[XIV]
แสงแห่งแรกอรุณที่สาดส่องเข้ามาภายในห้องที่มืดมิด
ทำให้คนที่นอนหลับอยู่ต้องพลิกตัวดึงผ้าห่มขึ้นมาซุกหน้าชิดลงอย่างเกียจคร้าน
ฝ่ามือขาวถูกยกขึ้นมาบดบังไอแดดที่เริ่มเข้ามาลามเลีย
“อื้อ..” แคปพึมพำหงุดหงิดหรี่ตาขึ้นโต้แสง
ทนไม่ไหวต้องรีบหลับลงอย่างเร็ว
ปกติแล้วห้องเขาช่วงดึกจะปิดม่านเอาไว้นี่หว่า น่าโมโหจริงเชียว ทำไมจู่ ๆ
ผ้าม่านถึงได้เปิดอ้าออกขนาดนี้วะ
เขามุดหัวซุกลงไปอีก บอกตัวเองว่าจะนอนต่อได้อีกนิดหน่อย แสงแดดแบบนี้คิดว่าน่าจะยังเช้าอยู่มาก
แกร็กกกก~
เสียงบานประตูเปิดออก ปอก้าวเข้ามายืนค้างอยู่ที่นั่นครู่นึงก่อนเดินเข้ามานั่งลงที่เตียง “แคป
ตื่นยังวะมึง” เขาเขย่าเรียกคนที่อยู่ใต้ผ้าห่มนวมสีขาวผืนโต
ดึงไอ้ผ้าผืนยักษ์ออกแล้วสอดมือเข้าไปวัดไข้ที่ซอกคอ
“หายแล้วนี่
หิวไหม..” เขาก้มลงถามแต่แคปไม่สนใจตอบ
ดึงผ้าห่มตัวเองกลับคืนซุกตัวลงยิ่งกว่าเก่า ส่งเสียงอืออาขัดใจ บอกจะนอนท่าเดียว
“อย่ามาลีลากูรู้มึงตื่นแล้ว
ขี้เกียจอ่ะดิ ลุกๆ”
“ไม่เอา
กูม่วงอ่ะ” คนนอนพึมพำทำเสียงพูดไม่ค่อยชัด
ปอจึงแกล้งกระชากหมอนออกจากหัว แล้วเอาหมอนใหญ่ใบนั้นกดลงที่หน้าแคปแทน
“อื้ออออ” แคปพลิกตัวหลบบอกไม่ให้ทำ ก่อนมุดเข้าผ้าห่มอีกครั้งปอรีบดึงออก
คราวนี้เหลือแต่ลูกกะตากลมๆโผล่ออกมา เขานั่งหัวเราะเพราะแคปแกล้งกลอกตาเหลือกๆใส่
“ตื่นได้แล้ว”
“กูตื่นแล้วเหี้ย” แคปพูดหงุดหงิด
“แฟนมึงไปไหนแล้วอ่ะ
มันกลับแล้วดิ?” ปอเลิกคิ้วสูงถามหาเอส
แคปสะดุ้งโหยงลุกนั่งขึ้นเลยทันที
“เฮ้ย!
จริงดิ่?” แคปถามหน้าตื่น ๆ
เขาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนเอสมานอนอยู่ที่นี่ด้วย
“แล้วมันหายหัวไปไหนวะ
หรือว่ากูฝัน บ้าน่าใครจะไปฝันถึงไอ้บ้านั่น
มันมาจริงป่ะวะนี่ถ้ากูฝันนะโคตรเป็นตุเป็นตะเลยอ่ะ..”
“แล้วมึงฝันว่ายังไงบ้างล่ะ..” ปอหรี่ตาแกล้งหลอกถาม
แคปที่กำลังจะอ้าปากตอบเรื่องลับๆบนเตียงกลับสะกิดใจขึ้นก่อนโบกกะบาลเพื่อนรับโชคตั้งแต่เช้าตรู่
“มือหนักเป็นบ้า”
“แล้วมึงถามเห้ไรล่ะ”
“ก็แค่อยากรู้ว่ามันออกไปน่ะ
ได้บอกมึงป่ะ”
“มันออกไป? มึงเห็นเหรอ”
“อือ
เห็นรีบร้อนลุกออกไปตั้งแต่เช้าโน่น กูถามอะไรก็ไม่ตอบเดินหัวยุ่งออกจากห้องไป
กูก็คิดว่ามันบอกมึงแล้วนะ”
“บอกเหี้ยไรล่ะ
ช่างหัวมันดิ มันจะไปที่ไหนช่างมันเหอะ ปล่อยกูอยู่เป็นอิสระแบบนี้ดีที่สุด
ทางที่ดีอย่าได้กลับมาห้องเราอีกก็พอ..”
แคปอดไม่ได้ที่จะนึกไปว่าเอสมันรีบร้อนไปที่ไหนแต่เช้า เมื่อคืนเพื่อนมันเมามากยิ่งกว่าเขาซะอีก
มันโผล่หัวมาหาเขาตอนดึกๆแสดงว่าทิ้งทางนั้นมาเลย ป่านนี้คงจะกลับไปดูแลกัน เห่อะ
ยิ่งคิดยิ่งเหมือนตัวเองบ้า ไร้สาระฉิบหาย
ทำตัวอย่างกับพวกผู้หญิงคิดเล็กคิดน้อยทำไมวะเรื่องของคนอื่น
มันจะไปที่ไหนเรื่องของมันสิ จะไปสนหัวมันทำไม
“ฮึ่ยยยยย!!” แคปขยี้หัวตัวเองอย่างหงุดหงิดเพราะไม่ได้ดั่งใจกับความนึกคิดของตัวเอง
“เป็นไรของมึง
หายแล้วก็ลุกไปล้างหน้าล้างตา เดี๋ยวกูไปดูของในครัวให้ก่อน
มึงอยากกินอะไรค่อยออกไปบอกละกัน”
ปอมองคนที่ขยี้หัวอย่างงงๆ
เขาดึงแขนเพื่อนบอกให้ลุกขึ้นไปล้างหน้า แคปเดินไปคว้าเอาผ้าเช็ดตัวมาคลุมหัวไว้แล้วเดินตัวแข็งเหมือนผีดิบบอกจะรีบออกไปให้ไปเตรียมอาหารไว้ได้เลย
“หิวอ่ะสิ
ยังจะเล่นอีกนะมึง”
“มากอ่ะ”
ปอพยักหน้าบอกรู้
ก็เมื่อคืนใครล่ะที่อ้วกจนหมดพุงแบบนั้น ตื่นมาไม่หิวก็แปลกแล้ว “งั้นก็รีบหน่อย”
“อือๆ” เสียงตอบรับดังขึ้นจากนั้นประตูห้องน้ำก็ปิดดังปัง
ปอส่ายหัวเดินไปรื้อผ้าห่มคลุมลงที่เตียง
กับแคปน่ะถึงจะอายุเท่ากันแต่เขาดูแลมันมาตั้งแต่ประถมแล้ว
เพราะงั้นตั้งแต่ย้ายมาแชร์ห้องอยู่ด้วยกันสิ่งหนึ่งที่เขาจะทำให้มันเสมอก็คือ
อาหารและที่นอน
“บ้าฉิบ มึงมีแฟนเป็นตัวเป็นตนขนาดนี้กูยังต้องมาเก็บมาปูที่นอนให้มึงอยู่เลยเหรอวะเนี่ย
หึ...” ถึงปากจะบ่นแต่เขาก็เต็มใจทำให้มันอยู่ดี
.
.
ก๊อกๆ ๆ ก๊อกๆๆ ก๊อกๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
เสียงเคาะรัวดังขึ้นที่ประตูเล่นเอาคนนอนหลับเป็นตายต้องงัวเงียตื่น
“อื้อออ
มาแล้วๆ ใครวะโฮ้ย!” เมี่ยงสบถหัวเสียพลางเดินสะโหลสะเหลไปกระชากบานประตูออก
“มาไรแต่เช้าวะแม่ง..” พอมองเห็นว่าคนที่ยืนอยู่หน้าห้องเป็นใครเขาก็บ่นพึมพำ
หันหลังเดินกลับมาทำท่าจะล้มตัวนอน คนตัวสูงดึงแขนเล็กเอาไว้
“เช้าเหี้ยมึงดิ
ตื่นได้แล้ว ลุก!”
“อื้ออ” เมี่ยงจะนอนลง
แต่อีกผ่ายยังไม่ยอม
“จะนอนทำไมอีกวะลุกเหอะ
ไอ้บุ้งมันรออยู่ข้างล่างรีบอาบน้ำเร็วเข้า ไปๆ”
“ไอ้บุ้งก็มาเหรอวะ?”
“ก็มาสิ มันบอกขี้เกียจขึ้นมาให้กูขึ้นมาเอามึงลงไปไง”
“แล้วจะพากูไปไหนอ่ะ
วันนี้ไม่มีเรียนนี่หว่า กวนกูจริงเลยนะพวกมึงเนี่ย”
“เออไม่มีเรียนหรอก
แต่นัดรุ่นพี่ไว้เรื่องแบบโครงงานมึงอย่าบอกนะว่าลืม”
“ลืมที่ไหนเล่า”
“แล้วทำหน้าเหี้ยไรแบบนั้น..” มือใหญ่ผลักหัวเล็กเบา ๆ “กูปลุกแค่นี้ต้องเศร้าขนาดนั้นเลย? ทำหน้าให้มันดีๆไอ้เตี้ย..”
“จิ๊!”
“เป็นไรของมึงวะ” เพราะเมี่ยงก้มหน้านิ่งๆเขาเลยก้มลงไปถามดู “เป็นไร?”
“เปล่า”
“งั้นก็ลุกไปอาบน้ำไป
เดี๋ยวพาไปกินข้าว”
“อือ” เมี่ยงตวัดผ้าห่มออกก่อนลุกไปคว้าเอาผ้าเช็ดตัวมาพาดใส่บ่าเหลือบมองคนตัวโตที่ยืนกอดอกมองเขาอยู่ ห้องของเขาเป็นอพาร์ทเม้นท์เล็กๆ
ที่อยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยมากนัก
ห้องขนาดเล็กที่เปิดเข้ามาด้านในจะเจอเตียงนอนเลย เดินต่อเข้าไปอีกแค่ไม่กี่ก้าว
จะมีระเบียงแคบๆซึ่งที่ตากผ้ากับห้องอาบน้ำจะอยู่ที่นั่น
คนตัวสูงจัดการเก็บที่นอนพับผ้าห่มให้จนเรียบร้อย รอเพื่อนตัวเล็กอาบน้ำจนเสร็จ
“เมื่อคืนทำไมไอ้เอสมันไม่ค้างที่นี่กับมึงวะ..” คำถามนี้ทำเอาเมี่ยงที่กำลังแต่งตัวอยู่หน้ากระจกถึงกับชะงัก
อุตส่าห์พยายามไม่คิดมาแล้วนะ ยังจะมาถามกัน
“มันมาส่งมึงไม่ใช่เหรอ
กูก็นึกว่ามันจะค้างที่นี่ ทุกทีถ้ามึงเมาหนักขนาดนี้
มันเคยปล่อยมึงไว้คนเดียวซะที่ไหน”
“มันไม่ค้างหรอก
กลับไปนอนกับเมียมันแล้วมั้ง คงอยู่ห้องมันน่ะแหละ..” เมี่ยงก้มหน้าตอบเบา ๆเดินมาเปิดตู้หาเสื้อใส่
“มันจริงเหรอวะไอ้เมี่ยง เรื่องน้องชายเฮียเต้อ่ะ...” ชิพขยับตัวกอดอกพิงหัวเตียงไว้
เขาทำน้ำเสียงและสีหน้าอยากรู้ ถึงแม้เมื่อคืนเมี่ยงบอกเรื่องแคปกับเอสให้ฟังคร่าว
ๆแต่เขารู้สึกว่ามันน่าจะมีรายละเอียดอะไรมากกว่านั้น
“อือ
จริง” เมี่ยงตอบเซ็งๆคว้าเอาเสื้อในตู้มาใส่
ชิพลุกขึ้นไปขยี้หัวเพื่อนดูรู้เลยว่ามันน้อยใจเอสมาก ๆ โดยปกติ
ถึงไอ้เอสจะมีแฟนกี่คนต่อกี่คน
มันไม่เคยให้ความสำคัญกับผู้หญิงคนไหนมากไปกว่าไอ้เมี่ยงเลยสักครั้ง อันนี้แม้แต่เขาหรือบุ้งก็ต่างดูออก
พวกเขาสี่คนสนิทกันมากตั้งแต่เด็ก ๆ ไม่ว่าเมี่ยงมันอยากได้อยากเอาอะไร
คนที่มันจะอ้อนได้ไม่ใช่เขากับบุ้งแน่ ๆ ก็มีแต่ไอ้เอสที่ตามใจมัน
“น้อยใจมันเหรอวะ..” ชิพถามขึ้น
“...........”
“ไม่เอาน่าคิดมากทำไมกัน ช่วงโปรโมชั่นมันก็เป็นแบบนี้แหละ..” ชิพปลอบใจเพื่อน
แต่เมี่ยงกลับครุ่นคิดแล้วก้มหน้านิ่ง
ที่ผ่านมาไม่ว่าเอสจะเคยคบใครมันไม่ค่อยแคร์
ไม่ว่าจะเป็นช่วงโปรโมชั่นหรือไม่โปรโมชั่น มีแต่ผู้หญิงที่วิ่งตามมันเองทั้งนั้น
แต่นี่เป็นครั้งแรก....
“แต่กูเพิ่งเคยเห็นมันทำแบบนี้ครั้งแรก..” เมี่ยงพูดเสียงเบา
“แบบไหน..” ชิพถาม
“เอาใจใส่
ใส่ใจ แคร์ คือทุกอย่างอ่ะ...” เขานึกถึงตอนที่เอสคว้าเอาเสื้อกันหนาวไปสวมให้แคปอยู่บนรถนั่น
เขานี่นั่งอึ้งมากๆ มันไม่เคยใส่ใจแฟนมันคนไหนมากขนาดนี้
เมื่อคืนถ้าหากสังเกตดีๆจะรู้เลยว่า
สายตาของมันทั้งหมดนั่นโฟกัสและมองไปที่คนเพียงคนเดียว
“มันได้กันยังวะ..” คำถามของชิพทำเอาเมี่ยงสะดุ้งออกจากภวังค์ความคิดทั้งหมด
“กูไม่รู้..” เมี่ยงตอบเสียงเรียบ
แต่ทำไมถึงแฝงไปด้วยความรู้สึกเศร้า ชิพเอามือบีบไหล่เล็กของเพื่อนไว้
บางครั้งเขาคิดว่าตัวเองดูออก ความรู้สึกที่เมี่ยงมีต่อเอส
แต่บางครั้งก็คิดว่ามันอาจจะไม่ใช่แบบนั้น คนที่หวงเพื่อนของตัวเองมากเกินความพอดีนั้นก็มีอยู่เยอะไป
จิตใจคนเรายากแท้จะหยั่งถึงคงจะมีแต่เจ้าตัวเท่านั้นที่จะรู้ความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง
ถ้าแอบรักเพื่อนสนิทตัวเองจริง ๆ
ต่อให้ง้างจนปากฉีกยังไงมันคงไม่เผยจิตใจที่แท้จริงออกมา
เพราะว่า...กลัว...กลัวว่าคนสำคัญจะหายไปพร้อม ๆ
กับคำว่าเพื่อนที่ผูกพันกันมาเป็นสิบปี
หลายคนจึงเลือกที่จะเจ็บปวดอยู่กับความรู้สึกเหล่านี้
“มันเคยคบผู้ชายมาก่อนหน้านี้ป่ะวะ
กูจำไม่ได้”
“ไม่เคย
คนนี้คนแรก” เมี่ยงหันมาตอบ
เขาแต่งตัวเรียบร้อยทุกอย่าง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเช็ค ไม่มีข้อความจากไอ้เพื่อนสนิทที่ทิ้งกันไปตั้งแต่เมื่อคืน
ใบหน้าเล็กหักงอลงอีก
“เป็นไรของมึง
ถ้าจะหาข้อความจากมันล่ะก็ไม่ต้องหาให้เสียเวลา มันโทรบอกกูให้มาดูมึงนี่แหละ”
“จริงดิ?”
“จะโกหกทำไมล่ะ มันโทรปลุกกูตั้งแต่เช้าแล้วเหี้ย
ไม่งั้นจะแหกขี้ตาตื่นมาเรอะ เมื่อคืนกูแม่งก็เมาเหอะ” เมี่ยงค่อยยิ้มออกทันทีที่ได้ยินชิพบอกเขาว่าเอสโทรให้แวะเข้ามาดู
“มึงว่ามันได้กันยังวะไอ้เมี่ยง” ชิพดึงเอาหมอนเข้ามากอด
เขาทำหน้าอยากรู้เต็มที่
“กูว่ามันยังไม่ได้กันหรอก
น้องเฮียเต้ท่าทางจะยากอยู่”
เมี่ยงส่ายหน้า
เขาคิดว่ายัง แต่คิดอีกทีก็ยังไม่ชัวร์
“มันก็เลยท้าทายอยากได้มาไว้ในมืองั้นเหรอวะ..”
“ก็คงงั้น” เมี่ยงเดินมานั่งลงที่เตียง
คิดตามคำพูดเพื่อน
“แต่ถ้ายังไม่ได้กัน
ไอ้เอสมันจะตามแบบนี้เหรอวะ”
“อันนี้กูไม่รู้
แต่มึงไม่ต้องห่วงหรอกที่ผ่านมาผู้หญิงของมันไม่เคยเกินสองเดือน กูรู้ใจมันดี
ไอ้เอสมันเบื่อง่าย แป๊ปๆมันก็ทิ้ง สวยหยดย้อยอย่างกับนางฟ้ามันยังทิ้งมาแล้ว
นับประสาอะไรกับผู้ชายล่ะวะ”
“แต่มันหล่อนะ
ไอ้แคปนั่นน่ะ ขาวด้วยผิวสวยฉิบหาย”
“หล่อเหรอแบบนั้น” เมี่ยงทำท่านึก
“กูบอกไม่ถูก
หน้าตามันกวนตีนก็จริงแต่เวลามันพูด ถึงมันจะด่าแต่กูรู้สึกว่ามันไม่ธรรมดาว่ะ
มันน่าสนใจไงไม่รู้”
“น่าสนใจ? มึงใช้คำว่าน่าสนใจเนี่ยนะ?” เมี่ยงเอนตัวพิงลงพนักเตียง
เขายกสองแขนสอดรองเข้าใต้ศีรษะ นึกถึงหน้าตาท่าทางของแคป
“ไอ้เหี้ยเมี่ยงกูก็หมายถึง
โฮ้ยไม่รู้เว้ยไอ้บุ้งมันยังบอกน้องเฮียเต้โคตรดึงดูด”
“ดึงดูดเหี้ยไรวะ”เมี่ยงหันไปถาม
“ก็ดึงดูดคนเข้าหาตีนมันไง”
“ไอ้บ้า!” เมี่ยงตบกะบาลเพื่อนแทบไม่ทัน
ชิพหัวเราะขำเมื่อแกล้งเพื่อนตัวเองได้ “มึงอย่าพูดนะกูยังจำได้ดีเลยวันที่โดนตีนมันน่ะ” เมี่ยงทำตาเขียว
ขนลุกขึ้นมาเมื่อนึกถึงตอนที่ถูกแคปกระทืบ ท้องเขียวไปเป็นอาทิตย์
“เออใช่วันนั้นมันกระทืบมึงด้วยนี่หว่า”
“สัส
มึงอย่าพูดสิวะกูนึกแล้วสยองเลยเหี้ย แหยงๆมันอยู่นี่ไง
ตีนหนักขนาดนั้นมาคบกับเพื่อนกูป่านนี้ไอ้เอสช้ำในตายก่อนแล้ว”
“อยู่บนเตียงเขาอาจอ้อนกันหวานหยดย้อย
มึงจะไปรู้อะไร๊..”
“ไอ้สัส!
