[XVII]
“ลาเต้ คาปู รีบเข้านอนเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นแต่เช้า
อาฟี่จะพาลูกไปนะ..” โก้เดินออกมาจากในห้องครัว
เขาเช็คประตูหน้าต่างให้เรียบร้อยทั่วบ้านก่อนขึ้นนอน
ลูกชายสองคนนั่งดูหนังสยองขวัญภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันอยู่หน้าทีวี
“ผมไม่ได้ไปด้วยสักหน่อยเรื่องอะไรจะนอนเร็ว..”
เต้ตอบคุณพ่อของเขาทั้งที่ตายังไม่ละออกจากจอ “หนาวว่ะแคปมึงอย่าดึงผ้าห่มไปนักสิ
ขอกูด้วย..”
เขาขยับตัวเบียดเข้าหาน้องชายที่นั่งจ้องทีวีไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างเลยแม้แต่นิด แคปมันไม่เห็นด้วยซ้ำว่าโก้มาเรียกให้เข้านอนได้แล้ว
“พี่เต้อย่ามาเอาผ้าห่มผมไปสิ ผมก็กลัวเหอะเดี๋ยวผีมาจับขา..”
แคปดึงผ้าห่มกลับมาคลุมเท้าให้มิดชิด
เขาถึงขนาดเหยียบปลายผ้าไว้ทำให้เต้ได้ห่มแค่นิดเดียว รายนั้นก็โวยวายขึ้นอีก
“เฮียเต้อย่าแกล้งผมนะ
นี่มันผ้าห่มผมถ้ากลัวนักก็ไปเอาผ้าห่มตัวเองออกมาดิ”
“ไอ้แคปให้กูห่มด้วยสิวะมึงอย่าดึง!” สองพี่น้องทั้งเถียงทั้งดู
แคปและเต้เห็นแมนๆแบบนี้แต่เรื่องผีอย่าให้บอก ขี้กลัวมากไม่แพ้กัน
พรึ่บ!
“เฮ้ย!!!!!”
สองพี่น้องร้องหวีดออกมาพร้อมกันเพราะจู่ๆจอทีวีก็ดับพรึ่บลง
พวกเขาหันมองหน้ากันด้วยความกลัวสุดขีด แคปรีบดึงผ้าห่มเข้าหาตัว
เต้เองไม่ยอมแพ้จะเอามาห่มไว้ที่ตัวเองเหมือนกัน แคปเลยถีบพี่ชายไหลตกลงจากโซฟา
เต้โมโหกำลังจะลุกมาทำการฆาตกรรมน้องเจอโก้หิ้วคอเสื้อเขาไว้แล้วยกรีโมทในมือตัวเองให้ดู
“โหยพ่ออ่ะ!”
เต้ร้องออกมาเพราะรู้แล้วว่าใครที่เป็นคนทำให้ทีวีดับ แคปเงยหน้ามองโก้อย่างงอนๆ
“พ่อแกล้งพวกผมอ่ะ”
“ไม่ต้องมาทำงอน ขึ้นนอนได้แล้วทั้งคู่นั่นแหละ
ก็รู้อยู่แล้วว่าพรุ่งนี้มีธุระจะต้องไป โดยเฉพาะเรานะคาปูอย่ามาทำเป็นต่อรองกับพ่อ”
“แล้วผมนอนกับพ่อได้ไหมล่ะครับ..” แคปลุกขึ้นมาอ้อน
ความจริงเขากลัวผีนั่นแหละ ก็ใครกันล่ะจู่ ๆ เปิดหนังผีช่องนี้ให้ดู
“ผ้าห่มอยู่นี่แล้วด้วย นอนได้เลยไม่เรื่องมาก..” แคปชูผ้าห่มตัวเองให้โก้ดู
โก้ได้แต่ส่ายหัวอย่างเอือมระอากับเจ้าลูกคนเล็ก
“อะไรกันล่ะ งั้นผมไปนอนด้วยดิ เรื่องอะไรจะนอนคนเดียว”
เต้เองก็ชิงบอก โก้ถอนหายใจยาวเหยียดเมื่อมองหน้าลูกชายสองคนของเขา
“นอนน่ะนอนได้แต่ต้องนอนหน้าเตียง ลูกเข้าไปปูที่นอนเอาเอง”
“แล้วอาฟี่จะกลับตอนไหนอ่ะครับพ่อ..” แคปถามพลางกอดผ้าห่มส่วนตัวของเขาม้วน
ๆ ใส่อก
“คืนนี้คงจะดึกเพราะรู้ว่าลูกสองคนจะกลับมา
เห็นว่าเขาจะรีบเคลียร์งานให้พรุ่งนี้จะได้ว่างพาลูกไปได้ไงล่ะ..”
แคปเดินตามโก้เข้ามาทิ้งตัวลงนอนกลิ้งเล่นบนเตียงกว้าง
เต้จัดการปูที่นอนตรงที่ว่างหน้าเตียง เป็นแบบนี้ตลอดดูหนังผีกันทีไรที่นอนประจำคือหน้าเตียงเฮียโก้
เมื่อก่อนยังตัวเล็กๆก็จะนอนมุดกันอยู่บนเตียงเลยแต่ตอนนี้โตแล้ว
ซ้ำบางวันอาฟี่ก็ขึ้นมานอนที่ห้องนี้เขาสองคนจึงต้องระเห็จลงมานอนหน้าเตียงแทน(เพราะเจอฟี่ถีบลงมา)
“พ่อปิดไฟแล้วนะ คาปูจะนอนบนเตียงกับพ่อรึไงเรา..” โก้ปิดไฟเสร็จเดินกลับไปนั่งลงที่เตียง
แคปรีบเอาศีรษะมาวางบนตักนุ่มโก้ลูบหัวเล็กเล่นเบา ๆ
สองสามทีก่อนที่แคปจะกลิ้งตัวตกลงมาใส่พี่ชายตัวเองที่กำลังนอนเช็คโทรศัพท์เสียงดังอึ่ก เต้โมโหใหญ่ โก้จึงหัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนจะถอดแว่นสายตาวางไว้ที่หัวเตียงแล้วเอนตัวหลับตาลง
“นอนได้แล้ว..” เสียงทุ้มติดดุนิดๆดังเข้ามา
เต้กับแคปมุดเข้าหากันอัตโนมัติ
เนื้อหากับภาพสยองขวัญในหนังชวนให้สองพี่น้องหวนนึกขึ้นมาอีก
พวกเขาหลับตาปี๋แค่คิดก็ยังนึกกลัว
“เฮียเต้ลุกไปลดแอร์หน่อยดิ ผมหนาวว่ะ” แคปพูดเบา ๆ
“มึงดิลุก มืดจะตายห่ากูไม่ลุกอ่ะ”
เต้พูดทั้งหรี่ตามองแล้วรีบหลับลงแทบไม่ทัน เงาอะไรวะที่ปลายเตียง ตายๆ
“แต่ผมหนาวจริงอ่ะ” แคปเบียดเข้าหาพี่ชาย ผ้าห่มถูกเขาดึง ๆ
จนจะคลุมถึงหัว ห้องโก้เปิดแอร์ไว้แรงมากจริง ๆ คิดว่าสิบห้าองศาน่าจะได้
ลมแอร์ตกลงที่พวกเขาพอดีด้วย เต้จึงตะแคงเข้าหาน้องชายตัวเอง
เอามือดึงแคปเข้ามาให้อยู่ชิดๆกับตัวเขา
“เออน่าทนๆไปก่อนเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้ากูลุกขึ้นไปลดให้
มึงต้องทนให้ได้”
“พรุ่งนี้เช้า?!” แคปทวนคำ
“อือก็พรุ่งนี้สิวะ รอให้สว่างก่อน ให้กูลุกตอนนี้ไม่เอานะ
มืดจะตายชัก”
“พอๆไม่เถียงกัน เดี๋ยวพ่อลดให้เองก็แล้วกัน..”
เสียงที่ดังขึ้นจากบนเตียงพร้อมกับโคมไฟสีส้มหรี่เปิดขึ้นมาแคปกับเต้มองโก้เป็นตาเดียว
“อาฟี่เขาชอบเปิดแอร์เสียเย็นจัดทุกคืน
พ่อเองก็หนาวเหมือนกันกับลูกนั่นแหละ..” โก้กดรีโมทติ๊ดๆๆๆสี่ห้าครั้ง
สองพี่น้องค่อยหายใจทั่วท้องขึ้นมาหน่อย จากนั้นโก้ก็หลับไปแคปกับเต้ที่ยังนอนยุกยิกไปมาเพราะติดนิสัยนอนดึกมากๆ
จากที่หอ กลับบ้านแต่ล่ะทีนอนเร็วผิดเวลา มักจะหลับยาก แคปนอนนึกถึงเรื่องนามสกุลของเอสขึ้นมาจนได้
เขาจึงสะกิดเต้
“เฮียเต้..”
“หืม?” เต้หันมองนิดหน่อยแต่ก็พยายามจะหลับตาต่อ
“ไอ้เอสน้องรหัสเฮียน่ะ มันนามสกุลอะไร..”
“ห๊ะ!” เต้ลืมตาโพลงขึ้นทันที
“ตกใจไรเล่า ผมแค่ถามเหอะ” แคปส่ายหัวเซ็งเลย
ไม่รู้เต้จะตกใจทำไมทำเอาเขาพลอยตกใจไปด้วย
ยิ่งนึกถึงเรื่องสยองขวัญในหนังอยู่หน่อยๆ
“มึงรู้แล้วดิ” เต้หันมองน้องชาย
“อัครรัชชานนท์นั่นใช่เหรอ ใช่ไหม” แคปถามขึ้น
เต้จึงพยักหน้าบอกใช่
“ไม่ค่อยมีใครรู้หรอกนอกจากรุ่นเดียวกัน
ตอนกูรู้ว่าได้มันเป็นน้องรหัสกูตกใจเกือบตาย อาจารย์กำชับกูบอกแล้วบอกอีก
ว่าให้เทคแคร์มันดีๆ มึงก็รู้ครอบครัววงศ์ตระกูลมันมีทั้งเงินทั้งอำนาจ ก็นึกว่าจะเป็นพวกลุกคุณหนูเอาแต่ใจไฮโซไลน์ไปดิ
แต่เปล่าเลยว่ะ แม่งกลายเป็นคนง่ายๆขึ้นมาซะงั้น
พวกกูกินอะไรได้มันก็กินได้เหมือนกัน
อยู่กับเพื่อนฝูงมันก็ปกติธรรมดาเหมือนคนทั่วไปนะ ยกเว้นมันอยู่กับผู้หญิง
ป๋ามากแต่ก็แค่ช่วงแรกๆ เพราะถ้าคนไหนที่รู้แล้วคิดจะจับนี่มันทิ้งก่อนทุกราย
ส่วนเพื่อนฝูงมันก็มีแต่ธรรมดาอย่างที่มึงเห็นนั่นแหละ
ว่าแต่..มึงไปรู้มาจากไหนวะคาปู”
“ผม..บังเอิญรู้น่ะ” แคปชั่งใจโกหกออกไป เต้พยักหน้าเบา ๆ
เขาขยับหันมองหน้าน้องชายตัวเอง “กูรู้มึงไม่ค่อยชอบคบกับพวกคุณหนูไฮโซ
แต่กูสแกนมันให้แล้ว นิสัยมันโอเคใช้ได้
รู้จักเป็นเพื่อนกันไว้ไม่เสียหายหรอกเพราะพวกเราไม่ได้คิดจะใช้ประโยชน์อะไรจากเขาทั้งนั้น
นอนได้แล้วว่ะพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าอีก” เขาจับหัวน้องชายขยี้เบา ๆ
แคปมุดเข้าไปใกล้อกอุ่นของเต้อีกนิด
“เออกูว่าจะถามมึงหลายทีแล้วคาปู ตกลงที่ไอ้เอสมันไปคณะมึงบ่อยๆนี่
มันติดใจใครวะ เพื่อนมึงอ่อ? คนไหน แล้วสวยป่ะ ชื่อไรวะกูรู้จักไหม”
เต้ร่ายคำถามยาวเป็นวา แคปอึ้งไปนิดๆเขาส่ายหัวไม่ตอบ เต้จึงก้มลงมอง
“ง่วงแล้ว?” เต้ถาม เสียงเล็กแสร้งงัวเงียตอบอือๆ
“อะไรของมึงวะจู่ๆง่วงขึ้นมาเฉยเลย ตอบกูก่อนดิเรื่องนี้พวกกูอยากรู้กันมากเลยนะ
ตกลงว่าเด็กใหม่มันน่ะชื่ออะไรวะ”
“จะรู้ไปทำไมเล่า..” แคปพึมพำในคอเบา ๆแต่ทว่าเต้กลับได้ยิน
“ไอ้แคปมึงบอกกูมาเลย”
“ชื่อไรไม่รู้หรอก รู้แต่ไม่สวย ผมสั้น นิสัยไม่ดี ใจร้อน
ขี้โมโห ที่สำคัญ ปากจัดมากกกกก..” แคปตอบออกมายาวๆตัดรำคาญ ความจริงทั้งหมดเหอะที่เขาพูดออกมา
ขณะที่คนฟังอย่างเต้ถึงกับพ่นขำ แคปรีบเอามืออุดปากพี่ชายกลัวโก้จะตื่นมาดุ
“หัวเราะอะไรเล่า!” แคปกระซิบกระซาบ
“กูขำว่ะ ที่มึงบอกมาทั้งหมดนี่มันนิสัยมึงเลยนะไอ้คาปู
ถ้ามันจีบมึงนี่กูคงช็อคอ่ะ”
“มันจะมาจีบผมทำไมเล่า!”
“กูก็เปรียบเทียบไอ้หมาแคป ไอ้เอสมันจะมาจีบมึงได้ไงล่ะวะ
จะบ้าเรอะ!”
“อือๆ นอนเหอะนอน ผมง่วงแล้ว”
แคปถอนหายใจเฮือกใหญ่ๆไม่อยากคุย
เขาคว้าเอาหมอนข้างหันไปกอดอยู่ที่ทางแล้วหลับตานอนเลย
ไร้สาระมากคุยกับพี่เต้พูดมากๆเดี๋ยวโดนจับได้ตายห่าแน่ๆ นอนก่อนดีที่สุด
.
.
เจ็ดโมงเช้า
“ฮ้าววววววววววววววววว..”
เสียงหาวหวอดยาวดังมาจากคนที่เดินหัวยุ่งออกมาจากห้องนอนใหญ่ชั้นล่าง
เสื้อเชิ้ตราคาแพงที่คงจะสวมใส่กลับมาเมื่อคืนยังไม่ถูกผลัดเปลี่ยนออก
มันดูยับยู่ยี่หมดราคาลงไปเป็นกอง
มีผ้าขนหนูสีขาวผืนโตพาดคล้องอยู่ที่คอเหมือนเตรียมจะเข้าอาบน้ำหรืออะไรสักอย่าง
แคปกับเต้ที่ถูกโก้ปลุกลงมาตั้งแต่หกโมงเช้า
สองพี่น้องแต่งตัวเสร็จสรรพนั่งกินนมกล่องกันอยู่หน้าทีวี วันนี้แคปต้องไปที่สถานีวิทยุกับฟี่เรื่องเซ็นต์สัญญางานดีเจ
ขณะที่โก้จะพาเต้ไปช่วยเลือกอุปกรณ์ตกแต่งร้านบางอย่างที่สองคนเคยคุยและนัดหมายกันไว้
โก้กำลังวุ่นอยู่กับอาหารเช้าแบบง่ายๆในครัวเสียงไมโครเวฟตัดสุกดังสะท้อนเข้ามา
ติ๊ง~
“เมื่อคืนอาฟี่กลับตอนไหนวะพี่เต้..”
แคปที่ดูดนมจากกล่องอยู่ใช้ศอกสะกิดถามเต้เบา ๆ มองเห็นอาฟี่ยืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตูห้องน้ำนานแล้วราวกับวิญญาณเร่ร่อนที่เขาดูในหนังเมื่อคืนไม่มีผิด
หัวยุ่ง ๆหน้ามุ่ยๆ เขาคิดว่าคุณอาเขาอาจจะยืนหลับต่อก็เป็นได้
“ตีสี่ กูรู้สึกตัวตอนที่พ่อลงไปเปิด” เต้ทำเสียงกระซิบกระซาบบอก
แคปคิ้วขมวด “ทำไมผมไม่รู้เรื่องเลยอ่ะ”
“ก็มึงมันขี้เซา นอนกอดกูแทบจะกระดิกกระเดี้ยไปไหนไม่ได้
หลับหูหลับตาซุกอกกูอย่างกับเด็กๆ มึงจะไปรู้เรื่องอะไรวะ”
“ผมไม่เคยทำแบบนั้นเหอะ”แคปเบะปากขึ้นทันที
เขาคิดว่าเต้เมคเรื่องชัวร์ๆ
“หึหึ ขำว่ะ อย่าพูดให้กูขำหน่อยเล๊ย..” เต้ส่ายหัวเซ็ง
แคปน่ะไม่ใช่แค่มันขี้เซาปลุกยากหรอก
เวลามันนอนจะติดนิสัยซุกสิ่งใกล้ตัวทั้งหมดนั่นแหละ อยู่ใกล้คนซุกคน
ถ้าไม่มีใครนอนข้าง ๆ มันก็จะซุกหมอนข้างใบใหญ่ๆ มุดๆๆๆหัวเข้าไป
เมื่อคืนถ้าไม่ติดว่ากลัวผีกันทั้งคู่ สองพี่น้องจะยอมมานอนข้างกันได้ยังไง
“กูว่าต่อไปมึงคงจะซุกอกเมียมึงแน่ๆอ่ะ”
ผั๊วะ!
“ตีกูทำไมเล่า”
“ปากไม่ดีเอง สมน้ำหน้า
หมัดผมแปรผันไปตามคำด่าที่ระแคะระคายหู เฮียเต้พูดมากเองทำไม”
“กูพูดจริง”
แคปทำตาเหลือกๆใส่พี่ชายตัวเองก่อนจะสังเกตเห็นว่าคุณอาของพวกเขาไม่ได้ยืนอยู่ในจุดเดิมนั้นแล้ว
ฟี่กำลังเดินผ่านห้องรับแขกเลี้ยวตัดเข้าไปที่ครัว
ไม่สนใจทักหลานสองคนที่นั่งหัวโด่อยู่สักนิด
ทั้งแคปทั้งเต้หันตามไปที่ห้องครัวในทันทีที่เห็นแผ่นหลังกว้างเดินเข้าไปหาพี่ชายฝาแฝดของตัวเอง
ฟี่เดินเข้าไปซ้อนหลังโก้ในลักษณะแนบชิด ไม่รู้พูดหรือทำอะไรกันสักพักเสียงตะหลิวลอยมาตกโครมครามลงแถวๆเคาน์เตอร์ข้าง
ๆ เตาอบ ทั้งเต้ทั้งแคปรีบลุกพรวดขึ้น
ขณะที่ฟี่เดินหน้างอหงิกออกมาจากนั้นตรงดิ่งเข้าห้องตัวเองเลย
สองพี่น้องมองหน้ากันอย่างงงๆ
โก้เดินหน้ายุ่งมาหยิบตะหลิวที่ตกขึ้น
เขาส่ายหัวทำหน้าเหมือนหงุดหงิดจัดบวกกับเซ็งสุดขีด
“พ่อกับอาฟี่ทะเลาะกัน?” แคปกระซิบถามพี่ชาย
โดนเต้โบกหัวมาหนึ่งที
“ไม่มีทางเหอะ ยี่สิบสองปี่ที่ผ่านมา
กูยังไม่เคยเห็นเลยสักครั้ง อาฟี่ไม่เคยขัดใจเฮียโก้ได้เลยสักอย่าง”
“แล้วทำไมพ่อถึงโยนตะหลิวออกมาแบบนั้น”
“โดนกวนอ่ะดิ”
“กวนยังไงวะพี่เต้” แคปซักต่อ ใช้ฟันกัดหลอดดูดเล่น
“กูจะรู้ไหมล่ะ กูกะนั่งอยู่กับมึงเนี่ย..”
เต้หันไปทำเสียงดุใส่ ขณะที่แคปกลับนิ่งเงียบไปเพราะกำลังคิดตาม
เสียงโก้เรียกดังออกมาจากในครัวเขาสองพี่น้องจึงเดินไปนั่งลงที่โต๊ะ
“พ่อครับ อาฟี่ทำอะไรให้พ่อโกรธน่ะ” แคปปากล่องนมลงถังแม่นยำมาก
เต้ชี้หน้าบอกถ้ามันหกเรี่ยราดคนที่ต้องถูพื้นคือเขาไม่ใช่ใคร ทำอะไรให้ระวังหน่อย
แคปยักไหล่เมิน
“โกรธที่ไหน พ่อกับอาฟี่ของลูกไม่เคยโกรธกันนะ”
“แต่ผมเห็น.....”
“อ๋อนั่นน่ะ ก็แค่สั่งสอนคนเท่านั้นแหละ
มือไม้ไม่อยู่สุขก็ต้องโดนแบบนี้ล่ะนะ กวนกันแต่เช้าดีนัก”
โก้วางไข่ดาวแดจานสุดท้ายลงให้
แคปคว้าขวดซอสมะเขือเทศมาบีบใส่เป็นรูปสายฟ้าฟาดทันที
“กวนเหรอครับ?
