[XIII]
...อาจมีฝนที่หล่นมาชั่วคราวและเมฆขาวที่ผ่านมาเพียงชั่วคืน
เจอะกับลมก็ปลิวไปไม่มีใครรื้อฟื้น ไม่ได้เป็นความยั่งยืนเสมอไป
แต่กับเธอที่ผ่านมาชั่วคราว และเรื่องราวที่เปลี่ยนไปชั่วข้ามคืน
กับอะไรที่เป็นไป ก็ยังไม่เคยลืม เหมือนว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของหัวใจ
เราไม่เคยจะรักกัน มีแต่วันที่อ่อนไหว
ผ่านเลยไปและไม่เคยจะกลับมา
เป็นแค่ความประทับใจ ที่ยังคงแน่นหนา
มีแต่ฝนมีแต่ฟ้าที่เข้าใจ
ใต้ต้นไม้ที่ไม่มีร่มเงา กิ่งก้านมันไม่ได้สูงสักเท่าไร
แต่รากลึกลงในดินหยั่งลึกลงในใจ มีความหมายมากมายตลอดมา…..
(Cr.เพลง Stay)
“เฮ้! ทางนี้”
เสียงดนตรีสดที่ร้านอาหารดังลอดออกมาขณะที่สามหนุ่มเอสแคปเมี่ยงเดินตามกันเข้าไป
เต้ยกมือขึ้นเรียกทันทีเขาตั้งใจเดินออกมารับแคปถึงด้านหน้า
คีบบุหรี่ใส่ปากก่อนกอดคอน้องชายเข้าไปด้วยกัน
เสียงวงดนตรีสดเล่นเพลงไม่เร็วนักคลอไปกับบรรยากาศเอาท์ดอร์นั่งชิลรับลมเย็น ๆ
ยามค่ำคืนหลังมอ ย่านนี้นักศึกษาเยอะมาก
ทั้งมอไซด์รถยนต์วิ่งสวนกันให้ขวักไขว่ กว่าเอสจะหาที่จอดได้วนซอยแคบ ๆ ถึงสามรอบ
“นั่งกับกูนี่”
เต้จับให้แคปนั่งลงข้างตัวเอง
อีกฝั่งหนึ่งของเขารัฐนั่งอยู่ก่อนแล้วขณะที่เอสกับเมี่ยงเดินไปนั่งข้างกันที่ฝั่งตรงข้าม
หัวโต๊ะฝั่งนึงเป็นเพื่อนๆของเต้สี่ห้าคนอีกฝั่งเป็นชิพกับบุ้ง พอหลายคนนั่งกันจนครบ
พนักงานสาวสวยก็เข้ามาชงเครื่องดื่มให้อย่างรู้งาน
“ขอบคุณครับคนสวย..”
แคปรับแก้วเครื่องดื่มมาจากเธอ เขาชมตรงไปตรงมาเธอเขินจนแก้มแดง
ดูแล้วน่าจะเป็นเด็กนักศึกษาจากที่ไหนสักแห่งมารับจ๊อบพิเศษ
ร้านนี้เป็นร้านของรุ่นพี่ลาเต้ที่จบออกมาแล้วร่วมหุ้นเปิดกันกับเพื่อนอีกคน
พี่เจ้าของร้านเดินเข้ามาทัก เต้จึงแนะนำแคปกับเพื่อน ๆ ไปด้วยในตัว
“ตามสบายนะครับ
พี่ขอตัวไปดูโต๊ะนั้นก่อน
ไอ้เต้มึงขาดเหลืออะไรเดินไปจัดการเองไม่ต้องเกรงใจเข้าใจนะเว้ย”
“โอเค”
เต้พยักหน้ารับก่อนหันมาหาน้องชายตัวเอง มองเสื้อที่แคปสวมมันใหญ่ๆชอบกล
“ใส่เสื้อใครมาวะ”
“เสื้อหมา”
“ห๊ะ?”
“เสื้อไอ้น้องรหัสเฮียนั่นแหละ”
แคปตอบเซ็ง ๆ เหลือบมองไอ้เจ้าของเสื้ออย่างช่วยไม่ได้
“อ่อ..” เต้พยักหน้าเข้าใจ
เขาหันไปมองเอสที่ยักไหล่แล้วส่ายหัวบอกไม่รู้ไม่ชี้
เขาเลยคิดไปว่ามันต้องมีสาเหตุ
วันนี้ลมค่อนข้างแรงมันนั่งรถมาด้วยกันแคปคงคว้าเอามาใส่ เพราะเสื้อกันหนาวสีดำตัวนี้ของเอสมีฮู้ดที่สามารถเอามาปิดคลุมศีรษะได้
แคปมันจะชอบเสื้อสไตล์นี้มากๆ แต่ทว่า...ความเป็นจริงช่างสวนทางกับที่เต้คิดนัก
เพราะตอนที่มาถึงที่นี่จอดรถเสร็จแคปเปิดประตูจะเดินลงมาเอสดึงแขนไว้แล้วคว้าเอาเสื้อกันหนาวที่พาดไว้ด้านหลังข้าง
ๆ เมี่ยงมาโยนให้ แคปรำคาญโยนคืนเอสชี้หน้าแล้วบอกให้ใส่
ยิ่งวันนี้ลมแรงคนที่ตากแดดลงแปลงเกษตรมาทั้งวันต้องมานั่งชิลเอาท์ดอร์แบบนี้อีก
แคปหงุดหงิดปาเสื้อเข้าไปอีกเป็นครั้งที่สองเอสจับสวมเข้าทางหัวเสร็จเรียบร้อยเลย
ขู่เอาไว้ถ้าถอดเมื่อไหร่พี่มึงรู้เมื่อนั้น ก็แค่นั้นแหละแคปมันเลยต้องใส่แล้วเดินหัวเสียเข้ามา
“เออใส่ก็ดีลมแรง
ๆ ว่ะแต่ดีหน่อยฝนไม่ตก” เต้เงยหน้ามองท้องฟ้า
เขาขยับตัวแล้วทำท่ากระแอมไอเก็กขึ้นนิดๆ รัฐเพื่อนสนิทนั่งอมยิ้มกับท่าทางตลกๆ
“วันนี้ขอกูเป็นทางการนิดนึงละกัน พวกมึงฟังให้ดี วันนี้นับเป็นครั้งแรกที่น้องชายกูมานั่งกินข้าวด้วยเพราะงั้นจะแนะนำทีเดียวเลย รู้จักกันไว้ต่อไปมีอะไรพึ่งพาอาศัยกันได้
นี่คาปู น้องชายกูเอง
แล้วก็คาปูนี่ไอ้รัฐมึงคงรู้จักอยู่แล้วนี่ไอ้โอ๊คไอ้รินไอ้บีไอ้รักไอ้ตุ้ยแล้วก็นั่นไอ้ชิพกับไอ้บุ้ง”
“แคปครับ แคปไม่ใช่คาปู” แคปรีบค้านชื่อตัวเองก่อนเป็นอย่างแรกเขาไม่อยากถูกใครเรียกว่าคาปูหรอกนอกจากคนในครอบครัวฟังแล้วมันดูเหมือนผู้หญิงมุ้งมิ้งเป็นบ้า
ก็ช่วยไม่ได้ถ้าเฮียเต้จะเรียกจนติดปากแต่ไอ้ประเภทให้เพื่อนเรียกคาปูด้วยนี่เขาไม่ยอมรับแน่
ๆ
“อ่าโทษที
ต้องแคปสิไม่ใช่คาปู เอาใหม่ก็ได้ว่ะ”
เต้อมยิ้มที่มุมปากเขายกแก้วขึ้นจิบแล้วหันไปมองหน้าน้องชายแคปส่ายหัวแล้วบอกแดกต่อไปห้ามมอง
เต้เลยผลักหัวเล็กเบา ๆ
“ตกลงไงแน่นวะไอ้เต้
ไหนมึงบอกน้องชื่อคาปู
น่ารักเรียนอยู่เกษตรแล้วไหงน้องเขาบอกชื่อแคปเป็นผู้ชายออกขนาดเนี๊ยะ
ตกลงว่ามึงมีน้องชายฝาแฝดคนนึงผู้หญิงชื่อคาปูคนนึงผู้ชายชื่อแคป
สองคนเรียนเกษตรทั้งคู่แบบนี้อ่อ?” หนึ่งในบรรดาเพื่อนถามขึ้น
ที่เหลือทั้งหมดก็พากันสงสัยตาม เต้นี่กระแทกแก้วลงที่โต๊ะเลย
“น้องชายกูมีคนเดียวไอ้เหี้ย
ชื่อคาปูน่ะมีกูคนเดียวมีสิทธิ์เรียกได้ ส่วนพวกมึงเรียกมันว่าแคป”
“โฮ่ววววววววว
ไอ้พี่หวงน้อง
กูกะนึกว่ามึงมีน้องสาวเห็นพูดถึงตลอดตั้งแต่เข้าปีหนึ่งยันปีสามมันยังพร่ำเพ้อบอกน้องมันน่ารักน่าทะนุถนอมอยู่เลย
กูก็สืบนะเว้ยใคร๊ใครคาปูเรียนเกษตรน่ารักน่าชังแม่งไม่มีใครรู้จักสักคน
ที่แท้ผู้ชายชื่อแคปมิน่าถามใครไม่มีใครรู้”
“อ้าวไอ้เหี้ยมึงไม่ถามกูล่ะไปสืบเองแบบนั้นหมายความว่าไงห๊ะ”
“ก็พวกกูอยากรู้อ่ะ”
เสียงเพื่อนพ้องแซวๆกันเล่นความจริงส่วนใหญ่รู้กันอยู่แล้วน้องชายลาเต้ คาปูชิโนเรียนอยู่คณะเกษตร
คนส่วนใหญ่เรียกแคปมีแต่ไอ้พี่ติดน้องนี่แหละที่เรียกคาปู๊คาปู
เอาจนเพื่อนๆนี่อ่อนใจ
ไม่ใช่อะไรนะวอลเปเปอร์โทรศัพท์มือถือของเต้ยังตั้งเป็นรูปน้องชายมันสมัยเด็กอยู่เลย
แคปยิ้มแห้ง ๆ
ยกมือไหว้รุ่นพี่แบบเรียงตัวไม่เว้นแม้กระทั่งบุ้งและชิพ
เมี่ยงที่กำลังยกแก้วน้ำขึ้นดื่มถึงกับสำลัก ส่วนเอสหัวเราะหึๆ
“ไอ้สองตัวนั่นมันเพื่อนไอ้เอสรุ่นเดียวกับมึงไปไหว้มันทำไมวะ”
“อ้าว...”
เต้ดึงน้องชายไว้ไม่ทัน ขณะที่คนไหว้ไปแล้วอย่าแคปอ้าวขึ้นอย่างดังหันมองพี่ตัวเองหาเรื่องสุด
เอสที่นั่งอยู่หัวเราะหึหึขำแบบฉิบหายวายป่วง แคปจึงหันไปถลึงตาใส่ด้วยอีกคน
“ขำมากไหมไอ้สัส!”
แน่นอนว่าคนที่หัวเราะไม่ใช่เอสคนเดียว ทันทีที่แคปพ่นคำว่าไอ้สัสออกมาคนขำเงียบกันไปหมดทั้งชิพทั้งบุ้งนี่หุบปากฉับยังไม่รวมไปถึงเพื่อนๆของเต้ที่มองหน้ากันเลิ่กลั่ก
เขาเลยยกมือบอกว่าแคปพูดเล่นขำๆ ใสๆ
มีแต่เอสเท่านั้นที่ยังไม่ยอมหยุดขำนั่งยิ้มต่ออยู่คนเดียว
“ขำ
ขำมาก ขำให้ตายไปเลยไหมห๊ะ!” แคปแดกดันขึ้นอีก สองคนสบตากัน
“หึหึ
ขำก็คือขำน่ะแหละ..” เอสตอบพลางจุดบุหรี่ขึ้นสูบอย่างสบายใจ
เขายักไหล่ยั่วโมโหคนตัวเล็กกว่าได้ยิ่งสนุก ขณะที่แคปนี่นั่งกัดฟันกรอดๆ
“ไปทำอะไรมาวะ
ทำไมหน้ามึงดำแบบนี้เนี่ย..” เต้ตักอาหารที่แคปชอบวางใส่จานให้
แคปชี้บอกจะเอากุ้งผัดเปรี้ยวหวาน
เอสที่มองอยู่ตลอดจึงยกจานนั้นส่งให้แคปทั้งจานเลย
‘ไม่ขอบใจหรอกไอ้เหี้ย’ แคปพูดแบบไร้เสียงใส่ เอสก็แค่ยักไหล่ เต้เหลือบมองสองคนทำสงครามกันแล้วส่ายหัว
“มึงไปทำอะไรมาไหนบอกกูซิ
วันนี้ลงแปลงเกษตรเหรอวะ..”เต้ถามต่อ
“อือใช่ดิ
ร้อนก็ร้อนเหนื่อยสุดแล้วยังต้องเดินจนขาจะลากแล้วเนี่ย..” ว่าพลางทุบขาตุ่บๆโชว์ให้เต้ดูไปด้วย
“ไปเดินที่ไหนมาล่ะนั่น
แล้วไปไงมาไงมึงถึงได้มากับไอ้เอสไอ้เมี่ยงอ่ะ พวกมึงไปสนิทกันตั้งแต่เมื่อไหร่วะ
รู้จักกันดีแล้วดิ่..”
“อ่ะแค่กๆๆๆๆ”
แคปสำลักน้ำซุปพรวดลงใส่จานตัวเอง เต้ตกใจรีบเอามือลูบหลังเล็กเบาๆ
เอสที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามดึงกระดาษทิชชู่ส่งให้
“กินอะไรของมึงจะรีบไปไหน
วันนี้นั่งชิลเลยนะไม่เมาไม่ให้กลับนะเว้ย..”
แคปเหลือบมองพี่ชายเขาเช็ดปากเสร็จขว้างใส่เอสอย่างเสียอารมณ์ กระดาษตกลงใส่จาน
เอสชี้หน้าคาดโทษเจอแคปเบะปากแล้วยักไหล่ใส่บ้าง
“มึงสองตัวนี่กัดกันยังไม่เลิกอีกเหรอวะ
กูเห็นไปไหนมาไหนด้วยกันก็นึกว่าดีกันแล้วเสียอีก อยู่บนรถทะเลาะกันบ้างป่ะเนี่ย..”
“.......”
แคปเงียบ เอสเองก็เงียบ เมี่ยงมองสองคนแล้วหันไปสบตาบุ้งกับชิพ
ทั้งหมดก็เงียบกันอีก คราวนี้ต่างคนกินดื่มฟังเพลงกันไปเรื่อย ๆ
เอสไม่ค่อยพูดมากนักเขาก็แค่นั่งดื่มแล้วก็สูบบุหรี่เรื่อย ๆ พอกันกับเต้
รัฐเป็นคนชงเครื่องดื่มให้ ชิพกับบุ้งคุยกันงุ๊งๆงิ๊งๆ
เมี่ยงที่นั่งดื่มอยู่ข้างเอสมีแอบมองแคปเป็นระยะ
ยกดื่มไปพลางถามตัวเองไปพลางเขายังไม่เข้าใจไอ้เพื่อนสนิทอย่างเอสอยู่ดี มันจริงเหรอวะที่เอสตกลงใจคบไอ้คนที่นั่งตรงข้ามกับเขาตอนนี้
แคปไม่มีทีท่ากับเอสเลยแม้แต่นิดเดียว ถ้าจะมีใครสังเกตดี
ๆก็จะรู้เลยว่าสายตาเอสจับอยู่ที่แคปตลอดด้วยซ้ำ
“กินมากไปแล้วไอ้เมี่ยงเดี๋ยวได้เมาหรอกมึง..”
