[XVI] ครึ่งหลัง
“เอสทานเยอะๆนะลูก นี่ของโปรดลูกคุณพ่อเขาสั่งให้ป้าจันทร์ทำไว้รอตั้งแต่แม่โทรหาเราแล้ว..” มือเรียวสวยประดับแหวนเพชรวงเล็กๆของหญิงวัยกลางคนที่มีริ้วรอยเพียงแค่เล็กน้อยตักกุ้งผัดเปรี้ยวหวานอาหารโปรดของลูกชายเธอ วางลงในจานให้ ขณะนั้นเองที่พี่สาวคนโตของบ้านอย่างแอมป์แกล้งอ้อนเธอนิดๆ
“คุณแม่ตักให้แอมป์ด้วยสิคะ ตักให้แต่น้องอ่ะ พอเจ้าเอสกลับมาแอมป์ก็กลายเป็นหมาหัวเน่าเลยสิ”
“เจ้าลูกสาวคนนี้โตจะแย่ไปหัดน้อยอกน้อยใจมากจากไหนคะลูก ใครกันน๊าที่รบเร้าแม่ให้ตามน้องกลับบ้าน พอกลับมาแล้วทำท่าทีแบบนี้กับน้องรึไงเรา เดี๋ยวแม่ตีเลยเจ้าแอมป์หนิ”
“อ๊ะ คุณพ่อช่วยแอมป์ด้วยค่ะ” เธอเอียงหลบหาคุณพ่อของเธอ ชายวัยกลางคนหน้าตาท่าทางใจดีอมยิ้มอ่อนโยน
“คุณก็ตักให้เจ้าแอมป์ด้วยสักช้อนสิ ลูกน้อยใจเดี๋ยวร้องไห้ขึ้นมาทำไง”
“คุณพ่ออ้ะ แอมป์ล้อคุณแม่เล่นหรอกค่ะ ใครจะไปร้องไห้กัน แอมป์โตแล้วนะ ไม่ใช่เด็กๆสักหน่อย..” ท่านหันมองลูกสาวตัวเองแล้วก็ส่ายหัวขณะที่เอสขำกับท่าทีงอนๆของพี่สาว พี่แอมป์ขี้เล่นแบบนี้เสมอ วันนี้เขากลับมาเธอคงจะดีใจเกินไปทั้งคุณพ่อคุณแม่และเธอกระเซ้ากันหลายรอบมาก
“เอสทานข้าวก่อนลูก ขาเราเป็นยังไงมั่ง พักนี้คุณหมอบอกว่าเอสไม่ได้เข้าไปตรวจดูนานแล้ว มันโอเคแล้วใช่ไหม”
“ไม่เป็นไรแล้วครับคุณแม่ ผมคิดว่ามันหายแล้วนะ” เพราะอุบัติเหตุเมื่อสองปีก่อน ทำให้ต้นขาเขามีปัญหาเรื่องกระดูกนิดหน่อย คุณแม่ยังห่วงเรื่องนี้อยู่มาก ทั้งที่จริง ๆ มันก็ดีขึ้นมาเยอะมากแล้ว เอสคิดว่าถ้าไม่เจอแคปเตะมาที่สนามมวยก่อนหน้านั้นมันจะไม่ค่อยเจ็บเลยด้วยซ้ำ
“หายแล้วก็ดี ทานข้าวเถอะลูก พ่อกับแม่ก็ห่วงกลัวว่าเอสจะยังเจ็บอยู่”
“ไม่หรอกครับ พักหลังผมเล่นกีฬาตลอด ไม่ค่อยเจ็บแล้วล่ะ” เธอยิ้มบางตักอาหารวางลงให้ลูกชายเพิ่มอีก ขณะที่คุณพ่อของเขารับเอาแก้วไวน์ทรงสูงที่ถูกจัดเตีรมไว้ให้ยกขึ้นขอแตะแก้วกับลูกชายคนโปรด
“แล้วเรื่องเรียนเป็นยังไงบ้าน ไม่กลับบ้านหลายเดือนทั้งที่อยู่ใกล้กันแค่นี้เอง ติดเพื่อน ติดหนังสือ หรือติดเมียล่ะหื้ม..”
“โหคุณพ่อครับ..”
“คุณนี่พูดอะไรคะนั่น..” คุณแม่ร้องปราม คุณพ่อเขาก็แค่อมยิ้มจิบไวน์สบายใจ ไม่ต่างกับเอสทั่นั่งสบาย ๆ จิบไวน์ในแก้วของเขาเช่นกัน
“คุณแม่คุณพ่อแอมป์รู้ค่ะ น้องน่ะ มีแฟนแล้ว” เสียงสดใสฝั่งตรงข้ามดังขึ้น เอสซึ่งนั่งข้างคุณแม่ของเขาจ้องเธอ
“แอมป์ใจเย็นลูก ลูกชายแม่มีแฟนตั้งแต่อยู่มัธยมสี่อันนี้แม่รู้มานานแล้วนะ”เธอตักเนื้อปลาราดพริกตัวโตๆวางใส่จานให้สามี
“ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อยคุณแม่อ่ะ แฟนเจ้าเอสคนนี้ถึงขนาดพาไปให้แอมป์ดูตัวเลออออ”
“พูดมากน่าพี่แอมป์..” เอสปรามเสียงดุ แต่เธอจะไปกลัวได้ยังไง
“อ้าว ต้องพูดให้มากๆสิคุณแม่กับคุณพ่อจะได้รู้ด้วยไง”
“แล้วเขาเป็นคนยังไงล่ะ นิสัยดีไหม สวยรึเปล่า..” คุณพ่อเอ่ยขึ้นไม่จริงจังนัก ด้วยว่าท่านก็แค่หาเรื่องมาคุยกับลูกๆ ท่านยกไวน์สีแดงขึ้นจิบอีกครั้ง บางทีการได้ใช้เวลาว่าง ๆ ระหว่างทานข้าวพูดคุยเรื่องต่าง ๆ ของลูกก็เข้าท่าดี ครอบครัวที่นานๆจะมีเวลาพร้อมหน้าพร้อมตาสักที
“โอ๊ยไม่สวย....”
“หยุดเลยยัยแอมป์ให้น้องพูดเอง” คุณแม่ปรามเบา ๆ เธอส่งสายตาถามเอส เขาได้แต่ส่ายหัวถอนหายใจเฮือกใหญ่ๆว่าจะไม่ตอบ แต่สายตาสามคู่ต่างก็จ้องเขาหนักหน่วง
ในที่สุดเอสก็ยอมเอ่ยปาก “นิสัยก็งั้นๆ ที่สำคัญห่างไกลคำว่าสวยมากเลย”
“อ้าว ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะลูก..” คุณพ่อเขาถามขึ้นในทันที วางแก้วไวน์แทบไม่ทัน ได้ยินข่าวมาเหมือนกันสาวแต่ล่ะคนที่ลูกชายเขาควงสวยมาก แต่ถึงจะไม่สวยนิสัยก็ควรจะดีมากๆ แต่นี่เอสกลับบอกงั้นๆ?
“ช่วยไม่ได้นี่ครับคุณพ่อ ก็...รู้สึกดีๆกับเขาไปแล้ว” เอสไหวไหล่ตักกุ้งผัดเปรี้ยวหวานมาใส่จานแล้วกินต่อ คุณพ่อกับคุณแม่หันมองหน้ากัน
“นิสัยงั้นๆ หน้าตาห่างไกลคำว่าสวย แล้วแบบนี้มันจะดีเหรอลูก”คุณแม่ถามขึ้นหน้าเจื่อนๆ
“ก็พอได้ครับ” เอสตอบเรียบๆ
“เอสมันชอบของมันแบบนั้น แต่แอมป์ว่าน้องเขาน่ารักนะคะแม่ เคยคุยกันแล้ว”
“จริงเหรอแอมป์” เธอเอ่ยถาม
“จริงค่ะคุณแม่”
“ผมยาวหรือผมสั้น” เธอซักต่อ
“ผมสั้นๆ ทะมัดทะแมง”
“แบบนั้นก็ดีสิ แม่ชอบเลยนะ”
“แอมป์ก็ชอบ แล้วก็เชื่อว่าถ้าน้องอุ้มเห็นน้องอุ้มก็ต้องชอบ” อุ้มเป็นน้องสาวคนเล็กของครอบครัว เรียนอยู่ที่ต่างประเทศตั้งแต่สองปีที่แล้ว ตอนนี้เธอเพิ่งเริ่มเข้าเรียนปริญญาตรีปีแรก
“เอสล่ะลูก มั่นใจไหมกับคนนี้”
“ยังไม่ผ่านโปรเลยครับแม่ แต่ผมก็รู้สึกดีกับเขามากนะ”
“โปรเปออะไรกัน คนนะไม่ใช่ฝึกงานถ้าเขาได้ยินเสียใจหรอก” เธอท้วงติง เอสก็แค่ยิ้มๆ
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับแม่ ก็แค่กำลังดูๆอยู่”
“โปรของมันสองเดือนค่ะแอมป์รู้ ที่ผ่านมายังไม่มีใครผ่าน” เธอทำมือเป็นเครื่องหมายกากบาท เอสจ้องหน้าพี่สาวเป็นเชิงต่อว่า ว่าเธอทำเป็นรู้ดี แอมป์ส่งยิ้มรู้ทันน้องชายตัวเอง ก็เธอรู้จริงๆ
“ถ้ามั่นใจกับคนไหนก็ค่อยแนะนำพ่อกับแม่บ้างก็แล้วกัน กลับบ้านบ่อยๆ พาเขามาทานข้าวที่บ้านเราบ้างก็ได้ ถ้าเขาไม่ถือก็ให้มานอนค้างคืนกับพี่แอมป์ก็ได้นี่ลูก”
“เฮ้ย! ไม่ได้หรอกครับแม่” เอสรีบร้องออกมาอย่างแรงเลย ลืมตัวเอ่ยคำว่าเฮ้ยอย่างแรง ขณะที่แอมป์นี่ถึงกับทำช้อนตก แม่บ้านรีบเอาเข้ามาเปลี่ยนให้แทบไม่ทัน
“ใช่ค่ะไม่ได้เด็ดขาดไม่ได้แน่นอน” แอป์ย้ำหนักแน่น เธอส่ายหน้าจนปากเธอสั่นเมื่อนึกถึงว่าแคปแมนออกขนาดนั้นจะมานอนค้างที่เตียงเดียวกับเธอได้ยังไง ดีไม่ดีถ้าไม่รู้ว่าเป็นใครเธอยังจะตกหลุมรักหนุ่มน้อยได้ง่ายๆ
“อะไรของพวกลูกเนี่ย..” คุณพ่อกับคุณแม่มองหน้ากันแล้วส่ายหัว คิดว่าลูกๆสองคนของท่านคงเล่นอะไรกันสักอย่าง แอมป์กับเอสอายุห่างกันมากก็จริงแต่ค่อนข้างสนิทกันมากกว่าอุ้มซึ่งเป็นน้องคนสุดท้อง เพราะว่าเอสเป็นน้องชายตัวเล็กที่เกิดมาแอมป์ก็เก้าขวบแล้วเพราะงั้นเธอจึงค่อนข้างรักและเอ็นดูเอสมาก ๆ เล่นกันราวกับคนอายุไล่เลี่ย แอมป์ชอบทำงาน เป็นหญิงมั่นจนบัดนี้ยังหาแฟนเป็นตัวเป็นตนไม่ได้ แต่พ่อกับแม่ของครอบครัวนี้ยึดเอาความสบายใจของลูกๆเป็นที่ตั้ง ไม่มีการบังคับหรือกะเกณฑ์เวลา ถึงจะมีธุรกิจการงานใหญ่โต แต่ทั้งสองคนจะหาเวลาและทำตัวสนิทสนมกับลูกๆเสมอ
คุณแม่เอสเป็นผู้หญิงทำงานผมยาวสวย อายุเพิ่งจะย่างเข้าสู่วัยกลางคนเท่านั้น เอสมีหน้าตาถอดแบบมาจากทางครอบครัวคุณแม่ของเขาทั้งหมด จมูกโด่งมากผิวขาวเนียนสวย มีรอยยิ้มฟันกระต่ายชวนละลาย แต่รูปร่างสูงใหญ่ได้คุณปู่ โดยรวมแล้วแล้วอาจจะเรียกได้ว่า เอสผู้ชายที่มีใบหน้าสวยมาก ผิวขาวและโดดเด่นยิ่งกว่าผู้ชายธรรมดาในขณะที่นิสัยกลับเหมือนคุณพ่อของเขาคือไม่ค่อยพูดมากนักติดจะเท่และเด็ดขาด ขณะที่แอมป์เป็นสาวห้าวมั่นๆส่วนน้องอุ้มนั้นน่ารักและสวยสมวัย
“เดี๋ยวทานข้าวกันเสร็จ เอสขึ้นไปคุยงานกับคุณพ่อนิดนึงนะลูก ส่วนแอมป์เดี๋ยวไปช่วยแม่เลือกเครื่องเพชรสักหน่อย ว่าจะสั่งเซ็ทใหม่มาเก็บไว้ให้น้องอุ้ม เราต้องไปช่วยเลือก” แอมป์พยักหน้าตอบรับขณะที่เอสหันไปคุยกับคุณพ่อของเขา
“คุณพ่อมีอะไรรึเปล่าครับ..”
“พ่อจะเพิ่มหุ้นของโรงแรมให้เอสได้ถือครองเพิ่มขึ้น จำเป็นที่ลูกต้องเซ็นต์ยืนยันรับรู้ แล้วยังเอกสารเรื่องเงินปันผลต่าง ๆอีก รีสอร์ทที่ปราณบุรีคุณแม่เขาก็เพิ่งไปจัดการมา พ่อจะให้เอสลงชื่อเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ไว้เลย ตอนนี้พ่อกับแม่จะดูแลให้ก่อน ไว้เอสเรียนจบจะได้ออกมาทำต่อได้ทันที เพราะงั้นหลังจากนี้ไปถ้าอาทิตย์ไหนที่มีประชุมผู้บริหารเอสจะต้องเข้าพร้อมพ่อเพื่อให้ทุกคนได้รู้จักลูกไว้ รออีกแค่สองปีเรียนจบแล้วออกมารับงานตรงนี้ไปเลย”
“...........”
