[XVIII]
“ทุกค่ำคืนวันศุกร์ใครหลายคนอาจจะออกไปดื่มด่ำกับบรรยากาศเต้นรำที่งานปาร์ตี้
แต่ใครอีกหลายคนกลับใช้เวลาอยู่กับความเงียบเหงาเพียงลำพัง..คืนนี้เราจะมาแชร์ประสบการณ์ความรักกันครับ
ใครที่มีความลับของความรักที่บอกใครไม่ได้
ความรู้สึกแอบรัก ความรักที่เก็บซ่อนอยู่ในหัวใจ รักอย่างไรไม่ให้ผิดหวัง
รักอย่างไรให้พอดี
ทุกๆอย่างเราแชร์กันได้ที่นี่ เดี๋ยวลองโทรมาดู 02 999 999
999 รวมไปถึง sms ครับ 1234567 ก็สามารถติดต่อสื่อสารกันได้
วันนี้เรามีภาพจากไพร์มชาแนลออนแอร์สดๆให้ได้รับชมกันด้วย
คุณสามารถเข้ามาทักทายกันได้ที่ ซีเครทเลิฟแฟนเพจ
ที่มีคำถามเกี่ยวกับความลับของความรักมากมายรอให้คุณได้โพสกันอยู่ กับการออกอากาศครั้งแรกคุณอยู่กับ
ผมดีเจแบงค์และดีเจหน้าใหม่ไฟแรง ตอนนี้เขานั่งอยู่ข้าง ๆ ผมแล้วครับ
ดีเจแคปคนที่จะมาอยู่กับคุณที่นี่ทุกๆค่ำคืนที่เราเจอะเจอกัน พวกเรารับหน้าที่ประจำอยู่ที่คลื่นแห่งนี้
และก่อนที่เราจะฟังเพลงและรับสายกัน เราลองมาดูอีเมลสักฉบับนึงก่อน
ดีเจแคปครับ...”
“สวัสดีครับผมดีเจแคปรายงานตัว
ข้อความทางอีเมลที่ถูกส่งมาหาพวกเราไม่น่าเชื่อว่าจะมีเยอะมากมายขนาดนี้ วันนี้ผมจะขอเลือกออกมาหนึ่งฉบับที่ตรงกับตีมรายการของวันนี้ก็แล้วกันนะครับ เป็นข้อความจากคุณเตชิน...ผมรู้จักกับคนๆนึงมาสักพักแล้ว
เราสองคนเป็นเพื่อนสนิทกันมาหลายปี
ผมกับเขาต่างรู้สึกดีๆต่อกันแต่เราไม่เคยนิยามความสัมพันธ์
และเขาเองก็ไม่เคยเอ่ยปากคำว่าแฟนกับผม เขาบอกแค่ว่าเขารู้สึกดีด้วย มีความสุขทุกครั้งที่ได้อยู่ข้าง
ๆ ทุกครั้งที่ได้คุยกับผม ความรู้สึกคือมากกว่าเพื่อน เขาเทคแคร์
เอาใจใส่ผมดีทุกอย่าง เวลาที่เราหยอกล้อกันผมมีความสุขมากจริงๆ
ลักษณะความสัมพันธ์ของเราสองคนก็เหมือนกับแฟนกันนั่นแหละครับ
ผมทุ่มเทกับรักครั้งนี้มาก จริงจังเพราะคิดว่าเขาคือคนที่ใช่
และจะเป็นคนที่จริงจังและจริงใจกับผม แต่อยู่มาวันนึงเขากลับแนะนำผู้หญิงคนหนึ่งให้ผมรู้จักและบอกกับผมว่า
เขากำลังคบกับเธอ ผมช็อคไปเลยครับ ผมเสียใจมาก ความรู้สึกในตอนนั้นมันดำมืดไปหมด
เบลอ อึ้ง ผมพูดไม่ออก เหมือนโดนฆ้อนอันใหญ่ๆทุบใส่หัว ยืนอึ้ง หน้าชาไปหมด
แต่สิ่งที่ทำให้ผมทักท้วงอะไรไม่ได้เลยก็คือ เราสองคนไม่ได้เป็นแฟนกัน
ผมเสียใจมากยิ่งตอนที่รับรู้ความรู้สึกในตอนที่เขาพูดออกมาคือเขาไม่ได้รู้สึกอะไรเลย
เขาเฉยมากๆ กลายเป็นผมฝ่ายเดียวที่คิดไปเองรู้สึกไปเอง
นับจากนี้ไปผมจะอยู่ได้อย่างไร.....”
♪ ♫..ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย
ในความคุ้นเคยกันอยู่
มันแฝงอะไรบ้างอย่างที่มากกว่านั้น.....
ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย
ว่าเพื่อนคนหนึ่งมันแอบมันคิดอะไรไปไกล
กว่าเป็นเพื่อนกัน...... ♬ ♫ ~
หลังจากส่งช่วงแรกของรายการตัดเข้าเพลงเพราะๆที่แบงค์เป็นคนเปิดคลอขึ้นมา
แคปถอดเฮดโฟนอันใหญ่ออกจากศีรษะ
แบงค์ดึงเก้าอี้แคปให้เลื่อนเข้ามาใกล้เขาอีกนิด ก่อนส่งสคริปใบใหม่ให้แล้วชี้บอกว่าการดำเนินรายการต่อไปจะอยู่ที่ตรงไหน
“ไอ้เด็กนรกมึงขยับออกไปให้ห่างกูหน่อยได้ไหมล่ะห๊ะ! จะลากกูเข้ามาทำซากมึงเหรอวะ!” แคปกระซิบกระซาบด่า
เหลือบมองที่ผนังกระจกใสๆซึ่งกั้นระหว่างห้องภายในกับภายนอกเห็นเอสยืนกอดอกจ้องเขาสองคนเขม็ง
หน้าตาหล่อเหลาราวรูปปั้นของมันเย็นยะเยือกราวกับปฏิมากรรมน้ำแข็งแค่มองก็ยังสะท้าน
แคปรีบก้มหน้าทำตาเหลือกใส่แบงค์ทันที
ก็ใครจะอยากมีเรื่องอยู่แถวนี้ล่ะ ไอ้บ้านั่นเกิดจู่ ๆ
มาลากเขาออกไปเสียดื้อๆจะทำยังไงกัน
“มึงห้ามขยับเข้ามาอีกนะ!” แคปหันไปดุต่อ
แบงค์อมยิ้มเหลือบมองไปที่เอส
“อะไรกัน ไอ้วิศวะนั่นก็แค่เพื่อนมึงไม่ใช่หรือไง
แต่เอ๊ะหรือว่าคนๆนี้จะไม่ใช่แค่เพื่อนล่ะวะ เล่นมายืนเฝ้ากันไม่ห่างแบบนี้
มันน่าคิดอยู่นี่น๊า...” แบงค์ทำเสียงยียวนยั่ว
“อย่ามากวนประสาท เพื่อนกูมีเป็นร้อย..”แคปว่าใส่โหดๆ
“หึหึ เป็นร้อยเลยเหรอวะ..”
แบงค์ขำกับท่าทางร้อนตัวขึ้นมาแบบนั้นของอีกคน เขาคิดว่าเขาดูออกก็แล้วกันล่ะ
“ไม่กวนหรอกน่าเดี๋ยวเพลงจบ ต้องเข้ารับสายหน้าไมค์แล้ว ขอเบรกทะเลาะวิวาทกับมึงเอาไว้ก่อนละกัน..”
“กูไม่ทะเลาะกับมึงอยู่แล้วไอ้เด็กบ้า ถ้ามึงไม่หาเรื่อง โฮ้ย!มึงขยับเข้ามาทำไมอีกล่ะห๊ะ กูบอกนี่หูหนวกใช่ไหม!”
แคปเตะขาที่ใต้โต๊ะบอกแบงค์ขยับออกไปอีกนิด แต่คนถูกเตะไม่ใส่ใจอะไรเลย
เขาก็แค่นั่งนิ่ง ๆ อยู่ที่เดิม แคปจึงต้องเป็นฝ่ายขยับเลื่อน ๆ
เก้าอี้จนตัวจะแนบผนังไปแล้ว
“เป็นบ้าอะไรของมึง หันมานี่..”
มือใหญ่กระชากพนักเบาะให้หมุนติ้วกลับมา
แคปตกใจจนหน้าตาตื่นกำลังจะพ่นไฟด่ามือไม้ยกง้างขึ้นมาแล้ว
นึกขึ้นมาได้กำลังออนแอร์สด อาจมีหลายคนส่องพวกเขาผ่านทางกล้องของแอพมือถือ
แคปจึงพยายามก้มหน้ากัดฟันไว้เงียบ ๆ
“กูจะให้ดูวิธีควบคุมไอ้เครื่องนี่ อ่ะ ทำแบบนี้นะ..”
แบงค์ขยับเข้ามาสอน เขาสไลด์วอลุ่มของมิกซ์ตัวใหญ่ ๆ
มันเป็นแผงควบคุมเครื่องเสียงที่แคปยังไม่เคยชิน
เบรคแรกเขาจึงเป็นคนจัดการเรื่องเพลงคลอและดนตรีประกอบรวมถึงเอฟเฟคทั้งหมด
แต่เบรกที่สองแคปจะต้องเป็นคนทำเอง เพราะงั้นเขาจึงจำเป็นต้องสอนให้ก่อน
“เข้าใจใช่ไหม”
“รู้แล้วน่า”
“มึงต้องปิดไมค์ทุกครั้งที่ตัดเข้าเบรค
ยิ่งเราสองคนกัดกันบ่อยแบบนี้มึงต้องระวังจุดนี้ให้ดีที่สุด”
“กูไม่พลาดหรอกเว้ย
มึงรู้ไหมกูเรียนรู้เรื่องคอนโทรลปุ่มไมค์ก่อนปุ่มวอลุ่มกับซาวด์เอฟเฟคเสียอีก”
“เอฟเฟคเลือกแบบตรงนี้ กดใช้ได้ตามสบาย
แต่ปุ่มที่ทำสัญลักษณ์เอาไว้คือซาวด์ที่กูชอบใช้มากที่สุด..”
แบงค์ชี้ให้แคปดูอีกหน อีกคนก็ตั้งใจฟัง
“เดี๋ยวตอนเปิดเบรคสองลองดู แล้วตอนที่จะส่งเข้าเบรคที่สาม
มึงเปิดเพลงนี้ขึ้นมานะ เอาตอนที่อารมณ์กำลังบิวท์แซดๆหน่อยกูให้สัญญาณแล้วมึงจัดการส่งซาวด์เบา
ๆ คลอเข้ามาเลย
ตีมรายการเป็นแบบอกหักเพราะฉะนั้นซาวด์ฝั่งนี้มึงห้ามเปิดใช้เด็ดขาด”
“โอเค”
“พูดดีๆก็น่ารักเหมือนกันนี่หว่า..” แบงค์ยกยิ้มกวนๆ
ตีคิ้วข้างเดียวแถมให้อีก
“เสือก!” แคปถลึงตาใส่
“เออ กูไม่ชมแล้ว”
“เรียกกูว่าพี่ให้ได้ก่อนเหอะ กูจะพูดจากับมึงดี ๆ”
“หึ..เรื่องนั้นติดเอาไว้ก่อน แต่ขอชมนิดนึง
เมื่อกี้มึงพูดได้ดีนะ เสียงทุ้มเพราะมาก ถ้อยคำและอารมณ์การสื่อสารเรื่องราว
ทุกอย่างลงตัวมากๆ” แบงค์บอกแคปให้หันไปดูที่ห้องกระจกด้านนอกอีกครั้ง พี่หนึ่งโปรดิวเซอร์รายการที่ยืนอยู่ข้าง
ๆเอส พยักหน้าแล้วยกนิ้วโป้งชื่นชมให้
แคปรู้สึกเขินนิดๆเขาแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นสบสายตาเข้ากับไอ้ยักษ์ข้าง ๆ
จึงรีบหันกลับมาแบบด่วน ๆ
“ถามจริง ๆ เหอะว่ะไอ้หล่อนั่น แฟนมึง?”
“จะมาถามเห้อะไรตรงนี้วะห๊ะ!” แคปหันไปแว๊ดใส่
“แล้วใช่ป่ะล่ะ”แบงค์ยังถามต่อหน้าตาย แคปตวัดสายตาเขียวปั๊ด
“กูไม่บอก”
“แบบนี้กูฟันธง...ใช่ชัวร์”
“ใช่แล้วไง? ไม่ใช่แล้วไง? ไม่เกี่ยวกับมึง”
“หึหึหึ..”
“สัส”
“ไม่น่ารักเลยจริงจริ๊ง..” เสียงแบงค์บ่นอุปขึ้นมา
แคปหน้ามุ่ยยิ่งกว่าเก่า อย่าถามเรื่องเอสเลยว่ามันมายืนเฝ้าเขาที่หน้าห้องออนแอร์นี้ได้ยังไง
เรื่องของเรื่องมันมีอยู่ว่า
ก่อนหน้านี้ไม่กี่ชั่วโมง...
“จะไปตอนนี้?” เอสที่นั่งไขว่ห้างอ่านหนังสืออยู่ที่โซฟายาว
เงยหน้ายกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู
“อือ..”แคปพยักหน้าตอบ
เขาเดินเข้าไปหยิบกระเป๋าสะพายออกมาแล้วยืนสวมรองเท้ากีฬาอยู่หน้าประตู
“ไหนว่าทำตอนห้าทุ่ม”
“วันนี้วันแรกกูต้องไปเร็วหน่อยสิวะ
ต้องเช็คเรื่องสคริปกับพวกพี่ๆสต๊าฟก่อนออนฯจริงด้วย”
“ได้ โอเค”
เอสลุกขึ้นพร้อมกับหนังสือที่หนาราวกับบรรณานุกรมเล่มที่อยู่ในมือเขา เดินเข้ามาสวมรองเท้าอยู่ข้างๆ
“อะไรของมึง จะกลับรึไง”แคปเงยหน้าถาม
เอสขยับสายตามองหน้าคนถามนิ่งเลย
“กูจะไปส่งเมีย..”
“ไอ้สัส เดี๋ยวเพื่อนกูได้ยินเชี่ยนี่!” แคปยกมืออุดปากมันแทบไม่ทัน มองไปที่ในครัว
แต่ไม่เห็นปอแล้วเขาค่อยโล่งใจ ชกลงไปที่ต้นแขนใหญ่ของเอส “ปากเสีย..”
“กูพูดเรื่องจริง ไปกันได้แล้ว”เอสส่ายหัวไม่อยากจะเถียง
เขารุนๆหลังแคปให้เดินออกไปพร้อมกัน
“กูไปเองเหอะ ทำไมมึงต้องไปส่งกูด้วย”
“...........”
เอสก็แค่เดินเข้าไปกดลิฟต์แล้วถอยออกมายืนอยู่ข้าง ๆ กัน เขาไม่ได้ตอบคำถาม
“เสียเวลาแทนที่จะรออยู่ห้อง ไม่ก็กลับไปนอนห้องมึงโน่นเลย”
“............”