คนแบบนั้นคงหวานหยดมดตายห่าหรอก”
“เรามารอดูกันสองเดือนมันจะทิ้งอีกไหม” ชิพตีคิ้วหรี่ตาท้า
“ทิ้งดิ ถ้ามันได้แล้วอ่ะนะ” เมี่ยงตอบอย่างมั่นใจ
“มั่นใจเหี้ยๆเลยนะมึง”
“ไม่มีใครรู้ใจไอ้เอสเท่ากับกูหรอก”
“เออๆ
ถ้ามันไม่รักจะเลิกกันกูก็ไม่ว่าหรอก แต่ถ้ามันรักเขาจริง ๆ สองเดือนสั้นไป๊”
“ไอ้สัส
คนอย่างมันจะรักใครนานวะ มึงก็รู้อยู่แล้วมีแค่พี่เกรซ
รักแรกที่มันหลงหัวปักหัวปำนั่นแหละ หลังจากนั้นมึงเห็นมันเคยคบใครนานๆไหมล่ะ”
“นั่นสิ...” ชิพเพียงแค่พยักหน้าเบา ๆ
เห็นด้วย ก่อนหันไปเหลือบมองเพื่อนตัวเล็กที่นอนทำหน้าเรียบ ๆ แต่แฝงไปด้วยความกังวล
ปากก็บอกว่าเอสมันจะต้องทิ้งแคปแน่ ๆ
ไม่เกินสองเดือนแต่สีหน้ากับแววตาที่ฟ้องออกมามันไม่ใช่แบบนั้นเลยสักนิด
ปัง!
เสียงประตูถูกเปิดผั๊วะออกมาดังมากๆ
บุ้งที่ยืนรออยู่ข้างล่างนานเกินไปแล้วทนไม่ไหว ต้องถ่อขึ้นมาตาม
“เสร็จรึยังวะพวกมึงสองตัว
ช้าเป็นบ้า” ร่างสูงใหญ่ยืนทำหน้ายักษ์อยู่ด้านนอก ชิพเลยชี้ๆคนที่นอนอยู่ข้างตัว
บุ้งเดินเข้ามาดึงแขนเล็กขึ้นเลย
“รีบหน่อยไอ้เมี่ยงกูหิวข้าวแม่ง
เดี๋ยวทิ้งเลย!” คำพูดว่าทิ้งทิ่มใจจนเมี่ยงที่กำลังจะลุกแบบดี
ๆ ตาแดงก่ำขึ้นมา
“ฮึกกๆๆ...”
“อ้าวๆๆๆ
มึงร้องไห้ทำเชี่ยเหรอ..” บุ้งรีบถอย
ชิพมองหน้าแล้วส่ายหัวก่อนลูบลงที่หัวเมี่ยงปลอบใจ
“พวกมึงก็จะทิ้งกูอีก
ฮึก..ไอ้เอสแม่งก็ทิ้งกูไปแล้ว”
“ทิ้งเหี้ยไรวะ..” บุ้งถึงกับงง จู่ ๆ
เมี่ยงร้องไห้ขึ้นมา โวยวายหาว่าเขาจะทิ้งมัน
แล้วยังไปว่าถึงเอสที่ทิ้งมันไปแล้วอะไรนั่นอีก
พอค่อยๆนึกจึงจำได้เรื่องที่คุยกับชิพเมื่อคืน
เรื่องที่ไอ้เอสกับน้องชายเฮียเต้คบกัน
บุ้งถอนหายใจแล้วผลักหัวเมี่ยงจนเงิบไปเลย
“บ้าแล้วมึงไอ้เมี่ยง มึงคิดเหี้ยไรวะ
เพื่อนมึงมีแฟนมึงต้องทำใจอย่างเดียวจบ ไม่ใช่งอแงว่ามันทิ้งมึงไปแบบนี้
มึงเป็นแค่เพื่อนก็ต้องทำใจดิวะ แต่กูบอกอะไรดี ๆ ไว้อย่าง
เพื่อนน่ะนานแค่ไหนก็ยังคงเป็นเพื่อน เพื่อนไม่มีคำว่าจบคำว่าเลิก
มึงสามารถเดินไปกับมันได้ไกลกว่าคนที่มันรักเสียอีก
มึงก็รู้อยู่แล้วไอ้เอสมันคบใครเคยนานเดี๋ยวพอมันเบื่อมันก็กลับมาเป็นไอ้เอสของมึงเหมือนเดิมอ่ะ
ใครจะดูแลมึงดีเท่ามัน”
“ไอ้สัส
คำปลอบใจของคนอกหักที่แอบรักเพื่อน”
ชิพสวนขึ้นมาโดยไม่ทันได้คิด
เมี่ยงหันขวับมองทันที
“............”
“แล้วมึงคิดกับมันแบบนั้นรึเปล่าล่ะ” บุ้งจ้องหน้าถาม
“มะ...ไม่ใช่นะเว้ย
มันจะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไงล่ะวะ พวกมึงก็..”
เมี่ยงเถียงกุกๆกักๆ
หลบสายตาทั้งสองคนที่จ้องเอาคำตอบจากเขาอยู่
“เออ
ถ้าไม่ใช่แบบนั้นก็ดีไป มึงก็แค่ต้องทำใจยอมรับแค่นั้นก็จบ ไปๆลุก
กูหิวข้าวออกไปกินข้าวกัน..”
บุ้งส่ายหน้าแล้วเดินนำออกไป
ชิพหันไปมองคนที่นั่งก้มหน้านิ่งอยู่
เขาตบลงที่บ่าเล็กอย่างให้กำลังใจก่อนดึงมือเพื่อนบอกให้ลุกออกไปด้วยกัน
.
.
“ไอ้แคปมึงจะกินโจ๊กไหมวะ
ในครัวมีแต่มาม่าน่ะ..” ปอคว่ำแก้วเก็บเป็นอย่างสุดท้าย
เช็ดมือแล้วถอดผ้ากันเปื้อนพาดเอาไว้ เขาเดินไปเปิดตู้เย็นสำรวจของสดต่าง ๆ
อีกครั้งตามความเคยชิน ขณะที่แคปล้างหน้าล้างตาเสร็จเดินบิดขี้เกียจออกมาจากห้อง
กระโจนลงที่โซฟาหน้าทีวีกดดูช่องข่าวเช้าต่าง ๆ สุดท้ายจบลงที่การ์ตูนตามเคย
“อือ
ยังไงก็ได้” แคปหันมาตอบ
“งั้นก็รอเดี๋ยว
กูลงไปซื้อที่มินิมาร์ทข้างล่างมาเวฟให้”
“เฮ้ยแบบนั้นไม่เอา
โจ๊กแบบนั้นกูไม่ชอบหรอก” แคปร้องขึ้นอย่างดัง
ปอที่กำลังจะเดินเข้าไปหยิบกระเป๋าตังค์ถึงกับชะงัก
มองหน้าคนที่นั่งยิ้มดูการ์ตูนแล้วหัวเราะอยู่คนเดียว
“แล้วมึงจะกินแบบไหนล่ะวะ
จะให้กูตุ๋นข้าวให้แบบนั้นน่ะเหรอ..”
เขาเดินเข้าไปถามใกล้
ๆ
“อือ
มึงทำอร่อยนิ ทำดิ..” คนตอบมองแต่การ์ตูนคือไม่ได้ดูเลยใช่ไหมว่าหน้าตาเขาตอนนี้อยู่ในสภาพแบบไหน
ความจริงปอเองก็อยากจะทำให้นะ
เสียแต่ว่าในตู้เย็นตอนนี้มันไม่มีอะไร
ปอเห็นแคปจ้องแต่ทีวี
เขาจึงตัดสินใจเดินเข้าไปหยิบเอากระเป๋าตังค์โทรศัพท์กับกุญแจรถออกมา
“จะไปไหนวะ..” แคปเงยหน้าถาม
“ซุปเปอร์
ใกล้ๆเนี่ย” ปอตอบพลางสวมรองเท้ากีฬาคู่เก่ง
ทั้งเขาทั้งแคปไม่ค่อยชอบลากแตะ
รองเท้ากีฬาจะมีคู่ที่เอาไว้ใส่เล่นใส่เที่ยวใส่เรียนและใส่เล่นกีฬา
บางทีเปลี่ยนพร้อมกันทีเดียวสี่คู่เลยก็มี
“ซื้อไรอ่ะ”
“อ้าว! ก็หมาที่ไหนล่ะบอกว่าอยากให้กูต้มโจ๊ก
ตุ๋นข้าวให้กินน่ะ ทั้งกระดูกหมู ผักชี ต้นหอม หมูสับ กูจะไปเสกมาจากไหนถ้าไม่ใช่ซุปเปอร์ล่ะวะห๊ะ!” ปอเดินเข้าไปผลักหัวแคปทำโทษหนึ่งที
คนฟังเงยหน้าแล้วเบะปากใส่
เขาไม่อยากสนใจแล้วรีบลงไปตอนนี้น่าจะดีกว่า แต่ทว่าเสียงทุ้มๆของแคปเรียกดังขึ้น
“เฮ้...
ไอ้ปอ”
“ไรอีก” ปอหันไปถามเสี่ยงเหวี่ยง แคปทำท่าอ้าปากค้างกำลังจะพูดอะไรสักอย่างออกมาแน่
ๆ สองคนมองหน้ากัน
ปอเห็นแบบนั้นก็นึกดีใจรอเลย
เขาเผลอคิดไปว่าแคปมันกำลังจะอ้าปากบอกว่าไม่เป็นไรหรอกเดี๋ยวกินโจ๊กเซเว่นนี่แหละไม่ต้องไปขับรถตากแดดร้อนๆให้เสียเวลา แต่น่าเสียดายมากจริงๆ
เพราะสิ่งที่แคปพูดออกมามันทำให้ปอหุบรอยยิ้มไว้แทบไม่ทัน
“รีบไปรีบมาล่ะมึง
เหยียบให้มิดเลยนะ”
“ไอ้เพื่อนเหี้ย!” คราวนี้ไม่ใช่ผลักหัวแล้ว
ปอเดินไปฟาดผั๊วะลงที่หัวทุยๆนั่นจนหน้าแคปเกือบทิ่ม
เจอสวนกลับด้วยหมัดชกพุงความเร็วสูงมาก ปอหลบจนกระเด็นไปชนผนัง แคปมองแล้วขำ
เขานั่งหัวเราะที่แกล้งเพื่อนได้จนท้องคัดท้องแข็ง
“มึงจำไว้ไอ้แคป
กูจะทำโจ๊กที่จืดที่สุดให้มึงแดก”
ปอชี้หน้าบอกให้รู้ว่าโกรธแล้ว
แต่แคปมีเหรอจะสน เขาก็แค่ยักไหล่
“กูกลัวเรอะไอ้เหี้ยปอ
เหอะๆ” หัวเราะแล้วไขว้ขานั่งดูทีวีทำท่าราวกับราชา
ขณะที่ปอหัวเสียสุดๆเดินไปเปิดประตูผั๊วะออก
“เหี้ย!
กูตกใจ” เสียงทุ้มตะโกนขึ้นสุดแรง
กระเป๋าตังค์กับโทรศัพท์แทบจะร่วงหลุดจากมือ ก็จู่ ๆ
ใครจะคิดว่ามีคนที่เปิดประตูพร้อมกันกับเขายืนตีหน้ายักษ์อยู่หน้าห้อง ในมือมันหิ้วปิ่นโตเถาใหญ่ ก่อนตัวคนจะเดินหน้ายุ่งเข้ามาแล้วยัดไอ้ปิ่นโตร้อนๆนั่นใส่อกเขาแบบแรงมาก
“เหี้ยบ้านมึงหล่อขนาดนี้เลย?”
“ไอ้สัสเอส
หลงตัวเองนักนะมึง” ปอสวนขึ้นทันที
เอสหัวเราะเหอะไม่ได้สนใจ
ขณะที่ปิ่นโตในมือปอร้อนมากๆเขาวิ่งเอาเข้าไปวางในครัวแทบไม่ทัน
กลิ่นหอมของโจ๊กลอยฟุ้งออกมา
“ตื่นนานยังวะ..” เอสเดินไปแตะมือเข้าที่หน้าผากของคนที่นั่งดูทีวีเพื่อเช็คอุณหภูมิ เจอแคปปัดออกแรงมากเขาโมโหเลยรวบเอาแม่งทั้งตัวนั่งกอดไว้แบบนั้นแหละ
“มึงบ้ารึไงห๊ะ!
ปล่อยเดี๋ยวนี้ไอ้สัส! กลับมาทำไมของมึงอี๊กกกก” แคปดิ้น
“ก็ถามดีๆไม่ยอมตอบให้ดี
กูก็ต้องเล่นไม้นี้ไง”
“ทำไมกูต้องพูดดีๆกับมึงล่ะห๊ะ
กับไอ้คนที่หนีไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้เนี่ย โฮ้ยปล่อยโว๊ยยยยย”
“หนีไปไหน?” เอสทำหน้างง
“จะไปรู้หัวมึงเรอะ
มึงหายหัวไปไหนมาล่ะตั้งแต่ตื่นนอนน่ะ”
“ก็ไปรอต่อคิวซื้อโจ๊กให้หมาอยู่มั้งนะ
นานเป็นกิโลไม่บ่นให้มึงฟังหรอก”
“ถึงมึงบ่นกูไม่เชื่ออ่ะ
ปิ่นโตมาจากไหนกูเชื่อมึงตายแหละ”
“ปากดี
ดูดโชว์เพื่อนมึงสักทีดีไหมล่ะหื้ม”
“อย่านะ
ไอ้สัส ปล่อยโฮ้ยยยยปล่อยกู๊ววววว”
“นิ่ง
ๆ แล้วปล่อย”
“ไม่นิ่ง!”
“แคป”
“กูไม่นิ่ง!” แคปตะคอกขึ้นอีกเอสนี่โมโหมาก
มือนึงล๊อคต้นคออีกมือบีบปากเล็กๆจนจู๋ แคปร้องอู้วๆอ้าๆ
“ไม่นิ่งก็โดนกอดอยู่แบบนี้แหละ
ดูหน้าเพื่อนมึงสินั่น เทโจ๊กลงถ้วยผิดแล้วมั้งน่ะ..” แคปหันไปมองปอทั้งๆที่ตัวเองโดนกักไว้ทุกทางแบบนั้น
แววตาคือขอความช่วยเหลือเต็มที่ แต่ปอยักไหล่แล้วส่งยิ้มแห้ง ๆ
เป็นสัญญาณว่ากูช่วยมึงไม่ได้จริง ๆ แฟนมึงๆโหดเหี้ยๆจัดการเอาเองเห๊อะ
“อื้ออออ...” เสียงแคปพูดอู้อี้พยายามจะขยับขาออกให้หลุดจากท่อนขาแข็งแกร่งที่พันรัดเขาไว้
และเพราะว่าปากเล็กก็ยังไม่โดนปล่อยให้เป็นอิสระ เพราะงั้นท่าทางแคปจึงตลกมากๆ
เอสเห็นแล้วก็นึกขำหน้าตาอะไรมันจะฮาขนาดนั้น
“กูเกลียดมึง
อย่ามาหัวเราะกูนะปล่อยสิโว๊ยยย ไอ้เหี้ยนิ!”แคปด่าลั่นเมื่อเอสยอมปล่อยปากเขาออกแล้วจ้องหน้า
“มึงเกลียดกู
แต่กูขับรถเป็นชั่วโมงไปต่อคิวเพื่อซื้อโจ๊กให้มึงกินเนี่ยนะ”
“ปล่อยกู!
ไอ้คนสารเลว”
“คนสารเลวที่นอนตีสามแต่ตื่นขึ้นมาเช็ดตัวให้มึงทุกครึ่งชั่วโมงอ่ะนะ”
“ไอ้ชั่วเอ๊ย
โอ๊ยยยกูอึดอัด รัดขากูทำเหี้ยเรอะ”
“คนชั่วที่นอนกอดมึงไว้ตอนที่มึงละเมอร้องหาแต่พี่ชายมึงอ่ะเหรอ”
“มึงเงียบปากได้ไหมห๊ะไอ้สัส! พูดเสียงดังไปไหน
นึกว่าพูดแบบนี้แล้วกูจะบอกว่ามึงดีงั้นดิ ปล่อยกู๊ววววว” แคปดิ้นต่อต้านทั้งมือทั้งเท้า
เอสจนใจจะกอดไว้แล้วเขาผลักตัวคนทั้งตัวลงจากตักไปนั่งตาเขียวหน้าเขียวอยู่ข้างๆ แคปคว้าหมอนอิงข้างตัวได้กระโดดขึ้นคร่อมจะจัดการกดคนตัวโตลงกับโซฟา
เขาบดฟันกรอดจะเอาให้ได้ แต่เอสกลับรวบเอวเล็กไว้ได้อีก
“ไม่เคยบอกว่าตัวเองดี
แล้วก็ไม่เคยคิดอยากให้ใครมาชมว่ากูดีด้วย”
“ก็แล้วมึงพูดขึ้นมาทำไมล่ะวะห๊ะ!”
“ก็แค่อยากพูด”
“สัส
อยากพูดทำไม กวนตีนกูได้มึงมีความสุขงั้นดิ?”
“มั้ง
หึหึ”
“ไอ้โรคจิต!”
“แหม่..เมื่อคืนไม่เห็นว่าแบบนี้เลยเหอะ
ตาแดงด้วยตอนที่กูเปิดห้องออกไปน่ะ ฉุนเฉียวกลัวกูไม่กลับเข้ามาใช่ไหมล่ะหื้ม...” เสียงแหบพร่ากระซิบเย้ยอยู่ริมหู
แคปตวัดสายตาใส่อย่างโกรธจัด
“กูบอกให้มึงเงียบปากไอ้สัสนี่
ปากมึงแม่งแกว่งหาตีนกูตลอดเลยเหี้ย ตายซะ!”
แคปโมโหจนตาเหลือกกระโจนสุดตัวยังไงวันนี้เอาให้มันขาดอากาศด้วยหมอนใบนี้ให้ได้
เขาพยายามจะกดมันลง
แต่น่าเสียดายยังไม่ทันได้ทำอะไรหรอกเพราะเอสกระชากแขนเล็กทีเดียวแคปกลิ้งลงมานั่งอยู่ด้านล่างส่วนคนตัวโตกว่าพลิกเกมส์ไปนั่งคร่อมอยู่บนตักเล็กแทน
“กูหนักไอ้เหี้ย
อื้อออ ผั๊วะๆๆๆ” แคปฟาดใส่ไม่ยั้ง
เอสไม่สนใจล๊อคใบหน้าเล็กด้วยสองมือเขาเอาหน้าผากเข้าชนหน้าผากเล็กของอีกคนกดแนบไว้จนแน่น
อุณหภูมิยังอุ่นอยู่นิดหน่อยแต่ก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ
“ไอ้สัสเอ๊ย” แคปด่าอีกครั้ง เอสหมั่นเขี้ยวกดจูบเบา
ๆ ลงที่มุมปากเชิดๆนั่น แคปเบี่ยงหน้าหลบ
“ชอบไหมวะท่านี้น่ะ” เสียงทุ้มเหยียดรอยยิ้มเยาะ
แคปหันมองจ้องมันจนตาเขียวก่อนที่จะนึกอะไรดีๆออกเพราะได้ยินเสียงช้อนหล่นกระทบพื้นดังโครมครามอยู่ที่ครัว รู้แน่ๆว่าปอมันคงกำลังแอบดูเขาสองคนอยู่ แคปรีบปรับสีหน้าใหม่ก่อนอมยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ออกมา
“อะไร? มองแล้วยิ้มนี่มันอ่อยกูชัดๆเลยนะ” เอสพูด
รู้แล้วล่ะว่าแคปจอมเจ้าเล่ห์มีลูกเล่นอะไรกับเขาแน่ๆ
“อ่อยเรอะ? มึงมากกว่ามั้ง ขึ้นมานั่งคร่อมตักกูซะขนาดนี้
อยากโดนเหรอครับถามจริง หึหึ”
แคปย่ามใจท่านี้ความจริงเข้าท่าชะมัด
เขาคิดว่าตัวเองกำลังสวมบทบาทเป็นฝ่ายรุก
เลื่อนสองมือบีบเข้าที่แก้มก้นของคนบนร่างก่อนฟาดผั๊วะเสียงดังออกมาเซอราวด์รอบห้อง
ปอที่กำลังจะยกถ้วยโจ๊กขึ้นแต่ยังไม่สบโอกาสดีๆถึงกับอุทานว่า[b] “เหี้ย!”[/b] เสียงดังสดมาก เอสขำ
“ท่านี้ความจริงก็ไม่เลว”เขาว่าขึ้น
“นั่นดิ..” แคปส่งสายตาเจ้าชู้
เขาเคยบอกกับปอว่าไอ้เอสมันเป็นเมียเขา
เพราะฉะนั้นป่านนี้ไอ้ปอมันเห็นภาพหลักฐานชี้ชัดๆขนาดนี้ โอ๊ยยยยยขำ
สมน้ำหน้าไอ้เหี้ยเอสอยากพลิกเกมขึ้นมานั่งคร่อมตักเขาดีนัก
มึงโทษตัวเองไปเถอะนะเอสนะ
“เพื่อนมึงคงจะคิดว่ากูเป็นคนของมึงแบบนั้นใช่ไหมล่ะ” เอสพูดออกมาเบา ๆ
กดน้ำหนักลงที่ฝ่ามืออีกนิด จนแคปต้องเบ้หน้า
เห็นแบบนี้ใบหน้าแคปคือโดนล๊อคแน่นมาก
แต่คนที่มองจากมุมนอกคงคิดว่าแคปกำลังเงยหน้าขอกอดไอ้คนด้านบน
“กูเกลียดมึงว่ะ” เพราะแคปเริ่มหนักจนทนแทบไม่ไหวกัดฟันด่า
ที่สำคัญเจ็บหน้าเจ็บปากไปหมด ไอ้เหี้ยเอสแม่งเล่นแรงเป็นบ้า
มันไม่ได้จับหน้าเขาแบบทะนุถนอมสักนิด
“อ้าว
ทำไมน้ำเสียงเปลี่ยนล่ะวะหื้ม?