กวนแบบไหนกันน่ะ..” แคปทำหน้าสงสัย
กวนแบบไหนวะคนถูกกวนถึงขนาดขว้างตะหลิวใส่แบบนั้น เขาถามถามออกไปตรงๆเลย
“เรื่องของผู้ใหญ่น่าคาปู
กินข้าวได้แล้วจะซักฟอกทำไมเล่า ก็แค่พ่อกับอาฟี่เล่นกันน่ะ..”
โก้เอามือวางบนหัวแคปแล้วขยี้เล่น เขาอมยิ้มบาง ๆ
ขณะที่ฟี่อาบน้ำแต่งตัวออกมาใหม่เรียบร้อย หล่อและหอมมาก
แคปกับเต้มองกันเป็นตาเดียว
เสื้อเชิ้ตเข้ารูปธรรมดาๆจะดูแพงขึ้นมาทันทีที่สวมอยู่บนเรือนร่างของเขา
จะว่าไปความเท่ของฟี่เป็นไอดอลให้กับเต้และแคปมาตั้งแต่สมัยเด็กแล้ว
จนถึงปัจจุบัน ฟี่ก็ยังคงผู้ชายที่มีหน้าตาและรูปร่างอ่อนกว่าอายุอยู่มากจริง ๆ
“คาปูไปชงกาแฟมาให้กู..”
ฟี่ใช้สายตาบอกแคปลุกไปให้จัดการกาแฟร้อนให้ สูตรพิเศษที่จะมีแต่คนในครอบครัวของเขาเท่านั้นที่รู้
กาแฟของฟี่ไม่รู้ทำไมต้องเติมผงโกโกหนึ่งช้อนชาเสมอ แคปเคยถามนะแต่ไม่เคยได้คำตอบ
“ไข่สี่ฟอง พอไหมวะ? เมื่อคืนมึงกลับดึกมากนะ
ช่วงนี้รับงานอะไรน่ะ..” โก้ชี้ให้น้องชายดูไข่ดาวในจานที่เตรียมไว้ให้
ฟี่พยักหน้าบอกว่าพอ แคปมองคุณอาของเขาอย่างสงสัย แหม่
ก็ตอนเพิ่งจะตื่นนี่ท่าทางอ้อนพ่อเขาน่าดูเลยนี่หว่า
แต่พอเข้าไปอาบน้ำแปลงกายออกมาเท่านั้นแหละ
คอนเซ็ปไม่สนใจใครกับใบหน้าไร้รอยยิ้มแบบนั้นกลับมาเป็นคาแรคเตอร์เดิมๆอีกแล้ว
“งานคดีพักนี้ไม่รู้ว่าทำไมเกิดไปเกิดเหตุอยู่แถวๆสถานเริงรมย์ทั้งนั้นเลย
เล่นใช้ให้พรางตัวกันหนักขนาดนี้กูแย่เลยว่ะโก้”
“แล้วครั้งนี้มึงสวมรอยเข้าไปทำงานอะไรวะ”
“ก็คล้ายๆครั้งก่อน
แต่เมื่อวานทำบาร์เทนเดอร์อยู่ที่ผับใหญ่แถวทองหล่อ
กูเซ็งมากๆคนแม่งเยอะฉิบหายแล้วไอ้พวกที่เข้ามาจีบกูที่เคาน์เตอร์นี่ก็นะโอ๊ย
กูนับหนึ่งถึงร้อยไปไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยรอบ พยายามคิดว่ามันเป็นงานมันเป็นงาน
คอยดูเหอะเดี๋ยวกูจะปิดคดีนี้ให้เร็วที่สุดเลย”
“หึหึ ทำไมวะกลัวสาวๆมาจีบรึงไง รับมือไม่เป็นว่างั้น..” แคปชงกาแฟมาวางลงให้ทั้งโก้ทั้งฟี่
ส่วนของเขากับพี่เต้ไม่มี เพราะกินนมกล่องกันแล้ว
“มันไม่ใช่แค่ผู้หญิงหรอกที่เข้าหา..” ฟี่ว่าแล้วส่ายหัวทำสีหน้าหงุดหงิดไม่สบอารมณ์
โก้ขำออกมาเบา ๆ พวกเขาสี่คนทานอะไรกันจนเสร็จ
ฟี่จึงบอกแคปว่าจะไปรออยู่ที่หน้าบ้าน
“ช้าเกินสิบนาทีกูทิ้งเลย..”
มือหนาจุดบุหรี่ขึ้นสูบพลางบอกหลานชายคนเล็กที่ตัวเองจะต้องพาออกไปทำธุระ
แคปที่กำลังหยิบขนมปังจิ้มนมกินเป็นชิ้นสุดท้ายถึงกับเกือบสำลัก
“ค่อยๆกินน่าคาปู
อาฟี่เขาก็พูดไปเรื่อย..”โก้ช่วยลูบหลังพร้อมกับยื่นแก้วน้ำส่งให้
แคปยกซดรวดเดียวจบ วิ่งไปคว้ากระเป๋าที่โซฟาก่อนกระโดดโหยงๆสวมรองเท้ากีฬาคู่เก่ง
“พ่อครับ พี่เต้ ผมไปนะ” เขาร้องเข้ามาพร้อมโบกมือบอก
“อย่าแกล้งลูกมากสิวะมึงก็..” โก้เดินออกมาส่งถึงข้างนอก
เขาเดินเข้าไปหาฟี่ที่เสร็จจากการสูบบุหรี่พอดี เขากำลังจะก้าวขาขึ้นรถ
ฟี่ขยับสายตามองพี่ชายฝาแฝดที่อยู่ในชุดกันเปื้อนสีดำแบบเท่ ๆ
ก่อนเอื้อมมือสอดเข้ามาผูกสายผ้ากันเปื้อนให้ใหม่ เพราะว่าสายมันหลุดลุ่ยลงมา
“เป็นเด็กรึไงต้องให้กูดูแลอยู่เรื่อย”
“มึงสิเด็ก” โก้ว่าพร้อมฟาดผั๊วะลงที่มือแกร่งนั้นหนึ่งที
ฟี่หัวเราะแล้วบอกว่าจะพาแคปออกไปแล้ว หลังจากนั้นราวๆหนึ่งชั่วโมง
รถเล็กซัสสีดำมันวาวของฟี่ก็มาจอดอยู่ที่หน้าตึกไพร์มไทม์มีเดียฯ
ซึ่งเป็นบริษัทที่ผลิตสถานีวิทยุและรายการเพลงชื่อดังหลายรายการของเมืองไทยที่ถูกผลิตออกจากที่นี่ทั้งหมด
“ชั้นไหน?”
เขาถอดแว่นกันแดดสีเข้มออกแล้วเปลี่ยนเป็นแว่นสายตากระจกใสแจ๋วแทน
แคปเหลือบมอง
ถึงจะคุ้นเคยอยู่แล้วแต่แคปก็ยังมีความรู้สึกเหมือนเฮียโก้พ่อของเขามาเองไม่มีผิด
“มองไรวะ กูหล่อกว่าโก้ไหม..” ฟี่จัดๆทรงผมใหม่เล็กน้อย เขาปัดผมที่เสยขึ้นไว้ให้หน้าม้ามันปรกลงมา
ก่อนมองดูความเรียบร้อยของหน้าตาที่กระจกมองหลัง
“แหวะ เฮียโก้หล่อกว่าเหอะ” แคปเบะปาก
เจอฟี่ผลักหัวอย่างแรงจนเงิบ จากนั้นคุณอาของเขาเปิดประตูลงไปรอที่ด้านนอก
“ชั้นไหนบอกมาเร็ว” ฟี่ถามขึ้นมาอีกแคปจึงเดินเข้าไปหา “ชั้นสิบสองครับ”
“มึงขึ้นไปคนเดียวหรือว่าจะให้กูพาไปวะ”
“ผมไปคนเดียวสิ” แคปแกล้งทำหน้าดื้อดึง ฟี่มองแล้วเมินทันที
“ดีมาก งั้นกูพามึงขึ้นไป” หึ ก็ไม่รู้จะถามมากไปทำไม
รู้อยู่แล้วว่าตอบยังไงอาฟี่ก็ต้องพาเขาเข้าไปอยู่ดี
“คิดว่าจะทำจริงใช่ไหม ไอ้ดีเจอะไรเนี่ย..” หลังจากยื่นจดหมายเชิญผ่านพี่ยามด้านหน้าแล้ว
เขาสองคนก็มายืนกันอยู่ในลิฟต์
มือใหญ่ของฟี่ยื่นมาขยับปกเสื้อเชิ้ตของแคปให้เข้าที่เข้าทาง
“ก็แค่งานพาร์ทไทม์หรอกน่า ตอนส่งเดโม่มาก็ปิดเทอมพอดี
ใครจะรู้เป็นปีถึงจะเรียกมาแบบนี้ล่ะ”
“ตอนนั้นเขาคงยังไม่มีคอนเซ็ปรายการที่เข้ากับเสียงและสไตล์ของมึงไง
ทุกอย่างเลยถูกดร็อปไว้ก่อน”
“แสดงว่าตอนนี้มี?
อาฟี่รู้ได้ยังไงครับ..”แคปขยับเข้าไปหาเงยหน้าขึ้นถาม
ฟี่ตัวสูงใหญ่รูปร่างพอกันกับเอส บางทีเวลาแคปพูดด้วยยังต้องเงยหน้ามอง
“ก็ไม่แน่ เพราะถ้ากูเป็นผู้บริหารที่นี่ก็คงจะทำอย่างนั้น..”
ลิฟต์เปิดตัวออกพอดี หมายเลขห้องที่นัดแนะไว้อยู่ชั้นสิบสองเลี้ยวซ้ายห้อง A12-3 มีพนักงานเดินกันให้วุ่นเลย แต่ล่ะคนแขวนป้ายสต๊าฟอยู่ที่คอเต็มไปหมด
แคปดูคุ้นตามากๆกับป้ายสีส้มที่ทุกคนห้อยกันอยู่ที่นี่
“สวัสดีค่ะ นัดไว้ที่ห้องไหนคะ..” พี่สาวตัวเล็กๆในชุดกระโปรงสีชมพูอ่อน
เสียงเธอสวยมากจริงๆในตอนที่เข้ามาถามหน้าตายิ้มแย้มดูเป็นมิตร
“คุณมีนัดมาสัมภาษณ์รึเปล่าค่ะ” เธอเงยหน้าถามฟี่
เขาส่ายหน้าบอกไม่
เริ่มทำตัวไม่ถูกเมื่อโดนสายตาเธอจ้องเอาๆแบบนั้น
ไอ้อาการที่ไม่ค่อยถูกกันกับผู้หญิงนี่ค่อนข้างแย่นิดๆ ได้แต่ขยับเข้ามาหาหลานชายตัวเองขณะที่แคปเห็นแล้วนึกขำ
เธอคงนึกว่าอาฟี่เป็นนายแบบหรือดาราที่ถูกนัดมาสัมภาษณ์แน่ ๆ
เพราะฟังจากวิธีการเชื้อเชิญหรือคำทักทาย
มันก็ไม่น่าแปลกหรอกเพราะพวกไอ้อาร์กับไอ้ปอมันยังเคยบอกว่าอาฟี่น่ะหล่อยิ่งกว่าดาราหุ่นดีราวกับนายแบบขนาดนั้น
แคปยื่นใบนัดหมายส่งให้เธอดู
“อ๋อ..น้องถูกนัดมาออดิชั่น งั้นเชิญทางนี้เลยค่ะ..” หลังจากเธออ่านดูรายละเอียดเรียบร้อย
เธอจึงบอกให้แคปกับฟี่ตามเธอไป
แคปสังเกตดีๆที่ป้ายชื่อของเธอ ดีเจอ้อน
เขานึกขึ้นมาได้ทันทีเคยฟังรายการวิทยุที่เธอจัดอยู่บ่อย ๆ
ถ้าจำไม่ผิดน่าจะจัดเฉพาะเสาร์อาทิตย์ช่วงเช้ากับบ่าย
“เชิญค่ะ ห้องนี้เลย”
เธอเคาะประตูสองทียื่นหน้าเข้าไปบอกคนด้านในให้ก่อนผายมือเชิญทั้งสองคนเข้าไปอย่างสุภาพ
“ยินดีต้องรับนะ มาทำงานด้วยกันนะจ๊ะ” เสียงเล็กน่ารักบอกกับแคป
“ขอบคุณมากครับ..” แคปค้อมหัวลงให้เธอ
ก่อนที่เขากับคุณอาจะเดินเข้าไปด้านใน
ฟี่จัดการคุยเรื่องรายละเอียดของสัญญาให้จนเรียบร้อย
ซึ่งใช้เวลากันอยู่สักพักขณะที่แคปนั่งฟังอยู่ข้าง ๆ
ทุกอย่างผ่านไปด้วยจนกระทั่งในท้ายที่สุด พวกพี่ๆสต๊าฟแซวว่าคุณพ่อของแคปทำไมดูหล่อและยังหนุ่มมากๆแคปยิ้มแห้งๆมองหน้าคุณอาของตัวเองที่นั่งนิ่งๆไม่สนใจคำชม
“ตอนที่เห็นใบรับรองของน้องเขา
พวกเราเองก็ยังคิดกันอยู่เลยว่าคุณพ่อทำไมยังดูหนุ่มจัง แต่พอมาเจอตัวจริงโอ้โห
คุณพ่อครับสนใจมาเดบิ้วท์เป็นวีเจกับพวกเราด้วยไหมครับ
คุณพ่อแน่ใจเหรอครับว่าเกิดปีXX ถ้าให้ผมดูจากภายนอกเนี่ยผมว่าอายุคุณพ่อไม่น่าเกินยี่สิบห้าเลยครับเอาจริง
ๆ”
“หึ..” อาฟี่แค่นยิ้ม แคปขนลุกซู่
อายุยี่สิบห้านั่นมันมากกว่าเฮียเต้แค่สามปีเองนะจะบ้าเรอะ!
เขามองไปที่คุณอาของเขาอีกครั้งเห็นแล้วก็รู้เลยว่าอาฟี่กำลังข่มอกข่มใจแน่นอน
อาฟี่ไม่ชอบให้ใครมาชม ยิ่งวิ่งเข้าใส่ชมมากๆดีไม่ดีมีเรื่องได้แบบง่ายๆ
ไอ้นิสัยใจร้อนของเขาได้มาจากคุณอาแบบเต็มๆ
“ไม่น่าเชื่อจริง ๆ ครับคุณมีเคล็ดลับอะไรรบกวนแบ่งปันบ้างสิ
ปีนี้ผมเพิ่งสามสิบสี่แต่ดูหน้าผมสิครับไปสี่สิบสามแล้วเนี่ย..” หนึ่งในสต๊าฟดันพูดเปรียบเปรยแบบขำๆขึ้นอีก
แคปรีบขยับเข้าหาดึงๆเสื้ออาบอกใจเย็นๆ
คนรอบข้างยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จ้องมองอาฟี่ราวกับสัตว์ประหลาดหรืออะไรสักอย่าง
แคปกำลังหาทางจะดึงความสนใจจากบรรดาสต๊าฟออกจากคุณอาของเขา
แต่ทว่าก่อนที่อะไรๆจะเลยเถิดมากไปกว่านี้เสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนพนักงานชายอีกคนโผล่แต่หน้าเข้ามาบอกทีมงานในห้องว่าทุกอย่างพร้อมแล้ว
พี่ชายสองคนที่นั่งสัมภาษณ์แคปกับพี่ผู้หญิงอีกหนึ่งคนพยักหน้าให้กันแล้วลุกขึ้น
“เดี๋ยวเราขออนุญาตให้น้องแคปเข้าออดิชั่นรอบสองก่อนนะคะคุณพ่อ
นิดๆหน่อยๆไม่มีอะไรมาก..” พี่ผู้หญิงนำแคปกับฟี่ให้ไปที่ห้องออดิชั่นงานดีเจ
ที่นั่นมี ดีเจอ้อนรออยู่ก่อนแล้ว
“สวัสดีอีกครั้งค่ะคุณพ่อ
น้องแคปทางนี้เลยจ๊ะ ให้คุณพ่อรออยู่ด้านนอกนะ..” เธอกวักมือแล้วยิ้มให้
แคปหันไปมองฟี่ที่พยักหน้าบอกให้รู้ว่าเขาต้องทำเต็มที่ก่อนเดินเข้าไปด้านใน
เธอยื่นสคริปสั้นๆให้หนึ่งหน้าแล้วบอกให้เวลาสองนาที
แคปรีบกวาดสายตาอ่านรอบเดียวจบ
ใช้เวลานิดเดียวอยู่แล้วเพราะว่าเขาเป็นคนที่อ่านหนังสือไว
นี่คือจุดดีอีกข้อของแคป
“พร้อมนะ” เธอถาม
“พร้อมครับ” แคปพยักหน้ารับ มองไปด้านนอกผ่านกระจกใสแผ่นใหญ่
ๆ อาฟี่ยืนมองเขาอยู่ตรงนั้น ทุกๆคนกำลังรองานออดิชั่นครั้งนี้
แน่นอนว่าหนึ่งในจำนวนนั้นที่ยืนมองอยู่คงเป็นคณะกรรมการ
แคปครอบเฮดโฟนอันใหญ่ลงที่หู เมื่อได้สัญญาณพร้อม
เขาเริ่มพูดจาตามสคริปในสไตล์ของตัวเขาเอง ใส่โทนเสียงที่แตกต่างลงไปในแต่ละเรื่องราว
แคปเน้นอารมณ์ของเส้นเสียงมากเป็นพิเศษในแต่ละรายละเอียดที่ได้มาแต่ก็ยังไม่ทิ้งสไตล์ส่วนตัว
ประกอบกับซาวด์ดนตรีที่ดีเจรุ่นพี่อย่างอ้อนเปิดคลอไปกับเนื้อหา
ไหวพริบที่แตกต่างบวกกับลุกเล่นที่เข้ากันได้ดี การตอบโต้ของคนสองคนระหว่างแคปกับดีเจอ้อน
สิ่งนี้คือสิ่งพิเศษที่แม้แต่คนยืนฟังอยู่ด้านนอกอย่างฟี่ยังรับรู้ได้
“นั่นคือสิ่งที่เราต้องการเลยครับคุณพ่อ
แคปเขามีเนื้อเสียงที่บ่งบอกถึงระดับอารมณ์ โทนเสียงไม่ต้องปรับแต่งอะไรอีกเลย
ลูกเล่นบางอย่าง ท่าทีสบายๆเป็นตัวของตัวเองนั่นคือสิ่งที่เราต้องการจากน้องเขา
มันเข้ากับคอนเซ็ปรายการใหม่ของเรามาก..”