“กูจะไปเอง มึงไม่ต้องไปส่ง” แคปหันไปย้ำความอีกรอบ
เมื่อลิฟต์เปิดออกเขาเดินฉับๆก้าวเข้าไปด้านใน เอสเดินตามกดเรียกชั้นลานจอดรถ พลางถอนหายใจยาวเหยียดกอดอกมองอีกคนที่ยืนทำหน้าไม่สบอารมณ์อยู่อีกมุมหนึ่งของลิฟต์
“ไม่ต้องมามองกูแบบนั้น กูไม่อยากให้มึงไปส่ง
กูจะขับรถกูไปเอง” แคปบอกเป็นรอบที่สาม
“อย่ามาเรื่องมากแคป”
“ก็แล้วกูจะกลับยังไงล่ะไอ้เหี้ย! เลิกตั้งตีหนึ่งมึงไปส่งกูแล้วดึกดื่นแบบนั้นให้กูเดินออกมาเรียกแท็กซี่กลับเองรึไงห๊ะ!”
“กูต้องรอรับมึงกลับพร้อมกันอยู่แล้วสิ”
“มึงบอกแต่แรกก็จบแล้วไอ้สัส ให้กูด่าจนปากจะฉีก”
“อยากให้ไปรับบอกดีๆ”
“กูอยากให้มึงไปรับตอนไหนห๊ะ กูยังไม่ได้พูดเลยเหอะ..”
แคปหันมาแหวใส่อีกรอบเอสโมโหคว้าแขนเล็กกระชากเข้ามาหาตัวล๊อคท้ายทอยแล้วกดจุ๊บลงไปเบา
ๆ หนึ่งที ก่อนปล่อยออกมา
“จูบก่อนมึงไปทำงาน”
“เลวมากๆนะมึงน่ะ..” แคปชี้หน้ายกแขนขึ้นเช็ดริมฝีปากทำท่าทีรังเกียจใส่
เอสหมั่นไส้จะคว้าเข้ามาจูบหนักๆอีกสักรอบ เสียงลิฟต์เปิดออกพอดี
แคปมันรีบวิ่งพรวดพราดออกไปด้านนอก สามสิบนาทีหลังจากนั้น
พอมาถึงหน้าตึกไพร์มฯสองคนก็มีปัญหากันอีก เหตุเพราะเอสตามแคปลงมาด้วย
“มึงจะลงมาทำไมล่ะวะ!”
“กูต้องขึ้นไปดูสถานที่ทำงานของมึงก่อน”
“มึงบ้าไปแล้วไอ้สัส”
“ไม่บ้าหรอก..” เอสยักคิ้วให้ขณะที่เดินผ่านตัวแคปขึ้นไป
เขาเอามือคว้าแขนแคปแล้วลากให้เดินตามมาเลยอย่าได้ช้า
“กูเกลียดมึงที่สุด!”
“หึ..บอกรักก่อนไปทำงานรึไง” เอสหันกลับมายกยิ้มกวนๆส่งให้แคปถลึงตาใส่
และในขณะนั้นเองรถบิ๊กไบท์คันใหญ่สีดำเงินมันวาวโฉบตัดผ่านหน้าเขาสองคนไป
เอสดึงแคปหลบเข้าด้านหลังเขาทันที มองตามไอ้รถคันนั้น จริง ๆ
มันก็ไม่ได้เฉี่ยวเข้ามาใกล้มากนักแต่เขาที่ตกใจดึงแคปเข้าด้านหลังตัวเองอัตโนมัติ
“ไอ้เด็กนั่นมาแล้ว”
“ช่างหัวมันสิ”
“ขึ้นไปให้ไวเลย...” พอว่าจบเท่านั้นแหละะ
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นแคปเดินมาถึงด้านหน้าห้องออนแอร์
“กูอนุญาตให้มึงอยู่ดูแค่เบรกเดียว” แคปหันไปบอกแบบดุๆ
เอสทำท่าจะเปิดเข้าไป แคปก้าวมาดักทางไว้
“แค่เบรกเดียว มึงสัญญามาก่อน”
“ทำไม” เอสถาม
“..........”
“โอเค แค่เบรกเดียวตอนเปิดรายการ
แล้วกูจะลงไปรอที่ร้านกาแฟด้านล่าง ตีหนึ่งกูขึ้นมารับ”
“ตีหนึ่งกว่าๆกูจะลงไปหามึงเอง”
แคปเผื่อเวลาไว้สำหรับเคลียร์งานด้วย
เลิกตีหนึ่งจะให้เขาตรงดิ่งกลับเลยมันก็ใช่เรื่อง
“โอเคได้ ไพร์มชาแนลกูนั่งส่องในมือถือตลอดแน่ ๆ”
เอสก้าวเข้าหาอย่างใกล้ เขาก้มตัวลงกระซิบที่ริมหูเล็ก “ห้ามนอกใจกูรู้ไหม”
พลั่ก!!!
“กูจะเอาเวลาไหนไปนอกใจล่ะไอ้สัส พูดจาแม่ง”
“หึ..เข้าไปได้แล้วไป”
หลังจากนั้น แคปก็พาเอสเข้าไปรู้จักกับบรรดาพี่ๆสต๊าฟ พี่หนึ่งที่นั่งรออยู่ด้านในถึงกับตื่นตกใจ
เดินเข้ามาบอกแคปว่าทำไมเพื่อนแคปคนนี้ถึงมีบุคลิกราวกับคุณพ่อของเขาที่พามาวันนั้นซึ่งก็คืออาฟี่นั่นเอง
แคปยิ้มแห้ง ๆ ส่งให้ ไอ้เอสน่ะเห็นมันพูดจาแบบนั้นกับเขาบ่อย ๆ แต่กับคนอื่น ๆ
มันเย็นชามาก แทบจะไม่ใส่ใจใครหน้าไหนทั้งสิ้น
และนั่นก็คือทั้งหมดที่เกิดขึ้นก่อนจะเริ่มรายการ แคปกับแบงค์นั่งต่อสคริปกันล่วงหน้าประมาณสิบห้านาที
ทุกอิริยาบถของสองคนยังอยู่ในสายตาของคนที่มองผ่านกระจกบานใสเข้ามา
นานๆทีที่แคปจะเงยหน้าขึ้นไปดู เอสก็ยังคงจ้องเขาอยู่แบบนั้น
“กลับ-ไป-ได้-แล้ว”
แคปขยับปากพูดแบบไร้เสียง ทำหน้าทำตาแหวใส่ เอสก็แค่ยกมุมปากยิ้มนิดๆ เขาส่ายหัว
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นรายการวิทยุก็เริ่มขึ้น...
“เฮ้ คิดอะไรน่ะ
จะปิดเบรคตัดเข้ารายการแล้ว มึงเตรียมตัวด้วย..”
แคปสะดุ้งนิดๆหลุดออกจากภวังค์นึกคิด
เขาดึงตัวเองกลับมาที่ปัจจุบันอีกครั้ง
หน้าที่ความรับผิดชอบต้องมาก่อนอย่างอื่น อคติทุกอย่างทิ้งไว้ข้างหลังเงยหน้ามองไปที่คนด้านนอก
เอสยังคงมองเขาอยู่ ขณะที่แบงค์ชี้บอกให้สวมเฮดโฟนได้แล้ว
เสียงทุ้มๆของแบงค์นำเข้าช่วงที่สองดังก้องอยู่ในโสตเมื่อสปอตโฆษณาตัวสุดท้ายจบลง
แคปกวาดตาดูสคริปในมืออีกรอบก่อนเงยหน้าขึ้นมองคนด้านนอกอีกครั้ง
เอสหายไปจากตรงนั้นแล้วเขาค่อยหายใจโล่งท้อง
พูดก็พูดเล่นมายืนจ้องกันแบบนี้เป็นใครก็เกร็งเหอะวะ
รายการวิทยุดำเนินต่อเนื่องไปเรื่อยๆขณะที่คนที่เลือกจะลงมารออยู่ด้านล่าง
เลือกร้านกาแฟเงียบ ๆ ที่เปิดไว้สำหรับพนักงานที่ทำงานกันแบบโต้รุ่ง เอสสั่งเมนูง่าย
ๆ อย่างคาปูชิโน่ร้อนในแบบที่เขาชอบก่อนเดินไปเลือกมุมหนึ่งของร้านนั่งอ่านหนังสือที่เตรียมมาด้วย
“ไพร์มชาแนล?” เขาพึมพำขึ้น
โหลดแอพของไพร์มชาแนลเพื่อกดดูรายการวิทยุแบบออนไลน์ ปิดเสียงถ่ายทอดสดไว้
แล้ววางโทรศัพท์มือถือเอาไว้ข้างตัว
พลิกหน้าหนังสือที่อ่านค้างขึ้นมาจัดการอ่านต่อ...ก็แค่ได้ส่องดูว่าแคปกำลังทำอะไรไปถึงไหนแล้ว
.
.
ร้านเหล้า Exxx
“โหยพี่ ไม่เห็นมานานเลยครับ แล้วทำไมวันนี้ไม่ครบแก๊งอ่ะ
ไม่เห็นพี่คนเท่ๆ อีกคนนึงเลยอ่ะครับ”
พนักงานยื่นแก้วที่ชงเสร็จส่งให้กับบุ้งและชิพ
คืนนี้พวกเขาสามคนมาดื่มกันเหตุเพราะไอ้เมี่ยงเป็นตัวตั้งตัวตีชวนให้มาสมทบกับมัน
“อย่าถามมากไอ้น้อง รีบๆชงแก้วใหม่มาให้กูเร็วเข้า..”
เสียงยานคางด้วยความเมาของเมี่ยงว่าขึ้น
คืนนี้เขามาที่นี่ก่อนใครคนอื่นนั่งดื่มจนพอใจ ดื่มๆๆๆแล้วก็ดื่ม
จากนั้นชิพและบุ้งค่อยตามกันมา
“เหี้ยไรวะไอ้เมี่ยง เมาจะตายแล้วมึงอ่ะยังจะให้น้องเขาชงให้ต่ออีก..”
ชิพรับแก้วจากพนักงานมาชงแบบอ่อนๆแล้วส่งให้เมี่ยงที่ฟุบอยู่เงยหน้าขึ้นมารับแก้วสีอัมพันเอาไปดื่ม
บุ้งจึงพยักหน้าบอกน้องพนักงานว่าที่เหลือพวกเขาจะจัดการเอง
ไม่เป็นไรไม่ต้องเทคแคร์
“ตามสบายนะครับพี่ มีอะไรขาดเหลือเรียกผมได้เลย”
“ขอบใจมากว่ะ..”บุ้งตบลงที่บ่าน้องเขาเบา ๆ
มองเห็นเพื่อนตัวเล็กที่สุดในกลุ่มอย่างเมี่ยงเมาแหงกไม่เป็นท่าแล้วก็เหนื่อยใจจนต้องส่ายหัว
ที่ตามมาสมทบทีหลังเพราะว่าชิพมันโทรตาม
รายนั้นพอเมี่ยงโทรมาบอกกำลังนั่งดื่มอยู่ที่ร้านเดิมมันรีบโทรเรียกให้เขามารับแล้วตามออกมาสมทบกัน
“กูม่ายมาววว” เมี่ยงตบโต๊ะแล้วทำหน้าดุๆ
คว้าแก้วเหล้าที่ถูกชงให้ใหม่ซดรวดเดียวจบ
“ไม่เมาเหี้ยมึงดิ อยากเมาๆไปแต่อย่าอาละวาดนะบอกไว้ก่อน..”
ชิพดึงเอาแก้วใบนั้นมาชงเติมให้อีก
“กูบอกว่ากูม่ายมาวว!”
“เออๆไม่เมาหรอกมึงอ่ะ
ก็แค่บ้าเอาเหล้าไปราดตัวใช่ไหมที่บอกว่าไม่เมาเนี่ย”
“ปากเสียอย่ามาพูดมาก กินกับกูเร็ว ๆ”
เมี่ยงคว้าเอาแก้วของตัวเองมาทำท่าจะยัดใส่ปากชิพ รายนั้นก็เอามือรีบดึงไว้
คนที่นั่งมองอย่างบุ้งยังนึกขำขึ้นมา
“เล่นเหี้ยไรของพวกมึงว่ะ”
“กูไม่ได้เล่น!” เมี่ยงแว๊ดขึ้นมา
ชิพเลยหันไปดุใส่บุ้งบอกอย่าไปยุ่งกับมัน
“แต่มันกินหนักแบบนี้เดี๋ยวใครจะแบกมันกลับล่ะ
มึงปรามมันไว้สิไม่ใช่ชงส่งชงยื่นแบบนี้ไอ้เมี่ยงเมาตายห่าเลย
แค่นี้ก็จะคลานกลับแล้ว”
“นี่มึงว่ากูเรอะไอ้บุ้ง”ชิพหันไปถลึงตาใส่
“เปล่า ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย..” บุ้งรีบบอกเปล่า
เขาทำท่ามองโน่นนี่ไม่รู้ไม่ชี้ต่อ
“กูรู้เหอะ
เดี๋ยวมึงจะโดน”
“เออน่า กูหยอกเล่นหรอก”
บุ้งเหลือบมองคนทำหน้ายุ่งชิพมันก็กินเยอะเหมือนกันตั้งแต่มาเนี่ย เขาล๊อคเอาคอมันเข้ามากอด
แล้วเอามือข้างที่คีบบุหรี่ไว้ขยี้หัวชิพเล่น ก่อนที่คนถูกแกล้งจะจับแขนแกร่งออกแล้วมุมหัวออกมาจากวงแขนใหญ่นั่นเพราะว่าเห็นเมี่ยงก้มหน้าก้มตาไม่มองใครหน้าไหนเลย
มันนั่งจ้องแก้วเหล้า จ้องเอาจ้องเอาจนเขาต้องสะกิดให้บุ้งดู
“มันเป็นไรของมันวะ..” ชิพคิ้วขมวดหันไปถาม
บุ้งยักไหล่บิกไม่รู้ ชิพจึงขยับออกไปนั่งใกล้ ๆ
“ไอ้เมี่ยง มึงเป็นไรเนี่ย..” เมื่อเขาสังเกตเห็นไหล่เล็กสั่นเทิ้ม
กับตัวคนที่นั่งก้มหน้าอยู่แบบนั้น ชิพตกใจรีบจับไหล่เมี่ยงบอกให้เงยหน้าขึ้นดู
เมี่ยงส่ายหัวบอกไม่เป็นอะไร
“ไม่เป็นไรอะไรของมึงวะ มึงร้องไห้ไม่ใช่หรือไง”
“..............”