“เป็นอะไรน่ะเรา” คุณพ่อเขาเห็นลูกชายเงียบไปจึงถามขึ้น เอสหยิบแก้วไวน์ขึ้นจิบ
“ผมกำลังคิดว่า มันเร็วไปรึเปล่า” เอสเงยหน้ามองคุณพ่อของเขา ขณะที่คุณแม่ซึ่งนั่งข้าง ๆ ถึงกับเอามือมาลูบแผ่นหลังของลูกชายเบาๆ
“มันอาจจะดูเหมือนเป็นภาระเพราะว่าลูกยังเด็ก แต่มันจะเป็นต้นทุนชีวิตที่ค่อนข้างได้เปรียบคนอื่นมากๆ เพราะทันทีที่ลูกเรียนจบ ลูกจะมีทุกๆอย่างอยู่ในมือ สามารถเข้าบริหารกิจการของตัวเองได้เลย ลูกต้องอดทนทั้งเรื่องเรียนเรื่องงานนะลูกนะ”
“ครับคุณพ่อ”
“เอสโอเคนะลูก ไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม ปีสามแล้วพร้อมรึเปล่า”
“ครับคุณพ่อ ลองดูก็ได้ ผมจะทำเต็มที่” คุณพ่อเขายิ้มอ่อนเมื่อลูกชายรับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะ
“ขึ้นไปกันเถอะค่ะคุณ ดึกแล้วเผื่อลูกง่วงนอน เดี๋ยวฉันให้เอสดูแปลนรีสอร์ทอีกที คุณพ่อเขาให้เลขาจัดเตรียมมาไว้ให้ ลูกอยากเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมจุดไหนก็มาร์คลงไป จำไว้ว่ามันเป็นของลูก เลือกทุกอย่างในแบบที่ลูกชอบ คิดว่านั่นคือบ้านหลังเล็กๆของเราคนที่มาพักเขาก็จะรู้สึกดีรู้สึกอบอุ่นไปด้วย แอมป์ขึ้นไปช่วยน้องดูด้วยนะลูกนะ”
“ค่ะคุณแม่” แอมป์ตอบรับ ขณะที่คุณแม่พยักหน้าให้ ก่อนที่เอสจะลุกเดินตามหลังคุณพ่อเขาไป แอมป์ดึงๆสะกิดเรียกน้องชายตัวเอง
“ทำไมไม่บอกพ่อกับแม่ไปเลย เรื่องน้องแคปนั่นน่ะ”
“ไว้ก่อน”
“อะไรคือไว้ก่อน”
“เดี๋ยววันหลังพามาเองเลย” เอสหันไปบอก เรื่องธุรกิจของครอบครัวเขาค่อนข้างชินแล้ว กลับบ้านทีไรพ่อกับแม่ก็ลากไปคุยเรื่องกิจการงานของที่บ้านตลอดอยู่แล้ว ไม่ใช่แค่เขาหรอก พี่แอมป์ยิ่งแล้วใหญ่ งานเธอเยอะกว่าที่เห็นเป็นสิบ ๆ เท่าถึงอย่างนั้นสองพี่น้องก็ยังคุยหยอกกันได้
“จริงดิ?”
“อือ” เอสพยักหน้าเดินขึ้นบันได แอมป์เองก็เดินตีคู่อยู่ข้าง ๆ
“กับคนนี้แน่ใจแล้วนะ เขารู้รึเปล่าว่าครอบครัวเราเป็นยังไง แกเคยบอกเขาไหม”
“ไม่เคย เขาไม่เคยถาม”
“ตายล่ะ ถ้าเขารู้ว่าพวกเรามีมากขนาดนี้เขาจะไม่วิ่งหนีแกเรอะ”
“ก็กลัวอยู่”
“จะบอกเขาป่ะล่ะ”
“ยังก่อน ไว้ผ่านโปรเมื่อไหร่เดี๋ยวพามาเลย ถึงตอนนั้นคงรู้เอง” เอสหันไปพูดยิ้ม ๆ ความจริงไม่ใช่เรื่องผ่านโปรหรืออะไรหรอก เขาก็แค่รู้สึกว่ามันยังเร็วไปหน่อย
“สองเดือนเนี่ยนะ”
“อาจจะเร็วกว่านั้น แต่ไม่แน่หรอก ดูก่อนถ้าเบื่อก็จบ”
“เลวว่ะ คำตอบของผู้ชายเลวๆ”
“ก็ถ้าไม่ทำให้รู้สึกเบื่อแสดงว่าผมก็รักของผมจริงๆอ่ะแหละ ถึงตอนนั้นก็มั่นใจได้เลยว่าใช่ตัวจริงแน่ ๆ” ถ้าทางนั้นจะยอมให้เขาเป็นตัวจริงของมันด้วยน่ะนะ
“แล้วตอนนี้เริ่มเบื่อยัง”
“...............” เอสพ่นรอยยิ้มแล้วส่ายหัวแทนคำตอบ ถามว่ารู้สึกเบื่อยังงั้นเหรอ ตอบได้แบบเต็มปากเต็มคำ แคปเป็นแฟนคนแรกที่ทำให้เขาไม่รู้สึกว่าเบื่อเลยแม้แต่ครั้งเดียว! คนแบบมันมีแต่คำว่าท้าทาย ปากดีๆแบบนั้นด่าทีไฟแทบลุก มือก็หนักตีนก็หนัก นี่ยังไม่นับว่าคบกันมาหนึ่งเดือนเขาเพิ่งได้ฟัดมันจริงๆจัง ๆ แค่ครั้งเดียว แบบนั้นดูเหมือนน่าเบื่อใช่ไหม แต่เปล่าเลยแต่เขากลับคิดว่าทั้งหมดที่เป็นมันน่ารักดีซะงั้น คิดแล้วแปลกใจตัวเองเป็นบ้า
คืนนั้นเอสคุยงานอยู่กับคุณพ่อคุณแม่และพี่สาวของเขายาวจนถึงเที่ยงคืนกว่าจะได้เข้านอนที่ห้องนอนส่วนตัวของเขาตั้งแต่เด็กๆ นานมากแล้วที่ไม่ได้เข้ามาใช้ห้องนี้ แต่ทุกอย่างยังคงเป็นระเบียบสะอาดเรียบร้อยเหมือนเดิม เอสทิ้งตัวนอนลงที่เตียงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา สิ่งแรกที่คิดกลับเป็นใบหน้าของคนที่ขยับปากเป็นด่าเขาอยู่ตลอด เอสระบายรอยยิ้มบางออกมา ดึกป่านนี้คิดว่าแคปอาจจะยังไม่นอน ชั่งใจจะโทรหาดีไหม แต่เสียงโทรศัพท์เขาดันดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน กลายเป็นชิพที่โทรเข้ามาบอกว่าพรุ่งนี้จะแวะไปเอางานด้วย
“กี่โมงวะ” เอสถาม
(สายๆอ่ะ)
“งั้นแวะไปเอาที่ห้องไอ้แคปนะ ถามไอ้บุ้งก็ได้มันรู้จักอยู่”
(มึงอยู่ห้องแฟนมึง?)
“เปล่า ตอนนี้อยู่บ้าน แต่พรุ่งนี้น่าจะอยู่ที่นั่น”
(จริงดิ)
“ถามมากน่า จะนอนแล้ว” คนตอบตาปรือๆ หาวหวอดออกมา
(พรุ่งนี้ให้กูแวะไปเอาที่ห้องไอ้แคปแน่นะ มึงจะกลับไปทันเหรอวะ)
“ทันสิ”
(อือๆ นอนซะพรุ่งนี้เจอกัน) ชิพตอบเออๆกลับมาขณะที่ไม่มีอะไรแล้วเอสจึงวางลงไป เขาตั้งปลุกไว้เร็วหน่อยจากนั้นนอนเลย
.
.
“เย้ย!!” แคปร้องขึ้นอย่างดังสะดุ้งโหยงดีดตัวลุกขึ้นนั่งเมื่อเห็นว่าเป็นใครที่นอนกอดเขาอยู่ แสงสว่างยามเช้าลอดผ่านมาจากม่านหน้าต่างสีครีมสวย แยงในตาให้เขารู้สึกตัวตื่น และพอตื่นขึ้นมาก็ต้องร้องขึ้นเสียงหลง เอสกลับมานอนอยู่ข้างเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ตอนไหน เพราะมันกลับบ้านไปเมื่อคืนแล้วแน่ ๆ
“อือ..” เอสพึมพำในคอ ดึงแขนแคปบอกให้นอนลงต่อ แต่แคปไม่สนใจขยับออกท่าเดียวกวาดตามองกองเสื้อผ้าที่ไอ้คนนอนคงถอดกองเอาไว้ก่อนขึ้น
“มึงเข้ามาได้ไงห๊ะเนี่ย..” แคปถาม ขณะที่หันกลับมามอง เอสคว้าเอาหมอนใบใหญ่ข้างตัวมากอดไว้แล้ว
“เพื่อนมึงเปิดให้อ่ะ” เสียงทุ้มตอบงัวเงียตาหลับฟังไม่ได้ศัพท์
“แล้วมาตั้งแต่เมื่อไหร่ นานหรือยัง” แคปคิ้วขมวด โมโหตัวเองนิดๆโดนมันนอนกอดมาทั้งคืนไม่รู้เรื่องเหี้ยไรเลยบ้าฉิบ ไอ้นิสัยนอนหลับแล้วตื่นยากของเขาเนี่ยมันน่าโมโหนัก
“ตีห้า ง่วงว่ะนอนก่อนนะ” เอสอือๆอาๆต่อจากนั้นก็หลับปุ๋ยลงไป แคปถอนหายใจยาว ๆ เสยผมลวก ๆ ชูไม้ชูมือบิดขี้เกียจ มองคนที่นอนหลับตานิ่งไม่ยอมตอบ เขาลุกขึ้นคว้าโทรศัพท์มือถือเป็นอันดับแรก ไม่รู้เป็นอะไรติดนิสัยไปไหนก็ต้องติดตัวไปด้วย ตากลมๆยืนมองไอ้ตัวดีหลับไม่รู้เรื่อง มาถึงนี่ตีห้าแสดงว่ามันออกจากบ้านตีสี่กว่าๆดึกมากเลยนี่หว่านั่น แคปมองดูเวลาเกือบๆจะสิบโมงแล้ว ไม่รู้ไอ้ปอออกไปไหนรึเปล่า เขาเข้าไปล้างหน้าล้างตาจากนั้นเดินออกไปหาน้ำผลไม้เย็นๆกินให้ชื่นใจ
“ไอ้ปอ ตื่นยังวะมึง..” แคปเปิดผั๊วะห้องปอเข้าไปเอาแบบไม่ต้องเคาะ ปากคาบหลอดดูดน้ำผลไม้จากกล่องไว้ด้วย เห็นมันตื่นแล้วนอนดูการ์ตูนโคนันอยู่
“ตื่นแล้วดิ แฟนมึงล่ะ” ปอเหลือบมองคนที่กำลังเดินเข้ามา
“นอนอยู่อ่ะ มันมาตอนไหนวะ”
“..............”
แคปกระโดดขึ้นไปนอนข้างเพื่อนตัวเอง ปากยังคาบหลอบดูดๆต่อ ตามองทีวี ปอเบนสายตามาจ้องแคปนิ่งเลย “เดี๋ยวนี้ยอมรับแล้วสิว่าไอ้เอสนั่นเป็นแฟนมึงน่ะ”
“มันไม่ใช่แฟนกูไอ้สัส” แคปเถียงขึ้นทันที ลุกขึ้นทำหน้ายุ่ง ๆ ขณะที่ปออมยิ้ม
“ไม่ใช่แล้วใครตอบกูล่ะวะเมื่อกี้”
“กูก็แค่รำคาญ พวกมึงเหมาไปเองว่ามันมีสถานะเป็นอะไรกับกู ก็แค่คำเรียกแทนตัว เป็นหรือไม่เป็นมันอยู่ที่กูคิดนี่เว้ย ไม่เกี่ยวกับคำเรียกขานหรอก มึงดูแนวปฏิบัติสิวะ กูบอกว่าไม่ใช่ก็คือไม่ใช่”
“อ่อครับๆกูเข้าใจครับเพื่อน..” ปอพยักหน้าทำเสียงประชด แนวปฏิบัติของคนที่ไม่ใช่แฟนกัน แต่มานอนค้างด้วยกันเกือบทุกวัน ขนาดกลับบ้านยังรีบกลับมาหา แคปตวัดสายตาเขียวปั๊ดมองก่อนเอาหมอนฟาดหัวไปแรง ๆ โทรศัพท์แคปสั่นดังขึ้น
“นี่หลับตาคุยอยู่นะ นอนยังไม่ตื่นเลยเหอะห้าววววว” แคปแกล้งทำเสียงงัวเงียอำคนที่ปลายสาย เป็นพี่ชายเขาที่โทรเข้ามาหา
(ไปหัดโกหกมาจากไหนคาปู)
“ผมไม่ได้โกหกอ่ะ”
(กูคงเชื่อมึงแหละ เสียงการ์ตูนดังออกมาซะขนาดนั้น อย่าบอกนะว่ามึงแค่นอนเอาหูฟัง ไม่ได้เปิดตาดู)
“เฮียเต้ใจร้ายว่ะ โทรมาแต่เช้าทำไมล่ะ ถ้าผมยังไม่ตื่นจะทำไง”
(ตื่นแล้วดิ คาปูเด็กดีตื่นแล้วใช่ไหม) เต้แกล้งทำเสียงอ้อนน้อง
“หึหึหึ..ตลกว่ะ” แคปขำ ฟาดมือลงที่ท้องปอเสียงดังอึ่ก ปองงเลยสิหันมาจ้องหน้าตาเขียว
(กูพี่มึงนะไอ้แคป ขำเหี้ยไรนักหนา)
“ครับๆ ว่าแต่พี่เต้โทรมามีไรรึเปล่า”
(อาทิตย์นี้กลับบ้านด้วย)
“ทำไมอ่ะ เฮียโก้ไม่ได้โทรหาผมนี่ อาฟี่ก็ยัง..”