ไม่อยากให้กูอยู่ข้างบนแล้วงั้นสิ”
“มึงลงไปเลยไอ้เหี้ย
กูหนักสัส” แม่งตัวอย่างกับควายไม่สนแล้วเพื่อนจะมองภาพเขากับมันแบบไหน
หนักฉิบหายเลยเหอะ
“ไอ้เหี้ยเอส
กูหนัก!” แคปตะคอกใส่ผลักไหล่ดันตัวมันออก
“ลุกสิวะ
มึงไม่ได้ยินเหรอห๊ะ! ไอ้บ้านี่ อื้ออ”
“พอๆๆๆ เล่นเหี้ยไรกันไม่รู้เรื่องเรื่อง
กินข้าวกันได้แล้ว โซฟาพังหมดพวกมึงนี่ จะตีกันไปถึงไหนวะ” ปอดึงแขนเอสบอกให้ลุกออกมาจากแคปได้แล้ว
เขาส่ายหัวกับพฤติกรรมสองคนที่ตอนแรกก็ดูโซสวีทดีหรอกแคปมันก็ท่าทางจะเป็นผู้นำได้อยู่
แต่ไปๆมาๆทำไมมันตีกันอีกเหมือนเดิม
แล้วคนที่เสียเปรียบกลับเป็นไอ้แคปเพื่อนเขาเองอีก
มันทำท่าจะถูกไอ้เอสกดหลายรอบมาก ร้องอื้อๆอ้าๆต้องช่วยไว้ก่อน
“โห
หอมมาก” แคปวิ่งหน้าตั้งรีบเข้ามาดูถ้วยอาหารบนโต๊ะ
โจ๊กร้อนๆควันลอยขึ้นหอมฉุย เขานั่งลงแล้วตักซัดเลย
“โอ๊ย!
ร้อนๆๆๆๆๆเหี้ย กูร้อน..” ทิ้งช้อนโครมลงในถ้วยจนโจ๊กกระเด็นกระดอน
ตะโกนออกมาอ้าปากแล้วเอามือพัด โวยวายไม่หยุด เอสที่นั่งอยู่ข้าง ๆ
รีบยื่นแก้วน้ำส่งให้
“รีบกินอะไรของมึงนักวะ
มันร้อนมากแค่ดูก็น่าจะรู้แล้ว..”
เอสดุ
“นั่นสิวะ
รีบร้อนไปไหนของมึง..”ปอเสริมอีกคน
“ก็กูหิวนี่หว่า
พวกมึงไม่มาอ้วกแตกแบบกูเมื่อคืนมั่งล่ะ
หมดไส้หมดพุงกูหิวจนจะกินช้างได้ทั้งตัวแล้ว เมื่อกี้ก็เสือกมีควายตัวใหญ่ ๆ
มานั่งบนตักอีกเสียพลังงานเป็นบ้า เป็นใครๆก็หมดสภาพโว๊ย
หิวสัส!”
“ว่าใครควาย” เอสหันไปเลิกคิ้วถาม
“มึงอยากรับเอาไหมล่ะ”
“เดี๋ยวเหอะมึง” เอสชี้หน้าคาดโทษอีกครั้ง
แคปก็แค่ยักไหล่ใส่
แต่เอสที่เร็วมากล๊อคคอเล็กก่อนตักโจ๊กร้อนๆขึ้นมาทำท่าจะยัดเข้าปากให้ แคปร้องบอกไม่เอาๆเสียงดังมากๆ สองคนสู้กันจนพอใจแม้แต่บนโต๊ะอาหาร ในที่สุดเอสปล่อยแคปออก
แอบมองคนโดนแกล้งที่นั่งบ่นหน้างอตาเขียวใส่เขายิ่งสนุก
“โจ๊กอร่อยว่ะ
มึงซื้อเจ้าไหน” ปอถามขึ้นเรียบ
ๆ เขานั่งเป็นอิฐเป็นปูนไม่สนใจสองคนตรงหน้าราวกับว่ามีแค่เขาที่นั่งอยู่ ตักกินแบบเรื่อยๆเป่าแล้วค่อยเอาเข้าปาก
ไม่ได้รีบร้อนกินจึงรับรู้รสชาติของอาหารเป็นอย่างดี ต่างกับแคปที่รีบมากจนลิ้นพอง
ตอนนี้ถึงอยากกินให้อร่อยก็สายไปแล้ว
เอสเห็นคนข้าง ๆ ทำหน้าหมาหงอยแล้วก็ตลก
เขากวนๆโจ๊กในชามตัวเองแล้วเป่านิดๆไล่ความร้อนออกไป
ที่จริงโจ๊กเจ้านี้เขาไปซื้อกับคุณลุงพนักงานของที่บ้านที่เคยดูแลเขามาตั้งแต่เด็ก
ถึงไปปุ๊ปจะได้เลยแต่เขาก็ไม่อยากจะแทรกคิว ทนยืนรอจนถึงคิวของตัวเอง
พอลุงกับป้าเห็นรีบกุลีกุจอเอาปิ่นโตเถาใหญ่มาใส่ไว้ให้ บอกไม่เอาเงินอีกต่างหาก
ก่อนออกมาเอสจึงแอบเอาใบพันไปวางไว้ให้ข้าง ๆ หม้อต้มโจ๊กสองใบ
“เจ้าประจำ” เขาตอบออกมาเบา ๆ แคปเหลือบมอง
“ที่ไหนวะ
ไกลป่ะ” ปอเงยหน้าถาม เอสอธิบายไปแบบสั้น
ๆ เขายังบอกอีกว่าแคปเคยไปกินมาแล้ว
“คนเยอะมาก
อร่อยแต่ต้องนั่งรถไกลว่ะ เข้าซอยแคบอีกต่างหาก กลับรถลำบากถ้าไปมอไซด์ก็โอ” แคปพูดไปด้วยเป่าไปด้วย
คือเขากำลังงงว่าทำไมมันถึงร้อนนัก โจ๊กมันเดินทางเป็นชั่วโมงอยู่บนรถ
มาถึงห้องกว่าพวกเขาจะได้กินทำไมยังร้อนจัดอยู่อีก
ถามไปถามมาปอบอกเห็นเขากับเอสเถียงกันอยู่เลยจัดการอุ่นใหม่อีกรอบ
“โฮ่
มิน่ากูถึงร้อนไม่หายเลยไอ้หมาปอแม่ง อุ่นทำซากเหรอวะ” แคปด่า
“โทษตัวเองเหอะพวกมึงอ่ะ” ปอบอกแล้วหน้าเริ่มแดง ๆ
เมื่อนึกถึงวิธีการแผลง ๆ ที่เอสกับแคปแกล้งกันเมื่อเช้า
เอสนั่งหัวเราะหึๆเพราะขำขณะที่แคปตวัดสายตามองกำลังจะด่าใส่อีกแต่เสียงโทรศัพท์คนข้าง
ๆ ดังขึ้นก่อน เอสหยิบเอาขึ้นมาดูชื่อที่หน้าจอ
แคปบังเอิญเห็นแล้วว่าเป็นสายจากเมี่ยงเพื่อนตัวเล็กของมัน
“กินถ้วยกูนี่
เป่าให้แล้ว” เอสลุกขึ้นจับหัวแคปขยี้บอกว่าตัวเองเป่าให้จนอุ่นแล้ว
เขาเดินถือโทรศัพท์ออกไปคุยอยู่ที่โซฟา พักเดียวก็เปิดประตูออกไป
“มันไปไหนวะ” ปอเงยหน้าถาม
แคปส่ายหัวบอกไม่รู้ก็นั่งอยู่ด้วยกันกูจะรู้ได้ไงวะ
“อ้าว
มันจะกลับแล้วไม่มาบอกมึงล่ะ”
“เอ๊าไอ้นี่ถามเหี้ยไรนักหนาวะ
ให้มันไปๆเลยเหอะยิ่งดี มันจะไปไหนจะไปสนมันทำไมวะ เรื่องของมันเหอะ
เดี๋ยวกูจะเข้าไปอาบน้ำแล้ว วันนี้เฮียเต้จะมารับกลับบ้าน”
“วันนี้?”
“อือ” แคปตอบเรียบๆก้มหน้าก้มตากินถ้วยของตัวเอง
ไม่สนใจถ้วยที่เอสเลื่อนมาไว้ให้แล้วบอกว่าเป่าให้แล้วเขาไม่สนใจหรอก
ทำไมต้องกินไอ้ถ้วยของคนโรคจิตที่จะไปจะมาไม่เคยบอกให้รู้เลย ไม่เห็นหัวกันแบบสุดๆ
“มึงไม่ต้องมาอีกเลยนะไอ้สัส!” แคปกัดฟันก่นด่าอยู่คนเดียว
“ห๊ะ!” ปอนึกว่าพูดกับตัวเองเงยหน้ามองบอกไม่รู้เรื่องแคปส่ายหัวบอกด่าไอ้บ้านั่น เขากินจนหมดถ้วยกำลังจะลุกเข้าห้องไปอาบน้ำอาบท่าเสียงคนเปิดประตูเข้ามาพอดี
“เดี๋ยวกูกลับก่อน
ดึกๆจะแวะมาใหม่” เอสเดินเข้ามาขยี้ลงที่หัวเล็ก
แคปปัดมือออกทำหน้าบอกไม่ให้ยุ่ง “เรื่องของมึงดิ”
“ไม่งอนสิวะ
กูมีรายงานต้องทำเพื่อนโทรมาตาม ไว้เย็นๆเดี๋ยวแวะมา วันนี้ไม่ได้ไปไหนใช่ไหม” เอสรวบเอวเล็กเข้ามาชิดกับตัวเขา
“กูไม่ได้งอนไอ้สัส
อย่ามายุ่ง!” แคปไม่สนใจหลุดออกจากวงแขนนั้นได้จะเดินเข้าห้องท่าเดียวเอสดึงแขนไว้แล้วจ้องหน้า
“แคป” เขาใช้โทนเสียงที่ต่ำลง
“กูไม่ได้งอนอะไรเลยเหี้ย
มึงจะบ้าเหรอ ก็บอกอยู่เนี่ยจะไปไหนก็ไป”
“งั้นไว้ตอนเย็นเดี๋ยวแวะมา”
“ไม่ต้องแวะมากูไม่อยู่มึงจะแวะมาหาสวรรค์วิมานมึงเหรอห๊ะ!”
“ไปไหน”
“กูจำเป็นต้องบอกมึงไหม..” เอสรวบเอวรัดเข้ามาด้วยมือแข็งแกร่งของเขาแค่มือเดียวอีกครั้ง แคปนี่ถลาเข้าชนอกแกร่ง ๆ จนเกือบจะล้ม
“มึงจะเล่นแรงไปไหนไอ้สัส
โรคจิตฉิบหาย”
“กูถามว่าจะไปไหน”
“จะกลับบ้านโว๊ย กูไม่อยากบอกมึงเลยรู้ไหมห๊ะ!” แคปตะโกนใส่หน้าเสียงดังมาก
แกะมือเหนียวๆที่ยุ่มย่ามกับช่วงเอวเขาออกอย่างหงุดหงิด
ในที่สุดเอสยอมปล่อยออกมาแล้ว
“ก็แค่นั้น”
“กูเกลียดมึงที่สุดอ่ะ”
“หึหึ”
“หัวเราะทำไมห๊ะ! มึงห้ามหัวเราะนะกูพูดซีเรียสมีห่าอะไรน่าขำ” แคปชี้หน้าด่าอีกเอสปัดมือเล็กออกอย่างไม่ปราณีเช่นกัน
สองคนเล่นกันแรงมากจริง ๆ
ปอที่ยืนล้างจานไปดูไปอยู่ในครัวนี่หวั่นใจโทรศัพท์บ้านตรงที่มันสองตัวยืนคุยกันจะถูกไม่ใครก็ใครจับฟาดจนหล่นแตกเสียหาย
“ขำดิ
ทำอะไรกูไม่ได้ก็บอกมึงเกลียดกูที่สุด คิดว่าพูดแบบนั้นจะแทงใจกูหรือไง”
“ไอ้สัส
กูเกลี-……..” แคปหุบปากฉับไว้แค่นั้น
งุ่นง่านจนหยิบจับอะไรไม่ถูกเมื่อโดนเอสดักคอไว้แทบทุกทางแม้กระทั่งคำด่า
เขาชี้หน้ามันจนนิ้วสั่น จะอ้าปากหาคำด่าใหม่ยังคิดไม่ออก
“บอกว่ากูรักมึงที่สุดแบบนั้นค่อยเข้าท่าหน่อย”
“ไอ้.......ฮึ่ยยยยยยยย
ไอ้คนหน้าด้าน! เวรกรรมอะไรของกูวะ ใครจะบ้าไปพูดห่วยๆแบบนั้นวะห๊ะ
กูไม่ใช่ผู้หญิงโง่ๆของมึงนะบอกให้รู้!”
เอสยืนขำจนไหล่สั่น
เขาเพิ่งเห็นแคปโกรธจนน่าเขียวหน้าเหลืองแบบนี้เป็นครั้งแรก
ถ้ามันคว้าเขามากระทืบได้มันคงทำไปแล้ว
“ไม่ต้องมาหัวเราะกูไอ้เหี้ย
ไหนมึงว่าจะรีบไปไหนของมึงก็รีบไปซะสิวะ ยืนเซ่ออยู่ทำไม”
“โอเคๆไปเดี๋ยวนี้แหละ” เอสยกมือบอกยอมแล้วรัวๆ
ทั้งๆที่ยังขำไม่หยุดแต่ก็ต้องยอมถอย
แคปหันหน้าหันหลังคว้าเอาโทรศัพท์ที่วางไว้ข้าง ๆ ตัวขึ้นมาจะจับฟาดใส่มัน
ปอที่ยืนมองอยู่ถึงกับหรี่ตามองอย่างหวาดเสียว
เขานึกแล้วไม่ผิดไอ้โทรศัพท์เครื่องนั้นได้แหลกสลายคาหัวไอ้เอสจอมยั่วแน่
ๆ
“เล่นแรงไปไหนวะมึงเนี่ย
หื้ม..” เอสคว้าเอาทั้งคนทั้งโทรศัพท์ไว้ได้
กอดไว้จนจมอก เขาเอาตัวแคปออกมาจากตรงจุดนั้นแคปดิ้นจนขาลอย
“ไอ้สัสเอ๊ยกูโมโหมึงที่สุดรู้ไหมห๊ะ!”
“รู้แล้วๆ
พอแล้วจะกลับแล้วจริงเนี่ย ”
“งั้นก็ปล่อนกูสิเฟ้ย
ไอ้บ้าเอ๊ย”
“จะกลับมาวันไหนบอกกูก่อน”
“พรุ่งนี้!” แคปตะคอก
“งั้นพรุ่งนี้ค่อยมาหาแบบนั้นใช่ไหม”
“ไม่ต้องมา!
ปล่อยกู๊วววววว”
“โอเค
ยอม” เอสปล่อยแคปลงจริง ๆ
พอปล่อยปุ๊ปเขาถอยไปตั้งหลักถึงหน้าประตูยกสองมือทำสัญลักษณ์ว่ายอมแพ้
ก็ใครจะอยากโดนทั้งมือทั้งตีนหนักๆของมันล่ะ
“ไปให้พ้นเลยไอ้เหี้ย!!” ตะโกนไล่ส่งท้ายก่อนที่เอสจะยิ้มยั่วโปรยจูบแล้วบอกบ๊ายๆพรุ่งนี้เจอกัน
บ้าฉิบ!
แคปสบถขยี้หัวตัวเองจนยุ่งก่อนหันมาเห็นปอยืนยิ้มแห้ง ๆ มองอยู่
“มึงเห็นแล้วใช่ไหมล่ะ
มันกวนประสาทกูเหี้ยๆเลย”
“เออๆเข้าไปอาบน้ำไปเดี๋ยวเฮียเต้มาแล้ว” ปอเห็นแคปหงุดหงิดขนาดนั้นก็ได้แต่ปลอบใจเพื่อนตัวเอง
ก่อนคนหน้ายุ่งจะเดินย่ำเท้าเข้าห้อง
เขาเดินไปกดเปิดทีวีหาการ์ตูนเรื่องใหม่นั่งดู นึกๆไปถึงพฤติกรรมไอ้สองตัวนั้นแล้วทำไมรู้สึกว่า...แปลก
“มันคืออะไรวะ...” เขานั่งพึมพำอยู่คนเดียว
ไม่เข้าใจมันคบกันแบบไหน คบกันแต่ทะเลาะกันตีกันอยู่ตลอดงี้เหรอ?? ให้ตายเหอะ
หรือว่ามันไม่ได้คบกันวะ
ปอส่ายหัวคิดเองงงเอง
.
.
“ลาเต้
คาปู ยกกับข้าวออกไปเร็ววันนี้พ่อมีเจ้าสาวมาให้ลูกๆรู้จักกันนะ..”
นั่นคือคำพูดที่โก้พูดออกมาทันทีที่สองหนุ่มกลับมาถึงบ้าน
วันอาทิตย์ที่ร้านหยุดอยู่แล้วเพราะงั้นวันนี้โก้จึงอยู่ในชุดทำงานบ้านง่าย ๆ
แต่ดูเรียบร้อยดี
แคปกับเต้ยืนมองหน้ากันเลิ่กลั่กต่างคิดว่าตัวเองหูฝาดหรืออะไรสักอย่าง
พวกเขากำลังจะอ้าปากถามว่าจู่ ๆ พ่อพูดอะไร
ทว่ากลับมีเสียงรถยนต์จอดลงที่หน้าบ้านพร้อม ๆ
กับคุณอายังหนุ่มน้องชายฝาแฝดของพ่อเขาเองเดินหน้ามุ่ยผ่านสองพี่น้องเข้าไปทิ้งตัวนอนคว่ำหน้าลงที่โซฟายาว
“เจ้าสองตัวนั่นน่ะได้ยินที่พ่อเรียกไหมนิ
บอกว่ามายกอาหารออกไป วันนี้เราจะทานกันที่ระเบียงหน้าบ้าน
พ่อมีเจ้าสาวจะมาแนะนำให้ลูกๆรู้จัก..”