“มึงเป็นอะไรไหนบอกพวกกูดีๆสิวะ เราเป็นเพื่อนกันมานาน
ขนาดนี้แล้วอย่าปิดบังเลยเหอะ จู่ๆมึงออกมานั่งแดกเหล้าอยู่คนเดียว
ดีนะที่โทรบอกกูไม่งั้นจะรู้ไหมว่ามึงมานั่งเมาเหมือนหมาอยู่แถวนี้”
ชิพซักต่อไม่หยุด เมื่อเมี่ยงไม่ตอบเขายิ่งคาดคั้นถาม
เพื่อนทั้งคนสนิทกันมานานเห็นเมี่ยงเป็นแบบนี้เขารู้สึกแย่ไปกับมัน
“กูเปล่า ไม่เห็นเป็นอะไรเลย ก็แค่อยากจะเมา”
เมี่ยงยกแขนคล้ายปาดเช็ดคราบน้ำตา คว้าแก้วเหล้ามายกดื่มอีก
แต่คราวนี้บุ้งคว้าหมับเอาไว้
“อื้อออ อย่ามายุ่งกูจะกิน!”
คนถูกขัดใจหันไปต่อว่าหน้ายุ่ง
“จะกินน่ะก็ได้
แต่บอกมาก่อนมึงอารมณ์ดีอะไรถึงได้ออกมานั่งแดกคนเดียวอยู่แบบนี้” บุ้งต่อรอง
“อารมณ์ดี? หึหึหึ” เมี่ยงเลิกคิ้วสูง ถามเสียดสีออกมา
บุ้งเพียงแค่นั่งถือแก้วเหล้าล่อ รอฟังคำตอบ
“อารมณ์ดีเหี้ยมึงสิ อึกก”
“ก็ต้องอารมณ์ดีสิวะ ไม่งั้นจะออกมานั่งกินเหล้าทำไม
คนเราถ้าหากควานหาสุรามาย้อมใจก็มีแค่อารมณ์ดีสุดๆอยากฉลอง
กับอารมณ์เสียแม่งกูไม่กลับ ก็แค่นั้นแหละ”
“มึงพูดดีไอ้บุ้ง กูบอกให้รู้ก็ได้ วันนี้กูอารมณ์ดีโว๊ย
อยากร่ำสุราฉลองให้กับเพื่อนสนิทที่สุดของกู
น่าเสียดายมันไม่ได้มานั่งอยู่ที่ตรงนี้ด้วย ไม่งั้นกูคงได้แดกด้วยกันกับมัน
กอดคอกันเมาเหมือนแต่ก่อนไปแล้ว”
“มึงพูดถึงไอ้เอส?” บุ้งกับชิพหันมองหน้ากันทันที
ขณะที่เมี่ยงคว้าเอาแก้วเหล้าของตัวเองคืนมาได้
เขายกซดรวดเดียวจบกระแทกก้นแก้วเข้ากับโต๊ะเสียงดังตึงตัง
“วันนี้เป็นวันครบรอบสองเดือนที่มันกับไอ้น้องชายเฮียเต้นั่นคบกันไงล่ะ..”
ดวงตากลมโตปรือลง น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเศร้ากำลังถูกถ่ายทอดออกมา
เมี่ยงคว้าเอาขวดเหล้าเทใส่ใหม่แล้วยกขึ้นจ้องน้ำกับน้ำแข็งในแก้วคลุกเคล้ากัน
“กูกะนึกว่าสองเดือนทุกอย่างมันคงจะจบ
ไม่น่าเชื่อว่าแม้แต่วันสุดท้ายจากสถิติของมันแบบนี้
มันก็ยังคงไปนั่งเฝ้านอนเฝ้าเขาอยู่.....หึ
กูเป็นเพื่อนสนิทที่ต้องแสดงความดีใจกับมันไง
คนแรกและคนเดียวถัดจากพี่เกรซที่มันคบได้ยาวนานขนาดนี้และก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะเลิกคบเลยด้วยซ้ำ
กูควรดีใจใช่ไหมล่ะ กูมาแดกเหล้าฉลองให้มันก็ถูกต้องแล้วนี่
มาๆๆๆพวกมึงมาแดกให้กับมัน ฉลองให้กับความรักโง่ ๆของกู เอ้ย! กูพูดผิดไอ้เหี้ย เอาใหม่ๆ มาฉลองให้กับความรักโง่ๆของเพื่อนกู
ถึงมันจะไม่มาก็ขอแดกให้มันก็แล้วกัน อึกกกก”
ชิพที่ค่อยๆจับแก้วของตัวเองขึ้นมาค่อยเลื่อนสายตาหันไปสบเข้ากับบุ้งที่นั่งส่ายหัวพลางดูดบุหรี่ปล่อยควันสีขาวคลุ้งลอยอยู่ในอากาศ
“ฮึกกก อึกกก ฮอึก...ฮึกก”
“ไอ้เมี่ยง...” ชิพเรียกเพื่อนเบา ๆ เมี่ยงร้องไห้แล้วจริง ๆ
เมื่อปลดปล่อยความในใจออกมาจนหมด เขาปล่อยโฮออกมาอย่างหมดอาย
“กูคิดถึงมัน ฮ.อึกก กูคิดถึงมัน คิดถึงๆๆๆๆๆ ฮืออออ
ถ้าเป็นเมื่อก่อน ถ้าเป็นตอนนั้นคนที่มันจะอยู่ข้าง ๆ ตลอดก็คือกู ฮอึกกก
กูอยากให้พวกเราทั้งหมดเป็นเหมือนเดิม อยากให้มันมานั่งอยู่ข้าง ๆ
กอดคอกูเอาไว้ยกแก้วเหล้าส่งให้พอกูง่วงนอนมันก็จะบอกให้กูซบลงที่แขนมันได้เลย
แต่ตอนนี้กูทำไม่ได้แล้ว กูทำแบบนั้นไม่ได้อีกแล้ว ฮึกก ฮอึกก....กูคิดถึงมัน”
เมื่อสายลมยามดึกโกรกพัดเอากลิ่นอายแห่งความเศร้าสร้อยเข้ามาในความรู้สึก
หัวใจดวงเล็กๆที่หวั่นไหว ปวดร้าว จะหาสิ่งใดมาทดแทนความรู้สึกที่ขาดหาย.....ความลับของความรักจากคนใกล้ตัว
รักที่ไร้หนทาง ยากยิ่งที่จะเอ่ย
ขณะที่อีกฝั่งหนึ่งของกรุงเทพมหานคร เสียงพลิกหน้าหนังสือดังขึ้นเบา
ๆ ท่ามกลางความเงียบจากโต๊ะไม้เล็กๆมุมหนึ่งภายในร้านกาแฟขนาดย่อม เอสยกถ้วยกาแฟร้อนขึ้นจิบพลางขยับสายตามองดูที่หน้าจอโทรศัพท์มือถือที่เปิดค้างแล้วตั้งเอาไว้
แคปยังคงดำเนินรายการสดต่อไป ข้าง ๆ
กันมีแบงค์คอยยื่นส่งใบกระดาษชี้อะไรให้กันดูสักอย่าง
เป็นอย่างนี้ทุกครั้งที่เขาหันมอง
เสียงโทรศัพท์อีกเครื่องที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงดังขึ้น เขาเอาขึ้นมาดูก่อนจะกดรับสาย
“ว่าไงวะ” เอสวางถ้วยกาแฟคำสุดท้ายลง
(ไอ้เอสมึงอยู่ไหนไอ้เหี้ย แถวนี้ป่ะ)
เสียงชิพที่ปลายสายท่าทางร้อนรน เอสขมวดคิ้วมุ่น
“มีไร?”
(มึงอยู่ที่ไหนล่ะบอกกูมาก่อนเร็ว ว่างรึเปล่า
มาที่ร้านเดิมของพวกเราได้ป่ะวะ ที่ๆพวกเราสี่คนชอบมานั่งชิลกันเมื่อตอนปีหนึ่งเกือบทุกวันไง
หลังมอซอยสิบเจ็ด ทั้งกูทั้งไอ้บุ้งไอ้เมี่ยงก็อยู่ มึงรีบมาเร็วเข้า)
“มึงเป็นอะไร
แค่ชวนกูไปแดกเหล้าทำไมต้องทำน้ำเสียงร้อนรนแบบนั้นด้วยล่ะ”
เอสยกข้อมือดูเวลาทันที ท่าทางน้ำเสียงชิพผิดปกติแน่ๆ
(ไอ้เมี่ยงมันเมา มึงมาเอามันกลับได้ไหมวะไอ้เอส
วอนจะมีเรื่องหลายรอบแล้ว มึงก็รู้มันเมาแล้วเป็นแบบไหน)
“ทำไม
เมาหนักขนาดนั้น?”
(มึงอยู่ไกลไหมล่ะบอกกูทีซิ)
“ตึกไพร์มฯ ไม่ไกลแต่ก็ไม่ใกล้ มันเมามากรึเปล่า”
(ก็มากพอตัว
ที่สำคัญไม่ใช่แค่เมามันยังพร่ำเพ้อบ้าบอกร้องไห้บอกคิดถึงมึง
แล้วยังบ้าไปหาเรื่องคนไม่รู้จักอีกด้วย
เกือบจะวางหมัดวางมวยกันแล้วดีหน่อยไอ้บุ้งมันคุ้นหน้าพี่คนนั้นไม่งั้นนะมึง
มันไม่เหลือรอดหรอก ตัวเตี้ยแค่เอวเขานั่นแหละ ก็อย่างที่มึงรู้ เวลามันเมา...)
“.........”
(มึงอยู่กับไอ้แคป?)
“เปล่า” เอสไม่ได้บอกว่าเขารอรับแคปกลับห้อง
เขาดูเวลาอีกทีก่อนมองดูที่หน้าจอโทรศัพท์เครื่องที่โชว์ออนแอร์รายการวิทยุอีกหน
แคปยังคงตั้งหน้าตั้งตาทำงาน
(มานะมึง พวกกูรอ) เสียงชิพย้ำเข้ามาอีก
“มึงพามันกลับได้ไหม”
(ไอ้เหี้ยเอส
มึงแม่งก็รู้อยู่ไอ้เมี่ยงมันเอาใครเวลาเมามีแต่มึงจัดการมันได้)
“.................”
(ไอ้สัสมึงคิดทำเชี่ยไรวะ มาดูมันเร็วๆ)
“...............”
“ไอ้เอส!”
“ได้ เดี๋ยวกูไป”
เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น เขาปิดหนังสือเล่มใหญ่พับลง
(โต๊ะเดิม รอมึงไม่เกินสิบห้านาทีคิดว่าจะมาถึงไหมวะ)
“ยี่สิบนาที กูจะเร่งให้”
(โอเค เดี๋ยวกูบอกมัน ฟุบอยู่เนี่ย
ไอ้เมี่ยงโว๊ยเดี๋ยวที่รักมึงมาแล้วหยุดร้องเลยมึงโวยวายเป็นเด็กไปได้....)เสียงชิพห่างออกไปเพราะดูเหมือนว่าจะวางมือถือไว้แล้วคุยกับคนข้าง
ๆ
เอสชำเลืองมองที่หน้าจอมือถือจอใหญ่อีกเครื่องที่กำลังฉายภาพรายการวิทยุแบบออนแอร์
เขาตัดสินใจปิดแอพฯ ก่อนคว้าเอาหนังสือแล้วเดินออกมาจากร้าน
.
.
“ไอ้เมี่ยงนอนดีๆสิวะมึง ง่วงแล้วก็กลับเถอะวะไปนอนที่ห้อง
เดี๋ยวคืนนี้พวกกูไปค้างด้วย”
“ไม่เอา! กูม่ายกลับ
กูจะนอนแม่งที่นี่เลย ไม่มีใครสนใจกูเลยสัส
ไม่มีใครรักกูล้าววว ....แต่คนถูกทิ้งก็เป็นอย่างเนี้ยะ
จะมีทางไหนให้ฉันหลีกหนี ให้ดีไปกว่า
จมอยู่กับน้ำตา...” เสียงยานคางในแบบคนเมา
พึมพำเพลงเศร้าตอกย้ำความรู้สึกของตัวเอง
เมี่ยงก้มหน้าซ่อนความอ่อนแอไม่อยากให้เพื่อนอีกสองคนได้เห็น
แม้จะรู้ว่าทั้งหมดที่ทำมันแสนงี่เง่า
“ประชดประชันไปไหนวะบ้าเอ๊ย กูโทรเรียกไอ้เอสแล้ว เดี๋ยวมันก็มา”
“ใครใช้ให้เรียกมันวะห๊ะ! กูบอกมึงเรอะ
เขาอยู่กับแฟนเขาไม่ใช่ไง จ้างให้มันไม่มาหรอก กูไม่สำคัญนี่หว่า อึกกก
กูจะอ้วกว่ะไอ้ชิพ ทำไมเป็นงั้นล่ะ”เมี่ยงทั้งบ่นทั้งเพ้อ
มือเล็กจะหยิบฉวยเอาแก้วเหล้าขึ้นดื่มอีกแต่มือใหญ่ของบุ้งคว้าเอาไว้ได้ก่อน
“เมาแล้วพอๆ”
“เอามา! กูบอกว่ากูจะกิน”
เมียงตะคอกกลับโวยวาย แต่บุ้งทำหน้าดุใส่แล้วบอกไม่ให้
“มึงไม่มีสิทธิ์!” เมี่ยงตะคอกใส่หน้า
“กูจะให้มึงกินก็ได้
แต่หมดแก้วนี้มึงต้องกลับพร้อมพวกกู”บุ้งว่าเสียงเย็นๆ
หน้านิ่งจนชิพยังนึกกลัวรีบเข้ามากันเมี่ยงออกมา
“ไม่กลับ! เอามาให้กูไอ้เพื่อนเวร
กูไม่กลับง่าย ๆ”
“เมาแล้วเรื้อนฉิบหายแม่ง
เดี๋ยวกูโทรบอกไอ้เหี้ยเอสไม่ต้องมารับมึงแล้ว มึงกลับพร้อมพวกกูนี่แหละ
เดี๋ยวกูจะจัดการมึงเอง”
“กูไม่กลับ!!”
เมี่ยงตะคอกเสียงดังอีกครั้ง เขาลุกขึ้นยืนทันทีเซไปเซมา ชิพรีบลุกขึ้นประคองเพื่อนตัวเองไว้
“จะไปไหนน่ะ!” บุ้งถามขึ้น
“ไปเยี่ยว!