(พ่อโทรหากูเมื่อเช้าบอกบริษัทที่มึงส่งเดโม่ดีเจเข้าไป เขาติดต่อมาที่บ้านว่ะ)
“โห ตั้งแต่ปีที่แล้วอ่ะนะ” แคปหูผึ่งลุกขึ้นนั่งดี ๆ ซัมเมอร์ปีที่แล้วไม่มีอะไรทำเห็นบริษัทที่ทำเกี่ยวกับรายการวิทยุเปิดรับสมัครดีเจหน้าใหม่ อาร์มันนึกสนุกบอกว่าเสียงแคปเพราะ สองคนเลยนั่งอัดเดโม่ใส่แผ่นแล้วส่งไป ปรากฏว่าหายต๋อมไปเกือบปี ไม่รู้ทำไมจู่ๆถึงเรียกมา
“อือ เฮียโก้บอกว่าถ้ามึงจะทำอาฟี่จะพาไปเซ็นต์สัญญา อาทิตย์นี้ให้กลับบ้านด้วย”
“อ่า ครับ แล้วพี่เต้กลับไหม”
“กลับสิวะ อ้อ ไอ้ตุนมันชวนกูกับมึงไปกินข้าวด้วย ศุกร์นี้ว่างป่ะวะ”
“ไม่ว่างอ่ะ ช่วงนี้ผมมีเปเปอร์งานวิจัย ยุ่งมาก ”
(โอเคงั้นไว้คราวหลังเดี๋ยวกูบอกมันค่อยนัดกันอีกที แค่นี้ก่อนนะไอ้รัฐมันมองกูตาเขียวแล้ว นึกบ้าอะไรของมันไม่รู้บอกจะทำกับข้าวให้กินกูต้องพามันไปตลาดอีกเนี่ย เจอกันที่บ้าน)
“ครับพี่” แคปกดวางสายลง ปอที่นอนฟังด้วยตลอดอยู่แล้วเลนหน้ามอง แคปเลยเล่าแบบคร่าวๆให้ฟัง ปอก็เออๆออๆ เขาสองคนนอนดูทีวีกันต่อไป แต่ก็ได้แค่นิดเดียวเสียงกดกริ่งดังดันขึ้นมาจากหน้าห้อง
“ใครมาวะ” ปอหันไปถาม แคปส่ายหัวบอกไม่รู้
“ไอ้อาร์มั้ง มึงลุกไปเปิดดิ๊..” แคปลุกขึ้นคว้าเอากล่องน้ำผลไม้ออกไปทิ้งที่ครัว จากนั้นเดินไปเปิดประตูหาวหวอดออกมาซ้ำยังสอดมือเข้าไปเกาพุงขาวเนียน หัวเหอยุ่งยังไม่ผ่านการหวี
“.....!!!??!??!!.......”
“.....!!!??!??!!.......”
ต่างคนต่างตกใจในการปรากฏตัวของอีกฝ่าย แคปถึงกับอ้าปากหาวค้างกลางอากาศคิ้วกระตุกหงึกๆเมื่อเห็นว่าเป็นใครบ้างที่ยืนรอเข้าห้องเขาอยู่ ขณะที่ฝ่ายผู้มาเยือนอย่าชิพบุ้งและเมี่ยงก็ยืนชะงักนิ่ง เพราะหน้าตาทั้งยุ่งทั้งโหดของเจ้าของห้อง
“มา-หา-ใคร??” แคปถามเสียงเย็นเฉียบคิ้วยังกระตุกอยู่ไม่หยุด รู้อยู่เต็มอกว่าไอ้พวกบ้านี่มาหาใคร ก็แล้วจะให้เขาทำหน้าตาแบบไหนกันล่ะวะ ไอ้ตัวซวย ไอ้บ้าเอส ไอ้ๆๆๆๆๆ โอ๊ยยยยยกูอยากจะด่ามันให้ตายห่าไปเลยแม่ง วันนี้กูเสียหน้าแบบไม่ต้องหาที่เก็บซ่อนอีกแล้วแน่ ๆ สัสเอ๊ย แคปอยากจะยกมือขึ้นมาขยี้หัวแทบตายแต่ต้องเก็กสีหน้าเรียบและเฉยไว้ก่อน
“ไอ้เอสมันบอกให้กูมาเอางานกับมันที่นี่ มันอยู่รึเปล่า” บุ้งเดินแทรกมาจากด้านหลัง เมี่ยงเลยต้องหลบไปอยู่หลังชิพแทน แคปจ้องหน้าสามคนสลับไปสลับมา ในที่สุดยอมเปิดประตูออกให้แบบกว้าง ๆ เขาเดินนำแขกผู้มาเยือนเข้าไป
“มันนอนอยู่ในห้องนั่นน่ะ มึงเข้าไปเรียกเองเหอะ กูจะไปนอนต่อแล้ว” แคปพูดหงุดหงิดเสียไม่ได้ บุ้ยใบ้บอกว่าเอสอยู่ที่ห้องไหน ส่วนตัวเองจะเดินกลับไปห้องปออย่างเดิม กำลังคิดว่าไปเรียกไอ้ปอออกมารับแขกท่าจะดี เขาทำตัวไม่ค่อยถูก ยิ่งไอ้สายตาของไอ้เพื่อนตัวเล็กๆที่ชื่อเมี่ยงมองสำรวจเขายิ่งไม่ชอบเอาซะเลย
“แล้วมึงไม่ได้นอนอยู่ห้องเดียวกับมึนรึไง มึงบอกมันนอนห้องนั้นไม่ใช่เหรอ..” เมี่ยงโพล่งถามขึ้นมา ทั้งชิพทั้งบุ้งต่างหันมอง
“กูจะไปนอนห้องเดียวกับมันทำไม มันอยากนอนห้องนั้นก็ให้มันนอนไปสิ กูนอนกับเพื่อนกูอยู่ห้องนี้ต่างหาก..” แคปโกหกคำโตมากจริง ๆ เขาแอบเห็นว่าไอ้เตี้ยนั่นมันผุดรอยยิ้มขึ้นมี่มุมปากเล็กๆด้วย
เหอะ ความจริงกูอยากจะบอกอยู่หรอกว่ามันนอนแก้ผ้ากอดกูโน่นแหละ แต่ก็นะ ศักดิ์ศรีมันค้ำคอกูอยู่
“เข้าไปเรียกเอาสิ กูไปนอนต่อล่ะนะ” แคปต่อรูปประโยคให้คำโกหกดูมีน้ำหนักมากยิ่งขึ้นไปอีก เมี่ยงลุกขึ้นเลย กำลังจะเดินไปหาเอสที่ห้องตามที่แคปชี้บอก
“ใครมาวะแคป เสียงดังอะไรกันน่ะ..” ปอเดินออกมาดู พอเห็นว่าเป็นใครบ้างที่นั่งหน้าสลอนอยู่ที่โซฟา เขาหันมองแคปทันที
“...........”
“...........”
“เพื่อนแฟนมึงมา?” แคปกระโดดอุดปากคนพูดแทบไม่ทัน แต่ปอก็ยังจะพูดต่อ “เข้าไปเรียกแฟนมึงดิ” แคปถลึงตาใส่อีกรอบ ส่งเสียงกระซิบกระซาบขู่ “มึงจะพูดเสียงดังทำไมวะห๊ะไอ้ปอ ช่างแม่งเหอะให้มันเข้าไปปลุกกันเอง!”
“แต่นั่นมันห้องมึง ให้คนไม่รู้จักเข้าจะดีเรอะ?”
“ไอ้หมาปอ!” แคปตะคอกเสียงแหบ ๆ เพราะกลัวว่าพวกที่มาจะได้ยิน ลากปอไปติวกันตัวต่อตัว บอกเรื่องที่โกหกออกไป ปอพยักหน้าบอกเออๆ
“มึงเข้าห้องมึงไปเดี๋ยวกูตาม ปล่อยพวกนี้ไว้นี่แหละ กูขี้เกียจเทคแคร์เดี๋ยวไอ้เอสออกมาจัดการเพื่อนมันเองแหละ”
“แบบนั้นดีเหรอ?” ปอทำท่านึก แคปจึงพยักหน้าบอกแบบนั้นแหละดีมากๆ เขาก็เออๆจากนั้นเดินเข้าห้องไป
“มากันแล้วเหรอวะ ฮ้าวววววววว” เอสเดินโทง ๆ ออกมา เพื่อนสามคนมองกันจนตาค้าง แคปนี่อยากจะเดินเข้าไปฟาดหัวกะโหลกมันนัก บ้ารึไงเสื้อไม่ใส่ไม่ว่าแต่ไอ้ท่อนล่างแบบที่มีแค่บ๊อกเซอร์รัดๆนี่ขอเถอะมันไม่น่าดูสักนิดให้ตาย
“ไอ้เหี้ยเอส มึงแม่งอยู่ที่ไหนนอนแบบนี้ตลอดเลยรึไงวะ” เมี่ยงโพล่งขึ้นมา ถ้าเป็นเมื่อก่อนเอสคงเดินเข้าไปวางมือบนหัวเล็กแล้วนั่งลงข้าง ๆ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แบบนั้นแล้ว เพราะเอสเดินเลี้ยวเข้ามาหาแคปที่ครัวคว้าเอวไว้แล้วบอกหาอะไรให้เพื่อนเขากินหน่อยเดี๋ยวแต่งตัวเสร็จจะออกมา
“เรื่องอะไรกูต้องทำ เพื่อนมึงๆจัดการเอาเองสิวะ!” แคปขยับออก แต่อีกคนก็แค่ขยับตาม
“เทคแคร์ให้หน่อยน่า มึงเป็นแฟนกูนะ”
“กูไม่ใช่แฟ-....” แคปกำลังตาเหลือกขึ้นจะด่าต่อแต่เจอเอสส่ายหัวบอกขอไว้ก่อน เดี๋ยวเอางานให้เพื่อนเสร็จทุกคนก็จะกลับเพราะงั้นหยุดทะเลาะไว้ก่อน
“แค่น้ำก็ได้ เดี๋ยวกูออกมา” เอสบอกต่อเรียบ ๆ มองหน้าแคปแกมขอร้อง คนฟังถึงกับถอนหายใจ
“ก็ได้กูจะทำให้ แต่ดูแลในฐานะเจ้าของห้องนะ ไม่ใช่ในฐานะแฟนมึง” ไอ้ตรงคำว่าแฟนแคปเขย่งขึ้นไปพูดชิดที่ริมหูคนตัวสูงเบา ๆ เอสก็แค่จ้องหน้า
“ตามใจเหอะ” เขาว่าจบเดินไปบอกเพื่อนว่าเดี๋ยวออกมา ดูทีวีรออยู่นี่ พอเปิดทีวีให้เพื่อนเสร็จเจ้าตัวก็เดินเข้าห้องไป ทั้งชิพบุ้งและเมี่ยงมองหน้ากันเลิ่กลั่ก เกิดคำถามขึ้นในหัว เอสมันเดินออกมาจากห้องนั้นจริง ๆ ขณะที่เพื่อนแคปอีกคนเดินเข้าห้องอีกฝั่งทาง ไม่รู้จริง ๆ แล้วแคปมันนอนห้องไหน
“มึงว่ามันนอนห้องไหนวะ แฟนไอ้เอสน่ะ?” ชิพขยับไปกระซิบถามบุ้ง
“คำถามของมึงมีคำตอบอยู่แล้วนี่..” บุ้งหันไปตอบหน้านิ่ง แต่ชิพคิ้วขมวด
“อะไรของมึงวะ”
“ก็มันเป็นแฟนใครล่ะ แฟนนอนห้องไหนมันก็ต้องนอนห้องนั้นนั่นแหละ..” บุ้งหันไปผลักหน้าผากเพื่อนเบาๆก่อนเหลือบมองเมี่ยงที่นั่งฟังอยู่เงียบๆ ขณะที่แคปซึ่งอยู่ในครัวเปิดตู้เย็นออกดูว่ามีอะไรบ้าง เขาหยิบน้ำอัดลมแบบกระป๋องเย็นเจี๊ยบออกมาสามอันวางเรียงกันไว้ โค้กสองสไปร้ท์หนึ่ง กำลังจะเดินเอาออกไปให้ เห็นเอสเดินออกมาในชุดเรียบร้อยขึ้นนิดนึงพร้อมๆกับใบงานเอกสารในมือ มันเดินไปนั่งลงข้างไอ้เพื่อนตัวเล็กๆนั่นวางมือลงที่หัวแล้วขยี้เล่นเหมือนกับหยอก แคปนี่ชะงักขาไว้แทบไม่ทัน
“มึงอย่าแดกเลยไอ้สัส!” แคปเอากระป๋องสไปร้ท์ยัดคืนใส่ตู้ตึงตัง หยิบแก้วน้ำพลาสติกสีกะดำกะด่างเทน้ำไม่เย็นที่วางอยู่นอกตู้ใส่แก้ว แล้วเอาวางไว้แม่งทั้งอย่างนั้น เขายืนมองน้ำสองกระป๋องกับอีกหนึ่งแก้ว ไม่อยากเอาไปให้พวกมันเลยนี่หว่า เซ็งสุด
“แคป น้ำได้ยังวะ” เสียงเอสเรียกมา แคปยืนกอดอกหน้ามุ่ย เตะขาโต๊ะเบา ๆ สองทีคิดว่าจะสงบสติอารมณ์ ที่ไหนได้ยิ่งเตะยิ่งขึ้น
“ของกูสไปร้ท์นะ ไม่เอาอย่างอื่น” เมี่ยงรีบหันไปบอกเอส เพราะเขาเห็นแล้วว่าแคปถือโค้กอยู่ในมือ ขณะที่คนในครัวได้ยินแค่นั้นของขึ้นๆมาเลย ฟาดกระป๋องโค้กไปให้ไอ้คนตัวสูง ๆ ที่นั่งอยู่ริมก่อนเป็นคนแรก บุ้งลุกขึ้นรับเอาแทบไม่ทัน
“เฮ้ย! มึงโยนมาทำไมวะ” ชิพเองก็แทบไม่ได้ตั้งตัวเพราะเจอสายตาแคปล๊อคเอาไว้พร้อมกับกระป๋องโค้กอันที่สองลอยมาอยู่ในมือหวุดหวิด ชิพใจหายใจคว่ำ
“อ่อนว่ะอย่ามาทำป๊อด แค่รับกระป๋องเครื่องดื่ม เพื่อนกูทุกคนโยนให้กันแบบนี้ทั้งหมด รับแม่นไม่มีใครทำหน้าตื่นตกใจหรอก ” แคปว่าจบไม่สนใจจะเดินเข้าห้องบุ้งกับชิพนี่งงแดกไปเลย ขณะที่เมี่ยงกำลังนั่งงงว่าทำไมไม่มีของตัวเอง เอสส่ายหัวกำลังจะลุกมาเอาให้เองแต่แคปดันหันกลับมาทำตาเหลือกใส่ เขาเดินกลับมายืนหน้าตู้เย็นก่อนซะงั้น
