รู้ว่าทำไม เขาเลือกที่จะบอกกับทุกคนว่าเขาอยู่ที่ห้องเก่าแล้วรู้สึกสะดวกสบายมากกว่า

“ลำบากหรือเปล่าที่ต้องใช้ห้องเดิมอยู่แบบนั้น”

“ไม่ลำบากครับ”

ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว คุณเอสเคยถามเขาแบบนั้นปอรู้และเข้าใจความรู้สึกของเจ้านายตัวเองทุกอย่าง ห้องที่เขาอยู่จะอย่างไรก็เคยเป็นห้องที่แคปและเอสเคยใช้ แม้จะนานจนแทบจะลืมแต่ห้องของแคปเขาไม่เคยเข้าไปเคลื่อนย้ายอะไรเลยออกเลย ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมโต๊ะอ่านหนังสือสองตัวที่ยังตั้งอยู่ข้างกันเสมอ เตียงใหญ่หลังนั้น หรือ แม้กระทั่งต้นพลูด่างริมระเบียงที่เขาต้องเข้าไปเติมน้ำให้เกือบทุกๆวันรวมถึงทำความสะอาดทุกอย่างให้อย่างสม่ำเสมอ

ตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งนั้นเอสเปลี่ยนไปเป็นคนล่ะคน เจ้านายเขาเย็นชาขึ้น รอยยิ้มที่มีเฉพาะริมฝีปาก รอยยิ้มการค้า ยิ้มเพื่องาน ยิ้มที่มีวัตถุประสงค์ หากแต่เขาไม่เคยยิ้มจากดวงตา ไม่มีรอยยิ้มจริงใจจากดวงตาคมคู่นั้นอีกแล้ว รอยยิ้มไร้เดียงสาของเด็กหนุ่มเมื่อวันวาน ราวกับว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นพรากความบริสุทธิ์ของรักแท้ในหัวใจเขาไปจนหมดสิ้น 

หลังประชุมเสร็จ ปอถือแฟ้มเดินตามหลังเจ้านายโดยมีพนักงานระดับล่างหอบแฟ้มงานอีกสองกองมาส่งไว้ที่โต๊ะเขาก่อนหน้าแล้ว 

“คุณเอสครับ บ่ายนี้คุณมีนัดทานข้าวกับคุณมินตรานะครับ”

“เหลือเวลาอีกกี่นาที”

“สามสิบนาทีครับ คุณมิ้นเธอบอกว่าจะมารับคุณที่นี่เอง”

คนฟังเพียงแค่พยักหน้ารับเบา ๆ หลังหย่อนตัวนั่งลงที่เก้าอี้ทำงานตัวใหญ่ แฟ้มขออนุมัติจากฝ่ายพัฒนาถูกส่งเข้ามาเป็นงานเร่งด่วนที่ถูกประทับตราด้านหน้าหมายเหตุเอาไว้ ปอเลื่อนส่งให้เจ้านายเขาพลิกเปิดดู ดวงตาคมกริบกวาดมองรายละเอียดอยู่สักพักค่อยเซ็นต์อนุมัติลงไป

“เดี๋ยวมึงออกไปกับกูด้วยหรือเปล่า”

“ไม่ได้ไปครับ”

“ทำไม”

“คุณเอสจะออกไปทานข้าวกับคู่หมั้น ผมไม่ควรออกไปด้วยครับ”

“มินตรายังเป็นแค่ว่าที่คู่หมั้น มึงก็รู้”

“ครับ ผมทราบดี”

“งั้นก็โทรบอกข้างล่างเอาไว้ กูกินที่ห้องรับรองได้”

หลังจากนั้นเขาถูกสายตาเย็นเยียบไล่ออกมา ปอรีบโค้งอย่างสุภาพก่อนถอนหายใจแรงๆหนึ่งเฮือกทิ้งตัวนั่งลงที่โต๊ะตัวเอง มองเอกสารที่กองพะเนินอยู่หน้าห้องพลางนึกย้อนไปถึงคืนวันหลายปีที่ผ่านมา เรื่องของเจ้านายของเขากับเพื่อนสนิทที่สุดของเขา

หลังเลิกรากับแคป เอสไม่ปล่อยตัวเองให้ว่างเลย เขาใช้เวลาตั้งหลักอยู่เกือบปี สำมะเลเทเมา ใช้ชีวิตติดอยู่กับเพื่อนฝูง วันๆมีแต่เรียนๆๆแล้วก็เรียน รถคันสวยมาจอดดักอยู่หน้าคณะเขาเป็นว่าเล่น จากที่เห็นทุกๆวันกลายเป็นเกือบจะทุกวัน อาทิตย์ละวัน เดือนล่ะวัน สองเดือนวัน สามเดือนวัน จนในที่สุด รถคันนั้นไม่เคยเฉียดผ่านมาที่คณะเกษตรอีกเลยพร้อม ๆ กับตัวเขาที่เริ่มกลับมาใช้ชีวิตเสเพลเหมือนเดิม

ผู้หญิงสำหรับเขาใช้แล้วทิ้งเมื่อเขาเบื่อ ไม่มีใครอยู่นานเกินสองเดือน ปอรู้และเห็นทุกอย่างของเจ้านาย เขาเคยเตือนไปแค่ครั้งเดียว หลังจากที่ได้สายตาคมกริบราวกับใบมีดโกนกลับมาเขาก็ไม่กล้าเอ่ยปากอีก

เอสไม่เคยถามเรื่องราวของแคปจากปากเขา เช่นกันกับแคปที่ไม่เคยเอ่ยปากถามเรื่องของเอสเช่นกัน มันคงเหมือนตะกอนที่ค่อยๆตกลงไปที่ก้นบ่อ ความเจ็บปวดค่อยๆจางหายไปจากภายนอกแต่ทว่ากลั่นและเก็บลงให้ลึกที่สุดในซอกหนึ่งของหัวใจ อดีตที่ถูกซ่อนเอาไว้ในหัวใจของคนสองคน ในตอนแรกเขายังเล่าเรื่องราวของเจ้านายให้เพื่อนสนิทฟังทุกครั้งที่ได้เจอ แต่พอเริ่มนานไปแคปที่ทำหน้าที่แค่ฟัง ก็ยังคงนิ่งเฉยไม่เคยสอบถามเรื่องราวอะไรเพิ่มเติม แคปนิ่งมากทั้งที่แววตามีแต่ความเจ็บปวด ไม่มีการถามไถ่อะไรเพิ่มเติม ทำตัวเป็นแค่ผู้ฟังที่ดีราวกับไม่ได้ยินสิ่งที่เขากำลังจะสื่อแววตาที่มีแต่ความเจ็บปวดเริ่มว่างเปล่าลงทีละเล็กวันละน้อย จนปอเริ่มรู้สึกว่ายิ่งฟังยิ่งจะรู้สึกแย่ลง เขาจับความรู้สึกของเพื่อนรักได้เสมอ หลังจากนั้นเขาจึงไม่เล่าอีก

และไม่ว่าเอสจะเปลี่ยนคู่ควงคนใหม่หลายต่อหลายคน น่าแปลกสำหรับแคปแล้วกลับไม่เคยตัดสินใจคบใครอีกเลยนับตั้งแต่วันนั้น ปอเห็นเพื่อนตัวเองมุมานะทำแต่งานอยู่ที่ไร่ อาร์เองก็บอกว่าแคปไม่เคยมองใครหน้าไหนเลย เห็นจะมีก็แต่แบงค์ที่ไปไหนมาไหนด้วยกันกับแคปเสมอ แต่เขาก็มั่นใจว่าความรู้สึกของแคปต่อแบงค์ไม่เหมือนกับความรู้สึกที่มีต่อเอสเจ้านายของเขา

หลังทำงานได้เพียงแค่สองปี เอสตอบรับคุณแม่ของเขาเรื่องรับตัวว่าที่คู่หมั้น เพียงแค่นายหญิงเอ่ยปากทาบทามไม่ได้คะยั้นคะยอ แต่ทว่าเอสกลับรับปากเธอง่ายๆไม่ไถ่ถามอะไรให้ยุ่งยาก ทั้งที่เธอเองก็บอกว่าหากมีใครอยู่ในใจก็ขอให้บอกแต่เอสกลับทำเพียงแค่ส่ายศีรษะแล้วยิ้มบางๆให้เธอเท่านั้น

ปอเคยอยากจะถามเจ้านายเขาเหลือเกิน ทั้งที่ทุกๆวันยังนั่งดูวีดีโอวันคริสมาสต์เมื่อห้าปีที่แล้ว เป็นภาพที่แคปอุ้มคูเปอร์ไว้ที่ตัก จับอุ้งเท้ามันขึ้นมาโบกแล้วส่งยิ้มให้กล้องพร้อมคำพูดคำจากับคนถ่ายด้วยสีหน้าเปี่ยมความสุข

ถึงขนาดนั้นเอสยังตกปากรับคำยอมรับเรื่องคุณมินตรา....ปออยากจะถามว่าหัวใจเจ้านายเขายังมีเหลือให้เพื่อนเขาอีกหรือไม่

“หัวใจกู ตายไปนานแล้ว”

นั่นคือครั้งเดียวที่เขาเคยได้ยินหลังจากผู้จัดการเลาจน์ของทางโรงแรมโทรเข้ามาบอกเขาว่า เจ้านายเขาเมาพับรออยู่ ปอฟังคนเมาคอพับครางเครือคำพูดที่ฟังไม่ได้ศัพท์หากแต่เขาได้ยินเต็มๆสองหูชัดเจน ใบหน้าที่มีแต่ความอ่อนแอในตอนเมามายหากแต่ดูแข็งแกร่ง เย็นชา และอ่านยากมาก ราวกับคนไร้ความรู้สึกในเวลาที่ใช้ชีวิตตามปกติหลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่

วันเวลาที่ผ่านมาหล่อหลอมเจ้านายของเขาด้วยความทุกข์ระทมขนาดไหน หนักหนาสาหัสแค่ไหน คุณเอสถึงได้เปลี่ยนแปลงไปได้ขนาดนี้