หนึ่งในคณะกรรมการที่กำลังจ้องมองและฟังเส้นเสียงสำเนียงสไตล์การจัดรายการของแคปเอ่ยให้ฟี่ฟัง
คนฟังยกมุมปากขึ้นนิดๆ
“หึ..” เสียงทุ้มพึมพำในคอ
มองหลานชายคนเล็กที่เขาช่วยโก้เลี้ยงดูมากับมือกำลังทำในสิ่งที่มันรักและสนใจ แคปที่ค่อยๆเติบโตขึ้น
เด็กตัวเล็กที่แต่ก่อนเขาพาไปที่ไหนๆก็จะดึงชายเสื้อเขาบอกแต่จะกลับบ้านเสมอ
มาบัดนี้เติบโตขึ้นมากแล้วจริง ๆ
“คอนเซปของรายการใหม่ที่เรากำลังจะเปิดตัว
เป็นรายการที่เปิดโอกาสให้กับผู้ฟังทางบ้านโทรเข้ามาหรืออีเมลมาบอกเล่าเรื่องราวหรือประสบการณ์ความรักของตัวเอง
เราจะสร้างแบงค์กับแคปให้เป็นดีเจดูโอที่คอยรับฟังสารพันปัญหารักของเหล่าบรรดาวัยรุ่นวันเรียนทุกเพศ
เราอยากได้คนที่อยู่ในวัยเดียวกันหรือใกล้เคียงกันเพื่อที่จะเข้าถึงปัญหาเหล่านั้นได้ดีครับคุณพ่อ
กลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่ที่เราจะคัดเลือกมาเป็นเคสสตั๊ดดี้ในแต่ละสัปดาห์เราจะเน้นกลุ่มวัยรุ่นเป็นเป้าหมายหลักครับ”
“ดีเจคู่?” ฟี่หันไปเลิกคิ้วสูงเป็นเชิงถาม
“ใช่ครับ เราต้องให้น้องเขาเรียนรู้งานกับดีเจพี่เลี้ยงไปก่อน
คงต้องใช้เวลาสักพัก เดี๋ยวเราต้องใช้เรตติ้งของรายการตัดสินว่าแคปจะสามารถไปต่อในอาชีพนี้ได้มากน้อยแค่ไหน
ถ้าหากทุกอย่างโอเคก็จะมีรายการเดี่ยวให้จัดต่อไปอีกแน่ๆ
รายได้ก็จะเพิ่มขึ้นอีกด้วยนะครับ ผมหมายถึงเรื่องค่าตัว”
“ผมไม่สนใจตรงนั้น” ฟี่แทรกขึ้นทันที
เขากอดอกจ้องหน้าคนที่กำลังยืนอธิบาย “ลูกชายผมอยู่ในวัยเรียน
ผมเห็นเขารักชอบและอยากจะทำงานด้านนี้ผมจึงสนับสนุน แน่นอนว่า ณ
วันนี้เราจะพูดกันแค่เรื่องพาร์ทไทม์
แคปจะไม่รับงานในเวลาเรียนเด็ดขาดเรื่องนี้ผมย้ำในสัญญาไปแล้ว”
“คุณพ่อใจเย็นๆครับ ผมเพียงแค่อธิบายให้ฟังเท่านั้น
แน่นอนอยู่แล้วเรื่องงานของน้องแคป
ผมจะให้เนื้องานของน้องเขาเป็นไปตามรายละเอียดในสัญญาแน่ๆครับ”
“ทำให้ได้อย่างนั้นก็ดี..” ฟี่พยักหน้าบอกด้วยเสียงดุ ๆ
คนฟังใจหายวาบ ใบหน้าหล่อเหลาของคนตรงหน้าไม่ได้ช่วยให้รู้สึกอบอุ่นขึ้นได้
เขาเพียงแค่รู้สึกว่าคุณพ่อของแคปเย็นชามากก็แค่นั้น
“เดี๋ยวผมขอรู้จักคนที่ลูกชายผมจะต้องทำงานคู่กันด้วยนะ..” ฟี่รวบรัดในสิ่งที่ต้องการรู้ออกมาเลย
สต๊าฟชายรับคำพยักหน้าก่อนยกมือให้คนในห้องอัดบอกทุกอย่างโอเคผ่าน หลังจากแคปกับดีเจอ้อนออกมาด้านนอกห้องอัด
แคปรีบเข้าไปยืนข้างคุณอาของเขาทันที
“เสียงดีมากนะ พี่ชอบเนื้อเสียงของเรามากเลย
เดี๋ยวฝึกด้านเอฟเฟคลูกเล่นที่ใช้กับเครื่องมือต่างๆอีกนิดทุกอย่างคงจะลงตัว
ไหวพริบเรายอดเยี่ยมแล้ว”
“ใช่เธอคนนี้รึเปล่า ดีเจคู่?” ฟี่หันไปถามสต๊าฟชาย
พี่เขารีบยกมือบอกไม่ใช่
“ดีเจอ้อนจะทำงานแต่ช่วงกลางวันครับ เพราะว่าเธอมีครอบครัวแล้วงานช่วงดึกเธอจึงขอผ่าน
เดี๋ยวอีกสักครู่น้องคนที่รับหน้าที่ฝึกงานให้กับแคปคงจะเข้ามาแล้วครับผมนัดไว้ประมาณสิบโมง
วันนี้น้องเขาต้องเข้ามาช่วยทำซาวด์โฆษณาให้กับรายการช่วงบ่าย”
ก๊อกๆ
“ขออนุญาตครับพี่หนึ่ง”
“มาแล้วเหรอวะไอ้แบงค์เข้ามาเร็วเข้า”
แคปถึงกับตาค้างเมื่อเห็นว่าเป็นใครที่เคาะประตูแล้วเดินเข้ามานั่งลงข้างพี่ทีมงานสต๊าฟที่ชื่อหนึ่ง
แบงค์ที่ทำท่าประหนึ่งคนไม่รู้จักยกมือไหว้อาฟี่ทันทีที่หนึ่งแนะนำ เขายังเลิกคิ้วเสียสูงถามกับพี่หนึ่งอีกครั้งว่าฟี่คือคุณพ่อของแคปจริงหรือ
โดนตีแขนมาเบาๆหนึ่งทีจากนั้นหนึ่งหันมาแนะนำสองคนให้รู้จักกัน
“แคปครับนี่ดีเจแบงค์
รู้จักกันไว้ต่อไปทั้งสองคนต้องจัดรายการคู่กันทุกสัปดาห์เลยนะ
ช่วงนี้แบงค์เขากำลังดังเลย
รายการที่เขาจัดอยู่ในช่วงไพร์มไทม์เรตติ้งสูงขึ้นเรื่อยๆ ช่วงเวลาสามทุ่มถึงห้าทุ่ม
คิดว่าแคปคงเคยฟังใช่ไหม”
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ......แคป” แบงค์ทิ้งจังหวะนิดๆก่อนเอ่ยชื่อแคป
เขาเหยียดรอยยิ้มขึ้นที่มุมปากคล้ายผู้ชนะ
ปั้นคำหลอกลวงทำเหมือนคนไม่รู้จักกัน
ก่อนยื่นมือเข้ามาหาทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้ได้ไม่เคอะเขินเลยจริง ๆ ขณะที่แคปซึ่งกำลังยืนอึ้งถูกดึงมือเข้าไปเช็คแฮนด์แบบไม่ทันได้ตั้งตัว
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ” เสียงทุ้มพูดขึ้นอีกครั้ง
แคปสะดุ้งรีบดึงมือตัวเองกลับคืนมาก่อนจะมองไอ้เด็กแสบตาขวาง แบงค์ก็แค่ยักไหล่ใส่
“มึงสองคนรุ่นเดียวกันรึเปล่า..” ฟี่ถามขึ้นแบบเถื่อนๆ
ตรงไปตรงมา
เขาจ้องหน้าแบงค์ราวกับกำลังสำรวจอะไรสักอย่าง
มีความรู้สึกว่าสองคนนี้มันรู้จักกันแน่ ๆ
“รุ่นน้องครับ แต่ก็แค่ปีเดียว
เรียนอยู่ที่เดียวกันคนล่ะคณะ..”แบงค์ตอบไม่ปกปิด ฟี่พยักหน้า
“แบงค์เขาเก่งเรื่องเทคนิคมากครับคุณพ่อไหวพริบเยี่ยม
แต่ที่สำคัญกว่านั้นรายการที่เรากำลังจะเปิดในต้นเดือนหน้า
คอนเซ็ปรายการและดีเจคู่เราวางตัวแบงค์ไว้เป็นดีเจตัวหลัก
ส่วนอีกคนเราอยากจะได้คนใหม่จริงๆที่ยังไม่มีประสบการณ์เข้ามาเรียนรู้งานด้วยให้เป็นดีเจคู่กัน
เดโม่ที่น้องแคปส่งเข้ามาเมื่อกลางปีที่แล้วเราเก็บรักษาไว้อย่างดี
รอแค่รายการที่ตรงคอนเซ็ปก็แค่นั้น”
“โอเคผมเข้าใจแล้ว คาปูว่ายังไง โอเครึเปล่า” ฟี่หันไปถามหลานชายตัวเอง
ขณะที่แคปเงียบไป
เขาจ้องหน้าแบงค์พลางชั่งใจคิดเรื่องราวหลายๆอย่าง
“ถ้าไม่ชอบบอกเลย ทุกอย่างจบ ไม่จำเป็นต้องฝืนใจทำ
แต่ถ้าหากลูกรับปากพร้อมลงลายเซ็นต์ในสัญญาไปแล้ว
ลูกต้องรับผิดชอบสิ่งที่ลูกตัดสินใจทั้งหมด นั่นคือหน้าที่” ฟี่พูดเสียงเรียบๆออกมา
คนที่นั่งอยู่รอบข้างถึงกับขนลุก บรรยากาศรอบตัวเย็นเฉียบอย่างไรพิกล
ขนาดแบงค์ที่เพิ่งเข้ามาก็ยังรู้สึกว่าคุณพ่อของแคปดูน่ากลัว
“ว่ายังไง” ฟี่หันไปถามเบา ๆ อีกครั้ง แคปพยักหน้า
“ผมตกลงครับ พาร์ไทม์สองปีในระหว่างที่เรียน
เวลาทำงานห้าทุ่มถึงตีหนึ่งทุกคืนวันศุกร์
รายละเอียดของรายการผมอ่านเรียบร้อยแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นทุกอย่างก็โอเค”
แคปลงลายเซ็นยินยอมเป็นครั้งสุดท้ายขณะที่ฟี่ลงชื่อเป็นพยานและผู้รับผิดชอบให้
แบงค์ที่เลี่ยงไปนั่งอยู่ด้านหลังยกยิ้มออกมาเมื่อสัญญาทุกอย่างเสร็จสิ้น
“เริ่มงานวันศุกร์หน้านะครับ
เราจะเปิดตัวรายการใหม่ที่เริ่มโปรโมทกันมาแล้วตลอดหนึ่งเดือนนี้
ทุกคนตื่นเต้นกันมาก เจ้าแบงค์ทำการบ้านมากกว่าใคร ๆ
ส่วนแคปมีอะไรไม่เข้าใจให้ถามจากแบงค์ได้เลยนะ
พี่เองสแตนบายคุมเครื่องเสียงอยู่ที่ห้องนี้กับห้องข้าง ๆ
เดี๋ยววันศุกร์นี้เรามาเจอกัน ขอให้มาก่อนเวลาสักหนึ่งชั่วโมงในครั้งแรก
มีสิ่งที่ต้องบรีฟกันอีกนิดหน่อย นี่เป็นสคริปของการออกอากาศครั้งแรก..”
หนึ่งยื่นสคริปปึกนึงให้ แคปรับมาถือเอาไว้
ตอนนี้ทุกคนในห้องเดินออกมาส่งฟี่กับแคปที่ด้านนอก
ดีเจอ้อนกับแบงค์เองก็เดินตามออกมาด้วย เขาโบกมือให้แคปแบบกวน ๆ
เจอแคปยกเท้าใส่อย่างไม่แคร์เลย แบงค์ถึงกับขำ อาฟี่หันมามองแบบดุๆ
แคปเหมือนนึกอะไรบางอย่างได้จึงหันกลับไปถาม
“พี่หนึ่งครับผมขอถามอย่างนึง”
“ถามว่า?”
“คือถ้าผมจะพาเพื่อนมาด้วยเป็นบางครั้งจะได้ไหม
ที่ทำงานที่นี่เป็นส่วนตัวห้ามคนนอกเข้าอะไรแบบนั้นรึเปล่าครับ”
“ปกติห้ามคนนอกที่ไม่มีธุระเข้าครับ
แต่เพื่อนฝูงของพนักงานก็ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ที่นี่ก็เหมือนบ้าน ห้องออนแอร์แต่ล่ะห้องพอเราเข้าไปทำแล้วมันจะให้ความรู้สึกเหมือนห้องทำงานส่วนตัวของเรา
มีเครื่องอำนวยความสะดวกทุกอย่างอยู่ในนั้น
มีห้องรับรองโซฟายาวเผื่อไว้สำหรับทีมงานดึกๆงีบ ไม่ใช่แค่เพื่อนหรอกนะ
แฟนน่ะยังพามาได้เลย..” หนึ่งแกล้งกระซิบกระซาบ ฟี่มองแล้วก็ส่ายหัว เขาจับพิรุธได้แล้ว
ไอ้เจ้าสตาฟหนึ่งนี่มันไม่ใช่ชายแท้แหง ๆ ขยิบตาใส่เขาหลายทีแล้วด้วย
นี่ขนาดตัวมันถึกบึกบึนขนาดนั้น น่ากลัวจริง ๆ แคปมันจะเอาตัวรอดได้ไหมวะเนี่ย
สองอาหลานลงลิฟต์มาด้วยกัน
“มึงโอเคป่ะวะแคป
กูว่าทีมงานแต่ล่ะคนมีสไตล์แปลกๆทั้งนั้นเลยนะ”
“ผมโอครับ” แคปพยักหน้ารับ
คนอื่นน่ะโอเคอยู่หรอกจะติดก็แต่ไอ้เด็กแบงค์นั่น บ้าฉิบ
ต้องมาทำงานคู่กับมันได้ยังไงวะ
แต่ก็ยังดีที่แค่อาทิตย์ละสองชั่วโมงขืนให้จัดรายการคู่กันทุกๆคืนเขาจะขอยกเลิกสัญญามันวันนี้เลยเหอะ
“หิวอะไรไหม ไปหาข้าวกินกัน” แคปพยักหน้าบอกว่าหิวมาก เขานั่งลูบท้องเสนอว่าจะกินร้านไหนพูดไปเถอะยี่สิบร้าน
แต่ฟี่ก็แค่ขับรถไปร้านที่ตัวเขาอยากจะกินก็แค่นั้น
“โหยผมบอกอยากกินก๋วยเตี๋ยวเรืออ่ะ..” พอรถจอดหน้าร้านอาหารไทยเรือนไม้แถวชานเมืองแคปสอดส่องสายตาแล้วโวยเลย
“แต่อาหารที่นี่อร่อย..”
“อาฟี่ใจร้ายเหอะ เฮียโก้ก็บอกถ้าแวะเตี๋ยวเรือให้ซื้อไปฝากนี่”
“อ้าวโก้บอกอย่างนั้นจริงดิ..” ฟี่ทำหน้าแปลกใจนิดๆ
“จริงสิครับ เมื่อคืนก่อนนอนพ่อบ่นกับผมอ่ะ” แคปลอยหน้าโกหก
ฟี่หันมองอย่างพิจารณา ชั่งใจอยู่ครู่นึง
ก็เพราะเป็นเรื่องของโก้น่ะสิเกิดจริงขึ้นมานี่แย่แน่ถ้าไม่ซื้อกลับไปให้
“เอาแบบนั้นก็ได้วะ
เดี๋ยวขับเข้าซอยทะลุกลับเข้าไปด้านในแล้วกัน แถวฝั่งนั้นมีร้านนึงอร่อยใช้ได้”
“ร้านที่ติดแอร์น่ะเหรอ
บ้านสีส้มๆก๋วยเตี๋ยวเรืออยุธยาอะไรสักอย่าง”
“แน่นอนสิวะ กูไม่นั่งกลางแดดร้อนๆหรอกนะ มึงดูชุดกูก่อน”
“อาฟี่หล่อทุกวันอ่ะ ใส่ทำไมเสื้อผ้าราคาแพงแบบนี้..” แคปไล่สายตามองเสื้อผ้าเข้ารูปทั้งเชิ้ตทั้งสแลค
ไม่เข้าใจทำไมอาฟี่ใส่ชุดอะไรก็ดูหล่อไปหมด อาจเป็นเพราะรูปร่างหรืออะไรสักอย่าง
อินเนอร์ดูดีมันออกมาจากภายในเลยจริงๆ
“ถามพ่อมึงนะ”
“อะไรเนี่ย”
“เสื้อผ้ากูมีแต่โก้สั่งซื้อให้ทั้งนั้น”
“จริงดิ”
“กูไม่เคยโกหก”
“แน่ใจ? อาฟี่เพิ่งโกหกคนอื่นว่าอาเป็นพ่อของผมน่ะ”
“นั่นมันเป็นเรื่องเดียวในชีวิตที่กูจะสามารถโกหกได้”
“.......” แคปยักไหล่แล้วเบ้ปาก เชื่อตายล่ะ
เขาเหลือบมองคุณอายังหนุ่มที่ตอบแล้วก็อมยิ้ม จะว่าไปร้อนแค่ไหนเหนื่อยหรือเบื่อยังไงแค่พูดถึงเฮียโก้
อาฟี่ก็อารมณ์ดีขึ้นได้เสมอ
สองคนอาหลานกลับมาถึงบ้านบ่ายสามโมงเศษๆเหตุเพราะฟี่โดนโทรตามตัวไปที่นิติเวชเรื่องยืนยันสภาพศพและแคปก็ต้องเข้าไปนั่งรอที่ห้องรับรองเล็กๆของที่นั่นจนบ่ายสามกว่าจะได้กลับกันได้
“คนไปออดิชั่นกันเยอะรึไงทำไมถึงช้าล่ะคาปู..”
โก้กับเต้กลับมาจากข้างนอกกันแล้ว ฟี่กับแคปกลับมาทีหลัง
โก้ถามขึ้นทันทีที่แคปหิ้วถุงก๋วยเตี๋ยวเข้าไปวางไว้ให้
“มีใครไปออดิชั่นที่ไหน เห็นมีแต่มันคนเดียวอ่ะ”
เสียงทุ้มของฟี่ดังขึ้นขณะที่มือปลดกระดุมเสื้อไปด้วย ฟี่เดินเลี้ยวเข้าห้องนอนตัวเองทันที
“อาฟี่มีงานด่วนน่ะครับพ่อ ผมเลยต้องติดรถไปที่นิติเวชด้วย”
แคปเดินเข้าไปล้างมือ จากนั้นเดินออกมานั่งลงข้างโก้
วันอาทิตย์ร้านกาแฟจะหยุดเพราะอย่างนั้นถึงโก้จะออกไปธุระกับเฮียเต้มาแล้วก็จะกลับมาอยู่ในชุดทำงานบ้านอีกเหมือนเดิม
“เฮียเต้ไปไหนอ่ะ” แคปหันไปถามคุณพ่อของเขา
โก้กำลังเลื่อนไอแพดดูอะไรเล่นไปเรื่อย
มันก็เป็นหน้าเวปที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเมล็ดพันธ์กาแฟหาอยากอยู่ดี
“ขึ้นไปข้างบนน่ะ สงสัยคุยโทรศัพท์..” แคปพยักหน้าเบา ๆ
ฟี่ที่เดินออกมาจากห้องในชุดใหม่ที่ดูหล่อกว่าชุดเมื่อเช้าเสียอีก
ทำเอาแคปมองจนตาค้าง
“วันนี้จะกลับดึก ไม่ต้องรอ”
ฟี่บอกไว้แค่นั้นก่อนเดินออกไปเปิดตู้รองเท้าแล้วหยิบคู่ใหม่ออกมาสวม
โก้เดินเข้าไปหาพูดอะไรกันสักอย่างก่อนตบลงที่บ่า
แคปหันมองไปเห็นคุณอายิ้มยากของเขาเอามือบีบแก้มโก้เล่นแล้วยกมือบอกลา
“ไงเรา ที่มหาลัยเรื่องเรียนเรื่องเพื่อนเรื่องสาว ๆ
ลูกโอเคไหมคาปู..” โก้เดินกลับเข้ามานั่งลงข้างลูกชายเหมือนเดิม เขาวาดวงแขนไปโอบไหล่แคปไว้
พลางขยับแว่นสายตาแคปเอนหัวซบลงไปที่ไหล่คุ้นเคยนั่น
“พ่อครับ งานดีเจน่ะ
ผมต้องทำทุกคืนวันศุกร์ห้าทุ่มเลิกตีหนึ่ง กว่าจะถึงห้องคงราวๆตีสอง พ่อคิดว่าไง?”
แคปไม่ได้ตอบคำถามแต่เลี่ยงไปถามเรื่องงานใหม่ของเขาแทน
“อะไรคือคิดว่าไง?”
“ก็..ผมกลัวพ่อว่าผมทำเรื่องไร้สาระอะไรทำนองนั้น”
“พ่อไม่ว่าถ้าคาปูไม่ทำให้เรื่องเรียนของลูกต้องตกลงไป
หน้าที่หลักของลูกคืออะไรลูกรู้ดี
คิดเอาเอง หัดแบ่งเวลาเอาเอง วัยรุ่นต้องใช้ชีวิตให้คุ้มค่า
พ่อดีใจนะที่เห็นลูกพยายามเพื่อให้ได้ทำในสิ่งที่ลูกสนใจ ลองดูสักช่วงเวลานึง
พ่อคิดว่าลูกทำได้ เชื่อใจตัวเองแล้วลุยไปข้างหน้าได้เลย”
“ครับพ่อ” แคปพยักหน้ารับคำ
ความมั่นใจมาจากไหนไม่รู้กองเบ้อเริ่มเลยแคปยิ้มจนตาหยี โก้จึงตบลงที่บ่าเล็กเบา ๆ
สองสามทีบอกสู้ๆ บางทีพ่อกับลูกชายก็คุยกันแบบนี้อยู่บ่อย ๆ
ลาเต้เองเวลาที่ต้องการกำลังใจฮึดก็มาอ้อนเขาเหมือนกับที่แคปชอบทำ
สิ่งที่ต้องเรียนรู้หลังจากที่ภรรยาเขาเสียไปคือกำลังใจที่ดีทั้งจากคนข้างตัวอย่างน้องชายฝาแฝด
ความภูมิใจเมื่อมองเห็นลูกชายสองคนที่ค่อยๆเติบโตขึ้นทุกวันๆ
คืนนั้นแคปค้างที่บ้านอีกหนึ่งคืน
ตอนแรกก็ว่าจะกลับแต่อาฟี่บอกจะกลับถึงบ้านดึกมาก
เขากับเต้เลยตกลงกันว่าจะกลับเช้าวันจันทร์แทน แคปไลน์บอกปอว่าคืนนี้ไม่ได้กลับ
นึกๆอยู่ว่าจะบอกเอสดีไหม โทรศัพท์ที่ถืออยู่ก็สั่นเรียกเสียงดัง เขาสะดุ้งนิดๆ
พอเห็นเบอร์ถึงกับส่ายหัว ว่าแล้วเชียวเป็นไอ้คนที่กำลังนึกถึงอยู่พอดี
รู้เลยว่าตอนนี้มันต้องรออยู่ที่ห้องเขาแล้วแน่ ๆ
(ทำไมไม่โทรหากูวะแคป) โทรเข้ามาก็โวยวายเป็นเด็กๆ
แคปนี่เชื่อมันเลย ดูหน้าตาภายนอกมันใช่แบบนั้นเหรอวะ
“ทำไมกูต้องโทรหามึง” แคปถามกลับไปแบบมึนๆ
(............)