มึงไม่เกี่ยวกูจะไปกับไอ้ชิพ” บุ้งถึงกับส่ายหัว
มองชิพพาเมี่ยงเดินโซซัดโซเซไปแถวๆหน้าห้องน้ำ
ผ่านกลุ่มรุ่นพี่ที่คณะบางคนก็มีทักทายกันตามมารยาท แต่เมี่ยงจำใครไม่ได้เดินดุ่ม
ๆไม่สนใจ พอจะล้มชิพก็เข้ามารับเอาไว้อีก
“ไอ้บุ้งแม่งปากเสีย มันบอกจะโทรบอกไอ้เอสไม่ให้มารับกู” เมี่ยงยกมือขึ้นปาดน้ำตาทำหน้ายุ่ง
ๆ ตัดพ้อต่อว่าบุ้งให้ชิพฟัง
“มึงก็ไปเชื่อมัน กูโทรเรียกแล้วเดี๋ยวไอ้เอสมา”
“มันไม่ได้อยู่กับแฟนมันรึไงวะ”
“กูถามเหอะ มันบอกอยู่คนเดียว”
“อยู่คนเดียวจริงดิ? รู้งี้ชวนมันมากินด้วยดีกว่า
โอยยกูอยากจะอ้วกว่ะ”
“อ้วกดิ”
“ไม่ออกหรอก เดี๋ยวไปกินต่ออีกหน่อย”
“ยังจะกินต่ออีกเหรอวะมึง”
“เออน่า” เมี่ยงผลักชิพออกบอกจะเข้าห้องน้ำ
พอต่างคนต่างเข้าไปทำกิจธุระกันเสร็จแล้วเมี่ยงออกมายืนสูบบุหรี่รับลมอยู่ด้านนอก
เมาจนจะยืนไม่อยู่มองเห็นคู่รักสองสามคู่ยืนกอดคอกันอยู่ข้าง ๆ
เขาพยายามจะเดินกลับมาที่โต๊ะ
ชนเข้าอย่างจังกับโต๊ะใหญ่โต๊ะหนึ่งจนคนทั้งโต๊ะหันมอง
ไอ้คนที่อยู่ใกล้สุดลุกขึ้นทันที
“อ้าวเดินยังไงวะไอ้น้อง”
“โต๊ะมึงแม่งตั้งขวางตีน” เมี่ยงเชิดหน้าตอบอย่างไม่กลัว
“แหม่ หน้าตาสวยๆแต่พูดจาหมาไม่แดกเลยนะครับ
คุ้นหน้าเหมือนกันนะเรา เด็กนิเทศเหรอวะ”
พลั่ก!
“ถุยย นิเทศพ่อมึงสิ กูจะเอาเกียร์ยัดปากมึงหรอกไอ้เหี้ย!”
“อ้าวพูดแบบนี้ก็สวยเลยครับ กูจัดมึงสักหมัดก่อนละกัน...”
หมัดใหญ่รุนๆกำลังจะถูกซัดเข้ามาแสกหน้า เมี่ยงยืนนิ่งไม่หลบเลยแม้แต่สักนิด
แต่เป็นมือใหญ่ของใครบางคนที่เข้ามาคว้าเอาหมัดนั้นไว้ได้
“โทษทีครับพี่ เพื่อนผมเองขอละกัน” เสียงทุ้มที่ดังขึ้นข้าง ๆ
ทำให้เมี่ยงต้องหันขวับไปดู เขาเงยหน้ามองคนที่เขารอคอย
ตอนนี้เอสมายืนอยู่เคียงข้างเขาแล้ว
“ไอ้เมี่ยงแม่ง เกือบไปแล้วนะมึง พี่ครับผมขอโทษจริง ๆ
เพื่อนผมแม่งเมาแล้วเรื้อนมาก” ชิพที่ออกจากห้องน้ำมาแล้วไม่เห็นเมี่ยงเดินตามหา
จนเจอสองคนที่เกือบๆจะมีเรื่องกัน
ดีที่เอสก้าวเข้ามาเร็วกว่าเขาห้ามศึกครั้งนี้ไว้ได้
พวกรุ่นพี่กลุ่มนี้เรียนศิลปกรรมไม่ค่อยมีใครกล้ายุ่ง เฮียเต้เคยเตือนไว้อยู่เหมือนกัน
และตอนนี้เอสมันกำลังเคลียร์ให้อยู่
คิดว่าคงรู้จักมันทั้งกลุ่มเพราะพอพูดว่ามันเป็นน้องรหัสเฮียเต้กับพี่รัฐท่าทางทั้งกลุ่มอ่อนลงอัตโนมัติเลย
“ขอโทษอีกครั้งจริง ๆ ครับ ผมขอตัวเลยละกัน”
เอสดึงแขนเมี่ยงบอกให้เดิน รายนั้นเซเหมือนจะล้ม เขาเลยจับเอาแขนเล็กพาดใส่บ่าหันไปทำตาดุใส่เมื่อเมี่ยงบอกง่วงนอนอยากจะกลับแล้ว
“ขอโทษมากๆเลยครับ
จริงๆมันนิสัยดีนะแต่เมาแล้วหมายังอายแบบนี้ตลอด แย่มากๆเลย”
ชิพรีบค้อมหัวขอโทษด้วยอีกแรง เอสคนเดียวมันก็ดูเย็นชาเกินไป
“เออๆไม่เป็นไรหรอก พวกมึงเป็นน้องรหัสไอ้เต้ไอ้รัฐก็เหมือนน้องพวกกู
รู้จักกันไว้ก็ดีแล้ว พาเพื่อนมึงกลับเหอะไป เมาไม่รู้เรื่องแล้วนั่น เรื้อนฉิบ” เอสพาเมี่ยงเดินมาจนถึงโต๊ะ
ชิพเองก็ประครองอยู่ข้าง ๆ
เมี่ยงตัวเล็กก็จริงแต่มันเดินเซมั่วซั่วมากๆเวลาเมาแล้วไม่น่าดูแบบนี้บ่อยเลย
“หาเรื่องจริงจริ๊ง” พอมาถึงโต๊ะบุ้งมองเอสที่โยนเมี่ยงลงใส่เก้าอี้อย่างไม่ใส่ใจ
ส่ายหัวแล้วยืนจ้องมอง แต่อีกคนก็แค่ดึงคนทำหน้าเบื่อหน่ายให้นั่งลงมาข้างกัน
ชิพขยับเข้าไปนั่งอีกฝั่งหนึ่งของบุ้ง
“เป็นไรของมึงวะ
เมื่อตอนเย็นยังไม่เห็นมีวี่แววว่าจะมาเมาแบบนี้เลยนี่หว่า”
เอสบ่นไปพลางรับแก้วจากชิพเข้ามาจิบ
“ไอ้เอสกูง่วงนอนว่ะ นอนตรงนี้เลยได้มะ นอนข้าง ๆ มึง”
เมี่ยงงัวเงียเงยหน้าไปถามเอสใกล้ ๆ
เขาเอาหัวชนๆกับต้นแขนใหญ่เอสถอนหายใจหนักๆไม่ตอบโต้
เมี่ยงจับท่อนแขนใหญ่พาดใส่คอตัวเองแล้วเอนหัวซบลงที่ๆเขามักใช้หนุนนอนประจำเวลาง่วงหรือเมา
“ตรงนี้...ที่ของกู..” เสียงเล็กพึมพำแผ่วเบา
เพียงแต่ชิพกับบุ้งได้ยินเต็ม ๆ สี่หู หันมองหน้ากันแล้วส่ายหัว
“ฮ.อึกก...ฮึกก...กูง่วงนอน...” เมี่ยงหลับตาลงแน่น
สองมือกำเสื้อที่หน้าอกเอสจนสั่น เสียงพร่ำเพ้อของคนเมา
บวกกับความลับในหัวใจที่ถูกปิดซ่อนเอาไว้ เขาทำได้มากที่สุดก็แค่ร้องไห้แล้วบอกว่าง่วงนอนออกมาเท่านั้น
เอสก้มลงมองคนที่ซบอยู่กับอกตัวเองแล้วยกมือขึ้นลูบหัวเล็กเบา ๆ
“นอนเลย เดี๋ยวพากลับ”
“มึงใจดีที่สุดอ่ะ...”
...มึงกลับมาเป็นไอ้เอสของกูได้ไหม เป็นของๆกูแค่คนเดียว
หรือถ้าคนๆนั้นจะไม่ใช่กูก็ขอให้เป็นผู้หญิงที่มึงรัก
ขอให้เป็นคนที่จะมีลูกที่น่ารักให้มึงได้ ขอให้เป็นคนที่เขารักมึงจริงๆ
ไม่ใช่ความรักเลื่อนลอยแบบที่มึงเฝ้าทุ่มเทให้เขาแบบเดียวอย่างนี้...นั่นคือสิ่งที่อยู่ในใจที่อยากจะเอ่ยปากพูดออกมามากที่สุด
แต่คนที่แอบรักแบบเขาทำได้แค่เพียง...เท่านี้
.
.
“ขอบคุณทุกประสบการณ์ในวันนี้ครับ
ทุกๆเรื่องราวรักลับๆจากเพื่อนสนิท ทุกความรู้สึกที่เก็บซ่อนไว้ สองชั่วโมงเต็มๆ
ยังมีสายอีกเยอะมากเหลือเกินครับ รวมไปถึงทั้งอีเมล ในแฟนเพจ
ขอบคุณสำหรับการต้อนรับที่ดีเกินคาด ผมดีเจแบงค์และดีเจแคปอบอุ่นมากๆ เดี๋ยววันศุกร์หน้าเรามาเคลียร์แฟนเพจ
เคลียร์อีเมลกัน ส่งเข้ามาได้เรื่อย ๆ
เราสองคนสัญญาว่าทุกๆข้อความที่คุณส่งมาไม่เสียเปล่าแน่นอนอย่างน้อย ๆ
เราจะเลือกหยิบยกขึ้นมาคุยขึ้นมาตอบคำถามกัน คือมันเยอะมากมายจริง ๆ ครับดีเจแคป
นี่ขนาดสองชั่วโมงแรกของพวกเราเท่านั้น คือผมปลื้มมากจริง ๆนะ”
“ครับผม ปิดเบรกสุดท้ายของรายการด้วยเพลงเพราะความหมายดีๆ ที่เข้ากับบรรยากาศของค่ำคืนวันนี้
‘รักลับๆจากเพื่อนสนิท’
แล้วเจอกันอีกทีวันศุกร์หน้าห้าทุ่ม
ดีเจแคปดีเจแบงค์พวกเราจะกลับมารายงานตัวที่ตรงนี้แน่นอน แล้วเจอกันครับผม”
แคปส่งอินโทรเข้าเพลงปิดรายการ...
♬ ♫ ~ ได้ชิดเพียงลมหายใจ...แค่ได้ใช้เวลาร่วมกัน
แค่เพื่อนเท่านั้น แต่มันเกินห้ามใจ
ที่ค้างในความรู้สึก ว่าลึกๆเธอคิดยังไง....รักเธอเท่าไร แต่ไม่เคยพูดกัน
อะไรที่อยู่ในใจก็เก็บเอาไว้....มันมีความสุขแค่นี้ก็ดีมากมาย
เธอจะมีใจหรือเปล่า....เธอเคยมองมาที่ฉันหรือเปล่า
ที่เราเป็นอยู่นั้นคืออะไร
เธอจะมีใจหรือเปล่า....มันคือความจริงที่ฉันอยากรู้ติดอยู่ในใจ
แต่ไม่อยากถาม.....กลัวรับมันไม่ไหว ♪ ♫ ~
หลังปล่อยเพลงสุดท้ายของรายการออกไปแคปถอดเฮดโฟนวางไว้ที่โต๊ะ
เขาหมุนเก้าอี้แล้วลุกเดินออกมายืนอยู่ในจุดที่กล้องถ่ายไม่ถึง แบงค์ลุกตามออกมาทิ้งตัวนอนลงที่โซฟายาวทันที
“เหนื่อยฉิบ หมดพลังเป็นบ้าเลยว่ะแม่ง”
เสียงทุ้มบ่นพึมพำบิดขี้เกียจสองสามรอบ แคปมองดูคนที่นอนแล้วเหยียดขาออกมาขวางทาง
เขาเตะๆขามันบอกให้นอนดี ๆ
แบงค์คว้าหมอนใบเล็กๆขึ้นมากอดแล้วนอนมองแคปเดินไปเดินมา
“ไม่กลับหรือไงมึง จะนอนเฝ้าที่นี่ดิ” แคปพลิกหน้ากระดาษเปิดดูสคริปสำหรับสัปดาห์ถัดไปที่พี่หนึ่งตระเตรียมวางเอาไว้ให้
“เดี๋ยวต้องรอพี่เติ้ลมาเปลี่ยน
ทำไมวันนี้แกมาสายวะ”แบงค์ยกข้อมือดูที่นาฬิกา
“ดีเจเติ้ล?”
“อือใช่ ตีหนึ่งถึงตีสาม
สงสัยติดธุระเดี๋ยวกูต้องปล่อยเพลงรอไปก่อน พี่เขาเข้ามาแล้วถึงจะกลับได้”
“เรื่องของมึงเหอะ”
แคปหยิบเอาสคริปทั้งปึกยัดใส่ลงในกระเป๋า
“พี่หนึ่งแกกลับแล้วเหรอวะ”
“ยังหรอก ปกติกลับดึกนะบางวันโต้รุ่ง
แต่ตอนนี้ไม่รู้แกหายหัวไปไหนว่ะ มีไรรึเปล่าถามหาทำไมวะ” แบงค์ลุกขึ้นนั่งเสยผมที่โกรกกลับมาเป็นสีน้ำตาลเข้มเหมือนเดิมแล้ว
“เปล่า งั้นกูกลับล่ะ”แคปพาดกระเป๋าขึ้นบ่า
เขายกข้อมือดูเวลานิดหน่อย นึกถึงใครบางคนที่คงจะคอยจนบ่นอุบอยู่ที่ร้านกาแฟ
“อ่า..นึกว่าจะไม่บอกลากันซะแล้ว”
เสียงคนที่นั่งกอดหมอนไว้ที่ตักแซวขึ้น แคปหันกลับมามองทันที แบงค์ก็แค่ยักคิ้วกวน
ๆ ส่งให้ เจอแคปชี้หน้าบอกห้ามกวน! แบงค์หัวเราะ
“อะไร? หันกลับมามองจะให้กูเดินลงไปส่งรึไง? เอาป่ะล่ะ กูพร้อมนะ หึหึ”
“เดี๋ยวมึงจะโดน ไว้ที่มหาลัยก่อนเหอะ”
“หูยน่ากลัวจังเลย อย่าลืมที่พูดล่ะ”
“ไอ้เด็กนรก!”