“เหม่อเชียวนะปรเมธ ฉันมาก่อนเวลาสิบนาทีใช่หรือเปล่า”

“สวัสดีครับคุณมินตรา”

ปอรีบลุกขึ้นทำความเคารพว่าที่คู่หมั้นของเจ้านายเขา คุณมินตราเป็นผู้หญิงที่สวยมาก ผิวขาวจัด ใบหน้าอ่อนหวานสวยซึ้ง ผมสีน้ำตาลเข้มดัดเป็นลอนยาวเกือบถึงบั้นเอว ชุดเดรสสั้นสีม่วงเข้มยิ่งเน้นขับเรียวขาสวยงามให้ผิวขาวๆผุดผ่องยิ่งขึ้นไปอีก ยังไม่นับว่าคอเสื้อคว้านลึกเปิดเผยให้เห็นเนินหน้าอกนวลเนียนรำไร ไฮโซสาวชั้นสูง ดีกรีนักเรียนนอกแล้วยังพ่วงด้วยตำแหน่งนางแบบหุ่นสวยแห่งปี เพรียบพร้อมไปทุกกระเบียดนิ้ว

เธอเจอเอสเมื่อปีที่แล้วในงานราตรีการกุศลแห่งหนึ่ง ก่อนหน้านั้นเคยมาแคสเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับผลิตภัณฑ์ไลน์หนึ่งในเครือรัชชา ดูเหมือนจะติดสัญญาอะไรบางอย่างทำให้เธอต้องล่าถอยออกไปทั้งที่อยากใกล้ชิดนายใหญ่ใจแทบขาด พอคุยด้วยถึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วคุณแม่สองคนเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน เธอกับเจ้านายของเขาควงกันราวสองเดือนเศษก่อนที่เอสจะรับเธอเป็นว่าที่คู่หมั้นแบบฟ้าผ่า...แต่ยังไม่ได้หมั้นหมายจริงจังมาจนถึงตอนนี้

“คบแค่คนเดียวไปเลยก็ดี เปลี่ยนบ่อยๆบางทีมันก็น่าเบื่อ”

“คุณมินตราเหมาะสมกับคุณมากครับ”

“งั้นเหรอ”

ไม่มีแววตายินดียินร้ายสิ่งใด ในตอนนั้นคุณเอสก็แค่จ้องที่หน้าจอแอลซีดีใหญ่แน่นิ่ง แน่นอนว่าภาพที่เลขาอย่างเขาเห็นมาตลอดคือภาพเพื่อนสนิทของเขาเองยกอุ้งเท้าเจ้าคูเปอร์โบกไปโบกมาแล้วส่งยิ้มให้กับกล้อง

“คุณปรเมท!”เสียงเรียกชื่อดังปลุกสติปอออกจาภวังค์ความคิดถึงเรื่องในอดีต เขารีบเกลื่อนสีหน้าแล้วกล่าวขอโทษเธอที่แสดงกิริยาเหม่อลอย

“บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้เรียกฉันว่าคุณมินต์เฉยๆก็ได้” คนฟังส่งรอยยิ้มบาง ๆ ออกไปก่อนที่เขาจะเดินออกจากโต๊ะไปเคาะเรียกเจ้านายบอกว่าคุณมินตรามาถึงแล้ว

แต่ทว่าไม่มีเสียงตอบรับ ในห้องหรูเงียบกริบ ปอจึงบอกให้เธอรอที่โซฟารับแขกด้านนอกสักครู่ เอสเป็นแบบนี้บ่อยเขาที่เป็นเลขารู้หน้าที่ดี จำเป็นต้องเข้าไปตรวจเช็คให้แน่ใจเรื่องทีวีจอใหญ่ติดผนังว่าไม่ได้ฉายไฟล์วีดีโอไฟล์นั้นค้างไว้แล้วเจ้าของห้องก็หลับไป

“คุณเอสครับ คุณมินตรามาแล้วครับให้ผมเชิญเธอเข้ามาเลยไหม”

“ไม่ต้อง” เอสดูเหมือนสะดุ้งนิดหน่อย เขาไม่ได้ดูวีดีโออยู่หากแต่นั่งเปิดแฟ้มอ่านรายงานต่าง ๆ ของเขา ร่างสูงใหญ่คว้าเอาโทรศัพท์มือถือที่โต๊ะก่อนเดินออกไปด้านนอก พอสาวสวยเห็นผู้ชายของตัวเองเธอก็ฉีกยิ้มหวานฉ่ำเข้ามาควางเอาแขนเขาเดินไปที่ลิฟต์ด้วยกัน

“เอสไม่พามิ้นต์ออกไปทานข้างนอกเหรอคะ” เธออ้อน

“ไม่ชอบอาหารที่นี่เหรอ” เขาถามเรียบ ๆ ใบหน้ายังคงนิ่งเฉยดูยากไม่รู้ความรู้สึกคนพูดหากแต่เธอชินแล้ว

“เปล่าค่ะ ห้องรับรองของรัชชาอาหารอร่อยทุกเมนูอยู่แล้ว มินต์ทานมาตลอดติดใจเลยล่ะ”

“แม่ครัวคงดีใจ ถ้าได้ยินคำพูดของคุณ”

“แล้วเอสล่ะคะดีใจหรือเปล่าที่มินต์มาทานข้าวด้วยเกือบทุกวันแบบนี้ ไม่รำคาญใช่ไหมคะ”

“ไม่หรอกครับ” เสียงทุ้มตอบเบา ๆ ก่อนมองเธอตักอาหารใส่จานวางให้เขา มินตราเป็นผู้หญิงสวยที่ช่างเอาอกเอาใจ พูดเพราะ และไม่เคยทำตัวเรื่องมาก เธอจะโทรติดต่อกับปอเพื่อถามไถ่เรื่องเวลาว่างของเอสแล้วจะโทรมานัดล่วงหน้าเสมอ ถ้าหากเอสบอกว่าไม่ว่างเธอก็จะไม่เซ้าซี้ เธอเข้ากับคุณแม่ของเขาได้ คุยถูกคอกับพี่แอมป์และน้องอุ้ม  เช่นกันกับทุกคนในบ้านของเธอที่รู้จักเอสเป็นอย่างดี

“อาทิตย์หน้ามินต์มีถ่ายแบบที่ภูเก็ตค่ะ เอสไปเที่ยวด้วยไหม” เธอถามทีเล่นทีจริงเมื่อตอนที่ควงแขนชายหนุ่มขึ้นลิฟต์ไปที่ห้องทำงานหลังทานข้าวกันเสร็จ

“อยากให้ผมไปด้วยเหรอ”

“อยากสิคะมากๆเลยด้วย ถ้าเอสบอกว่าจะไปมินต์จะได้แคนเซิ่ลเที่ยวบินของทีมงาน เราไปกันแบบส่วนตัวน่าจะดีกว่า”

“.................” เธอถอดเสื้อตัวนอกให้เขาอย่างเอาใจ ค่อยๆวางพาดไว้ที่โซฟาให้อย่างพิถีพิถันก่อนที่ร่างกายสวยงามจะทิ้งตัวนั่งลงข้าง ๆ ยกเรียวขาขึ้นไขว่ห้างแล้วเอนซบลงที่ไหล่คนรักของเธอ เอสคว้าเอากล่องบุหรี่ขึ้นมาถือไว้หนึ่งตัว เธอรีบหยิบไฟแช็คขึ้นมาจุดให้อย่างรู้งาน

“สำหรับเอสแล้วมินต์พูดจริงเสมอค่ะ เอสก็รู้อยู่แล้วว่ามินต์ถูกใจเอสตั้งแต่ครั้งแรกที่เราเจอกันในงานนั่น ไม่เคยคิดว่าเอสจะตอบรับหมั้นแบบจริงจัง แค่ได้ควงไม่กี่วันมินต์ก็ปลื้มแล้ว โชคดีที่คุณแม่รู้จักกับคุณป้าหญิง เอสตอบรับมินต์เป็นว่าที่คู่หมั้นแบบนี้รู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่สุดเลย”ลูกชายคนเดียวของเจ้าสัวที่รวยที่สุดในประเทศไทย ไม่เรียกว่าโชคดีไม่รู้เรียกว่าอะไรได้แล้ว

“............”

“ว่าไงคะ เอสจะไปกับมินต์ได้หรือเปล่า”

“อาทิตย์หน้าใช่ไหม?” เขาพึมพำคล้ายคนทำท่านึกให้เธอมีความหวังขึ้นมานิดๆก่อนจะดับบุหรี่ลง “ผมคิดว่าอาจจะไม่ว่าง เอาไว้จะโทรหาคุณแทน” ใบหน้าหวานปรากฏแววผิดหวังเพียงแค่วูบเดียวเท่านั้น เธอเกลื่อนมันไว้จนสนิท

“ไม่เป็นไรค่ะมินต์เข้าใจ เอสเหนื่อยไหมคะ ได้ยินปอเขาบอกว่าคุณมีประชุมตั้งแต่เช้า มินต์นวดให้นะ” เธอว่าจบไม่รอให้อนุญาต มือนุ่มนิ่มนวดลงที่ไหล่แกร่งให้ทันที กลิ่นมินต์ของบุหรี่กับกลิ่นน้ำหอมอ่อนจางจากร่างกายกำยำทำเอาเธอแทบคลั่งอดไม่ได้ที่จะเอื้อมริมฝีปากสวยกดจูบลงที่แก้มเขาเบา ๆ  เอสยังคงทำสีหน้าเรียบเฉยไม่ได้ยินดียินร้ายหากแต่เธอชินกับสีหน้าและแววตาแบบนี้ของเขาเสียแล้ว