“...........”
(กูรอมึงอยู่ที่ห้องมึงรู้ใช่ไหม)
“ก็แค่กลับถึงห้องพรุ่งนี้ มึงมีปัญหาอะไรล่ะห๊ะ!”
(ไม่มีปัญหาอะไรเลยแคป
ไม่ว่ามึงจะกลับวันไหนกูก็จะมารอมึงอยู่แล้ว
แค่ไม่ปล่อยให้กูรอโดยไม่มีจุดมุ่งหมายก็พอ)
“เออๆๆๆๆ พรุ่งนี้กูก็กลับพอใจยังล่ะ”
(ไม่เลื่อนอีกแน่นะ ถ้ามีเลื่อนกูไม่ว่าขอแค่ให้บอก)
“ไม่เลื่อนหรอกโว๊ยกูต้องไปเรียนอยู่แล้ว
วันนี้อาฟี่ติดงานด่วน กูกับเฮียเต้เลยตกลงกันว่าจะค้างที่บ้านก่อน
ไม่อยากบอกมึงเลยจริงๆให้ตายเหอะ”
(แค่นั้นก็จบ ถ้าบอกดีๆแต่แรกไม่มีปัญหาอะไรเลย)
“........”
(งอนป่ะเนี่ย เงียบทำไม)
“กูเกลียดมึงที่สุด! กูไม่อยากพูดกับมึง!” แคปใช้กำปั้นฟาดทุบลงบนหมอนดังผั๊วๆๆ อย่าคิดว่าเอสจะไม่ได้ยิน
คนฟังอยู่ที่ปลายทางก็แค่อมยิ้มขำๆ
(ทำไมวะ ทุกทีด่าแค่เกลียดที่สุดนี่ ไอ้คำพูดกูไม่อยากพูดกับมึงนี่ของแถมรึไง)
“........”
(แคป?)
“กูไม่อยากพูดกับมึงแล้ว”
(ทำไม)
“ทำไมมึงต้องนามสกุลนั้นด้วยวะ” ในที่สุดเขาก็พูดสิ่งที่คิดจนอึดอัดใจขึ้นจนได้
(ทำไมล่ะ..)
“นามสกุลไฮโซ”
(กูไฮโซเหรอ กูอยู่กับมึงทุกวันนี้กูไฮโซไหม กูทำตัวปกติใช่ไหม
ทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกเวลาที่กูใช้ร่วมกับมึง ไม่เกี่ยวกับคำพวกนั้นเลย..)
“...................”
“ก็แค่นามสกุลน่าแคป กูภูมิใจนะนามสกุลกูก็เพราะดีนี่”
“..............”
(แคป? เป็นอะไรน่ะ)
“เปล่า”
(เปล่าเนี่ยนะ?
พวกผู้หญิงพูดเปล่าทีไรปัญหาตามมาเป็นกองมึงรู้ไหม)
“กูเป็นผู้ชายคำว่าเปล่าของกูหมายถึงเปล่าจริง ๆ”
(แน่ใจ) เอสทิ้งเสียงสูง เขารอฟังคำพูดจากอีกฝ่ายอยู่พักนึง
ตอนแรกนึกว่าแคปจะไม่พูดออกมาแล้ว แต่ในที่สุดเสียงที่เขารอจะฟังก็พูดออกมาจนได้
“ปกติกูไม่ค่อยคบหากับพวกเซเลปไฮโซโก้หรู
แต่เห็นแก่มึงที่ทำตัวติดดินได้ดีกูจะยกเว้นมึงไว้สักคนก็แล้วกัน”
(มึงพูดถึงกูในฐานะอะไร)
“เพื่อนกูไง”
(กูเป็นผัวมึงแคป) เอสสวนขึ้นทันที
“ไอ้สัส!
มึงจะพูดขึ้นมาทำเชี่ยเหรอห๊ะ!”
(กูพูดเรื่องจริง)
“ไม่อยากพูดด้วยแล้วกูจะนอน”
(นอนอยู่กับใครน่ะ)
“บ้าเอ๊ย กูก็นอนอยู่คนเดียวสิวะ กูจะนอนอยู่กับผีเหรอไอ้ห่า
บ้านกูมีคนล่ะห้องโว๊ย”
(แล้วไป)
“ไอ้โรคจิต มึงคิดเรื่องอุบาตๆขึ้นมาอีกล่ะสิท่า”
(เปล่าสักหน่อย พรุ่งนี้ตอนเย็นเจอกันนะ
กูจะเข้าไปรอมึงที่ห้อง)
“เรื่องของมึง!กูจะวางแล้ว”
(หึหึ..) เอสรอให้แคปกดตัดสายเขาลุกขึ้นหยิบเอากระเป๋าทันที
กวาดเอาหนังสือหนังหาบนโต๊ะจนหมด ปิดไฟแล้วเดินออกไปเลย
เสียงกุกกักที่ปลายทางทำเอาแคปที่กำลังจะกดวางคิ้วขมวดฉุกคิด
“ไม่ต้องมาหัวเราะ ไอ้คนนิสัยแย่ มึงกำลังทำอะไรน่ะ
ทำไมท่าทางวุ่นวายแบบนั้น”
(กลับห้องกูไง)
“ตอนนี้เนี่ยนะ”
(หมามันผิดสัญญา ทำไงได้ถ้ารู้ตีสามกูคงกลับตีสามนั่นแหละ)
“...........”
(คิดถึงมึงว่ะ ไม่มีใครมานั่งด่าให้เห็นหน้าเลยเนี่ย
รีบๆกลับมารู้ไหม)
“.........”
(อย่าบอกนะว่ากำลังเขิน เงียบทำไมวะ หน้าแดงรึเปล่าลุกขึ้นไปดูกระจกซิ)
“สลัดผักเน่าเอ๊ย!”
แคปกระแทกเสียงด่าครั้งสุดท้ายก่อนกดสายตัดลง
เขานั่งข่มอกข่มใจก่อนกระโดดออกจากเตียงลุกขึ้นไปดูกระจก
“บ้าเอ๊ย แก้มกูสีนี้อยู่แล้วต่างหาก
ไม่ใช่ว่ามันแดงเพราะคำพูดบ้าๆของมึงหรอกโว๊ย ไอ้โรคจิต!!” สองมือเล็กทึ้งหัวตัวเองไม่ได้ดั่งใจ ก่อนเข้ามาซุกตัวนอนลงที่เดิม
ในที่สุดก็หลับไป
.
.
เช้าวันต่อมาแคปขับรถไปส่งเต้ที่หอก่อนค่อยเข้าไปที่มหาวิทยาลัย
เพราะว่าเต้ไม่ได้เอารถกลับบ้านได้ยินว่าวันนั้นพี่รัฐมาส่ง
เพราะอย่างนั้นแคปจึงทำหน้าที่น้องชายที่ดีส่งพี่ชายลงแค่ที่หน้าซุ้มถ่ายเอกสารของคณะ
เรื่องอะไรจะขับเข้าไปในนั้นเกิดเจอไอ้ตัวที่ไม่อยากจะเจอต้องเสียเวลาต่อปากต่อคำด่ามันอีก
“กินขนมไหมคาปูกูเลี้ยง
กล้วยทอดน้ำแดงมันฝรั่งซุ้มนี้ของเขาดีจริง” เต้ก้าวลงไปแล้วเขาก้มลงมาถาม คนขับอย่างแคปก็แค่ส่ายหัวบอกไม่กิน
“งั้นกูไปแล้วนะ มึงเข้าตึกเลยละกัน
วันนี้มีเรียนบรรยายอย่างเดียวใช่ไหม..” แคปพยักหน้าบอกใช่
พอส่งเต้ลงเสร็จพี่ชายเขาก็หายเข้าไปที่ซุ้มถ่ายเอกสารตรงที่มีคนรุมเยอะๆนั่น
ด้านหลังมันเป็นร้านขายขนม
มีนักศึกษาชะแว๊ปแอบมาซื้อระหว่างรอเข้าเรียนแถวนี้เยอะมาก
เขากลับรถแล้วเลี้ยวออกไปผ่านหน้าคอมเพล็กของวิศวะ
ช้อปแดงเดินสวนกันให้วุ่น สายตาก็ดั๊นดีจนเกินเหตุเห็นรถสีขาวคันสวยป้ายทะเบียนเป็นเลขโดดแค่ตัวเดียวจอดเข้าซองอยู่
แคปรู้แล้วล่ะว่านั่นคือรถของเอส
เขากำลังเมียงมองอย่างอารมณ์ดีแต่จู่ๆดันเห็นไอ้เพื่อนสนิทตัวเล็กๆของมันเดินออกมากดสวิทแล้วเปิดท้ายรถเอาหนังสือหรืออะไรสักอย่างอย่างหอบใส่อกก่อนที่เอสจะเดินตามออกมาเปิดเอาของที่หน้ารถ
แล้วเดินไปช่วยรับของจากเมี่ยงมาถือไว้เอง
มือใหญ่วางลงที่หัวเล็กแล้วขยี้หยอกเอินอย่างเคย
ขนาดแคปดูอยู่ฝั่งทางนี้ยังรู้เลยว่าเมี่ยงกำลังฉีกยิ้มดีใจแค่ไหน
เขาถึงกับชะลอรถลงดูแผ่นของคนทั้งคู่ที่เดินเบียดกันเลี้ยวกลับเข้าไปแล้ว แคปนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้นพักนึงก่อนส่ายหัวไล่ความนึกคิดแปลกๆที่ตีขึ้นมาถึงอก
ในที่สุดก็เคลื่อนรถขับออกไป
ชั่วโมงเรียนวันนี้มียาวตั้งแต่เช้าจรดเย็น
“แพรโทรมานัดว่ะ มึงหาอะไรกินเอาเองนะไอ้แคป”
หลังจากเรียนเสร็จช่วงเย็น ปอบอกแคปไว้แบบนั้น อาร์เดินหน้ามุ่ย ๆ ลูบท้อง
“มึงหิวรึไงไอ้อาร์” แคปหันไปถาม
อาร์เดินเข้ามาเบียดเขาแล้วพยักหน้า
“งั้นเดี๋ยวกูพาไปกินของอร่อยมึงไม่ต้องเสียใจไป..”
แคปคว้าเอาคอคนตัวเล็กมากอดไว้
อาร์มันคงงอนไอ้ปอนิดหน่อยเพราะก่อนหน้านั้นนัดกันไว้ดิบดีว่าจะพากันไปกินร้านเปิดใหม่หลังมอ
แต่ก็เมื่อสักครู่นี้เองที่แพรโทรเข้ามาปอมันเลยต้องแคนเซิ่ลนัดแล้วบอกกับแคปเรื่องอาหารมื้อดึกที่ห้อง
ถ้าไปกับแพรมันก็ไม่แน่ทุกทีปอจะค้างห้องเธอเลยก็มี
“คืนนี้มึงจะค้างกับแพรเหรอวะ..” อาร์ถามขึ้นมา
ปอส่ายหัวบอกยังไม่รู้
“เออมึงไปเหอะ เดี๋ยวกูไปส่งไอ้อาร์เอง” แคปบอก
“อยากกินอะไรก็ให้มันพาไปกิน เดี๋ยวดึกๆกูโทรหา..” ปอเดินเข้าพูดเสียงเบากับอาร์
คนถูกลูบหัวพยักหน้ารับเบา ๆ
“อาร์มันอยากกินผัดไททะเล มึงพามันไปก็แล้วกัน”
“อือ มึงไปเหอะ”แคปพยักหน้าบอก
“กูไปนะไอ้อาร์ มึงห้ามน้อยใจรู้ไหม”
“รู้แล้วน่า มีไอ้แคปพาไปแล้วกูจะน้อยใจทำไมล่ะวะ
รีบไปเร็วเข้าไหนว่าต้องไปรับแพรเขาไงล่ะ” อาร์ดึงแขนปอบอกให้ขึ้นรถ
ปอที่แทบไม่อยากจะเดินพยักหน้าเบา ๆ เขามองหน้าอาร์เหมือนกับยังห่วงอยู่นิดๆ
เพราะรู้ว่าตัวเองผิดสัญญา จริง ๆ พักหลังเขาไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองเป็นอะไร
ความรู้สึกกับแพรเหมือนมันค่อยๆลดลง ทั้ง ๆ ที่เขาเองก็ไม่ได้มีใครใหม่
ถามว่ารักไหม ก็ยังรักอยู่แต่จะใช้คำว่ารักน้อยลงแบบนั้นจะได้ไหม
“เดี๋ยวคืนนี้กูจะกลับ
แคปมึงรอเปิดประตูให้ด้วยละกัน..”ปอตัดสินใจหันมาบอก
“อ้าว ทำไมล่ะวะ ไม่ค้างกับเมียมึงอ่อ?” แคปถามงงๆ
อาร์เองก็งงตาม
“ไม่ล่ะ..” ถ้าคิดว่าคงไปต่อไม่ได้ยาว
เขาจะไม่ทำอะไรให้เธอเสียหายไปมากกว่านี้แน่ ๆ แพรเป็นผู้หญิงที่ดี
แต่คนดีก็ใช่ว่าจะตรงกับความรู้สึกของเขาได้นาน บางทีก็เกลียดตัวเองอยู่เหมือนกัน
เขาคิดว่าหลายๆคนอาจจะเคยเป็นแบบนี้ ไม่ใช่ว่าเธอไม่ดี
แต่ความรู้สึกที่มันค่อยๆลดลง เขาควบคุมมันไม่ได้จริง ๆ
“เออๆเดี๋ยวกูรอเปิดเอง จะกลับตอนไหนก็ตามใจ
แต่ถ้าจะไม่กลับมึงต้องโทรบอกนะกูขี้เกียจมานอนรอ”
“โอเค”
.
.
คืนนั้นกว่าแคปจะกลับถึงห้องปาเข้าไปเกือบทุ่ม
ไฟในห้องเปิดอยู่ก่อนแล้ว มีรองเท้าผ้าใบคู่ใหญ่ของใครบางคนถอดอยู่ที่หน้าตู้
แคปชะงักนิดนึงทั้งที่รู้ตั้งแต่ก่อนขึ้นมา รถสีขาวคันคุ้นตาจอดอยู่ที่ช่องจอดเดิม
เอสมันลงทุนเช่าที่จอดไว้เป็นรายเดือนเพื่อความสะดวก
แคปพลูลมหายใจเบาๆก่อนเดินฉับๆเข้าไปเปิดประตูห้องนอนตัวเอง
แกรกกกก .......ดูเหมือนคนนั่งทำงานอยู่จะไม่รู้สึกตัวเลยกระทั่งบานประตูถูกเปิดผั๊วะเข้ามา
“มาเมื่อไหร่วะแคป กูไม่ได้ยินเลยนะ..” เอสวางปากกาลงทันที
เขานั่งทำการบ้านเสร็จอ่านหนังสือรอเจ้าของห้องอย่างแคปไปเรื่อย ๆ
สมาธิดีจนไม่ได้ยินเสียงคนด้านนอก แคปกวาดสายตามองดูรอบๆห้อง ทุกอย่างยังอยู่ในสภาพดี
เรียบร้อยเหมือนก่อนที่เขาจะไป
จะมีก็แต่กองเสื้อผ้ากับกระเป๋าสะพายสีดำใบใหญ่ส่วนตัวของเอสที่ถูกวางไว้แถวๆเก้าอี้ปลายเตียง
แคปปลดกระเป๋าออกจากบ่าโยนลงที่โต๊ะหนังสือของตัวเอง
ซึ่งตอนนี้มันวางอยู่ข้างกันกับโต๊ะตัวใหม่ของเอส เขาเสยผมสองสามทีก่อนทิ้งตัวนั่งลงที่เก้าอี้ทำงาน
สองคนจ้องมองหน้ากัน มีหลายเรื่องที่เกิดขึ้นกับเขาโดยที่เอสยังไม่ได้รับรู้เลย
แคปกำลังชั่งใจว่าควรจะบอกให้มันรู้ดีหรือไม่
ทั้งเรื่องงานดีเจนั่นและยังมีเรื่องไอ้เด็กแบงค์นั่นอีก
แต่ทว่า..ภาพที่เห็นหน้าคอมเพล็กซ์เช้าวันนี้กลับผุดขึ้นมาในหัวเขาได้อีกครั้ง
ยอมรับว่าหงุดหงิดแบบฉิบหาย แต่จะให้พูดออกมาตรง ๆ แบบนั้นมันก็...
“กินข้าวมารึยัง..” เอสเลื่อนเก้าอี้ขยับเข้ามาถาม
มือใหญ่ยื่นเข้ามาหวังเกลี่ยปอยผมนิ่มไม่ให้ตกลงบังใบหน้ามากนัก
แต่กลับโดนแคปปัดออกแรง ๆ อย่างเคย
“เป็นอะไรของมึง ดูทำหน้า หิวป่ะวะ”
แคปเลื่อนสายตาที่จ้องหน้าเอสออก เขาส่ายหัวบอกไม่
กำลังจะลุกขึ้นแต่มือใหญ่กลับคว้าเอาเอวเล็กไว้แล้วล๊อคให้นั่งลงที่ตักเขาทันที
แคปหันไปมองหน้าคนที่เป็นเบาะรองให้เขานั่งทับอยู่
“กินข้าวหรือยังบอกกูก่อน” เอสเงยหน้าถาม
“กูจะอาบน้ำ” แคปตอบไปอย่างอื่น
“แล้วมึงหิวป่ะล่ะ”
“ไม่”
“กินมาแล้ว?”
“..........”
“...........”
“อ่ะ....!! บ้าอะไรของมึงห๊ะ!”
เพราะจู่ๆโดนล๊อคคอแล้วดึงลงมารับจูบไม่ทันได้ตั้งตัวแบบนั้น
แคปจึงร้องประท้วงเสียงหลง เอสจูบแค่นิดเดียวเขาก็ปล่อยผละออกมา
“กลิ่นผัดไท?”
“ประสาท” แคปลุกขึ้นได้เดินไปคว้าเอาผ้าเช็ดตัวใส่บ่า เหลือบมองคนที่หมุนเก้าอี้ตามจ้องเขาอย่างกับมันโกรธกันมาสักร้อยปี
บ้าเอ๊ย
“กูไปกินกับไอ้อาร์เหอะ ร้านเปิดใหม่หลังมอ
มึงจะตาขวางไปไหนวะไอ้โรคจิต!” พอได้ด่าแค่นั้นแหละ
คนฟังยิ้มเผล่ออกมาได้ แคปจับเอาหมอนปาใส่หน้าไม่อยากเห็นรอยยิ้มโชว์ฟันกระต่ายแบบนั้นของมัน
แต่เอสคว้าหมับหมอนใบนั้นเอามากอดไว้ได้แคปจึงชี้นิ้วใส่แล้วบอกห้ามยิ้ม! จากนั้นเขาเดินกระแทกเท้าเข้าไปอาบน้ำพักเดียวก็กลับออกมา
แต่มองไม่เห็นเอสนั่งอยู่ในห้องแล้ว แคปหยิบเสื้อผ้าออกมาใส่ พอมายืนเช็ดผมอยู่ที่หน้ากระจก
ไอ้ตัวอันตรายก็เดินถือน้ำกล่องผลไม้เย็นๆเข้ามาวางไว้ให้
“ไม่ขอบใจหรอกบอกไว้ก่อน” แคปเดินไปคว้าเข้ามาดูดอย่างเร็ว
หิวน้ำเย็นๆตั้งแต่กลับมาแล้ว
“กูไม่ได้เอาเข้ามาให้มึงนะ
เพราะงั้นเดินออกไปเอาอีกกล่องมาให้กูเลย” เอสกอดอกบ่ายหน้าบอกให้แคปออกไปเอามาซะดี
ๆ แคปยักไหล่ไม่รู้ไม่ชี้
“แกล้งรึไง อยากมีเรื่อง?
อาบน้ำเพิ่งเสร็จแบบนี้อย่าท้านะมึง”
“ไม่เอา อย่าเล่นสิวะบ้าเอ๊ย น้ำหกหมดหรอก”
แคปดันๆคนที่รุกเข้ามาทำท่าจะกอด เอสเห็นสีหน้าจริงจังแบบนั้นแล้วก็นึกขำ
ปล่อยให้แคปเดินออกไปด้านนอก เขาหยิบเอาใบงานที่กำลังอ่านค้างอยู่ตามออกมา ขณะที่แคปกำลังเลือกช่องการ์ตูนเพื่อดู
เอสเดินเข้ามานั่งลงด้วย
“โคนันช่องXX” แคปหันมองคนบอกอย่างเซ็ง ๆ ถือรีโมทค้างเติ่ง
เอสจึงคว้าเอามากดให้แทน รู้สิว่าแคปมันชอบดูโคนันมากที่สุด เวลาตอนนี้ฉายยาวเลย
“ใครบอกกูจะดูโคนัน”
“เอาเหอะน่ากูอยากดูไม่เกี่ยวกับมึงหรอก”
เอสว่าจบก้มลงอ่านใบงานต่อทันที
แคปก็นั่งดูดน้ำผลไม้ไปดูไปสองคนนั่งพิงกันอยู่ที่โซฟายาวสักพักนึงแคปอยากจะยืดขาด้วยความเคยชินเขายกสองขาขึ้นมาพาดบนตักเอสแล้วเอนตัวนอนลงหนุนหมอนอิงอันใหญ่
ๆ เอสคว้าเอากล่องน้ำผลไม้ที่อีกคนกินจนหมดแล้ววางไว้ที่โต๊ะให้
แคปนอนดูการ์ตูนโปรดไปเรื่อย ๆ
“วันศุกร์หน้าห้าทุ่มกูไม่อยู่ห้องหรอก” เสียงที่พูดออกมาลอย
ๆ เรียกความสนใจให้คนที่กำลังตั้งใจอ่านชี๊ตในมือเงยหน้ามอง
“กลับบ้าน?”