บุ้งนั่งอยู่ด้านข้างบอกเพื่อนตัวเองแต่เมี่ยงไม่ได้สนใจฟัง
“เมาก็เมาดิวะ
พวกเราก็อยู่ไอ้เอสมันก็อยู่ไม่เห็นเป็นไร..”
ชิพหันไปบอกบุ้งจากนั้นเขายกแก้วตัวเองขึ้นแตะกับแก้วของเมี่ยง
ยกชนแล้วดื่มกันเป็นว่าเล่น
“แล้วคอมันแข็งเหมือนมึงป่ะล่ะ..”
บุ้งยังทักท้วงไม่ยอมหยุด ชิพหันมามองใส่ตาเขียว
“เอาน่า
บ่นไรเล่าไอ้เอสก็อยู่เดี๋ยวมันจัดการกันเองแหละ..”
“เออๆตามใจ”
ถึงบอกอะไรไปก็ไม่ฟังอยู่ดีบุ้งจึงปล่อยชิพกับเมี่ยงดื่มกันต่อไปเรื่อย ๆ
แคปนั่งฟังเพลงชิลๆยกแก้วตัวเองขึ้นจิบเลี่ยงที่จะมองไอ้คนฝั่งตรงข้ามเพราะมองไปเมื่อไหร่เจอสายตาคมกริบของมันมองอยู่ก่อนแล้วทุกครั้ง
“อากาศดีว่ะ
กูตัวดิ๊..” เมี่ยงสะกิดขาบอกเอสขอบุหรี่ตัว เอสจึงยื่นซองส่งให้
พอดึงไปคาบไว้เสร็จเมี่ยงเงยหน้าขึ้นเพื่อขอต่อไฟ
เอสก็แค่ก้มลงมาเอาปลายมวนของตัวเองต่อกับของเมี่ยง
“พวกมึงสองตัวแม่ง..”
เสียงแซวจากรุ่นพี่ที่นั่งอยู่ข้างรัฐดังขึ้น
เมี่ยงเลิกคิ้วถามขณะที่เอสไม่ได้สนใจอะไรนัก
“คู่ผัวตัวเมียไง
หึหึ” เสียงเต้ดังขึ้นใกล้ ๆ
ทำให้แคปที่นั่งมองเอสกับเมี่ยงอยู่นานแล้วถึงกับสะดุ้ง
“ผัวเมียไรพี่ก็แค่ต่อไฟ
ดื่มๆ คิดไรมากเนี่ย..” เมี่ยงเหลือบมองแคปนิดๆก่อนยกแก้วขึ้นดื่ม เสียงเพลงเปลี่ยนบรรยากาศปรับอารมณ์ขึ้นอีกนิดหน่อย
เอสพาดแขนเข้ากับพนักของโซฟา เพื่อนตัวเล็กที่เริ่มจะเมานิดๆเอนเข้ามาหาที่ซบ
“เมาเหรอมึง”
เอสก้มลงไปถาม
“เปล่า”
เมี่ยงตอบแล้วขยับตัวนั่งใหม่ให้ตรง ๆ เอสก็ไม่ได้คิดอะไรนั่งฟังเพลงไปเรื่อย ๆ
เห็นแคปที่มัวแต่ก้มหน้าก้มตากดโทรศัพท์เลยนึกอะไรดีๆออกเขาเอาโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมากดไลน์ข้อความส่งหาแคป
เอาให้ตกใจเล่นหึหึ
อ่านแล้ว 21:33 [รู้นะมึงคุยอยู่กับใคร]
[เสือก!] 21:35
หึหึ
คำตอบแค่นั้นก็เพียงพอให้เขาหัวเราะออกมาเบา ๆ
เงยหน้ามองคนตรงข้ามที่นั่งทำตาเขียวแล้วก็สนุก
“คุยกับใครวะ..”
เต้หันมองน้องชายที่นั่งก้มหน้ากดโทรศัพท์มือถือยิกๆๆ
ไม่ใช่เล่นเกมส์แต่กำลังส่งไลน์ข้อความอะไรสักอย่าง
หลังจากกำลังคุยกับปอมันส์ๆหมาฝั่งตรงข้ามก็มาทำลายบรรยากาศ
เขาเลยแจกเสือกไปแบบเต็มๆ เหอะสมน้ำหน้ามัน
“บอกไอ้ปอ
ชวนมันมากินด้วย” แคปบอกเต้แต่ไม่ได้เงยหน้ามองกำลังเลือกสติกเกอร์สวย ๆ จะส่งไป
“มันว่าไงล่ะ”
เต้พาดแขนตัวเองที่ไหล่เล็กของน้องชายแล้วล๊อคเข้ามา
เขายกแก้วขึ้นดื่มขณะที่แคปหันไปมองเต้เลยป้อนน้องตัวเองไปด้วย
จู่ๆเสียงก้นแก้วจากคนตรงข้ามกระแทกโต๊ะกระจกดังโครมตามด้วยโต๊ะกลางทั้งตัวเคลื่อนเกือบๆจะล้มเพราะลูกถีบจากใครสักคนด้านล่างยันจนโต๊ะโยก ทั้งหมดต่างหันดู
เอสนั่งหน้าเขียวจ้องสองพี่น้องอยู่
เมี่ยงรีบแก้สถานการณ์บอกเอสมันอารมณ์ไม่คอยดีเมื่อกี้แกล้งมันๆเลยโกรธ
“ไอ้สัสมึงจะแสดงออกมากไปถึงไหน”
เมี่ยงป้องปากกระซิบเพื่อนสนิทเหลือบตามองไปทางพี่รหัสตัวเองอย่างรัฐหรือแม้กระทั่งเต้พี่เทคของเขา
ดีหน่อยที่ทางนั้นคงไม่ทันได้สงสัย แต่ไอ้คนข้าง ๆ
เขานี่แหละที่มันกำลังจะทำให้เรื่องแตก
“ไอ้พี่ติดน้องนั่น...”
เอสกัดฟันตอบตายังเขียวอยู่ เมี่ยงนี่รีบดึงๆบอกให้หันมาอย่าจ้องมากเกิน
เดี๋ยวเต้รู้ได้เป็นเรื่องแน่ ๆ แต่เอสท่าทางจะไม่ค่อยยอมฟัง
“เขาพี่น้องกันมึงอย่าบ้า”
“กรอดดดด..” เสียงกัดฟันกรอดจากคนที่ทำอะไรมากก็ไม่ได้
เมี่ยงเลยบอกให้ดื่ม ๆๆ แต่เอสส่ายหัวบอกไม่
ขณะที่แคปกับเต้ยังก้มดูข้อความในไลน์ที่ปอตอบกลับมาไม่ได้สนใจมองฝั่งตรงข้ามเลย
“พรุ่งนี้กลับบ้านนะเดี๋ยวบ่ายๆกูแวะไปรับ”
“ทำไมอ่ะ”
แคปหันไปถามพี่
“รถมึงเสร็จแล้ว
เมื่อวานโทรกลับบ้านเห็นเฮียโก้บอกอาฟี่เพิ่งไปเอารถกลับมา
แล้วพ่อก็กำชับให้มึงกลับไปกินข้าวฝีมือเฮียแกด้วยมีเมนูใหม่ที่เราสองคนต้องกลับไปชิม”
“อ่อ
ครับได้ๆ” แคปพยักหน้าเข้าใจปกติเฮียโก้จะชอบคิดค้นเมนูเบเกอรี่หรืออาหารเพื่อสุขภาพใหม่ๆออกมา
ทั้งเต้และแคปมีหน้าที่ต้องชิมเพื่ออนุมัติว่าผ่านที่จะเป็นเมนูทำขายหน้าร้านได้ไหม
เฮียโก้เคยบอกว่าถ้าลูกๆชอบ เมนูนี้ก็จะขายดี
แคปกับเต้รับทราบและเข้าใจมาตั้งแต่นั้น
“คาปู
ตัวมึงอุ่นๆว่ะ เป็นไข้รึเปล่าเนี่ย” เต้ที่นั่งกอดคอน้องอยู่รู้สึกแคปตัวรุม ๆ
เขาเอาหน้าผากเข้าชนหัวเล้กวัดอุณหภูมิดูรายนั้นเอียงหลบแล้วบอกไม่เป็นไร แต่เจอพี่ชายใช้สายตาขู่
“ก็บอกว่าไม่เป็นไรไง
สงสัยวันนี้ตากแดดเยอะ”
“ไม่เป็นไรแน่นะ”เต้ย้ำกับน้องชายอีก
“ครับๆไม่เป็นไรหรอกน่า..”
แคปก้มหน้าก้มตากดต่อ สติกเกอร์ไลน์ตัวที่ปอส่งมาล่าสุดโคตรของความตลกไม่รู้ไปโหลดมาจากที่ไหน
เนี่ยเขากำลังหาที่เด็ดกว่าส่งให้มันไปบ้าง ไม่มีแบบเจ๋งๆเล๊ย
“ไอ้ปอมันว่าไงบ้าง
จะมาป่ะล่ะ” เต้ก้มถามน้องอีกครั้งแคปส่ายหัว “มันไม่มาบอกจะนอนแล้ว”
“หึหึ
กูว่ามันคุยกับเมียมันอยู่ล่ะมั้ง”
“ก็นะ..”
แคปจัดการส่งสติกเกอร์อันที่คิดว่าเจ๋งสุดไป
จากนั้นไม่สนใจแล้วเขาโยนโทรศัพท์ลงที่โต๊ะ
คว้าเอาแก้วเหล้าของตัวเองขึ้นมาดื่มชิลๆ มองดูเอสที่นั่งหน้ามุ่ยอยู่ตรงข้าม
สองคนจ้องกันจนแคปนึกสงสัยนิดๆไอ้เหี้ยเอสมันเป็นบ้าอะไรจ้องเขาทำอย่างกับโกรธมาเป็นชาตินี่ถ้านั่งอยู่ข้างกันแม่งจะโบกกะบาลมันให้
‘มอง-ทำ-ไม’
แคปเหลือกตาใส่ขยับปากถามแบบไร้เสียง
แต่เจอเอสไม่สนใจแล้วยังมาหันหน้าหนีทำเมินใส่ เล่นเอาแคปนี่งงไปเลย
“อะไรของมันวะ
ประสาท โรคจิต” เขาบ่นไปคนเดียวนั่งฟังเพลงชิลไปเรื่อย ๆ
ไม่สนแล้วไอ้คนตรงข้ามมันจะหันกลับมามองอีกบ่อยแค่ไหน
“ไงวะเต้
ไม่เจอนานนะมึง..” เสียงทุ้มดังขึ้นจากด้านหลัง สองพี่น้องต่างหันไปมอง
รัฐขยับให้คนที่เข้ามาทักนั่งลงข้างเต้
แต่คนมาใหม่รายนั้นกลับเดินเข้ามาทางฝั่งแคปแล้วนั่งลงแทน
“เออไงวะไอ้ตุน
ไปไงมาไงเนี่ยไม่เจอนานเลยนี่หว่า”เต้ยกแก้วตัวเองส่งให้ตุนรับไว้
“กูมาบ่อยนะที่นี่แต่ไม่เคยเจอมึงเลยอ่ะ”
“กูก็มาบ่อยเหอะไม่เคยได้เจอกันเลยหายหัวไปไหนมาบ้านช่องไม่ยอมกลับนะมึง”
“โปรเจคเยอะสุดไรสุด
นี่ก็แค่แวะมาเอางานกับรุ่นพี่โต๊ะนั้นน่ะ” ตุนยกแก้วขึ้นจิบแล้ววางคืน
“อ่อๆ”
เต้พยักหน้ารับ หลังจากนั้นแนะนำตุนให้เพื่อนคนอื่นๆรู้จัก
ตุนเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกับเต้ เพื่อนที่โตมาด้วยกันเพราะบ้านอยู่ข้างกัน
เขารู้จักทั้งเฮียโก้และอาฟี่เป็นอย่างดี
ตอนที่สอบเรียนเข้ามาตุนเลือกสถาปัตย์ขณะที่เต้เลือกวิศวะต่างคนต่างติดคณะที่ตัวเองชอบมากที่สุดทั้งคู่
แต่หลังจากที่ต้องออกมาอยู่คอนโด สองคนเลยต้องห่างกัน
“ไง
คาปู” ตุนยิ้มอ่อนทักแคป แน่นอนว่าเขาสนิทกับแคปด้วย
ช่วยเต้เลี้ยงน้องมาตั้งแต่เด็ก จูงมือพาไปสนามเด็กเล่น
ป้อนข้าวพาไปโรงเรียนไปรอรับตอนเรียนพิเศษ พูดง่าย ๆ เคยทำแทนเต้มาทั้งหมดแล้ว คำว่าคาปูแคปก็อนุญาตให้ตุนเรียกได้รองลงมาจากคนในครอบครัวแค่คนเดียว
“พี่ตุนลงบอลด้วยใช่ป่ะครับ
วันนั้นผมเห็นพี่ประชุมอยู่ที่สนาม ตอนที่คัดตัวนักกีฬา
คณะพี่ใช้สนามก่อนพวกผมน่ะ”
“เปล่า
พี่ไม่ได้ลงบอลหรอก วันนั้นแวะไปช่วยเพื่อนน่ะมันขาดคนเลยลงเล่นแทนให้
เห็นเราเหมือนกันนะแต่มองอยู่ไกลๆเห็นว่าอยู่กับกลุ่มเพื่อนพี่เลยไม่ได้เข้าไปทัก”
“ครับ แล้วพี่ตุนลงกีฬาอะไร ไม่เตะบอลงั้นลงบาสเหรอ” แคปยกแก้วตัวเองขึ้นดื่ม
ตุนแบมือขอแคปจึงส่งให้ เขายกดื่มแล้ววางลงที่มือแคปเหมือนเดิม
“ใช่
เมื่อก่อนหมาน้อยมันไปเชียร์พี่ข้างสนามตลอดอยู่แล้วนี่ หึหึ”
“ผมไปเชียร์พี่เต้หรอก”
“อ้าวก็ไอ้เต้กับพี่เล่นบาสด้วยกันตลอดนี่หว่า
คาปูไปเชียร์มันก็เหมือนๆกับไปเชียร์พี่นั่นแหละ”
“แต่ปีที่แล้วพี่ไม่ได้ลงบาสนี่ครับ”
“ปีที่แล้วยุ่งไงกิจกรรมเยอะ
ปีนี้ไม่พลาด ทีมบาสสถาปัตย์เผลอๆได้แข่งรอบชิงกับทีมวิศวะของไอ้เต้แน่ ๆ ”
“มึงเตรียมตัวตายเหอะ”
เต้หันไปแสยะยิ้มข่ม ตุนยักไหล่แล้วคว้าเอาแก้วจากมือแคปมายกดื่มอีกหน
“ไม่มีทางเว้ย
แคปถ้าว่างไปเชียร์เลยนะเดี๋ยวพี่จะปราบเซียนพวกวิศวะให้ดู” ตุนขยี้ลงที่หัวแคปอย่างเอ็นดูก่อนที่จะลุกขึ้นบอกขอตัว
ทุกคนหัวเราะเพราะแค่ดูก็รู้ว่าตุนสนิทกับเต้มากๆ
เป็นที่รู้กันว่าเต้หวงน้องจะมีใครสามารถคุยไปด้วยจับหัวลูบหลังกอดคอแคปตลอดแบบนี้ได้
ถ้าไม่ใช่กับคนที่สนิทจริง ๆ แม้กระทั่งรัฐยังไม่กล้าสนิทสนมกับแคปขนาดนั้น
“ปีนี้เห็นว่าสถาปัตย์แข็งน่าดู”
เพื่อนคนนึงของเต้ที่นั่งกินเหล้าอยู่เงียบ ๆ พูดขึ้น
“กูว่าอาจจะต้องเจอกันกับพวกเรารอบสุดท้าย
ไอ้เอสมึงเตรียมตัวไว้ดี ๆ ไอ้ตุนมันเก่งมากรู้แค่นี้จบ”
“เก่งไม่กลัวเลย
กลัวไม่เก่งจริง” เอสยกแก้วตัวเองขึ้นดื่ม
ตาจ้องคนตรงข้ามเขม็งไม่ปล่อยให้หลุดรอดออกแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว
เขาไม่พอใจตั้งแต่แคปปล่อยให้ไอ้พี่ข้างบ้านอะไรนั่นลูบทั้งหัวกอดทั้งคอแล้ว
“หึหึ
พี่ตุนเก่งพอกับเฮียเต้นั่นแหละ มึงเสร็จแน่ไอ้เหี้ยเอส” แคปยื่นหน้าเข้าไปพูดใส่
เลิกคิ้วท้าทายเอสเต็มที่
“แล้วมึงเคยเห็นกูเล่นแล้วเหรอถึงได้พูดออกมาแบบนั้น”
เอสวางแก้วของตัวเองลงแล้วถามเสียงเรียบ ใจจริงอยากจะล็อคคอมันจับมาดูดปากลงโทษที่พูดดีนัก
เสียแต่เฮียเต้นั่งจ้องเขาสองคนอยู่
“ไม่อยากเห็นหรอกไอ้สัส”
แคปกัดฟันใส่
“พอๆ
มึงสองตัวนี่กัดกันอีกแล้ววุ๊ย” เต้รีบปราม ดึงน้องตัวเองห่างออกมา แคปหงุดหงิดหัวเสียลุกขึ้นจะเดินออกไปเต้ถามว่าจะไปไหน
“ห้องน้ำ”
เอสลุกขึ้นด้วยเลย
“ไป
มึงกับกูไปตีกันต่อในห้องน้ำ” คว้าหมับเอาแขนแคปแล้วดึงออกไปด้วยกัน
เต้นั่งมองน้องชายตัวเองกับน้องรหัสตัวเองที่เดินออกไปแล้วด่ากันไป
คิดว่าเอสคงทนไม่ไหวเจอแคปมันแหย่อยู่ตลอดเป็นใครๆก็ขึ้น
แต่เอสเห็นแบบนั้นมันไม่ตีคนง่าย ๆ แคปกับมันค่อนข้างสนิทกันพักหลัง เขาจึงคิดว่าก็คงแค่เถียงกันไม่มีอะไรมาก
“บ้าเอ๊ย
ปล่อยกูสิวะกูไม่ไปกับมึง อยากไปๆก่อนเลยไอ้สัส” แคปถูกลากให้เดินไปก็บ่นไป
ขณะที่เอสกลับเงียบมาตลอดทาง
กระทั่งถึงทางเดินแคบๆระหว่างห้องน้ำกับสวนหินด้านข้าง
เอสเหวี่ยงแคปออกแล้วผลักคนตัวเล็กกว่าให้เดินนำไปก่อน
“ไอ้เหี้ยเอสมึงทำอะไรห๊ะ!