“หึหึ” แบงค์ยังนั่งขำกับทีท่าแบบนั้นของอีกคน แคปน่ะมันทำเป็นขู่ฟ่อแต่หารู้ไม่ว่า
หน้าตากับคำพูดของมันดูๆไปก็แค่แมวตัวเล็กๆที่คิดว่าตัวเองดุเหมือนเสือก็แค่นั่น
แกรกกกก
ประตูถูกผลักเข้ามาไม่มีปี่มีขลุ่ย
แคปที่ยืนอยู่ตรงนั้นพอดีรีบก้าวออกจากทางแทบไม่ทัน
เป็นดีเจเติ้ลที่แต่งตัวแนวมากๆ มาถึงก็โยนกระเป๋าลงข้างตัวแบงค์ทันที
“สายหน่อยว่ะไอ้แบงค์โทษที”
เติ้ลมองแคปแวปนึงจากนั้นหันไปมองแบงค์
“หวัดดีพี่ นี่แคปเพื่อนผมเองเพิ่งมาทำงานวันนี้วันแรก
เด็กใหม่เลยพี่ ฝากตัวไว้ด้วย”
“สวัสดีครับ” แคปไม่รู้เรื่องรู้ราว
แต่ในเมื่อแบงค์แนะนำให้รู้จักเขาสวัสดีไว้ก่อน รู้อยู่แล้วว่าคนนี้คือดีเจเติ้ล
ชื่อดัง
“เออๆหวัดดีไอ้น้อง กูฟังอยู่บนรถเมื่อกี้
ใช้ได้นี่หว่ารับส่งกับไอ้แบงค์ได้คล่องมากดูไม่รู้เลยนะว่าเป็นมือใหม่
ตอนแรกพี่หนึ่งปรึกษากับกูอยู่เหมือนกัน ฟังมึงจัดวันนี้แล้วทุกอย่างก็โอเค”
“ชมทำไมวะพี่” แบงค์ลุกขึ้นไปคว้าเอากระเป๋าของเขาขึ้นมาพาดใส่ไหล่
ในเมื่อเติ้ลมาแล้วเขาก็จะกลับ
“กูชมไอ้น้องแคปโว๊ย ไม่เกี่ยวกับมึง”
“อ้าวพี่
แคปมันรุ่นพี่ผมตั้งหลายเดือน เรียกผมเรียกไอ้แบงค์
แต่เรียกมันเรียกน้องแคป ให้ผมคิดไงอ่ะ”
“อ้าวจริงดิ หน้าเด็กว่ะมึง” เติ้ลทำหน้าเหรอหรา
แคปจึงส่งยิ้มแห้ง ๆ
เขาเติ้ลจ้องเอาๆเหมือนกำลังสำรวจหรืออะไรสักอย่างแบงค์มันรีบเอาตัวเข้ามาแทรกบังไว้
“เอามาค่ามอง” แบงค์แกล้งแบมือไปขอตังค์
“ไอ้สัส
อย่าเพิ่งกวนตีนกูมาก เดี๋ยววันนี้ยังคุยเยอะไม่ได้กูรีบ ขอตัวก่อนเลย
เข้ารายการแล้ว” เติ้ลกุลีกุจอบอกจะเข้าไปด้านในห้องออนแอร์เพราะเลยเวลามาสิบห้านาทีเห็นจะได้
แบงค์เลยแซวขึ้นอีกว่าเขามาช้าเพราะเมียกลับมาจากบินหรือไง
“ไอ้สัสแบงค์ปากดีเดี๋ยวกูตบคว่ำเลยมึง ทำเป็นรู้ดีจริง ๆ
กูต้องเอาลูกนอนก่อนดิ เล่นเกมส์กับหนูจ๊อยส์จนตากูบวมหมดแล้วเนี่ย”
“โอเคฝากคิดถึงน้องด้วย ผมไปแล้วพี่” แบงค์โบกมือบอกลา
แคปก็ค้อมศีรษะให้รุ่นพี่เขาด้วย สองคนเดินออกมารอลิฟต์ด้วยกัน
“ลูกสาวพี่เติ้ลน่ารักมากเพิ่งห้าขวบเอง แฟนพี่เขาก็นิสัยดี
บางวันพาลูกมาทำงานด้วยกูนี่ตกใจเลย” ระหว่างรอลิฟต์ขึ้นมา เขาพูดลอย ๆ
ขึ้นมาชวนแคปคุย
“ตีหนึ่งแบบนี้เนี่ยนะ”
“ใช่ดิ น้องจอยซ์น่ะ บางครั้งก็นอนที่นี่จนถึงตีสามน่ะแหละ”
“มีครอบครัวที่ใช้ชีวิตแบบนี้ด้วยเหรอวะ”
“หึหึ เยอะไป” แบงค์ยิ้มนิด ๆ
ก่อนเดินตามหลังแคปเข้าไปในลิฟต์ที่มีพวกเขาแค่สองคนเท่านั้น
“มึงกลับยังไง เอารถมา?” แบงค์กดหมายเลขชั้นพลางถามขึ้น
“.........”
“ไปส่งได้นะ เอามารึเปล่ารถน่ะ” เขาหรี่ตาถามย้ำดูอีกครั้ง
แคปส่ายหัวบอกไม่ให้ยุ่ง
“อะไร กูถามดี ๆ เรียกยุ่ง
เดี๋ยวไม่ถามเลยจะหาว่าใจดำขึ้นมาอีก”
“เหอะ มึงอยู่เงียบ ๆ ไม่มีใครว่าหรอก
พูดตลอดสองชั่วโมงแล้วไม่เหนื่อยปากบ้างรึไงวะ”
“อันนั้นมันทำงานนี่
กูพูดอยู่กับมึงคนล่ะเรื่องเลย จะเหนื่อยได้ไงวะ
ตกลงมายังไงเอารถมารึเปล่า”
“ทำไมกูต้องตอบคำถามมึงด้วยล่ะ..”
“ก็ไม่ทำไมหรอก ก็แค่ถามไง” แบงค์ยกยิ้มกวน ๆ แคปถลึงตาใส่
“ไม่ต้องมายิ้มแบบนั้น กูพี่มึงนะ
ไม่ยอมเรียกพี่แล้วยังจะมาปีนเกลียวถามนั่นถามนี่กูอีก
กูไม่ตอบมึงมีปัญหาไหมล่ะห๊ะ!”
“ดุแค่ไหนก็ไม่กลัวหรอกบอกให้รู้”
“เออดี! ไม่ต้องมากลัวกูหรอก
ก็แค่ต้องมานั่งทำงานด้วยกัน เลิกงานทุกอย่างก็คือจบ
มึงกูต่างคนต่างอยู่รู้ไว้แค่นั้น”
ติ๊ง~
“มึงหยุดไว้แค่นั้น ไม่ต้องตามกูออกมาเลย ต่างคนต่างไปรถมึงจอดอยู่ตรงไหน
รีบเลี้ยวไปให้ไวๆเลยน่ารำคาญชะมัด”
“บ้าดิ ใครจะไปหยุดอยู่ในลิฟต์” แบงค์เดินตามออกมาแบบติดๆ
แคปรีบหันไปทำท่าจะด่าขึ้นมาอีก แบงค์รีบยกมือบอกไม่กวนๆ
“ไอ้เด็กนรก!”
“หึหึ บ๊ายบายไปนะ” ก่อนที่แบงค์จะแยกไป
เขาแกล้งก้าวเข้ามาดักหน้า ทำท่าบ๊ายบายใส่แบบกวน ๆ แคปจึงผลักมันออกแรง ๆ
ก่อนชี้หน้าคาดโทษเอาไว้ คนถูกด่าก็แค่พออกพอใจยิ้มกว้างออกมาก็แค่นั้น
“ไอ้เด็กเปรตเอ๊ย กวนประสาทกูชะมัด!” แคปเดินหน้ายุ่งบ่นอุบมาคนเดียว
เขาเลี้ยวมาในโซนฝั่งซ้ายของตึกชั้นล่างสุด ร้างคนมากๆ เงียบฉี่ คือเรียกว่าไม่มีคนแล้วน่าจะได้
ตีหนึ่งแน่นอนว่ามีแต่พี่ยามน้ายามกับพนักงานเทคนิคบางส่วนที่อยู่ตามห้องออกอากาศชั้นบน
แคปเดินเข้าไปที่ร้านกาแฟสถานที่นัดหมายกันเอาไว้ระหว่างเขากับเอส
มองดูเวลาตีหนึ่งกว่าๆแต่กลับมองไม่เห็นเอสนั่งคอยอยู่ส่วนไหนของร้านทั้งสิ้น
เขาเดินเมียงมองหาจนรอบ สุดท้ายแวะถามพนักงานที่หน้าเคาน์เตอร์
“ไม่มีใครนะครับน้อง แต่ถ้าเป็นน้องคนตัวสูง ๆ เท่ ๆ
ที่ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวผมเห็นเขาออกไปตั้งแต่ก่อนเที่ยงคืนแล้วครับ”
แคปพยักหน้าแล้วบอกขอบคุณพี่ที่เป็นพนักงาน
เขาเดินออกมาด้านหน้ามองซ้ายมองขวาก่อนตัดสินใจว่าจะเดินออกไปมองหาที่ด้านหน้า
“บ้าเอ๊ย กูบอกแล้วว่าจะเอารถมาเองก็ไม่ยอม
เป็นไงล่ะทิ้งกูจนได้นะไอ้สัส กลับไปกูจะจัดการมึงให้หนักๆเลยบ้าชะมัด!”
“ก็แล้วกูจะกลับยังไงล่ะไอ้เหี้ย! เลิกตั้งตีหนึ่งมึงไปส่งกูแล้วดึกดื่นแบบนั้นให้กูเดินออกมาเรียกแท็กซี่กลับเองรึไงห๊ะ!”
“กูต้องรอรับมึงกลับพร้อมกันอยู่แล้วสิ”
“ไอ้คนขี้โกหกกูจะรอมึงแค่ตีสอง
ถ้าถึงตอนนั้นมึงทำให้กูต้องเดินออกไปโบกแท็กซี่เองกูจะเลิกกับมึงเลยไอ้ห่าราก
คอยดู!” แคปยกข้อมือดูอีกที
ก่อนทิ้งตัวนั่งลงที่ม้านั่งยาวใกล้ประตูทางออกอย่างหงุดหงิด เขาหยิบเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเปิดเครื่องเพราะว่าทำงานจึงตั้งใจปิดเอาไว้ตั้งแต่แรก
ไม่มีความคิดว่าจะโทรตาม ใครกันล่ะที่นัดไว้ดิบดี
ใครกันล่ะที่บอกเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะรอที่นี่
.
.
“เดินดีๆสิวะ มึงเมามากเลยนะบ้าเอ๊ย”
เอสที่เอาแขนเมี่ยงแบกใส่บ่าแล้วโอบเอวคนตัวเล็กค่อย ๆ ขึ้นบันได
ทุลักทุเลกันเหมือนเคย
เวลามันเมาเขาต้องพามันกลับมาโยนไว้ที่ห้องไม่งั้นก็จะพากลับไปนอนค้างที่ห้องเขาเลย
แต่วันนี้เห็นทีคงไม่ได้ ตัดสินใจพากลับมาที่ห้องมันแบบนี้น่าจะดีกว่า ห้องของเมี่ยงอยู่แค่ชั้นสองเพราะอย่างนั้นจึงเดินกันไม่นานมากนัก
“กุญแจอยู่ไหน อย่าเพิ่งหลับนะเว้ย”
“อือออ ง่วง เมี่ยงซบหน้าลงแถว ๆ
ซอกคอแกร่งก่อนกระซิบบอกเอสเบา ๆ ว่ากุญแจอยู่ในกระเป๋าเสื้อคลุมให้ล้วงเอาได้เลย มือเล็กอีกข้างสวมกอดคนตัวโตไว้กันล้ม
“ยืนดีๆ” เอสล้วงกุญแจออกมาได้แล้ว
ลักษณะของสองคนคล้ายคนยืนกอดกันอยู่หน้าห้องไม่มีผิด
ดีที่ดึกแล้วแต่ก็ยังมีสายตาบางคู่ที่มองมาที่พวกเขาอยู่
ที่สำคัญรู้จักกันด้วยรุ่นน้องคณะเดียวกับพวกเขาทั้งกลุ่ม
“พี่เมี่ยงเมาเหรอครับพี่” เสียงน้องห้องข้าง ๆ ทักมา
เอสพยักหน้าบอกใช่
“ผมช่วยอะไรไหมอ่ะ”
“ไม่เป็นไรขอบใจมาก” เอสเปิดประตูเข้าไปโยนไอ้เพื่อนตัวเล็กลงที่เตียงแบบไม่ต้องรอ
เขาหนักมากๆเมี่ยงเล่นกอดเขาเอาไว้ทั้งตัว
ตอนที่เดินขึ้นมามันโถมตัวเขาทิ้งน้ำหนัก
เพราะอย่างนั้นเขาเหมือนอุ้มมันขึ้นมานั่นแหละ
“อ่ะ! มึงโยนกูทำไมอ่ะ” เมี่ยงโวยวายขึ้นมาอีก
นอนแผ่หราอยู่ที่เตียง มองเอสแล้วบอกตัวเองร้อนจะถอดเสื้อ
“เรื่องของมึงเหอะ” เอสส่ายหัวมองดูเวลาที่ข้อมือ
“ถอดให้หน่อย” เสียงงัวเงียสั่งขึ้นมาอีก
เอสจึงหันไปมองด้วยสายตาดุๆ เมี่ยงยู่ปากใส่ทำหน้างอแง
“ถอดให้กูหน่อย เช็ดตัวให้กูด้วย ทำเหมือนเมื่อก่อนไง” สองแขนเล็กชูบอกให้เพื่อนสนิทตัวเองดูแล
เอสส่ายหน้าก่อนเดินเข้ามานั่งลงข้าง ๆ จับเมี่ยงลุกขึ้นนั่งดี ๆ
มือหนากำลังจะปลดกระดุมเม็ดแรกออกให้ แต่เขากลับนึกถึงคำพูดของใครบางคนขึ้นมา
“หยุดทำไมล่า! กูร้อนเนี่ย
ถอดไม่ออกเลย กระดุมแม่งเหี้ย อื้อๆๆๆๆๆ” เมี่ยงเห็นเอสหยุดชะงักไปแบบนั้น
ด้วยความเมาทำให้ความเอาแต่ใจเพิ่มระดับขึ้นมาอีกสองสามขั้น
เขาจัดการดึงๆๆเสื้อจะปลดกระดุมเอง แต่มันไม่ทันใจ
เขาดึงเอาดึงเอาจนเหมือนกับเสื้อมันจะขาดออกเสียให้ได้
แค๊วก!
“บ้าเอ๊ย มึงเป็นเหี้ยไรวะไอ้เมี่ยง จะรีบร้อนไปไหน
มานี่เดี๋ยวถอดให้” ในที่สุดเสื้อขาดออกจริงอย่างที่คิด เอสรีบเข้ามาจับมือห้ามไว้
“มึงพากูอาบน้ำด้วยนะ”
“ไม่เอา นอนไปเลยไป” เอสผลักคนตัวเล็กลง บอกให้นอนลงไปเลย
เมี่ยงเบะปากอ้อนแววตาเต็มไปด้วยความน้อยอกน้อยใจ
“......ฮึกกก.....”
“กูไม่ใจอ่อน”
“งั้นเช็ดตัวก็ได้ กูอยากเช็ดตัว ง่วงนอนแล้ว”
“.........”