“เปล่า”
“ไปไหน?”
“เรื่องของกู”
“แคป” เอสวางใบงานในมือลงเลย “เอาดีๆ มึงจะไปไหน”
“ทำไมกูต้องบอกมึงทุกอย่างด้วยล่ะ”
“นั่นสิ ทำไมล่ะวะ”
เอสตาขวางขึ้นแล้วแคปเห็นแบบนั้นเขาจะเอาขาลงจากตักแต่มือใหญ่คว้าหมับเอาไว้ทั้งสองขาเลย
“ไอ้สัส อย่าเล่นปล่อยเลย”
“ถ้ามึงไม่พูดกูจี๋เท้าเลยเอาดิ”
“กูกลัวรึไง ไอ้สัส...โอ๊ยยยยยอย่าทำ อื้อๆๆๆๆ”
แคปถึงขนาดดิ้นพล่าน เอสจั๊กจี๋เท้าเขาแล้วจริง ๆ
สองขาเล็กถีบๆๆจนอีกคนเหนื่อยที่ต้องจับจนหอบ
“ปล่อยกู!”
“ก็บอกมาก่อนดิ จะไปไหนศุกร์หน้าห้าทุ่มอะไรของมึงน่ะ”
“..........”
“แคป”
“ไม่บอก!” แคปตะคอกใส่ ขณะที่เอสปล่อยเขาลุกขึ้นมานั่งทำหน้าหงุดหงิด
เขาพ่นลมหายใจยาวๆออกมามองหน้าไอ้คนข้าง ๆ ที่ทำหน้ารอฟังอยู่เต็มที่
“เมื่อวานกูไปออดิชั่นงานดีเจมา
เป็นพาร์ทไทม์อาทิตย์ละสองชั่วโมง..”
“ดีเจ?”
“ก็แค่ต้องไปจัดรายการ”
“ช่วงดึก?”
“ก็ทำนองนั้น”
“ห้าทุ่มคืนวันศุกร์”
“ก็ต้องไปก่อนเวลาจัดอยู่แล้วสิวะ”
“ผ่านแล้วใช่ไหม”
“เริ่มงานศุกร์นี้”
“จัดห้าทุ่มเสร็จกี่โมง”
“ตีหนึ่ง”
“..........................................................................”
เอสลุกขึ้นเลย เขาคว้าเอากล่องบุหรี่กับไฟแช็คออกไปยืนที่ระเบียง
แคปที่นั่งมองจากตรงนี้เห็นแต่ชายผ้าม่านพัดปลิวเพราะบานกระจกที่ปิดไม่สนิท
กับแผ่นหลังที่คุ้นตายืนสูบบุหรี่ปล่อยควันสีขาวหม่นลอยคลุ้งอยู่ในอากาศ
แปลกนะ...แค่ลักษณะของควันเขาก็สามารถมองออกว่าคนดูดกำลังทำหน้าตาแบบไหนอยู่
แคปถอนหายใจหนักๆหนึ่งทีก่อนลุกขึ้นแล้วเปิดออกไปยืนอยู่ข้าง ๆ
“มึงไม่ต้องไปส่งกูทุกคืนวันศุกร์นะ
กูเริ่มงานห้าทุ่มกว่าจะเสร็จก็ตีหนึ่งกว่า ๆ ห้ามไปรับด้วย
แถวนั้นทั้งเปลี่ยวทั้งมืด ตึกสูงยี่สิบกว่าชั้น
กูจะไม่บอกหรอกว่าห้องที่กูจะทำประจำมันอยู่ที่ชั้นสิบสองเลี้ยวซ้ายห้องที่สาม...”
“บ้าฉิบ!” เอสสบถออกมาเบา ๆ
เขาหันมามองคนที่ยืนกอดอกมองเขาด้วยสีหน้าที่งอง้ำสุดขีด
ราวกับมันเพิ่งผ่านการโดนบังคับให้ทำอะไรที่แสนยากลำบากมา เอสส่ายหัว
“ก็แค่อาทิตย์ละครั้งล่ะวะ ไม่เห็นจะเป็นไรเลย”
“กูก็แค่หวงของกูเหอะ
เสียงมึงกูยังไม่อยากให้ใครได้ยินเลยมึงรู้ไหม”
เอสเอามือที่คีบบุหรี่มาวางลงที่หัวแคปแล้วขยี้เบา ๆ
“อย่ามาจับ” แคปปัดออกอย่างเอาแต่ใจ
เอสจึงทิ้งก้นทิ้งก้นบุหรี่ลง แล้วจับบ่าเล็กให้หันเดินกลับเข้าห้อง
“กูหวงจริงนะเนี่ย แค่เสียงมึงกูก็ยังหวงเลย”
“เว่อร์..” แคปหันไปด่า
เอสก็แค่ดีดหน้าผากเล็กกลับมาหนึ่งทีแล้วทำหน้าดุใส่
“ทุกคืนวันศุกร์กูรับส่งมึงเอง
สองชั่วโมงเดี๋ยวหาร้านกาแฟแถวนั้นนั่งอ่านหนังสือรอ”
“ใครอนุญาตให้มึงทำแบบนั้นไม่ทราบ”
“หมามั้ง” เอสจับเอวแคปดึงให้นั่งลงดูทีวีต่อ ไอ้การ์ตูนโคนันก็เดินเรื่องเป็นตอนต่อไปแล้ว
แคปกำลังหยิบรีโมทขึ้นมารีกลับไปที่ตอนเดิม
“กูไม่ใช่หมาไอ้สัส” ปากเล็กๆบ่นพึมพำขึ้นมา
เอสมองคนที่นั่งสนใจการ์ตูนแล้วนึกขำ
เขาหยิบใบงานที่ถูกวางเอาไว้ก่อนหน้านี้ขึ้นมาอ่านต่อ
ดึงคนตัวเล็กบอกให้นอนลงแล้วเอาเท้าขึ้นมาพาดตักเขาไว้อย่างเดิม
แคปแกล้งลงน้ำหนักขาให้หนักๆ
สองสามทีเจอเอสล๊อคเท้าแล้วยกขึ้นมาทำท่าจะกัดนิ้วเล่น แคปร้องลั่นเลย
“ไอ้สัสมึงบ้าไหมล่ะห๊า! โรคจิต!!”
“แกล้งมึงไง ได้ยินเสียงด่าแล้วมีความสุข”
“ประสาท!”
“หึหึ” คนแกล้งส่ายหัวอมยิ้มแล้วก้มอ่านงานของตัวเองต่อ
จนเวลาล่วงผ่านไปสักพักแคปมองดูเวลา
“ไอ้ปอมันจะกลับแน่ป่ะวะ”
“แล้วเพื่อนมึงไปไหนซะล่ะ” เอสเงยหน้าถาม
“ไปหาแฟนมันไง”
“ไม่ต้องรอหรอก ไม่กลับอยู่แล้ว” คนเอ่ยส่ายหัวแล้วก้มลงอ่านต่อ
“แต่มันบอกคืนนี้จะกลับ”
“หึหึ..มึงง่วงป่ะล่ะ
หลับไปเลยก็ได้เดี๋ยวกูรอเปิดให้มันเอง..” แคปชั่งใจอยู่นิดนึง
ในที่สุดเลื่อนตัวนอนแบบดีๆ พาดเท้าใส่ตักหน้าใหญ่เอาให้ตัวเองถนัดที่สุด
ไม่สนว่าคนถูกพาดจะรับน้ำหนักแค่ไหน เขาก็แค่ทั้งถีบทั้งพาดแกล้งมันไปเรื่อย ๆ
“มึง...” แคปนึกอะไรขึ้นมาได้
เขาเรียกเอสที่ก้มหน้าลงไปสนใจใบงานในมือต่อ เอสเงยหน้าขึ้นมาหา “อะไร พูดเพราะๆสิวะ
เรียกกูพี่เอสก็ได้กูเกิดก่อนมึงตั้งสองเดือนนะ”
“ฝันเอาดิ กูไม่เรียกมึงสัตว์ชนิดต่างๆก็ดีแล้ว
ยังจะมาบอกให้เรียกพี่ เอาไรคิดถามจริง”
“..............” เอสส่ายหัวไม่อยากต่อปากต่อคำด้วย
เขาเถียงไม่ชนะอยู่ดีแหละ ไม่รู้มันไปสรรหาคำด่ามาจากไหนนักหนา
แล้วก็บอกว่าตัวเองแมน แมนๆน่ะเขาไม่ปากจัดกันแบบนี้แน่ ๆ
“อะไรเนี่ยกูเรียกมึงนะ..”
แคปเสียงขุ่นขึ้นมาอีกเมื่อเห็นเอสก้มลงไปสนใจกับใบงานในมือต่อ
“ก็แล้วอะไรล่ะวะ..”
“อ่านหนังสืออยู่ได้”
“เออทีใครทีมันเหอะ ตอนมึงอ่านหนังสือกูก็กวนไม่ได้ใช่ป่ะล่ะ”
“กวนไม่ได้เหี้ยไร
มึงลากกูเข้าไปทำเรื่องลามกในห้องน้ำอย่ามาคิดว่ากูจะลืม”
“หึ..จำฝังเลยดิ เอาอีกป่ะล่ะ อยากได้บอกนะเมีย” เอสพูดแล้วยิ้มแคปถีบเท้าใส่ท้องแรงจนเขาจุกร้องโอ๊ยดังลั่น
“เล่นแรงนะมึง”
“กวนกูเอง”
“จะพูดอะไรว่ามา..” คราวนี้เสียงทุ้มถามจริงจังแล้ว
เขาขยับตัวนั่งดี ๆ แคปจึงชี้หน้าบอกให้ตั้งใจฟังห้ามเล่นอีก เอสพยักหน้าโอเค
“มึงจำไอ้เด็กนั่นได้ป่ะวะ ไอ้เด็กที่กูกับมันมีเรื่องกันน่ะ
ไอ้เด็กคณะวิทย์ที่มึงเจอหน้าคณะกูวันนั้นไง คนที่ขับมอไซด์คันใหญ่ๆ”
แคปทำท่าบิดรถประกอบ
“จะไปลืมได้ไง” เอสตอบเสียงขุ่น
ไม่ใช่แค่จำได้แต่เขายังจำได้อย่างดี
แม้กระทั่งป้ายทะเบียนรถมอไซด์ของมันเขายังจำได้เลย
แล้วก็ยังจำได้ด้วยว่าเขาขู่แคปไปว่ายังไง
“มึงพูดถึงมันขึ้นมาทำไมแคป?” เอสขยับตัว
เขาวางชี้ตในมือลงเป็นรอบที่สอง กอดอกจ้องหน้ารอฟังคำตอบของอีกคน ขณะที่แคปเริ่มรู้สึกหงุดหงิดกับสีหน้าไม่ชอบใจของอีกคนเข้าแล้ว
มันจะซีเรียสทำไมวะกะแค่ไอ้เด็กแบงค์
“ทำหน้าอะไรของมึงวะ บ้าเอ๊ย!”
แคปลุกขึ้นมา เขามองคนที่ทำหน้ายักษ์ ชั่งใจจะบอกหรือจะไม่บอกดี
ถ้าบอกเรื่องยาวแน่ ๆ กู
แต่ถ้าไม่บอกให้มันรู้เองเรื่องไม่ใช่แค่จะยาวมันจะแถมความยุ่งยากเข้ามาอีกด้วย
“มึงพูดมา มีอะไร จู่ๆพูดถึงมันไม่ใช่ว่าคิดถึงกันหรอกนะ”
“ไอ้สัส กูจะไปคิดถึงมันทำซากเหรอ นี่ถ้ามึงไม่นั่งอยู่ตรงนี้กูจะพูดขึ้นมาไหมล่ะห๊ะ!”
“ก็พูดมาสิ อย่าอ้อม”
“ก็....”
แคปเอื้อมมือไปคว้าเอาใบงานเอสี่ที่เอสวางไว้ขึ้นมาคั่นกลางระหว่างใบหน้าพวกเขาสองคน
คือไม่อยากโดนเอสจ้องหน้าแล้ว คิดว่าทำแบบนี้น่าจะดีสุด เขากำลังจะอ้าปากพูด แต่เอสรีบดึงมือแคปลงก่อน
“ลีลาท่ามากเก็บไว้ใช้บนเตียง พูดออกมา มีอะไร?” เสียงทุ้มว่าขู่
แคปก็แค่เบะปากหลับตาปี๋แล้วต่อรูปประโยคยาว ๆ แบบรวดเดียวจบ
“ก็แค่ไอ้เด็กนั่นมันทำพาร์ทไทม์เป็นดีเจอยู่ที่นั่นด้วยก็แค่นั้นแหละ”
“..........” เอสชะงักกึก
สายตาคมกริบยังจ้องจับอยู่ที่ใบหน้าของแคปไม่ขยับไปไหน
คนมองกลืนน้ำลายเหนียวๆลงคอยากยิ่ง แคปหน้าเย็นวาบไปหมด
เพราะสีหน้าแบบนั้นของเอสมันชวนให้สยองมาก
บางทีเขาก็คิดว่าอาฟี่กับเอสมีบรรยากาศรอบตัวที่คล้ายๆกัน แคปกลืนน้ำลายอึกใหญ่ๆ มีเรื่องแล้วแน่ ๆ กู
แต่ๆๆๆๆ มันยังไม่ใช่แค่นั้น นั่นน่ะยังบอกไม่หมดเลย
ไหนๆจะมีเรื่องแล้วก็ขอบอกให้มันหมดเปลือกเลยละกันวะ
คิดได้อย่างนั้นแล้วแคปรีบเอาชี้ตที่กำไว้ในมือจนเริ่มเปียกขึ้นมาคั่นบังใบหน้าของเขากับเอสไว้อีกครั้งก่อนหลับตาปี๋ลงอีกเป็นรอบที่สอง
รัวคำพูดยาวเหยียดแบบรวดเดียวจบ
“กูไม่อยากบอกมึงเลยไอ้สัสว่ากูกับไอ้เด็กนั่นจัดรายการคู่กันด้วยนะโว๊ย!”
โครม!!!
“เหี้ย!” แคปอุทานสะดุ้งโหยง
เขาลุกพรวดขึ้นทันที เพราะว่าทันทีที่คำพูดรวดเดียวของเขาจบลงไป
เอสลุกขึ้นแล้วถีบโต๊ะกลางล้มระเนระนาด ร่างสูงใหญ่เดินออกจากตรงจุดนั้นตึงตังเข้าห้องแคปไปเลย
“บ้าฉิบ! หน้าที่กูง้อหรือไงวะ
ก็แล้วกูผิดตรงไหนล่ะไอ้สัส
กูจะรู้ไหมว่าต้องทำรายการนั่นคู่กับไอ้เด็กเวรนั่น โฮ้ยยยยยยยยยยย!!!!!! บ้าเอ๊ย!!!!!!!!!!” มือเล็กทึ้งหัวตัวเองจนยุ่งเหยิงไปหมด เสยผมสองสามรอบก่อนจะเหลือบมองไปที่หน้าประตูห้องนอนของเขา
ไม่มีเสียงอะไรดังออกมาจากในนั้นทั้งสิ้น
เอสเงียบกริบไปเลย แคปไม่รู่ว่ามันกำลังทำอะไรอยู่กันแน่
ไม่ใช่ว่าป่านนี้ข้าวของระเนระนาดออกมาจากตู้หมดแล้วหรอกนะ คิ้วเล็กขมวดมุ่น
มองดูเวลาพอคิดว่าปอคงไม่กลับมาแล้ว เขาเดินไปล๊อคประตูปิดไฟเรียบร้อย
ก่อนจะค่อยๆย่องไปที่หน้าห้องตัวเองราวกับขโมยย่องเบา
“มันหลับแล้วป่ะวะ...” แคปพึมพำกับตัวเอง
พลางบิดลูกบิดเอาให้เบาที่สุด เขาค่อยๆผลักบานประตูเข้าไป
หมับ!!
“เหี้ยยยยยยยย!!!” แคปร้องเหี้ยดังลั่น
มือใหญ่จากหลังประตูยื่นมากระชากเขาเข้าห้องแรงมาก
“ช้าฉิบหาย ทำบ้าอะไรอยู่กว่าจะตามกูเข้ามา!” เอสคว้าเอาคนตัวเล็กกว่าเข้ามากอดไว้จนจมอก แคปตกอกตกใจหน้าตาตื่น
สองมือดันบ่ากว้างไว้สุดแรง
“อ่ะ! นี่มึงยังไม่นอนอีกรึไงห๊ะ”
“จะนอนได้ไงล่ะวะ เมียยังไม่เข้ามาง้อเลยนี่หว่า” เอสเหวี่ยงแคปแค่ครั้งเดียวกระเด็นขึ้นไปรอที่เตียงแบบพอดิบพอดี “ไอ้สัส! เล่นแรงไปไหนวะ เชี่ย!”
“นี่ยังเบาไปนะมึงรู้รึเปล่า..”เอสเดินหน้าเข้าหา
เขาถอดเสื้อที่สวมอยู่ออกแล้วเหวี่ยงทิ้งอย่างไม่ไยดี แคปตาโตกำลังจะลุกตั้งหลัก
แต่ทว่า...
“อึ๊ก!
กูเจ็บ ทับมาทำไมห๊ะ!!” มันสายไปแล้วจริง ๆ
ร่างสูงใหญ่และโตกว่าเขามากนัก โถมทับลงมาที่ตัวเขาจนจมมิด
แคปกระดิกระเดี๊ยแทบจะไม่ได้ เอสรัดเขายิ่งกว่างูเหลือมตัวใหญ่ ๆรัดเหยื่อ “อื้ออ
กูหนักไอ้สัส” แคปร้องประท้วงเสียงอื้อึง
“ง้อสิ ง้อกูเร็วเข้า” วงแขนใหญ่สวมกอดเอาคนตัวเล็กกดลงจนจมหายไปกับแผ่นอก
แคปฟาดผั๊วะๆๆ ทั้งดิ้นทั้งถีบเสียงดังลั่น
“ง้อพ่องมึงสิ! กูไม่ได้ทำอะไรผิด
อื้อออหนักเหี้ยมึงเลย ไอ้ยักษ์ตัวมึงหนักมากๆ ลุกออกไปเลย ไอ้สัส!!” เสียงเล็กๆแหกปากด่า ขณะที่มือก็ทุบผั๊วะๆๆ สายตาคมกริบจ้องอยู่ที่ริมฝีปากสีสวย
“อื้ออออ..” แคปเหมือนรู้ชะตากรรมเขารีบเอียงหน้าหลบ
แต่หารู้ไม่ว่านั่นแหละคือสิ่งที่เจ้าตัวอันตรายด้านบนอยากได้
เมื่อเอสกดปลายจมูกลงแถว ๆ ซอกคอได้สำเร็จ
ริมฝีปากร้ายกำลังไล่ต้อนขบเม้มผิวนุ่มนิ่มสีขาวจนเกรงว่าอาจขึ้นรอย สองมือแข็งแกร่งจึงเปลี่ยนมากดข้อมือเล็กจนจมลงที่เตียงนุ่ม
เอสละริมฝีปากออกมาจ้องหน้าคนใต้ร่าง
“ไม่ทำได้ไหมวะ งานดีเจอะไรนั่น”
“........”
“ช่างเหอะ กูเองสิใช่ไหมที่ต้องทำใจ..” เอสถอนหายใจเฮือกใหญ่ ๆ
เขาพลิกตัวแคปให้ขึ้นไปอยู่ด้านบนแทนขณะที่ตัวเขาลงมานอนอยู่ด้านล่าง
สลับตำแหน่งกัน แปลกมากที่แคปยอมนั่งดี ๆ ไม่ต่อต้าน
“ทำไมไม่ด่าล่ะหื้ม? ทุกทีต้องด่านี่ ไม่ใช่?”
“อั๊ก! ไอ้สัส! กูจะไม่คุยกับมันนอกเหนือจากเรื่องงานหรอกโว๊ย!! อย่ามาทำเป็นพูดมากจะให้กูสัญญาเหี้ยไรนักหนา
แค่มึงคนเดียวกูก็กลุ้มจะตายห่าแล้ว อย่ามาคิดว่าจะมีใครหน้าไหนเขาคิดกับกูแบบมึงเลย
กูบอกแล้วมึงมันโรคจิต!
ผู้ชายดีๆที่ไหนจะบ้ามาชอบผู้ชายแบบกูกันวะห๊ะ!”