พี่กูก็อยู่ด้วยจะประเจิดประเจ้อไปถึงไหนไอ้สัสเอ๊ย ปล่อยกู!”
แคปหันมาจะสวนกลับเจอล๊อคคอกอดเอาไว้อีก
“เข้าไป”
เอสพูดเสียงเย็นเฉียบไม่สนใจใครหน้าไหนแล้ว
ห้องน้ำชายมีสองคนที่ยังล้างมืออยู่เขาผลักแคปถลาเข้ามา ก่อนที่ตัวเองจะก้าวตาม กระจกบานโตเผยให้เห็นว่าเอสกำลังยืนตาขวางจ้องแคปจากด้านหลัง
สองคนที่ยืนอยู่รีบสาวเท้าออกไปแทบไม่ทันก็ใครจะอยากยุ่งล่ะคนกำลังจะมีเรื่อง
ปัง!
“สัสเอ๊ย
กูไม่เข้า อ่ะ...อื้ออ ไอ้เอี้ยยยยยยยยย”
แคปโดนกระชากแขนเหวี่ยงเข้าห้องแคบๆด้านใน หลังเสียงประตูปิดดังปัง เอสขยี้ริมฝีปากกดลงมาอย่างร้อนแรง
แคปผลักไหล่แกร่งออกทั้งทุบทั้งดันแต่โดนดักทางไว้ได้ทั้งหมดสองขาดันไว้จนแนบสนิทขณะที่มือหนาตรงเข้าเข้าบีบคางเล็กให้เปิดอ้าออกก่อนจะสอดแทรกลิ้นร้อนเข้าไปอย่างชำนาญ
“ร้องให้คนข้างนอกได้ยินด้วยใช่ไหมห๊ะ!”
เอสพูดทั้งที่ยังจูบ เขาขยี้ริมฝีปากบดบี้จนแคปครางประท้วงไม่เป็นภาษา
คนตัวเล็กดิ้นขลุกอยู่ในอ้อมกอดเขา
“อื้ออ...”
เอสถอนริมฝีปากออกมาจ้องหน้าขู่ แคปฟาดผั๊วะลงอีกเขาจึงรวบมือเล็กนั่นไว้
“นี่คือโทษของมึงที่ยอมให้ใครหน้าไหนก็ไม่รู้มาทำตัวสนิทสนมได้ขนาดนั้น
กับพี่มึงกูยกเว้นได้แต่จะบอกอะไรไว้อย่าง กูเป็นคนที่ขี้หึงมากเลยนะ”
“ไอ้สัส
มึงมันบ้า ไม่มีผู้ชายคนไหนเขามาคิดบ้าๆกับกูแบบมึงหรอกกูบอกไปกี่รอบแล้วห๊ะ!”
“ตะคอกให้คนอื่นได้ยินด้วยเลยใช่ไหม มึงจะเอาแบบนั้น” เอสกัดฟันมองคนดื้อดึงด้วยสายตาน่ากลัว แต่แคปมีรึจะกลัว
“มึงก็ปล่อยกูสิวะ! บ้าเอ๊ย ”
แคปเอียงคอหลบเมื่อเอสกดริมฝีปากดูดลงมาที่คอด้านข้างไม่แรงนักแต่ไรหนวดบาง ๆ
ที่ไซ้อยู่แถวซอกคอเขามันทำให้เกิดความรู้สึกแปลกไป
มีเสียงคนด้านนอกคุยกันแคปรีบกัดปากกลั้นทั้งเสียงด่าเสียงประท้วงขณะที่เอสยังก้มหน้าก้มตาซุกไซ้ทั้งเลียทั้งดูดเอาจนตัวมันพอใจ
แคปยืนตัวสั่นเป็นเจ้าเข้าเมื่ออีกฝ่ายผละริมฝีปากออกมาจ้องหน้านิ่งๆ
“กูเกลียดมึงที่สุดอ่ะ”
ไม่ใช่แค่ตัวเท่านั้นที่สั่น เสียงแคปก็ยังสั่นเครือด้วย
“จำเอาไว้นะ
อย่าปล่อยให้ใครหน้าไหนก็ไม่รู้แตะต้องแบบนั้นอีก”
“พี่ตุนเป็นพี่ชายกู
เป็นเพื่อนพี่กูโว๊ย!”
“เพื่อนใครหน้าไหนกูก็ไม่สน
มึงรู้เหตุผลของกูอยู่แล้ว” เอสจ้องแคปด้วยสายตาที่น่ากลัวมากๆ
“ไร้สาระ
บ้าฉิบ!”
แคปส่ายหัวอย่างหงุดหงิดและเบื่อจัด สองคนยืนจ้องหน้ากันและกันอยู่สักครู่
จนเสียงด้านนอกเงียบลงแคปจึงผลักไหล่เอสออกก่อนจะเดินแทรกตัวออกมาได้เพราะอีกฝ่ายยอมปล่อยง่ายๆ
“ทำไมตัวร้อน”
เอสคว้าแขนเล็กแล้วดึงไว้อีกแคปนี่แถบจะถลาเข้าหา ไอ้เหี้ยเอสแรงเยอะมาก
“เรื่องของกูไม่ต้องมายุ่ง”
สะบัดจนสุดแรงกะจะสอยมันสักหมัดแต่เอสกลับรวบเอาไว้อีกจนได้
เขาตัดสินใจถอยออกห่างไว้ดีที่สุด
“มึงเข้าไปก่อนเดี๋ยวกูจะตามไปทีหลัง
พี่กูจะได้ไม่สงสัย”
“ห้านาที
เกินนั้นกูจะออกมาตาม”
“มึงจะบ้าเหรอห๊ะ
กูกะ......” ยังด่าได้ไม่ถึงไหน เอสเดินหันหลังกลับไปที่โต๊ะเร็วมาก
แคปนี่ยกมือขึ้นขยี้หัวตัวเองทั้งโมโหทั้งหงุดหงิดสบถงุ่นง่านอยู่คนเดียว “หึงบ้าหึงบอเหี้ยไร ทำตัวอย่างกับเป็นมึงเป็นแฟนกูงั้นแหละ
บ้าเอ๊ย ไม่ได้เป็นอะไรกันด้วยซ้ำวะ!”
คว้าซองบุหรี่ขึ้นมาคาบใส่ปากหนึ่งตัวก่อนจุดไฟแล้วดูดดับอารมณ์ ขยำซองเปล่าที่เหลือฟาดทิ้งใส่ถังอย่างหงุดหงิด
“หายไปไหนมาวะ
โทรคุยกับสาวอยู่รึไง” พอแคปกลับมาถึงโต๊ะเต้เงยหน้าถามทันที แคปส่ายหัวทิ้งตัวนั่งลงแรง
ๆ เหลือบมองไอ้ตัวเจ้าปัญหาตรงหน้า
เขาชะงักนิดๆเพราะเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าเมี่ยงที่ตอนนี้คงเริ่มจะเมาเพราะแก้มแดงไปหมดนั่งเอนหัวซบไหล่เอสชนิดที่ว่าแนบชิดซุกลงที่อกเลยก็ว่าได้
“ไม่ต้องแปลกใจคาปู
มันสองตัวผัวเมียทำแบบนี้เรื่องธรรมดาพวกกูเห็นบ่อย”
เต้เห็นแคปขมวดคิ้วจ้องเอสกับเมี่ยงด้วยท่าทางแปลกๆด้วยความหวังดีเลยหันมาบอกน้องชาย
เสียงชิพหัวเราะเบา ๆ ดังมาจากอีกทางเต้หันไปเลิกคิ้วถาม ชิพโดนบุ้งตบหัวไปหนึ่งที
“เล่นอะไรไม่รู้เรื่อง”
บุ้งต่อว่าเบา ๆ ชิพเบะปากบอกก็แค่หัวเราะ
“มึงสองคนผัวเมียจริง
ๆ ว่ะไอ้เอสไอ้เมี่ยง คบกันเมื่อไหร่บอกเพื่อนฝูงมั่งดิ
ซบกันแบบนี้ตลอดพวกกูก็เขินแทนนะเว้ย”
น้ำเสียงทีเล่นทีจริงของชิพขณะที่พูดยังยักคิ้วส่งไปให้เอส บุ้งนี่ส่ายหัวเลย
รู้แน่ ๆ ว่าชิพตั้งใจพูดกระทบใส่แคป ขณะที่แคปยังนั่งจ้องเมี่ยงที่ซบเอสอยู่ตลอด
มือบางยกบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบอีกตัว
เสียงชึกๆจากไฟแข้คที่จุดยากจุดเย็นทำเอาแคปแทบอยากจะฟาดทิ้ง
เต้เห็นน้องท่าทางหงุดหงิดน่าดูจึงยื่นไฟแช็คอีกอันส่งให้
แคปจุดไปมองสองคนตรงหน้าไป คนตัวเล็กที่เมาไปแล้ว
นั่งซบไหล่เพื่อนสนิทพร้อมกับยกแก้วขึ้นดื่มต่อไปจนเอสต้องคว้าออกแล้วบอกให้พอ
“อะไรเล่ากูอยากกินนี่”
เมี่ยงหันไปเชิดปากใส่
“เมามากแล้วมึงอ่ะ”
“ก็กูง่วงอ่ะ”
“อือ
นอนซะ” เอสลูบหัวเมี่ยงเบา ๆ บอกให้นอนที่ไหล่เขาได้เลย ดนตรีบรรเลงเพลงฟังสบายๆไปเรื่อย
ๆ ขณะที่แคปนั่งสูบบุหรี่มองสองคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก
พี่ชายเขากับเพื่อนอีกคนของเอสเรียกสองคนนั้นด้วยคำว่าผัวเมีย
มันเหมือนคำพูดแซวกันเล่นก็จริงแต่ไอ้เหี้ยเอสมันก็แค่นั่งเฉย ๆ
ไม่ได้พูดปฏิเสธอะไรออกมา วันนี้มันนัดกับเขาว่าจะมารับ
สุดท้ายก็มีเมี่ยงนั่งคู่มาด้วย
ยิ่งตอนเขาไล่คนตัวเล็กๆนั่นไปนั่งด้านหลังดูท่าช็อคไปน่าดูเหมือนกัน
ทำไมตอนนั้นเขาไม่ทันสังเกตอะไรเลยวะ แคปคีบบุหรี่ออกจากปากพลางยกแก้วตัวเองขึ้นดื่มเบนสายตาออกจากดวงตาคมกริบของอีกคนที่นั่งมองเขาอยู่เช่นกัน ฝั่งด้านหน้าร้านมีรถมอไซด์วิ่งผ่านไปมา
ในที่สุดสะดุดตาลงที่ผู้หญิงสวยน่ารักคนหนึ่ง เธอเพิ่งก้าวลงจากด้านหลังมอไซด์คันสวยเดินมายืนซื้อกาแฟอยู่ที่ร้านฝั่งตรงข้ามพอแคปเห็นชัดๆว่าเป็นใคร
เขาทิ้งบุหรี่ลงที่จานเขี่ยแล้วลุกขึ้นทันที
“ไปไหน”
เต้เงยหน้าถาม
“เดี๋ยวผมมา”
แคปบอกขณะที่ก้าวออกจากโต๊ะแล้วเดินตรงดิ่งมาที่ด้านหน้าร้านเลย
“แฮ่ม!..”