“มึงจะแดกอะไร สไปร้ท์ไม่มี” แคปถามขึ้นเสียงขุ่น ๆ แสดงออกให้รู้ว่าหงุดหงิดเต็มที่ จ้องหน้าเอสตาเขียว แหม่ ถึงขนาดจะลุกมาเอาให้มันเองเดี๋ยวเหอะมึง! เดี๋ยว เดี๋ยว
“อะ...อะไรก็ได้” เมี่ยงตอบเบา ๆ เอสเหลือบมอง เขารู้ว่าแคปตั้งใจหาเรื่องขึ้นแล้ว ขณะที่แคปมองซ้ายมองขวา แก้วน้ำที่เทไว้นั่นขว้างไปคงไม่ได้เดี๋ยวจะลำบากหกราดต้องเช็ดอีก เขาจึงเปลี่ยนใจใหม่คว้าเอาขวดน้ำเปล่าไม่แช่ออกมา มองหน้าเอสที่กำลังยื่นหมอนอิงส่งให้เมี่ยงกอด แล้วทุกๆอย่างก็ไปไวกว่าความคิดเมื่อแคปเขวี้ยงไอ้ขวดน้ำที่อยู่ในมือส่งให้แรง ๆ คือแรงมากจนเมี่ยงรับไว้ไม่ทันแน่ๆ ไม่ต้องมองก็รู้ว่าจะโดนกลางหน้าผากกันเลย แต่มือเอสที่เร็วมากก็คว้าจับขวดน้ำนั้นไว้ได้ฉิวเฉียดปลายจมูกของเมี่ยงพอดิบพอดี คนตัวเล็กตกใจจนแทบช็อค เมี่ยงเบียดเข้าหาเอสแบบไม่รู้ตัว
“ทำอะไรวะแคป!” เอสลุกขึ้นมาดุใส่ แคปกอดอกยืนมอง สองคนจ้องหน้ากันและกัน เอสก้าวออกไปหาเลย
“เป็นอะไร” เขาถามอย่างสงสัย แต่สายตาคือดุเอาเรื่อง แคปผลักไหล่แกร่งออกแรง ๆ จะแทรกตัวออกไปเอสกระชากแขนแค่ครั้งเดียวแคปถลาเข้ามาซุกอก
“ไอ้สัส!” แคปตะคอกลั่น เอสกอดเอวเอาไว้แล้วอุ้มเลย เสียงด่าดังลั่นห้องไปหมด จนปอรีบวิ่งออกมาดู เพื่อนสามคนของเอสมองสองคนทั้งตีทั้งฟัดกันเป็นตาเดียว
“พอๆๆๆไอ้เหี้ยเอสพอ ปล่อยเพื่อนกูลงมาบ้าเอ๊ย..” ปอวิ่งเข้ามาดึงมือเอสบอกให้ปล่อยแคปลง เขายังรัดไว้อยู่เพราะแคปดิ้นมาก ถ้าปล่อยตอนนี้มีหวังโดนหมัดมันฮุกเข้าไม่ตรงใดก็ตรงนึงแน่ ๆ
“นิ่งก่อน แล้วกูจะปล่อย” เสียงทุ้มยังคงดุใส่ แคปยิ่งน้อยใจยิ่งกว่าเดิม
“กูไม่นิ่ง! ปล่อยกูลง ไอ้สัส อย่าให้กูหลุดไปได้นะมึง กูเกลียดมึงที่สุด รู้เอาไว้!!” แคปร้องด่าจนสุดแรง ในที่สุดหลุดลงมาจากเอสได้ เขารีบวิ่งเข้าไปที่ห้องปอปิดประตูเสียงดังปัง ไม่อยากเห็นหน้าไอ้คนบ้าตัวอันตรายคนใจร้ายที่ทำเขาเจ็บตัวเขียวไปหมด ปอเองก็รีบตาม
“แฟนมึงโหดเหี้ยๆเลยไอ้เอส..” ชิพลุกขึ้นมา ทุกคนก็ลุกขึ้นมาเหมือนกัน เมี่ยงยืนหลบอยู่ด้านหลังบุ้ง
“มันดุแบบนั้นแหละ” เอสเสยผมแล้วถอนหายใจ หยิบงานบนโต๊ะออกมายื่นอีกใบส่งให้เมี่ยง
“อันนี้กูทำไว้ให้ ไว้มึงค่อยไปขยายข้อความเอาเอง”
“อือ..” เมี่ยงก้มหน้าตอบเบา ๆ เขากำลังนึกน้อยใจอย่างที่สุด ไม่รู้ว่าไอ้แคปนั่นมันมีอะไรดี ร้ายขนาดนั้น ทั้งดุทั้งโหด เอาแต่ใจ ดื้อดึง แต่เอสมันยังหลงหัวปักหัวปำได้ ชิพเอื้อมมือมาตบลงที่บ่าเรียกให้เมี่ยงสะดุ้งตื่นออกจากภวังค์ความคิด
“งั้นพวกกูไปนะ เจอกันพรุ่งนี้” บุ้งเอ่ยขึ้นตอนที่เอสเดินออกมาส่งพวกเขาทั้งหมดที่หน้าลิฟต์
“ดูแลตัวเองดีๆนะมึง เมียดุขนาดนี้กูกลัวแทนมึงจริงๆว่ะเพื่อน..” ชิพทำหน้าแหยง ๆ นึกถึงตอนที่แคปแผลงฤทธิ์แล้วเอสต้องเข้าไปกำราบ
“มึงปราบพยศมันหน่อยดิ่วะ ปล่อยไว้แบบนี้ดีแล้วเหรอ”
“กำลังพยายามอยู่”
“เออ ก็พยายามต่อไปละกันเพื่อน..”บุ้งตบลงที่หลังเอสเบา ๆ คนถูกแซวถึงกับส่ายหัวขำๆ
“อวยพรกูดีนักนะพวกมึง กูชอบของกูแบบนี้ ทำไงได้วะ ไปกันได้แล้วไป” ในตอนที่ประตูลิฟต์เปิดออกเอสหันไปล๊อคคอเมี่ยงมายีหัวเล่นเบา ๆ เขาคิดว่าเมี่ยงคงตกใจน่าดูเรื่องแคป แต่เดี๋ยวคงจะค่อย ๆ ดีขึ้นเอง
“พรุ่งนี้เจอกัน” เมี่ยงพูดเบา ๆ เอสพยักหน้าให้ก่อนปล่อยวงแขนตัวเองออกแล้วส่งเพื่อนเข้าไปด้านใน เขาเดินกลับมาที่ห้องเจอปอนั่งดูทีวีอยู่ด้านนอก ที่โต๊ะหน้ามันมีซองบุหรี่วางอยู่ เอสเดินไปหยิบออกมาคาบไว้หนึ่งตัวแล้วจุดไฟ
“แคปล่ะ”เขาปล่อยควันออกมาแล้วถาม ปอเงยหน้ามอง “มันนอนแล้ว” เอสพยักหน้ากำลังจะเดินเข้าไปหาที่ห้องของปอ แต่เจอเรียกไว้แทบไม่ทัน
“มึงจะเข้าไปห้องกูทำไมวะ”
“ก็จะไปเอาแฟนกูออกมาดิ”
“มึงบ้าไหม ไอ้แคปมันเข้าห้องมันตั้งแต่มึงออกไปส่งเพื่อนมึงแล้ว ไม่ใช่ป่านนี้หลับไปแล้วเรอะ”
“แล้วก็ไม่บอก” เอสส่ายหัว บ่นไปก็เปลี่ยนทิศทางเดินไป
“ห้องล๊อค..” เอสหันบอกปอ ใช้สายตาบอกให้เอากุญแจสำรองมาเปิดออกให้ ปอเลยต้องลุกออกมาจากหน้าจอเกมส์
“วุ่นจริงจริ๊งพวกมึงสองตัวแม่ง..” เขาเดินเข้าไปเอากุญแจสำรองออกมาจากห้องแล้วไขกุญแจให้ เอสตบบ่าบอกขอบใจขณะที่ปอบ่นพึมพำ
“มึงหาเรื่องใส่ตัวเอง ง้อให้ได้ก็แล้วกัน..”
เอสเดินเข้าห้องไปแล้วไม่ได้ยินคำบ่นพึมพำของปอหรอก เขายืนสูบบุหรี่มองก้อนผ้าห่มที่นอนม้วนแน่นิ่งหลับเป็นตายอยู่กลางเตียงกว้าง พอเห็นว่าแคปแอบลืมตาขึ้นมามองเขาแล้วรีบหลับปี๋ลงไปใหม่ เอสนี่ถึงกับขำ คีบบุหรี่ที่เหลือกว่าครึ่งมวนไว้ในมือก่อนก้าวขึ้นไปบนเตียงแล้วกระชากผ้าห่มนวมผืนโตออก
“ตายรึยัง”
“อ่ะ อย่ามายุ่งกับกูนะ!” แคปดึงผ้าคืนไว้แทบไม่ทัน มองหน้าเอสตาเขียว ควันบุหรี่คลุ้งเต็มห้อง แต่ไอ้คนที่ยืนบนเตียงสูบยังไม่รู้สึกรู้สา
“ไอ้สัส ออกไปสูบที่หลังระเบียงเลย ห้องกูเหม็นหมดแล้วเหี้ย!” แคปแว๊ดด่า เอสคาบมวนบุหรี่ใส่ปากคุกเข่าลงแล้วกระชากผ้าห่มอีกครั้งเหวี่ยงทิ้งลงที่พื้น แคปกำลังจะลุกขึ้นมาด่าเจอเอสคว้าจับข้อเท้าสองข้าง กางออกก่อนที่เขาจะแทรกตัวเข้าไปที่หว่างขาเล็ก
“มึงจะทำบ้าอะไรห๊ะ! ปล่อยกูสิโว๊ย ไอ้โรคจิต!” แคปร้องจนเสียงหลงดิ้นพล่านจนเอสแทบเอาไม่อยู่ เขารวบสองมือเล็กได้สำเร็จก่อนโน้มตัวทับลงไป เหมือนท่าที่เคยเอากันมาก่อนไม่มีผิด แคปทั้งทุบทั้งตีก่อนที่เอสจะละมือออกมาคีบบุหรี่ออกจากปากแล้วล๊อคคอแคปดึงขึ้นมาบดเบียดริมฝีปากร้อนลงไป
“อ่ะ แค่กๆๆ ไอ้สัส มึงมันบ้าไปแล้วใช่ไหมห๊ะ!” ยิ่งเห็นแคปดิ้นต่อต้านเขายิ่งชอบ บี้บุหรี่ที่เหลือเข้าที่จานเขี่ยหัวเตียง ดึงคนดื้อดึงเข้ามากอดไม่สนใจว่าจะโดนหมัดโดนถีบขนาดไหน รู้แต่ว่าตอนนี้ปลายจมูกโด่งซุกลงปล้ำจูบเรียบร้อยแล้ว
“อื้ออออออ อย่าทำ! ไอ้เหี้ยเอสมึง อ่ะ ไม่เอา!! ตรงนั้นอย่าทำ อ๊ากกกกกก กูเจ็บ!!” แคปทั้งดิ้นทั้งด่า สุดท้ายเจอเอสกัดที่ต้นคอแรง ๆ แคปร้องขึ้นเสียงหลง คนทำหัวเราะหึหึชอบใจ ซุกปลายจมูกสูดเอากลิ่นหอมอ่อนๆจากเนื้อตัวคนในอ้อมกอดจนพอใจก่อนเงยหน้าขึ้นมาจ้องคนใต้ร่าง
“กัดกูทำไมไอ้เชี่ย! ปล่อยกูนะ!” แคปถีบขาพัลวัลจะให้เอสหลุดออกจากหว่างขาตัวเองให้ได้ แต่นั่นยิ่งแล้วใหญ่เมื่อยิ่งดิ้นยิ่งโดนทับจนแน่น หนักไปทั้งตัว
“ปล่อยกู!” แคปตะคอกขึ้นอีก เอสละมือออกมาบีบกรามเล็กจนแคปปากจู๋
“อู๊ววววววววววววววววววว” แคปร้องโวยยาว ใกล้จะหมดฤทธิ์เต็มที
“โกรธกูเรื่องอะไรวะแคป มึงแกล้งเพื่อนกูทำไมถามจริง ๆ”
“กูไม่บอก!” แคปสะบัดหน้าจนหลุดจากการกอบกุม ตะคอกขึ้นอย่างดัง
“ไม่บอกแล้วจะง้อถูกไหมล่ะวะ โกรธเรื่องอะไรต้องบอกกูดิ กูจะได้รู้ว่าทำอะไรผิด ต่อไปก็จะได้ไม่ทำอีก เห็นไหมถ้ามึงบอกกูดี ๆ มันจะมีแต่เรื่องที่ดี ๆ เกิดขึ้นต่อไปนะ”
“ไม่ต้องมากล่อมให้กูบอก กูไม่ใช่เด็กๆ” แคปว่าตาแข็งกร้าว เอสนี่ยอมใจเลย ดื้อดึงที่สุด
“มึงไม่ใช่เด็กแล้วจริงดิ แต่พฤติกรรมนี่ยิ่งกว่าเด็กอีกนะ”
“.............” แคปกัดปากแน่นจนสั่น เขาไม่ยอมบอกและไม่ยอมตอบ ก็รู้อยู่หรอกว่าตัวเองทำไม่ดี แต่ตอนนั้นมันโมโหนี่หว่า ช่วยไม่ได้เหอะ ถ้าทนไม่ได้รับไม่ได้มันจะได้เลิกตอแยออกจากชีวิตเขาไปได้สักที
“ว่าไง บอกกูได้รึยังโกรธเรื่องอะไร”
“.......อึกก.......” แคปเงียบอีก ส่ายหัวแล้วหันหน้าไปทางอื่น มือหนายกขึ้นจะลูบแก้มเนียนนั้นเบาๆ แต่เจอแคปเอียงคอหลบ เขาตัดสินใจจับคนตัวเล็กกว่าลุกขึ้นนั่งคุยกันดี ๆ
“หิวไหม เดี๋ยวออกไปหาอะไรกิน”
“ไม่ไป!” แคปตอบขึ้น ปัดมือเอสที่จะยื่นเข้ามาเกลี่ยผมออกจากหน้าให้ เขาเสยผมตัวเองขึ้นแบบลวกๆแทน ช่างดิ สนใจตรงไหนปล่อยให้มันกระเซอะกระเซิงไปเหอะ เสียงท้องแคปร้องบิดตัวดังมาก
“แต่มันสิบเอ็ดโมงกว่าแล้ว กระเพาะเล็กๆของมึงเนี่ยร้องโครกออกมายังจะบอกว่าไม่หิวได้อีกนะ
“แต่กูไม่หิวอ่ะ ท้องมันร้องบอกง่วงนอนกูฟังออกเหอะ”
“แคป กูเชื่อมึงเลย” เอสชักจะหมดความอดทนเข้าไปทุกที
“.............”