บางทีเธอก็อยากรู้...เธอไม่ใช่คนโง่ที่จะไม่รู้เลยว่า คนที่อยู่ในใจคนรักของเธอเป็นใครกัน คนที่ได้หัวใจผู้ชายเย็นชาคนนี้ไปแล้วขว้างทิ้งอย่างไม่แยแส สุดท้ายแล้วเขาถึงได้กลายเป็นคนเย็นชืดราวกับก้อนหิน คืนไหนที่เธอได้นอนกับเขา ถ้าเขาดื่มหนักเขาจะทั้งร้อนแรงทั้งสุดแสนเสน่หา แต่ทว่าในดวงตาคมกริบคู่นั้นมองจ้องเธอราวกับว่าจะมองให้เห็นถึงใครอีกคน ใครคนอื่น...ใครสักคนที่เธอไม่เคยได้รู้เลยว่าคนๆนั้นคือใคร







ตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาไร่แห่งรักถือว่าเป็นสถานที่ๆวุ่นวายและยุ่งเหยิงมาก พนักงานแต่ละคนหัวหมุนอยู่กับการต้อนรับคณะทัวร์ต่างชาติที่มาลงชิมผลไม้สดที่ไร่ ด้วยสภาพอากาศที่เริ่มย่างเข้าสู่ฤดูฝนแล้วช่วงอาทิตย์นี้จึงถือว่าลูกค้าเริ่มห่าง วิถีการทำนุบำรุงรักษาหน้าดินต้องเริ่มทำกันใหม่อีกครั้ง แคปกับปอลุยงานลงสวนหน้าดำคร่ำเครียดกันเป็นแถว ขนาดแบงค์ที่ว่ามาหาอาทิตย์ละสองสามทียังต้องแบกกระสอบปุ๋ยช่วยแคป มือไม้เสื้อผ้าเปรอะเปื้อนไปหมด พอค่ำเสร็จงานโก้เองก็เพิ่งเคลียร์คนหมดจากร้านกาแฟมองเห็นลูกชายตัวเองกับเพื่อนๆเพิ่งขับรถกอล์ฟออกมาจากท้ายไรเขาก็อดจะสงสารไม่ได้

“พาย วันนี้ทำอะไรให้เด็กๆทานกันน่ะ” คุณพ่อยังหนุ่มอยู่มากเดินเข้าไปที่หลังบ้าน พ่อครัวอย่างพายจึงชี้บอกเป็นอาหารที่เด็กๆแต่ล่ะคนชอบทั้งนั้น มีแกงส้มกุ้งสด ชะอมชุบไข่ ทอดมันปลาอินทรีย์ ปลากระพงเปรี้ยวหวานและแกงจืดเต้าหู้หมูสับของโปรดของแคป โก้เปิดฝาชีที่โต๊ะอาหารดูแล้วถึงกับซึ้งใจ

“ขอบคุณมากนะพาย” เขาตบลงเบา ๆ ที่ไหล่พายหนึ่งทีพลางกล่าวขอบคุณ นึกไปถึงเมื่อตอนที่จะปิดร้านที่กรุงเทพโก้ให้โอกาสพายได้ออกไปทำธุรกิจด้วยตัวเองไม่จำเป็นต้องตามเขามาอยู่ถึงที่ระยองนี่ ฟี่ถึงกับจะจ่ายเงินให้เป็นทุนรอนก้อนเล็กๆหากแต่พายเพียงแค่ส่ายหน้าแล้วบอกเขาว่าถึงลำบากยังไงก็ยังอยากตามมารับใช้อยู่ที่ไร่ด้วย อย่างน้อยได้ดูแลแคปกับลาเต้ช่วยโก้กับฟี่ เผลอแปปเดียวจวนจะห้าปีแล้วนับจากวันนั้น

“เฮียโก้ครับอาฟี่โทรมาบอกว่าคืนนี้จะกลับมาถึงดึก บอกให้พ่อไม่ต้องรอพรุ่งนี้อาฟี่ไม่ทำงานจะอยู่ไร่ได้ทั้งวัน” แคปตะโกนบอกในตอนที่เขากำลังถอดรองเท้าบูตยางที่ใส่เข้าสวนออกวางไว้ข้างกันกับของเจ้าแบงค์ อาร์รีบมาหยิบทั้งหมดที่กองอยู่ไปล้างน้ำแล้วผึ่งลมเอาไว้

“โทรมาตอนไหนน่ะแคป” โก้คดข้าวรอเด็กๆแล้วใช้สายตาบอกทั้งหมดไปล้างไม้ล้างมือมานั่งกินข้าวด้วยกัน พายเองก็ล้างไม้ล้างมือด้วย ตอนนี้เขากลายเป็นพนักงานประจำไปแล้วพาภรรยามาอยู่ด้วย แต่เมียพายไม่ยอมมานั่งร่วมโต๊ะเพราะว่าเกรงใจเฮียโก้มาก สองคนนั้นจึงทานที่โต๊ะเล็กหลังบ้านแทน ฟี่สร้างบ้านสวนหลังพอเหมาะไว้ให้พายกับภรรยาอยู่ถัดจากบ้านสวนหลังใหญ่ของพวกเขา

“เมื่อกี้ครับ บอกว่าโทรเข้าหาเฮียโก้ไม่รับ แถมโทรเข้าร้านสายก็ไม่ว่างอีก ผมโดนด่าจนหูชาเลยเหอะ”

“อ้าวเหรอ”

หลังอาหารเย็นเด็กสามคนนั่งคุยเรื่องสัพเพเหระกันอยู่หน้าบ้านพักหลังเล็กๆของอาร์ซึ่งก็อยู่ถัดจากบ้านของพายนั่นแหละ มีต้นเงาะกับชมพู่อยู่ด้านข้างเมื่อไหร่ที่เงาะออกผลสีแดง ๆ จนเต็มต้น มันจะกลายเป็นจุดสนใจดึงดูดสายตานักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก หลายคนมักมีคำถามว่านั่นคือบ้านของใครแล้วก็ขอถ่ายรูปเก็บไว้เพราะว่ามันเป็นบ้านสำเร็จสีฟ้าที่ดูน่ารักกระทัดรัดผูกไม้ประดับแขวนอยู่รอบระเบียงอีกทั้งตัวบ้านถูกรายล้อมด้วยต้นผลไม้สีแดงสด ในตอนนั้นพออาฟี่รู้ว่าอาร์จะมาอยู่ช่วยงานแคปกับโก้ที่นี่แบบกินนอน ฟี่จึงสั่งให้ลูกน้องที่รู้จักส่งบ้านน้อยหลังนี้มาให้ เจ้าอาร์ดีใจจนหน้าแดงตัวแดงไปหมดตัดสินใจจะทำงานอยู่ที่นี่ไปจนวันตาย มันว่างั้น

“แล้วเอาไง คืนนี้จะนอนไหนมึงอ่ะ”

“ทำไมล่ะ” แคปหันไปมองคนถาม อาร์มันหนีเข้าไปอาบน้ำแล้ว ร่ำๆบอกว่าเหนื่อยมาทั้งวันไม่ไหวจะคุยเลยปล่อยเขากับแบงค์นั่งกินลมชมจันทร์คุยกันต่อแบบเรื่อยเปื่อย

“เมื่อรืนกูต้องเข้ากรุงเทพแต่เช้านะ พี่หนึ่งมีงานด่วนให้ช่วย คิดว่ากูต้องเข้าไปเตรียมงานกับแกก่อน อาจจะเต็มวัน”

“เมื่อรืน?” แคปทำท่านึกๆ เดี๋ยวนี้หน้าที่นั่งเป็นเพื่อนเจ้าแบงค์เข้ากรุงไปทำงานตกเป็นของเขาไปโดยปริยาย มันบอกแลกกับเงินเดือนที่ไม่ต้องจ่ายแต่ได้ตัวคนมาช่วยงานที่สวนทุกวันที่ว่าง แถมด้วยผลไม้จากคุณนายแม่ของมันอีกไม่รู้กี่ร้อยเข่งต่อปี ยิ่งช่วงท่องเที่ยวแคปยิ่งเกรงใจใหญ่

“งั้นพรุ่งนี้กูไปนอนบ้านมึงก็ได้ แล้ววันต่อมาค่อยออกกันแต่เช้าดีไหมวะ”

“ก็ดีนะ พรุ่งนี้น้องโบว์กลับบ้านมึงจะได้คุยกับน้องด้วย เห็นถามถึงพี่แคปอยู่วันก่อน” โบว์เป็นน้องสาวคนเดียวของแบงค์ หน้าตาน่ารัก นิสัยเรียบร้อยใจเย็น เธอเรียนอยู่ปีสองมหาลัยเดียวกับพวกเขาสมัยก่อน คณะบริหารการบัญชี

“น้องโบว์มีแฟนยังวะ” ไม่รู้อะไรดลใจให้แคปถามขึ้นมา อาร์ที่อาบน้ำเสร็จเดินเช็ดหัวลงมานั่งคุยด้วยต่อ มันอยู่ในชุดเตรียมนอนแล้วเรียบร้อยโรยแป้งเด็กจนพุงขาววอกไปหมด ทันได้ยินคำถามของแคปเข้าแบบจัง ๆ

“อะไรวะ นี่มึงอย่าบอกว่าสนใจน้องโบว์คนสวยนะเว้ย มึงดูหน้าไอ้เหี้ยคนถามหน่อยสิวะ พี่ชายเพียรจีบมึงสี่ห้าปี อย่าบอกว่าสนใจน้องสาวมันนะเว้ย เป็นกูผูกคอตายอ่ะบอกเลย”

“ปากหมานะมึงไอ้อาร์” แคปด่าออกมาหลังจากตบกะโหลกเพื่อนตัวเองไปไม่เบาหนึ่งที มองหน้าแบงค์มันก็เจื่อนลงอย่างเจ้าอาร์ว่าจริง ๆ  “กูก็แค่ถาม น้องเขาเรียบร้อยน่ารัก ไม่อยากให้โดนหลอก ถ้าเจอคนดีกูก็ดีใจด้วยหรอกน่า” แคปรีบต่อเหตุผลของคำถามเขาทันที