เสียงกระแอมไอทุ้มๆของแคปดังขึ้นด้านหลัง แป้งที่อยู่ในชุดสบาย ๆ
หันกลับมามองพอรู้ว่าเป็นใครที่ยืนรออยู่เธอฉีกยิ้มกว้าง
“พี่แคป!”
“มาซื้ออะไรครับคนสวย”แคปพยักหน้าเบา
ๆ แล้วส่งยิ้มให้
“แป้งมาซื้อนมปั่นค่ะ
ดีใจจังไม่เคยเจอพี่แคปแถวนี้เลย มาทานข้าวเหรอคะ” เธอพูดด้วยรอยยิ้มหวาน มองเข้าไปด้านในร้านที่แคปก้าวออกมา
ย่านหลังมอฝั่งนี้ทั้งแถบมักมีแต่พวกเด็กวิศวะมานั่งชิลลั๊นลา
ถ้าไม่จำเป็นไม่ค่อยอยากมาเยือนสักเท่าไหร่ชื่อเสียงเกษตรกับวิศวะมันก็นะ
ไม่ค่อยถูกกัน
“ใช่ครับ
แป้งอยู่แถวนี้เหรอ”
“ใช่ค่ะ
หอแป้งอยู่ตรงนั้นน่ะ พี่แคปเข้าไปเล่นไหม คิคิ”
เธอชี้ให้ดูแล้วหันมาชวนทีเล่นทีจริง แคปหัวเราะ
“แป้งกินอะไรรึยังครับ
เข้าไปกินด้วยกันไหม”
“พี่แคปอ่ะ
ใจดีกับแป้งจริง ๆ เมื่อวานตอนไลน์คุยกันพี่แคปยังไม่ตอบแป้งเลยนะคะ”
เธอยิ้มแป้นแก้มแดงแจ๊ดเมื่อทวงถามถึงข้อความสำคัญในไลน์ที่คุยกับแคปอยู่แทบทุกวัน
“ตอบเรื่องอะไรอ่ะ”
แคปทำหน้าซื่อได้อีก
“พี่แคปอ่ะ
ใครจะกล้าพูดต่อหน้าล่ะ แป้งก็อายเหอะ”
“อายเป็นด้วยเหรอเราน่ะ”
“พี่แคปบ้าๆ”
เธอทั้งยิ้มทั้งตีแคปด้วยท่าทีเขินอายสุดๆ แคปแกล้งเอียงหลบหลบแล้วบอกเธอว่าเจ็บ
ๆๆ แป้งยู่ปากทำหน้างอน ๆ พอดีว่าพนักงานในร้านเรียกเธอให้เอานมปั่น
แป้งเลยเดินเข้าไปรับแล้วจ่ายตังค์ เธอส่งให้แคปหนึ่งแก้ว แคปบอกไม่เป็นไร
“ทำไมไม่ดูดคาปูชิโน่ล่ะ
ชอบดูดนมปั่นเหรอ”
“พี่แคปคนบ้าพูดอะไรน่ะคะ!” เธอร้องออกมาอย่างดัง
“อ้าว
ก็แค่ถามว่าทำไมไม่กินกาแฟโตแล้วยังกินนมปั่นอยู่เนี่ย” แคปแอบขำขณะที่แป้งแก้มแดงแป๊ดยิ่งกว่าเก่า
ก็คำว่าดูดของแคปมันทำให้หัวใจเธอเต้นตุบตับโตยิ่งกว่าบอลลูน
เธอยื่นแก้วนมปั่นที่ถืออยู่จ่อปากแคปแก้เขิน
“งั้นกินด้วยกันนะ
พี่แคปกินกับแป้ง”
“.......”
แคปมองหน้าเธอยิ้ม ๆ เขาชั่งใจนิดๆก่อนก้มลงไปดูดแล้วช้อนสายตามอง
จากนั้นพอแคปดูดเสร็จเธอเอาไปดูดต่อแล้วทำหน้าฟิน
“ว๊า
เสียจูบทางอ้อมแล้วเนี่ย” แคปแซวยิ้ม ๆ เธอยิ่งอายม้วนต้วนแดงไปทั้งตัวเลย แคปหัวเราะ
“ดึกแล้วเพื่อนรอแหนะ” แคปมองดูเวลาไม่อยากให้เธออยู่แถวนี้ดึกมากจนเกินไปลมแรงตากน้ำค้างกลัวว่าจะไม่สบาย อีกอย่างเห็นเพื่อนเธอคร่อมมอไซด์รออยู่ด้วยเขาจึงบอกให้เธอรีบกลับ มันดึกมากแล้วจริง ๆ
“แป้งไม่อยากรีบกลับเลยอ่ะ
ได้เจอพี่แคปนอกมอทั้งที เราน่าจะได้เอ่อ..นั่งคุย ไม่งั้นก็ เอ่อ...”
“ฟุ้งซ่านอะไรน่ะเราหื้ม?
กลับได้แล้วนะ” แคปผลักหัวเธอเบา ๆ
อย่างหยอกล้อก่อนดึงเธอเข้ามาแล้วก้มลงไปดูดนมปั่นในมือเธออีกคำ เขาพยักหน้าอมยิ้มให้บาง
ๆ บอกเดี๋ยวค่อยไลน์คุยกัน แป้งยิ้มแป้นกระโดดคร่อมรถแล้วบอกบ๊ายบาย
“น่ารักว่ะ......เฮ้ย!”กำลังพึมพำว่าเธอน่ารักอยู่ดี
ๆ กลับมีวงแขนหนักๆพาดลงมาที่บ่าเขาแรงมากจนเสียหลักเซไป
แคปคว้าราวระเบียงไว้ขณะที่ไอ้คนทำมันล๊อคทั้งแขนกอดและกดคอแคปให้นั่งยองๆลงไปกับมัน
“ไอ้สัส”
แคปหันไปด่า
“ตกใจเหี้ยไร
ตกใจที่กูมาเห็นมึงม่อหญิงอยู่รึไงวะ”
เอสดึงฮู้ดขึ้นมาปิดหัวเล็กให้ก่อนคีบบุหรี่ออกจากปากแล้วยัดเข้าไปที่ปากแคปแทน
ใช้สายตาบังคับบอกให้สูบด้วยกัน แคปผลักออกเอสยิ่งมองขู่
เขารำคาญจับมาดูดแล้วยัดปากมันคืนก่อนมุดออกมาจากวงแขนแกร่งนั้นได้
“นี่ก็จูบทางอ้อมเหมือนกันนะครับเมีย
หึหึ” เอสเหยียดรอยยิ้มเยาะ แคปรู้ทันทีมันมาเห็นตั้งแต่ตอนที่เขาแกล้งหยอกแป้งเรื่องจูบทางอ้อมนั่น
แต่ใครจะสนล่ะที่โมโหอยู่ตอนนี้ก็ไอ้คำห้อยท้ายของมันนี่แหละ
“กูไม่ใช่เมียมึง”
แคปกัดฟันกรอดขณะที่เอสหัวเราะเหอะๆ
“ถอยไป”
“คิดว่าจะให้ไปไหมล่ะ”
เอสก้าวขายาว ๆ ดักทางไม่ให้แคปเดินกลับเข้าร้านได้
“เจ้าชู้ตัวพ่อ
พยศก็ไม่มีใครเกิน”
“เรื่องของกู!”แคปถลึงตาใส่
“เรื่องของมึงนั่นมันก็ใช่
แต่มึงเป็นเมียกูใช่ไหมล่ะห๊ะ!” เอสกระชากไหล่เล็กไว้ เขาดึงครั้งเดียวแคปที่จะแทรกตัวเดินผ่านเข้าไปกระเด็นออกไปอยู่อีกทาง
เขาจ้องแคปด้วยสายตาน่ากลัวมาก
“ไอ้สัส
มึงจะพูดดังหาพ่อมึงเหรอ”
“อย่าเล่นถึงพ่อกูไม่ชอบ”
“อย่ามายุ่งกับกู”
“บอกเลิกไปซะ”
“พูดเหี้ยไร
อ่ะ..เอาของกูคืนมา” โทรศัพท์มือถือที่แคปถือไว้อยู่ถูกเอสดึงออกไปยัดไว้ในกระเป๋าตัวเองเร็วมาก
อีกฝ่ายร้องไว้แต่ไม่ทันแคปยืนตาเขียวคิ้วกระตุก
“เข้าไปด้านใน
บอกพี่มึงว่าเราจะกลับกันแล้ว”
“ไม่ไปมึงอยากกลับๆไปเลย
กูจะกลับกับพี่กู เอามือถือกูคืนมา”
“มึงรู้อยู่แล้วว่ากูจะให้หรือไม่ให้”
“ไอ้สัสเอ๊ย”
“วันนี้กี่สัสแล้วนะ
จัดโชว์พี่มึงสักดอกคงพอใจใช่ไหมห๊ะ”
“ไอ้....”
แคปเจอเอสชี้หน้าไว้เขาขยับปากได้แค่นั้น
ได้แต่กัดฟันอดทนเอสดึงแขนกลับคืนไปที่โต๊ะ
ปล่อยออกตอนที่เกือบจะถึงโต๊ะอยู่แล้วแคปหันไปจะเอาเรื่อง
เอสไม่สนใครหน้าไหนแล้วคว้าแขนแล้วดึงมาจนถึงโต๊ะ เต้นี่เงยหน้ามองทั้งสองคนแคปรีบหันไปส่งสายตาบอกว่าให้เอสปล่อยเอสจึงยัดโทรศัพท์ใส่กระเป๋าคืนให้แล้วผลักแคปให้นั่งลง
“ไปไหนกันมาวะ
ทำไมกลับมากันสภาพนี้” เต้มองน้องชายแล้วจ้องหน้าเอสต้องการคำตอบ คนถูกถามทิ้งตัวนั่งลง
ก่อนยกแก้วเหล้าขึ้นจิบ
“ออกไปม่อสาวน่ะสิ
เดี๋ยวเกิดไปเจอผู้หญิงของคนแถวนี้ผมไม่อยากมีปัญหา” เขาโกหกไปครึ่งนึงแคปตาเขียวปั๊ดจ้องคนตรงข้ามที่กำลังถูกเพื่อนสนิทอย่างเมี่ยงซบไหล่เข้าให้อีก
แคปยิ่งมองยิ่งหงุดหงิดกว่าเก่า ตอนที่ลุกออกไปครั้งแรกสบายใจแล้วแท้ ๆ
กลับมานั่งมองพวกมันสองตัวอีกเขารู้สึกไม่ค่อยดี
“ไอ้เอส
เมียมึงเมาขนาดนี้พามันกลับก่อนดีป่ะวะ” เพื่อนเต้คนนึงพูดขึ้น
รัฐที่นั่งอยู่หัวเราะเบา ๆ เขามองแคปนิดหน่อยแต่รายนั้นไม่ได้สนใจใคร
อยากได้โทรศัพท์คืนอยากให้พี่ชายไปส่งอยากกลับไปนอน
แค่นั้นเองคืนนี้แคปไม่ต้องการอะไรอีก
“ก็ดีครับ
งั้นผมกลับก่อนเลยละกันชิพบุ้งกูจะกลับแล้ว ไอ้แคปมึงลุกดิวะ
ไอ้เมี่ยงแม่งตัวหนักเป็นบ้าเลยมึงเมาเหี้ยไรเนี่ย”
เอสลุกขึ้นพลางดึงแขนเมี่ยงที่เมามากใส่ไหล่รายนั้นไม่รู้เรื่องเมามากๆชิพต้องเข้ามาช่วยพยุง
เมี่ยงคล้ายคนจะหลับซบลงที่อกเอสจึงรับเอาไว้แบบเต็ม ๆ
“ใครให้มันกินเยอะขนาดนี้เนี่ย”
เอสพึมพำเบา ๆ มองชิพที่เป็นตัวชงคู่กับรัฐ ชิพยิ้มแห้ง ๆ ก็เขาเองจริง ๆ
ส่งให้เมี่ยงมันตลอดรู้ว่าคอมันอ่อนแต่ก็คิดว่ามากับพวกเขาคงไม่เป็นอะไรอีกอย่างพรุ่งนี้วันหยุดไม่ได้ไปไหน
ปกติคืนวันศุกร์วันเสาร์เมี่ยงชอบไปค้างกับเอส ชิพลืมไปจริง ๆ เรื่องแคป
“อึกก
ไอ้เอสกูง่วงว่ะ”
เมี่ยงพูดยานคางเอสส่ายหัวส่งสายตามองแคปบอกให้รู้ว่าลุกขึ้นได้แล้ว
“เออๆรู้แล้วเดี๋ยวพากลับเดี๋ยวนี้แหละ
ลุกแคป” เขาบอกเมี่ยงพาเดินออกไปเสร็จหันไปเรียกแคปอีกครั้ง
แต่รายนั้นยังนั่งเฉยจนพี่ชายอย่างเต้หันมอง
“ไปดิ
เพื่อนมึงเรียกแล้ว” แคปส่ายหัวบอกพี่ชายว่าไม่ เขาเหลือบมองเอสที่พยุงเมี่ยงไว้
“มึงพาเพื่อนมึงกลับเหอะ
เดี๋ยวกูให้พี่เต้ไปส่ง” แคปยกแก้วที่รัฐเพิ่งเติมให้เป็นรอบที่สามตั้งแต่เดินเข้ามาซดรวดเดียวหมด
อารมณ์เห้อะไรไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันรู้แค่ว่าไม่ไปกับไอ้เอสแน่นอน
“แคป”
เอสกดเสียงให้ต่ำลงอีก
เสียงเมี่ยงงัวเงียบอกจะกลับท่าเดียวเอสที่พยุงไว้แทบจะหมดความอดทนทั้งยังต้องจ้องแคปใช้สายตาบอกให้ลุกขึ้น
“กูจะกลับกับพี่”
แคปว่า
“แต่มึงมากับกู”
เอสตอบกลับไป
“ก็กูไม่ไปอ่ะ
มึงเอาเมียมึงกลับไปเลยเหอะ พูดมากน่ารำคาญว่ะแม่ง”
“ไอ้แคป!”