“นี่ กูบอกอะไรดีๆให้มึงรู้อย่างนึง ยิ่งมึงดื้อมากเท่าไหร่กูยิ่งอยากเอามึงมากเท่านั้น ถ้าไม่อยากถูกกูกด ว่าง่ายๆห้ามดื้อ”
“กูเชื่อมึงตายล่ะ!” แคปแว๊ดขึ้นมา “คำพูดโง่ ๆ เก็บไว้หลอกคนโง่ ๆ เถอะไอ้ควาย!”
พลั่ก!
“ไอ้สัส! ผลักกูทำเชี่ยมึงเหรอ ปล่อยสิว่ะ บ้าเอ๊ย! ปล่อยย!!”
“เออดิ้นต่อไปกูชอบนักพยศแบบนี้..” เอสกดไหล่เล็กลงจนจมเตียง เขาโดดขึ้นคร่อมโถมน้ำหนักจนเต็มตัว สายตาคมกริบกับน้ำเสียงที่เย็นเฉียบ
“ปล่อยกูนะ! ปล่อยกู!! ไม่เอา!!!”
“เลิกดิ้นแล้วจะปล่อย!”
“ปล่อยกู!”
“แคป!!”
“อื้อออออ ยอมแล้วๆๆๆ กูยอมแล้ว ปล่อย! ไม่ดิ้นแล้วก็ได้ปล่อยกูเลย สัส กูหนัก!!” แคปยังไม่ยอมในตอนแรก ทว่าในที่สุดทำอะไรไม่ได้แล้วเสียงเล็กจึงว่าขึ้นอย่างขัดใจ เมื่อเขาหยุดดิ้นแล้วจริง ๆ เอสจึงยอมปล่อยร่างเล็กออกเหมือนกัน เขาละลำตัวออกมา สองคนถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วนั่งมองหน้ากัน แคปตัวสั่นนิดๆจนเอสจับสังเกตได้ รู้ว่ารุนแรงเกินไป แต่ช่วยไม่ได้คนที่ดื้อหนักขนาดนี้ถ้าเขาไม่กำราบแรง ๆ ปราบไม่ได้แน่นอน
“ลุกไปเปลี่ยนผ้าไป เดี๋ยวออกไปกินข้าวกัน”
“..........”
“แคป”
“...........” แคปลุกขึ้นอย่างเสียไม่ได้เดินย่ำเท้าปังๆไปเปิดตู้ผ้าคว้าเอาผ้าเช็ดตัวออกมา เอสลุกขึ้นมาดึงเอวเล็กรั้งมานั่งลงที่ตัก เขาสอดมือกอดเอวแคปไว้ พยายามจะพูดอย่างใจเย็น
“ทำหน้าดีๆ ไม่งั้นเดี๋ยวเจอกูอาบให้แล้วเรื่องยาวนะบอกให้รู้”
“...........”
“เอียงหลบแบบนั้น จะให้กูหอมคอ?”
“ไอ้ตัวโรคจิต!” แคปหันไปทำตาเหลือกใส่ก่อนกระทืบปังลงที่เท้าคนตัวใหญ่อย่างแรง เขาลุกขึ้นวิ่งเลี้ยวเข้าห้องน้ำอย่างไวแบบไม่ต้องรอ ล๊อคทุกอย่างเสียงดัง เอสมองดูแล้วขำนิดๆกับท่าทางขึงขังแต่ไร้เดียงสาเหลือเกิน ตลอดทั้งอาทิตย์นั้นเขาทั้งคู่ก็ยังคงตีกันด่ากันเถียงกันและสุดท้ายก็จบลงที่เอสมาค้างที่ห้องแคปแทบทุกวัน มันบ่อยมากจนคืนนึงในขณะที่นั่งทำการบ้านกันอยู่ เอสซึ่งนั่งอยู่ที่พื้นทำงานอยู่บนโต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็กที่ถูกกางเอาไว้ข้างเตียง เขาเงยหน้ามองแคปที่กำลังก้มหน้าก้มตาทำการบ้านของตัวเองเช่นกัน
“แคป มึงเลือกโต๊ะให้กูหน่อยสิวะ..” เอสเดินเข้าไปหา ยื่นไอแพดบอกให้แคปเลือกแบบโต๊ะทำงานให้หน่อย แคปหันมามองรูปแล้วก็งง
“โต๊ะอะไรของมึง” ใบหน้าเล็กในกรอบแว่นใสๆเงยถาม
“ตัวนี้ดีไหม สวยดีเหมือนกัน ถ้ามึงชอบกูกดซื้อเลยนะ”
“มึงพูดอะไรวะไอ้เอส จะเอามาทำไมอ่ะ มึงจะซื้อไปวางไว้ที่ไหน ห้องมึงเรอะหรือว่าบ้านมึง”
“เหอะน่า มึงชอบป่ะล่ะ”
“มันก็ดูดีอยู่หรอกแต่กูอยากรู้ว่ามึงจะซื้อไปวางไว้ที่ไหน อย่าบอกนะว่า....” แคปเบนสายตาไปที่โต๊ะตัวเล็กของมัน
“จริงดิ?!” แคปถลึงตาใส่ เอสพยักหน้าบอกจริง มึงคิดถูกต้องแล้ว แคปถอดแว่นวางลงที่โต๊ะอย่างดังปกติไม่ใส่หรอก ทำงานเท่านั้นถึงจะใส่
“กูก็บอกแล้วว่าให้มึงกลับไปนอนห้องตัวเอง ที่นี่มันก็มีแต่โต๊ะเล็กๆแบบนี้สิวะ ห้องมึงทั้งใหญ่ทั้งหรูหรา บ้ารึไงมาทนนอนอยู่ที่นี่เนี่ย”
“ตกลงเอาตัวนี้ล่ะนะ..” เอสยื่นให้ดูอีกครั้งแคปถึงกับส่ายหัว พอมองดีๆเห็นราคาค่าตัวมันเท่านั้นเขานี่แทบจะแหกตาดูใหม่
“อะไรของมึง! โต๊ะเหี้ยไรแพงขนาดนี้” แคปขยี้ตาดูเลยจริง ๆ เลื่อนดูแล้วดูอีก กลัวว่าราคามันจะผิดช่องปรากฏว่ามีแต่ของแพง ๆ ทั้งนั้น กำลังเงยหน้าจะอ้าปากด่าไปอีก เอสก้มหัวลงมาจูบเบา ๆ ลงที่มุมปากเล็กหนึ่งที่ แคปฟาดผั๊วะลงด้วยความไว เฉียดแก้มมันไปนิดเดียว เอสทำหน้างอๆเดินกลับไปนั่งทำงานอยู่ที่พื้นข้างเตียงเหมือนเดิม หลังจากนั้นแค่วันเดียวรุ่งขึ้นโต๊ะตัวใหม่ไฉไลสมราคาก็มาส่งจนถึงหน้าประตูห้อง กว่าจะจัดของทุกอย่างลงตัว ไม่ใช่ฝีมือใครที่ไหน ปอโดนแคปลากให้มาจัดการให้ ตอนแรกแคปบอกให้เอาวางไว้หน้าทีวีแต่เอสมันไม่ยอมลากเข้าไปวางไว้ถึงด้านในข้าง ๆ โต๊ะหนังสือเก่าของแคป
“โห มึงกะมาอยู่กินกับเพื่อนกูไปจนจบเลยหรือไงวะ..” ปอแซว เขาเคลียร์ทุกอย่างให้จนเสร็จกำลังจะเดินออกไปเรียกแคปที่นอนดูการ์ตูนเข้ามาดูสภาพใหม่ในห้องตัวเอง เอสก็แค่หัวเราะเบา ๆ ตบไหล่บอกขอบคุณ และแล้วหลังจากคืนวันศุกร์ผ่านพ้นไป ช่วงสายๆของวันเสาร์ พวกเขาสามคนนั่งกินอาหารเช้าเบาๆอยู่ด้วยกัน
“แล้วมึงจะกลับมาวันไหน..” แคปจะกลับบ้าน ปอเลยถามขึ้น ส่วนเอสรู้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เขาเองก็ถูกตามเข้าประชุมเช้าวันอาทิตย์เหมือนกัน
“พรุ่งนี้ดึกๆ” แคปตอบ
“ค้างคืนเดียว เฮียโก้จะไม่โวยเหรอวะ”
“ทำไงได้มีเรียนเช้าวันจันทร์เลยนี่หว่า กลัวตื่นไม่ทันบ้านกูอยู่ตั้งไกล”
“แล้วเอาไงล่ะ กินเสร็จแล้วไปเลยดิ?”