โก้พูดออกมาแบบเรียบ
ๆ พูดราวกับกำลังบอกพวกเขาว่าแมวกับหมาคือสัตว์โลกน่ารักชนิดหนึ่ง
ตอนแรกแคปไม่แน่ใจเลยสักนิดเขาคิดว่าตัวเองได้ยินผิดพลาด
คือคำว่าเจ้าสาวไม่น่าหลุดออกมาจากปากของพ่อ กระทั่งเต้ตอนนี้ก็ยืนนิ่งไปด้วยอีกคน
สองพี่น้องจ้องหน้ากันและกัน
“อ้าว
ยังยืนนิ่งอยู่อีก มายกออกไปเร็วสิ เดี๋ยวจะได้แนะนำเจ้าสาวให้รู้จักไงล่ะ”
“อะไรนะครับพ่อ!? พ่อพูดอะไรน่ะ
เจ้าสาวอะไรกัน??” แคปโวยขึ้นทันทีเมื่อชัดเจนเต็มสองหูแล้วว่าโก้พูดเรื่องเจ้าสาว
แม้กระทั่งฟี่ที่นอนคว่ำหน้าอยู่ยังสะดุ้งเฮือก ลุกขึ้นมานั่งมองพี่ชายตัวเอง
“ก็เจ้าสาวไงล่ะ..” โก้ยังพูดเสียงเรียบ
เขามองดูอาหารที่ทำออกมาเสร็จอย่างประณีตบนโต๊ะ ถอดผ้ากันเปื้อนออก
กวักมือเรียกลูกชายสองคนอีกครั้งแต่คราวนี้แคปโวยวายขึ้นก่อน
“เจ้าสาวอะไรกันครับพ่อ
ผมไม่ยอมหรอกนะอะไรกันจู่ๆจะมีเจ้าสาวได้ยังไง งงไปหมดแล้วเนี่ย”
“ทำไมจะมีไม่ได้ล่ะ
พ่อก็เคยทำมาแล้วนะ เจ้าสาวน่ะคาปูลาเต้”
“พ่อ!/พ่อ!”สองพี่น้องตะโกนขึ้นพร้อมกัน
ในขณะที่ฟี่ลุกขึ้นยืนจ้องหน้าโก้ตาเขียวปั๊ด
เครื่องหมายเควชเชิ่นมาร์คขนาดใหญ่ตีแสกหน้า
“เป็นอะไรกันไปหมดเนี่ย
ทำหน้าอะไรของมึงวะฟี่ ลูกๆตกใจหมดแล้วนั่น..”
โก้ขยับแว่นสายตาที่ใส่
เดินออกมาพร้อมแก้วน้ำเย็นยื่นให้น้องชายก่อนผลักหัวคนหน้างอไปเบา ๆ
“ทำหน้าอะไรของมึง...” โก้ส่ายหัวเมื่อเห็นฟี่ยังทำสีหน้าหงุดหงิดงอแง
ก่อนบอกให้เต้กับแคปไปยกอาหารออกมาจากครัวได้แล้ว
หากแต่แคปกลับถอยห่างออกหนึ่งก้าวไปยืนชิดอยู่ข้างพี่ชาย
เต้เองก็ขยับเข้าหาน้องชายตัวเอง
“คาปูเป็นอะไรทำไมมองพ่อแบบนั้น
รีบไปช่วยกันยกอาหารออกมาเร็ว”
โก้บอกลูกๆเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วจนเขาเหนื่อย แต่แคปส่ายหน้าบอกไม่
“ไม่เอาแบบนั้นหรอก
พูดกันให้รู้เรื่องก่อน พ่อพูดเรื่องอะไรน่ะครับ ไหนกันเจ้าสาวที่ว่า” แคปถามขึ้น
“นั่นสิ
อย่าทำให้พวกผมตกใจมากกว่านี้เลยนะ ผมเข้ามายังไม่เห็นผู้หญิงสักคน
พูดว่าเจ้าสาวหมายความว่าเดี๋ยวเธอจะมางั้นเหรอ
หรือว่าพ่อนัดเธอให้มาทานข้าวเย็นพร้อมเรากันแน่ครับ..” เต้อดไม่ได้ที่จะมองน้องชายไปด้วยพูดกับโก้ไปด้วย
แบบนี้ไม่เคลียร์เลย โก้กำลังพูดเรื่องอะไรกันแน่
“จริงเหรอวะโก้
เรื่องที่มึงพูด จริงเหรอ...”
และนี่คือเสียงทุ้มๆแต่แฝงไปด้วยความเครียดที่อัดแน่นจากฟี่
ทั้งหมดนั่นทำเอาโก้ถึงกับถอนหายใจยาวเหยียดเป็นกิโล เขายืนเท้าสะเอวมองหน้าสามตัวที่ยืนจ้องเขาอยู่ไม่วางตา
ไม่คิดว่าคำว่าเจ้าสาวของเขาจะเป็นเรื่องซีเรียสยิ่งใหญ่ขนาดนี้
“อ่ะดูซะ
นี่ไง ‘เจ้าสาว’ ของพ่อ” เขาเดินเข้าไปในครัวหยิบจานอาหารที่ดูยังไงๆมันก็คือสลัดผักอะไรสักอย่างออกมายื่นให้ทั้งสามคนดู
“พ่ออ่ะ!/โถ่พ่อครับ!” คราวนี้สองพี่น้องอุทานขึ้นพร้อม
ๆ กันอีก ถึงสีหน้าจะยังดูเครียดแต่ทว่าน้ำเสียงกลับฟังดูโล่งอกไปแล้ว พ่อล้อเล่นอะไรกันเนี่ย
“บ้าเอ๊ย..” ฟี่ถึงกับส่ายหัววางแก้วโครมลงที่ตะจนน้ำหกกระฉอก
เขาซุกตัวนอนคว่ำหน้าลงไปที่โซฟาต่อ
โก้นั่งลงไปข้าง ๆ
“ก็ใช่น่ะสิ
ลูกคิดว่าพ่อหมายถึงอะไรกันล่ะ นี่คืออาหารเมนูใหม่ที่จะเอาขึ้นกระดานหน้าร้านของเรา
พ่อตั้งชื่อมันว่า ‘เจ้าสาว’ มันน่ากินใช่ไหมล่ะ..” สองพี่น้องยื่นหน้าเข้าไปดูให้ชัดๆ
แม้กระทั่งฟี่ที่นอนอยู่ก็ขยับเอาหัวมาหนุนตักโก้แล้วมองดูไอ้จานสลัดเจ้าสาวนั่น
“เนี่ยเหรอวะสลัดเจ้าสาว..” ฟี่ถาม
“ไม่ใช่เว้ย ชื่อเจ้าสาวเฉยๆ ไม่ใช่สลัดเจ้าสาว”โก้ก้มลงบอก
“แต่ผมว่าดูยังไงมันก็สลัดฮาวาเอี้ยนชัดๆ” แคปยื่นมือไปหยิบชิ้นสับปะรดเล็กๆที่เปื้อนครีมสลัดมาชิม
เขาพยักหน้าบอกอร่อย
เต้เลยหยิบมะเขือเทศชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต้าที่ราดน้ำสลัดแล้วเรียบร้อยออกมากินดูบ้าง
เขาพยักหน้าบอกโก้ว่ามันอร่อยมากๆเลย
“มันดัดแปลงมาจากฮาวาเอี้ยนนั่นแหละ
พ่อเปลี่ยนจากอกไก่และแฮมไปเป็นเนื้อทูน่า
มันเลยหอมกว่าแล้วไอ้ตัวที่ใช้โรยหน้าพ่อเปลี่ยนจากพาร์สเลย์ไปเป็นวอลนัทอบแทน”
“เดี๋ยวขอผมชิมวอลนัทก่อน..” แคปหยิบวอลนัทอบกรอบของโปรดขึ้นมายัดเข้าปาก
เขาเคี้ยวกรุบๆก่อนพยักหน้าบอกชอบมากๆโอเคผ่าน เต้ก็ยกนิ้วกดไลท์บอกผ่านเช่นกัน
“แล้วมึงอ่ะฟี่..” โก้ถามน้องชายอีกคน
ฟี่ก็แค่เอื้อมมือมาอย่างคนขี้เกียจทำท่าหยิบๆจับๆอะไรสักอย่างมั่ว
เขาจึงโดนโก้ตีมือบอกไม่ให้จับมือยังไม่ได้ล้าง
“มึงป้อนกูดิ” ฟี่เงยหน้าบอก จึงโก้หยิบเอาพริกหวานสีเขียวที่หั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋ายัดเข้าปากน้องชาย
ฟี่เคี้ยวแล้วทำท่าสูดจมูกโด่ง ๆ รับกลิ่นความหอม
“ก็หอมนี่
อร่อยอยู่แล้วล่ะ ผ่านก็แล้วกัน”
เสียงทุ้มบอกออกมา
โก้ยิ้มจนตาหยี
ขนาดมีแว่นสายตาใสอำพรางบนใบหน้ายังซ่อนความรู้สึกยินดีที่ฉายบนหน้าหล่อๆนั้นไม่ได้
และในที่สุดอาหารเย็นมื้อนั้นผ่านไปโดยที่ทุกคนในครอบครัวดินเนอร์กันอยู่ที่ระเบียงหน้าบ้าน
เต้รับหน้าที่ล้างจานช่วยโก้ขณะที่ฟี่พาแคปออกมาดูรถที่เขาเอาไปแต่งมาให้จนเสร็จ
“โอ้โห!!” แคปตาโตพอฟี่ดึงผ้าคลุมตวัดออก
รถสีดำที่ถูกแต่งมาสวยงามมาก ขัดซะจนขึ้นเงาวาววับ
ยิ่งสีดำอยู่แล้วยิ่งสวยจัดเข้าไปใหญ่
จานล้อรวมถึงสเกิร์ตทั้งคันตกแต่งให้ใหม่ทั้งหมด
ยังไงก็อดใจไม่ไหวที่จะลูบๆคลำๆเดินวนจนรอบรถ ฟี่ยื่นกุญแจส่งให้
“กูจะหักค่าขนมมึงสองปี”
“ห๊าาาาาาาาาาาา!!!!!!!!” แคปร้องขึ้นอย่างดังจนฟี่รีบเอามือเข้ามาอุดปากกลัวคนข้างบ้านแตกตื่น
“อะไรกันน่ะ
หักค่าขนมอะไรกัน
แค่นี้ผมก็อดมื้อกินมื้ออยู่แล้วอาฟี่อย่ามาทำเป็นคนใจร้ายหน่อยเหอะ” แคปจะคว้าเอากุญแจมา
แต่คราวนี้ฟี่ยึดเก็บไว้ก่อน ยังตกลงกันไม่ได้
“ถ้างั้นก็ไม่ต้องเอา” เขาว่า
“เรื่องอะไร
รถผมอ่ะ” แคปเถียงคืน
“แล้วใครซื้อให้มึงล่ะ”
“........” แคปมุ่ยหน้ามองอาใจร้ายของตัวเอง
โดนฟี่ผลักหัวมาเบา ๆ
แน่นอนว่าค่าใช้จ่ายจิปาถะทุกอย่างของแคปเขาเป็นคนรับผิดชอบตั้งแต่เล็กจนโต
ในขณะที่โก้นั้นรับผิดชอบในส่วนของส่วนลาเต้ไป
เขาช่วยโก้เลี้ยงเด็กๆมาตั้งแต่ยังเล็ก และมันก็แน่นอนที่ว่ารายได้จากงานของเขามั่นคงและเยอะมากพอที่จะจุนเจือเจ้าหลานวัยกำลังโตนี้ได้
“เอาไม่เอาแค่นั้นจบ”
“อาฟี่ใจร้ายว่ะ”
“กูไม่เคยพูดว่าตัวเองใจดี” ฟี่เอาบุหรี่ขึ้นมาจุดพิงรถแล้วกอดอก
เสื้อเชิ้ตสีดำราคาแพงที่ใส่ติดมาจากงานสืบคดีนอกเครื่องแบบเมื่อตอนกลางวันยับยู่ยี่ลงไปมาก
“หกเดือน” แคปต่อรอง
“ถ้าหกเดือนเห็นทีมึงต้องเสียสละเงินทุกบาททุกสตางค์ในแต่ล่ะเดือนให้กู”
“โหยอาฟี่ใจร้ายว่ะ
ผมไม่เอาแล้วก็ได้เดี๋ยวเข้าไปบอกเฮียโก้ว่าอาฟี่ใจร้ายกับคาปู
ไม่เห็นอยากได้เลยรถอะไรเนี่ย สวยเกินไปชะมัดผมไม่สนเลยสักกะนิด..” แคปทำท่าจะย่ำเท้าเข้าบ้าน
เขารู้ว่าถ้าอ้างโก้ อย่างไรเสียฟี่ก็ต้องใจอ่อน
“เดี๋ยวววววว” ได้ผลจริงดั่งที่ว่า
มือหนาดึงแขนแคปไว้ทันที
“หนึ่งปี
กูลดให้ครึ่งนึง”
“หกเดือน
แต่อาฟี่ต้องหักแค่เดือนล่ะห้าร้อย”
“ห้าร้อยกูขาดทุนยับเยิน..” เขาทิ้งบุหรี่ลงแล้วจ้องหน้าแคปทันที
พอดีกับว่าโก้และเต้เดินออกมาดูรถด้วยกัน เต้นี่โวยวายใหญ่บอกโก้แต่งให้บ้าง
โก้เลยบอกรอให้ถูกสลากออมสินรางวัลที่หนึ่งของธนาคารก่อน แคปหัวเราะพี่ชาย เต้ตบหัวน้องจนหน้าแทบคว่ำ
“พ่อครับ
อาฟี่น่ะ....”
“ไอ้แคป!” ฟี่รีบเรียกไว้ทำตาดุใส่เมื่อจู่
ๆ แคปเดินเข้าไปหาโก้แล้วทำท่าเหมือนจะพูดบางอย่าง
“ก็อาฟี่บอกว่าจะหัก...”
“บ้าฉิบ!” ฟี่ส่ายหัวสบถเบา ๆ
“หักอะไรฟี่
มึงจะหักอะไรลูกวะ”
“เปล่า”
“ไม่หักแล้วจริงเหรอ”แคปสวนขึ้น
ฟี่หันมองไอ้หลานเจ้าเล่ห์ตาเขียว “หักสิวะ ไม่หักได้ไง”
“หักอะไรกันน่ะ” โก้ถามขึ้นอีก
“ก็อาฟี่บอกว่าจะหักเงินค่าขนมผมตั้งสองปีอ่ะ
แบบนั้นคาปูแย่แน่ ๆ แค่นี้ทุกๆวันก็กินแต่มาม่ากับเกลือ ถ้าโดนหักเงินอีกรับรอง
เหลืองเป็นเด็กเอธิโอเปียแน่ ๆอ่ะ พ่อครับ”
“มึงเวอร์จริงๆไอ้แคป
หึหึหึ” เต้หัวเราะน้องชายจนท้องแข็งขณะที่ฟี่ส่ายหัวกับความเจ้าเล่ห์ของไอ้เด็กที่เขาเลี้ยงดูมันมากับมือ
“สองปีจริงอ่ะ?” โก้เหลือบมองแล้วถาม
ฟี่รีบเบือนหน้าหนีตอบเสียงอ่อยๆ “เปล่า
ก็แค่หกเดือน..” เขาไม่เต็มใจตอบเลยสักนิดบ้าชะมัดโก้มันจะออกมาทำไมวะเนี่ย
“จริงนะ
อาฟี่พูดจริงนะครับ เดือนละห้าร้อยใช่ไหมล่ะ”
แคปทำเสียงและหน้าตาดีใจสุดฤทธิ์
โก้หัวเราะขำแต่ฟี่นี่เครียดดดดดดจัด
“เดือนล่ะห้าพันเว้ย
ถ้าห้าร้อยกูขาดทุนหนักกว่าเดือนล่ะพันอีก”
“พ่อดูดิ
อาฟี่เขาว่ามาแบบนั้นน่ะ” แคปหันไปฟ้องโก้อีกครั้ง
อ้อนมากๆฟี่รำคาญดึงแคปเหวี่ยงไปหาเต้ สองพี่น้องกระเด็นเกือบติดกำแพง โก้ยืนจ้องหน้าน้องชายนิ่งเลย
“จะโหดไปไหนวะ
บอกมันไปดิว่ามึงพูดล้อเล่น ใครจะไปหักค่าขนมมันสองตัวได้
ที่หาอยู่ทุกวันนี้ก็หาให้พวกมันน่ะแหละ อย่ามาทำเป็นปากร้ายแต่ใจดีหน่อยเลย ลับหลังล่ะฝากเงินใส่แบงค์ให้มันประจำ
ดูหน้ามันซินั่น กลัวจะโดนหักตังค์จนตัวสั่นแล้ว”
“..........” ฟี่ส่ายหัวอย่างหงุดหงิดโยนกุญแจส่งให้แคปแล้วเขาก็เดินเข้าบ้าน
แคปสบตาพ่อและพี่ชายก่อนรีบจ้ำอ้าวตามไปกอดเอวบอกขอบคุณครับกับคุณอาของเขา
ฟี่โบกหัวเล็กๆนั่นหนักๆหนึ่งทีก่อนดึงเข้ามาแล้วบอกให้ไปหาน้ำเย็นๆมาให้กินตอบแทน พอตกดึกเด็กๆขึ้นนอนกันหมดโก้ลุกขึ้นไปหยิบน้ำออกมาเทดื่มเขาเองก็กำลังจะขึ้นนอน
มีแต่ห้องฟี่ที่อยู่ชั้นล่างเพราะงั้นส่วนใหญ่ถ้าอยู่ครบกันทุกคนฟี่จะเข้านอนหลังสุดประจำ
“วันนี้ไม่ออกไปไหนเหรอวะ” โก้ดื่มน้ำเสร็จถามคนที่นั่งดูทีวีอยู่ข้างกันเมื่อกี้ ฟี่ส่ายหัวบอกวันนี้ไม่ไป จัดการเสร็จตั้งแต่กลางวันแล้ว
ช่วงนี้งานสืบราชการลับของเขาวุ่นอยู่ที่ไนต์คลับหรูของโรงแรมระดับห้าดาวแห่งหนึ่ง
“งั้นกูขึ้นนอนแล้วนะ
เช็คบ้านให้เรียบร้อยด้วย”
“เช็คแล้วน่า” ฟี่ตอบทั้งที่ตายังมองจอโทรทัศน์อยู่
โก้เดินเอาแก้วน้ำมาวางไว้ให้ บอกให้ฟี่กินก่อนเข้านอนด้วย เขาทำให้น้องชายแบบนี้ประจำ
กำลังจะเดินออกไปมือใหญ่ดึงแขนเล็กนั่นไว้
“นอนด้วยกันไหม
มึงไม่เคยมานอนห้องกูนานแล้วนะ”
“........”
“ตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะที่เรานอนด้วยกันครั้งสุดท้ายที่ห้องกูน่ะ”
“..........”
“สักคืนเถอะนะ
วันนี้ใช้ห้องกูก็แล้วกัน..”
“เพี๊ยะ! ปล่อยแขนกูได้แล้ว ไม่ได้นอนด้วยกันห่าไร
มึงขนหมอนขนผ้าห่มไปนอนกอดกูแทนหมอนข้างอยู่ทุกคืนนี่ยังไม่เรียกว่านอนด้วยกันอีกรึไงห๊ะ ยุ่งชะมัดเลยไอ้น้องคนนี้นี่” โก้จัดการตบหัวทุยๆไปหนึ่งที
ก็คงมีคนเดียวนี่แหละที่สามารถทำแบบนี้กับฟี่ได้ พอเห็นโก้เอาจริงฟี่รีบปล่อย
“กูหมายถึงห้องกูชั้นล่าง..” เขาเสยผมที่ยาวจนปรกหน้าขึ้นแล้วจับไว้เหมือนอยากจะมัด
เงยหน้ามองโก้
“จะห้องกูหรือห้องมึงมันจะต่างกันตรงไหน
นอนด้วยกันทุกวันอยู่แท้ ๆ ทำมาบ่น อย่าเรื่องมาก
ขึ้นนอนแล้วปิดไฟให้เรียบร้อยด้วยล่ะ”
“อือๆ” ฟี่ตอบรับเออๆออๆไปขณะที่โก้เดินขึ้นบันไดไปแล้ว
เขาก็ลุกสิง่วงเหมือนกันจะนอนถ่างตาอยู่ชั้นล่างทำไม
.
.
Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr
“บ้าฉิบ” เสียงโทรศัพท์ดังยาว
คนที่นอนยังไม่อยากจะตื่นสบถเบา ๆ ก่อนใช้สองมือจับผ้าห่มผืนโตดึงขึ้นมาปิดคลุมใบหน้าราวกับไม่อยากรับรู้เรื่องภายนอก
แต่โทรศัพท์ห้องเครื่องสีขาวยังแผดเสียงลั่นต่อไม่หยุด
เอสขยับตัวส่ายหัวอย่างหงุดหงิดก่อนสอดมือออกมาควานๆหาที่โต๊ะหัวเตียง
ดึงเอาหูโทรศัพท์ลงมาคุย เขาตวัดผ้าห่มออกด้วยความโมโห
อุตส่าห์ปิดเครื่องมือถือไว้แล้วยังจะโทรมาตามถึงเครื่องห้อง
“ฮัลโหล” น้ำเสียงหงุดหงิดถูกกรอกลงไป
(ตื่นได้แล้วเร็ว
กูจะถึงห้องมึงแล้วนะ) เสียงเมี่ยงดังเข้ามาจนปวดแก้วหู
เขาหรี่ตาก่อนเสยผมแล้วลุกขึ้น หาวหวอดออกมาอย่างดัง
(มึงได้ยินกูป่ะเนี่ย
ตื่นๆๆๆๆๆ ง่วงเหี้ยไรนักหนาเมื่อคืนกูโทรหาสายไม่ว่างเลยนะมือถือมึงน่ะ
โทรเข้าเบอร์ห้องนี่ก็ยกออก หายหัวไปไหนคุยกับใครไหนมึงบอกกูซิ)
“โทรมาทำไมเข้าเรื่องสักที” เสียงทุ้มว่ากลับไป
(ลุกไปซื้อของด้วยกันเร็ว
วันนี้กูจะไปถอยแดปเปอร์ตัวใหม่ มึงไปเลือกเป็นเพื่อนกูนะๆ)
เอสหันดูนาฬิกาที่หัวเตียง ยกมือนวดขมับ ยังไม่อยากจะตื่นแต่ก็จำเป็นต้องตื่นได้แล้ว
“ทำไมไม่ชวนไอ้ชิพวะ
มันว่างไม่ใช่เหรอ..” วันนี้เป็นเช้าวันจันทร์และเป็นวันหยุดราชการเพราะงั้นมหาลัยพวกเขาปิดยาวเลย
พรุ่งนี้ถึงจะมีเรียนกัน
(ไม่เอากูชอบสไตล์มึง
รสนิยมเรื่องยีนส์มึงเท่ดี กูจะให้มึงเป็นคนเลือกให้ และห้าม! มึงปฏิเสธอย่ามาเห็นแฟนดีกว่าเพื่อน
กูรู้หรอกเมื่อคืนมึงโทรคุยกับแฟนจนสายไหม้ล่ะสิท่า กูโทรหาไม่เคยติด
วันนี้ต้องไปกับกูไม่รู้มึงล่ะ)
“ทำเป็นรู้ดี
อยู่ไหนแล้วเนี่ย..” จริงๆไม่ได้คุยกับแคปอะไรหรอก
เด็กเภสัชน้องไบต์อะไรนั่นโทรหาเขาโดยใช้เบอร์คนอื่น เผลอกดรับสายคุยไม่ยอมวางเลย
เขากำลังนั่งอ่านหนังสือ พอกดปิดก็โทรเข้ามาใหม่ ทำอยู่สามสี่รอบ
เขาโมโหโทรแม่งถี่อะไรนักหนาปิดเครื่องหนีเลยสิ น่ากลัวจริง ๆ คนแบบนี้ก็มี
(กูจะถึงแล้ว
แต่งตัวเสร็จยังล่ะ)
“บ้ารึไง
กูจะไปอาบน้ำแล้ววางก่อนเลยไอ้เตี้ย”
เอสกระแทกหูโทรศัพท์ลงที่เดิมก่อนเดินไปรวบม่านให้แสงแดดส่องผ่านเข้ามาได้
ใช้ขอบหน้าต่างที่สูงมากแทนบาร์โหนตัวออกกำลังแขนและเกร็งหน้าท้องประมาณสิบครั้งก่อนเดินเข้าไปอาบน้ำ
ใช้เวลาทำธุระส่วนตัวไม่นานนัก จากนั้นเดินออกมาพร้อมผ้าขนหนูพันแค่ท่อนล่างออกไปเทน้ำเปล่าเย็นๆดื่มแล้วเข้ามาแต่งตัวเช็คความเรียบร้อยของร่างกายอยู่หน้ากระจก
มือใหญ่หยิบเอาโทรศัพท์มือถือมากดเปิดเครื่องแล้วโยนทิ้งไว้ที่เตียง
เสียงข้อความเข้าดังติ๊งๆๆๆๆยาวไม่ยอมหยุด เสื้อเชิ้ตสีเทาเข้มเข้ารูป
กับยีนส์สีดำตัวที่ชอบ พับปลายแขนเสื้อขึ้นนิดๆก่อนทาบนาฬิกาเรือนหรูทับลงที่ข้อมือ
ร่างสูงใหญ่ยืนติดกระดุมพลางชำเลืองมองข้อความทางไลน์
นิสัยไม่ดีอย่างนึงของเขาก็คือรู้ว่ามีข้อความเข้าแต่น้อยครั้งนักที่จะเปิดอ่าน ส่วนเรื่องตอบอย่าได้พูดถึงไม่คิดจะตอบเลยด้วยซ้ำ เขาคว้าเอากระเป๋าสตางค์โทรศัพท์กล่องบุหรี่และกุญแจรถ
ก่อนเดินออกมาด้านนอกอีกครั้ง
เสียงกดออดดังขึ้นพอดี เขาเปิดประตูห้องรับให้เมี่ยงเดินเข้ามา
“โหหหหหห
จะหล่อไปไหนไอ้เหี้ย ไปเดินห้างนะไม่ใช่ไปเดินแบบ”
“.............” เอสก็แค่ยักไหล่
ก่อนผลักหลังคนตัวเล็กบอกให้ออกไปกันได้แล้ว
“หุ่นมึงดีว่ะ
ตัวสูงใหญ่กูก็อยากดูดีแบบมึงนะ”
“หัดออกกำลังกายสิ
อย่าเอาแต่พูด..” เขากดลิฟต์เพื่อลงไปที่ชั้นล่าง
ทั้งสองคนใช้เวลาบนท้องถนนไม่นานนัก
รถยนต์สีขาวคันสวยมาจอดลงที่ลานจอดชั้นสองของห้างดังใจกลางเมือง
“กินข้าวก่อนป่ะวะ” เมี่ยงเงยหน้าถาม เอสเหลือบมองแล้วพยักหน้าบอกให้เลี้ยวเข้าไปเลย
อาหารถูกนำมาเสิร์ฟตามเมนูที่สั่งไปแบบง่าย ๆ
เขาใช้เวลาทานอาหารกันไม่นานนักหลังจากนั้นลงมาเดินดูของตามช้อปต่าง ๆ
ที่เมี่ยงสนใจ จนเวลาล่วงมาบ่ายกว่าๆ
“ทีหลังสั่งซื้อทางเน็ตสิ
สะดวกดี ง่ายด้วย”
“ขี้เกียจไปโอนตังค์”
“ใช้บัตรเลยง่ายดี”
“ใช้บัตรมึงได้ป่ะล่ะ” เมี่ยงเงยหน้าถาม
เอสผลักหัวเพื่อนเบา ๆ “ใช้ได้แต่มึงต้องจ่ายคืน”
“มึงรวยจะแย่
แค่นี้ทำเป็นหวงกับเพื่อนกับฝูง
เดี๋ยววันไหนเจอพี่แอมป์นะกูจะฟ้องว่าเดี๋ยวนี้มึงงกมาก” เมี่ยงบ่นอุบแล้วทำหน้ายู่
เอสหันมองแล้วก็หัวเราะ จนกระทั่งเดินมาถึงช้อปแดปเปอร์ที่ตั้งใจมาซื้อกัน
เขาผลักคนตัวเล็กให้เดินเข้าไปเลือกของด้านใน
เมี่ยงหน้าระรื่นเลือกแล้วลอง ลองแล้วเลือกจนได้ตัวที่เขาชอบ
ขณะที่เอสก็แค่นั่งรอ
“ไอ้เอส
พี่เขาบอกว่าถ้าจ่ายด้วยบัตรจะลดยี่สิบเปอร์เซ็นต์อ่ะ” เมี่ยงชี้ให้ดูป้ายแล้วทำหน้าอ้อน
ๆ เอสส่ายหัวบอกไม่
“แต่มึงมีบัตรนี่หว่า
นะๆ”
“.........” เอสมองคนที่ยืนอ้อนเขาอย่างระอาใจ
ในที่สุดยื่นบัตรจ่ายให้
“ซื้อให้กูจริงดิ” เมี่ยงยิ้มตาหยีรอรับถุงจากพนักงาน
ขณะที่คนจ่ายอย่างเอสเดินนำลิ่ว ๆ ออกไปแล้วเขารีบสาวเท้าตาม
“มึงใจดีที่สุดอ่ะ
กูว่าใครได้มึงเป็นแฟนโชคดีมากๆเลยว่ะ”
“...........”
“ไอ้เอสถามจริง
มึงสปอยแฟนมึงแบบนี้บ่อยป่ะวะ..”
เขาทำหน้าอยากรู้
เดินตามเอสแทบไม่ทัน
เพราะรายนั้นพอรู้ว่าธุระของเมี่ยงเสร็จแล้วก็จะเดินออกไปทันที
“แฟนกูไม่ขอให้กูทำอะไรแบบนี้หรอก”
“จริงดิ
ไอ้แคปน่ะเหรอ”
“เพราะแบบนั้นล่ะ
กูถึงได้ถูกใจมันไง...” เพราะว่ามันไม่เหมือนผู้หญิงทุกคนที่ผ่านมา
เพราะว่าไม่เคยวิ่งเข้าหาเขาเพียงเพราะรู้ว่าเขามี ครอบครัวเขามี
แคปมันไม่เคยแม้แต่จะถามถึงเรื่องบ้านเขา อย่าว่าแต่บ้านเลย
ห้องเขาที่ว่าหรูหรามันยังไม่คิดอยากจะเหยียบไปเลยด้วยซ้ำ
“มึงได้ของครบแล้วใช่ไหม..” เมี่ยงพยักหน้าบอกใช่แล้วขอบใจเอสอีกครั้ง
“คราวนี้แหละกูจะหล่อแบบมึงให้ได้”
“เตี้ยก็หัดเจียมตัวซะบ้าง” เอสแกล้งว่า
เขาผลักหัวเล็กเป็นรอบที่สาม ก่อนเดินนำลิ่วๆจนเกือบจะถึงรถ
“เดี๋ยวสิ
มึงจะรีบไปไหนวะ วันนี้ว่างทั้งวันดูหนังกันไหมล่ะกูเลี้ยงเอง”
“ไม่ล่ะ
ไม่อยากดู..” เอสบอก
“แต่เราไม่ได้ดูหนังด้วยกันนานแล้วนี่..” เขาสองคนเดินมาถึงรถพอดี
เอสเดินแยกไปอีกฝั่ง ชี้บอกขึ้นรถได้แล้ว
“ไม่ดูจริงดิ” เมี่ยงหันไปถามอีก
เอสส่ายหน้าบอกไม่ ก่อนขับออกไป
“ไว้ว่าง
ๆ มึงค่อยชวนไอ้ชิพมันมาดูเป็นเพื่อนละกันนะ วันนี้กูไม่ว่าง”
“เอาแบบนั้นก็ได้เดี๋ยวค่อยชวนไอ้ชิพวันหลังละกัน..” เมี่ยงหันไปบอก
เอสพยักหน้าให้บอกขอโทษด้วย
ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนช่องทางไปใช้เลนในสุดเมี่ยงเลยทำหน้าสงสัยเพราะปกติไปที่ห้องเอสหรือห้องเขาจะไม่ใช่เส้นทางนี้
“เดี๋ยวแวะกินกาแฟก่อน..” เสียงทุ้มบอกออกมาขณะที่เลี้ยวเข้าช่องจอดที่หายากหาเย็นเสียเหลือเกินโชคดีที่พอจะมีเหลืออยู่
“จะเข้าไปนั่งเหรอวะ
นึกยังไงชวนกูมานั่งชิลร้านกาแฟน่ารักแบบนี้วะเนี่ย มึงเลี้ยงกูใช่ป่ะไอ้เอส
มันต้องแพงแหงๆดูร้านสิ”
“เออ
ลงได้แล้ว”
.
.
“คาราเมลเฟรปปูชิโน่แก้วใหญ่ค่ะ เติมวิปครีมด้วยนะคะ”
“หนึ่งร้อยยี่สิบห้าบาทครับ
นั่งรอสักครู่นะครับ”
เช้านี้แคปกับเต้ออกมาช่วยงานอยู่ที่ร้านกาแฟ
คนค่อนข้างเยอะทั้งๆที่เป็นวันหยุด
สองหนุ่มทำหน้าที่บาริสต้าจำเป็นช่วยคุณพ่อตั้งแต่เช้าลากยาวจนกระทั่งช่วงบ่าย
“ช็อกโกแลตเย็นเพิ่มดับเบิ้ลวิปแก้วใหญ่สุดๆเลยค่ะ”
“ได้ครับคนสวย” เพราะเห็นว่าเป็นเด็กตัวเล็กแคปเลยแซวให้ซะเลย
“พี่แคปทำไมมาที่ร้านได้
หนูจะให้พี่แคปชงให้ค่ะ”
“อะไรนะ
ให้พี่ชงให้ด้วยเหรอ” แคปหัวเราะกับน้องสาวข้างบ้าน
เขาเห็นเธอตั้งแต่ยังเด็ก ๆ ตอนนี้คิดว่าอยู่ปอสี่ปอห้าได้แล้วมั้ง
“พี่แคปกลับมาเมื่อไหร่อ่ะ
แล้วจะกลับไปอีกตอนไหนเหรอ”
“กลับมาเมื่อวานครับ
เดี๋ยวเย็นนี้พี่แคปก็ไปแล้ว”
“จริงดิ” เธอทำหน้างอแงแคปจึงยื่นมือเข้ามาลูบหัวเล็ก
เสียงเต้แซวว่าทำไมทักแต่แคป ไม่เห็นทักทายเขาบ้างเลย แต่เธอไม่สนใจเมินเต้เห็นๆ
สนใจแต่แคปแค่คนเดียวโก้ที่นั่งมองอยู่ยังหัวเราะขำ
“พี่แคปต้องชงให้น้องครีมนะคะ
ไม่เอาพี่เต้ชงหรอก พี่เต้ชอบทำขม พี่แคปชงหวานอร่อย” เธอเงยหน้าอ้อนแคป
ทำตาวิ๊งใส่ด้วย แคปขำจนท้องแข็ง
“เดี๋ยวให้อาชงให้ดีไหมล่ะ
เลือกไม่ถูกจะเอาเต้หรือแคปแบบนี้ ลูกชายอามีต่อยกันแน่ ๆ น้องครีมลำเอียงสินะ” โก้หันมาแซวเธอยิ้ม ๆ
“ไม่ให้อาโก้ชงเหมือนกัน
น้องครีมจะกินฝีมือพี่แคปคนเดียวค่า”
“โอ๋ได้ๆเดี๋ยวพี่แคปชงให้นะครับ” แคปมองดูเธออย่างเอ็นดูก่อนกระโดดลงจากเก้าอี้แคชเชียร์
เข้ามาแท็กมือเปลี่ยนหน้าที่กับเต้ ทำช็อกโก้เย็นๆให้เธอ
เขาเพิ่มวิครีมเป็นสามเท่าแถมให้เลย ทำเป็นรูปแคนดี้น่ารัก
พอยื่นส่งให้น้องครีมยิ้มจนแก้มจะฉีก ไม่ยอมกลับจนคุณแม่เธอเข้ามาตามนั่นแหละ
“น่ารัก.....” แคปอมยิ้มพึมพำ
โก้เดินถือถาดเมล็ดกาแฟที่คัดแล้วมาเก็บใส่ขวดโหลอย่างปราณีต
“ลูกๆจะกลับกันตอนไหนล่ะ
อยู่กินข้าวเย็นกับพ่อก่อนดีไหม
ค่ำๆอาฟี่ถึงจะกลับมานะเมื่อกี้โทรมาบอกว่าติดงานยาวเลยล่ะ เราสองคนจะรอกันไหม” ตอนนี้ทั้งร้านเหลือลูกค้าอยู่แค่ห้าโต๊ะที่ใส่หูฟังนั่งใช้ไวไฟต่อกับโน๊ตบุ๊คอยู่
เสียงเพลงส่งบรรยากาศให้ชิลบวกกับความเย็นจากเครื่องปรับอากาศหลายคนเข้ามาหลบพักจากแดดเพื่อเอาแอร์จากที่นี่
“ผมจะกลับสี่ห้าโมงครับพ่อ
วันนี้นัดกับรุ่นพี่ซ้อมบอลกัน”
แคปบอก
“เต้ก็จะกลับพร้อมน้องเลยครับ
มีนัดซ้อมบาสเหมือนกัน สนามติดกันกับเจ้าแคปนั่นแหละ”
“เฮียเต้ทำไมไม่ใช้สนามบาสของคณะตัวเองวะวะ
ชอบมาใช้สนามใหญ่ของพวกสัตวะ ก็รู้อยู่แล้วเด็กเกษตรเขาชอบไปใช้กัน”
“กูทำเรื่องจองตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว
คิวพวกกูวันนี้อยู่สนามนั้นเว้ย”
เต้ถึงขนาดเดินมาตบหัวน้องชาย
แคปยักไหล่ใส่
“โน่น
ออเดอร์มาแล้วมึงไปรับกูจะชงเอง”
เขาไล่แคปไปนั่งที่แคชเชียร์
ส่วนตัวเองเตรียมอุปกรณ์บางอย่างช่วยโก้อยู่ทางนี้แทน
“ลาเต้ร้อนแก้วนึงค่ะ
ขออาร์ตรูปหัวใจนะคะ”
“หนึ่งร้อยยี่สิบห้าบาทครับ
นั่งรอสักครู่” รับเงิน
จ่ายตังค์ทอน ส่งยิ้มให้ แล้วบอกให้เธอนั่งรอ
นั่นคือสิ่งที่เขาเรียนรู้ว่าจะต้องทำกับลูกค้าเสมอ
“เอสเพรสโซ่เย็นแก้วใหญ่ กับสลัดซาลามี่กล่องนึงค่ะ” พี่สาวจากที่ไหนสักแห่งเสียงหวานมาก
น่าจะเป็นลูกค้าของเฮียโก้แคปรู้สึกคุ้นหน้าเธออยู่ บางทีอาจเป็นตึกสูงแถวๆนี้
“วันนี้ซาลามี่มีกุ้งสดแถมให้ด้วยนะครับ
อยากได้น้ำโยเกิร์ตแบบไหนราดดี”
“ขอบคุณค่ะ
ขอเป็นรสธรรมชาติเลยค่ะ”
“โอเครับ
ทั้งหมดสองร้อยเก้าสิบบาทครับ เชิญนั่งรอสักครู่” แคปกดๆทำรายการ รับเงินพร้อมยื่นสลิปให้ตามปกติ
ก่อนที่รายการออเดอร์อาหารเพื่อสุขภาพจะไปปรากฏอยู่ที่ครัว
“คาปูชิโน่เย็นแก้วใหญ่
ๆ ไม่ดื้อหนึ่งที่ กับแก้ผ้าสลัดอีกหนึ่งกล่องครับ”
“ห๊ะ!?”
คนฟังเงยควับขึ้นทันที กำลังเอียงหูรอเพื่อรับออเดอร์จากลูกค้ารายใหม่
แต่ปรากฏว่าไอ้คนที่มันกำลังสั่งรายการแปลกๆอยู่ตอนนี้
ไม่รู้ว่าโผล่มาต่อคิวตั้งแต่เมื่อไหร่
“ไอ้สัส!
มึงพูดอะไรห๊ะ!” แคปกัดฟันด่ากราดทันทีที่เห็นว่าคนพูดมันเป็นใคร
คิดว่าด่าเบามากแล้วนะแต่เพื่อนมันที่มาด้วยกันถึงกับสะดุ้งเฮือก
“ได้ยินว่าอะไรล่ะครับคุณบาริสต้า
ผมสั่งคาปูชิโน่เย็นแก้วใหญ่กับซีซ่าร์สลัด ออเดอร์ปกตินะ ไม่ใช่เหรอ..” เอสทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
เวลาแบบนี้หน้าตาของมันโคตรจะกวนตีนเขามากที่สุด
“หึ.........หึหึหึ” แคปหัวเราะหึๆ
กัดฟันควบคุมลมหายใจ ท่องนะโมๆไปแล้วเกือบๆสิบจบ.....มึงจะกวนตีนกูไปถึงไหนก็รู้อยู่แล้วที่นี่มีเรื่องไม่ได้เด็ดขาด
“สัสเอ๊ย..” แคปกัดฟันกรอดดด ด่าออกมาอีก
จ้องหน้าเอสเขม็ง ดีที่ยังไม่มีลูกค้ารอคิวต่อ
คุณพี่ผู้หญิงก่อนหน้านั้นขยับไปนั่งเสียตั้งไกล
“ชู่ว์....เดี๋ยวคนได้แตกตื่นพูดอะไรไม่เพราะแบบนั้นล่ะครับ..หื้ม”
“มึงมาทำไมวะห๊ะ!