“ร้อนนนนนนน”
“งั้นก็นอนรอดี ๆ เดี๋ยวจัดการให้” เอสชั่งใจอยู่ครู่นึง
ก่อนถอดเสื้อปลดกางเกงเมี่ยงลงมาจนเสร็จ เขาเดินเข้าไปที่ห้องน้ำ
ดึงเอาผ้าขนหนูผืนเล็กๆออกมา ก่อนคว้าเอากะละมังมารองน้ำใส่
“นอนดีๆสิวะ เช็ดตัวเสร็จมึงนอนเลยนะ” มือหนาบิดผ้าชุบน้ำใส่กะละมัง
เขาค่อยบรรจงเช็ดให้ไล่จากใบหน้าเล็กไล่ลงมาเรื่อย ๆ
“มึงค้างกับกูสิ” เมี่ยงเลื่อนมือไปจับมือที่กำลังเช็ดลำตัวให้เขาอยู่
“ค้างไม่ได้”
“..........”
“พลิกหน่อย เดี๋ยวเช็ดข้างหลังอีกนิดนึง”
“อุบ! กูจะอ้วก” เมี่ยงลุกพรวดขึ้นมา
เอสจึงรีบพาไปอ้วกในห้องน้ำ เขาลูบหลังให้แล้วมองดูคนที่โก่งคออ้วกราวกับจะขาดใจมองดูเวลาที่ข้อมืออีกครั้ง
ก่อนหันมองข้ามไหล่ตัวเองไปที่ประตูหน้าห้อง
....เกือบจะตีสองแล้วจริง ๆ....
.
.
บิ๊กไบท์คันใหญ่จอดตัวลงที่หน้าบันไดสูงทางขึ้นตึก
แต่นั่นไม่ได้ทำให้คนที่นั่งมองหน้าจอมือถือเงียบ ๆ สนใจเงยหน้าขึ้นมอง แคปเพิ่งคุยสายกับโก้และเต้ที่ต่างก็โทรมาแซวเรื่องงานวันแรกของเขา
ทั้งคู่ต่างรอฟังการออนแอร์ครั้งแรกอย่างใจจดใจจ่อ
“เฮ้! มึงรอใครวะทำไมถึงยังไม่กลับ” แบงค์เดินขึ้นมาเตะเข้าที่ขาแคปเบาๆหนึ่งทีเรียก
คนถูกเตะสลับขาถีบผั๊วะเข้าไปโครมใหญ่ แบงค์เบ้หน้าบอกเจ็บ
“กูพี่มึง บอกไม่รู้กี่ร้อยหนแล้ว
เรียกกูน่ะให้เกียรติกูบ้าง”
“แล้วจะให้เรียกว่ายังไง”
“พี่แคปไง กล้าเรียกป่ะล่ะ”แคปหันไปทำหน้าท้า
“ก็เรียกได้นะ แต่ใครล่ะจะยอมเรียก”
“ทำไมวะ” แคปหันไปจ้องหน้าถามทันที แบงค์ก็แค่ยักไหล่
“เรียกเตี้ยได้ไหมอ่ะ”
“ไอ้เด็กเวร กูไม่อยากพูดกับมึงแล้ว” แคปยกนาฬิกาขึ้นดู
จวนจะตีสองแล้ว เขาลุกขึ้นกระชับกระเป๋าใส่บ่า ก้าวเดินออกไป แบงค์รีบเดินตาม
“มึงรอใคร แฟนมึง? ไอ้วิศวะนั่นน่ะเหรอ”
“มัน-ไม่-ใช่-แฟน-กู ไอ้สัสนรกอ่อนหัดนี่” แคปหันมาถลึงตาใส่
“ไม่ใช่แฟนจริงดิ”
“เรื่องของกู มึงไม่เกี่ยวหลีกทาง”
แคปผลักแบงค์ให้หลีกออกจากทาง เขาเดินลงบันได
มองผ่านไปถึงด้านหน้ามืดมากๆต้องเดินออกไปเรียกแท็กซี่ถึงตรงโน้น
“ถ้ามันไม่ใช่แฟนมึงแล้วมึงมานั่งรอใครวะแคป”
“เรื่องของกู”
“แต่มันมาส่งมึง แล้วก็หายออกจากห้องไปช่วงเบรคแรก
มันบอกให้มึงรอมันที่นี่?” แบงค์ทำท่าเรียบเรียงเหตุการณ์แล้วนึกไปเอง
แคปหันไปมองตาเขียว “เรื่องของกู
มึงได้ยินไหมห๊ะ! ต้องให้กูบอกเป็นรอบที่เท่าไหร่
หลีกทางสิวะไอ้เด็กบ้านี่”
“ไม่ต้องรอแล้วมันดึกมากขนาดนี้เดี๋ยวกูไปส่งมึงเอง”
แบงค์บ่ายหน้าไปที่รถมอไซด์คันใหญ่ของตัวเอง บอกเขาจะไปส่งให้
แต่แคปกลับส่ายหน้าไม่สนใจข้อเสนอ
“หลีกไป! อย่ามาขวางทาง”
“แล้วมึงจะกลับยังไง มันดึกมากแล้วนะแคป ตีสองเนี่ย”
“ถอย”
หมับ!
แบงค์คว้าเอาแขนแคปดึงบอกให้ไปขึ้นรถด้วยกัน
อีกคนกำลังจะอ้าปากด่า แข้งขากำลังจะยกขึ้นมาถีบ ลุงยามประจำตึกทั้งวิ่งทั้งเดินหน้าตาตื่น
ๆ เข้ามาหา
“โหหหหหหคุณครับ แห่กๆ ผมตามหาคุณจนทั่วเลย
ขึ้นไปหาชั้นบนก็ไม่มี หาที่ลานจอดรถก็ไม่เห็น ไปถามที่ร้านกาแฟก็บอกคุณออกมาแล้ว
แห่กๆ ขนาดมินิมาร์ทข้าง ๆ นี่ผมก็ยังไป ที่แท้คุณมานั่งหลบอยู่มุมนี้นี่เอง”
“มีอะไรรึเปล่าครับลุง” แบงค์เป็นคนถามขึ้น
“คุณชื่อคุณแคปใช่ไหม ดีเจใหม่ที่ทำงานคู่กับคุณแบงค์น่ะครับ”
“ใช่ครับ ลุงมีอะไรกับผมรึเปล่า”
“โอ๊ยยยยให้ตายเถอะ
ผมเห็นคุณนั่งรออยู่แถวนี้ได้สักพักแล้วแต่ไม่เห็นคุณแบงค์เลยไม่มั่นใจ
ถ้ารู้ว่าใช่ผมจะเข้ามาบอกนานแล้วล่ะครับ”
“ก็แล้วมันอะไรล่ะครับลุง เข้าเรื่องได้หรือยัง”
“ขอโทษครับ อ่ะนี่ มีคนฝากอันนี้ไว้ให้กับคุณ ผู้ชายตัวสูง ๆ
เท่ๆน่ะครับ ใส่จิวที่หูเม็ดเล็กๆฝั่งขวา ผมถามชื่อเขาก็ไม่บอก
บอกแค่ว่าฝากไว้ให้กับคุณแคป เดี๋ยวคุณจะรู้เอง
ผมก็รอจนตีหนึ่งว่าจะขึ้นไปพอดีว่าต้องไปดูแบตเตอรี่รถให้ดีเจอีกคนที่เพิ่งเลิกงานรถน้องเขาเสีย
พอขึ้นไปหาคุณด้านบน คุณเติ้ลบอกว่าพวกคุณลงมากันแล้ว
ผมนี่วิ่งตามหาจนวุ่นเลยครับ”
“ขอบคุณครับลุง”
ลุงยามยื่นพวงกุญแจรถยนต์ที่แคปคุ้นตาเป็นอย่างดีส่งให้
พร้อมกับที่คั่นหนังสือสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ถูกพับครึ่ง แคปก้มลงมองดูมันเป็นข้อความจำนวนหนึ่งที่ถูกเขียนใส่ลงไปในนั้น
เขากวาดตาอ่านรายละเอียดแบบคร่าว ๆ
“ผมขอโทษมากมายจริง ๆ
นี่ถ้าคุณแคปกับคุณแบงค์กลับไปแล้วผมเองก็ไม่รู้จะทำยังไง
แต่เมื่อกี้ก็กำลังจะเดินขึ้นไปขอเบอร์โทรคุณแบงค์จากคุณเติ้ลเพื่อขอเบอร์โทรคุณอีกทอดหนึ่งนี่แหละครับ”
“ไม่เป็นไรครับลุง
ผมถือโอกาสนั่งเล่นอยู่แถวนี้ก็เปลี่ยนบรรยากาศดีเหมือนกัน
ลุงไม่ต้องคิดมากนะครับ” แคปยิ้มให้แล้วบอกไม่เป็นไร
เขากล่าวขอบคุณอีกครั้งก่อนที่ลุงยามจะขอตัวเดินออกไป
“อะไรกัน
ตัวไม่อยู่แต่ฝากกุญแจรถไว้ให้ขับกลับเองนี่มันน่าคิดอยู่นี่หว่า..” แบงค์เหลือบมองของทั้งหมดที่อยู่ในมือแคป
อีกคนก็แค่รีบชักมาแอบไว้ด้านหลังแล้วใช้สายตาดุบอกไม่ให้ดู
“แล้วมึงยุ่งอะไร”
“ก็เปล๊า..” แบงค์ยักไหล่
ทำเสียงสูงน่าหมั่นไส้จนแคปอดไม่ได้ยกขาจะเตะมัน
“อะไรๆจะหาเรื่องหรือไง”
“เออ กูจะหาเรื่องมึงนี่แหละ แน่จริงอย่าหนีสิวะ”
แคปทำท่าจะวิ่งไล่ แบงค์ที่รีบวิ่งหนีหันมาไล่บอกให้เขากลับได้แล้ว มันดึกมากแล้ว
“ไอ้เด็กนรก!”
แคปขยับปากตะโกนด่าแบบไร้เสียง
แบงค์ก็แค่ยืนพิงรถมองดูอีกคนที่เดินเลี้ยวเข้าไปชั้นใต้ตึก
สักพักนึงไม่นานนักรถบีเอ็มดับเบิ้ลยูสีขาว ที่เขาจำได้แม่นยำว่าเคยขับโฉบปาดหน้าเขาเมื่อตอนอยู่ที่หน้าตึกเรียนของคณะเกษตรก็ขับเลี้ยววนออกมา
กระจกฝั่งคนขับค่อยๆลดต่ำลง แคปเอามือออกมาชี้หน้าใส่
“ยืนอยู่ทำซากเหรอมึง
บอกกูว่าดึกแล้วแต่ตัวเองยังไม่ยอมกลับเนี่ยนะ”
“.................” แบงค์ไหวไหล่นิดๆเขาไม่ได้ตอบโต้อะไร
เพียงแค่ยกยิ้มมุมปาก ก่อนยกมือทำท่าบ๊ายบายแคปอีกสักรอบด้วยท่าทีกวน ๆ
“บ้าฉิบ!”
แคปชี้หน้ามันหนักๆคาดโทษอีกที กดกระจกเลื่อนขึ้นก่อนเลี้ยวรถขับออกมาอย่างหัวเสีย
ขับไปบ่นไป
เขาหยิบเอาที่คั่นหนังสือนั่นขึ้นมาดูรายละเอียดด้านในอีกครั้งในตอนที่รถติดไฟแดง
ข้อความที่ทำให้เขาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง
เปิดดูข้อความในโทรศัพท์ด้วย
หอพัก Zerie ซ.C12
ถัดประตูตะวันออกของมอเราประมาณห้าร้อยเมตร
ชั้นสองห้อง
XXX
มารับกูกลับพร้อมมึง
“บ้าเอ๊ย จู่ ๆ
ก็หายหัวไปธุระเหี้ยไรก็ไม่ยอมบอก ก็แล้วทำไมกูต้องไปรับมึงด้วยล่ะวะไอ้สัส คอยดูนะถึงเมื่อไหร่กูจะลากคอมึงลงมารับโทษทัณฑ์ให้สมกับที่กูนั่งคอยเลยคอยดู!” ถึงจะบ่นไปแบบนั้นแต่แคปก็ตัดสินใจตีไฟเลี้ยวเปลี่ยนเลน
เพื่อจะตรงไปยังสถานที่ๆถูกเขียนบอกเอาไว้
.
.
“รู้สึกดีขึ้นหรือยัง”
หลังจากพาเมี่ยงออกมาจากการวิ่งเข้าไปอ้วกในห้องน้ำเป็นรอบที่สาม เอสวางเพื่อนตัวเองลงที่เตียง
แล้วบอกให้นอนลงไป เขาจับหมอนสองใบมาหนุนซ้อนกัน
ก่อนจะถกแขนเสื้อเชิ้ตของตัวเองพับให้สูงขึ้นอีกหน่อย “เร่งแอร์หน่อยดีกว่า
มึงจะได้สบายตัว”
“กูง่วงนอน” คนตัวเล็กปรือตาด้วยความเพลีย เขาเมาหนักจนแฮงค์
ง่วงนอนจนเหมือนจะตายแต่ไม่อยากจะหลับตาลงไปเพราะว่ากลัวคนข้าง ๆ จะหายวับไปอีก
“อือนอนสิ..” เอสนั่งลงข้าง ๆ ดันไหล่เล็กบอกให้นอนลงไป
เมี่ยงขยุ้มเสื้อเอสจนมือไม้สั่น
“มึงนอนด้วยกันนะ นี่ไงที่มึงน่ะ อย่าหายไปอีกได้ไหม นอนข้าง
ๆ กู นอนตรงนี้ด้วยกัน”
“มึงนอนเถอะไอ้เมี่ยง หลับไปเลยกูนั่งอยู่ตรงนี้แหละ”
“กูกลัวมึงจะหายไป....ฮึกก...อยากให้อยู่ข้างๆกัน ฮึกกก”
“ร้องไห้เป็นเด็กๆทำไมวะ มึงโตแล้วนะไม่ใช่เด็กแบบเมื่อก่อน
นอนได้แล้ว ตื่นมามึงจะรู้สึกดีขึ้นเอง” เขาเอาปลายนิ้วโป้งปาดเช็ดหยาดน้ำตาออกให้
เมี่ยงค่อยเลื่อนมือเข้าจับมือใหญ่และเย็นนั้นไว้แน่น
“กูกลัวมึงจะหนีกลับไป”
“นอนเถอะ กูจะรอจนมึงหลับก่อน”
“กู....”
“กูจะไม่หนีกลับ
แต่กูจะบอกให้มึงเข้าใจถ้ามึงหลับแล้วกูก็จะกลับ นอนได้แล้วไอ้เมี่ยง
กูปิดไฟแล้วนะ”ความจริง การพูดทำความเข้าใจกับคนเมา
บางทีก็ต้องยอมรับว่ามันเข้าใจยากเย็นมากจริง ๆ แต่เอสก็ไม่อยากจะโกหกเพื่อนว่าตัวเขาจะอยู่เฝ้ามันจนสร่างเมาได้
“ไม่เอา! ไม่ให้ปิด!! กูจะมองไม่เห็นมึง
เปิดเอาไว้แบบนี้แหละให้กูได้เห็นว่ามึงนั่งอยู่ตรงนี้ข้าง ๆ กู ฮึกก ฮอึกก..”