“อือ เดี๋ยวกูจะออกไปเลย”
“แล้วมึงล่ะวะ เอาไง” ปอถามคนข้าง ๆ แคปดูมันก้มหน้าก้มตากินไม่สนใจอะไร
“อือ กลับเหมือนกัน”
“เออดีกูเฝ้าห้อง สบายเลยเดี๋ยวจะเล่นเกมส์ดึกๆไม่มีใครกวน”
“โหยไอ้หมาปอ ถึงกูอยู่กูไม่เคยกวนมึงหรอก มึงจะเล่นถึงเช้ากูยังไม่เคยว่าเลยเหอะ มีแต่มึงไปลากกูออกมาเล่นเป็นเพื่อนตลอด”
“แล้วพักหลังกูได้เข้าไปลากไหมเล่า อย่ามาพูดเหอะมึงนอนอยู่กับมันตลอดแค่เฉียดกรายหน้าประตูกูยังไม่กล้าเลย”
“ทำไม” แคปถามสวนขึ้นทันที ปอไม่กล้าสบสายตา
“ก็...ก็ กูอายแทนมึงนี่หว่า”
“ไอ้สัสปอ ปากหมานะมึง” แคปร้องด่าทำท่าจะใช้ส้อมจิ้มใส่ ปอรีบยกมือบอกกลัวแล้วพูดเล่น เอสถึงกับส่ายหัวขำ แคปกับเอสกินข้าวกินน้ำจนเสร็จเอาจานไปวางเก็บก่อนเข้าไปหยิบกระเป๋าสะพายส่วนตัวในห้องออกมาแล้วเดินไปสวมรองเท้ากีฬาคู่โปรด แคปคว้าเอากุญแจรถ
“พรุ่งนี้กูกลับ...ไปนะ” แคปพยักหน้าบอก ปอโบกมือบอกโอเคมาจากหลังเคาน์เตอร์ รอลิฟต์ไม่นานเรียกปุ๊ปทำไมลงมาเร็วจัง
“วันนี้รู้สึกดีว่ะ...เมียจะไปส่งกลับบ้าน หึหึ..” เอสกอดอกยืนผิวปากทำหน้าอารมณ์ดียั่ว เขามองแคปด้วยสายตาขี้เล่น สแกนเมียตัวเองตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วอดยิ้มออกมาไม่ได้ ขณะที่แคปนี่ข่มกรามข่มใจ กัดฟันข่มความรู้สึกประทุทุกๆอย่าง ปล่อยให้มันพูดไปสิ! เมื่อคืนตอนที่คุยกันว่าต่างคนต่างกลับ แต่ไอ้ตัวอันตรายมันจะยอมง่ายๆก็คงไม่ใช่ มีข้อแม้โน่นนี่นั่นเต็มไปหมด จะตามกลับบ้านบ้างล่ะ จะไปส่งเองบ้างล่ะ ขอไปรับบ้างล่ะ สิ่งที่มันขอเอาจนแคปขยาดไปสามตลบ ต่อรองไปๆมาๆกลายเป็นว่าแคปต้องพามันไปแดกอาหารกลางวันที่ร้าน EXXX ซึ่งอยู่ที่ชั้นสี่ของห้างดังปิดท้ายด้วยไปส่งมันที่บ้าน ตอนแรกนึกเหรอว่าแคปจะยอม แต่เมื่อเทียบกับข้อเสนอที่ว่ามันจะปล่อยให้เขากลับดีๆไม่โทรกวนไม่ตอแย ไม่แวะไปกวน เจอกันอีกทีก็วันจันทร์ แคปเลยตอบตกลง
“ปากหมา” แคปพึมพำ เบนสายตาทำท่าว่าไม่ได้ด่ามัน
“ว่าใครปากหมา”
“เปล่า มึงจะรับเอาไหมล่ะ”
“หึ..” เอสไหวไหล่ แคปหันมอง “แล้วใครกันที่จูบปากกับกูอยู่เลยเมื่อคืน ไม่ใช่ว่ากูติดเชื้อไวรัสปากหมามาจากมึงหรอกนะ”
“ไอ้สัสเอ๊ย!” แคปถลึงตาส่งเสียงรอดไรฟันออกมาด่า เอสส่ายหัวยิ้ม ขอสแกนคนยืนทำหน้าหงุดหงิดใหม่อีกที วันนี้แคปมันแต่งตัวหล่อมากนะ ดูเท่ดีขาวดำเทา สองสามสีที่มันชอบ เสื้อผ้าในตู้มีอยู่แค่โทนนี้
“มองทำไม อยากโดนไหมเนี่ยอ่ะ” แคปเลิกคิ้วสูง ยกเท้าขึ้นใส่แบบกวน ๆ เอสเตะขาโต้ตอบอย่างเร็วเช่นกัน
“เล่นแรงนะมึง” แคปด่า เพราะว่าโดนเข้าจัง ๆ คิ้วเล็กขมวดติดกันจนมุ่น เอสเห็นแล้วก็นึกขำ
“ให้เตะคืนอ่ะ..” เขาพยักหน้าบอกแคปเตะเลย ตรงไหนก็ได้วันนี้ให้เตะฟรีๆ แคปหรี่ตามองอย่างเจ้าเล่ห์ ถ้าหลงกลเตะมันเข้าล่ะก็เขาจะต้องโดนคว้าเข้าไปจูบแน่ ๆ เพราะงั้นอย่าได้ฝัน
“กูไม่ทำอย่างนั้นหรอกน่า เมื่อคืนเก็บแต้มจนอิ่มแล้ว..” เอสยั่วโมโหไปอีกสิ แคปยิ่งขึ้นหนักเลยทีนี้ ชี้หน้าด่าเลย
“ไอ้คนชั่ว เลวมากๆ โรคจิต!! มึงก็แค่ได้จูบอย่ามาพูดว่าตัวเองเหมือนได้เอากูหน่อยเลย”
“โหยพูดแบบนี้อยากลากไปกดเลยว่ะ ในนี้หรือในรถก็ไม่เลวหรอกมึงท้าทายกูเองด้วยนะแคป”
“อย่ามายุ่งกับกูนะ ไอ้ตัวอันตราย” ลิฟต์เปิดออกพอดีแคปรีบวิ่งออกมาเลย ขณะที่เอสส่ายหัวแล้วก็ขำต่อ
“กุญแจอยู่นี่ มึงหาอะไรน่ะ” แคปที่กำลังล้วงกระเป๋าสะพายค้นหากุญแจถึงกับเงยหน้ามอง เอสโชว์พวงกุญแจห้อยต่องแต่งให้เขาดู
“อ่ะ! มึงเอาไปตั้งแต่เมื่อไหร่” แคปถามหน้าตื่น ๆ
“กูขับให้” เอสเดินไปจับไหล่แคปบอกให้ไปฝั่งคนนั่ง เขาจะขับให้เอง แต่แคปบอกไม่เอาเดี๋ยวขับเอง
“จะขับให้กูนั่งรึไง”
“...........”
“เอาไง”
“เอองั้นมึงขับ แต่ตอนกลับกูขับเอง”
“แน่นอนอยู่แล้วเพราะมึงต้องไปส่งกู”
“พูดมากจริง ขึ้นไปขับได้แล้ว”
“รถแต่งสวยนี่หว่าเพิ่งเคยได้นั่ง นึกว่าจะสวยแต่ด้านนอก” เอสหักเลี้ยวออกจากที่จอดแรงมากๆ จนท้ายปัดเสียงเบียดล้อกับพื้นถนนดังสนั่น แคปหันมองตาเขียว “ทำบ้าอะไรของมึงวะห๊ะ”
“ลองเครื่องนิดนึง แรงน่าดู..”
“ไอ้สัส น้ายามมองมึงตาเขียวแล้วเห็นไหมห๊ะ!” เอสก็แค่หัวเราะ “ได้ข่าวว่ามึงโดนหักค่าขนมด้วยนี่”
“มึงไม่มีสิทธิ์มาพูดเรื่องชวนเจ็บปวดกับกูหรอก” แคปเหลือบมองไอ้คนขับ ว่าแต่มันรู้ได้ยังไงวะ
“หึหึ มึงคิดว่าใครเป็นพี่รหัสกูล่ะ..” เสียงทุ้มบอกออกมาราวกับรู้ความนึกคิดของอีกคน แคปฟังแล้วถึงกับส่ายหัว สองคนนั่งต่อปากกันไปจนถึงเกือบถึงห้าง รถจอดตัวลงตอนเที่ยงเศษๆโทรศัพท์เอสสั่นและดังเข้ามา เขาล้วงขึ้นมากดรับตอนที่ลงจากรถเดินอ้อมมาหาแคป ทำท่าจะกอดเอวพาเดินเข้าไป แคปรีบก้าวหลบแทบไม่ทันหันไปมองมันตาเขียว แต่เจอมึงใหญ่ดึงเข้ามาให้เดินไปด้วยกัน
“เมื่อวานกูสอดไว้ที่แฟ้มบนโต๊ะมึงนะเมี่ยง” เอสกรอกเสียงลงในสาย ทางนั้นพูดอะไรมาสักอย่างไม่รู้
(...........)
“วางอยู่ตรงนั้นแหละ แฟ้มสีขาวไม่ใช่มึงเอาไปวางไว้ที่อื่นเหรอวะ หาดูดีๆที่หัวเตียงไหมตอนมึงบอกง่วงนอนมึงถือแฟ้มนั้นขึ้นเตียงไปอ่านด้วยนะ”
(.........)
“ไม่เป็นไรเห็นก็ดีแล้ว”
(………)
“กำลังจะกลับบ้าน”
(...........)
“จะเอาอะไรล่ะ ขนมเหรอวะ เดี๋ยวบอกป้าจันทร์ทำให้ พรุ่งนี้มึงมาเอาเองนะ”
(............)
“แบบนั้นก็ได้ งั้นเดี๋ยวเย็นๆกูแวะเอาเข้าไปให้”
(............)
“เดี๋ยวนะแป๊ปนึง..” เอสละสายจากเมี่ยงไว้ เขาหันมาถามแคปว่าพรุ่งนี้จะกลับมาถึงห้องกี่โมง แต่แคปส่ายหัวไม่ยอมตอบ เอสเลยเอื้อมมือมากอดคอล๊อคเข้ามาถามใหม่อีกครั้ง
“กี่โมงแคป” แคปหันไปมองหน้าตาเขียวก่อนบอกออกมาอย่างดังแล้วผลักออกแรงๆ “ดึกๆไอ้สัส!” เอสเหลือบมองคนตอบที่ตอนนี้ไปเดินห่างกันเป็นวาก่อนยกโทรศัพท์ขึ้นมาพูดกรอกลงไปอีก
“โอเคเดี๋ยวพรุ่งนี้เย็นไปกินข้าวกัน มึงบอกไอ้ชิพกับไอ้บุ้งไว้ไปเจอกันที่ร้านเดิม”
(..............)
“ใช่เดี๋ยวกูไปรับมึงเอง บอกพวกมันว่าไปเจอกันที่นั่นเลย”
(...........)
“แค่นี้ก่อน กูพาแคปมากินข้าว ไว้ค่อยเจอกัน..”
“เป็นอะไร” เอสเดินเข้ามาหาใกล้ ๆ ถึงบันไดเลื่อนพอดีแต่แคปทำท่าจะเดินต่อไปอีก “กูจะขึ้นลิฟต์”
“ไม่เอา ขึ้นบันไดนี่แหละ” เอสคว้าเอวหมับพาเลี้ยวขึ้นบันไดเลย สองคนเดินมุ่งไปจนถึงชั้นที่ต้องการ ร้านอาหารทำไมหรูมากแคปเคยเห็นแต่ภายนอกพอเข้าไปด้านใน เขารีบหยุดชะงักแล้วหันมองคนข้างๆทันที
“ไอ้สัส มึงจะแดกที่นี่จริงเหรอวะ?” แคปกระซิบๆ เอสพยักหน้าแล้วแทรกตัวเดินนำ จับมือแคปลากให้เดินตาม พนักงานที่นำพวกเขาไปนอบน้อมมากเธอแต่งชุดไทยประยุกต์สวยงามผายมือเชิญสองคนเข้าไปที่ห้องด้านในลึกเข้าไปอีก
“นั่งดิ..” เอสจับแคปกดไหล่ลงให้นั่ง โต๊ะถูกเซทไว้เรียบร้อยรอแต่อาหาร
“อะไรของมึงวะ เว่อร์ฉิบหาย รีบกินรีบเสร็จไม่ได้หรือไง อ้าว แล้วมานั่งข้างกูทำไมเนี่ย ไปนั่งด้านโน้นมึงอ่ะ”
“เหอะน่า กินต้มยำกุ้งไหม มึงชอบรึเปล่า..” พนักงานเข้ามารับออเดอร์อย่างสุภาพ เอสแค่พยักหน้าบอกให้จัดมาสไตล์เดิม พอเธอเดินออกไปแคปจึงหันมอง กำลังจะอ้าปากถามแต่เจอเอสเอานิ้วชี้มาแตะที่ริมฝีปากเขาไว้ก่อน แคปรีบปัดออกทำหน้าดุ
“อาหารไทยที่นี่อร่อย ลองกินดูถ้าชอบเดี๋ยววันหลังพามาอีก”
“กูคงจะมากับมึงหรอกนะ..” แคปกัดฟันประชด มองบรรยากาศรอบข้างหรูหราเลิศมาก ขณะที่อีกคนก็แค่อมยิ้มจับแก้วทรงสูงเข้ามารินไวน์ขาวลงไปค่อนแก้ว เขายื่นส่งให้แคป