“จริงดิ กูไม่เห็นมึงสนใจถามเรื่องแบบนี้กับใครตั้งแต่มึงเลิกกับ...” อาร์หยุดคำพูดไว้แทบไม่ทันเพราะว่าเจอฝ่ามือใหญ่ของแบงค์อุดปากแบบไม่ให้ตั้งตัว พอตั้งสติได้ถึงได้รู้ว่าตัวเองทำให้เพื่อนสนิทหน้าเสียลงแค่ไหน แต่แคปก็ยกมือบอกว่าไม่เป็นไรเรื่องผ่านมานานจนจำอะไรไม่ได้แล้ว

“ไปนอนเหอะว่ะดึกแล้ว มึงจะกลับเลยป่ะหรือจะค้างที่นี่”แคปว่าจบแล้วลุกขึ้น แบงค์เองก็ลุกด้วย อาร์เดินออกมาส่งสองคนถึงหน้าต้นเงาะหาวหวอดบอกไม่ไหวขอเข้านอนก่อน แบงค์กับแคปจึงเดินกลับบ้านใหญ่ด้วยกัน

“ค้างที่นี่ได้ป่ะวะ ขี้เกียจขับรถกลับแล้วกินอิ่มกูก็ง่วงเหมือนกัน”

“เอาดิ ห้องมึงก็มีเกรงใจใครวะ” ต้งแต่แบงค์เรียนจบแล้วออกมา เขาช่วยงานที่ไร่ตั้งแต่แรกเริ่มก่อตั้งเป็นเรี่ยวเป็นแรงพอกันกับอาร์จนโก้ถึงกับจัดห้องหับไว้ให้เขาข้าง ๆ ห้องของเฮียเต้ ตอนแรกถ้าหากว่าแบงค์ยอมอยู่ช่วยงานเต็มตัวแบบอาร์โก้ยังบอกจะจ่ายเงินเดือนให้แล้วฟี่จะหาบ้านหลังเล็กขนาดเท่าของอาร์มาให้ด้วยหากแต่แบงค์บอกว่าขอแค่ห้องเล็กๆก็พอ เพราะบ้านเขาเองก็อยู่ไม่ไกลจากสวนนี้ อาจจะแค่แวะมาค้างเป็นครั้งคราว

“อาฟี่ครับ ผมไปนะบอกเฮียโก้ด้วย”

ในตอนบ่ายแก่ๆของวันถัดมาแคปสวมรองเท้ากีฬาอยู่หน้าบ้านกระโดดโหยง ๆ บอกคุณอาของเขาที่นอนหมดสภาพอยู่บนโซฟายาวหน้าบ้าน เมื่อคืนอาฟี่บอกจะกลับใช่ไหม แต่ไม่ใช่หรอกงานด่วนมากจนต้องโทรมาบอกเฮียโก้ขอเลื่อนกำหนดการ กลายเป็นว่าเพิ่งจะถึงบ้านก็เย็นวันต่อมาแล้วก็อย่างที่เห็นนอนฟุบอยู่ทั้งเสื้อผ้าราคาแพงยับยู่ยี่แบบเนี๊ยะ

“อย่าลืมล่ะอาฟี่ คืนนี้ผมค้างบ้านคุณนายแม่แบงค์เลยนะครับ”

“รู้แล้วน่า มึงจะพูดอีกนานไหมวะ จะไปไหนรีบไปเลยไป” ฟี่เหลืออดยกตัวขึ้นมาตวัดสายตามองก่อนฟุบกลับไปนอนคว่ำหน้าเหมือนเดิม แคปออกไปขึ้นรถที่ขับออกไปจอดรอหน้าทางเข้าไร่เรียบร้อย มองเห็นว่ามีลูกค้าเข้าร้านซื้อกาแฟค่อนข้างแน่น ส่วนเจ้าอาร์พาลูกค้าหนึ่งคันรถเข้าสวนขณะที่เฮียโก้จัดการเรื่องงานที่ร้าน แคปจึงเข้าไปบอกนิดหน่อยโก้รีบรั้งไว้บอกให้เอากาแฟเย็นไปฝากบ้านนั้นด้วยเขาจึงต้องนั่งรอจนแบงค์เข้ามาตามแล้วรับเอากระติกกาแฟเย็นกลับไปฝากคุณแม่ตัวเอง

“ขอบคุณครับเฮียโก้” เขาเรียกเฮียโก้ตามที่แคปเรียก โก้เตือนเขาบอกห้ามขับรถเร็วถ้าง่วงให้จอดแวะนอนกันเลยไม่ต้องฝืนถ่างตาขับต่อและถ้าเหนื่อยมากให้เปลี่ยนมือกันกับแคป แบงค์พยักหน้ารับมั่นเหมาะ สองคนออกจากไร่มาสักพักรถเชฟฯสีตะกั่วคันสวยที่แบงค์ถอยมาเมื่อสามปีที่แล้วตั้งแต่ต้องเทียวกรุงเทพระยองเป็นว่าเล่นก็มาจอดเทียบเข้าซองอยู่ที่บ้านสวนติดชายทะเล..บ้านของครอบครัวเขาเอง

“พี่แบงค์มาแล้วเหรอ” เสียงใสของสาวสวยดังมาก่อนตัว พอเห็นว่าพี่ชายไม่ได้มาแค่คนเดียวแต่มีอีกคนเปิดประตูลงมาด้วยเธอฉีกยิ้มจนแก้มปริ

“แม่! พี่แคปก็มาล่ะแม่ พ่อคะพี่แคปมาด้วยล่ะ”

“ใจเย็นๆน้องโบว์ พี่เขามาแล้วไม่กลับง่ายๆหรอกอย่าวิ่งแบบนั้นสิเรานี่ ผู้หญิงอะไรแก่นแก้วจริงๆ” นี่เสียงคุณนายแม่ปรามออกมาจากด้านใน เธอวิ่งออกมาถึงตัวพี่ชายพอดีหากแต่ดิ่งไปหาแคปก่อน

“พี่แคปมาเร็วๆค่ะ แม่ทำข้าวไว้รอแล้วพี่วันนี้พ่อกลับด้วยนะ ทานข้าวพร้อมกันเลยเร็วเร๊ว”

“พี่ชายแกยืนอยู่นี่ยัยโบว์” แบงค์เดินเข้ามาผลักหัวน้องสาวตัวเองหนึ่งทีก่อนดึงมือเพรียวบางออกจากแขนแคปแต่โบว์ทำหน้าเชิดไม่สนใจ เธอจึงโดนมือพี่ชายโบกใส่อีกหนึ่งที

“อย่าดุน้องสิวะมึงนี่” แคปว่าใส่ห้วนๆแล้วไล่ให้แบงค์เดินเข้าบ้านไปก่อนเลย น้องโบว์แจกยิ้มขำๆเห็นพี่ตัวเองโดนเข้าจนได้

“ทำไมพี่แคปมาได้อ่ะ” เธอรับกระเป๋าเป้จากแคปบอกจะถือให้ แต่แคปส่ายหน้าบอกว่ามันหนักเขาถือเอง “ให้โบว์ถือให้” เธอทำหน้าแบบยังไงก็ไม่ยอม แคปเลยปล่อยให้เธอถือ ที่จริงมันก็ไม่ได้หนักอะไรแค่เสื้อผ้าสองชุด หัวเล็กซุกลงที่แขนอ้อนเหมือนแมว แคปจึงลูบศีรษะเธอเบา ๆ...โบว์ก็เหมือนน้องสาวของเขา ให้ความรู้สึกของความเป็นน้อง ตัวเล็กผมยาวผิวขาวหน้าตาน่ารักแก่นแก้วนิดๆ หลายปีมาแล้วตั้งแต่เขาสนิทกับครอบครัวของแบงค์ น้องโบว์ก็พลอยติดเขาไปด้วย ยิ่งช่วงที่เธอเตรียมตัวสอบเข้าแคปเป็นติวเตอร์ให้หลายวิชาอยู่นับแต่นั้นเธอก็ติดเขายิ่งกว่าพี่ชายของตัวเอง

เย็นวันนั้นหลังจากนั่งทานข้าวพูดคุยกับคุณพ่อแบงค์ที่นานๆทีจะกลับมานอนค้างที่บ้าน ท่านเป็นวิศวกรประจำอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมแถบชายทะเลภาคตะวันออกสองแห่ง เทียวไปตรวจคุณภาพโรงงานในเครือรัชชาตามอำเภอนิคมต่างๆ ใช่แล้วคุณฟังไม่ผิด คุณพ่อของแบงค์ทำงานให้กับรัชชากรุ๊ป เป็นวิศวกรระดับสูงถึงได้มีรายได้และสวัสดิการที่มั่นคงขนาดนี้ แต่นั่นก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับแคปเพราะใครหลายคนที่เขารู้จักก็ทำงานให้กับรัชชากรุ๊ปเหมือนกันไม่เห็นแปลก กระทั่งเพื่อนสนิทที่สุดของเขาอย่างปอ..ก็ยังทำงานอยู่ที่ตึกใหญ่นั่น

“พี่แคป ปลาหมึกไข่เค็มวันนี้อร่อยไหมคะโบว์ตั้งใจผัดโดยเฉพาะเลยนะ เปิดหนังสือเลย”
หลังทานข้าวกันเสร็จ ผู้ใหญ่เข้าเรือนใหญ่กันไปแล้ว ยังเหลือแต่เด็กๆที่นั่งชมวิวทะเลอยู่ระเบียงไม้ที่ยื่นออกมาจากตัวบ้านสวน บรรยากาศดีๆมองขึ้นไปบนท้องฟ้ายังมีดวงจันทร์สวยงามกับหมู่ดาวทอประกายระยับ

“โบว์ทำเองเหรอครับ”แคปหันไปถามคนข้าง ๆ เธอพยักหน้าหงึกๆ “ใช่ค่ะ อร่อยไหมพี่” น้องโบว์ขยับมานั่งขัดสมาธิใกล้เข้าไปอีก

“ถ้าตอบว่าไม่อร่อยล่ะ” แคปแกล้ง เธอหน้างอลงทันที “ไม่อร่อยได้ยังไง โบว์ให้แม่ชิมแม่บอกว่าอร่อยนี่นา”