เอสตะคอกขึ้นเลย เจ้ดจี๊ดเมื่อแคปพูดกับเขาว่าเมี่ยงคือเมีย
ก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าเป็นเรื่องแซวกันเล่นๆ
เขาโยนเมี่ยงลงไว้ที่เดิมแบบไม่ต้องคิดเลย ชิพถลาเข้ามารับเอาเพื่อนแทบไม่ทัน
เอสยืนจ้องหน้าแคปตาเขียวมือสั่นไปหมด
เต้ที่นั่งอยู่กระแทกก้นแก้วลงกับโต๊ะแรงมากเขาลุกขึ้นมองทั้งน้องชายและน้องรหัสก่อนดึงแคปขึ้นมา
“คาปูมึงลุกกลับไปกับมันไป
ช่วยมันเอาไอ้เมี่ยงกลับด้วยก็ดี เดี๋ยวเกิดเป็นไรขึ้นมาขากลับมึงจะได้ช่วยมันดู”
เต้หันมาบอกน้องชายตัวเอง
“ผมไม่ไป”
แคปบอกแน่วแน่จะนั่งลงอีกแต่เต้จ้องหน้าเขานิ่ง
“แคป”
ไม่รู้เพราะเต้คิดน้อยเกินไปหรือแคปงอแงมากไปกันแน่
“เพื่อนกันมาด้วยกันต้องกลับด้วยกันดิวะ”
“ผมไม่ใช่เพื่อนมัน”แคปสวนขึ้นทันที
เอสก้าวเข้าหาเลยโน้มตัวเข้าไปพูดเสียงเบาข้างหู
“จะให้บอกพี่มึงไปเลยใช่ไหม”
“ไอ้สัส”
ตากลมกร้าวขึ้น เอสเหยียดรอยยิ้ม
“ไปๆเดี๋ยวทางนี้กูเคลียร์เอง
ชิพบุ้งพวกมึงกลับกันเลยก็ได้ แบกเพื่อนมึงช่วยไอ้เหี้ยเอสออกไป
หน้าตามันไร้อารมณ์สุดแล้ววันนี้ไม่รู้ไปกินรังแตนที่ไหนมา
แคปมึงกับไอ้เอสเคลียร์กันให้เรียบร้อย
แมนๆกันหน่อยห้ามอย่างอแงและอย่ามีเรื่องจนได้เลือดนะ
ส่วนไอ้เอสมึงแวะส่งน้องกูเสร็จค่อยพาเมี่ยงมันกลับห้องมึงก็ได้” เต้สั่งความทุกอย่างรวบรัดครั้งเดียวจบ
ขณะที่ทั้งชิพทั้งบุ้งค้อมหัวบอกลาพวกรุ่นพี่
เอสดึงเมี่ยงขึ้นมาใหม่เขาประคองแขนพาดใส่บ่าไว้เหมือนเดิม บุ้งก็เข้ามาช่วย
ทั้งหมดจะพากันเดินออกไป ขณะที่คนเมาก็หลับคอพับคออ่อน
เอสหันกลับมาใช้สายตาเรียกให้คนรั้นเดินตาม แคปที่หงุดหงิดสุดคว้าเอาโทรศัพท์ตัวเองบนโต๊ะกำลังเดินย่ำเท้าตามเอสไปเต้ดึงแขนไว้แล้วบอกพรุ่งนี้บ่ายจะเข้าไปรับกลับบ้านด้วยกันแคปพยักหน้าเซ็งๆ
ดีใจอยู่นะที่จะได้กลับบ้านกับพี่ แต่ไม่โอเคทำไมพี่ชายเขาไปส่งเขาวันนี้ไม่ได้
“อย่างอแงสิวะ
มึงมากับมันก็ต้องกลับกับมันแบบนี้เขาถึงเรียกว่าเพื่อนแท้” เต้เดินตามออกมาส่ง
“ผมบอกแล้วผมไม่ใช่เพื่อนมัน”
“อย่างอแงน่าคาปูมึงจะไม่ใช่เพื่อนมันได้ยังไงวะ
มันยอมบอกความลับกับมึงเรื่องสาว ๆ ทั้ง ๆ
ที่กับเพื่อนสนิทมันหรือกับกูมันยังไม่เคยปริปากแสดงว่ามันให้ความสำคัญกับมึงใช่ไหมล่ะแบบนั้น”
“พี่เต้ไม่เข้าใจผมหรอก”
“กูรู้ว่ามึงไม่ค่อยชอบมัน
ดีกันไว้อีกหน่อยพึ่งพากันได้เข้าใจนะ” เต้ตบเบา ๆ
ลงที่บ่าน้องชายก่อนปล่อยแคปเดินออกไป เอสที่จัดการโยนเมี่ยงเข้าไปด้านในเบาะหลังเรียบร้อยยืนรอแคปอยู่ก่อนแล้ว
เขาเดินเข้าไปหา
“เดี๋ยวไปส่งไอ้เมี่ยงก่อน
แล้วเรากลับด้วยกัน”
“ไม่
มึงไปส่งกูที่ห้องก่อนแล้วจะพาเพื่อนมึงกลับไปไหนก็ไปเหอะ”
“........”
“เพื่อนมึงเมามากขนาดนี้ปล่อยมันนอนคนเดียวได้ยังไง”
“แคป”
“ไปได้สักทีรึยัง”
แคปเปิดรถขึ้นไปนั่งรอแล้วปิดประตูดังโครม
เอสส่ายหัวอย่างเหนื่อยใจก่อนเดินอ้อมไปที่ฝั่งคนขับ แคปเงียบมาตลอดทางขณะที่คนเมาด้านหลังทำท่าจะอ้วกอยู่ตลอดทางเช่นกัน
จนกระทั่งเมี่ยงทำท่าจะพ่นของเก่าออกมาแล้วจริง ๆ ทั้งแคปทั้งเอสต่างหันดู
“บ้าเอ๊ย!”
เสียงแคปว่าขึ้นอย่างหงุดหงิดก่อนจะมุดข้ามไปด้านหลังกดกระจกลงแล้วจับหัวเมี่ยงจิกดึงออกไปนอกรถ
แคปตบแผ่นหลังเล็กดังผั๊วะๆๆ
“อ้วกออกมาให้หมดเลยนะมึง
ทำท่าจะอ้วกตั้งนานสองนานรู้ไหมกูรำคาญมาก”
“แคปพอๆๆ”
เอสรีบชะลอรถจอดลงข้างทาง เขาเปิดแล้ววิ่งออกมาดูสองคนที่ด้านหลัง
แคปแทรกตัวลงจากรถผ่านเอสออกมายืนหัวเสียอยู่ด้านนอกจุดบุหรี่ขึ้นสูบอย่างหงุดหงิดปวดหัวหนึบๆ
หันไปอีกทีเอสกำลังลูบหลังให้คนที่อ้วกอยู่ข้างรถแทบจะคลาน
“กินเหี้ยไรเยอะแยะวะไอ้เมี่ยง
มึงแม่ง”
“กูพอใจอ่ะ
อ้วกพรวดดดดดดดด” ยังอ้วกต่อไม่หยุด
แคปนึกในใจก็รู้ว่ากินไม่ได้ยังจะกินอะไรเยอะแยะวะ
“แล้วมันลำบากใครล่ะ”
เอสเอื้อมมือไปหยิบเอาขวดน้ำเล็กๆที่ช่องเกียร์มาเปิดออกให้
เมี่ยงยกซดรีบร้อนจนน้ำเลอะเทอะไปหมด
“ค่อยๆกินบ้าเอ๊ย”
เอสเอาดึงกระดาษทิชชู่มาเช็ดปากให้อีกส่ายหัวไปบ่นไป
“ไอ้เอสมึงห้ามบ่นกูนะหน้าที่มึงอยู่แล้วเหอะ”
“หน้าที่เหี้ยไร
เมาทีไรลำบากกูทุกที”
“คึคึ
กูชอบเมาอ่าา
กลับห้องมึงนะวันนี้กูค้างกับมึงได้ใช่ไหม”
เสียงคนเมาพูดยานคางขณะที่เอสก้มลงไปประคองตัวเพื่อนให้ขึ้นไปนอนดี ๆ
แคปที่ยืนมองภาพสองคนดูแลกันและกันแล้วบอกความรู้สึกตัวเองไม่ออกจริง ๆ
นึกถึงคำพูดเพื่อนพี่ชายที่พูดถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองคน
“ไม่ต้องแปลกใจไอ้น้อง
มันสองตัวผัวเมีย ทำแบบนี้เรื่องธรรมดาพวกกูเห็นบ่อย”
“หึ..”
แคปรู้สึกสมเพชตัวเองจริง ๆถ้าหากเป็นเรื่องจริงอย่างที่เขาพูดกัน
มันคือที่สุดของความซวยๆๆๆ บ้าเอ๊ย!!!
“เป็นไรวะ
ขึ้นรถเร็ว” แคปสะดุ้งโหยงถอยห่างออกมาทันที เขารีบทิ้งก้นบุหรี่ลงแล้วขึ้นรถ
เอสก็มองงงๆ แต่ด้วยความที่รีบเลยยังไม่ได้ถามอะไรไม่นานนักรถเลี้ยวเข้ามามาจอดลงที่คอนโดแคป
“เดี๋ยวกูไปส่งมันก่อนแล้วจะวนกลับมา
รอเปิดห้องให้ด้วยอย่าเพิ่งนอนนะ” เอสรีบกดล๊อคตอนที่เห็นแคปทำท่าจะลง
รายนั้นไม่ได้สนใจหันมามอง พอเปิดลงไม่ได้ก็แค่หันมาจ้องหน้า
“รอนะ
บอกก่อน” เอสย้ำอีกแต่แคปส่ายหัวบอกไม่รอและไม่สนใจเอสยิ่งจ้องหนักเลย
“แคป”
“กูไม่รอ
ไม่ต้องกลับมา!” แคปจะเอื้อมมือไปกดปลดล๊อคเจอเอสคว้าเอาต้นคอล๊อคเข้ามาหา
เขากดจูบลงสัมผัสเบาๆที่มุมปากเล็ก ผงะนิดๆเพราะรู้สึกว่าลมหายใจแคปร้อนผ่าวมาก
คิดว่าคงเพราะดื่มหนักเกินไปแต่คอค่อนข้างแข็งเลยออกมาทางลมหายใจทั้งหมด
แคปฟาดผั๊วะลงกลางหลังเอสรวบเอาตัวทั้งหมดล๊อคหัวล๊อคคอจับดูดปากแม่งหนักๆอยากดีดดิ้นดีนักแคปยิ่งร้องอื้อๆๆ
“ไอ้สัส
เพื่อนมึงก็อยู่บ้าไปแล้ว!”แคปร้องใส่
“จะรอไหมล่ะ”
“ไม่รอ!” แคปตะคอกสวนใส่หน้าเอสแบบจัดเต็มมาก
“บ้าเอ๊ย
ลงไปเลยไป” เอสหมดความอดทนทุบปุ่มปลดล๊อคแรงมากๆเขาผลักแคปบอกให้รีบลงไปได้เลย
ไม่อยากรอไม่ต้องรอแล้ว
หลังประตูรถปิดโครมลงเอสนั่งควบคุมลมหายใจเอาจนอารมณ์เย็นลงจึงค่อยถอยรถออกจากช่องจอดก่อนจะเลี้ยวออกจากคอนโดสูงไป
.
.
“ไอ้เมี่ยง
มึงเดินดีๆสิวะตรงๆ” รถจอดลงที่อพาร์ทเม้นท์ของเมี่ยง
เอสดึงคนตัวเล็กลงมาแล้วยกแขนจับพาดใส่บ่าพาเดินขึ้นบันได
ห้องเมี่ยงอยู่แค่ชั้นสามทุลักทุเลนิดหน่อยแต่ก็ต้องลากกันขึ้น
“อึกก
ก็ทำไมไม่พากูไปค้างห้องมึงล่ะว๊าา นอนคนเดียวอีกแระ กูเมานะเนี่ย
เฮ้ยกูสะดุดมึงจับกูดีๆสิวะไอ้เอส เพื่อนบ้า”
“โวยวายไรนักหนา
รู้ว่าคออ่อนยังไม่เจียมตัว มึงคิดว่ากูควรจัดการมึงยังไงดีล่ะ”
“บ่นไรเล่า
อึกก กูเมาทีไรมึงก็พากลับทุกทีอ่ะไม่เห็นเคยบ่น หน้าที่มึงทั้งนั้นเหอะ”
“หน้าที่เหี้ยไร
เดินดีๆทางนั้นไม่ได้ไอ้เมี่ยงจะชนแล้วมึงอ่ะ ทางนี้ขยับมาหากูนี่”
“ก็มึงต้องดูแลกูอ่ะ
เอ้ย!
กูจะตกแล้วเหี้ยบันไดแม่งแคบใครสร้างวะออกแบบไม่ได้เรื่อง
ไอ้เอสมึงอุ้มกูไม่ได้ไงวะมึงตัวใหญ่กว่ากูตั้งเยอะ”
“ใครจะไปอุ้มตัวมึงไม่ใช่เล็กๆ
เดินดีๆ”
“เมื่อก่อนยังเคยอุ้ม”
“เคยที่ไหนวะ”
“ก็ตอนนั้นอ่ะ
มึงให้กูขี่คอปีนเก็บมะม่วงอ่ะ”
“ไร้สาระนั่นมันตั้งแต่สมัยไหนแล้ว
ดูตัวมึงตอนนี้ซะก่อน เดินดีๆไม่เอาไม่อุ้ม”
เมี่ยงเวลาเมาเป็นแบบนี้ตลอดขี้อ้อนทำตัวเหมือนเด็ก
เขาเบียดตัวเข้ามาจะให้เอสอุ้มท่าเดียวแต่อีกคนก็แค่กอดเอวพาเดิน
“อึกก
หน้าที่มึงนั่นแหละต้องดูแลกู” เสียงเล็กยังจะพูดต่อ ทำท่าจะอ้วกขึ้นมาอีก
“เออดูแลดีแบบเหี้ยๆเลยไหม
เดี๋ยวเข้าห้องจะจับถอดผ้าแล้วเอาน้ำราดจะได้สร่างเมา”
“ถ้ากูสร่างเมาแล้วมึงก็จะกลับใช่ป่ะล่ะ
อึกก กูรู้หรอก”
“ก็เออสิ
กูจะอยู่ทำไมล่ะกุญแจอยู่ไหนเนี่ย”
พอถึงหน้าห้องเอสถามหากุญแจเมี่ยงบอกอยู่กระเป๋าหลังพอเอสล้วงเอาไขเข้าห้องเขาเหวี่ยงคนตัวเล็กลงที่เตียงเลย
“จะกลับจริงดิ”
เมี่ยงปรือตาถาม เพดานห้องหมุนจนเวียนหัวไปหมด
“อือ”
เอสเดินไปจัดการเปิดไฟเปิดแอร์ผลักประตูระเบียงเช็คให้
หันกลับมาอีกทีเมี่ยงนั่งโก่งคอบอกอยากจะอ้วกขึ้นมาอีก
“อะไรของมึงวะอย่าอ้วกใส่เตียงนะเว้ย”
เอสหันซ้ายหันขวาหาอะไรมารองกลัวไม่ทันเขาดึงเมี่ยงเข้าห้องน้ำเลยบอกอ้วกออกมาให้หมด
เมี่ยงดูอ่อนระโหยมากหน้าซีดเอสที่ลูบแผ่นหลังให้เดินออกไปเทน้ำเปล่ามายื่นให้พอเมี่ยงกินเข้าไปอีกก็อ้วกอีก
คนตัวเล็กอ้วกจนสั่นหน้าซีดไปหมด
“กูไม่อยากอยู่คนเดียว
ถ้ามึงจะกลับพากูไปนอนค้างที่ห้องมึงด้วยได้ไหม”
เมี่ยงยกแขนขึ้นเช็ดปากเขาเงยหน้ามองเพื่อนตัวเอง ความน้อยใจตีตื้นขึ้นมา
ทุกครั้งที่เขาเมาเอสไม่เคยปล่อยเขาให้นอนคนเดียวเลยสักครั้ง
เอสจะคอยดูแลเช็ดตัวพานอน แล้วก็หลับไปด้วยกันตื่นมาตอนเช้าถึงจะโดนบ่นโดนโกรธแต่เขาสองคนก็จะออกไปนั่งกินโจ๊กไม่ก็ข้าวต้มร้อน
ๆ ด้วยกันเสมอ
แต่ทำไมครั้งนี้...