แคปฟาดผั๊วะๆราวกับแก้เขินเมื่อเขาพูดถ้อยคำที่อยากพูดออกมาจนหมด
แก้มนิ่มขึ้นสีระเรื่อนิดๆ
มันดูน่ารักเสียจนเอสที่นอนจ้องอยู่อดที่จะเอามือขึ้นมาลูบแก้มนั้นไม่ได้
แคปรีบหันหลบ
“แล้วถ้ามันมาจีบมึงล่ะ”
“มันจะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไงล่ะวะห๊ะ! มันปีนเกลียวกับกูแบบนั้นมึงยังคิดว่ามันจะมาจีบกูรึไง
มึงกลัวมันจะลากกูไปกระทืบก่อนเหอะ”
“ปากมึงนี่นะ...” เอสยอมใจเลย เขาชี้บอกให้แคปเงียบหุบปากได้แล้วตอบไรยาวนักหนา
แคปทุบลงไปอีกหนึ่งอึก
“กูไม่สนใจหรอก ก็แค่ต้องทำงานด้วยกัน”
“งั้นกูเปลี่ยนคำถาม” เอสถอนหายใจยาว ๆ อีกหนึ่งหน
“ว่า?”
“ถ้ามันมาขอนัดตีกับมึงล่ะ”
“แบบนั้นกูรับนัดทันทีเลย ที่ไหนเมื่อไหร่จัดมาให้ไว”
เพี๊ยะ!
เอสดีดหน้าผากเล็กหนึ่งทีเป็นการให้รางวัล
แคปตาเขียวปัดมือใหญ่ออกอย่างแรงโดนเอสคว้าจับข้อมือไว้จนแน่น “กูตอบอะไรผิดล่ะ
เรื่องชกต่อยกูไม่กลัวหรอก อย่าให้มันมาท้าก็แล้วกัน”
“มึงนี่ไม่รู้จริงหรือแกล้งโง่วะแคป มึงดูสีหน้ามันด้วยสิ
คนที่จะมาหาเรื่องมึงถึงหน้าคณะจะมาอดทนยืนรอมึงลงมาหามันถึงรถเลยรึไง ท่าทาง
น้ำเสียงเวลาที่คุย ลองสังเกตดูดี ๆ”
“เรื่องอะไรกูจะต้องไปมองมันให้ละเอียดลออขนาดนั้นกูไม่ได้พิศวาสมันนี่หว่า”
“..........” เอสถอนหายใจยาวเหยียดเลยทีนี้
เขาเองก็ไม่อยากชี้โพรงมากๆ เอาเป็นว่าแคปมันไม่สังเกตแบบนี้ก็ดีไปอย่าง
เกิดไปนั่งจ้องไอ้เด็กนั่นอยู่ตลอดแบบนั้นคงไม่เข้าท่า
“ปล่อยกูได้แล้ว มึงไม่หนักรึไงไอ้สัส ตัวกูไม่ใช่เล็กๆ”
แคปขยับจะลงมานอนข้าง ๆ แต่เอสยังไม่ยอมบอกให้นั่งอยู่ตรงนั้นก่อน
“อย่ามาลามก กูรู้ทันมึงหมดแหละ”
“อยากอยู่นะ”
“ไอ้ตัวโรคจิต!”
“ทำกันไหมล่ะ”
“ไม่มีทาง! มึงอย่าฝัน”
“อะไรวะมีเมียไม่เคยจะได้เอา
นี่กูจะมีมึงเอาไว้ขึ้นหิ้งบูชารึไง”
“กูไม่ใช่เมียมึงอย่ามาพูดมาก อื้ออออออ..”
เอสสอดมือเข้าที่ท้ายทอยเล็กกดลำคอคนบนร่างลงมารับจูบหนักหน่วงจากเขา
แคปโดนพลิกสลับตำแหน่งอีกครั้งอย่างที่เจ้าตัวไม่ทันระวังและไม่ได้ตั้งตัว
“ไม่ดิ้นสิวะแคป” เสียงทุ้มพูดทั้งที่ยังจูบ
เสียงดูดลิ้นดังลั่นออกมาจนน่าละอาย เอสยังพยายามจะดูดดุนต่อ
แคปหลับตาปี๋หลบเลี่ยงริมฝีปากที่ต้อนเขาจนไร้หนทางจะหนี
มันพาไปทางไหนปล่อยให้มันจูบไปสิ อารมณ์ราคะกำลังมา
แคปรู้ตัวเลยไอ้ลูกชายตัวดีของเขามันสู้ฝ่ามือใหญ่ที่สอดลงไปทักทายมันแล้ว
“ออแอ้วไอ้อัส!”
แคปร้องประท้วงไม่ได้ศัพท์ เมื่อริมฝีปากยังไม่หลุดจากพันธนาการ
เสียงลมหายใจของเอสหนักหน่วงขึ้นเรื่อย ๆ มือไม้พยายามจะดึงเสื้อแคปให้ถกสูงขึ้น
คนถูกทำเองก็กำลังเคลิบเคลิ้มได้ที่ขยับตัวรับสัมผัสเร่าร้อนเกือบจะมอดไหม้ไปกับกองไฟเสน่หานี้
ติ๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด ติ๊ด ติ๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
“อ่ะ! ปล่อยกูก่อน” แคปลืมตาโพลงได้สติ
เสียงกระดิ่งช่วยชีวิตเห็นทีจะมีจริง ดันไหล่เอสบอกให้หยุดแล้วยันออกแรง ๆ
แต่โดนอีกฝ่ายคว้าจับข้อเท้าสองข้างไว้แล้วสอดตัวเข้าแทรกลงที่หว่างขาในทันที
แคปร้องลั่นดิ้นพล่าน
“ไอ้สัส!! เพื่อนกูมา”
“ไม่สนอ่ะ” คนพูดไม่สนใจก้มลงจะเอาต่อให้ได้ท่าเดียว
แคปมองซ้ายมองขวาโดนมันซุกลงมาแล้ว เขาสอดมือเข้าที่ผมมันกระชากจิกแรก ๆ
แต่เอสไม่สนใจความเจ็บบนหนังศีรษะแม้แต่น้อย
“กูบอกว่าพอ มึงได้ยินไหมห๊ะ!”
แคปตะคอกดังลั่น เขาโกรธจริงแล้วเมื่อเสียงกริ่งที่หน้าห้องดังเร่งมาอีกครั้ง
ตามด้วยเสียงโทรศัพท์มือถือดังเรียกขึ้นมา
“ไอ้ปอมันเข้าห้องไม่ได้ กูล๊อคกลอนไว้
ไอ้เหี้ยเอสมึงบ้ารึไงปล่อยก่อนสิวะ คิดว่ากูจะมีอารมณ์ไหมล่ะห๊ะ
เพื่อนกูยืนรอเข้าห้องอยู่เนี่ย!” แคปตะคอกออกมาสุดแรง
จิกหนังหัวไอ้ตัวอันตรายจนจะหลุดติดมือออกมา
“บ้าฉิบ!”
เอสละลำตัวออกมาถอนหายใจแรง ๆ เสยผมสองสามรอบอย่างสุดจะเซ็ง
“เปิดช้า...” แคปที่แทบจะถลาออกมาเปิดประตูให้
ถึงกับคิ้วกระตุกทันทีที่ได้ยินว่าไอ้ปอเพื่อนรักมันพูดกับเขาว่าอะไร
“เดี๋ยวเหอะมึงกูออกมาเปิดได้ดีแค่ไหนแล้ววะ
กินข้าวมายังมึงอ่ะ” แคปบ่นถามพลางปิดล๊อคประตูกลับไปคืน
ขณะที่ปอเดินแทรกตัวเข้าไปทิ้งตัวนั่งที่โซฟา ถอนหายใจยาว ๆ สองสามที
“หิวป่ะ..” แคปเดินเข้าไปถามอีก ปอส่ายหัว
สักพักก็เปลี่ยนเป็นพยักหน้า
“อะไรของมึงวะ ตกลงหิวหรือไม่หิว”
“ก็หิวอยู่ มึงทำให้กูกินได้ป่ะล่ะ”
“ก็ได้อยู่หรอก เป็นไรของมึง ทำหน้าอะไร”
แคปสังเกตสีหน้าปอดูเครียดๆ ทั้งที่เพิ่งกลับจากห้องแฟนมันผิดปกติอยู่
“มีอะไรรึเปล่าวะ บอกกูได้ไหมล่ะ”
“..........”
“เออๆไม่ซักแล้วก็ได้ เอาหมูสับใช่ไหม
หรือมึงจะแดกเป็นต้มยำ..”แคปเดินเข้าไปที่ครัว เขากดเปิดไฟเป็นนีออนแทนแสงส้มส้มหรี่ๆที่เปิดเอาไว้ก่อนหน้านี้
“กูเลิกกับแพรแล้วว่ะแคป”
“ห๊า!!??”
“ตกใจทำไมวะ ตามนั้นเลยไอ้เพื่อนยาก
วันนี้ฝากท้องไว้กับมือมึงละกัน”
“จริงดิไอ้ปอ..” แคปยังไม่อยากจะเชื่อ
มันกับแพรคบกันได้นานเป็นปีแล้ว
“ไม่โกหกหรอกน่า”
“.......” แคปเงียบไปไม่รู้จะพูดว่าอะไรต่อ
เขาเป็นคนค่อนข้างแข็งกระด้างปลอบใจใครไม่ค่อยจะเป็นหรอก
“ไอ้เอสมันอยู่ข้างใน?”
“อือ....มัน เอ่อ อ่านหนังสืออยู่ว่ะ” อันนี้แคปโกหกแบบเต็ม ๆ
ปอหันมอง แคปรีบหลบสายตา ไอ้เพื่อนตัวดีหัวเราะเบา ๆ เวลาที่แคปโกหกเขาจับมันได้ตลอด
“เรื่องของพวกมึงเหอะ ทำมาม่าให้กูแดกก่อนละกัน หิวสัสๆ”
“มึงอย่าบอกนะว่าเคลียร์กันตั้งแต่เย็นเลยยังไม่ได้กินอะไร”
“นั่นแหละอย่างที่มึงคิด กูขอเลิกเองมันเลยยุ่งยากนิดหน่อย”
“กูจะไม่ถามเหตุผลมึงหรอก”
“ไว้วันหลังเดี๋ยวเล่าให้ฟัง” ปกติเวลาที่พูดแบบนี้มักไม่ได้เล่าอะไรอยู่แล้ว
แคปกับปอเหมือนกันอยู่อย่างถ้าเลิกกับผู้หญิงที่เคยคบมา
เขาไม่เคยเอาเธอมาพูดลับหลังอีกเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม
เมื่อทุกอย่างจบก็คือจบจริง ๆ
“รอเดี๋ยวนะมึง วันนี้กูจะทำให้สุดฝีมือเลย” แคปฟาดผั๊วะลงที่หลังทำเอาปอถึงกับเกือบจะเงิบ
หันไปทำหน้าดุใส่
“ปลอบใจไงปลอบใจ” แคปยิ้มตาหยีใส่
นี่คือวิธีการที่แคปใช้ปลอบใจคนใกล้ชิดแล้วได้ผลตั้งแต่เด็ก
ปอเห็นแบบนั้นได้แต่ส่ายหน้า
“ไปทำมาเลยไป กูหิวจนตาลายแล้ว”
“กูจะทำให้สุดฝีมือเลย มึงึคอยกินก็แล้วกัน”
“จะทำอะไรให้สุดฝีมือวะแคป ทำเผื่อกูด้วยดิ
ยังไม่กินเหมือนกันนะข้าวเย็นน่ะ” เอสเดินหน้ามุ่ยออกมาดูถึงในครัว
แคปเอาซองมาม่าหลบซ่อนไปไว้ด้านหลัง บอกไม่ให้มายุ่ง
“อะไร? มึงก็ยังไม่ได้กินอะไรหรือไง” แคปทำหน้ายุ่ง
เอสฟังแล้วยักไหล่
“ก็คนบางคนบอกว่ากินผัดไทมาแล้ว กูที่รออยู่ที่ห้องก็เลยต้องอดข้าวเย็นเลยสิวะ”
“มึงโง่เองไม่รู้จักบอก” ใครจะรู้ล่ะว่ายังไม่กิน
“ก็เห็นมึงอยากนอนดูการ์ตูน ไม่อยากกวน”
“อย่ามาทำเป็นคนดีหน่อยเลย คิดว่ากูจะหลงคารมมึงง่ายๆเรอะ..”
“เดี๋ยวมึงจะโดนแคป มาต่อจากเมื่อกี้เลยไหม
ดูทำหน้าทำตาซินั่น..” เอสทำเสียงในแบบคาดโทษ แต่แคปมีหรือจะกลัว
“ทำไมล่ะกูกลัวมึงเหรอสั-” แคปยกทัพพีขึ้นแล้ว
เขากะฟาดออกมาใส่หัวเอสได้เลยถ้าหากมันยังไม่เลิกกวนใจ
ปอที่เห็นและได้ยินจึงต้องเบรคทุกอย่างก่อนเรื่องจะยาว
“พอๆๆๆๆ เลิกเถียงกันแล้วทำให้กูกินสักที
โฮ้ยพวกมึงนี่แม่งเถียงกันได้ทั้งปีทั้งชาติ ถามจริง ๆ
อยู่บนเตียงพวกมึงก็กัดกันเป็นเด็กๆแบบนี้หรือไงวะ”
“เออก็แบบนี้แหละ!”
แคปหลุดปากกระแทกเสียงออกมาอย่างดัง
ปออ้าปากหวอมองขณะที่เอสขำหนักจนถอยหลังไปนั่งขำกุมท้องอยู่ที่โซฟาเดี่ยวข้างปอ
“มึงอย่าแดกเลยไอ้ปอ” แคปชี้หน้ามาที่ปอ
ก่อนตวัดสายตาบอกเอสหยุดขำได้แล้ว
“ปลาทองบ้านมึงตายเหรอไอ้สัส!
ขำหนักเชียวนะ”
“ปากดีไม่เลิก..” เอสส่ายหัวพึมพำบ่น
คิดขึ้นมาว่าแคปมันจะไปเป็นดีเจได้ไงวะปากจัดขนาดนี้
คืนนั้นกว่าทุกคนจะได้กินมาม่าปาเข้าไปเกือบ ๆ ห้าทุ่ม แคปกินสองถ้วยขณะที่ปอกับเอสที่บอกว่ายังไม่กินอะไรมาเลยกินคนละหนึ่งถ้วย
พอกินกันเสร็จ เอสนั่งอ่านหนังสือต่อ
หน้าที่ล้างจานตกเป็นของแคปเพราะเห็นว่าเพื่อนเพิ่งมีปัญหามาเขาเลยไม่อยากจะใช้มัน
วันนี้ปล่อยๆ ไปก่อน แต่ปอบอกไม่มีอะไรหรอกเรื่องของแพรพวกเขาจบกันด้วยดี
เขาช่วยแคปล้างจาน แคปจึงเล่าเรื่องงานดีเจให้ปอฟัง
“มึงเอาจริงดิ..” ปอหันมาถาม
“อือ” แคปตอบ เช็ดจานใบสุดท้ายจนเสร็จปิดลิ้นชักปิดตู้
“แล้วมันว่าไง มึงต้องออกไปดึกๆแบบนั้น มันไม่มีปัญหาเหรอวะ”
“ไอ้สัส กูผู้ชาย”
“ผู้ชายก็เหอะ แล้วมันว่ายังไงบ้างล่ะ”
“ไม่เกี่ยวกับมันสักหน่อย ทุกอย่างอยู่ที่กูนี่ต่างหาก” แคปว่าจบเดินไปเตะโซฟาจ้องหน้าไอ้คนที่นั่งก้มหน้าอ่านหนังสืออยู่
“อะไร?” เอสเงยหน้าถามอย่างงๆ
“จะนั่งอยู่นี่ใช่ไหมมึงอ่ะ เดี๋ยวจะขนผ้าห่มขนหมอนออกมาให้”
“อะไรวะจะชวนเข้าห้องก็บอกดีๆสิ” เอสปิดหนังสือแล้วลุกขึ้น
“กูชวนมึงเข้าห้องตอนไหน ไม่มีประโยคเชิญชวนแม้แต่นิดเดียว”
“จริงดิ?”
เอสเดินเข้าไปจับสองไหล่เล็กแล้วดันๆบอกให้เดินเข้าห้อง “มึงขี้บ่นตั้งแต่เมื่อไหร่วะแคป”
“ก็ตั้งแต่ได้-......”
แคปอ้าปากค้างเติ่งไว้แค่นั้น จริง
ๆแล้วรูปประโยคสมบูรณ์ที่เขานึกได้ก็คือ ก็ตั้งแต่ได้มึงเป็นผัวนั่นแหละไอ้เหี้ย!
แต่เขาจำเป็นต้องชะงักทุกอย่างไว้ก่อน
ดีแล้วที่ไม่หลุดพูดคำพูดบ้าบอออกมา
“ตั้งแต่ได้อะไรพูดให้จบสิวะ” เอสทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ถามขึ้นมาอีก
แคปจึงหันไปมองตาขวาง ๆ “เอามือมึงออกจากคอกูเลย หนักเป็นบ้า”
“เรื่องดิ..”
เอสยังทำเฉยไม่สนใจ วงแขนใหญ่กอดคอคนตัวเล็กกว่าไว้อยู่แบบนั้น แคปเงยหน้ามองแบบดุๆ
เอสก็ยังเมิน เขาจึงจับแขนมันบิดออกแรง ๆ แล้วมุดหัวออกมาได้
“โอ๊ยแคป เล่นแรงเหี้ยๆเลย กูเจ็บนะเนี่ย”
“ตายไหมล่ะห๊ะ!”
ปัง!
เสียงประตูปิดลงแล้ว แต่ในสายตาของคนที่ยืนมองอยู่ที่ครัวอย่างปอได้แต่ส่ายหัวเอือมระอากับพวกมันสองตัว
.
.
“กินไรดีวะ เมนูอยู่ไหนเนี่ย” เที่ยงของวันต่อมาแดดร้อนจัดมาก
อาร์ชวนแคปกับปอออกมานั่งชิลรับแอร์เย็น ๆ อยู่ที่ร้านอาหารหลังมอ
“ร้านนี้แพงแหง ๆ แอร์เย็นเฉียบเลย” อาร์เอื้อมไปเอาเมนูที่โต๊ะข้าง
ๆ มาบังหน้าแล้วก้มลงไปพูดกับปอและแคป สองคนก็แค่เหลือบดูไม่ได้สนใจตอบคำถาม
มีเรียนอีกตอนบ่ายเพราะงั้นต้องรีบกินรีบกลับ
“กระเพราไก่ไข่ดาวสอง ข้าวผัดไข่ดาวหนึ่ง
คาปูชิโน่เย็นสามแก้วเลยครับ” ปอเรียกพนักงานเข้ามาสั่งอาหารเลย ไม่ต้องดูให้เสียเวลาเขาสั่งเผื่ออาร์กับแคปครั้งเดียวเสร็จในตัว
แคปนึกขำเพราะทันทีที่ปอสั่งเสร็จอาร์ทำหน้าเซ็งขึ้นมาทันที
“เอาน่า
เดี๋ยววันหลังค่อยกินอย่างที่มึงอยากจะกินวันนี้รีบเอาแบบง่าย ๆ เสร็จเร็วๆไปก่อน”
“แต่วันนี้กูอยากกินผัดพริกแกงทะเลนี่” อาร์ยังทำหน้างอ
ปอส่ายหัวเทน้ำเปล่าใส่แก้วแล้วเลื่อนส่งให้อาร์ก่อนใครๆ คนตัวเล็กยิ้มรับ
“ไม่งอนแล้วก็ได้แต่เย็นนี้มึงต้องพากูไปกินผัดไทนะ
วันนั้นไปร้านเปิดใหม่กับไอ้แคปอร่อยฉิบหายเลย เย็นนี้ไปด้วยกันห้ามเบี้ยว”
“เออน่า ไม่เบี้ยวแน่อยู่แล้ว ณ ตอนนี้กูโสดแล้วนี่หว่า”
“จะว่าไปแพรก็ดีนี่ เลิกทำไมว๊า” อาร์พึมพำออกมา
ทั้งปอทั้งแคปที่ได้ยินแสร้งทำเป็นเมินมองโน่นมองนี่ไปรออาหาร
อาร์เองก็พูดเจื้อยแจ้วอยู่ไม่หยุดจนกระทั่งอาหารมาเสิร์ฟพร้อมกันสามจาน
“ร้านนี้อร่อยว่ะ”
“แน่อยู่แล้วมึง แต่ดูซะก่อนมีแต่พวกวิศวะนั่งทั้งนั้นเลยว่ะ”
แคปมองเห็นตั้งแต่เข้ามานั่งแล้ว
ช้อปที่เป็นเอกลักษณ์แบบนั้นกับหน้าตาหลายๆคนที่เขาคุ้นเคย
ดีหน่อยไม่มีพวกพ้องเฮียเต้ แคปนึกแหยง ๆ
ขึ้นมานิดๆอย่าให้พวกไอ้เอสมันบังเอิญมาแดกแถวเดียวกันเลยให้ตายเหอะ คิดแล้วก็ก้มหน้าก้มตากินเอาให้เร็วที่สุด
“เฮ้ย! แคป” อาร์ดึงๆแขนเสื้อเรียก
“อะไรของมึงวะ
กินๆเหอะพูดตลอดกูก็สงสัยนะมึงเอาเวลาตอนไหนเคี้ยวเนี่ย จะมาหลอกเช็ดกูเรอะ
มือสกปรกเอาออกไปเลย”
“บ้า! มึงดูดิวะใครมาโน่นน่ะ”
อาร์โบ้ยหน้าบอกให้แคปหันกลับไปดู ปอเองก็พลอยมองดูไปด้วย ที่ประตูทางเข้า
เอสเมี่ยงชิพและบุ้งเดินตามกันเข้ามานั่งลงโต๊ะที่ว่าง
เมี่ยงนั่งข้างเอสสองคนหัวชนกันดูเมนูก่อนที่เมี่ยงจะหัวเราะอะไรสักอย่างออกมาแล้วเอื้อมมือขึ้นไปหยิบฝุ่นผงที่ติดอยู่บนผมเอสออกให้
ศีรษะเล็กเอนพิงลงไปที่ไหล่กว้าง ได้ยินเสียงโต๊ะข้าง ๆ ร้องแซวเรื่องผัวๆเมียๆระหว่างสองคนนั้นขึ้นมาอีก
แคปนี่หมดอารมณ์จะแดกต่อเลย
“แล้วไง ก็แค่ไอ้พวกนั้น” แคปยักไหล่
ยกน้ำในขวดขึ้นดื่มวางผั๊วะลงที่โต๊ะอย่างดัง
“มันเห็นมึงป่ะวะ” อาร์ก้มลงถามเบา ๆ แคปส่ายหน้าไม่อยากสน
“ไม่เห็นดิวะไอ้อาร์มึงแม่ง” ปอรีบเบรคอาร์ไว้แทบไม่ทัน
แคปทำหน้าตาหงุดหงิดขึ้นมาแล้ว เขายิ่งกลัวจะมีเรื่อง
“มึงไม่เดินไปทักมันเหรอวะแคป” อาร์ถามขึ้น แคปตาเขียวใส่
“กูจะไปทักมันทำไมล่ะวะ”
“ก็มึงเป็นแฟนมัน”
“กู-ไม่-ใช่-แฟน-มัน! ไอ้สัสอาร์
โน่นน่ะแฟนมันมึงเห็นไหมไอ้ตัวเล็กๆที่นั่งไหล่ชิดกับมันอยู่นั่นไง
แม่งทำไมไม่ขึ้นไปนั่งซ้อนบนตักมันเลยวะ
แดกข้าวเหี้ยไรแทบจะสิงกันอยู่แล้วไอ้สัสเอ๊ย ไอ้คนชั่วไอ้คนนิสัยเลว แย่มาก
แย่มากๆ มึงมันแย่ที่สุดของที่สุด!”