“อืม...งั้นจะตอบยังไงดีล่ะเนี่ย” แคปแกล้งทำท่าคิดหนัก จริงๆมันอร่อยอยู่หรอก แต่เขาก็แค่อยากตอบวกวนไปแค่นั้นเอง เขาไม่เคยมีน้องสาวเห็นเธอทำหน้างอๆแล้วก็รู้สึกแปลกๆดี

“พี่แคปนิสัยไม่ดี มันอร่อยชัดๆโบว์เห็นพี่กินเอากินเอา โบว์ตักให้เท่าไหร่พี่ก็กินหมดเลยเนาะพี่แบงค์เนาะ” เธอหาพรรคพวก แบงค์ที่นั่งอยู่ด้วยถึงกับส่ายหัวปรายสายตามองดูแคปว่าจะตอบยังไง

“นี่ตกลงว่าอร่อยป่ะเนี่ย โบว์ชักใจเสียแล้วนะพี่แคปพี่แบงค์”

“อร่อยแล้วจะทำไม ไม่อร่อยแล้วจะทำไม”

“พี่แบงค์พูดให้กำลังใจน้องนุ่งหน่อยเหอะ”

“ก็แล้วมันยังไงล่ะ พูดอย่างกับกำลังหัดไว้จะไปผัดให้สามีในอนาคตกินหรือไงถึงได้ให้พวกพี่เป็นหนูทดลองก่อนเนี่ย”

“เฮ้ย! พี่แบงค์รู้ได้ไงเนี่ย” เธอลุกพรวดขึ้นหน้าแดงเถือก แคปเงยหน้ามองก่อนสบตากับแบงค์แล้วก็ขำ เห็นน้องโบว์เป็นแบบนี้เธอไม่ได้รักชอบเขาในเชิงชู้สาวอะไรหรอก โบว์เห็นเขาเป็นพี่ชายแสนดีคนหนึ่งเท่านั้น แคปดึงมือเธอบอกนั่งลงมาไม่ต้องอายมีอะไรก็คุยมาเลย พี่ชายสองคนพร้อมรับฟัง

“แสดงว่ามีคนโชคร้ายคนนั้นจริงๆแล้วล่ะสิ” ไอ้แบงค์ก็แกล้งน้องเข้าไปอีก เธอที่กำลังจะพูดอยู่แล้วเชียวทำท่าเหมือนคิดหนักขึ้นอีกแคปจึงต้องตะล่อม “ใครน๊ามาชิงหัวใจน้องสาวพี่ไปได้ จากเด็กมอห้าตัวเล็กๆเดี๋ยวนี้โตเป็นสาวถึงขนาดมีแฟนเป็นตัวเป็นตนแล้วหรือไง”

“พี่แคปอย่ามาแซวโบว์นะ ยังไม่ใช่แฟนหรอกก็แค่..ยังดูๆกันไปก่อน”

“ดูอะไรกันไปก่อน แกไปเปิดอะไรให้เขาดูก่อนกันล่ะยัยโบว์” นี่ปากไอ้แบงค์

“พี่แบงค์อ้ะ!”เธอฟาดผั๊วะลงกลางหลังพี่ชายแก้เขิน แบงค์มันจุกหน้าเขียวอื๋อเลย

“มึงก็ไปแกล้งน้อง”แคปลูบๆให้ แต่แรงไปนิดคนโดนปลอบยิ่งทำหน้าแหยงขึ้นไปอีก 

“ก็มันน่าแกล้งนี่หว่า มึงดูหน้ามันดิ แล้วนี่แม่กับพ่อรู้ยัง”

“ยังเหอะ ใครจะไปกล้าบอก ให้โบว์มั่นใจก่อนสิ” ถ้าแคปมองไม่ผิดเธอบิดไปบิดมาจนมือจะหักอยู่แล้ว แถมยังเบียดเข้ามาชิดเขาแบบสุดๆจนแคปต้องขยับออกมาอีกนิด เขินอะไรนักหนาวะ

“นี่ตกลงน้องโบว์มีจริงๆแล้วใช่ป่ะเนี่ย” เขาถามจริงจัง เธอจึงพยักหน้าฝืดๆอายๆ แคปเผลอยิ้มออกมาเพราะว่าท่าทางไร้เดียงสาของน้อง ขณะที่แบงค์เหน็บน้องตัวเองขึ้นมาลอย ๆ “เหอะ เด็กสมัยนี้เร็วกันจริงจริ๊ง”  เจอแคปผลักหัวไปอย่างแรง “มึงมีสิทธิ์พูดหรือไง ปีสองมึงมีแฟนมากี่คนแล้วล่ะ”

“แต่โบว์มันผู้หญิงน่ะสิ ก็แค่ห่วงตามประสาพี่ชายที่แสนดีล่ะมั้งนะ”

เสียงโทรศัพท์มือถือของโบว์ดังขึ้นขัดจังหวะการคุย เธอล้วงออกมาดูหน้าจอจากนั้นแก้มที่ขึ้นสีอยู่แล้วกลับระเรื่อขึ้นอีกจนดูน่ารักน่าชัง พี่ชายสองคนข้าง ๆ เห็นก็รู้ทันที น่าจะเป็นไอ้คนที่พวกเขากำลังพูดถึงโทรเข้ามา เพราะเธอชี้ไม้ชี้มือใส่โทรศัพท์แล้วเดินแยกไปคุยอีกฝากเลยโน่น แคปส่งเธอด้วยสายตาแล้วค่อยหันกลับมาหาคนข้าง ๆ ที่นั่งหน้านิ่งๆมองทะเลสีดำมืดอยู่

“หึ กลัวน้องโบว์จะเจอคนแบบมึงหรือไงวะ”

“ถ้าไม่เจอคนเลวๆก็คงจะดีแหละ”

“อย่าคิดมากสิวะ น้องมึงเป็นเด็กดีต้องเจอแต่สิ่งดีๆแน่อยู่แล้ว”

แบงค์หันมายกมุมปากขึ้นนิดๆ แคปพยักหน้าให้แล้วตบไหล่เพื่อนตัวเองเบา ๆ สองสามทีก่อนสายตาสองคู่จะมองลงไปที่น้องสาวตัวเล็กตอนนี้ยืนคุยกับใครสักคนม้วนต้วน


เช้าตรู่วันต่อมาแคปถูกแบงค์เคาะปลุกตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เพราะว่างานด่วนที่สถานีวิทยุคนขับอย่างเขาจึงต้องออกจากบ้านแต่เช้ามืดขนาดนี้ หันมองคนข้าง ๆ ที่นั่งสัปหงกตั้งแต่ขึ้นรถก่อนเอื้อมไปดึงเสื้อคลุมที่แคปใส่อยู่ให้ชิดหน้าอกยิ่งขึ้นไปอีก

“นอนเลยก็ได้”

หลังแวะซื้อกาแฟที่ปั๊มใหญ่ ขึ้นรถมาก็เห็นคนที่นั่งมาเป็นเพื่อนผล็อยหลับไปแล้ว เขาปรับเบาะเอนลงให้แคปสะดุ้งตื่นแบงค์จึงผลักลงแล้วบอกให้นอนต่อเลย

“ถึงแล้วกูจะเรียก” ผ้าห่มผืนบางถูกเอามาคลุมห่มลงให้ก่อนที่รถยนต์คันสวยจะเลี้ยวออกมาจากปั๊ม ในรถเปิดเป็นเพลงเบา ๆ สลับกับข่าวภาคเช้า แคปตื่นขึ้นอีกทีเมื่อตอนเข้าถึงชานเมืองแล้วเรียบร้อย เขาหาวหวอดแล้วบอกแบงค์ว่าปวดฉี่ให้แวะปั๊มเดี๋ยวนี้เลย

“หึ ตื่นมาก็เรื่องมาก”

“ก็หมาตัวไหนล่ะลากกูขึ้นรถเช้าได้ขนาเนี๊ยะ” คนฟังก็แค่เหลือบมอง ตั้งหน้าตั้งตาขับรถต่อยิ่งจะเข้าในตัวเมืองเท่าไหร่การจราจรก็ยิ่งโหดขึ้นเท่านั้น รถติดจนน่ากลัวถนนเส้นนี้ไม่จำเป็นไม่อยากผ่านเลยให้ตาย

“นอนต่ออีกหน่อยก็ได้ ยังง่วงอยู่หรือเปล่า” แบงค์หันมาถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบไป ไหนบอกว่าปวดฉี่นั่งตาปิดจะหลับต่ออีกแล้วต่างหาก

“ไม่อ่ะรีบหาห้องน้ำเหอะ”

“เห็นแล้ว เดี๋ยวแวะเลย”

“กาแฟ” เขายื่นกาฟส่งให้ตอนที่แคปออกมายืนสูบบุหรี่อยู่หน้าห้องน้ำ แคปเลยยื่นบุหรี่ที่เหลืออยู่ครึ่งมวนไปให้อีกคนสูบแทน

“มาเช้าแบบนี้ทีไรกูหลับตลอดมึงก็ยังพากูมานะไอ้แบงค์”

“ก็ดีกว่าไม่มีเพื่อนมาด้วยนี่” แบงค์สูบแค่ทีเดียวแล้วทิ้งลงถังทรายเลย แคปเหมือนจะรู้ว่าอากาศดีๆช่วงเช้าแบบนี้เขาไม่น่าจะสร้างมลพิษ ยกมือบอกโทษทีอีกฝ่ายจึงตบลงที่ไหล่เบา ๆ

“เดี๋ยวไปส่งกูที่ตึกแล้วมึงจะไปไหนป่ะวะ กลับห้องไปนอนรอไหม หรือจะไปเดินเที่ยว” แคปมีการ์ดสำรองห้องเขาอยู่อีกใบ ไม่ต้องถามว่าพามาบ่อยแค่ไหน