“ทุกครั้งเวลากูเมามึงจะอยู่ข้างกูตลอด”
เสียงเขาเริ่มสั่นตาดวงตาแดงก่ำสั่นระริก
ว่ากันว่าคนเมามักอ่อนไหวร้องไห้ง่ายแบบนั้นคงจะจริง
เอสมองเพื่อนตัวเองที่ซบหัวใส่อกเขาอยู่อย่างปลง ๆ
เขาดึงไหล่เล็กออกมาแล้วจ้องหน้า เมี่ยงเบะปากทำท่าจะร้องไห้จริงอย่างที่คิด
“อ้วกเสร็จรึยัง”
เสียงทุ้มเรียกถาม เมี่ยงพยักหน้าตอบเบา ๆ
“งั้นก็ไปที่เตียง”
“มึงจะกลับแล้วเหรอ”
เอสไม่ได้ตอบ เขาแค่ดึงแขนเมี่ยงพาไปนั่งลงที่เตียง
“มึงจะกลับแล้วใช่ไหม”
เมี่ยงถามต่ออีกเอสบอกให้ถอดเสื้อออกจะเช็ดตัวให้
หลังจากที่กะละมังกับผ้าชุบน้ำมาพร้อม เอสดึงเสื้อคนเมาออกจัดการเช็ดเนื้อเช็ดตัว
เขาทำให้เมี่ยงบ่อยนะเวลาที่เมา แม้กระทั่งกับชิพเขาก็เคยทำให้
เขาจับเมี่ยงลุกขึ้นนั่งให้ตรงจากนั้นยื่นเสื้อผ้าส่งให้
“เปลี่ยนเอง”
เมี่ยงพยักหน้าเบา ๆ รับชุดนอนมาเปลี่ยนใส่เอง
มองหน้าคนที่คงกำลังจะไปด้วยแววตาเศร้า ๆ
เอสจับคนตัวเล็กนอนลงกำลังจะห่มผ้าให้เมี่ยงคว้าเอามือหนาไว้ก่อน
“มันเที่ยงคืนแล้ว
มึงนอนที่นี่แหละจะกลับไปทำไมวะมันดึกแล้วเหอะ”
“กลัวผีรึไง
วันนี้เป็นไรเนี่ยพูดเหมือนอยากให้กูอยู่ค้างด้วยจริง ๆ”
“ก็ค้างสิ
กูอยากให้มึงค้างจริงนะ กูกลัวผีนั่นแหละยอมรับก็ได้”
“ตลกแล้วมึง”
เอสหัวเราะเบา ๆ
ผลักเมี่ยงให้นอนลงไปเขาห่มผ้าให้แล้วตัวเองก็เอนตัวพิงหัวเตียงอยู่ข้าง ๆ
“มึงหลับไปเลย
ดึกๆกูค่อยกลับก็ได้”
“ดึกแค่ไหน
ตีห้าได้ป่ะล่ะ”
“เว่อร์”
มือใหญ่ผลักหัวเมี่ยงที่ผงกขึ้นมาให้นอนลงไปอีกรอบ เมี่ยงหันมากอดแขนเอสหมับ
“กูจะจับเอาไว้แบบนี้แหละ
ถ้ามึงลุกขึ้นกูจะรู้ของกูทันที”
“นอนไปเถอะน่าพูดอย่าพูดมาก”
เมี่ยงหลับตาลง รู้สึกพะอืดพะอมคลื่นไส้ขึ้นมาอีกวิ่งลงจากเตียงจะเข้าห้องน้ำ
เขาสะดุดล้มจนเอสต้องรีบเข้าไปอุ้มขึ้นมากอดไว้ จู่ ๆ
เมี่ยงร้องไห้ออกมาเอสนี่งงแดกเลย
“เป็นเหี้ยไรวะ”
“ฮึกก
กูเจ็บอ่ะ ปวดท้องอยากอ้วกตลอดเลย ฮึกก อึกก”
“มันแฮ้งค์ไงเป็นแบบนี้แหละเมื่อก่อนมึงก็เคยแป็น
กลัวไรเล่า”
“แต่เมื่อก่อนมึงนอนเฝ้ากูนี่
วันนี้มึงบอกจะไป ฮึกก ฮืออ ฮึกก”
“เออๆไม่ร้องๆ
พอแล้วเมี่ยงอย่าร้องสิวะกูไม่ไปแล้วนอนแม่งที่นี่แหละ โอเคจบไหมนอนได้รึยัง”
“จริงนะ”
“เออๆ”
เมี่ยงคลานเข้าไปอ้วกต่ออีกหน่อย เอสลูบหัวลูบหลังปล่อยให้อ้วกทิ้งออกไปให้หมด
เขาล้างหน้าล้างตาให้พามานอนลงที่เตียง
“มึงไม่ไปจริงนะ”
“นอนซะ”
“งั้นก็ไปอาบน้ำดิ ผ้าเช็ดตัวมึงอยู่ในตู้อ่ะ
วางอยู่ที่เก่าน่ะแหละ”
เอสยกมือปิดปากหาวก่อนพยักหน้าให้เมี่ยงรีบนอนเดี๋ยวอ้วกขึ้นมาอีกหลับไปจะได้หายแฮ้งค์
เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ๆก่อนเอนตัวหลับตาพิงพนักที่หัวเตียงมึนนิดๆอยู่เหมือนกัน
.
.
“บ้าฉิบ! กูเป็นไรวะแม่ง” แคปเดินเลี้ยวเข้ามาที่ด้านใน
จิ้มกดรอลิฟต์จู่ ๆ ความรู้สึกวิงเวียนหน้ามืดจู่โจมขึ้นมาเสียเฉยๆ
ใบหน้าเล็กร้อนผ่าวขึ้นเรื่อย ๆ
ลมหายใจที่ระบายออกมามีแต่ไอความร้อน
เขาขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิดรู้เลยว่าตัวเองไม่สบายแล้วแน่ ๆ
“โอ๊ะ...”
แคปเซจะล้มคว้าจับอะไรไม่ทันเขาเอาตัวเองแนบเข้ากับผนังกันล้มพับลงไป
เสียงประตูลิฟต์เปิดออกแคปหรี่ตามองเห็นมั่งไม่เห็นมั่งจะเดินเข้าไปแต่เข่าเล็กดันทรุดลงไม่รู้ตัวเลย
ใบหน้าแดงก่ำเพราะพิษไข้ลมหายใจร้อนผ่าวรู้สึกหนาวขึ้นมา
ติ๊ง~
“บ้าเอ๊ย!”
เสียงลิฟต์ปิดตัวลงไปทั้งที่คนกดยังไม่สามารถเข้าไปด้านในได้ แคปสบถเพราะว่าเขาลุกไม่ขึ้นหน้ามืดไปหมดยกมือขยี้ตาแล้วขยี้ตาอีก
รู้สึกถึงความพะอืดพะอมเวียนหัว อีกทั้งร่างกายของเขาเริ่มสั่นเทิ้มขึ้นมา
ลมหายใจพ่นแรงมากทั้งเหนื่อยทั้งหนาว ตาจะปิดอย่างเดียว
นี่มันคือไข้ผสมกับอาการเมาทรมานที่สุด แคปนั่งพิงอยู่ที่กำแพงขบฟันที่สั่นหงึกๆประคองสติที่ยังเหลืออยู่น้อยนิด
ล้วงเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเขาต้องเรียกปอลงมารับ
“เชี่ย!”
สบถขึ้นอีกครั้งเพราะว่ามองลงไปที่หน้าจอความรู้สึกพะอืดพะอมจะอ้วกขับดันขึ้นมาจนจุกอยู่แถวคอหอย
ลำไส้บิดเกลียวจนปวดหนึบเส้นสมองข้างขมับเต้นตุ่บๆ ปกติจะมีพี่ยามลุงยามเดินมาแถวนี้ไม่รู้วันนี้หายหัวไปไหนกันหมด
แคปใช้ความรู้สึกกดมั่วลงไปเลยจำได้ลาง ๆ ว่าล่าสุดที่โทรเข้าคือสายจากปอ
(มีเชี่ยไร
ดึกแล้วไม่กลับห้องนะมึง) พอรับสายปอก็ด่าลงมาทันที น้ำเสียงไม่รู้เรื่องรู้ราว
เขายังไม่นอนหรอกรอหมามันกลับห้องนั่นแหละ
“ไอ้ปอ
อืออ หงึกๆ ลงมารับกูที” เสียงแคปสั่นขาดๆหายๆและเบามากจนน่ากลัว
ปอลุกขึ้นจากเตียงเลย
(อะไรของมึงวะ)
“อืออ
หงึกๆๆ เร็วหน่อยกูหนาว จะอ้วกด้วยแม่ง ทนไม่ไหวแล้ว อืออ”
แคปครางในคอเสียงอ่อนแรงจนปอรู้ชัดแล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติ
(มึงอยู่ไหน)
“หน้าลิฟต์ลานจอดรถ
กูไม่ไหว อืออ”
(ห้านาที)
คำว่าห้านาทีของปอตามมาด้วยเสียงปิดประตูห้องที่ดังมากๆ
แคปทิ้งโทรศัพท์มือถือลงข้างตัวทันทีที่ได้คำสัญญาจากเพื่อน
เปลือกตาที่หนักอึ้งปิดลงอย่างห้ามไว้ไม่ไหวอีกแล้ว
แคปลงไปนอนคุ้ดคู้อยู้ข้างกำแพง เขาหนาวจนต้องใช้สองมือกอดตัวเองไว้
ยังไม่ดึกสักเท่าไหร่แต่แปลกใจที่ไม่มีคนขึ้นลง
“ไอ้แคป!”
เมื่อเสียงประตูลิฟต์เปิดออกแคปปรือตาขึ้นมอง
เห็นบ้างไม่เห็นบ้างรู้แค่ว่าคนที่เรียกเป็นปอเพื่อนเขาแน่นอน
“ไอ้สัส
หงึกๆๆ ยังไม่ถึงห้านาทีเลยอืออ..” เสียงฟันกระทบกันดังลอดออกมา
ทั้งที่ตัวเองไม่ไหวจนแทบจะตายยังมีหน้าไปพูดเล่นกับเพื่อน
“ยังจะเล่นนะมึง
ตัวร้อนเหี้ยๆเลย เมาอีกต่างหาก” ปอพาดแขนแคปใส่ไหล่
แต่คนข้างตัวกลับลุกแทบไม่ขึ้น
“หนาววว”
แคปปากสั่นซีดไปหมด
ปอถอดเสื้อนอกที่สวมลงมาให้แคปใส่ไว้แทนเขากอดไว้ทั้งตัวก่อนเอาแขนข้างนึงของแคปพาดขึ้นมาใส่ไหล่ลากกันไปหน้าลิฟต์
พอกดเรียกปุ๊ปประตูก็เปิดออกเลย ปอพาแคปเข้าไปด้านใน
คนเมาทำท่าจะอ้วกตั้งแต่ลิฟต์ยังไม่ขึ้น
และทันทีที่ลิฟต์ดันตัวขึ้นแคปทรุดฮวบลงที่พื้นโก่งคออ้วกออกมาอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง
“อ้วกกกกกกกกกกกกกกกกกก
อึกก....กูเวียนหัว อืออ”
“เปื้อนหมดแล้วไอ้แคปกูแม่งต้องมาทำความสะอาดให้มึงอีกใช่ไหมเนี่ย”
ปอนั่งลงข้าง ๆ
ลูบหลังให้แผ่วเบาไหนๆก็อ้วกแล้วเปื้อนแล้วปล่อยแคปมันอ้วกออกมาให้หมดๆไปเลย
“กูปวดท้อง
กึกๆ หนาว” แคปปากสั่น
“อะไรเนี่ยร้องไห้เลยเหรอ”
ที่จริงแคปไม่ได้ร้องไห้แต่เขาอ้วกจนน้ำหูน้ำตาไหล เวลาพูดเสียงสั่นเพราะทั้งหนาวทั้งหอบ
พอประตูลิฟต์เปิดออกปอประคองพาเดินกลับห้องทุลักทุเลกันมากแต่ในที่สุดก็เข้ามาถึงห้องได้
“ไปห้องน้ำ”
แคปครางบอกปอพาเดินเข้าไปเขาทรุดลงที่พื้นหลุดจากตัวเพื่อนปอรีบดึงขึ้นอีกครั้งแคปไม่ไหวแล้วจริง
ๆ ส่ายหัวแล้วคลานเข้าห้องน้ำนั่งกอดชักโครกเอง
“เดี๋ยวกูโทรบอกแม่บ้านไปทำความสะอาดลิฟต์ก่อน
มึงอ้วกรอไป อย่าเป็นลมนะมึง”
ปอตะโกนบอกเห็นแต่ขาแคปคลานเข้าห้องน้ำไปเขายกหูโทรศัพท์เครื่องภายในจัดการจนเสร็จเรียบร้อยเดินเข้าไปอีกทีแคปนอนเหมือนคนหมดสติอยู่ที่พื้น
“บ้าเอ๊ย
แคป!”
รีบเข้ามาจับตัวอุ้มขึ้นไว้ในอก แคปปรือตาด้วยความเมาและพิษไข้
ทั้งหนาวทั้งอ้วกทุกอย่างปนเปกันไปหมด
“กูไม่สบาย..”แคปตาปรือ
ปอมองกองน้ำลายเหนียวๆน้ำดีและเศษอาหารที่แคปอ้วกออกมาที่พื้น
ปากเล็กเลอะเทอะไปหมดผมเผ้ามีแต่เหงื่อทั้งที่บอกตลอดว่าตัวเองหนาวไม่รู้เหงื่อมาจากไหน
มือใหญ่เสยเข้าที่หัวเล็กปัดผมที่เลอะปรกหน้าออกให้พร้อมกับใช้มือเช็ดรอยเปื้อนคราบน้ำลายคราบอาหารต่าง
ๆ อย่างไม่รังเกียจ
“กูไม่สบาย..”
แคปพึมพำออกมาอีก เขาพยายามกอดตัวเอง ท้องไส้ที่ปั่นป่วนพาให้จะอ้วกออกมาอีกครั้ง
“อ้วกกกกกกกพรวดดดดดดดดดดดดดด”
โก่งคออีกครั้งจนลำไส้บิดไปหมด
เสียงที่ฟังดูช่างทรมานกับสิ่งที่ออกมายังคงมีแต่น้ำดีสีเหลือง
“รู้แล้วๆ
กินน้ำก่อนบ้วนปากนะ” ปอรีบเปิดขวดน้ำที่ถือติดเข้ามาด้วยตั้งแต่แรกส่งให้
แคปกินจนเลอะเทอะไปหมด หอบหายใจแรงด้วยความเหนื่อยอ่อน
“ลุกไหวไหม
ไปนอนดีๆที่เตียง” ปอลุกขึ้นพยุงแคปให้ลุกแต่รายนั้นกลับนั่งพับลงไปที่พื้นอย่างหมดสภาพ
แคปก้มหน้านิ่งไหล่เล็กๆสั่น
“แคป..”