เอสที่กำลังจะลุกขึ้นไปปิดไฟ เขาต้องหยุดตัวเองไว้แค่นั้น
เขามองอีกคนอย่างไม่เข้าใจเลยจริง ๆ วันนี้เมี่ยงมันเอาแต่ใจตัวเองมาก ๆ
ทั้งร้องไห้ ทั้งเพ้อเจ้อ
ทุกทีเวลาเมาถึงมันจะชอบโวยวายแต่ไอ้ประเภทร้องไห้หนักขนาดนี้บอกตรง ๆ
เพิ่งเจอวันนี้ครั้งแรกเลย
“หลับตาเถอะ..” มือใหญ่ลูบลงที่หัวเล็กแล้วเอ่ยเบา ๆ
บอกให้หลับตาลง เมี่ยงเพียงแค่ส่ายหน้า น้ำตาหยดลงที่ท่อนแขนของอีกคน
“กูขอโทษที่งอแง กู....กู....ฮึกก อึกก..”
“ไม่เป็นไร นอนซะ”
“ไอ้เอส...มึงจำได้ไหมวะเมื่อก่อนเวลาที่พวกเราไปเมาด้วยกัน
มึงจะพากูกลับไปค้างที่ห้องมึงด้วยเกือบทุกครั้งเลยนะ
ไม่อย่างนั้นมึงก็จะมานอนค้างอยู่ที่นี่ ตอนนั้นน่ะปีหนึ่งเราเมากันทุกคนเลย
ไอ้ชิพกับไอ้บุ้งก็ยังมานอนกองกันอยู่ที่นี่เลย เพราะว่าห้องกูอยู่ใกล้ที่สุด
มึงบอกมึงขับรถไม่ไหว สุดท้ายกูลากมึง มึงลากกู
เราสองคนโซซัดโซเซขึ้นมานอนที่เตียงนี้ด้วยกันไงวะ มึงจำได้รึเปล่า..”
“อือ จำได้สิ”
“ตอนไปรับน้องที่ชะอำ กูเมาจนเดินไม่ได้มึงต้องแบกกูใส่หลังเดินกลับบ้านพัก
ตอนนั้นตีสามไม่มีใครอยู่แถวนั้นเลย กูกลัวมาก ทั้งเมาทั้งกลัว
มึงก็กอดกูไว้แล้วเราสองคนก็หลับไปด้วยกันทั้ง ๆ แบบนั้น มึงยังจำได้อยู่ใช่ไหม”
“จำได้”
“วันนั้นหลังสอบเสร็จ เราสี่คนไปฉลองกันที่ผับ
กูเกือบมีเรื่องกับไอ้พวกบ้านั่นแล้ว พอมันเห็นมึงเข้ามายืนอยู่ข้างหลังกูแค่นั้น
แต่ละคนหางจุกตูดกันไปเลย กูขำมาก
เวลาที่มึงอยู่เคียงข้างกูกูไม่เคยนึกกลัวอะไรเลย ถึงจะต้องมีเรื่องชกต่อยกับใครต่อใครกูก็ไม่กลัว
เพราะมึงไม่เคยปล่อยให้กูโดนทำร้ายอยู่ฝ่ายเดียว กูยังจำวันนั้นได้ดี วันที่น้องชายเฮียเต้กับเพื่อนของมันเข้ามาเอาเรื่องกูถึงที่คณะ
กูโดนมันทั้งชกทั้งกระทืบแต่มึงก็ไม่ปล่อยกูให้โดนทำแบบนั้นอยู่ฝ่ายเดียว
มึงเข้ามาลากมันออกไปจัดการให้กู มึงชกมัน ตบหน้ามัน
ซ้ำยังเกือบจะกระทืบมันถ้าหากเฮียเต้ไม่เข้ามาห้ามเอาไว้ กูยังเชื่อนะเว้ย
ว่าถ้ากูกับไอ้แคปนั่นมีเรื่องกันอีกครั้ง คนที่มึงจะพุ่งเข้าช่วยเป็นคนแรก
ก็ยังคงจะเป็นกูคนนี้........................................................ใช่ไหม??”
“กูจะดูที่เหตุผล” เอสตอบออกมาแทบจะทันที
เขาขยับตัวหยิบหมอนข้างส่งให้เมี่ยงกอดแบบดี ๆ ก่อนที่ตัวเองจะกอดอกพิงลงที่พนักพิงหัวเตียงอีกครั้ง
“นอนเถอะอย่าพูดเพ้อเจ้อเลย หลับตาลงได้แล้ว..”
น้ำเสียงทุ้มต่ำมาพร้อมกับมือที่ตบบ่าเขาแล้วบีบเบา ๆ
ขณะที่ใบหน้าเล็กค่อยๆเงยขึ้นมองคนข้างตัวด้วยความรู้สึกทั้งหมดของหัวใจ
เขาอยากจะถามออกมาเหลือเกิน ถ้าหากจะเปลี่ยนจากคน ๆ นั้นเป็นเขา
ทุกอย่างระหว่างเราสองคนจะเป็นไปได้หรือไม่
แต่ด้วยเส้นที่กั้นกลางระหว่างคำว่าเพื่อนจึงทำให้เขาแค่หลับตาลงแน่น
หันหน้าเข้าหาอีกคนก่อนพาดวงแขนกอดเอวเอสไว้จนแน่น
ทุกคำพูดทุกการกระทำของสองคนในห้อง
ผ่านโสตและสายตาของคนที่ยืนพิงแผ่นหลังเข้ากับผนังด้านหน้าริมบานประตูที่ถูกเปิดแง้มเอาไว้
แคปยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นจนเสียงพูดคุยในห้องเงียบลง
ห้องพักขนาดเล็กที่เดินเพียงสองสามก้าวก็ถึงหน้าเตียง
ทุกๆถ้อยคำเขาได้ยินจากตรงนี้ชัดเจน
ไม่นึกไม่ฝันว่าเรื่องราวที่คล้ายคลึงกับตีมรายการที่เขาเพิ่งจะจัดมาจากรายการวิทยุเมื่อสักครู่จะตรงกับคนใกล้ตัวเขาแบบนี้
ความรู้สึกของคนที่โฟนอินเข้ามาคุยกับเขาและแบงค์มันน่าเศร้าใจอยู่ไม่ใช่น้อย
ถ้าเป็นก่อนหน้าที่จะมาจัดรายการนี้เขาคงเดินเข้าไปกระชากไอ้เพื่อนตัวเล็กของมันแล้วเหวี่ยงทิ้งออกไปหลังห้องโน่นแล้ว
แต่ตอนนี้เขาทำไม่ลงจริง ๆ มือขาวสะอาดล้วงเอาบุหรี่ขึ้นมาจุดขณะที่ก้าวลงบันไดมาแบบเงียบ
ๆ ควันสีเทาหม่นลอยคละคลุ้งไปกับบรรยากาศเงียบเหงายามค่ำคืน
ติ๊ง~
เสียงข้อความเข้าจากโทรศัพท์มือถือ
ปลุกให้คนที่กำลังจมอยู่กับอารมณ์ความรู้สึกบางอย่างสะดุ้งขึ้น
ไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองเดินลงมายืนอยู่ข้างรถตั้งแต่เมื่อไหร่
[มาถึงหรือยัง กูรอมึงอยู่นะ] 02:09
..............
[แคป?] 02:12
..............
[ถึงแล้วใช่ไหม มึงหาห้องเจอหรือเปล่า] 02:13
..............
[กูเปิดแง้มเอาไว้
ถ้าถึงแล้วผลักประตูเข้ามาเลยก็ได้] 02:13
..............
[แคป?] 02:14
..............
[ถึงแล้วใช่ไหมวะ] 02:15
อ่านแล้ว 02:15 ***สติ๊กเกอร์รูปกากบาทปิดปาก***
[อะไรของมึง?] 02:15
อ่านแล้ว 02:16 [ขับรถอยู่
ไม่ว่างคุย] แคปเปิดรถเข้าไปนั่งที่ฝั่งคนขับ
[……............…….] 02:16
[แคป] 02:17
อ่านแล้ว 02:17 [ไม่ต้องมาเรียก!]
[........................] 02:17
อ่านแล้ว 02:18 [ไอ้สัส!
จู่ๆเงียบทำไมล่ะวะห๊ะ!!]
[ก็ใครบอกไม่ให้เรียก] 02:18
อ่านแล้ว 02:18 [เออไม่ต้องเรียก
กูเกลียดมึงแล้ว!]
[จริงดิ?] 02:18
อ่านแล้ว 02:19 [จริงที่สุด!!]
[แล้วยังไงต่ออีก] 02:19
อ่านแล้ว 02:19 [อย่ามาเซ้าซี้
กูกำลังคิดอยู่ว่าจะโกรธมึงดีไหม]
[โกรธเรื่อง?] 02:19
อ่านแล้ว 02:20 [กูไม่บอก]
[เออ แล้วได้คำตอบว่ายังไง] 02:20
อ่านแล้ว 02:20 [………………………]
[แคป?] 02:21
อ่านแล้ว 02:21 [กูรออยู่ข้างล่างแล้วไอ้เหี้ย!!!]
[แค่นั้นก็จบ กูเดินมาถึงมึงแล้วเหมือนกัน] 02:21
“อ่ะ.....!!” พออ่านข้อความนี้ปุ๊ปแคปเงยหน้าขึ้นทันที
เขามองเห็นเอสยืนอยู่ข้างรถตั้งแต่เมื่อไหร่ๆ แคปตกใจจนผงะ
“ไหนว่าขับรถอยู่”
เอสเคาะกระจกสองครั้งก่อนเปิดประตูรถผั๊วะออก เขาจ้องหน้าอีกคนนิ่งเลย
ไม่อยากจะบอกว่ามองเห็นแคปนั่งอยู่ในรถตั้งแต่มันส่งข้อความว่าขับรถอยู่นั่นแล้ว
“กูก็เพิ่งมาถึงนี่ไงเซ้าซี้อยู่ได้ถามมากๆน่ารำคาญ”
“ไปหัดโกหกมาจากไหนวะแคป ขยับไป”
เขาดันแคปบอกให้ขยับไปนั่งที่ฝั่งข้าง ๆ
แคปหันมาถลึงตาใส่เอสจึงชี้บอกให้ดูที่ท้องฟ้า
“ฝนจะตกแล้ว”
“ไอ้สัส ทำเป็นมาสั่งกูนะมึง กูโกรธมึงอยู่เนี่ย ยังไม่เห็นง้อเลยเหอะ”
แคปบ่นอุบอิบไปคนเดียว
เอสได้ยินบ้างไม่ได้ยินบ้างรู้แต่ว่ามันบ่นขมุบขมิบแต่ไม่รู้พูดเรื่องอะไรมั่ง
“กลับเลยนะ..”เอสเหลือบมองคนข้าง ๆ
“ไม่ค้างที่นี่รึไง กูกลับเองได้นะ” พูดจบแล้วถึงคิดได้
แคปนึกอยากตบปากตัวเองสักร้อยที ไปหัดประชดประชันแบบนี้มาจากไหนวะ นิสัย!
“ถ้ากูคิดจะค้าง
คงไม่บอกให้มึงมารับและคงไม่เปิดประตูรอมึงไว้แบบนั้น”
“กูสนเหอะ จะค้างหรือไม่ค้างเรื่องของมึงเลย สบายใจอันไหนเชิญ!” แคปบ่นฟอดๆแฟดๆต่อเนื่องไปอีก
เอสหันมามองแวปนึงก่อนจะยื่นมือใหญ่เข้ามาขยี้หัวเล็ก จากนั้นก็โดนปัดมือออมาอีกอย่างเคยๆ
เปาะ! แปะ!
ฝนเม็ดใหญ่ตกลงมาแล้วจริง ๆ
รถยนต์สีขาวคันสวยกำลังเคลื่อนตัวออกจากซอยแคบ
ครู่เดียวก็กลับมาโฉบเฉี่ยวอยู่บนถนนหนทาง
เวลาเกือบๆตีสามกับเสียงเพลงช้าจังหวะเบา ๆ ที่คลื่นเอฟเอ็มถูกเปิดค้างเอาไว้
แคปมองเห็นหยดน้ำสีใสที่ไหลผ่านกระจกหน้าต่างเป็นรูปร่างประหลาด
เขานึกอะไรขึ้นมาไม่รู้
ลดกระจกลงแล้วยื่นมือออกไปรองเม็ดฝนที่เริ่มลงเม็ดหนักขึ้นกว่าเก่า
ก็แค่การกระทำเล่น ๆ
แต่ในใจลึกๆบางทีก็คิดอยากจะให้เม็ดฝนชะล้างบางสิ่งบางอย่างในหัวใจออกไปด้วย
ความรู้สึกที่กำลังกัดกินเขาอยู่ในตอนนี้
“...................” เอสขับรถให้ช้าลง
เขาปล่อยเวลาให้ผ่านไปอย่างเงียบงันอยู่ชั่วขณะ
เอื้อมมือไปจะดึงมือแคปมาจับไว้บนพนักวางแขนแต่อีกคนก็แค่เลื่อนมือออกห่างจากเขาโดยอัตโนมัติ
ไม่มีคำด่ายาวเป็นวาที่มาพร้อมกับหมัดหนักๆหรือฝ่ามือเจ็บๆอะไรสักอย่าง
แคปกลับเลือกที่จะนั่งนิ่งเฉยอยู่แบบนั้น
“แคป?” คิ้วคมเข้มขมวดมุ่น แคปผิดปกติแล้วแน่ ๆ
เขาดึงไหล่เล็กให้หันมาทันทีแต่แคปไม่สนใจ ขยับตัวจนชิดเบียดเข้ากับประตู
เอสหันมองใบหน้าเล็กที่นั่งเฉย ๆ แบบนั้น
เขาตัดสินใจตีไฟเลี้ยวชะลอจอดลงที่ข้างทาง
“อ่ะ! จอดทำไม” แคปหันมาถามเหมือนเพิ่งรู้สึกตัว
เอสขยับหันมาจ้องหน้า
เท้าแขนข้างหนึ่งเข้ากับพวงมาลัย
“ยังโกรธกูอยู่?”
“............”
“อะไรวะ ผู้ชายที่ไหนเขางอนกันนานขนาดนี้หื้ม..”
มือใหญ่แกล้งเข้าไปเชยคางมนให้หันมาคุย แต่เจอแคปปัดออกแล้วทำตาดุใส่
เอสเลยใช้สองมือจับสองแก้มกลมให้หันมาคุยกันแบบดี ๆ
“กูไม่ได้งอนไอ้สัส แต่กูโกรธมึงเลยต่างหาก..”