แคปร่ายยาวหยิบส้อมขึ้นมาจิ้มๆลงที่ไข่ดาวที่ยังไม่ได้กินในจาน
“มึงหึงมันกับไอ้เตี้ยนั่นเหรอวะ” อาร์ทำท่าทางกระซิบกระซาบต่ออีก
เจอแคปผลักหัวเล็กจนเงิบหงาย “กูไม่ได้หึง!”
“แล้วที่มึงทำเรียกว่าอะไร”อาร์ยังไม่เข็ดยังซักต่อ
“ไม่รู้! กูไม่จำเป็นต้องบอกมึงนี่
ไม่ชอบก็คือไม่ชอบนั่นแหละ ไม่พอใจกูหงุดหงิดแค่นี้พอไหม”
“กูรู้แระๆ มึงหึงมันนี่เอง”
อาร์แสยะยิ้มทำหน้าเหมือนผู้ชนะใส่
แคปจึงชี้หน้าบอกอย่ามาพูดมาก ก่อนจะล๊อคลำคอเล็กเข้ามาทำท่าจะตี
อาร์ร้องลั่นเสียงหลง มีหลายโต๊ะหันมามอง โต๊ะของเอสก็เป็นหนึ่งในนั้น
“มันเห็นมึงแล้วไอ้แคป ลุกเดินมาแล้วว่ะ” ปอสะกิด
แคปยกแก้วกาแฟขึ้นดูดทำท่าไม่สนใจ
“มาเมื่อไหร่วะ กินอิ่มยังเนี่ย” เอสดึงเก้าอี้ตัวที่ว่างออกมานั่งลงข้างแคป
เขามองเห็นจานข้าวแคปยังไม่พร่องลงสักเท่าไหร่ขณะที่เพื่อนคนอื่นๆกินไปเกินครึ่งแล้ว
อาร์กับปอก้มหน้าก้มตากินแต่หูแต่ล่ะคนนี่รอฟังมากๆ
“ไปนั่งกับกูไหม ต่อโต๊ะนั่งด้วยกันทั้งหมดนี่แหละ”
เอสชวน
แคปส่ายหน้าทำท่ายกแก้วกาแฟที่เพิ่งจะดูดหมดเมื่อตะกี้ขึ้นมาดูดต่ออีก
เสียงโครกๆๆจนปอนึกขำไม่รู้มันจะดูดต่อทำไมน้ำไม่ออกแล้วสักหน่อย
“เป็นอะไร ทำหน้าอะไรน่ะ” เอสจะแย่งแก้วน้ำออกมา แคปรีบเอาหลบ
“อย่ามายุ่ง!”
“หรือจะให้พวกกูมานั่งด้วยล่ะ”
“เออให้มึงมานั่งด้วย มึงแค่คนเดียวได้ป่ะล่ะ” แคปท้าขึ้นทันที
เขามั่นใจว่าอย่างไรเอสก็คงไม่มา
“ได้ รอแปป” เพียงแต่เอสตอบคำว่าได้แทบจะทันที
แคปยิ่งหงุดหงิดขึ้นอีก
“ไม่ต้องไอ้สัสกูพูดเล่น พวกกูอิ่มกันแล้วกำลังจะกลับ”
แคปหน้ายุ่งยกมือขึ้นเรียกพนักงานให้เข้ามาเก็บตังค์ปอเป็นคนควักจ่าย
“มีเรียนต่อบ่ายโมงใช่ไหม”
“ไปเหอะว่ะ..” แคปไม่สนใจจะตอบ
เขาเลี่ยงไม่มองหน้าเอสด้วยซ้ำแต่กลับไปพยักหน้าเรียกปอกับอาร์ให้ลุกขึ้น และในตอนนั้นเอง
ที่ขายาว ๆของเอสก้าวออกมาดักทางกักเขาเอาไว้
เก้าอี้แทบจะล้มระเนระนาดเมื่อมือใหญ่คว้าหมับเข้าที่แขนเล็กแล้วบีบ
“เป็นอะไรแคป..” เสียงทุ้มกดต่ำ มีสายตาหลายสิบคู่กำลังจ้องมา
เมี่ยงกับชิพรีบเดินเข้ามาหา
“แคปไม่เอานะเว้ย” ปอขยับเข้าไปจับบ่าเพื่อน
กลัวมันจะกระโดดใส่กันมากจริง ๆ อาร์เองก็คว้าเอามือแคปไว้ ตากลมๆขวางขึ้นแล้ว
ยิ่งตอนที่เมี่ยงเดินเข้าไปซ้อนแผ่นหลังเอสแล้วใช้สองมือจับเอวเขย่งตัวพูดอะไรกับมันสักอย่าง
สายตาที่เอสหันไปมองไอ้เพื่อนตัวเตี้ยของมันโคตรของโคตรของความอ่อนโยน
ต่างจากที่มันจ้องเขาเหมือนโกรธแค้นกันมาเป็นสิบ ๆ ปี
แคปน้อยใจขึ้นมาจนจุกอยู่ที่อก
“หลีกทาง!”
เขาตะคอกขึ้นสุดเสียง ผลักเอสให้พ้นๆออกจากทางแรงมากจนคนตัวโตเซไปชนเก้าอี้พร้อม ๆ
กันกับเมี่ยงที่ยืนชิดกันอยู่ แคปหันกลับไปมองนึกโมโหภาพตำตาที่เห็น ด้วยความที่ไม่ทันได้คิดขาเล็กยกขึ้นจะถีบไอ้เมียมันให้จมลงกับตีนอีกสักครั้งอยากมายืนขวางดีนักผัวเมียตัวจริงกำลังทะเลาะกันมึงอย่าได้สอด
ต่อไปจะได้จำไว้! แต่เอสที่เร็วกว่ากลับกระชากแคปเอาไว้ได้
เขาดึงคนที่ทั้งดิ้นทั้งแหกปากออกไปที่นอกร้านด้วยความโมโหไม่เข้าใจจู่ ๆ
แคปโวยวายขึ้นมาแบบนั้น
โครม!
อึ่ก!!
“คิดจะทำอะไร!”
พอออกมาที่จอดรถด้านหน้าเอสเหวี่ยงแคปจนชนเข้ากับตัวรถ
ไหล่เล็กกระแทกเข้าอย่างจังเพราะขาที่ต้องหลบก้อนหินใหญ่ทำให้เขากะจังหวะผิดพลาดไปหมด แคปเจ็บจนต้องเบ้หน้า
เอสตกใจจะเดินเข้ามาดูเขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าตรงจุดที่เหวี่ยงแคปเข้าไปมีหินประดับก้อนใหญ่มากวางอยู่
“อย่ามายุ่ง!” แคปตะคอกเสียงหลง
ปัดมือที่จะยื่นเข้ามาหาออก เขาเจ็บจี๊ดๆอยู่ที่หัวไหล่คิดว่าเขียวอีกแล้วแน่ ๆ
ร่องรอยบนตัวเพิ่งจะหายจากเรื่องไอ้แบงค์ไม่นานวันนี้เจออีกจนได้
“มึงจะทำอะไรกูล่ะ
จำได้ว่าเจอกันครั้งแรกตอนที่กูกระทืบไอ้เมี่ยงเพื่อนมึง มึงตบหน้ากูด้วยนี่นะ
แล้ววันนี้กูจะจัดการมันอีกมึงจะทำอะไรกูเหรอ ตบอีกสักทีดีไหม
หรือว่าจะซ้อมกูก็เข้ามาเลย!” ดวงตาเล็กไหวระริก
จ้องคนที่ก้าวเข้าหาแล้วหยุดชะงักอยู่แค่ตรงนั้น
“.............”
“เอาไหม! ตอนนี้เลยไหม
น่าเสียดายจริงๆกูมีเรียนบ่าย ไว้ถ้ามึงอยากซ้อมกูชดใช้ให้เพื่อนมึงก็นัดมาได้เลย!” แคปยังตะคอกต่อ เอสส่ายหัวอย่างยอมใจเลยจริง ๆ
“มึงพูดอะไรแบบนั้นวะแคป..” เอสเดินเข้าหาจะขอดูว่าเจ็บมากรึเปล่าที่ไหล่นั่น
แต่แคปยกมือขึ้นห้ามไว้ก่อนเมื่อเห็นปอกับอาร์เดินออกมากันแล้ว
บุ้งชิพเมี่ยงเองก็เดินออกมาด้วย คิดว่าคงเข้าไปคุยกับเจ้าของร้านมาจนเรียบร้อย อย่าถามถึงเรื่องน้อยใจ
อารมณ์นั้นมาแบบเต็มๆตั้งแต่เจอสายตามันที่มองเพื่อนมันกับมองตัวเขาแล้ว แต่จะให้มาพูดว่าเสียใจอะไรแบบนั้นคงไม่ใช่เขาหรอก
“ถอยไป! หลีกทาง!!”
“มันคืออะไรวะแคป กูยังไม่เข้าใจเลยนะ
กูเข้าไปทักมึงดีๆไหมในร้านนั่น แล้วเกิดอะไรขึ้นวะจู่ ๆ
มึงเดือดขึ้นมาจะถีบเพื่อนกูน่ะเหรอ”
“.........”
“มีอะไรลงที่กูสิ ไม่พอใจกูไปลงที่คนอื่นใช้ไม่ได้รู้ไหม”
“เออ! กูมันใช้ไม่ได้อยู่แล้วล่ะ
กูใช้ไม่ได้แบบนี้มึงจะมายุ่งวุ่นวายกับกูทำซากอะไรล่ะห๊ะ!”
แคปตะโกนใส่หน้าอย่างแรง ผลักเอสออกแล้วเดินแทรกตัวออกไปหาปอที่ยืนรออยู่กับอาร์
“กลับเหอะว่ะ เบื่อแม่ง!”
แคปว่าแล้วเปิดรถขึ้นไปนั่งคู่กับปอ ขณะที่เอสยืนส่ายหัวมองท้ายรถที่ขับห่างออกไปจนลับตา
“แฟนมึงน่ากลัวว่ะไอ้เอส”ชิพพูดขึ้นมา
“มึงพูดแบบนั้นมาสองครั้งแล้ว” เอสกดสวิทเปิดรถ
เขาเดินไปขึ้นฝั่งคนขับ เมี่ยงขึ้นมานั่งข้าง ๆ
“มึงโดนมันตีรึเปล่าวะไอ้เอส” เมี่ยงหันไปถาม
เขาไล่สายตามองเอสตลอดทั้งตัว เอสส่ายหัวบอกไม่ คว้าเอาแว่นกันแดดขึ้นมาใส่ถอนหายใจยาว
ๆ ก่อนขับรถออกไป คงต้องหาที่กินร้านอื่น
“มีเรื่องตลอดจริงๆให้ตายเหอะ”
“ทำไมมันโมโหง่ายแบบนั้นล่ะ
แค่เห็นหน้ามึงมันก็หงุดหงิดแล้วงั้นเรอะ” ชิพขยับมานั่งที่เบาะกลางรับแอร์
เขาพูดกับเอสใกล้ ๆ
“กูกำลังคิดอยู่เนี่ยว่ามันเป็นอะไร”
“จะคิดทำไมให้เสียเวลาวะ
แค่ดูมึงก็น่าจะรู้แล่วว่ามันเป็นอะไร หึ..”
บุ้งที่นั่งกดมือถืออยู่ที่เบาะหลังข้างกันกับชิพพูดขึ้น
“มึงพูดเหมือนรู้นะไอ้บุ้ง” เอสหันมาเหลือบมองแวปนึง
“กูไม่ได้โง่อย่างมึงนี่หว่า เส้นผมบังภูเขารึไง
ผงเข้าตาอะไรทำนองนั้น”
“โหยไอ้เจ้าบทเจ้ากลอน ถ้ามึงรู้ก็บอกมันไปเลยเหอะ”
ชิพหันต่อว่าใส่บุ้งยังนั่งยิ้มแบบสบาย ๆ เขาก็แค่ยักไหล่
“บอกไม่ได้หรอกเรื่องแบบนี้ต้องให้มันตระหนักได้ด้วยตัวเอง
หึหึหึ”
.
.
“ไอ้แคป มึงหึงโหดเกินไปแล้วไอ้สัส”
“กูไม่ได้หึง!
กูบอกมึงครั้งที่เท่าไหร่แล้ว” แคปเสยผมก่อนหันไปแว๊ดใส่อาร์ที่นั่งเบาะหลัง
“กูเชื่อมึงหรอก
ไม่หึงแต่เกือบจะกระทืบเพื่อนเขาจมตีนแล้วไหมล่ะ”
“ก็แค่รำคาญว่ะ กูเบื่อมัน”
“ไม่ใช่เบื่อมันหรอก มึงหึงมันไง” ปอแทรกขึ้นมาบ้างใช้คำเดียวกันกับอาร์เปี๊ยบ
แคปเงียบกริบไปเลย
“........”
“เงียบทำไมล่ะ”
ปอหันไปมองเพื่อนสนิทที่ตอนนี้มันนั่งหันห้าออกไปอีกทาง ความเงียบเข้าปกคลุมพวกเขสามคนอยู่ครู่หนึ่ง
ปอกับอาร์เองก็ให้เวลาแคปได้คิดพิจารณาในสิ่งที่เพิ่งจะเกิดขึ้น
“เฮียเต้บอกว่าไอ้เมี่ยงนั่นเมียมัน” แคปพูดขึ้นมาลอย ๆ
แต่ทั้งปอและอาร์เองก็ได้ยิน
“ไอ้แคปเอ๊ย มึงก็รู้เฮียเต้พูดเล่นหรอก
ถ้าไอ้เตี้ยนั่นเป็นเมียมันจริง ๆ
มันจะมานอนห้องมึงทำไมทุกวันล่ะวะกลับไปนอนกับเมียไม่ดีกว่าเรอะ” อาร์เอื้อมมือเล็กเข้าไปยีหัวเพื่อนตัวเอง
เขามองหน้าปอล้วส่ายหัวเบา ๆ
“กูก็รู้อยู่หรอกว่าแค่พูดเล่น”
“ทั้งที่รู้อยู่แต่มึงก็ยังหึงเนี่ยนะ”อาร์ถามต่ออีก
“เอ๊ะไอ้สัสอาร์นี่ กูบอกว่ากูไม่ได้หึงไง!”
“อ่ะๆไม่หึงๆ งั้นมึงบอกเหตุผลดีๆกูมาซิ
มึงทำหน้าหงุดหงิดทำไม มึงจะถีบเพื่อนเขาเลยนะเว้ยตอนนั้นน่ะ ถ้าไอ้เอสมันไม่กระชากมึงไว้ก่อนเท้ามึงถีบถูกท้องไอ้เตี้ยนั่นแล้ว”
“............”
“ก็แค่เขามานั่งกินข้าวกับเพื่อน แล้วมันเสียหายตรงไหนวะ
อย่าบอกนะว่าแค่นั่งติดกันมึงก็ไม่ชอบใจแล้ว ลองมองในมุมกลับกันบ้าง
มึงน่ะกอดคอกูเลยนะ กูจับมือมึงห้ามไว้ตอนจะมีเรื่อง ไอ้ปอยิ่งแล้วใหญ่พวกมึงนอนร่วมเตียงกันมากี่ครั้งแล้ววะไอ้ห่า”
“นี่มึงพูดเรื่องอะไรเนี่ย กูมึงแล้วก็มึงเพื่อนกันเหอะ”
“ก็ใช่ไง ไอ้เอสมันก็คิดงี้แหละ พวกเขาก็เพื่อนกันไง”
“แต่สายตาไอ้เตี้ยนั่นมันไม่ใช่อ่ะ”
“วู๊ว มึงจะเซ้นต์แรงไปไหน วุ่นวายนักคุยกับมันให้จบๆไปเลยไป
แต่บอกไว้ก่อนถ้าเป็นมึง ผู้หญิงให้เลือกเพื่อนกับเมียมึงเลือกใคร”
“เลือกเมียไง”
“ไอ้สัส!”
อาร์ฟาดแคปไปอย่างแรงที่หัวไหล่ข้างเดิมแคปหัวเราะก่อนร้องโอ๊ยบอกเจ็บ
เขาแกะกระดุมดูรอยช้ำที่โดนเหวี่ยงใส่รถ ไหล่เขียวอื๋อเลย นึกโกรธเอสขึ้นมาอีกแล้ว
“พวกมึงเล่นแรงกันแบบนี้ก็ต้องมีเขียวมีช้ำกันธรรมดาแหละ
ดีไม่ดีกูว่ามันเขียวมากกว่ามึงอีกนะ มึงตีโดนอะไรมันบ้างรึเปล่าวันนี้น่ะ”
“ไม่โดนเลยอ่ะดิเสียเปรียบชะมัด
เดี๋ยวตอนเย็นมันไปห้องกูจะหาทางเอาคืนมันให้ได้เลยเหอะ”
.
.
เย็นวันนั้นแคปเดินควงกุญแจรถอารมณ์ดีเข้าลิฟต์
เขาไม่เห็นรถเอสจอดอยู่จึงลั๊นลาเป็นพิเศษ หึหึ จะได้นอนแก้ผ้าตีพุงสบายๆล่ะวะ
วันนี้มันอาจจะไม่มาค้างที่นี่ก็ได้ มีเรียน?
หรือไม่งั้นคงไปเที่ยวกับไอ้เตี้ยนั่น? หรือว่า... โฮ้ยยยช่างมันเหอะ
เรื่องของมันสิวะจะไปไหนไม่เกี่ยวกับเขาสักหน่อย แคปยักไหล่เดินเข้าห้อง
ผิวปากฮัมเพลงอาบน้ำทำภาระกิจส่วนตัวทุกอย่างจนเสร็จ
การบ้านที่มีแค่น้อยนิดกับใบงานที่ต้องอ่านเขาก็จัดการจนเรียบร้อย
ลุกขึ้นพักเบรกหกโมงเย็นกว่า ๆได้เวลานอนดูการ์ตูนช่องโปรด โคนันกำลังฉายเลย ส่วนไอ้ปออย่าถามถึงมันพาไอ้อาร์ไปดูหนังเรื่องที่เขาไปดูมาแล้วนั่นแหละกว่าจะกลับคงสองสามทุ่มดีไม่ดีสี่ห้าทุ่มเลย
แคปลากผ้าห่มออกมานอนดูหนังสบายใจอยู่ห้องทีวีใหญ่
แกร๊กกกกก
“อ้าวเฮ้ย!