ปอเรียกเสียงเบา แตะเข้าที่ไหล่เล็กนั่น
“แคป..”
“จะหาพี่เต้
ฮึกก ฮึก ฮอึก คาปูจะหาพี่เต้..”
‘บ้าเอ๊ย!’ ปอแค่นสบถในใจ คำพูดนี้จากแคปทำเอาเขาน็อตหลุด
แคปน่ะเขารู้จักมันดีที่สุดถ้าแค่อาการเบา ๆ
จ้างให้มันไม่เคยร้องหาพี่ชายเลยแม้แต่ครั้งเดียว
แต่ถ้ามันสุดๆแบบไม่ไหวแล้วแคปจะร้องไห้หาเต้ทุกครั้ง ตั้งแต่เด็ก
“แคป..”
ปอเสยผมชื้นเหงื่อออกจากใบหน้าเล็กครั้งแล้วครั้งเล่า
แคปที่หมดฤทธิ์หมดแรงจากการอาเจียนพิงซบอยู่ที่อกเขา สองมือเล็กขยุ้มเสื้อเขาแน่น
ปอก้มมองเพื่อนตัวเองแล้วนึกไปถึงไอ้คนที่พาแคปไปด้วยขึ้นมา
จริงที่ว่าก่อนหน้านั้นแคปไปกับไอ้เอสน้องรหัสเฮียเต้
เขาไม่รู้หรอกมันเป็นอะไรยังไงกับแคปแต่มันถึงขนาดพาแคปมาส่งแล้วปล่อยทิ้งไว้แบบนั้นออกจะทำกันเกินไป
“แคป
เมื่อกี้มึงมายังไงใครมาส่งวะ”
“อึกก
หือ?” แคปไม่รู้เรื่องยังเหมือนคนจะอ้วกต่อ ปอเขย่าถามอีกครั้ง
“ใครมาส่งมึงเมื่อกี้น่ะ ใช่ไอ้เอสไหม”
พอจะจับใจความได้แคปพยักหน้าหงึกๆตอบเพื่อนบอกว่าใช่
“แล้วมันทิ้งมึงไว้แบบนี้น่ะเหรอ”
“อือ
กูไม่สนมันหรอก มันบอกเดี๋ยวมาใครจะไปเชื่อหัวมัน อึกก กูเกลียดมัน
กูไม่เชื่อมันหรอก”
“เดี๋ยวมา?”
ปอถามทวนคำแคปบอกอือๆ
แล้วก้มหน้าเงียบไปตาปิดเหมือนกับหลับทั้งๆอย่างนั้นปอจับดูที่ซอกยังร้อนอยู่มาก
เขาตัดสินใจลุกขึ้นช้อนแขนแคปพาดใส่บ่าแล้วพาออกไปนอนลงที่เตียง
“ปอ
กูไม่สบาย หนาว กึกกก”
“รู้แล้วเดี๋ยวเช็ดตัวให้มึงนอนลง”
เขาจับแคปนอนลงดี ๆ ใช้หมอนรองหัวสองใบกันอ้วกออกมาอีก
ดึงเสื้อที่สวมอยู่ออกทางหัว ปลดกระดุมกางเกงยีนส์ดึงขอบให้ต่ำลงอีกหน่อย
“ถอดหมดเลยได้ไหม”
ปอมองแคปแล้วถาม
“อือ
ถอดดิ เอ้ย! ไม่ๆๆๆๆๆ
เดี๋ยวๆเดี๋ยวกูจัดการเอง” ตอนแรกแคปไม่ได้สนใจอะไรอยากถอดอยากเช็ดก็ปล่อยให้ทำเลยแต่พอนึกๆดูอีกที
ทำเองจะดีกว่า
เขาเลยใช้แรงที่ยังเหลือถอดกางเกงยีนส์แล้วยันๆออกเหลือไว้แค่บ็อกเซอร์ตัวเดียว
“หนาวว่ะ”
แคปย้ำบอกอีกหน ปัดป่ายมือไปดึงเอาผ้าห่มมากอด
ปอห่มให้ดีๆแล้วบอกนอนรอเดี๋ยวไปเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวให้ กลับมาอีกทีเหมือนกับว่าแคปจะหลับไปแล้ว
เขาบิดผ้าผืนเล็กในกะละมังจากนั้นดึงผ้าห่มที่คลุมตัวออกแล้วเช็ดลงไปอย่างเบามือ
“อือ
หนาววว” แคปครางแล้วปัดมือปอออกบอกไม่อยากเช็ดแล้วหนาวเขาง่วงนอน
ปอรวบสองมือจับไว้แล้วรีบเช็ดให้เสร็จ เอาเสื้อผ้าชุดนอนออกมาเปลี่ยนให้ พอเช้ดตัวได้สักพักแล้วอาการหนาวค่อยทุเลาลงหน่อย
“นอนได้แล้วเดี๋ยวคืนนี้กูจะนอนเฝ้ามึงเอง”
ปอห่มผ้าให้เพื่อนสนิทจนชิดอก
เสยผมเส้นเล็กที่ปรกลงมาปิดบังใบหน้าเล็กนั้นออกอย่างอ่อนโยน
แคปปรือตาขึ้นมอง
มีคำพูดของเอสวนเวียนเข้ามาอยู่ในหัวอีกครั้งโดยที่ไม่รู้ว่าทำไม
“รอนะ บอกก่อน”
รองั้นเหรอ?
ใครจะไปรอมึงวะ!!
“ไอ้ปอ
กี่โมงแล้ว” เขาพึมพำขึ้นมาอย่างยากลำบาก
พยายามปรือตามองทั้งที่ตาแทบลืมไม่ขึ้นแล้วด้วย
“ตีหนึ่งแล้ว
ทำไม”
แคปหลับตาลงทันที
ตีหนึ่ง? ผ่านไปสองชั่วโมงแล้วถ้าคนจะวนกลับมาจริงป่านนี้คงมาถึงแล้วแน่ ๆ บ้าเอ๊ยตัวเองจะตายห่าอยู่แล้วยังเสือกไปคิดว่าคนอย่างมันจะพูดจริงทำจริง
คำพูดโง่ ๆ ก็เอาไว้หลอกคนโง่ๆเท่านั้นแหละ เป็นควายไปซะถ้าหลงไปเชื่อคำพูดมัน
“อย่าบอกนะว่ามึงรอมัน”
เสียงปอถามขึ้นเรียบๆแต่ฟังดูแล้วน่ากลัว แคปส่ายหัวแล้วบอกไม่ได้รอ
“กูเชื่อมึงตายแหละ”
ปอพึมพำแขวะไว้แบบนั้นก่อนลุกขึ้นกระชากประตูเปิดออกไป
เขาขนหมอนขนผ้าห่มจากห้องตัวเองมาทิ้งลงที่เตียง บอกแคปขยับเข้าไปจะนอนข้างกัน
“ยังหนาวอยู่ไหมนิ”
ปอดึงไหล่เล็กถาม แคปพยักหน้ากระชับผ้าห่มจนชิดคอ
วงแขนที่กอดมาจากด้านหลังเป็นของเพื่อนสนิทที่สุดของตัวเอง มันอาจจะไม่อุ่นเท่าวงแขนของไอ้คนขี้โกหก
แต่ความรู้สึกกับวงแขนนี้ก็บริสุทธิ์ใจกับเขาเสมอและตลอดมา
“นอนซะ”
มือใหญ่ลูบลงที่หัวเล็กเบา ๆ แคปซุกหน้าลงในผ้าห่มนวมผืนโต
เขาเผลอหลับลงไปสักพักแต่ไม่รู้ทำไมพอนอนก้มหน้ามากๆท้องไส้กลับปั่นป่วนขึ้นมาอีกรอบ
ความรู้สึกเหมือนทุกอย่างกำลังตีขึ้นมาจุกอยู่ที่คอ
เขาลุกพรวดขึ้นหาทางจะคลานลงจากเตียงปอรีบลุกขึ้นดู
“อุบบ
กูจะอ้วก” แคปล้มลงไปตอนที่เดินออกมาได้แค่ก้าวเดียวปอรีบเข้าไปรับ
“อ้วกกกกกกกกกก
พรวดดดดดดด” น้ำที่เพิ่งจะดื่มลงไปถูกดันออกมาทางปากทั้งหมด
แคปเหนื่อยจนทิ้งตัวจะนอนลงพื้นปอดึงให้พิงเข้ามาที่เขา
สองแขนทิ้งตกลงข้างลำตัวอย่างเหนื่อยล้าและอ่อนแรงปอลูบหัวเล็กเบา ๆ
“หาหมอไหม” แคปส่ายหัวช้าๆบอกไม่
“มึงแค่แฮ้งค์แล้วมีไข้นอนหลับเดี๋ยวพรุ่งนี้ก็จะดีขึ้นเอง
ไปนอนที่เตียงนะ”
“ไม่เอากูกลัวอ้วกอีก
นอนตรงนี้แหละ ถ้าอ้วกก็จะได้อ้วกเลย”
“นอนตรงนี้ได้ยังไงหน้าห้องน้ำพื้นเย็นขนาดนี้”
“ไม่เป็นไร”
แคปตอบเสียงเหนื่อยล้า ตาปิด
ปอยิ่งมองดูยิ่งนึกโกรธไอ้คนที่ปล่อยเพื่อนเขาคลานกลับมาได้ขนาดนี้จริง ๆ
ตอนที่เขาลงไปรับแคปหน้าแดงมากคือดูรู้เลยว่าไม่สบายแน่ ๆ
เขาไม่รู้ว่าเอสจะรู้ไหมแต่ที่แน่ ๆ อย่างน้อยมันควรจะเดินขึ้นมาส่ง
ไม่ใช่ทิ้งขว้างกันแบบนี้
“แคป
ไปนอนที่เตียงดีๆนะ”
“ไม่เอา”
แคปหลับตาตอบพึมพำ ปอส่ายหัวอย่างจนใจกับความรั้น
เขาปล่อยให้แคปนอนหนุนตักอยู่ยนพื้นทั้งๆอย่างนั้นอยู่สักครู่ก่อนจัดการพยุงคนที่ดื้อดึงกลับไปวางไว้ที่เตียงหายาลดไข้ในลิ้นชักมาให้กิน
“ไม่เอากูกลัวอ้วกอีก”
แคปส่ายหน้าบอกไม่ ปัดมือเพื่อนออก ปอทำหน้าดุแต่แคปส่ายหัวยืนยันบอกไม่กิน
เขาทำหน้าเหมือนจะอ้วกอีกครั้งปอรีบจับนั่งตรง ๆ แล้วลูบหลังลงให้
“ไม่กินก็นอนซะ
นอนลงเลยไม่อ้วกหรอก มึงนอนหมอนสูง ๆ ไว้
อ่ะ...แบบนี้” เขาจัดที่นอนให้แคปใหม่ ซ้อนหมอนให้สูงขึ้นกว่าเดิม
แคปหลับไหลไม่ได้สติปล่อยให้ปอจัดท่าทางของตัวเองไป
จะนอนท่าไหนก็ได้ขอแต่อย่าให้วิงเวียนจะอ้วกออกมาอีกก็พอ นั่งหลับก็เอา
“หนาว”
แคปพึมพำเสียงเบาแผ่ว ปอใช้หลังมือแตะอังหน้าผากเล็กดูใหม่ ความร้อนยังไม่ค่อยลด
ไข้กลางคืนบวกกับฤทธิ์ของแอลกอฮอล์เขารู้ดีเลยว่ามันทรมานแค่ไหน
ปอยืนนิ่งๆจ้องมองคนที่นอนซุกหน้าตัวสั่นอยู่ในผ้าห่ม
นึกโกรธที่สุดไอ้ตัวที่มันทำให้เพื่อนเขาเป็นได้ขนาดนี้ พาไปแดกเหล้า
พาไปไหนต่อไหน พอกลับมาส่งเสือกไม่รับผิดชอบดูดำดูดีเหี้ยไรเลย
ปอเหลือบมองดูเวลาที่หัวเตียงจะตีสามแล้วแคปมันยังหลับไม่ได้เลย
เขาคว้าหมับเอาโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะเปิดประตูแล้วเดินออกมาโทรศัพท์อยู่ที่ระเบียง
(ว่าไง)
เสียงทุ้มงัวเงียที่ดังจากปลายสายทำเอาปอแทบจะเขวี้ยงโทรศัพท์ตัวเองใส่หัวไอ้คนรับสายปลายทางให้แหลก
เขากัดฟันกรอด
“มึงใช่ไหมมาส่งแคป”
ปอถามเสียงเย็นเฉียบ
(ใช่
ทำไม)
“แล้วมึงปล่อยมันขึ้นมาเอง?”
(อือ
แล้วยังไง)
“แล้วยังไงเหรอห๊ะ!!??”
ปอตะคอกเหยียดเสียงทวนคำถามของเอส ไม่อยากจะเชื่อมันถามเขาว่าแล้วยังไง
ปล่อยเพื่อนที่ไม่สบายขึ้นมาคนเดียวแบบนั้นแล้วมันยังไงงั้นเรอะ
(มีอะไร)
“แล้วมึงไม่สังเกตเลยรึไงไอ้เชี่ย!
แคปมันผิดปกติมึงไม่รู้เลยใช่ไหมห๊ะ!!” เขาตะคอกขึ้นอย่างดังไม่สนใจข้างห้องจะได้ยิน
(ผิดปกติยังไง)
“ไอ้สัส! ถ้ามึงคิดว่าดูแลมันไม่ได้ต่อไปไม่ต้องไปรับมันไปไหนมาไหนกับมึงอีก
เหี้ยเอ๊ย! เพื่อนกูคลานอยู่หน้าลิฟต์ตัวร้อนยังกับไฟลวกขึ้นมาก็อ้วกไม่หยุดจนป่านนี้ยังนอนไม่ได้
มึงคิดว่ามึงดูแลเพื่อนกูดีแล้วงั้นเหรอห๊ะ!!!”
(.................)
“กูบอกให้รู้ไว้นะ
กูดูแลมันมาได้ตั้งหลายปีไม่จำเป็นต้องมีมึงเข้ามาในชีวิตมันด้วยซ้ำ ต่อไปห้ามมึงมายุ่งกับเพื่อนกูอีก
มึงมันไร้ความรับผิดชอบ ไม่มีเหี้ยไรสักอย่างจะทำให้กูวางใจมึงได้
แคปเป็นคนสำคัญของกูมึงรู้ไว้ด้วยไอ้สัส!”
(..................)
“...............”
(มันนอนรึยัง)
“ไม่เกี่ยวกับมึง”
(ตัวยังร้อนอยู่ไหม)
“มึงไม่เกี่ยว”
(ให้มันกินยารึยัง)
“อย่ามาถามมากมึงอยากตายใช่ไหมห๊ะ!!”
(บอกมันว่ากูรักษาสัญญา)
“สัญญาเหี้ยมึงสิ! ตีสามแล้วถ้าเพื่อนกูรอป่านนี้มันไม่นอนอยู่ข้างลิฟต์เลยรึไงวะห๊ะ จำไว้นะ ไม่ว่ามึงจะนอนสบายเหี้ยมึงอยู่ที่ไหน
จำไว้ไม่ต้องเสนอหน้ามาโผล่ที่ห้องกูอีก จบไปซะมึงกับมัน!”