ใครเชิญ!!”
“มา-หา-เมีย” เอสขยับปากพูดแบบช้าๆชัดๆทว่าไร้เสียง
แคปนี่แทบจะยกเครื่องคิดเงินทุ่มใส่หัวมัน ดู๊ดูมันหัวเราะเยาะเขาอยู่ ฮึ่ยยยย
เวรเอ๊ยกูทนไม่ไหวแล้วเหี้ย
“ไม่ต้องมีใครเชิญหรอกน่า
จริงไหม หึหึ”
“ปัง!
กวนกูนักนะมึง” แคปตบผั๊วะลงที่โต๊ะอย่างเหลืออด
ลุกขึ้นจากเก้าอี้จ้องหน้าเอสกับเมี่ยงสลับกัน เมี่ยงที่กลัวมากจริง ๆ
สองมือกำเสื้อเอสแน่นขยับเข้าไปหลบอยู่ด้านหลังเพื่อนตัวเองจนมิด
แคปเห็นแบบนั้นยิ่งของขึ้น กำลังจะอ้าปากด่าอะไรต่ออีก
แต่เสียงทุ้มๆของเต้ดังขึ้นก่อน
“ไอ้เหี้ยเอส
มึงมาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ มาถึงก็จะกัดกันกับน้องกูอีกแล้วนะ
กูว่ามึงสองคนคงทำบุญร่วมกันมามากเกินไปแหง ๆ เจอที่ไหนกัดกันที่นั่น
ไม่เว้นแม้แต่ที่นี่เลยหรือไงวะ” ก็เพราะว่าจู่ ๆ
แคปตบโต๊ะลงอย่างดังนั่นแหละ แม้กระทั่งโก้เองยังเดินออกมาดู เต้รีบแก้สถานการณ์ไว้ก่อน
เขารู้สึกได้นะว่าแคปกับเอสมันด่ากันแต่มันไม่เกลียดกันจริงๆจังๆอะไรเลย
มันเป็นเพื่อนกันแบบไหนเขาเองก็อธิบายไม่ถูก
“สวัสดีครับ” เอสกับเมี่ยงยกมือไหว้โก้ โก้รับไหว้แล้วยิ้มให้
เขาจำเอสได้จึงบอกให้ไปนั่งรอเดี๋ยวให้แคปชงกาแฟให้กิน
“ผมไม่ทำหรอก
เรื่องอะไรให้ผมชงให้มันกินล่ะ ฝีมือผมต้องชงขายเท่านั้นแหละ” แคปรีบปฏิเสธแบบด่วน ๆ
เขาแทบจะเดินหนีเข้าครัวแต่โดนโก้ดึงไว้ก่อน
“พูดอะไรแบบนั้นเจ้าแคป
เพื่อนมาเที่ยวบ้านนะเนี่ย เรานี่จริง ๆ เลย”
“ผมไม่ให้มันกินฟรีอ่ะ
ถ้าอยากให้ผมชงต้องเสียเงินเหอะ”
แคปตอบหงุดหงิดทำน้ำเสียงจริงจังให้โก้รู้ๆไปเลย
“คาปู!” โก้ทำตาดุใส่ขณะที่เอสเดินพุ่งเข้าไปหาประชิดตัว
แคปถอยออกทันที
“กูก็มาซื้อนี่
ไม่ได้จะมากินฟรีสักหน่อยนะ”
“กูไม่ทำอ่ะ
มึงจะทำไม” แคปเชิดหน้าใส่
เหลือมองไปดูไอ้เพื่อนตัวเล้กของมันที่นั่งมองอยู่ไกลๆ
“เอาน่าๆ” โก้ดึงไหล่ลูกชายไว้
เขาบอกให้เต้ไปชงให้แทน เต้เลยถามทั้งเมี่ยงและเอสว่าจะเอาอะไรกันบ้าง
“คาปูชิโน่เย็นครับ” เอสบอก
“ม็อคค่าปั่นครับเฮียเต้” เมี่ยงบอกออกมาไม่ดังนัก
เหลือบมองตาเขียว ๆ ของแคปไปด้วย
“โอเคเดี๋ยวของไอ้เอสกูทำเอง
ส่วนม็อคค่าปั่นให้แคปมันทำให้ละกัน
เมนูปั่นไม่มีใครอร่อยเกินน้องชายกูทำอีกแล้วล่ะ”
“ผมไม่ทำหรอก” แคปส่ายหัวบอกปัดทันที เดินไปนั่งกอดอกอยู่ที่โต๊ะแคชเชียร์
ก็มันเรื่องอะไรเขาต้องเป็นคนทำให้เมียไอ้เอสอะไรนั่นด้วยวะ มึงอยากพาเมียไปแดกกาแฟจะมาร้านกูทำเห้อะไร
ไม่ไปหากินกันที่อื่นจะได้นั่งสวีทหวานปราศจากคนรบกวนเหอะ!
“ทำหน้าอะไรของมึง..” เต้เดินเข้ามาถามขยี้ลงที่หัวน้องชาย
แคปเหลือบมองไปที่โต๊ะเห็นเอสกับเมี่ยงกำลังก้มดูเมนูหัวชิดกันอยู่
เขาก็แค่ไม่อยากเห็นพวกมันสองคนน่ะแหละ อารมณ์เสียเลยแม่ง ห่าเหวอะไรไม่รู้ วู้ว!
“ผมจะเข้าไปข้างใน
หาอะไรกินดีกว่า” แคปไม่สนใจแล้วเดินเข้าไปในครัวสวนกับโก้ที่ถือจานซีซ่าร์สลัดออกมาให้
“คาปูเป็นอะไรน่ะเต้” โก้ถามลูกชายคนโต
เต้ยักไหล่แล้วรับเอาจานอาหารจากพ่อของเขาไปวางลงให้เอสกับเมี่ยงที่โต๊ะ
“แก้วของมึงรอแป็ปนึง” เต้บอกกับเมี่ยง
เขาเห็นเอสหันไปมองหาใครสักคนคิดว่าคงหาแคป เขาจึงบอกว่าแคปเข้าไปข้างในแล้ว
“แล้วมึงสองตัวมากันยังไงวะเนี่ย”
“ก็ขับรถมาดิครับ
เฮียเต้จะให้ผมเดินมาเหรอ ไกลออก”
“ไอ้เด็กบ้ากูถามดูเล่นๆ” เขาตบหัวเมี่ยงจนหน้าเกือบทิ่มลงที่โต๊ะ
“แต่เฮียหล่ออ่ะ
อยู่ในชุดนี้ยิ่งหล่อ..” เมี่ยงชมออกมาจากใจจริง
ๆ เต้หล่อและดูดีมากในชุดบาริสต้าแบบนี้ เชิ้ตขาวพับแขนกับผ้ากันเปื้อนสีดำ
เท่โคตร เท่ทั้งบ้าน
“ธรรมดาเว้ย
บ้านกูหล่อทั้งบ้านแบบไม่ต้องถ่อมตัว มึงเห็นพ่อกูแล้วนี่
เหลืออาฟี่อีกคนถ้ามึงเห็นรับรองคำว่าหล่อมากๆยังใช้ได้ไม่พอหรอก”
“ขนาดนั้นเลย” เมี่ยงทำหน้าไม่อยากเชื่อ
“นี่ยังน้อยไป”
“ผมไม่เชื่อเฮียหรอก” เมี่ยงเบะปากใส่เห็นเอสทำท่าจะลุก
“ไปไหนวะมึง” เงยหน้าถามแต่เอสไม่สนใจหันไปคุยกับเต้
“ห้องน้ำอยู่ในครัวไหมครับเฮีย
แคปมันลืมไอ้นี่ไว้ที่รถตั้งแต่วันก่อนเดี๋ยวจะเอาไปคืนมันด้วย” เอสว่าพร้อมกับหยิบเอาชี๊ตอะไรสักอย่างจากกระเป๋าหลังออกมาถือไว้
“มันกินขนมอยู่ข้างในน่ะแหละ
มึงเข้าไปหามันไป” เอสพยักหน้าเบา
ๆ เดินเข้าไปเมี่ยงก็มองตาม
เต้เลยบอกให้นั่งกินรอไปก่อนเพราะมีลูกค้าทยอยเข้าร้านแล้วโก้กำลังรับรายการอยู่
“กินด้วยสิ
ป้อนหน่อย”
“ไอ้สัส!
มึงเข้ามาได้ยังไง” พอเข้ามาได้เขาก็กวนคนที่แยกตัวออกมานั่งกินขนมอยู่ด้านหลังของร้านทันที
แคปหันซ้ายหันขวา เพราะว่าเอสเข้ามานั่งชิดเขามาก ๆ กลัวจะมีใครมาเห็น
ที่ตรงนี้ม้านั่งยาวสีขาวน่ารัก เขาใช้นั่งกินขนมประจำตั้งแต่เด็ก
มือใหญ่หยิบลูกเกดในแก้วเล็กๆที่แคปถือกินอยู่ ใส่ปากตัวเองด้วย
“ออกไปเลยไป
เดี๋ยวพ่อกูเข้ามาเห็น..” แคปไล่
เอสจึงขยับออกห่างอีกประมาณหนึ่งคืบ
“อ่ะ
ห่างแค่นี้พอมะ”
“มันใช่เรื่องไหมไอ้สัส รีบออกไปได้แล้ว” แคปลุกขึ้นยืนเอสเลยลุกด้วย
เขาเดินมาดักหน้าคนตัวเล็กกว่าไว้
“กลับตอนไหน”
“ไม่ใช่เรื่องของมึง”
“อยากโดนกูจูบตรงนี้เลยไหม” ดวงตาคมกริบจ้องคนที่กำลังดื้อดึงกับเขาอยู่
“มึงกล้าหรือไงล่ะ”
“ลองไหมล่ะ”
พูดแล้วก้าวเข้าหาเลยทันที
พลั่ก!!
แคปรีบใช้สองมือผลักมันแรง
ๆ เขาถอยแทบไม่ทันดีที่เอสไม่คว้าเอวเขาเอาไม่งั้นตายกูตายแน่ ที่ตรงนี้ แต่หน้าตาไอ้ถนถูกผลักจริงจังมากจนน่ากลัว
“กลับตอนไหน” เสียงทุ้มถามขึ้นอีกครั้งใช้สายตาขู่ให้บอก
แคปถอนหายใจอย่างหงุดหงิด ตอบออกมาอย่างเสียไม่ได้
“เดี๋ยวก็กลับแล้ว”
“กลับพร้อมกูไหม
จะให้รอรึเปล่า”
“กูจะกลับพร้อมมึงทำไมล่ะวะ ใช่เรื่องไหมห๊ะนั่น พูดเหี้ยไรดูสถานที่บ้าง..” แคปส่งเสียงลอดไรฟันออกมาด่า
เขานี่แทบจะกระซิบด่ามันอยู่แล้วไอ้คนฟังนี่ไม่ได้รู้สึกรู้สาเหี้ยไรเลย ขณะที่เอสหันมองเข้าไปด้านใน
ยังไม่เห็นมีใครเดินออกมา เขาจึงหันมาคุยต่อ
“ตกลงเอาไง
จะกลับด้วยกันไหมนิ”
“ไม่กลับโว๊ย”
“ไม่อยากบอกหรอกว่าตั้งใจมารับ”
“เออ
กูก็ไม่อยากได้ยินหรอกว่ามึงตั้งใจมารับกูน่ะ..” โกหกตอแหลกูไม่เชื่อมึงหรอก ตั้งใจมารับกูแบบไหนวะเสือกติดไอ้เมียมึงห้อยมาด้วยแบบนั้นน่ะ
ใครจะกลับไปกับมึงกัน บ้าเอ๊ย!
แคปขยี้หัวอย่างหงุดหงิดจะเดินเข้าด้านในเอสยกขาดักเอาไว้อีก
“เย็นนี้กูมีซ้อมบาสที่สนามนะ ค่ำๆถึงจะแวะเข้าไปได้”
“เรื่องของมึง!”
“เรื่องของกูคนเดียวไม่ได้
เพราะที่จะถามเนี่ยคือต้องการรู้ว่ามึงมีซ้อมบอลด้วยรึเปล่า”
“............” แคปหุบปากฉับลงทันทีกำลังจะด่าอะไรต่อสักอย่าง แน่นอนว่าเขามีซ้อมสนามข้างกันกับมันนั่นแหละ
ทำไงได้ไม่อยากบอกให้มันรู้เลยโฮ้ย!
“ว่าไง
มีรึเปล่า”
“กูไม่อยากโกหกเลยว่ะแม่ง!” แคปกระแทกเสียงใส่
หันไปจ้องหน้าขมวดคิ้ว เอสดีดหน้าผากเล็กดังเพี๊ยะ แคปถลึงตาใส่
“ไอ้สัส”
“ไม่อยากโกหกก็บอกความจริงมา”
“ก็กูไม่อยากบอกนี่ว่ามีอ่ะ!” แคปตะคอกลืมตัว
รีบส่องดูว่าจะมีใครได้ยินรึเปล่าโชคดีที่พนักงานผู้ช่วยเฮียโก้ไม่ได้สนใจ
ส่วนพ่อกับพี่เขายังอยู่หน้าร้าน
“หึหึ
โอเคมึงไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอกแล้ว กูไม่ถามแล้วก็ได้” เอสกลั้นขำ ไอ้คนที่มันทำตัวได้น่าแกล้งเสียขนาดนี้ อะไรคือไม่อยากบอกว่ามีวะ
นั่นมันก็คำตอบว่ามีซ้อมชัดๆในตัวอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง
“ไม่ต้องมาหัวเราะกู
หลีกไปกูจะเข้าไปช่วยด้านในแล้ว”
เขาเตะขาเอสบอกให้หลีกทาง
ก่อนหันขวับมามองเมื่ออีกฝ่ายแกล้งกระตุกสายผ้ากันเปื้อนที่เอวให้หลุดลุ่ยออก
แคปตะปบไว้แทบไม่ทัน มันไม่ได้ปีอะไรหรอกแต่ว่าตกใจ
“บ้ารึไงห๊ะ
สัสเอ๊ย” เอสมองขำๆก่อนเดินแทรกตัวเข้าไปอย่างไม่สนใจคนที่ถูกตัวเองแกล้ง แคปโมโหสุดๆ ย่ำเท้าตึงๆกระแทกไหล่คนตัวโต
เดินนำมันออกมา โก้ที่กำลังก้มหน้าทำสลัดอะไรสักอย่างเงยเรียกสองคนไว้
“เอสแคปมานี่ลูก เราชอบกินแซนวิชรึเปล่าครับเอส”โก้ถามขึ้นทั้งเอสและแคปหยุดชะงัก
เดินเข้าไปหา
“ชอบครับ
มีอะไรรึเปล่าครับ”
“งั้นเดี๋ยวเอาทูน่าแซนวิชไปกิน
อาทำไว้เผื่อเอสกับเพื่อนข้างนอกด้วยก่อนกลับเดี๋ยวให้แคปถือออกไปให้นะ”
“ขอบคุณมากครับ” เอสตอบขอบคุณก่อนหันไปอมยิ้มกวน ๆ
ส่งให้แคป ยกนี้กูชนะแล้ว แคปขบฟันกรอด
“พ่อไปทำให้มันทำไม
มันกินไม่เป็นหรอกน่า”
“เจ้าแคปนิพูดอะไรน่ะเรา จะกินไม่เป็นได้ยังไง มาช่วยพ่อทำเร็วเข้า
เอสเข้าไปนั่งเล่นกับเต้ก่อนก็ได้นะ เดี๋ยวทางนี้เสร็จแล้วจะตามออกไป”
“ครับคุณอา” เอสตอบรับอย่างสุภาพ
หันมามองแคปอีกทีก่อนโบกมือบ๊ายๆแล้วเดินออกไป
“พ่อไปทำให้มันทำไมอ่ะ” ปากเล็กๆบ่นอุบ
ยิ่งเห็นท่าทางมันเขายิ่งไม่อยากให้เฮียโก้ทำให้มันกิน โก้เงยหน้ามองดุ ๆ
แคปรีบถอย
“งั้นพ่อทำเผื่อผมกล่องนึงด้วยสิครับ
เดี๋ยวจะเอาไปฝากไอ้ปอกับไอ้อาร์ที่สนามตอนซ้อมกันน่ะ”
“ได้สิ
แต่คาปูต้องช่วยพ่อนะ”
“พ่อก็รู้ผมทำไมเป็นอ่ะ
อาหารทุกชนิดผมไม่มีหัวทางนี้เลยเหอะ..”
โก้เงยหน้ามองนิ่ง
ๆ เขานึกได้แล้วจริง ๆ ลูกชายเขาคนนี้สอนเรื่องอาหารไม่เคยทำได้เลย
ต่างจากลาเต้ที่ค่อนข้างมีหัวเรื่องอาหารการกิน
โก้จึงไล่แคปออกมาที่หน้าร้านบอกว่าเดี๋ยวทำให้เองไปเทคแคร์เพื่อนไป
แคปก็แค่ยักไหล่เดินออกมาช่วยเต้อยู่ที่หน้าร้านไม่มีเวลาอะไรจะไปนั่งคุยเรื่องไร้สาระกับไอ้สองตัวนั่นหรอก ในที่สุดหลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วโมง
เอสกับเมี่ยงก็กลับไปพร้อมกับทูน่าแซนวิชหนึ่งกล่องใหญ่ ๆ
“เย็นนี้เจอกันที่สนามบาส..” เอสดึงแคปออกมาพูดเสียงเบาด้วยขณะที่เขากำลังจะเดินออกไปจากร้าน
แคปเหลือกตาใส่
“ไม่มีทาง!” ความจริงน้ำเสียงแคปก็ออกจะหนักแน่นนะ
เสียแต่ว่าเอสฟังแล้วทำไมถึงนึกขำอยู่ตลอดก็ไม่รู้ เขาหัวเราะหึหึ
จนแคปรีบๆผลักบอกให้ออกๆกันไปเลย
“แฟนมึงน่ากลัวฉิบหายเลยว่ะไอ้เอส..” พอขึ้นรถมาได้เมี่ยงบ่นอุบ
เขานั่งอยู่ปวดฉี่ยังไม่กล้าลุก
เพราะต้องเดินผ่านเคาน์เตอร์ที่แคปนั่งตาเขียวจ้องเขาอยู่แบบนั้นเป็นใครก็กลัวล่ะวะ
ยิ่งเคยโดนตีนมันมาแล้ว
“เดี๋ยวไปส่งมึงที่ห้องก่อนละกัน
กูจะกลับไปนอนเย็นนี้มีซ้อมบาสอีก”
“นอนด้วยกันดิ
เย็นออกไปพร้อมกันกูก็จะไปเชียร์มึงด้วยเหมือนกันนะ”
“ไม่ได้
เมื่อเช้าลืมหยิบรองเท้าบาสมาเดี๋ยวต้องกลับไปเปลี่ยนชุดด้วย กูจะกลับห้อง”
“งั้นกูไปนอนห้องมึงก็ได้นี่
เย็นๆออกไปพร้อมกันไงวะ นะๆๆๆ”
เมี่ยงเกาะแขนแล้วอ้อน
เอสก้มมองแล้วผลักคนตัวเล็กออกจากไหล่
แต่คนโดนผลักออกซบกลับเข้ามาอีก รถจอดติดไฟแดงพอดี
“เอาแบบนั้นก็ได้
แต่เลิกซ้อมแล้วมึงต้องกลับเองกูไม่ว่างนะ”
“อ้าวไหงงั้นล่ะ”
“โทรบอกไอ้ชิพกับไอ้บุ้งห้าโมงครึ่งเจอกันที่สนามหก”
“สนามใหญ่ติดกับคณะสัตวแพทย์น่ะเหรอ”
“อือ
ที่นั่นแหละ มึงจะได้กลับกับพวกมันด้วย”
“..........” เมี่ยงเหลือบมองเอสอย่างน้อยใจ
กำลังจะกดโทรหาชิพเขากลับนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
ชั่งใจอยู่ครู่นึงในที่สุดก็ถามออกมาขณะที่รถเคลื่อนตัวออกไป
“ไอ้เอส
ตกลงว่ามึงกับน้องชายเฮียเต้คบกันอยู่จริงดิ?”