“ไปรอมึงที่ห้องดีกว่า กูอยากพักว่ะง่วงยังไม่หายเลยเนี่ย สงสัยเหนื่อยมาทั้งอาทิตย์กับลูกค้า”
สองคนเข้าสู่ใจกลางเมืองฝ่าฟันรถติดไม่นานเชฟฯคันสวยก็มาจอดลงที่ตึกไพร์ม มีเดียบิวท์ดิ้งที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆของเมืองไทย  แคปเปลี่ยนมานั่งตำแหน่งคนขับแทน มองดูตึกที่เขาไม่ได้ขึ้นไปนานหลายปีแล้ว แต่ถ้าถามว่าแวะมาบ่อยไหมต้องบอกเลยว่าบ่อยมาก เกือบทุกสัปดาห์เขาจะมาส่งแบงค์เป็นประจำเพียงแต่ไม่ค่อยได้ขึ้นไปเท่านั้นเอง

กระจกรถถูกลดต่ำลง เพราะว่าแบงค์ก้มลงมาหายังไม่ยอมเดินขึ้นไป“ไม่ขึ้นไปแน่นะ พี่หนึ่งถามหามึงอยู่นะ พี่ดาพี่แอนพี่โมทย์พี่เติ้ลถามหามึงทุกคนอ่ะ ขึ้นไปด้วยกันสักหน่อยไหมวะ หรือจะค่อยขึ้นมาตอนมารับกูกลับ”

“ไว้ตอนมารับเดี๋ยวคิดดูก่อน”

“ขับรถดีๆ ถ้าจะไปไหนก็โทรมาบอกกูก่อนก็ได้”

“ต้องโทรรายงานมึงทุกเรื่องหรือไง”

“ไม่กล้าหรอกครับพี่แคป ผมแค่เป็นห่วง” แบงค์พูดหลังจากเอื้อมมือเข้ามาเสยเส้นผมที่ตกลงมาปรกหน้าบังสายตาของคนขับ

“ผมยาวแล้วนะไปซอยออกหน่อยดีไหม เดี๋ยวเจ็บตาอีกหรอก”  แคปเบี่ยงหัวหลบก่อนส่ายหน้าบอกว่าไม่ คว้าเอาแว่นกันแดดอีกอันที่หน้ารถมาสวมใส่สายตาเขาปกติดีนะ ยังคงสั้นเหมือนเดิมเพียงแต่ช่วงนึงที่ผมค่อนข้างยาวทิ่มตาจนเจ็บไปหมด

“เล่นหัวผู้ใหญ่มึงจะบาปกูบอกให้รู้เลย” แคปทำเสียงคาดโทษใส่ แบงค์จึงไหวไหล่นิดๆ

“น่ากลัวจริงจริ๊ง” ผลักหัวคนที่โตกว่าตัวเองหนึ่งปีอย่างสนิทสนมก่อนโดนแคปฟาดผั๊วะเข้าให้จนแขนเขียว เขาจึงค่อยยืนเต็มความสูงแล้วเดินขึ้นตึกไปทำงานได้ จากนั้นแคปก็ขับรถตรงไปห้องเช่าของแบงค์ เป็นคอนโดเดิมของมันตั้งแต่สมัยเรียน

เขามาอยู่จนชินแล้ว แต่ล่ะครั้งที่มาก็รอเวลารับคุณชายกว่าจะจัดรายการเสร็จแล้วก็กลับระยองพร้อมกันเลยนั่นล่ะ....เป็นแบบนี้มาหลายปี

“ฮัลโหล”

หลังนอนหลับไปหนึ่งตื่นเต็ม ๆ ตา แคปปัดกวาดทำความสะอาดห้องรดน้ำต้นไม้ที่กระถามเหี่ยวๆริมระเบียง พอมานั่งแบ็บลงที่โต๊ะเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นมา บ่ายสี่โมงเย็นเข้าไปแล้ว

“มึงอยู่ไหนแคป วันนี้เข้ากรุงเทพหรือเปล่า” เสียงปลายสายถามกลัมาแบบเรียบ ๆ แคปเอียงคอเอาโทรศัพท์มือถือแก้มแนบเดินหอบกองหนังสือแต่งรถกองใหญ่ของแบงค์กลับไปจัดเรียงไว้ให้ที่ชั้นเหมือนเดิม

“ถึงแล้ว อยู่ห้องไอ้เด็กเวรนี่แหละ มีอะไร”

“กูจะกลับด้วย อาทิตย์นี้กูหยุดยาว โทรบอกไอ้อาร์มันไว้แล้ว”

“แล้วยังไง” แคปเริ่มไม่แน่ใจว่าต้องเรียงหนังสือแต่งรถขึ้นมี่ชั้นไหน เพราะว่ามันมีหนังสือแต่งบ้านปนอยู่อีกกอง นึกก่นด่าไอ้เจ้าของห้องที่มันรื้อของเก่งนัก เขามาทีไรต้องคอยจัดให้มันอยู่แบบนี้

“มึงเข้ามารับกูได้ป่ะวะ”

“แล้วรถมึงล่ะ”

“รถเข้าศูนย์กูเอาไปเข้าไว้เมื่อเช้า นัดรับเย็นวันจันทร์กูเลยโทรถามไอ้อาร์มันบอกมึงจะกลับระยองคืนนี้ แวะมารับกูด้วยกลับพร้อมกันเดี๋ยววันจันทร์กูเอารถไอ้อาร์มาใช้”

“ที่ไหน” แคปถามไปเรียบ ๆ เขาเรียงเล่มสุดท้ายเสร็จพอดีลุกขึ้นมองดูเวลา

“มึงใกล้ที่ไหนล่ะ ที่ตึกรัชชาได้ไหม”

“................”

“วันนี้ไม่มีใครเข้าทำงานหรอก กูมานั่งเคลียร์งานอยู่คนเดียวเนี่ย มารับได้ป่ะวะ”

“มึงนั่งรถออกมาเองกูจะรออยู่ที่ร้านXXXฝั่งตรงข้าม” แคปพูดชื่อร้านไป มันก็ถัดจากตึกนั่นไม่กี่ร้อยเมตร ปอบอกโอเค แต่ทว่าขณะกำลังจะวางสายดูเหมือนมีสายเรียกเข้าซ้อนเข้ามาก่อนปอจึงบอกให้แคปรอ เขาพูดกับทางนั้นราว ๆ ไม่ถึงสองนาทีก็กลับมาบอกแคปว่า “มึงไม่ต้องมาที่ตึกแล้วเดี๋ยวกูต้องแวะไปทำธุระก่อน ไปรอรับกูที่สวนสุขภาพตรงซอย.....เลยได้ไหม”

“............”คนฟังมุ่นคิ้วทันที

“แคป? มึงได้ยินที่กูพูดไหมเนี่ย สวนสุขภาพตรงซอย......นะ  ทางด้านหน้าสวนใหญ่สุดเลยน่ะ มึงรู้จักใช่ไหม”

“ทำไมต้องเป็นที่นั่นวะ”

“ก็เพราะกูจะไปธุระแถวนั้นไง”

“............”

“ห้องไอ้แบงค์ก็อยู่ถนนเส้นนั้นนะถ้ากูจำไม่ผิด มึงไม่ต้องเสียเวลาวกรถไปรอกูที่ตึกรัชชาแต่ไปนั่งรอกูอยู่ที่สวนสุขภาพเลยดีกว่าอีก เอาเป็นว่าอีกสักสองชั่วโมงเจอกัน โอเคนะเว้ย”

“............”

“รับปากกูมาก่อน”

“...........”

“แคป กูไม่ได้ให้มึงไปรับกูที่ทำงานสักหน่อย”

“แต่ที่นั่นมัน....” สวนสุขภาพแถวบ้านเจ้านายมึง แคปพูดไม่ออก ติดอยู่แค่นั้น

“ก็แล้วจะทำไม มึงคิดว่าคนอย่างเขาจะออกมาเดินเล่นง่ายๆหรือไงวะ เขาไม่อยู่หรอกคุณนาคินให้กูกลับไปเอางานที่บ้านใหญ่ ไม่อยู่หรอกกูรับประกันได้เพราะงั้นมึงมารอกูอย่างสบายใจเลย โซนที่มีรูปปั้นปลาโลมานะ มึงรออยู่แถวนั้น”

“............”

“แคป อีกสองชั่วโมงกูจะรอมึงอยู่ที่นั่นได้ยินใช่ไหม อย่าให้กูรอเก้อนะมึง”

สายถูกวางลงไปแล้ว แคปกำโทรศัพท์แน่นจนมือเจ็บถึงค่อยรู้สึกตัวขึ้นมา เขานั่งนิ่งอยู่แบบนั้นราวครึ่งชั่วโมงโดยที่แทบไม่รู้สึกตัว เปลือกตาร้อนผ่าวปิดลงช้า ๆ เหตุการณ์วันนั้น..ห้าปีที่ผ่านมาทำไมเขาถึงยังจำได้จนติดตาทั้งที่ควรจะลืมไปจนหมดแล้ว


ห้าปี...ผ่านไปห้าปี......ใครกันที่บอกไว้ว่าเวลาช่วยเยียวยาทุกอย่าง


“เจ้านายกูตอบรับหมั้นคุณมินตรานะ”


ปลายปีที่แล้ว ปอบอกกับเขาแบบนั้นขณะที่เขาแค่รับฟังแล้วทำตัวนิ่งไว้ ไม่มีอะไรมากกว่าการรับฟัง หมั้นแล้วจะทำไม ไม่หมั้นแล้วจะทำไม มันผ่านไปนานจนใจด้านชาไปหมดแล้ว ไม่มีใครมีสิทธิ์ในตัวใครอีก ทุกอย่างจบ เกมส์โอเวอร์ไปแล้ว ปุ่มรีเซ็ตไม่มีอยู่จริง  ยังคิดว่าเขาจะพูดโต้ตอบอะไรออกไปได้ล่ะ จะให้พูดว่าดีใจคงไม่ใช่ความรู้สึกเขา แต่จะให้พูดว่าเสียใจร้องไห้ฟูมฟายเขามีสิทธิ์เหรอ ในเมื่อทางนั้นตั้งหลักได้แล้วเขาเองก็คงต้องตั้งหลักกับตัวเองเช่นกัน