(เปิดประตู
กูถึงหน้าห้องมึงแล้ว)
ติ๊ด
ติ๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
จริงดิ!?
จริงดิ!?
ผั๊วะ!! ปอวิ่งไปกระชากประตูเปิดออกแรงมาก
เอสที่ยืนกำโทรศัพท์มือถืออยู่แทรกตัวเข้าไปอย่างเร็ว ห้องแคปคือจุดหมายแรกของเขา
และทันทีที่เปิดเข้าไปคนที่นอนซุกหน้าอยู่ที่เตียงพึมพำอะไรสักอย่าง
เขาเดินเข้าไปใกล้แล้วนั่งลงข้าง ๆ
“ปอ
กูหนาว” เสียงแคปพึมพำแผ่วขึ้นมา
คงคิดว่าคนที่นั่งลงจนที่นอนนุ่มยุบยวบลงไปคือปอเพื่อนของเขา
ทว่ามือใหญ่ของเอสยื่นเข้าไปลูบหัวเล็กที่โผล่พ้นผ้าห่มนวมออกมาแค่ครึ่ง
หนาวจนต้องซุกผ้าผืนโตขนาดนี้ เอสเลื่อนมือเข้าไปสัมผัสดูที่ซอกคอไอ้ร้อนที่สัมผัสได้ฟ้องแทนแทบทุกๆอย่าง
“อืออ..”
แคปขยับตัวนิดๆแต่ยังหลับตา เอสเลื่อนมามือลูบเข้าที่พวงแก้มร้อนผ่าว
ทั้งหมดนั่นอยู่ในสายตาของคนที่ยืนมองอยู่หน้าห้องอย่างปอ
เขาเดินเข้าไปจ้องหน้าคนมาใหม่อย่างเอาเรื่องแต่เอสไม่สนใจต่อคำด้วยปอจึงหอบเอาหมอนเอาผ้าห่มตัวเองแล้วหันหลังเดินออกมา
“เดี๋ยวก่อน”
เอสเรียกไว้ ปอหยุดชะงัก
“ขอบใจมึงมาก”เขาเดินออกมาพูดด้วยเบา
ๆ
“........”
ปอหันมองหน้าเอสทันที สายตาคมกริบสองคู่จ้องกัน
กระทั่งปอเหยียดรอยยิ้มขึ้นที่ริมฝีปากหยัก “หึ
ก็ลองมึงบอกว่ายังนอนอยู่ที่ห้องมึงสิ กูไม่มีวันให้มึงเข้าใกล้เพื่อนกูอีกแน่ ๆ”
“......”
เอสก็แค่ยืนมองบานประตูที่ปิดงับลงตรงหน้า จัดการทำธุระส่วนตัวทุกอย่างจนเสร็จก่อนสอดตัวเข้าไปนอนลงข้าง
ๆ จะว่าไปเตียงแคปแคบเกินไปจริง ๆ
แต่พักนี้มานอนบ่อยจนชินไปแล้ววันไหนกลับไปนอนเตียงกว้าง ๆ
คนเดียวเขารู้สึกวังเวงพิกล
“อือ
กอดทำเหี้ยมึงเหรอห๊ะ” คนตัวเล็กขยับประท้วงขึ้นทันทีเมื่อเอสคว้ากอดเขาไว้ทั้งตัว
เอสกดปลายจมูกโด่งลงที่ขมับแคปนี่ปัดป่ายแขนฟาดผั๊วะกลับมาทั้งที่ยังไม่ลืมตาเรี่ยวแรงก็ไม่มียังฤทธิ์เยอะนัก
“วะ! มากไปแล้วไอ้ปอ
มึงขยับออกไปดิ๊ ใครอนุญาตทำแบบนี้กับกูห๊ะ” แคปงัวเงียสบถ สัมผัสผิวกายที่ว่างเปล่ามันต่างไปจากทุกๆครั้งที่ปอมานอนค้างกับเขา
มันไม่เคยถอทั้งเสื้อทั้งกางเกงแบบนี้ แคปขยับตัวถดออกมาแต่วงแขนแข็งแรงกลับคว้าเขาแล้วดึงจนแนบอก
“ไอ้ปอมึงทำบ้าอะไรเนี่ย
เฮ้ย!!” แคปสะดุ้งโหยงเมื่อโดนอีกฝ่ายกระชากเข้าหาตัวแบบนั้น
เขาหันกลับมาด้วยสัญชาตญาณ
กำลังจะอ้าปากด่าต่อแต่เมื่อเห็นว่าเป็นใครที่กอดตัวเองไว้ แคปนี่แทบช็อก
“ไอ้สัส
มึงมาทำไมห๊ะ!” เสียงแคปแหบแห้งขาดๆหาย ๆ พยายามจะดันตัวลุกขึ้นแต่เรี่ยวแรงแทบไม่มี
ดีหน่อยที่ไม่เวียนหัวแล้วง่วงนอนอยากหลับอย่างเดียว
“ไม่สบายยังฤทธิ์เยอะได้อีกนะมึง”
เอสรวบเอาสองแขนไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียวอย่างง่ายดาย
ร่างกายสูงใหญ่ขยับขึ้นไปคร่อมทับคนตัวเล็กไว้กักจนจมเตียง
“กินยาแล้วใช่ไหม”
“เรื่องของกูอย่ามายุ่งอึดอัด”
“เช็ดตัวอีกไหมเดี๋ยวกูทำให้”
“ไม่เอากูหนาวอย่ามายุ่งนะ”
“งั้นบอกก่อนมึงกินยายัง”
“เรื่องของกู”
“เอองั้นเช็ดตัวอีก”
“ไม่ๆกูกินแล้ว
กินเรียบร้อยแล้ว” แคปรีบตอบเสียงแหบแห้ง
ไม่อยากต่อคำอีกแล้วพอๆกับไม่อยากจะกินยาอีกด้วย เหนื่อยมาก
“กินแล้วแน่ๆใช่ไหม”
“ไอ้เหี้ยกูอึดอัด
ปล่อย!!”
“ตัวร้อนมากเลยนี่หว่า..” เพราะขนาดพูดไอร้อนยังออกมาจนเขาสัมผัสได้
เอสเลื่อนมือขึ้นเสยผมเส้นเล็กออกให้แคปปัดมือออกแล้วดิ้น
เขาเริ่มสงสัยเพราะว่าแผงยาพารายังวางอยู่ข้างเตียงไม่มีรอยฉีกเลย
“แคป
ยา...”
“กูกินแล้วไอ้สัส”
ก๊อกๆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้นเอส
ปอเปิดเข้ามา “กูลืมบอกไปไอ้แคปมันยังไม่กินยานะ กินยากมากมึงจัดการด้วย”
“ไอ้เพื่อนเหี้ย”
นี่คือเสียงโวยวายแหบพร่าที่ดังออกมาจากผ้าห่ม ปอส่ายหัวก่อนปิดประตูลงให้
“ไหนว่ากินแล้ววะ”
“เรื่องของกู
ไม่ต้องมายุ่ง”
“ลุก
กินยา”
“ไม่เอา!”
“แคป”
“กูไม่อยากกิน”
“ไม่ได้ถามว่าอยากกินหรือเปล่า
กูสั่งให้ลุกขึ้นมากินก็ทำตามซะ” เอสว่าพร้อมกับดึงแขนแคปให้ลุกขึ้นมา
แคปหน้ามุ่ยยันตัวลุกขึ้นนั่งรู้สึกปวดหัวและร้อนไปทั้งตัวดีหน่อยที่ไม่เวียนหัวแล้ว
“กินซะ”
เอสยื่นยากับแก้วน้ำให้ แคปส่ายหน้าไม่สน
“จะยอมกินดีๆหรือมึงจะให้กูจัดการกรอกลงไป”
“.......”
แคปมองหน้าไอ้คนพูดตาเขียว
“รีบหายสิจะได้มีแรงมาด่ากูไง อยากตีกูไม่ใช่เหรอ
อยากเตะกูใจจะขาด ถ้าไม่กินยามึงสู้กูไม่ได้นะเอาดิ”
“ไอ้สัส!” แคปคว้าทั้งยาทั้งน้ำมากรอกพรวดๆๆๆลงคอ
รีบร้อนจนสำลักแค่กๆๆ เอสรีบเข้ามาลูบหลังใช้มือเช็ดปากให้
“อย่ามายุ่งกู แหวะมือมึงเค็มมาก”
“ยังไม่ได้ล้างไง ขับรถมา” เอสแกล้งว่ายิ้มๆที่จริงเขาล้างมือเรียบร้อยแล้ว
“แล้วมึงกลับมาทำไมล่ะห๊ะ ใครใช้ให้กลับมา
ทำไมไม่ตายห่าไปเลยกลับมาอีกทำไมวะ ทิ้งกูสองรอบกลับมาอีกทำไมห๊ะ!” แคปตะโกนด่าทั้งที่ไม่มีเสียงนั่นแหละพอได้ยาเข้าไปฤทธิ์แสบๆก็มาเลยทันที
เอสผลักไหล่เล็กบอกให้นอนลงจะห่มผ้าให้ แคปปัดมือเขาออก
“...........”
“กูไม่อยากเห็นหน้ามึง ออกไปกูจะนอน”
“แคป”
“ไม่ต้องมาเรียก แม้แต่เสียงมึงกูก็ไม่อยากได้ยิน
ปล่อยสิโว๊ยยยย อื้อออออกูเหนื่อย ง่วงนอนไม่มีแรงจะด่ามึงแล้วไอ้เหี้ย
ออกไปให้พ้นเลยไป!”
แคปทั้งหอบทั้งด่า เอสปล่อยมืออกยืนมองจนเหนื่อยใจ
“แคป” เขาเรียกขึ้นอีกครั้ง
“กูบอกว่าไม่ต้องมาเรียกไงวะห๊ะ ออกไปให้พ้นได้ยินไหมห๊ะ!
ออกไป!!” แคปหันมาตะคอกใส่ดังมากๆสุดแรงเท่าที่จะมีเสียงนั่นแหละ
พอด่าเสร็จดึงผ้าห่มกลับคืนแล้วหันหนีเลยไม่สนใจเหี้ยไรทั้งสิ้น
เอสเงียบกริบไปนับจากนั้นชั่วขณะ เงียบจนแคปนึกสงสัย......อะไรวะปกติด่าแบบนี้มันต้องต่อปากต่อคำแล้วเข้ามาวุ่นวายกับเขาสิ
ทำไมจู่ ๆ ตอนนี้กลับเงียบไป
ปัง!
เสียงประตูห้องที่ปิดโครมลง เรียกสติให้แคปหันขวับไปดู
ห้องทั้งห้องตอนนี้ว่างเปล่าไปแล้วไม่มีคนที่เขาคิดว่ากวนใจยืนอยู่อีกต่อไป
ทำไมใจถึงหายวาบ ความรู้สึกอะไรสักอย่างประดังประเดเข้ามา แคปขบริมฝีปากแน่น
ดีแล้ว....มันออกไปน่ะดีแล้ว
ไม่จำเป็นที่ต้องมีมันมาวุ่นวายต่อไปอีกเลยยิ่งดี
เขาซุกตัวลงนอนปวดหนึบเข้าที่ขมับ พอหลับตาลงได้ความรู้สึกราวกับว่าจะมีน้ำอะไรสักอย่างไหลรินออกมาจากดวงตา
ห้ามร้อง!! แคปตะโกนบอกตัวเอง
เกลียดความรู้สึกน้อยอกน้อยใจแบบนี้ที่สุด
ไอ้คนที่มันเลือกจะเดินออกไปไม่ได้สำคัญเหี้ยไรกับเขาเลย ไม่มีมันเขาก็อยู่ได้
ไม่สำคัญเลยสักนิด!!
แคปยกหลังมือขึ้นทาบปิดดวงตา ไอร้อนผ่าวจากลมหายใจพาให้ร่างกายที่อ่อนแอติดๆขัดๆ
เขาพลิกตัวหันหลังดึงผ้าห่มขึ้นมาจนเหลือแต่ลูกกะตา
ช่างหัวมันสิ!!
นี่คือความคิดสุดท้ายที่คิดได้หลังจากนั้นเขาจะต้องหลับ
แคปหลับตาลงแน่นบอกตัวเองอีกครั้งว่าต้องนอน
ความเงียบในความมืดแผ่เอาความเหงาเข้ามาปกคลุมและกัดกินจิตใจที่อ่อนแอของคนที่ถูกปล่อยทิ้งไว้
แต่ทว่าสุดท้ายแล้วอ้อมกอดใหญ่ที่คุ้นเคยกลับสวมกอดเข้ามาจากทางด้านหลัง
แคปสะดุ้งรีบหันไปมอง
“สงบศึกกันสักวันนะ” เสียงทุ้มเอ่ยเรียบเมื่อเขาดึงแคปรั้งเข้ามาจนชิดอก
“..........” แคปฮึดฮัดขยับตัวออก
ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกดีใจขึ้นมา บ้าเอ๊ย! ออกไปแล้วจะเข้ามาอีกทำเห้ไรวะแม่ง!
เอสกดปลายจมูกโด่งคลอเคลียลงที่กลุ่มผมนุ่มสวยอย่างหยอกล้อแต่อีกคนเอียงหลบ
“หัวเหม็นว่ะ” เขาแกล้งกระเซ้าย่นจมูก
แคปหันไปด่าตาเขียวอีกอีก “เหม็นก็อย่ามาใกล้ ไม่ต้องมาเข้าใกล้กู ออกไปเลย”
“ไม่ออกไปหรอก ขี้เกียจออกไปแล้ว”
“กูสนมึงเหรอ”
“หึหึ”
“หัวเราะทำไม”
“...............”
“..............”
“นี่...กูรู้วิธีให้ไข้มึงหายอยากรู้ไหม”
“ไม่อยากรู้!”
“เดี๋ยวเอาความร้อนออกให้ ทำง่าย ๆ ไม่อยากรู้เหรอวะ หื้ม”
“ไม่อยากรู้โว๊ย”
“ดูดออกแป๊ปเดียว”
ผั๊วะ!!
“ไอ้สัส! หุบปาก โรคจิตที่สุดก็คือมึงนี่แหละ”
“หึหึ
ไม่กวนแล้วนอนๆ ตื่นมาจะด่ากูต่อค่อยว่ากันนะ”
“บ้าเอ๊ย ขยับไปอีก”
“โอเค!” ตอบโอเคแต่ดึงแคปเข้าชิดยิ่งกว่าเก่า
เพราะแผ่นหลังเล็กยังสั่นนิดๆเพราะความหนาว
แม้คนถูกกอดส่ายหัวทั้งเหนื่อยทั้งหน่าย อยากจะหันไปด่าอีกเดี๋ยวจะพาลไม่ได้หลับได้นอน
แคปหลับตาลงเพราะพิษไข้และความเหนื่อยล้า หนาวมากจริง ๆ
มีไออุ่นร้อนจากร่างกายของคนด้านหลังทำให้เขาค่อยทุเลาขึ้นได้บ้าง
ในที่สุดสองคนก็หลับกันไปทั้งๆอย่างนั้น
Tbc.