“ทำไม? จู่ๆถามทำไม” เอสเหลือบมองคนถาม
“มันใช่รึเปล่าล่ะบอกกูก่อนสิ”
“มั้ง คิดว่าคบน่ะแหละ”
“อะไรของมึงวะ”เมี่ยงมองเอสอย่างไม่ค่อยเข้าใจในคำตอบนัก
เอสหันมองเพื่อนอีกครั้งก่อนพยักหน้ารับ
“คบ
ใช่กูกับมันคบกันอยู่”
“แต่กูว่าไม่เห็นมันจะเหมือนพวกมึงคบกันเลยนะ
ดูไอ้แคปมันยังไม่ค่อยโอเคกับมึงเลยเหอะ”
“มันไม่เคยโอเคหรอก
มันเป็นแบบนั้นแหละ”
“แบบไหน
มันเป็นแบบไหนวะ”
“ไม่ใช่เรื่องที่มึงต้องรู้หรอก”
“ไอ้เพื่อนเหี้ย”
“นั่นแฟนกู
มันจะเป็นยังไงก็ได้ ว่าแต่กูถูกใจแค่นั้นจบ”
“เออๆกูไม่ถามแล้ว
อะไรวะน้อยใจเป็นนะเนี่ย
ไม่มีเวลาให้กูแล้วยังไม่ยอมบอกเล่าเรื่องแฟนคนนี้ของมึงให้กูรู้อีก
จะความลับอะไรกันนักหนาแม่ง
ทุกทีกับสาวคนไหนมึงบอกกูทุกอย่างไม่เคยปิดแล้วกับคนนี้ความลับอะไรจะเยอะขนาดนั้นวะ
เดี๋ยวสองเดือนมึงก็คงจะเลิกอีก
มึงคบกับมันกี่วันแล้วล่ะ ครบสองเดือนเมื่อไหร่มาเล่าให้กูฟังทีนะ
ทำไมถึงเลิกกันน่ะ”
“บ้ารึไง
พูดอะไรออกมารู้ตัวป่ะเนี่ย”
รถเลี้ยวเข้าคอนโดแล้วเอสหันไปมองคนที่นั่งหน้างอต่อว่าเขาอยู่
“......”
“น้อยใจเหี้ยไร
กูอยู่กับมึงทั้งวันนี่ยังไม่พอใจอีกเหรอวะ”
“ก็....ไม่อ่ะ
กูก็แค่น้อยใจ”
“ไร้สาระว่ะ” รถจอดลงที่ลานจอดของคอนโดช่องจอดประจำ
เอสยื่นมือไปล๊อคคอเมี่ยงเข้ามาขยี้ลงที่หัว เห็นมันตาแดง ๆ อย่าบอกนะว่าจะร้องไห้
เขาก้มลงดู
“มึงเป็นเหี้ยไรเนี่ย กูมีแฟนมากี่สิบคนไม่เห็นมึงเคยเป็นอะไรแบบนี้”
“กูไม่รู้
กูก็ไม่รู้ว่ากูเป็นอะไร”
“หรือว่าครั้งนี้เป็นผู้ชาย
มึงรับไม่ได้งั้นเหรอ?”
“ไม่ใช่แบบนั้น” เมี่ยงรีบปฏิเสธ
“งั้นมึงต้องหัดทำใจซะ
นี่ขนาดยังไม่ใช่ช่วงโปรโมชั่นด้วยซ้ำกูบอกเลย”
“ห๊ะ!
หมายความว่ายังไงวะ กูไม่เข้าใจอ่ะ”
“ไม่ต้องเข้าใจน่ะดีแล้ว”
“ไอ้เพื่อนบ้า
ตกลงคือกูก็ไม่รู้เรื่องอะไรของพวกมึงจนได้สินะ กูถามมาตั้งนานเนี่ย”
“พูดมาก
ลงๆ”
.
.
สองทุ่ม สนามกีฬาหลังคณะสัตวแพทย์คนคึกคักมาก
ทั้งมอไซด์รถยนต์วิ่งสวนกันจนฝุ่นตลบ ถนนที่แคบอยู่แล้ว
ยิ่งแคบลงไปอีกเมื่อมีสาวๆจากหอพักไม่ใกล้ไม่ไกลเดินทางกันมาเชียร์ทั้งบาสทั้งบอลเทนนิสและว่ายน้ำ
วันนี้มีขึ้นป้ายด้วยว่าคณะไหนซ้อมเจอกับคณะไหน
ที่สนามบอล แมตซ้อมของคณะเกษตรกับคณะวิทย์ฯ
ผลออกมาสกอร์คือ 1:0
รุ่นพี่รุ่นน้องนักกีฬาเรียกรวมพลประชุมย่อยนิดหน่อยจนเสร็จ
แคปวิ่งเหยาะๆออกมาข้างสนาม ยกมือบังแสงสปอตไลท์ที่ยิงลงมาทั้งสี่มุมจนเขาแสบตา
เหงื่อพราวเกาะเต็มเนื้อตัวและใบหน้า เขาทิ้งตัวนอนแผ่ลงที่ตักอาร์
ขาพาดไปที่ตักของปออย่างเหนื่อยล้าสุดๆ
“ร้อยเหี้ยๆ
เหนื่อยสัสๆ แสบตาว่ะ ไอ้ปอมึงขยับมาบังแสงไฟให้กูหน่อยดิ๊” แคปบ่นอุบ
ปอขยับไปบังแสงให้อย่างที่บอกจริง ๆ
“ทำไมถึงแพ้อ่ะ” อาร์พูดขึ้นมาลอยๆเจอแคปตบหัวเข้าให้
เขาถลึงตาใส่แม้กระทั่งนอนอยู่ อาร์ก้มลงมองที่ตักตัวเองคือแคปน่ากลัวมาก
“ก็แค่ซ้อมจริงจังทำไมวะ
เดี๋ยวเจอวันจริงไม่ทิ้งฟอร์มแบบนี้บนสนามแน่นอน” จริง ๆ
วันนี้คือทั้งทีมฟอร์มตกมาก
หลังเกมส์จบรุ่นพี่รุ่นน้องด่ากันแหลกเลยบอกต้องซ้อมอีกเยอะ พี่รหัสเขารับหน้าที่กำหนดตารางมาให้ใหม่อีกที
แคปมองไปบนท้องฟ้ามืดๆสีดำ วันนี้มีกลุ่มดาวชัดเจนมากๆ
ลองนับดูด้วยตาทำยังไงก็นับไม่หมด ดาวลูกไก่อยู่ตรงไหนวะเนี่ย กำลังกวาดตานับอยู่เพลิน ๆ
กลับมีเสียงกรี๊ดกร๊าดดังขึ้นจากสนามบาสข้าง ๆ แคปหันไปมองมีแต่สาว ๆ ออกันให้พรึ่บไปหมด
นึกถึงว่าไอ้เหี้ยเอสกับพี่ชายเขายังวิ่งอยู่ในสนามแล้วพาให้โมโห สาว ๆ
ทำไมถึงชอบกันนักพวกนักกีฬาบาส มันเท่ตรงไหนวะ
“เมื่อกี้น้องแป้งแวะมาหามึงด้วยนะเว้ย
ยืนเชียร์อยู่ตั้งนาน..” ปอยักคิ้วบอก
“อ้าวแล้วไปไหนแล้วอ่ะ..” แคปลุกขึ้นหันซ้ายหันขวาทันที
“กลับแล้ว
น้องเขาบอกพรุ่งนี้ต้องส่งรายงานการบ้านเพียบ
แค่ได้มาเห็นหน้ามึงน้องเขาก็นอนหลับระทดระทวยแล้ว..” อาร์เสริม
“ผั๊วะ
ไอ้สัสอาร์ มึงพูดถึงผู้หญิงให้ดีกว่านี้เลยเชี่ย..” แคปโบกกะบาลเพื่อนไปอีกรอบอาร์รีบยกมือบอกพูดเล่นๆ
ปอนั่งขำเห็นเพื่อนสองคนจะฟัดกันตาย
“ไม่ใช่แค่แป้งหรอก
ก่อนหน้านั้นแฟนมึงก็แวะมาดูนะ..”
ปอทำเสียงเหมือนคนที่เหนือกว่า
เหล่ตาดูว่าคำพูดของเขาจะทำให้แคปมันมีปฏิกิริยายังไง
“ใครวะแฟนกู? ตอบให้ดีนะมึงนะ” แคปตีหน้าซื่อๆหรี่ตาใส่ถามกลับ
ปอก็แค่ยักไหล่ ถามว่าจะให้เขาพูดจริงดิ เจอแคปถีบเอาซะเกือบกระเด็นเขารีบคว้าจับขาเพื่อนไว้
“สัส” แคปร้องด่า
ปอหัวเราะแคปไม่อยากสนใจหยิบขวดน้ำเย็นที่วางไว้ใกล้ ๆ มาแกะเปิด
“ไปดูทางนั้นไหมวะ
อยากไปเชียร์เฮียเต้ว่ะ เมื่อกี้กูเดินไปดู วิศวะกำลังนำเลย แต้มสูงลิ่วๆ” อาร์ชะเง้อคอมองไปทางสนามบาส
“แข่งกับใคร” แคปยกขวดย้ำขึ้นดื่มอึกๆๆๆไหลลงมาตามคอตามเสื้อเปียกโชกเป็นทาง
“เทคนิคการแพทย์”
“ไปดิ” ปอลุกคนแรก
อาร์ลุกแคปเลยต้องลุกด้วย “จะไปทำไม๊ ไม่เห็นมีอะไรน่าดูเลยเหอะ” แคปบ่นอุบแต่ก็ลุกนะ
“ไปเชียร์แฟนมึงไงล่าาา..”ปอหันมาพูดยิ้มๆ ทำท่าจะวิ่งนำ
“ไอ้สัส!” แคปเอาขวดน้ำที่กินหมดแล้ววิ่งตามไปตีหัว
ก่อนบอกฝากทิ้งด้วยโทษฐานพูดจาไม่ถูกใจ
“โหยคนเยอะว่ะ
แต้มห่างเลยวิศวะชนะชัวร์เหลืออีกแค่ไม่กี่นาทีเอง โฮ้ยกูมองไม่เห็น..” พอมาถึงข้างสนามบาสที่คนเยอะมากๆนี่ขนาดแค่นัดซ้อม
อาร์เขย่งชะเง้อคอยืดคอยาว
“มึงมันเตี้ยไงไอ้อาร์..” ปอหันไปชมเพื่อน
เจออาร์ตวัดตาเขียวปั๊ดใส่ แคปขำ อย่าว่าแต่อาร์เลย
เขาเองยังต้องเขย่งมองยังไม่เห็นอะไรเลยเนี่ย
“อุ้มกูหน่อยไอ้ปอ
กูอยากดู”
“เรื่องดิ
ตัวมึงไม่ใช่จะเบาใครจะไปอุ้มไหว”
“งั้นไอ้แคปมาให้กูขี่คอมึง
เดี๋ยวกูดูเสร็จมึงค่อยขี่คอไอ้ปอดูต่อ”
“ไอ้สัส
กูไม่หลงเชื่อคำพูดโง่ ๆ ของมึงหรอก”
แคปตบหัวเพื่อนไปอีก
อาร์ไม่สนใจ “นิดเดียว
ย่อตัวลงเร็ว”
“เฮ้ย
ไม่เอ้า!” แคปบอกไม่เอาแต่ไม่ทันแล้วเพราะอาร์ว่าจบ
กดหลังแคปลงแล้วตะกุยตะกายจะขึ้นไปลูกเดียว แคปเลยหันไปสะกิดปอ
บอกให้ไอ้อาร์มันขี้หลังหน่อยมันเตี้ย มองไม่เห็น
“ยุ่งจริงจริ๊ง
พวกมึงนี่” ปอส่ายหัวดึงอาร์มาขึ้นหลังตัวเองแทน
คนตัวเตี้ยยิ้มไม่หุบ เพราะว่าตอนนี้มุมมองของเขาสูงกว่าทุกคนมาก
ปอนี่หนักจนหน้าเขียวแคปหันไปมองแล้วก็ขำ
“จบแล้วๆ” เสียงเป่านกหวีดหมดเวลามาพร้อม ๆ
กับเสียงคนเฮสนั่นลั่นสนาม ผู้คนทยอยคลายตัวออกมาแคปเลยสามารถมองเห็นพี่ชายตัวเองได้
เฮียเต้กำลังจับมือคุยกับกัปตันของอีกทีม
คงจะเป็นเพื่อนกันหรืออะไรสักอย่างขณะที่คนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ มีแต่คนที่แคปคุ้นหน้า
เพื่อนพี่เต้ทั้งนั้น
“แฟนมึงอยู่โน่น” ปอหันมากระซิบใส่
แคปหันไปมองแรงเลย “ไอ้สัส!”
“อ้าวกูเห็นมึงมองเหมือนหาใครอยู่”
“กูมองไปเรื่อย
ๆโว๊ย”
“แฟนมึงโดนผู้หญิงรุมแล้วไอ้แคป
มึงไม่เข้าไปดูล่ะวะ..” อาร์ดึงๆแขนเสื้อแคปพลางโบ้ยหน้าบอกให้แคปหันไปดู
แคปเลยเหลือบมองนิดๆ จริงอย่างที่มันว่า
ไม่ใช่แค่ผู้หญิงหรอกผู้ชายน่ารักๆหลายคนเข้าไปขอถ่ายรูปกับมันตรึมเลยว่ะ
เดี๋ยววันนี้แท็กมันคงร้อนฉ่าแน่ ๆ นึกว่าจะมีแต่เขากับไอ้ปอซะอีก
เพราะก่อนหน้าที่จะเข้าสนามเขาโดนขอถ่ายรูปไปหลายคนมาก นั่นก็คิดว่าเยอะแล้วนะ
มาเจอคนที่ยืนรอคิวถ่ายกับไอ้เอสและพี่ชายเขานี่ ตัวเองชิดซ้ายไปเลย
“กลับเหอะว่ะ” แคปพูดเซ็ง ๆ หันหลังเดินออกมา
นึกได้แล้วว่าจะรีบกลับไปนอนตีพุงดูการ์ตูนอยู่ห้องเย็น ๆ ดีที่สุด
วันนี้ร้อนอบอ้าวฉิบ
“อ้าว
ทำไมจะกลับเร็วอ่ะ” อาร์ถาม
“ก็จบแล้วนี่หว่าอยู่ทำไม” แคปดึงแขนเพื่อนบอกให้เดินออกมาได้แล้ว
จะไปสนใจทำไมพวกวิศวะ มีเฮียเต้คนเดียวเหอะที่เท่ คนอื่น ๆ ก็เฉยๆนะ
“อ้าวแคป
มาเชียร์เต้มันเหรอวะ” เสียงที่ดังขึ้นทำให้ทั้งสามคนหันมอง
รัฐยืนถือทั้งผ้าขนหนูทั้งขวดน้ำเดินเข้ามาทัก
แคปจึงพยักหน้าบอกครับแล้วยิ้มอ่อนให้
“เข้าไปดิ พี่ออกไปเอาผ้าขนหนูให้มันนี่แหละ
ร้อนว่ะวันนี้”
“ไม่ดีกว่าครับพี่
ผมกำลังจะกลับแล้ว”
“อ้าวเหรอ
งั้นไว้ค่อยเจอกันนะ..” รัฐบอกไว้แค่นั้นเพราะมองเข้าไปด้านในเห็นเต้ยืนกวักมือเรียกแล้ว
รายนั้นก็ใช่ย่อยสาว ๆ น้อยซะเมื่อไหร่ ชี้หน้าแคปกวักมือเรียกให้เข้าไปหาด้วย
แคปยักไหล่แล้วเดินหนีเลย
“ไอ้อาร์กลับยังไง
มึงจะไปรถกูหรือไปกับไอ้ปอ..”
เดินกันมาถึงรถแคปหันไปถามอาร์
วันนี้เขาเอารถที่แต่งเสร็จมาใช้แล้ว สีดำเฉี่ยววาววับจากอาฟี่ผู้หล่อเท่และโฉด
เอ้ยโสด
“กลับกับมึงก็ดีเหมือนกัน
อยากรู้เบาะแต่งจะนิ่มแค่ไหนวะ”
“โหไอ้สัสอาร์
กูเปิดให้มึงลองนั่งตอนนี้เลยก็ยังได้ ทำเป็นพูดนะมึงนะ” แคปชี้หน้าใส่ อาร์หัวเราะ
ที่จริงเขาแค่แหย่แคปเล่น
“วันนี้กูมากับไอ้ปอวะ
เดี๋ยวถามมันดูก่อน คิดว่ากูให้มันไปส่งน่าจะดีกว่า” อาร์บอกแคปพลางสะกิดให้ดูปอที่ยืนคุยโทรศัพท์หน้าเครียดมาก
ต้องมีอะไรสักอย่างแน่ ๆ พอรับโทรศัพท์มันก็แยกออกไปคุยเลย สรุปว่าอาร์จะกลับกับปอ
แคปเลยยืนรอเป็นเพื่อนกระทั่งปอคุยเสร็จไม่นานนัก
“ไอ้อาร์วันนี้ให้แคปไปส่งมึงนะ
กูติดธุระยังกลับห้องตอนนี้ไม่ได้..”
ปอเปิดรถเอากระเป๋าอาร์ออกมายื่นส่งให้
“แพรโทรมาเหรอวะ” อาร์ร้องถาม ปอพยักหน้าบอกว่าใช่
“มีอะไรรึเปล่า” แคปถามขึ้นบ้าง
อีฝ่ายส่ายหน้าบอกไม่มีอะไร แพรแค่เรียกเขาออกไปรับมากินข้าว
“แล้วมึงทำหน้าแบบนั้นทำไมวะ
กูก็นึกว่ามีเรื่อง”
“เปล่าหรอกจู่
ๆ โทรมาไง ที่จริงวันนี้กะจะทำอาหารให้พวกมึงกิน นานๆเราจะอยู่ครบทีม”
“เออน่า
ไว้วันหลังก็ได้ใช่ไหมวะไอ้อาร์”
“ใช่
ไปหาแฟนมึงเลยเหอะ ไปๆ” อาร์กับแคปบอกปอไม่ต้องห่วงให้รีบไป ปอยิ้มแห้ง ๆ เหมือนคนเซ็งจัด
ในที่สุดก็ขึ้นรถขับออกไป
ขณะที่สองคนที่เหลือตรงดิ่งไปนั่งกินโจ๊กรอบดึกข้างทางก่อนถึงอพาร์ทเม้นท์ที่อาร์อยู่ แคปว่างๆไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว
เขาเลยแวะนอนเล่นดูหนังที่ห้องอาร์จนเผลอหลับไปตื่นมาอีกทีเกือบๆห้าทุ่ม
แคปลุกขึ้นบิดขี้เกียจแล้วบอกว่าจะกลับ อาร์เดินลงมาส่ง พร้อมกำชับเสียงเขียว
เห็นแคปตัวโตกว่าอาร์แบบนี้แต่เวลาหลับแล้วลึกมาก
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดสำหรับแคปคือเขากลัวมันหลับในระหว่างขับรถมากที่สุด
“ขับรถดี
ๆ นะมึงห้ามหลับกลางทาง”
“จะหลับได้ยังไงวะ
ที่นี่กับคอนโดกูห่างกันไม่ถึงสิบห้านาทีเลย”
“งั้นอย่าซิ่งล่ะ”
“นั่นก็ไม่เคยหรอกครับ..” แคปยักคิ้วกวน ๆ ส่งให้ อาร์ชี้บอกรีบ ๆ ขึ้นรถไปเลยไป
มาทำหน้าทะเล้นกวนเขาอยู่ได้
รถแต่งคันสวยจึงถอยแล้วเลี้ยวตัวออกมา
แคปอารมณ์ดีผิวปากไปตามเสียงเพลงเบาๆบนรถ เปิดกระจกชิลๆกินลมกลับห้อง
เขาเดินควงกุญแจรถสบายใจโดยไม่ได้สังเกตเลยว่าข้าง ๆ
รถเขาไม่ใกล้ไม่ไกลมีบีเอ็มดับเบิ้ลยู สีขาวแต่งสวยไม่ต่างกันจอดแช่อยู่แล้ว
แกร๊กกกกก~
“เฮ้ย!” แคปร้องขึ้นอย่างดังทันทีที่เห็นว่ามีใครนั่งมองเขานิ่งอยู่ที่ห้องของเขาเอง
ถึงขนาดต้องถอยหลังกลับไปมองหมายเลขห้องใหม่ คือไรวะ ไอ้เอสนั่นมันนั่งดูทีวีสบายใจทำอย่างกับว่าเป็นห้องส่วนตัวของมัน
ขณะที่เจ้าของห้องอย่างเขาตกใจแทบตายเมื่อเห็นว่าใครก็ไม่รู้นั่งอยู่กลางห้องตัวเอง
“มึงมาทำไมห๊ะ!