อาฟี่กับเฮียโก้สร้างไร่นี้ขึ้นมาเป็นของขวัญให้เขากับเฮียเต้ ในวันที่เฮียเต้เรียนจบและตัวเขาต้องเข้ารับการฝึกงาน กรมอุทยานแห่งชาติของระยองมีแต่พันธ์ไม้สวยงาม อยู่ถัดจากไร่นี้ไม่กี่ร้อยเมตร แคปเห็นที่นี่ครั้งแรกก็ถูกใจเลยทันที เฮียโก้ให้ลาเต้เป็นคนออกแบบร้านกาแฟเล็กๆในสไตล์บ้านไร่บนดอยให้ ขณะที่อาฟี่เป็นคนออกแบบแปลนบ้านสวนหลังใหญ่ด้วยตัวเอง

หนึ่งปีหลังจากนั้นแคปเรียนจบโก้พากลับมาอยู่ที่ระยองทันที ครอบครัวของเขาไม่มีใครเอ่ยปากถึงเรื่องราวคราวนั้นอีกราวกับว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น เฮียเต้ออกไซด์งานต่างจังหวัดเป็นว่าเล่นหากแต่พยายามกลับมาหาเขาทุกสัปดาห์ จนพักหลังเห็นว่าแบงค์มันสนิทกับครอบครัวเขามากขึ้นเฮียถึงขึ้นฝากฝังเขาไว้กับมัน

“ห่วงเกินไปแล้ว”

แคปเคยบอกพี่ชายแบบนั้น เต้ก็แค่ยักไหล่ “กูห่วงมึงน่ะถูกแล้ว”

“อยู่กับไอ้เด็กนรกยิ่งน่าห่วง” แคปหมายถึงแบงค์ ถึงตอนนี้เขาก็ยังเรียกมันว่าไอ้เด็กนรกอยู่ดี ช่วยไม่ได้มันอ่อนกว่าเขาปีนึงตลอดชีวิตนั่นแหละ

“ถ้าเป็นมันกูไม่ห่วง”

“เฮียเต้เอาอะไรมาวัดวะ” ดูไม่รู้หรือไงว่ามันเองก็ได้ทั้งหญิงทั้งชาย คำพูดคำจาชวนปวดหัว ป้อเขาต่อหน้าพี่ชายก็ยังเคย เขาไม่เชื่อหรอกว่าเฮียเต้จะไม่รู้

“เอาสายตาที่มันมองมึงไง”

“ยังไง”

“ลองหาโอกาสดูเอาเอง”

แคปเงียบกริบเลยสิ ให้ตายเหอะใครจะไปนั่งจ้องตามันกันล่ะ หลังจากนั้นเฮียก็กลับบ้านไม่ค่อยบ่อย ชีวิตเขาก็อยู่ที่ไร่บ้างเข้ากรุงบ้าง มีไอ้อาร์กับไอ้แบงค์เป็นเพื่อน ส่วนไอ้ปอเห็นแบบนั้นแต่กลับมาหาเขาเกือบทุกอาทิตย์ที่มันว่าง แต่อย่าคิดว่ามันจะเป็นคนพูดอะไรมาก ปอไม่เคยพูดเรื่องเจ้านายตัวเองกับเขาอีกเลยแม้แต่ครั้งเดียวหลังจากประโยคสุดท้ายนั่น

“ช้าจริงๆ”

แคปบ่นพลางขยับแว่นกันแดดที่สวมอยู่ เขาขับรถมาจอดที่สวนสุขภาพหน้าบริเวณทางเข้าหมู่บ้านขนาดใหญ่ ในซอยนี้มีแต่บ้านผู้ดีเศรษฐีทั้งนั้นเงินค่าบำรุงรักษาที่นี่ก็คงจะดีเว่อร์ เพราะสนามเด็กล่นของที่นี่ถึงได้เต็มไปด้วยไม้ประดับตัดพุ่มสวย กับสนามหญ้าเขียวชะอุ่มที่ถูกตัดแต่งไว้อย่างเป็นระเบียบเช่นกัน

แคปยกข้อมือดูเวลาอีกที ปอเลทไปห้านาทีแล้ว ที่จริงห้านาทีไม่ควรถือว่าเลทหากแต่เขาไม่ได้อยากจะอยู่แถวนี้นานนักหรอก ห้านาทีของแคปเลยดูเหมือนยาวนานเป็นชั่วโมง เขาตัดสินใจดับเครื่องยนต์ลงเมื่อมองซ้ายมองขวาแล้วคิดว่าจะลงไปนั่งรอที่ม้านั่งยาวริมทางเดินน่าจะดีกว่า ช่วงเวลาเย็นๆอากาศก็ดีเดี๋ยวคืนนี้ต้องนั่งรถทั้งคืนอีกแคปจึงออกไปยืนบิดขี้เกียจรออยู่แถวๆตัวรถ 

เมื่อเห็นว่าห่างจากผู้คนพอสมควรเขาควักบุหรี่ขึ้นมาจุดแล้วหย่อนก้นนั่งลงที่ม้านั่งยาว ลมเย็นพัดมาหอบหนึ่งทั้งที่ไม่น่าจะมีแคปจึงหันไปมองด้านหลัง สระน้ำที่รายล้อมไปด้วยต้นหมากสีเขียวสดสลับกับต้นปาร์มสูงใหญ่ มีพรรณไม้โบราณส่งกลิ่นหอมหลายชนิดอยู่อยู่ฝากหนึ่งของสระสายลมโยกมาทีกิ่งใบก็พลิ้วลู่ลง กลิ่นหอมอ่อนๆไม่ต้องให้เอ่ยถึง

แคปพลันมองเห็นชายหญิงสูงวัยออกมาวิ่งเพื่อสุขภาพกันหลายต่อหลายคน มีจักรยานครอบครัวปั่นสวนมาด้วยรอยยิ้มมุมปากจึงถูกจุดออกมา นึกไปว่าเดี๋ยวกลับไร่ต้องชวนอาร์ไปหาซื้อจักรยานปั่นแข่งกันเสียแล้ว ไร่กว้างขึ้นมากยิ่งตอนนี้เฮียโก้ให้ลูกจ้างในไร่เทปูนทำเป็นทางเดินยาวไปจนสุดทาง ยิ่งเหมาะต่อการปั่น เขารีบดับบุหรี่ลงเมื่อเห็นบรรดาแม่บ้านจูงเด็กตัวเล็กๆออกมาป้อนข้าวป้อนขนม ไกลออกไปอีกนิดมีสนามเด็กเล่น ชิงช้าเล็กๆสี่ห้าตัวถูกเด็กหลายคนจับจอง วันหยุดพักผ่อนแบบนี้ได้ใช้เวลาอยู่บ้านกับครอบครัวคงเป็นความฝันของใครหลายคน

“โฮ่ง!

ในตอนที่เขาทำโทรศัพท์มือถือไหลลงจากกางเกงตกลงที่พื้นหญ้า แคปก้มลงไปหยิบได้ยินเสียงหมาเห่าดังอยู่ไม่ไกล พอเงยหน้าขึ้นมาไอ้หมาลาบราดอร์สีครีมตัวใหญ่มากแทบจะกระโจนกินหัวเขาอยู่รอมร่อ ดีที่เจ้าของมันวิ่งเข้ามาดึงเชือกไว้ได้...หวุดหวิดสุดๆแคปมองเห็นแต่ขาเรียวขาวในรองเท้าผ้าใบสีฟ้าอ่อนยืนอยู่ตรงหน้า พอไล่สายตาขึ้นดูจึงเห็นว่าเธอกระตุกเชือกเจ้าหมายักษ์ไว้ได้อยู่ แคปค่อยระบายลมออกจากปากอย่างโล่งอก

“คูเปอร์ไม่เอานะ อย่าดื้อสิ ” เสียงเธอร้องบอกเจ้าหมาที่จูงอยู่ มันทำท่าไม่ยอมเชื่อฟังง่าย ๆ จะกระโจนเข้าหาแคปลูกเดียว เธอพยายามดึงเชือกมันไว้จนเซไปมา พูดขอโทษแคปไปสองสามรอบไม่ได้สังเกตเลยว่าคนยืนอยู่ตรงหน้าสมาธิทั้งหมดโฟกัสที่หมาสีครีมตัวโตเท่านั้น

“เอ่อขอโทษนะคะ ปกติคูเปอร์ไม่เป็นแบบนี้เลย เขาน่ารักเลี้ยงง่าย วันนี้แปลกจริงๆด้วย ฉันขอโทษนะคะคุณตกใจมากเหรอ” เธอดึงเชือกเจ้าสุนัขตัวโตจนมั่นใจว่ามั่นคงแน่นอนจึงค้อมศีรษะลงกล่าวขอโทษอีกครั้ง แต่คนฟังยังคงยืนนิ่งงันอยู่ สายตาจับจ้องสิ่งที่เธอจูงแทบไม่กระพริบขณะที่เจ้าคูเปอร์เห่าเรียกขึ้นมาอีก “โฮ่ง!” มันทำท่าเหมือนอยากจะกระโจนเข้าหา ลำคอถูกเหนี่ยวรั้งจากเชือกจนเธอเกือบจะปล่อยมันหลุดจากมือ

“คูเปอร์ห้ามดื้อ เดี๋ยวมินต์ตีนะ!” เธอใช้น้ำเสียงเฉียบขาดดุมัน คราวนี้แคปสะดุ้งขึ้นมาราวกับว่าเขาเพิ่งรู้สึกตัว

“โฮ่ง!” เสียงคูเปอร์เห่าขึ้นมาอีก มันหันไปมองหน้าเธอสลับกับมองมาที่แคปแล้วร้องคำรามในลำคอเสียงเล็กๆราวกับกำลังอ้อนวอน ทั้งแววตาแบบนั้นที่มองขึ้นมา...แววตาที่เหมือนกับตอนมันยังเด็ก หางใหญ่เป็นพุ่มที่ด้านหลังแกว่งซ้ายทีขวาทีขณะตะกุยขาหน้าพยายามจะก้าวเข้าหาหากแต่โดนรั้งลำคอไว้อีก แคปรู้ว่ามันกำลังดีใจ แคปรู้ดีเพราะว่าเขาเองก็ก้าวเข้าหามันแทบไม่รู้สึกตัวเช่นกัน มือคุ้นเคยที่ครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้วเคยโอบอุ้มมันไว้แนบอกยื่นออกไปหวังจะลูบที่หัวแล้วถามมันดูสักคำ..