แคปปัดมือใหญ่ออกเสียงดังเพี๊ยะ
“โอเคงั้นกูง้อ..” เอสพยักหน้า
“กูไม่สนใจหรอก..” แคปหันไปอีกทาง เอสถอนหายใจยาว ๆ
เขารู้ทุกอย่างว่าแคปไม่พอใจเรื่องอะไร และรู้ว่าตัวเองผิดเรื่องอะไร
“กูจะง้อแค่สามครั้ง ถ้ามึงหันมาตอบกูถือว่าง้อสำเร็จทุกอย่างจบ
เรากลับมาทะเลาะกันเหมือนเดิม” คำว่าทะเลาะกันเหมือนเดิมสำหรับพวกเขาสองคนแล้ว
มันยังดียิ่งกว่าแคปนิ่งเฉยใส่เขาแบบนี้ รู้สึกตัวเองไม่มีความสำคัญอะไรเลย
ไม่สำคัญแม้แต่จะให้มันเอ่ยปากด่าเสียด้วยซ้ำ
“สามครั้ง..” เขาชูนิ้วเลขสาม จ้องหน้าแคปนิ่ง
“ไม่เอา! กูไม่อยากเล่น” แคปส่ายหัวบอกไม่เล่น
ปัดมือเอสออกบอกไม่ให้ชูนิ้วแบบนั้น เอสรวบจับมือเล็กนุ่มนั้นไว้
“จะเริ่มล่ะนะ..” เอสยักคิ้วกวน ๆ ส่งให้
เขาดึงแคปบอกให้หันมาฟัง แคปปัดมือใหญ่ออกจากไหล่ ทำท่ารังเกียจอีก
เอสจึงเขกหัวเล็กไปแบบเบา ๆ หนึ่งทีแล้วบอกให้ตั้งใจฟัง
“ถ้าเพื่อนมึงเมาแล้วมีคนโทรบอกให้ไปเอามันกลับห้องขณะที่มึงนั่งรอเมียมึงทำธุระอยู่อีกหนึ่งชั่วโมงถึงจะเลิก
มึงจะทำยังไง..”
“............................”
ถุย! กูไม่สนใจหรอกโว๊ย เมียกูต้องมาก่อน
โทรเรียกเพื่อนคนอื่นไปแบกมันกลับสิวะจะโง่อะไร
ไม่อย่างนั้นถ้ากูจำเป็นที่จะไปจริง ๆ
กูก็ต้องฝากรถทิ้งไว้ให้เมียกูขับกลับเองได้อย่างสบาย ๆ
ส่วนตัวกูก็นั่งแท็กซี่ไปแบกไอ้เพื่อนขี้เมากลับพร้อมด่ามันหนักๆสักทีสองที
แต่บอกเลยว่ากูไม่อยู่เช็ดตัว เฝ้ามันจนหลับคาตักกันแบบนั้นแน่ ๆ พูดอีกมึงก็ผิดอีกนั่นแหละไอ้สัส!
แคปนั่งเม้มปากนึกโน่นนึกนี่ไป
ยิ่งคิดยิ่งแค้นแม่งอย่าให้กูได้นึก
“บางทีคนเมาก็เพ้อเจ้อเรื่องไม่เป็นเรื่อง
ถึงเวลาที่มึงต้องดูแลเพื่อนสนิทที่มันเมาแล้วทั้งเรื้อนทั้งลาก
มึงจะทำอะไรให้มันบ้าง..”
“.............................”
ทำไมกูต้องทำอะไรแบบนั้น
เพื่อนกูถึงเมาก็ไม่เรื้อนรากแบบเพื่อนมึงหรอก อย่างไอ้ปอ กูก็แค่แบกมันกลับห้อง
โยนมันทิ้งไว้ที่เตียง ยืนด่าๆๆๆๆแล้วก็ด่า สุดท้ายก็จับมันเช็ดตัว ถีบมันให้นอนดี
ๆอย่าวุ่นวาย แล้วก็สงเคราะห์ห่มผ้าให้มันสักผืน ยกเว้นถ้ามันโวยวายมาก ๆร้องไห้อกหักจะตายห่าพูดจาไม่รู้เรื่อง
กูก็แค่ต้องนอนอยู่ข้าง ๆ ดึงมันเข้ามากอดก็แค่นั้นเองสิวะ มันจะยากเย็นเหี้ยไร
“ข้อสุดท้าย
วันนี้ครบสองเดือนของเรา กูจะพามึงกลับไปค้างที่ห้อง เราจะทำเรื่องอย่างว่าด้วยกัน
โอเคใช่ไหม”
“ไอ้สัส! กูไม่โอเค!! จะกลับห้องกู!!!”
แคปหันขวับไปตะคอกตอบแทบจะไม่ทัน
ก็พอได้ยินเรื่องเอสจะพากลับห้องแล้วทำเรื่องอย่างว่ากันจะไม่ให้เขารีบแว๊ดมันขึ้นมาได้ยังไง
เอสถึงกับขำ
“กูง้อสำเร็จแล้วนี่หว่า” รถหรูเคลื่อนตัวออกไปอีกครั้ง
เขาหันมาเหลือบมองคนที่นั่งหน้างอหงุดหงิดเพราะหลุดคำพูดออกมา แคปแทบจะขยี้หัวไม่ได้อย่างใจนึก
เขาเคยโกรธใครได้นานถามหน่อย
“แล้วมึงจะแก้ไขยังไง”
“เดี๋ยวคงต้องคุย”
“มึงรู้แล้ว?”
“รู้เรื่องอะไร”
“.............”
“มันก็แค่เมาแล้วเพ้อเจ้อของมันไปเรื่อย
เพียงแต่ทุกทีไม่เคยหนักแบบนี้”
“กูจะกลับห้องกูนะ” แคปเปลี่ยนเรื่องกลับไปที่เดิม
เหนื่อยใจที่ต้องมาคุยปัญหาเรื่องความรู้สึกของเพื่อนมัน
ขนาดเจ้าตัวยังโง่ไม่รู้เรื่องห่าอะไร ปล่อยมันจัดการเองไปเหอะ
ชี้โพรงให้กระรอกเผื่อเห็นอกเห็นใจกันขึ้นมาจริง ๆ ทิ้งกูล่ะมึงน่าดู
กูเอามึงตายห่าเลย แคปนึกแล้วเผลอกัดฟันกรอดๆจนเอสหันมองถามว่าเป็นอะไร
แคปก็แค่ส่ายหัวบ่นฟอดๆแฟดๆไปเรื่อย
“จะตีสามแล้ว
พรุ่งนี้กูต้องเข้าประชุมที่สำนักงานใหญ่แต่เช้าอีก ฮ้าวววววว ง่วงเป็นบ้าเลยว่ะ
ถ้าไปนอนที่ห้องมึง กูต้องขับรถไปหาที่ยูอีกอ่ะ ห้านาทีกูว่ากูหลับใน”
“งั้นมึงลง เดี๋ยวกูขับเอง ที่ยูเทิร์นอยู่เลยคอนโดมึงไม่ถึงห้านาที..”
แคปไม่ว่าเปล่า เขาปลดเบลท์ออกเตรียมพร้อมเลยห้องเขากับห้องเอสอยู่แค่คนล่ะฝั่งถนน
คอนโดสูงเยื้องกันแค่นิดเดียว “กูจะย้ำกับมึงอีกครั้ง คืนนี้กูจะกลับห้องกู
เต็มสองรูหูมึงไหมห๊ะ!”
“โอ๊ยแคป! หูกูแตกขึ้นมามึงรับผิดชอบไหมล่ะเนี่ย
ตะโกนเข้ามาได้” เอสหรี่ตาทำท่าปวดหูสุด
“สมน้ำหน้ามึงจะได้ตื่นเต็มๆตาไง ขับต่อไปเลย
ถึงตรงนั้นแล้วค่อยยู”แคปชี้ๆสั่ง ในที่สุดรถขับเลยทางเข้าคอนโดเอสแล้ว
คนบอกค่อยทำสีหน้าโล่งใจขึ้นหน่อย
“พรุ่งนี้มึงปลุกนะ เช้าหน่อยสักหกโมง..”
พอรถจอดสนิทที่ช่องจอดประจำ เอสเดินเข้ามาหาแคป เขาทุบ ๆ ที่ต้นคอบอกเมื่อย
ทำท่าหมุนคอยืดเส้นยืดสาย สองคนเดินไปที่ลิฟต์
“ประชุมอะไรของมึง สำนักงานใหญ่คือที่ไหน..” แคปหันไปถาม
มองเห็นคนทำท่าเมื่อยคอดีนัก เขาเอาสันมือฟาดผั๊วะลงไป เอสนี่แทบทรุดคาลิฟต์
“ใจร้าย...เมียกูใจร้าย”
“ไม่ต้องมาทำหน้าตาแบบนั้นกูไม่ใช่ยักษ์ใช่มาร
มึงบอกมาก่อนประชุมเหี้ยอะไรของมึง สำนักงานใหญ่ห่าอะไร
เรายังเป็นแค่นักเรียนทำไมต้องมีประชุมกับสำนักงานใหญ่อะไรนั่นด้วยวะ”
“บริษัทในเครือรัชชาไง มันก็มีสำนักงานใหญ่อยู่แถวๆสาทร
คุณพ่อมีตารางงานออกมาให้กูแล้ว เดี๋ยวนี้ทุกๆวันหยุดกูก็คงต้องเข้าประชุมกับท่านตลอด”
“เออ ก็มึงเป็นไฮโซนี่เนาะ
ธุรกิจหลายอย่างก็คงต้องดูแลนั่นแหละ” เสียงแคปเหมือนกับปลง ๆ เขาพยักหน้าเบา ๆ
“เบื่อกูไหม
อีกหน่อยงานที่กูต้องรับผิดชอบมันต้องมากขึ้นเรื่อย ๆ
มึงจะทนอยู่กับกูได้ไหมวะแคป”
“................” แคปหันมองคนพูดนิ่ง ๆ
แววตาคือแปลกใจกับคำพูดของมันมาก เอสดึงเอาคนตัวเล็กกว่าเหนี่ยวเข้ามาหาตัว
“ไหนๆก็เกินสองเดือนไปหลายชั่วโมงแล้ว
จะหาใหม่ก็ยุ่งยากไม่รู้จะได้เจอคนปากจัดมือหนักตีนหนักแบบมึงอีกเมื่อไหร่
เพราะงั้นอยู่ด้วยกันนานๆเลยได้ไหมวะ”
“นี่มึงชมหรือมึงด่าหรือมึง......” ขอกูคบเรอะ?!!!! ไอ้เหี้ยยยยยยย!!!!!!!!!!!...แคปหน้าร้อนผ่าว ๆ
“อย่าให้ต้องพูดมากน่า..” มือใหญ่ล๊อคต้นคอเล็กให้เชิดขึ้นเล็กน้อย
ก่อนที่เขาจะเอียงศีรษะเข้าไปกดริมฝีปากลงที่มุมปากนุ่ม ดูดเบาๆหนึ่งที
ผั๊วะ!ๆๆ
“ไอ้สัส กูเกลียดมึงที่สุดเหอะ” แคปฟาดมือรัวใส่สองสามที
ก่อนก้มหน้างุดปิดซ่อนสีแดงระเรื่อง
“หึหึ”
เอสใช้ความไวชิงจูบลงที่ปลายจมูกรั้นอีกหนึ่งทีก่อนปล่อยคนตัวเล็กออกมา
ติ๊ง~
“กูเกลียดมึงที่สุด!!” ลิฟต์เปิดออกพอดี
แคปผลักคนตัวโตกว่าแล้วรีบวิ่งหน้าตั้งออกไปเลย คนเดินตามชูคีย์การ์ดที่อยู่ในมือเขาให้ดูพร้อมกับรอยยิ้มกวน
ๆ เจอแคปชี้หน้ามาจากที่ไกล ๆ
หน้าประตูแล้วบอกให้รีบเดินมาไวๆ
เอสจึงแกล้งทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม เขาเดินให้ช้าลง ทำท่าเป็นเต่า
แคปอดรนทนไม่ไหวเดินพรวดๆเข้ามาลากแขนมันให้วิ่งไปด้วยกัน
เสียงโวยวายบวกกับหัวเราะของเขาสองคนดังสะท้อนไปทั่วทั้งแนวทางเดินในช่วงเวลาตีสามเศษ
.
.
Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr
Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr
เสียงโทรศัพท์มือถือที่วางไว้บนขอบระเบียงสูงดังเรียกขึ้น
คนที่ยืนทอดอารมณ์อยู่ที่ระเบียงหลังห้องใช้มือข้างที่คีบบุหรี่เอาไว้หยิบมันขึ้นมากดรับสาย
เป็นสายจากเพื่อนฝูงของเขาเอง คุยกันอยู่ประมาณสิบกว่านาที
ส่วนใหญ่เป็นเรื่องไร้สาระของพวกมัน ก็แค่โทรมาแซวเรื่องรายการใหม่ที่เขาทำ
พอคุยเสร็จกะจะวางมือถือไว้ที่เดิมแต่เขากลับนึกบางอย่างขึ้นมาได้
เลื่อนหน้าจอกดเข้าแฟ้มภาพจากกล้องที่กดเซฟเอาไว้ รูปล่าสุดที่เผลอกดถ่ายไว้เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนตอนที่อยู่ในห้องออนแอร์
จริง ๆ คงไม่ได้ตั้งใจมากนัก
ถ้าหากจะเทียบกับรูปลูกหมาตัวเก่าสุดที่รักที่เขาต้องกดเข้ามาดูก่อนนอนแทบทุกวัน
เขาจัดการตัดต่อสองรูปเข้าแอพแต่งภาพทำเป็นสองช่องคู่แล้วบันทึกใหม่
ตอนนี้ภาพพักหน้าจอของเขากลับกลายเป็นรูปเสี้ยวหน้าของใครอีกคนบวกกับรูปเก่าของลูกหมาชิสุตัวโปรดในสองอิริยาบถที่คล้ายคลึง
“หึ..ดุเหมือนลูกหมาที่บ้านกูเลยนะมึง..” เสียงทุ้มพึมพำ
สายตาคมกริบเลื่อนไปโฟกัสที่ไฟดวงเล็กๆประปรายบนยอดตึกสูงฝั่งตรงข้ามก่อนเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ดวงโต เมื่อสายลมยามดึกพัดโกรกเข้ามาแผ่วเบา
ช่วงเวลาตีสามกว่า ๆ มีควันสีหม่นจางจากปลายมวนลอยตัวขึ้นไปในอากาศที่ด้านหลังระเบียงห้องพักชั้นสิบสี่ แบงค์ยกหน้าจอขึ้นดูภาพในนั้นอีกครั้ง.......
...เธอจะมีใจหรือเปล่า
เธอเคยมองมาที่ฉันหรือเปล่า
ที่เราเป็นอยู่นั้นคืออะไร
เธอจะมีใจหรือเปล่า
มันคือความจริงที่ฉันอยากรู้ติดอยู่ในใจ
แต่ไม่อยากถาม.....กลัวรับมันไม่ไหว...
Tbc.