/ หายหัวไปไหนมา?” สองโทนเสียงที่แตกต่างกัน
แคปตะคอกเสียงแหลมขณะที่เอสกดเสียงทุ้มฟังแล้วชวนขนลุกเป็นบ้า
“มึงเข้ามาได้ยังไง” แคปโยนกระเป๋าลงที่โซฟา
เท้าสะเอวมองหน้ามองหลัง เขาหันไปจนทั่วห้อง
ไอ้ปอยังไม่กลับแน่ๆและไม่รู้คืนนี้มันจะกลับไหม แปลกใจที่เอสเข้ามาในห้องเขาได้
“เข้ามาได้ก็แล้วกัน” เอสตอบพลางคว้าเอากระเป๋าสะพายใบใหญ่สีดำของแคปมาเปิดดู
แคปรีบดึงคืนแทบไม่ทัน และมันก็ไม่ทันจริง ๆ
เพราะไอ้คนไม่มีมารยาทหยิบเอาโทรศัพท์มือถือเขาไปไว้กับตัวมันได้แล้ว
“อ่ะ มึงเอาของกูคืนมานะ”
“............” การกระทำของมันแทนคำพูดทุกอย่างจริง
ๆ บ้าเอ๊ย กดมือถือเขายิกๆๆดูก็รู้ว่ามันกำลังเช็คอะไรสักอย่าง
“เช็คเหี้ยไรของมึงห๊ะ!”
“................” เอสยังไม่ตอบ
สายตาจ้องอยู่ที่มือถือจอใหญ่ของแคปที่เขากำลังกดเช็คอะไรบางอย่าง แคปมองอยู่ห่าง
ๆ ไม่เสี่ยงเข้าไปแย่งคืนมาหรอก ใครจะอยากถูกมันรวบตัวกอดไว้อีก
“หาอะไร!” แคปตะคอกขึ้น เอสตวัดสายตาเงยหน้ามอง
“บ้าเอ๊ย
กูไปห้องไอ้อาร์มา จะมองหน้ากูแบบนั้นทำเชี่ยมึงเหรอ กูไม่ได้ทำผิดอะไรสักหน่อย
อย่ามาทำเป็นตาเขียวใส่กูนะไอ้เหี้ย!”
แคปเห็นโอกาสเข้าไปคว้าหมับเอาโทรศัพท์มือถือตัวเองคืนมาได้
หารู้ไม่คำตอบนั้นทำเอาคนฟังพอใจไม่น้อย เขาจึงปล่อยให้แคปแย่งมือถือคืนไปแบบง่าย
ๆ
“กินข้าวมารึยัง” เอสถาม
“เรื่องของกู” แคปดึงเอากระเป๋าคืนแล้วรีบวิ่งเข้าห้องปิดประตูล๊อคแทบไม่ทัน
กลัวเอสจะตามเข้ามา อยากอาบน้ำมากๆเหนียวตัว จะว่าไปรู้สึกหิวจนปวดท้องเลยแหละ
ก่อนไปห้องอาร์แวะไปกินโจ๊กกัน มันย่อยเร็วเป็นบ้า แถมเขายังหลับไปอีก ตื่นขึ้นมานี่ท้องร้องโครกครากเลย
แคปเช็คประตูว่าล๊อคแล้วแน่ ๆ ถอดเสื้อผ้าอาบน้ำแต่งตัวสบายใจ
นึกขึ้นมาได้ไอ้เอสมันเปลี่ยนชุดแล้วนี่หว่า
เขารีบมองไปที่โซฟาเดี่ยวตัวที่ตั้งอยู่มุมห้อง
เห็นผ้าเช็ดตัวกับชุดบาสมันพาดไว้อยู่ รู้เลยว่ามันใช้ห้องเขาอาบน้ำแน่ ๆ
“บ้าฉิบ!” แคปสบถ เดินเช็ดหัวออกไปด้านนอก
มีเสียงทำอะไรสักอย่างในครัวดังมา เขาเดินเข้าไปดู
“ทำอะไรของมึง” แคปถาม
“ข้าวผัด” เอสกำลังเตรียมหั่นหลาย ๆ
อย่างบนโต๊ะ มีถุงข้าวสวยสุกจากเซเว่นวางไว้
“ข้าวผัดเหี้ยไร”
“ไม่ผัดหรอกเหี้ย
ใครจะไปกิน”
“มึงบ้ารึเปล่า
กูถามว่าข้าวผัดอะไร มึงทำๆไมวะ”
“ข้าวผัดก็ทำเพื่อกินสิ
ข้าวผัดไข่น่ะแหละ ตู้เย็นห้องมึงมีอะไรนอกจากไข่ล่ะ นี่ดีหน่อยมีแครอตทิ้งไว้ตั้งหนึ่งหัว..” เอสตอบแบบไม่ยอมมองหน้า
แคปดูแล้วรู้เหอะมันโกรธอะไรสักอย่างแหง ๆ อะไรวะทำไมต้องมางอนแม่งห่าไรไร้สาระ
นี่กูต้องง้อรึเปล่าก็ไม่รู้
“อะไรกันมึงทำกับข้าวเป็นด้วยเรอะ..” ก็แค่ยื่นชะโงกหน้าเข้าไปถาม
ไม่ใช่ง้อนะบอกไว้ก่อน
“ทำเป็นอยู่อย่างเดียวนี่แหละ” กลิ่นหอมจากกระทะที่ตั้งน้ำมันจนร้อนจัด
ขณะที่เอสเทไข่ไก่ที่ตอกแล้วใส่ลงไป
ท่าทางเก้ๆกังๆแต่ดูไปดูมาหลังจากเทข้าวสวยตามด้วยแครอตรูปลูกเต๋าเล็กๆ
มันทำให้อาหารหอมฉุยขึ้นมา สีสันน่าทานขึ้นเป็นกอง
“หอม..” แคปพึมพำเบา ๆ
ลอบอมยิ้มเมื่อนึกถึงว่าจะมีลาภปากเป็นข้าวผัดหอม ๆ ส่วนจะอร่อยหรือไม่ ไว้ค่อยว่ากัน
คืนนี้สบายท้องแล้วกู หึหึ เขาอมยิ้มอย่างผู้ชนะ เดินไปนั่งดูทีวีรอ
ปล่อยให้เอสทำอะไรไปคนเดียว แคปเปิดบรรดาพวกมิวสิควีดีโอเพลงต่าง ๆ ดู
นั่งผิวปากตามไปด้วย เสียงไลน์ข้อความเด้งเป็นสิบๆครั้งแล้วจะไม่ยกขึ้นมาดูก็ใช่เรื่อง
เขาจึงหยิบมันขึ้นมากดดู แป้งไลน์มายาวเหี้ยๆเลย
ยังไม่ได้อ่านหรอกเพราะสายตาเหลือบมองไปที่ไอ้คนตัวใหญ่ในครัว
เห็นมันกำลังจ้องอยู่ตาเขียวปั๊ด ต้องรีบวางเครื่องลงอย่างไว บ้าเอ๊ย ก็ใครจะอยากมีเรื่องกับคนอย่างมันกันล่ะ
เขาเปลี่ยนทีวีเป็นช่องกีฬา ขณะที่เอสเดินออกมาจากครัว
ในมือถือจานข้าวผัดมานั่งลงข้าง ๆ จับรีโมทขึ้นมาเปลี่ยนเป็นช่องการ์ตูน
โคนันกำลังฉายเลย
“อ้าว!” แคปอ้าวขึ้นอย่างดัง
เมื่อเห็นเอสนั่งถือจานข้าวแล้วตักกินอยู่คนเดียว
มันถือออกมาแค่จานเดียวด้วยนะ
ทำไมถึงมีแค่จานของมันล่ะ อีกจานของเขาไปไหน อ้าวไอ้สัสนี่ แคปกัดฟันกรอด
“อะไร?” เอสหันมาถามเสียงเรียบ
“ของกูอ่ะ
ข้าวผัดกูน่ะ”
“..........” เอสส่ายหัว
สนใจการ์ตูนในจอทีวีต่อ
เขาเห็นแคปทำหน้าหงุดหงิดหันมาดูอีกทีแคปกำลังจะอ้าปากด่าอะไรสักอย่าง
เอสก็แค่ยักไหล่ใส่
“ไอ้ทุเรศ
มึงแม่งเห็นแก่ตัวเหี้ย ๆ จะทำเผื่อกูสักหน่อยก็ไม่ได้ ไหน ๆ
ก็ทำแล้วมาใช้ครัวคนอื่นเขาอีกต่างหาก แย่ที่สุดมึงรู้ตัวไหมห๊ะ!” แคปลุกขึ้นอย่างฉุนเฉียว
ใครจะไปทนนั่งอยู่ข้างมันยิ่งเห็นอาหารท้องเขายิ่งร้อง กลิ่นอาหารหอม ๆ
ลอยมาแตะถึงปลายจมูกรั้น น้ำลายแทบจะหก
“อยากกินก็ไปทำเอาเองสิ”
“กูไม่ทำ!” แคปเท้าสะเอวแว๊ดขึ้น
เอสเงยหน้ามอง ตักข้าวยัดเข้าปากเย้ย เหยียดยิ้มใส่อย่างผู้กำชัยชนะ
แคปนี่เม้มปากแน่นกัดฟันกรอดๆ ไอ้เหี้ยเอสมันบ้าไหมถาม นี่มันห้องเขานะ ครัวเขา
มันมาใช้แทนที่จะทำเผื่อกันบ้างอย่างน้อยมีน้ำใจนี่อะไรกันวะ ขนาดคนไม่รู้จักกันยังทำเผื่อกันเลยเหอะ
แล้วมันจะใจจืดใจดำไปไหน
“ยืนมองอยู่ทำไม
หิวอะไรก็ไปทำเอาเองดิ ยืนมองเฉย ๆ ไม่ได้กินนะ”
“ไม่ต้องมาพูดมาก! กูไม่ทำ!
กูบอกแล้วว่ากูไม่ทำ ไม่อยากกินแล้วเหี้ย!!” เอสใช้ความเร็วคว้าเอาเอวเล็กรวบลงมานั่งที่ตักเขาด้วยแขนเพียงข้างเดียว
ล๊อคไว้เลยทั้งแขนรัดทั้งขา
“มึงมันแย่ที่สุดไอ้คนใจดำสารเลวนิสัยไม่ดีไอ้หน้าหมาหน้าลิงเก้งกวางชะนีกบค่างอึ่งอ่างคางคกจิ้งจกแมลงสาบยังอายเลยเหอะ
หน้ามึงน่ะ ไปตายซะไป๊! ปล่อยกู๊ววว..”
แคปดิ้นพลาดแต่ไม่กระดิกกระเดี้ยแม้แต่นิด
มองเห็นฟันกระต่ายขาวสวยที่โผล่มาจากริมฝีปากที่กำลังยกยิ้มเย้ย ๆ
เขาอยู่แล้วแคปยิ่งโมโหหนัก
“โหแคป
ด่าขนาดนี้จะจีบก็บอก”
“ไอ้สัส!
ใครจะบ้าไปจีบมึงห๊ะ! ปล่อยกูสักที่สิเฟ้ย!”
มือแคปหลุดออกมาแล้ว
เขาฟาดผั๊วะเจอเอสรวบไว้ได้อีกครั้ง
ดวงตาคมมองคนที่กำลังหน้ายุ่งโวยวายแล้วก็นึกขำ
“ยิ้มทำไมห๊ะ ไม่ต้องมายิ้ม กูโคตรเกลียดมึงเลย
แดกให้อร่อยเลยนะข้าวผัดมึงน่ะ กูไม่รู้สึกว่าอยากกินด้วยเลยสักนิด ปล่อย!”
“เดินไปเอาซอสให้หน่อยดิ
อยู่บนโต๊ะน่ะ” แคปตาเขียวอื๋อขึ้นมาอีกครั้ง
เหี้ยไรวะไม่ทำเผื่อแล้วยังจะใช้เขาไปเอาซอสให้มันมาราดกินอีก จะบ้าเรอะใครจะไปเอาให้มันกัน!!
“ไปเอาให้หน่อยเร็ว” เอสเร่งยิกๆ
“ไอ้สัส!
กูไม่เอาให้มึงหรอกเหี้ยเอ๊ย..” แคปเดินย่ำเท้าปังๆเข้าไปที่ครัวกะจะเอาขวดซอสมะเขือเทศฟาดใส่หัวมันให้สะใจไปเลย เขากวาดตามองหาซอสบนโต๊ะทำไมไม่มี เปิดผั๊วะฝาชีออก.....ปรากฏข้าวผัดจานใหญ่วางไว้พร้อมกับไข่ดาวอีกสองฟองโปะหน้า
ข้าง ๆ กันมีขวดซอสมะเขือเทศตั้งเตรียมไว้ให้พร้อม
“.........” หือ!!??
“เห็นรึยังซอสนะ
เอามาให้กูเร็วเข้า”
“อะ..อันนี้คืออะไรวะไอ้เอส
อะไรของมึงอยู่บนโต๊ะน่ะ..” แคปตะโกนถาม
“เอามาเร็วสิ
กูหิวนะช้าจริงมึงนี่ ขวดซอสน่ะได้หรือยัง”
“ละ...แล้วอันนี้....” แคปชี้ลงที่จานข้าวผัด เอาตรง ๆ
เลยนะจานของมันที่นั่งกินอยู่ไม่มีกระทั่งไข่ดาว ทำไมจานนี้ถึงมีวะ
หอมฉุยเลยควันยังลอยขึ้นมา มันทำเผื่อใคร ของเขาเหรอ??
“อะไร
อย่าถามเรื่องมาก..” เอสเร่งบอกให้เอาซอสมาอีก
แคปไม่สนแล้วถือทั้งจานข้าวทั้งขวดซอสไปวางโครมลงตรงหน้า
เอสเงยหน้ามองคนที่ยืนจ้องเขาอยู่
ก่อนที่มือใหญ่จะรวบเอวเล็กให้นั่งลงที่ตักเขาอีกรอบ
“ดื้อฉิบหาย”
“นี่ของกูเหรอ” แคปถามขึ้นทำหน้าดุๆ
เอสส่ายหัวบอกไม่ใช่ ทำไว้ให้หมา แคปฟาดผั๊วะลงอย่างดังเขาร้องบอกเจ็บๆ
“เพื่อนมึงจะกลับไหมวะ
คืนนี้..”แคปกระโดดลงจากตักใหญ่ได้
พุ่งเข้าหาจานข้าวตัวเองทันที
“กูจะไปรู้ได้ยังไง
นอนกับเมียมันแล้วมั้งป่านนี้น่ะ”
“........” เอสพยักหน้าแล้วนั่งยิ้มแคปถลึงตาใส่
“ยิ้มทำไม
อย่ามามองกูแบบนั้นแล้วยิ้ม โรคจิตลามก กูรู้หรอกมึงคิดเรื่องเหี้ยอะไร..” แคปเกลียดเวลาเอสใช้สายตาโลมเลียแบบนี้จ้องเขาที่สุด
เกลียดโคตรเลย เขาหยิบซอสมาบีบลงที่จานตัวเองไปด้วยปากก็บ่นไปด้วย
“มึงมันสันดานลามกแก้ไม่หายหรอกกูบอกให้รู้
หื่นเป็นนิสัย ในหัวนี่คงคิดอยู่แต่เรื่องเดียวสิท่า”
“เปล่าสักหน่อยคิดหลายเรื่องอยู่นะ
แต่ตอนนี้แค่กำลังคิดว่าคืนนี้จะกดมึงเลยดีไหม
อยากได้ยินเสียงมึงครางแบบวันนั้นอีก ก็แค่นั้น.....”
ผั๊วะๆๆๆ
“ไอ้สัสเอ๊ย
พูดมากๆแบบนี้มึงอยากตายใช่ไหมห๊ะ! หยุดมองกูแบบนั้นได้แล้ว
เดี๋ยวแม่งจะควักลูกตามึงออกมาให้หมดเลยเหอะ ไอ้โรคจิต!”
“อะไรเล่ามองเมียก็ไม่ได้
แต่งตัวยั่วกูทำไม”
“มึงเป็นบ้าเหรอ จะนอนแล้วจะให้กูใส่เสื้อคอเต่า
กางเกงหุ้มข้อรึไง ถ้ามึงไม่อยู่กูแก้ผ้าเดินแล้วไอ้เหี้ย..” ด้วยความที่ไม่ได้คิดอะไรมากแคปด่ากราดออกไปขณะที่ฝ่ายเอสกำลังนั่งนึกเรื่องลามกอยู่
เขาจึงขำออกมาไม่หยุด
“หึหึหึ ขนาดนั้นเลย..” เอสกลั้นขำ
“ก็เออสิ
ไอ้ตัวขัดความสุข กูด่ามึงนี่เคยรู้สึกรู้สาอะไรบ้าไหมห๊ะ
ด่าจนปากกูจะฉีกถึงหูอยู่แล้วมึงยังมานั่งยิ้มอยู่เนี่ย”
แคปส่ายหัวถอนหายใจเซ็ง ๆ
มองหน้าคนที่ด่ายังไงมันก็ยังนั่งอมยิ้มหัวเราะเหอะๆ เขาคิดว่ามันเสียเส้นไปแล้วโดนด่าแล้วชอบ
โรคจิต!
คืนนั้น..กว่าแคปจะได้กินข้าวหมดจาน
ทั้งกินทั้งด่าเสียพลังงานสุดๆ ข้าวผัดจานใหญ่มากยังมีไข่ดาวอีกสองฟอง
อิ่มจนไม่รู้จะทำยังไง เขาหาวหวอดออกมาสามสี่รอบพอท้องตึงเขาก็ง่วง แคปนั่งสัปหงกจะหลับไปสองสามรอบ
“แคป
ง่วงก็ไปนอน” เอสหันมองคนข้าง
ๆ ส่ายหัวกับพฤติกรรมการนอนของแคป
ที่มักจะนอนหลับง่าย ๆ แบบไม่เลือกสถานที่
นึกอยากจะหลับตรงไหนก็หลับเลย ที่สำคัญหลับแล้วปลุกยากถึงยากที่สุดอีกด้วย
“แคป..” เอสเรียกขึ้นอีกครั้ง
ขณะที่แคปซบลงมาที่ไหล่เขาแล้วเรียบร้อย แน่นอนว่ามันคงไม่รู้ตัว
ริมฝีปากเล็กเผยอขึ้นลมหายใจหนักหน่วงถูกพ่นออกมา
“เรียกไม่ตื่นแบบนี้
กูอุ้มเข้าห้องใช่ไหม..”
“.........”
ไร้เสียงตอบรับจากคนตัวเล็กไปแล้ว
เขาถอนหายใจก่อนจับแคปนอนลงที่ตักดี ๆ หยิบรีโมทมากดปิดทีวีแล้วเปิดเป็นเพลงเบา ๆ
จากคลื่นเอฟเอ็มเพราะๆฟังแทน ช่วงเวลาดึกๆแบบนี้กับเพลงช้าความหมายดีๆ…
....มือใหญ่เกลี่ยเส้นผมสีอ่อนของคนที่นอนหลับไม่รู้เรื่องอยู่ที่ตัก
เขาเสยรวบขึ้นให้อย่างเบามือก่อนก้มลงไปแตะจูบเบาๆลงที่หน้าผากหอมเนียน จากนั้นตัวเองจึงเอนพิงลงที่พนัก
หลับไปทั้งๆอย่างนั้นด้วยกัน....
Tbc.