ทำไมกลับมาเร็ววะไอ้ปอ..” แคปลุกพรวดขึ้นทันที
นึกว่าเป็นปอที่เปิดเข้ามาที่ไหนได้กลายเป็นอีกคน
“เร็วอะไรของมึงวะ
กูนี่งอมตั้งแต่เข้าแลปบ่ายแล้วลากยาวจนถึงหกโมงเย็นเลยเหอะ” เอสปลดกระเป๋าลงที่โซฟา
เขาทิ้งตัวนั่งลงข้างแคปวาดวงแขนพาดลงที่พนักแล้วบอกแคปให้พิงเข้ามา
“อย่ามายุ่งกับกู” แคปจะลุกขึ้น เอสรั้งเอวลงไว้ให้นั่งก่อน
สายตาคมกริบเห็นรอยเขียวที่หัวไหล่ตั้งแต่เดินเข้ามาใกล้แล้ว
“เจ็บมากรึเปล่า..” เอสเงยหน้าขึ้นถาม
เขาดึงแขนเสื้อกล้ามแบบนักบาสที่แคปสวมอยู่เปิดสูงขึ้นไปอีก
ต้องการเห็นร่องรอยเขียวช้ำที่ตัวเขาเองเป็นคนทำ
“มึงอยากรู้จริงเหรอ ว่ากูเจ็บมากไหมน่ะ..” แคปหันไปถาม
เอสพยักหน้าบอกอือ แคปส่งยิ้มเหี้ยมๆก่อนลุกขึ้นคว้าแขนเอสบิดแรง ๆ
ตามมาด้วยมือที่ผลักแล้วเหวี่ยงคนตัวโตจนเซกระแทกเข้ากับผนัง
“โอ๊ยแคปกูเจ็บ เล่นแรงนะมึง” เอสกุมไหล่บอกเจ็บพอได้แล้ว
ไม่ใช่ว่าไม่รู้ว่าจะทำแต่ก็ตั้งใจปล่อยให้ทำได้เลยต่างหาก ใครจะรู้ว่ามันจะรุนแรงขนาดนี้
“นั่นล่ะคำตอบของกู” แคปหันมามองคนที่ยืนกุมไหล่หน้ามุ่ย ๆ
ทำลงไปแล้วถึงได้รู้ว่าเป็นเรื่องที่ไม่สมควรจะทำเลยแม้แต่น้อย
ขณะที่เอสเดินกุมไหล่เข้าไปในห้องด้านในพักนึงแล้วกลับออกมาพร้อมกับกล่องยา
“ทาให้กูเร็ว” เขายื่นยาทั้งกล่องส่งให้แคป
“เรื่องดิ”
“มึงทาให้กู เสร็จแล้วกูจะทาให้มึง” นี่เป็นเงื่อนไขล่อหลอก
กับแคปเขาต้องพูดแบบนี้เท่านั่นถึงจะได้ทาให้มัน
“ทำไมกูต้องทาให้มึงก่อนด้วย
มึงสิไอ้เหี้ยต้องทาให้กูก่อนน่ะ” แคปแย่งกล่องยามาแล้วค้นๆๆเอาหลอดยานวดที่ต้องการยื่นส่งให้เอส
“อ้าวเหรอ งั้นหันไหล่มาเร็ว ๆ” เอสกระตุกยิ้มนิดๆ
เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามแผน เขาจับไหล่เล็กให้หันกลับมา
กำลังจะถอดเสื้อแคปออกให้แต่อีกฝ่ายกลับถลึงตาใส่ถามว่าจะทำบ้าอะไร
“ไม่ถอดจะทาได้ไง ข้างในนั้นน่ะ”
“งั้นกูถอดเอง” แคปถอดเสื้อออกวางไว้บนตัก
เอสดึงเอามาแล้วเหวี่ยงทิ้งเลย
“อ่ะ....!!”
“ขวางทาง เอาวางไว้ที่ตักทาไม่ถนัดเลย”
“ไม่ถนัดพ่อง
ทาที่ไหล่เสือกหงุดหงิดไอ้สิ่งที่อยู่บนตักงี้เหรอ?” เอสหัวเราะหึหึ
เพราะรู้ว่าแคปจับความคิดเขาได้แล้ว
“นั่งดีๆเร็ว”
เขาบีบเจลเย็นๆแก้ฟกช้ำลงที่หัวไหล่เขียวอื๋อของอีกคน ตั้งใจนวดแล้วทาเบา ๆ
ฝีมือเขาเองที่เป็นคนทำ ความรู้สึกผิดเอ่อล้นออกมาทางแววตาคมกริบนั่น
“ทาให้กูไหม” พอทาให้แคปเสร็จ
เอสยื่นยาส่งให้อยากใหแคปทาใหตัวเองมั่ง แต่แคปกลับเมิน “เรื่องอะไรกูจะทำ”
“เอองั้นกูทาเองก็ได้วะ”
เขาถอดช้อปออกตามด้วยเสื้อยืดสีขาวตัวใน บีบยาลงที่มือแล้วป้ายลงไปที่หัวไหล่ฝั่งซ้ายที่มีรอยแดงเป็นทาง
เพราว่าเพิ่งจะโดนจึงยังไม่เขียวอื๋อขึ้น
“น่ารำคาญ เอามานี่” แคปดึงเอาหลอดยามา
แล้วจัดการนวดๆๆลงไปแรง ทั้งนวดทั้งหยิก
“โอ๊ยยยย เจ็บบบบบบบ เมียกูใจร้ายจริงๆ”
“เพี๊ยะ! สมน้ำหน้า” แคปหน้ามุ่ยทายานวดเป็นวงกลม
ๆ ทาไปตีไป
พอเสร็จกำลังจะปิดหลอดสายตาดันมองไปเห็นรอยช้ำเขียวอื๋ออยู่ที่ใต้ท้องแขนตัดกับสีผิวของเอสอีกรอย
“นี่รอยอะไรวะ” แคปดึงแขนข้างนั้นของเอสมาดู
“แมวข่วน”เขาตอบพลางชำเลืองมองคนถามด้วยแววตาซุกซน
“แมว?”
“อือ” เอสตอบแล้วกลั้นรอยยิ้ม จะไปแมวที่ไหนกันล่ะ
เมื่อเที่ยงเขาเจอมันผลักจนชนพนักเก้าอี้ ก็แค่ไม่ได้บอกออกมาว่าเจ็บแค่นั้นเอง
“ไอ้สัส ตายไหมล่ะมึง” แคปขว้างหลอดยาใส่หน้าแบบทันทีทันควัน
โมโหเพราะนึกออกแล้วว่ารอยนี้ตัวเขาเองเป็นคนทำ
“ทาให้กูสิวะ ไหนๆก็เห็นแล้ว” เอสคว้าจับเอาไว้ได้ทัน
“คิดจะปิดไปจนถึงเมื่อไหร่
โดนกูตีจนเขียวแบบนี้มึงต้องบอกสิวะ”
“บอกทำไมมึงทายาให้กูไม่ทันหรอกแต่ล่ะวันโดนหลายที่มาก”
“สมพรปากมึงเหอะ กวนกูดีนักนี่”
“ถามจริงโกรธกูเรื่องอะไรวะ”
“.........” แคปก้มหน้าป้ายยาลงไปที่ใต้ท้องแขนให้ต่อ เอสจึงยกมืออีกข้างขึ้นเกลี่ยปลายผมที่หล่นลงปรกใบหน้าออกให้
ดวงตากลมโตแต่แฝงความเฉี่ยวก็แค่เหลือบขึ้นมอง
“เจ็บไหมล่ะไอ้สัส!”
“นิดๆ”
“ตอบดี งั้นเดี๋ยวกูจะทำให้หนักกว่านี้
มึงจะได้บอกว่าเจ็บมากอย่าทำร้ายกูอีกเลยอะไรแบบนั้น”
“กูเนี่ยนะจะพูดแบบนั้น”
“เออก็มึงแหละ”
“โอ๊ย!! เจ็บ.....!!!”
เอสตาเขียวใส่ จู่ ๆ แคปบิดลงไอ้ตรงที่เขียวใต้ท้องแขนเขาร้องเลยสิ
ที่ตรงนั้นเนื้อยิ่งอ่อนๆโดนนิดเดียวก็เจ็บแล้วนี่ยังซ้ำแผลเดิมอีก
“นั่นไงมึงร้องแล้ว”
“เดี๋ยวมึงจะโดนแคป
ตอบมาได้รึยัง ไมพอใจกูเรื่องอะไรวะ
คงไม่ใช่แค่กูเข้าไปขัดจังหวะมึงกินข้าวหรอกนะ” เอสถามขึ้นมาอีกครั้ง
สิ่งที่ยังคาใจเขาอยู่มากคือเรื่องนี้จริง ๆ
“..............” แคปเงียบอีก ก้มหน้าก้มตานวดยาให้ต่อ
“ไม่ยอมพูดแสดงว่ามึงไร้เหตุผลใช่ไหม
จู่ๆนึกอยากตีกูด่ากูก็จะทำงี้เหรอ?”
“ไม่ใช่สักหน่อย!” แคปเถียงขึ้นมาทันที
เขาจ้องหน้าเอสที่กำลังคาดคั้นเอาคำตอบจากเขาอยู่
ที่จริงจะบอกไปเลยซะก็ได้แต่ว่าถ้าพูดออกมาแล้วมันต้องคิดเหมือนไอ้ปอไอ้อาร์ว่าเขาหึงมันกับไอ้เมี่ยงน่ะสิ
แล้วแบบนี้ใครมันจะไปพูดวะ
“งั้นบอกเหตุผลของมึงมา” เอสทำเสียงดุใส่
แคปก็แค่เชิดริมฝีปาก
“ไม่บอก!”
“แคป”
“กูไม่บอก!”
แคปลุกพรวดขึ้นเอสรีบคว้าแล้วฉุดแขนลงก่อนเอาหน้าตักตัวเองรองรับด้วยความรวดเร็ว
เขาล๊อคกอดเอวเล็กไว้แน่นเลย
“ไม่บอกจริงดิ”
“กูไม่บอก ปล่อยกู!”
“แคป ครั้งที่หนึ่ง”
“กูไม่บอก!
ห้ามมึงนับต่อนะไอ้เหี้ย!”
“แคป ครั้งที่สอง”
“กูบอกว่ากูไม่บอก!! มึงปล่อยกูลง
อื้อออ” แคปดิ้นๆๆๆจะลงจากตักแต่เอสกอดแล้วรัดเอาไว้แน่นยิ่งกว่าเก่ามากนัก
“แคป ครั้งที่....
“กูไม่ชอบให้มึงทำตัวสนิทสนมกับไอ้เตี้ยนั่น! กูไม่ชอบเวลาที่มึงมองหน้ามัน!
กูไม่ชอบเวลาที่พวกมึงหัวเราะด้วยกัน! กูไม่ชอบเวลาที่มึงเอามือลูบหัวมัน! กูไม่ชอบที่เห็นมันส่งยิ้มดีใจเวลาที่มึงก้มหน้าลงไปคุย! กูไม่ชอบเวลาที่เห็นมันกอดเอวมึงแล้วเขย่งเท้ากระซิบกระซาบ! กูเกลียดพวกมึงสองตัวมากที่สุดมึงรู้เอาไว้แค่นั้น!!”
เอสถึงกับนิ่งงันไปเมื่อได้รู้ความจริงที่ว่าแคปโกรธและไม่พอใจเขาเรื่องอะไร
“ตกใจเหี้ยไรล่ะไอ้สัส!”
แคปลุกขึ้นด่าตาเขียว กะว่าจะเดินฉับๆหนีเข้าห้องพอหันมาเจอเอสนั่งอึ้ง ทึ่ง
งงแดกไม่เป็นท่าแล้วยิ่งหลงดหงิดขึ้นอีก
“น่ะ...นี่มึงหึงกูกับไอ้เมี่ยงจริงดิ..” เอสพึมพำออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
หน้าตายังตื่นๆ
“กูไม่ได้หึงมึง! คำพูดกูยังไม่มีคำว่าหึงเลยสักคำ
หูมึงหนวกใช่ไหมห๊ะ!!”
“หึ กูขำว่ะแคป หึหึ หึหึหึ
โอ๊ยยยยแคปเอ๊ยยยย หึหึหึ” ในที่สุดเขาหัวเราะขึ้นมาเบา ๆ
พร้อมกับส่ายหัวปลง
“ไม่ต้องมาขำ กูไม่ขำด้วยเลยสักนิด”
“ก็ขำสิวะ หึงใครไม่หึงมาหึงกูกับไอ้เมี่ยงเนี่ยนะ”
“มึงทำตัวให้กูไม่ไว้ใจเอง”
แคปสวนขวับขึ้นทันที พอนึกได้ว่าตัวเองหลุดแล้วเขาหุบปากลงแทบไม่ทัน
เอสยิ่งขำหนักยิ่งกว่าเก่า
“โอเคๆกูรู้แล้วว่ามึงไม่ชอบให้กูทำตัวใกล้ชิดแบบนั้นกับไอ้เมี่ยงมัน
ต่อไปจะได้ระวังให้..” เอสลุกขึ้นไปดึงไหล่เล็กให้หันมาคุย
แคปดื้อดึงปัดออกอีกอย่างเคย
“ต่อไป..ต่อหน้ากูจะได้ระวัง
หรือว่าต่อไปมึงจะระวังทั้งต่อหน้าและลับหลังกูล่ะ”
“โอ้โห..มึงจะร้ายไปถึงไหนวะแคป
ถ้าเป็นละครหลังข่าวมึงเป็นนางร้ายนะกูบอกให้รู้ไว้เลย”
“เออ! กูเป็นนางร้าย กูเป็นทั้งพระเอกทั้งนางร้ายนั่นแหละ
ตั้งแต่มึงเข้ามาวุ่นวายในชีวิตกู
กูเองยังไม่แน่ใจเลยว่ากูเป็นนางร้ายหรือจะเป็นพระเอกดี”
“แล้วใครเป็นนางเอกวะ”
“มึงไงไอ้สัส!”
“...........................................................................................”
“หึ มึงอึ้งเลยอ่ะดิ่”
“เดี๋ยวคืนนี้มึงจะโดน”
“ไม่สน” แคปยักไหล่ใส่
เอสส่ายหัวอย่างเอือมระอาลุกพรวดขึ้นดึงแขนแคปกระชากกลับมานั่งลงที่ตักเขาอย่างเดิม
“ไอ้สัส! ทำเหี้ยไรของมึง
อื้ออออออ..” แคปตกใจร้องขึ้นเสียงหลง เอสรัดเอวเขาเอาไว้ก่อนล๊อคท้ายทอยกดลงมารับจูบหนักๆที่ริมฝีปากเล็กหนึ่งทีแล้วปล่อยออก
“ไอ้คนชั่ว!!” แคปร้องด่า
“มึงไม่ต้องคิดเลยนะเรื่องกูกับไอ้เมี่ยงน่ะ
มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว กูคบมึงคนเดียว
ทำแบบนี้กับมึงคนเดียวไม่เคยทำกับผู้ชายคนอื่นรู้แค่นี้จบแล้วใช่ไหม
ห้ามคิดมากอีก”
“ใครจะไปรู้ เผื่อจู่ ๆ
มึงโดนอุกกาบาตตกใส่หัวแล้วคิดว่าไอ้เตี้ยนั่นเป็นเมียมึงขึ้นมาจริง ๆ
มึงหลงจับมันกินจะทำยังไง”
“ตกใส่หัวมึงสิแคป
พูดแบบนี้เดี๋ยวกูจับกินมึงก่อนเลยดีไหมล่ะห๊ะ” เอสแกล้งทำเสียงขู่
แคปรีบลุกขึ้นหนีมือใหญ่นั้นได้ เขาวิ่งข้ามเตียงกระโดดไปอยู่อีกฝั่งชี้หน้าเอสบอกห้ามเข้ามาใกล้
อีกคนก็แค่แกล้งพุ่งเข้าหาจนจับได้ สองคนกระโดดเข้าฟัดสู้กันบนเตียง
มันรุนแรงจนเตียงแทบจะหัก ผ้าห่ม หมอน
หมอนข้างปลิวว่อนลอยไปอยู่คนล่ะทิศคนล่ะทาง....สมรภูมิขนาดย่อมจริง ๆ
.
.
ราวๆสองชั่วโมงผ่านไป ปอกลับมาถึงห้องแล้ว ทั้งสามคนนั่งกินข้าวด้วยกันเพราะแคปโทรบอกปอซื้อเข้ามาเผื่อด้วย
คืนนั้นดึกๆแคปกึ่งนั่งกึ่งนอน
เล่นไอแพดอยู่บนเตียงที่ผ่านการเก็บจนสะอาดเรียบร้อยโดย เอสเดินเช็ดหัวออกมาจากห้องน้ำ
มองดูว่าแคปกำลังทำอะไรเงียบๆทีวีก็ไม่เปิด เขาหยิบเอากางเกงบ๊อคเซอร์แบบเข้ารูปขึ้นมาใส่
ก่อนกระโดดขึ้นเตียงไปนอนดูแคปทำอะไรสักอย่าง
“หัวมึงเปียก อย่ามาใกล้สิวะ ไปนอนหมอนมึงโน่น” แคปทำหน้ายุ่งขยับออกห่าง
“เช็ดให้หน่อยดิ” เอสยื่นหัวไปหา
พลางยื่นผ้าขนหนูผืนเล็กส่งให้
“ไม่เอา ทำงานอยู่” แคปคว้าผ้ามาคลุมหัวมันไว้ในลักษณะเดิม
“ทำอะไรน่ะ เช็คเมล?”
“อือ ว่าจะเปิดเมลใหม่อีกตัว ใช้ทำงาน”
“ทำไมล่ะ ไหนดูซิ” เอสปล่อยผ้าเช็ดตัวคลุมไว้ที่หัว
เขาดึงไอแพดมาจากแคปแล้วจัดการกดๆๆๆๆๆกรอกๆๆๆๆ
ทุกๆอย่างเสร็จภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที แคปก็มองว่ามันจะทำอะไรไปถึงไหน
“อ่ะ เสร็จแล้ว” ยื่นคืนพร้อมบอกว่าสมัครอีเมลอันใหม่ให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว
“อะไรของมึงวะ เร็วฉิบหายเอาของกูมานี่เลย
ใครบอกให้เอาไปทำล่ะ”
“ก็อยากจะทำให้ไง”
“แล้วตั้งชื่ออะไรเนี่ย ตลก
เมลกูทำไมเป็นชื่อแบบนี้ตั้งอะไรไม่ปรึกษา”
“ตอนกูกรอกมึงก็เห็น ไม่ท้วงล่ะ”
“ท้วงทันที่ไหน มือเร็วเหี้ยๆ”
“เอาน่าก็แค่ชื่อ ก็มึงจะเอาไปใช้ที่งานดีเจไม่ใช่ไง
ใช้ชื่อเป็นดีแคฟดีเจอ่ะดีแล้ว เกี่ยวกับกาแฟด้วย เหมือนชื่อมึงไง”
“บอกรหัสผ่านมึงมาเลย กูจะเข้าได้ยังไงวะเนี่ย..” คิ้วเล็กขมวดมุ่นขึ้นมาอีก
เอสดึงเอามากรอกลงให้ แคปเงยหน้าถาม
“บอกมาเร็ว มือมึงเร็วกูจะไปเห็นได้ไงพาสเวิร์ดที่มึงตั้งน่ะ”
เอสอมยิ้มบาง เขาดึงมือแคปมาแล้วใช้นิ้วเขียนคำว่าเอสลงไปที่ฝ่ามือเล็กเก้าครั้ง
“เล่นอะไรของมึง”
“หึ...ก็ชื่อกูนี่ไงพาสเวิร์ดของมึง” แคปถลึงตาใส่ทันทีเลย
เอสก็แค่ยักไหล่แล้วหันไปเช็ดหัวต่อ
“ช่วยไม่ได้ มึงจะได้จำได้ไงว่าใครเป็นคนสมัครเมลนี้ให้กับมึง”
“นี่มึงจีบกูเรอะ!?”
มุขเก่าๆที่เขาเคยใช้จีบสาวเมื่อตอนเป็นเด็ก หน้าร้อนผะผ่าวขึ้นมาไม่รู้ไอ้บ้าเอสมันจะจับได้ไหม
เขาอายแบบเหี้ยๆเลยสัส
“ตายๆ มึงเพิ่งรู้เหรอวะแคป..” เอสเช็ดหัวไปพูดไปไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง
ขณะที่แคปรีบดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดบังใบหน้าแดงเถือกของเขาไว้
ทำท่าเหมือนคนง่วงนอนมากๆ
แคปนิ่งอยู่แบบนั้นจนเอสนึกสงสัยว่าทำไมถึงเงียบไป เขาเช็ดผมเสร็จพอดี
สะบัดแล้วเสยสองสามทีก่อนหันไปมอง
“หน้าแดงแล้วมึงอายเหี้ยไร
กูจีบมึงจนได้กันไปครั้งนึงแล้วไงนี่ไม่รู้เรื่องจริงดิ”
“ไอ้สัส! เงียบปากมึงไปเลยเหอะ
น่ารำคาญ พูดมากๆอยากตายใช่ไหมห๊ะ” แคปว่าจบมุดลงในผ้าห่มเอาจนมิดชิด
คนมองได้แต่ยิ้มขำๆ
ค่ำคืนนั้นเขานอนกอดก้อนผ้าห่มที่รูปร่างเหมือนหนอนใบไม้หรืออะไรสักอย่างที่มุดตัวอยู่ในผ้านวมผืนยักษ์
ดึงแบบไหนเรียกยังไงก็ไม่ยอมออกมา หากแต่ว่าพอตื่นขึ้นมาในตอนเช้า
ลักษณะการนอนของแคปยังคงเหมือนทุกๆคืน ซุกอกเขาไม่ยอมห่าง
ขนาดดึงมันออกมันยังดื้อไม่ยอม อือๆอาๆต่อต้านกอดเขาไว้อย่างแน่นทั้งที่ตายังหลับ
Tbc.