“เว่อร์ชะมัด” แคปว่าหน้ามุ่ย คว้าแก้วมากระแทกลงที่โต๊ะแรง ๆ
“ก็เดทกับมึงครั้งแรกนี่ พามาที่ง่ายๆแล้วนะบอกให้รู้เลย”
“อย่าพูดอะไรชวนอ้วก กูกำลังหิวข้าวเดี๋ยวจะพาลกินไม่ลง” จบคำพูดแคปเอสคว้าหมับเข้าที่ต้นคอเล็ก แคปสะดุ้งเฮือก
“ทำบ้าอะไรของมึงวะ!”แคปว่าหน้าตื่นๆ ฝืนคอตัวเองไว้จนตัวสั่น ไอ้บ้าเอสแม่งชั่วมาก
“มึงดูคนซะก่อน คิดจะทำอะไรหัดมองดูรอบข้างด้วย ไอ้โรคจิตเอ๊ย..” แคปด่าเสร็จต้องแปลกใจนิดๆ เพราะรอบข้างไม่มีใครเลยสักคน โต๊ะทุกโต๊ะในห้องนี้ว่างเปล่าไม่มีการจัดให้รู้ว่าถูกเตรียมไว้สำหรับแขกที่จะเข้ามา คือดูง่ายๆก็รู้แล้วว่าห้องนี้ถูกเหมาจองไว้ก่อนหน้านี้
“มีที่ไหนโต๊ะอื่น วันนี้มาเดทกับมึงกูเหมาหมดเลยสิทั้งห้องนี่แหละ”
“มึงประสาทดีอยู่ไหมหนิห๊ะกูถามจริงๆ พวกเราเป็นนักเรียนอยู่นะเว้ย มึงจะแดกล้างแดกผลาญไปถึงไหน กินหรูอยู่คุณชายแบบนี้กูว่าพ่อแม่มึงจนตายเลยคอยดู”
“หึหึ..” เอสถึงกับพ่นขำ เขาเอียงแก้วไวน์ ให้น้ำสีใสๆไหลกลิ้งอยู่ภายในแก้วเล่นจนพอใจ ก่อนค่อยๆละเลียดจิบราวกับว่ากินดื่มแบบนี้บ่อยซะจนเคยชิน
“มึงอย่ามาทำหน้าสบายใจแบบนั้น กูบอกให้รู้เลยนะกูไม่ปลื้มคนที่ใช้เงินฟุ่มเฟือยเกินตัว คนเรามันต้องรู้จักประหยัดสิวะ ถึงมึงจะมีเยอะแค่ไหน แต่ถ้ามึงใช้เก่งแบบนี้วันนึงมึงก็ต้องหมดได้เหมือนกันรู้รึเปล่า อย่าต้องให้สอน ครั้งนี้จะเป็นครั้งเดียวที่เราจะมากินที่นี่กัน ต่อไปกูจะพามึงกินข้าวข้างทางมื้อละสี่สิบบาทนั่นแหละ กูจะไม่มากับมึงอีกแล้วบอกให้รู้ไว้เลย”
“ทำไมมึงดุจังวะเมีย..” เอสยังคงยิ้มต่อ ถ้าแคปจะสังเกตสักหน่อย เขาคงจะเห็นความแตกต่างของรอยยิ้ม เพราะทันทีที่แคปพูดจบประโยคมันทำให้เอสพอใจเป็นอย่างมาก คนที่ไม่เห็นแก่เงินงั้นเรอะ? หึ เจอของดีเข้าแล้วจริงๆ
“ไอ้สัสเอส มึงอย่ามาเรียกกูด้วยคำนี้แถวนี้นะ!” แคปมองซ้ายมองขวาถลึงตาดุใส่
“หึหึ..” ขณะที่เสียงหัวเราะในลำคอเบา ๆ ของคนที่นั่งจิบไวน์ทำหน้าตาสบายอกสบายใจไม่ได้รู้สึกสักนิดว่ากำลังโดนด่าอยู่ ทำเอาแคปนี่อยากตบกะโหลกมันให้คว่ำคาโต๊ะนัก
“กินนี่สิ..” เอสยื่นแก้วไวน์ส่งให้ พยักหน้าบอกให้ชิม แคปดึงเอาแก้วมาแล้วจับซดอึกๆๆตัดรำคาญ ไม่มีการละเลียดใดๆทั้งนั้น รีบกินรีบเสร็จ เขาเหลือบตามองดูเมื่อไหร่อาหารจะมาวะเนี่ย หิวจนหน้ามืดแล้ว
“กินยังไงของมึงวะ เลอะเทอะเป็นเด็กๆไปได้..” มือใหญ่ยืนมาเช็ดที่มุมปากออกให้ แคปรีบหลบ ทำหน้ามุ่ยๆเอสหมั่นเขี้ยวกับคำพูดเมื่อกี้ของมันไม่หายขอคว้าคอเข้ามาจุ๊บเบา ๆ ลงที่มุมปากหน่อยนึงเถอะ แคปก็ดิ้นเลยสิ ทุบผั๊วะเสียงดังแล้วผลักออกมองคนที่นั่งหัวเราะตาเขียว พอเอสทำท่าจะจูบอีกแคปเลยชี้หน้าไว้บอกอย่าทำ อาหารมาเสิร์ฟลงพอดี พนักงานให้เวลาพวกเขาเป็นส่วนตัวมากๆไม่มีใครเดินเข้ามาอีกเลย กระทั่งตอนสุดท้ายที่ควรจะเรียกเก็บตังค์แต่เอสก็แค่พาแคปเดินออกไปเสียเฉยๆโดยมีพนักงานเดินออกไปส่งที่หน้าทางเข้าร้านอย่างสุภาพ
“เดี๋ยวก่อน แวะร้านนี้หน่อยแคป..” สองคนเดินผ่านร้านขายพวกอุปกรณ์เฮฟวี่เมทัลแบบที่ผู้ชายชอบเข้า เอสเรียกแคปบอกให้แวะก่อน
“อะไรของมึงนักหนาวะ”
“เหอะน่า แป๊ปเดียว” พอเดินเข้ามาแคปก็มองๆไอ้บรรดาเชือดหนังรัดข้อมือยี่ห้อต่าง ๆ มีดพก ไฟแช็ค จิวหูแบบเท่ๆพวงกุญแจเหล็ก โซ่เงินแขวนกระเป๋า แหวน สร้อย เครื่องประดับสไตล์เมทัล สารพัดบรรดาสินค้าที่น่าสนใจ แคปก็แค่เดินดู ในขณะที่เอสมุ่งเข้าไปที่ตู้โชว์ด้านใน มองเห็นสิ่งที่เขาต้องการวางอยู่สองคู่ เขาเดินไปเรียกแคปมาดูด้วยกัน
“สวยป่ะ มึงชอบไหม” เอสพูดเบา ๆ ให้ได้ยินกันแค่สองคน แคปมองไอ้สิ่งที่วางอยู่บนขนแกะในตู้กระจกแล้วมองหน้าเอสอย่างงงๆ
“หรือว่าจะเอาแบบเบสิคก็ได้ แต่แบบนั้นแขนมึงอาจจะเป็นรอยนะ อันนี้แพงหน่อยแต่มันมีขนแกะสีชมพูหุ้มรอบวง เวลาใส่ก็จะไม่เจ็บแขนไง หรือว่าจะเอาเป็นสายหนัง แต่กูกลัวมันจะขาดแรงมึงน้อยซะที่ไหน”
“หมายความว่ายังไง มึงจะซื้อเรอะ” แคปถามขึ้นเสียงสั่นๆ หน้าเน้อเย็นเฉียบไปหมด
“มึงว่าไงล่ะ บางทีกูก็เหนื่อยนะเวลามึงดิ้นมากๆน่ะ แสบเอาไม่อยู่”
“ซื้อหัวมึงสิ ไอ้โรคจิต!!” แคปสบถจบเดินจ้ำพรวดๆๆออกมาไม่สนใจเลย บ้าฉิบมันคิดอะไรพาไปดูกุญแจมือ ทุเรศว่ะแม่ง กูนี่สิจะใช้กุญแจนั่นกับมึง บ้าบอ โฮ้ยยยยยยยยย แคปหงุดหงิดสุดๆ ยิ่งพอหันไปมองไอ้คนที่กำลังเดินตีคู่เข้ามาแล้วเขายิ่งโมโห แน่นอนว่าเขาโดนมันแกล้งน่ะแหละ
“ล้อเล่นหรอกน่า ไปไหนกันต่อดี มึงอยากได้อะไรไหม”
“ไม่ไปแล้วกูจะกลับ มึงอย่ามาเรื่องมากกูยอมมาด้วยตามสัญญาเพราะงั้นมึงก็ต้องรักษาเวลาหน่อย”
“อะไรกันเพิ่งบ่ายโมงกว่าๆเอง”
“จะบ่ายสองแล้วต่างหาก ก็เพราะใครกันล่ะ นั่งจิบไวน์ทำท่าเป็นลูกคุณหนู ปัดโธ่เอ๊ยมาดมึงนี่ทำกูหมั่นไส้เลย ถามจริงๆมากับบรรดาผู้หญิงของมึงนี่ก็พามาผลาญแบบนี้เหรอวะ”
“ก็นะ ผู้หญิงเขาชอบ”
“ก็แค่บางคนหรอกวะ ผู้หญิงดีๆก็มีเยอะมึงมันซวยเองที่ไม่เคยเจอ” แต่เอ๊ะ อะไรนะ?! มันพาบรรดาเมียมันมากินที่ร้านนี้น่ะเรอะ?? แคปเหมือนนึกอะไรบางอย่างออก เขาหยุดขาลงทันที หันมามองหน้าอย่างเอาเรื่อง ไม่ใช่ว่าโต๊ะเดียวกัน อาหารแบบเดียวกันหรอกนะ
“นี่มึงพาบรรดาผู้หญิงของมึงมากินที่นี่ด้วยรึเปล่าเนี่ย..” เอสพยักหน้าหงึกๆบอกใช่ แคปเงียบกริ๊บเลย เขาออกเดินต่อไปไม่สนใจเอสอีก
“จะเอาอะไรไหม มึงอยากได้อะไร”
“.......”
“แคป..” เอสใช้ไหล่ตัวเองสะกิดเรียก แต่แคปไม่สนใจ เอสก็เอาไหล่เขาชนๆๆต่อไปอีกแคปก็ยังเงียบ
พลั่ก!
“อะไรของมึงวะ!” แคปแว๊ดขึ้นมา เพราะเอสเอาไหล่ชนเรียกจนเขาเซ หันไปตวาดถามมันอย่างดัง
“ก็มึงเป็นอะไรล่ะ จู่ๆก็เงียบ”
“.........”
“อะไร?”
“กูโกรธมึงแล้ว! อย่าเพิ่งมายุ่ง”
“อะไรเนี่ย อยู่ๆก็โกรธได้ด้วยรึไง..”
“โกรธสิบห้านาที ต่างคนต่างเดิน” แคปว่า
“อะไรวะมีแบบนี้ด้วย..” เอสบ่นอุบอิบไปคนเดียว ถึงทางเลี้ยวจะลงบันไดเขารั้งเอาเอวเล็กบอกให้เดินขึ้นไปธุระด้วยกันแปปนึงก่อน แคปหันมามองหน้าอย่างหงุดหงิดแต่ก็ยอมเดินไปด้วย สุดท้ายทำไมมาหยุดที่หน้าโรงหนังได้ยังไงก็ไม่รู้
“หายโกรธยัง..”เอสถามเพราะเห็นแคปเงยหน้าขึ้นมองสนใจที่จอแอลซีดีอันใหญ่ๆด้านบน เสียงเล็กหัวเราะออกมาอย่างดังตอนที่หนังตัวอย่างเรื่องดังกำลังฉาย มันชอบไอ้ตัวเขียวยักษ์ฮัลค์นั้นแน่ ๆ
“อย่าถามมากน่า..” แคปจิ๊ปากบอกออกมาทั้งที่ยังเงยหน้าดู
“กูไม่ชวนดูหรอกนะ ยังไม่อยากเดทหนังกับมึงว่ะ..” จู่ๆเอสพูดขึ้นมาลอยๆ แคปหันขวับเลย
“เออ กูอยากเดทกับมึงนักล่ะไอ้สัส อยู่ดีๆปากหมาขึ้นมาอีก”
“หึหึ..” เอสหัวเราะขำ ดึงมือแคปบอกให้เดินตาม
“จะมาจับทำไมล่ะวะห๊ะ!” คนมองจะตายห่าแล้ว บ้าเอ๊ย
“อายทำไม ต่อคิวเร็ว ไปเลือกที่นั่ง”
“ไม่เอากูไม่ดู วันหลังกูจะชวนไอ้ปอกับไอ้อาร์มาดูเอง กูไม่ดูกับมึงอ่ะ” แคปส่ายหัวทำท่าจะเดินกลับ เอสดึงไว้อีก พอดีว่ามีน้องผู้หญิงกลุ่มนึงมายืนต่อคิวรอกดบัตรแคปเลยต้องขยับให้น้องเขาได้ยืนดีๆ
“นิ่งๆนะมึงถ้าทำเล่นตัวโน่นนี่นั่นเดี๋ยวคนรู้กันหมดพอดีว่าเรามาด้วยกัน..” เอสก้มลงกระซิบขู่ แคปยิ้มเหี้ยมออกมาเลย ชกต้นแขนมันไปแรงๆหนึ่งที เอสเบ้หน้าร้องโอ๊ยบอกเจ็บ
“กูไม่ได้โง่ไอ้สัส! อย่ามาทำเป็นสำออย ใครจะคิดยังไงก็ช่างแม่งเหอะ กูก็แค่ไม่อยากดูกับมึงจบไหมห๊ะ!”