คูเปอร์จำพี่แคปได้ไหม?

หากแต่...เสียงบีบแตรเบา ๆ ดังเรียกขึ้นมาจากรถยนต์สีดำคันสวยที่ชะลอจอดลงใกล้ ๆ แคปจึงค่อยชักฝ่ามือกลับในขณะที่คนขับเปิดประตูเดินลงมาหาเธอ   คนมองค่อยยืนขึ้นช้าๆ....โลกทั้งโลกหยุดนิ่งไปแล้ว

“เอสคะ คูเปอร์ไม่เชื่อฟังมินต์เลย” เธอเดินเข้าไปหาเขา วงแขนใหญ่สอดเข้าโอบเอวคนรักทันที

 คูเปอร์มา--"

คำพูดถูกกลืนหายลงไป ในวินาทีที่เห็นว่าใครยืนอยู่ตรงหน้า...ราวกับเข็มนาฬิกาพลันหยุดนิ่ง เมื่อลมเย็นๆหอบหนึ่งพัดกลิ่นดอกราชาวดีสีขาวเข้ามาแตะที่ปลายจมูก  กิ่งไม้อ่อนโอนเอนลู่ลมพาให้เส้นผมปลิวไสว แคปสะดุ้งขึ้นนิดๆเมื่อได้ยินเสียงคูเปอร์เห่าขึ้นอีกรอบ หากแต่ดวงตาคมกริบภายใต้แว่นกันแดดสีเข้มของคนที่เพิ่งเดินลงมายังคงจ้องจับตรึงแน่น ไม่มีใครทั้งนั้นที่สามารถมองเห็นรอยสั่นไหวหลังเลนส์สีดำสนิทนั่น ใบหน้าคมที่เรียบเฉยนิ่งงันจนมองดูแล้วน่ากลัว

แคปเป็นฝ่ายขยับตัวลดสายตาลงแล้วถอยหลังออกมาเอง คูเปอร์ร้องเรียกตะกายราวกับจะขาดใจ หากแต่มือแข็งแกร่งเหนี่ยวเชือกมันไว้แน่นจนสั่น

ในตอนนั้นแม้มีอากาศสดชื่นให้โกยสูดจนเต็มปอด หากแต่เขากลับหายใจไม่ออกเลยแม้แต่น้อย  ท่อนขาหนักอึ้งราวกับถูกตอกตะปูแห่งพันธนาการตรึงติดไว้กับพื้นดิน เขารู้ตัวเองไม่มีสิทธิ์อะไรอีกแล้ว แม้แต่เงยหน้ามองสองคนตรงหน้ายังไม่คู่ควร กว่าแคปจะลากขาออกจากที่ตรงนั้นหนึ่งก้าวเขาใช้พลังงานแทบทั้งหมดที่มีในชีวิต

แคป....

เสียงเรียกดังลั่นออกมาจากหัวใจใครบางคน หากคนตรงหน้าไม่มีทางได้ยินเด็ดขาด ความรู้สึกทุกอย่างถูกกักเก็บเข้าไปข้างใน ตอกลงไปจนสุดหมุด ตอกให้ลึก ย้ำลงไปว่าทุกอย่างระหว่างเรามันผ่านไปเนิ่นนานมาก ...แคปเดินออกมาจากตรงนั้นแล้ว คูเปอร์ทั้งดิ้นและตะเกียกตะกาย หากมันพูดได้คงตะโกนเรียกชื่อแคปไว้แทนเจ้านายของมัน

แต่ก่อนที่ทุกอย่างจะยิ่งแย่ไปกว่านี้ โชคดีที่ปอวิ่งหน้าตั้งเข้ามาจากที่ไหนสักแห่ง เขาทั้งตกใจทั้งใจหายตั้งแต่เห็นรถเจ้านายตัวเองจอดต่อก้นกับรถเพื่อนของเขา

“โทษที กูสายฉิบหายเลยใช่ไหมล่ะ” เสียงทุ้มพูดปนหอบพยายามทำลายความตึงเครียด บรรยากาศสุดแสนกดดันแผ่ออกมาจากร่างกายกายสูงใหญ่ที่ยืนนิ่งงันอยู่ ลมหายใจแทบไม่มีให้โกย พื้นที่กว้างขวางหาแต่แถวนี้ช่างอึดอัดนัก ยิ่งแคปไม่มองหน้าคนที่จ้องมาแบบนั้นสีหน้าเจ้านายเขาจากที่อ่านยากอยู่แล้วยิ่งดูน่ากลัวขึ้นไปอีกเป็นสิบๆเท่า ปอรีบยกมือลูบหลังแคปเบา ๆ เหมือนเรียกสติแล้วก้มหัวบอกลาเจ้านายตัวเองกับมินตราว่าที่คู่หมั้น

ในตอนนั้นเขาไม่สนใจแล้วว่าคุณเอสจะรู้สึกอะไรยังไงแบบไหน คนที่น่าห่วงที่สุดกลายเป็นคนที่นั่งเหม่ออยู่บนรถเชฟฯคันนี้ต่างหาก

“มึงมาด้วย?” แบงค์ถามขึ้นเมื่อตอนที่เขาลงมาแล้วพบว่าใครรออยู่ด้วยกันกับแคป ปอนั่งดูดกาแฟแก้วใหญ่ขณะที่แคปก้มลงอ่านนิตยสารอะไรสักอย่างในมือ แก้วชาเขียวตรงหน้าหมดเกลี้ยงไปก่อนแล้ว

“อืม เดี๋ยวกูขับให้ มึงเอาไอ้แคปไปนั่งด้านหลังกับมึงไป กูว่าท่าทางมันคงจะง่วง”
แคปถูกลากขึ้นเบาะหลังจริงอย่างที่ปอมันสั่ง บรรดาสัมภาระบางส่วนจึงถูกโยกไปไว้ที่เบาะหน้า

“เป็นอะไร” แบงค์หันไปพูดเสียงเบากับคนข้าง ๆ แคปหันมามองแล้วส่ายหน้า “ขยับมานี่มา” มือใหญ่ดึงคนตัวเล็กกว่าพิงซบลงมาที่บ่าแข็งแกร่งของเขา แคปที่ฝืนตัวไว้ในตอนแรกบัดนี้ทิ้งน้ำหนักตัวพิงลงไปแบบเต็ม ๆ เปลือกตาบางหลับลงอย่างแสนเหนื่อย เรื่องราวในหัวถูกลำดับขึ้นมาอีกอย่างช่วยไม่ได้...ทว่าสิ่งที่ชัดเจนเหลือเกินในความทรงจำกลับเป็นแววตาคู่นั้นของคูเปอร์ แววตาที่ฉายชัดออกมาว่ามันจดจำเขาได้ เวลาห้าปีไม่ได้พรากความรักของมันที่มีต่อเขาไปเลยแม้แต่นิด หากแต่สิ่งที่เขามองไม่เห็นเลยก็คือ แววตาหลังกรอบเลนส์สีดำของคนๆนั้น เวลาห้าปี...พรากความรู้สึกที่มีต่อกันไปจนหมดสิ้นแล้วหรือไม่

“อย่าให้มันไปรับมึงอีก ถ้าเป็นไปได้ก็ออกมาหาพวกกูเอง เข้าใจหรือเปล่า”

เสียงทุ้มดังขึ้นมาในตอนที่ปอเหยียบรถออกมาจากชานเมืองเรียบร้อยแล้ว ถนนสายหลักมืดมิดที่มีแต่แสงจากโคมไฟสาดส่องไปจนสุดลูกหูลูกตา



               เข็มของนาฬิกาไม่เคยบอกเวลา

นานแค่ไหน ก็เหมือนเดิมเสมอ

ตั้งแต่เราจากกัน จนในวันนี้ ก็มีเพียงเธอ


ยังเก็บรักนั้น อยู่ในหัวใจ

เธอจะรู้ไหม ฉันยังคงพร่ำเพ้อ

หลับตาทุกครั้ง ก็ยังเห็นเพียงแต่เธอ

ฉันยังคิดถึงเธอเสมอ

เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน












หน้ามหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งย่านใจกลางเมืองที่คลาคล่ำไปด้วยรถลาและมีผู้คนพลุกพล่านที่สุดในระแวกนี้ รถยุโรปสีดำคันหรูชะลอตัวจอดปาดลงหน้ากลุ่มนักศึกษาสาวที่กำลังเดินเลียบฝั่งทางเท้าก่อนที่กระจกรถจะถูกลดต่ำลงเผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาภายใต้แว่นกันแดดสีเข้ม

“คุณเอส!

“ขึ้นมาสิ”

“ค...คือโบว์นึกว่าคุณเอสจะลืมนัดของเราไปแล้วน่ะค่ะก็เลยเดินออกมากับเพื่อน”

“โทษทีนะ ฉันติดประชุมเลยช้าไปหน่อย” ดอกกุหลาบสีแดงสดช่อใหญ่ที่วางอยู่เบาะหลังถูกยื่นส่งให้เธอ ริมฝีปากเขายกยิ้มขึ้นนิดๆเธอปริ่มใจจนแก้มแดงร้อนเห่อพูดตอบน้ำเสียงอิ่มเอมทว่าแผ่วเบาเหมือนเจียมเนื้อเจียมตัวอยู่ในที  “ขอบคุณค่ะ แค่คุณจำนัดของเราได้โบว์ก็ดีใจแล้ว”










Tbc.