“แล้วใครว่ากูอยากดูกับมึงล่ะวะ มือหนักตีนก็หนัก กูก็แค่อยากดูเรื่องนี้เหมือนกันก็แค่นั้น โอ๊ยยังเจ็บไม่หายเลยเนี่ย มือหนักฉิบ..” เอสพูดจบลอบอมยิ้ม เขายังนึกหมั่นไส้มารยาตัวเอง
“จะกลับแล้วโว๊ย” แคปจะเดินออกมาเอสรีบดึงแขนไว้
“ดูนี่แหละ นั่งห่างๆกันก็ได้อ่ะ”
“นั่งคนล่ะมุม” แคปเสนอ เอสหรี่ตามอง สองคนจ้องหน้ากันวัดใจ จนน้องผู้หญิงด้านหลังดึงเสื้อเรียก
“พี่ค่ะ ถึงคิวพี่แล้วค่ะ” แคปสะดุ้ง เอสรีบลากให้ขยับเข้าไปใกล้ ๆ
“มึงนั่งมุมนั้นกูนั่งมุมนี้”แคปว่า
“เอาจริงดิแคป?” เอสหันจ้องหน้า แคปกดแล้วเรียบร้อย ซื้อแว่นเพิ่มด้วย เขากำลังจะควักเงินจ่ายเอสรีบบอกพนักงานให้ใช้บัตรของเขาแทน
“ยุ่งจริงนะมึง”แคปยัดเงินเก็บเข้าที่เดิม เสร็จเรียบร้อยออกมายืนรอกัน
“หิวป่ะ กินไหมป๊อปคอร์นน่ะ” แคปส่ายหัวบอกไม่เอสเลยชี้ไปที่ตู้น้ำ มันมีบรรดาแก้วที่มีไอ้ตัวการ์ตูนซุปเปอร์ฮีโร่ชื่อดังจากหนังเรื่องที่พวกเขากำลังจะดูติดอยู่ที่ฝาด้านบน มีหลายตัวให้เลือก แคปพอเห็นก็ตาโตเลยสิรีบวิ่งเข้าไปเกาะขอบเคาน์เตอร์แทบไม่ทัน เขาชี้เอาไอ้ตัวเขียวยักษ์ฮัลค์ ตัวโปรดที่ชอบที่สุดในเรื่องออกมา พนักงานกดเครื่องดื่มใส่ลงไป แคปล้วงกระเป๋าตังค์จะจ่ายแต่เอสไวกว่าจ่ายให้อีกแล้ว
“กูถือให้ไปซื้อป๊อปคอร์นให้หน่อยไป”
“มึงใช้กูเหรอ”
“แลกกันไง กูซื้อนี่ให้มึงนะ”
“เออก็ได้มึงซื้ออันนี้กูจะจ่ายค่าป๊อปคอร์นเอง” แคปขยับไปสั่งป๊อปคอนรสหวานแต่เอสบอกไม่เอา เอารสเค็มแทน โอเคเปลี่ยนเป็นรสเค็มจ่ายตังค์เรียบร้อย ถือคนล่ะอย่างไปต่อคิว
“เอาแก้วน้ำกูมา มึงเอาป๊อปคอนของมึงไป” แคปว่ายื่นของในมือไปขอแลก แต่เอสยังยักไว้
“อ้าวแล้วแบบนี้กูหิวน้ำจะทำยังไง” เอสนึกถึงเรื่องที่นั่งขึ้นได้เขาถามขึ้น งงนิดๆเหมือนกันมาด้วยกันเสือกนั่งคนล่ะมุม บ้ามากไหมถามจริง
“เรื่องของมึง”
“แล้วมึงไม่กินนี่หรือไง” เขาชี้ลงที่ป๊อปคอนในมือ แคปส่ายหัวบอกไม่กิน เอสถอนหายใจเฮือกใหญ่ๆ พอเข้ามาด้านในก็โอ๊ย คนล่ะมุมจริงครับ คนละมุมเฉียงเลย แคปมันเลือกนั่งชิดขวาสุดแถวบนติดทางเดิน คนเยอะมากๆ เต็มแทบจะทุกที่นั่ง ขณะที่ของเอสมุมล่างสุดแถวแรกคนเต็มเอี๊ยด กูคงเงยคอจนเมื่อยแน่ ๆ เอสยืนคิด แต่ก็นะคิดอยู่แค่ไม่นานหรอก พอหนังฉายไปแค่สิบนาทีเขาลุกเลย
“อ่ะ!” แคปสะดุ้งตกใจ ใครสักคนมาหยิบเอาแก้วน้ำของเขายกไปดูด เงาใหญ่ ๆ ตะคุ่มดำนั่งลงที่พื้นข้างบันไดชิดกับที่นั่งของเขา
“มึงมานั่งนี่ทำไม บ้าไปแล้ว” แคปก้มลงไปกระซิบด่า เอสก็แค่ทำมือบอกชู่ว์ ดูหนังต่อไปเหอะ
“บ้าเอ๊ย เดี๋ยวพนักงานมาหิ้วมึงออกจากโรงเหอะ กูมีแต่จะสมน้ำหน้าบอกเลย”
“ไม่มีทางน่ากูบอกพี่พนักงานเขาไว้แล้ว”
“เรื่องของมึงเหอะ” แคปดูหนังต่อไม่อยากสนใจ เอสก็นั่งอยู่แบบนั้น ขนมไม่ค่อยได้กินหรอก เพราะแคปยึดถังป๊อปคอร์นไปแล้วเรียบร้อย เขาก็แค่หยิบน้ำไอ้ขวดที่มียักษ์ตัวเขียวเกาะอยู่มาดูดด้วย ก็แค่นั้น
“น้องครับที่ตรงนั้นว่าง เข้าไปนั่งเลย” พนักงานเดินมาสะกิด เอสเพิ่งเห็นว่าข้าง ๆ แคปว่างอยู่นี่หว่า เขามองหน้ามันตาเขียวก่อนจะเดินเข้าไปนั่งลงข้าง ๆ
“ว่างทำไมไม่บอกกันวะ”
“มึงโง่เอง”
“เดี๋ยวจะโดนแคป”
“หึหึ สะใจ เอิ๊กๆ” แคปลอบขำ เอสหันมามอง
“มันว่างตั้งแต่มึงเลือกที่นั่งแล้วป่ะเนี่ย”
“ไอ้สัส! กูไม่บอกอย่ามาถามมากดูไป” แคปหันมาด่าทำตาเหลือกใส่ มันน่ากลัวมากถึงจะมืดและอยู่ภายใต้แว่นสามมิติอันใหญ่ สองคนนั่งดูหนังข้างกันไปเรื่อยๆ แคปขี้เกียจถือถังป๊อปคอร์นเขาจึงยัดมาไว้ที่มือเอส ตัวเองดูดน้ำอย่างเดียว มือก็คว้าป๊อปคอร์ยัดเข้าปาก ตามองจอ เอสเองก็ทำแบบเดียวกัน แต่ตอนที่เขาหิวน้ำมือใหญ่คว้ามาจับแก้วที่แคปถือไว้แล้วดึงเข้าไปดูด แคปสะดุ้งรู้สึกตัวเหลือบมองที่คนข้าง ๆ ตามองจอไม่รู้เรื่องจับมือเขาถือแก้วน้ำดูดอยู่
‘ฉิบหายล่ะ ทำไมกูเขินอย่างนี้วะ’ แก้มเนียนสุกปลั่งไปถึงใบหู นี่ดีนะที่ในโรงหนังมันมืด ถ้าอยู่ในที่แจ้งแล้วไอ้บ้าเอสมันเห็นเขาคงโดนล้อไม่หยุดแน่ ๆ แคปสะบัดหัวตั้งหลักใหม่ ดึงมือตัวเองออกมาแล้วทุบเอสไปแรง ๆ หนึ่งทีจนเจ็บเอง
“อะไรเล่า” คนถูกทุบไม่รู้เรื่องอะไรถามขึ้นงงๆ
“ไอ้คนชั่ว!” แคปด่าไปสิ เอสก็นั่งงง ไม่รู้เรื่องอยู่เฉยๆโดนด่า แต่ก็ดูหนังกันต่อไปจนจบ
.
.
“ส่งที่ไหน บ้านมึงกูไม่รู้จักนะ” พอดูหนังกันเสร็จ ลงลิฟต์เลย ออกชั้นบีหนึ่งเพราะเอสจอดรถไว้ที่นั่น คราวนี้เขายื่นกุญแจให้แคปเป็นคนขับ
“ครั้งแรกที่มึงจะขับรถให้กูนั่ง” เอสยิ้ม
“มึงห้ามยิ้ม! ไม่ใช่แค่ครั้งแรก แต่จะเป็นครั้งเดียว มึงท่องไว้..” แคปทำหน้าดุๆ เกลียดรอยยิ้มของมันมากมาย ถึงใครจะบอกว่ามันเป็นผู้ชายที่ยิ้มสวยมาก แต่แคปกลับคิดว่านั่นเป็นยิ้มที่ทุเรศที่สุดมากกว่า ยิ้มแม่งทำไมยิ้มแล้วทำให้ใจคนอื่นใจสั่น เหี้ย! แคปส่ายหัวเซ็งจัด เขาเปิดประตูรถแล้วใช้สายตาเชิญบอกคุณชายเอสเข้ารถได้แล้ว
“ไปทางไหน บ้านมึงน่ะ” แคปหันมาถามอีกครั้ง
“ก็ขับออกไปเรื่อยๆ เลี้ยวซ้าย”
“มันก็ซ้ายอยู่แล้วสิวะ มึงอย่ามาลีลาบอกมาไปทางไหน” แคปยื่นบัตรคืนพนักงานที่ทางเข้าที่จอดเขาขับออกมาสู่ที่สว่าง ๆ บ่ายสี่โมงกว่า ๆ แดดเริ่มอ่อนลงแล้ว
“ไปทางไหนต่อ”
“ทาง........” เอสก็บอกไป แคปขับตามเส้นทางที่เขาบอกไปเรื่อย ๆ วันหยุดรถติดช่วงเย็นนิดหน่อย ระหว่างอยู่บนรถสองคนก็เถียงกันเรื่องหนังที่ดูอีกรอบ
“สาวๆชอบกัปตันอเมริกา กูไม่เห็นชอบเลย”
“หึหึ ทำไมวะ” เอสหันมอง
“ก็หล่อเกินไป ไอ้ยักษ์เขียวนั่นน่ารักกว่าตั้งเยอะ สุดยอดอ่ะ ฮีโร่ของกูเหอะ กูอยากจะมีพลังแบบนั้น”
“........” เอสเงียบไปนิดๆ กำลังคิดตามหน่อยๆ ทำไมต้องไปอยากมีพลังเหมือนไอ้ตัวเขียวนั่นด้วยวะ น่ากลัวจะตายชัก
“หลังไหนเนี่ย บ้านมึงอยู่ซอยนี้?”
“เปล่า”
“อ้าว?!”
“ถ้าบอกซอยนั้นเลยมันก็ถึงเร็วน่ะสิ อยากให้เมียขับรถให้นั่งนานๆหน่อยไง”
“ไอ้สัส! กวนตีนนักนะมึง” แคปเกือบจะเหยียบเบรกแรง ๆให้หัวมันทิ่มแล้ว ดีที่ดูว่ามีรถมอไซด์ตามหลัง ถ้าเบรคเดี๋ยวเจอชนท้ายแน่ ๆ
“ถึงแล้วๆ ซอยต่อไปหลังแรกต้นซอยเลย”
“ไหนวะ..” แคปเลี้ยวมาที่ซอยใหญ่ถัดไป ....บ้านหลังแรก....ต้นซอย
“หลังนี้?!” แคปมองดุๆแล้วถาม เอสพยักหน้าตีคิ้วบอกใช่ แคปเมียงมองเข้าไปด้านใน คือมันไกลมากๆจากรั้ว นั่นไม่เรียกบ้านนะ เขาเรียกกันคฤหาสน์ แล้วที่สำคัญ ชื่อบ้านเป็นหินอ่อนสลักสวยงาม ติดรั้วขนาดกว้างใหญ่นั่น ทำเอาแคปตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ
‘อัครรัชชานนท์’
“โม้แล้วมึง เอาดีๆสิวะ มาหลอกให้กูจอดหน้าคฤหาสน์เจ้าสัวใหญ่แบบนี้เดี๋ยวเจอเขาสอบสวนขึ้นมากูยุ่งยากตายห่าเลย..” ตระกูลอัครรัชชานนท์ เป็นตระกูลใหญ่ที่ร่ำรวยและโด่งดังที่สุดในยุคนี้ของวงการอสังหาริมทรัพย์เมืองไทย ทั้งโรงแรม หมู่บ้าน คอนโด รีสอร์ทหรูต่าง ๆ ที่ทยอยผุดขึ้นอย่างต่อเนื่อง นี่ยังไม่นับห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ที่เพิ่งเปิดตัวใหม่ล่าสุด รวมถึงห้างดังใจกลางเมืองที่พวกเขาสองคนเพิ่งจะไปกินข้าวกันมา เจ้าสัวรัชชา ขนาดเฮียโก้กับอาฟี่ยังพูดถึงอยู่บ่อย ๆ ข่าวสังคมในหน้าหนังสือพิมพ์มีเรื่องของตระกูลนี้ลงแทบทุกวัน
“โม้อะไร..” เอสเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าสะพายที่ด้านหลังออกมา แคปส่ายหัวไล่ความนึกคิดของตัวเอง เอสมันโกหกชัวร์อยู่แล้ว เขาเข้าเกียร์แล้วออกรถเลย
“เฮ้ยๆๆจะไปไหน นี่บ้านกูแคป จอดๆ”
“กูเชื่อมึงเหรอไอ้สัส บ้านมึงซอยไหนบอกมาดีๆ” แคปทำเสียงดุ
“แคปพอๆจอดๆ นี่บ้านกูจริง ๆ นั่นไงคุณลุงยามออกมาแล้ว..” เอสบอกให้แคปหยุดอีกครั้ง เขาจับพวงมาลัยรถไว้บอกให้จอด
“จริงป่ะเนี่ยไอ้เหี้ยเอส มึงพูดให้ดีๆซิ” แคปเหยียบเบรคลงอีกครั้ง เอสรีบดึงเบรคมือขึ้นให้เลย
“จริงสิวะ โกหกทำไมเล่า เข้าไปไหม จะได้บอกให้เปิดประตูแล้วขับเข้าไปเลย”
“........” ตากลมดิกเหลือบมองป้ายชื่อหน้าบ้านอีกครั้ง เสียงเคาะกระจกจากลุงยามที่แต่งตัวเต็มยศดังทะลุเข้ามา เอสเปิดประตูแล้วส่งกระเป๋าของมันออกไปให้แกถือไว้ให้ นั่นทำให้แคปยิ่งอึ้งหนัก
“ตกใจอะไรวะ นี่แหละบ้านกู ที่ๆกูโตมาตั้งแต่เล็กจนโต..” เอสยื่นมือออกไปขยี้หัวที่ท้ายทอยแคปเบา ๆ เขาก้าวลงจากรถแล้วก้มบอกให้แคปขับรถกลับบ้านดี ๆ
“เดี๋ยว..มึงอย่าเพิ่งไป..” แคปเรียกเอาไว้
“อะไร?” เอสก้มหน้าเข้ามาถาม
“มึงนามสกุลอะไรวะไอ้เอส..” แคปไม่เคยรู้มาก่อนเลย ไม่เคยถามพี่ชาย ไม่สนใจที่จะรู้ แม้แต่ชื่อจริงก็ไม่รู้ รู้แค่มันชื่อเอส
“นั่นไง หน้าประตู..” เอสโบ้ยหน้าบอกให้ดู แคปขยับสายตาเลื่อนมองดูให้ชัดๆอีกครั้ง อัครรัชชานนท์?
“ไม่จริงอ่ะ มึงโกหก ครอบครัวมึงทำงานให้ที่นี่ใช่ไหม”
“ห๊ะ! อะไรนะ?”
“คุณเอสครับ ให้เปิดประตูเลยไหมครับ..” เสียงคุณลุงยามถามเข้ามา มีการ์ดสองคนขับรถกอล์ฟคันเล็กๆออกมาจากด้านใน พอจอดเสร็จก็เดินมารับกระเป๋าสะพายที่เอสส่งให้ลุงยามไปถือไว้ให้แทน พวกเขาทำเหมือนกำลังยืนรอเอสอยู่ นั่นทำให้แคปได้คำตอบชัดเจนแน่นอนแล้ว
“ขับรถดีๆ เดี๋ยวกูโทรหา..” เอสปิดประตูรถลงให้ เขายืนมองแคปที่นั่งนิ่งอยู่ชั่วขณะ แต่ในที่สุดเคลื่อนรถห่างออกไป เขาจึงค่อยกระโดดขึ้นรถกอล์ฟที่ขับออกมารับหายลับเข้าไปในบ้านหลังใหญ่โตนั่น
Tbc.