[XII]
นับตั้งแต่วันนั้น....
ติ๊ด
ติ๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
แค่ได้ยินเสียงกริ่งยาวหน้าประตู
แคปกับปอที่กำลังนั่งกินมาม่ากันอยู่ถึงกับเงยหน้าสบตา ไม่ต้องถามว่าใคร
ไม่ต้องถามว่ามันมาทำไม และไม่ต้องถามว่าแคปจะเดินไปเปิดไหม เพราะเสียงกริ่งจะดังยาวชนิดที่ว่าไอ้คนกดมันไม่สนใจชาวบ้านชาวช่องข้างห้องเขาจะรำคาญด้วยซ้ำ
แกร๊กกก..
“มาอีกแล้วเหรอมึง..” ปอเป็นคนเดินไปเปิดให้เหมือนทุกครั้ง
เขากล่าวทักพร้อมกับถอนหายใจหนักๆหนึ่งทีทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าใครมาแต่ก็อดมองอีกฝ่ายด้วยความแปลกใจไม่ได้ ทั้งหนังสือชี๊ตงานที่หอบเต็มอก
ไหล่ข้างซ้ายยังสะพายกระเป๋าคอมพิวเตอร์ใบใหญ่
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ไอ้น้องรหัสพี่ชายแคปมาที่ห้องพวกเขาเกือบทุกวัน
ปอเอามือออกจากลูกบิดทำให้เอสเดินแทรกตัวผ่านเข้ามาได้
“แคปล่ะ..” คำทักทายแบบเดิมๆเวลาที่เห็นหน้ากัน
มันไม่สนใจทักทายเขาหรอก ถามหาอยู่แค่คนเดียว
ปอปิดประตูแล้วหันกลับมามองมองแขกผู้มาเยือน
ดูเหมือนว่าเอสเพิ่งไปผ่านการออกกำลังกายหนักที่ไหนมาสักแห่ง ทั้งเสื้อผ้า
ผมเผ้ารวมถึงรองเท้าผ้าใบที่กำลังถูกถอดออก
เขาเพียงแค่บ่ายหน้าบอกว่าแคปอยู่ในครัว
เอสวางของที่หอบมาทั้งหมดลงที่โซฟาก่อนเดินตรงเข้าไปหาแคปที่นั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์
รายนั้นก้มหน้าก้มตากดโทรศัพท์ยิกๆ มีถ้วยมาม่าวางอยู่บนโต๊ะ
แคปไม่ได้สนใจเงยหน้าขึ้นมอง
จริงๆรู้ตั้งแต่ได้ยินเสียงกดกริ่งแล้วด้วยซ้ำว่าใครมา เวลาช่วงนี้ประจำ สัปดาห์นี้ตลอดทั้งวันจะห้ามจะด่ายังไงมันก็มาอยู่ดี
“กินด้วยดิ หิว”
“อ่ะ เอาของกูมา..” แคปเงยหน้าขึ้นมาโวย
คว้าเอาจานตัวเองไว้ไม่ทันเพราะถูกเอสดึงห่างออกจากตัว แค่นั้นไม่พอยังจะมาดึงเอาโทรศัพท์ของเขาไปจ้องดูอีกด้วย
“ชีวิตมีแต่เกมส์ กินให้เสร็จแล้วค่อยเล่นต่อ” เอสยื่นคืนให้แค่ถ้วยมาม่า
ส่วนโทรศัพท์ยัดเก็บเข้ากระเป๋า
“ไม่ต้องมาสอน กูไม่ใช่เด็ก มึงมาทำไมใครเชิญ
มาแม่งทุกวันไม่คิดบ้างเจ้าของห้องเขารำคาญมึงจะตายห่าแล้ว” แคปแดกดันกลับ
“ปากมึงเนี่ยนะ ไม่ใช่เด็กแต่ทำตัวยิ่งกว่าเด็ก ลุกเร็ว
ไปต้มให้กูด้วยหิวเหมือนกัน”
“เรื่องดิ”
“งั้นกูกินถ้วยนี้ของมึง” เอสทำท่าจะแย่งคืนมาอีกแคปรีบเอามือบังไว้
“ไม่เอา อย่ามายุ่งของกู”
“ก็บอกให้ไปทำให้ไง”
“ไม่เอา กูทำไม่เป็น”
“กะแค่ต้มมาม่า..” สองคนจ้องหน้ากันคนนึงยืนอีกคนนั่ง
“มึงกินถ้วยนั้นดิ” แคปชี้ๆไปที่อีกถ้วย มันเป็นถ้วยของปอ
รายนั้นพอเปิดประตูให้เอส กำลังจะเดินตามเข้ามาแต่โทรศัพท์มือถือดังขึ้นก่อน
ปอจึงนั่งรับโทรศัพท์จากใครสักคนอยู่หน้าทีวี
ยิ้มอยู่คนเดียว
“อันนี้ของใคร..” เอสถาม เขามองไปที่ปอ คิดว่าต้องใช่แน่ ๆ
แคปยักคิ้วตอบ “อือ มันเพิ่งกินไปสองคำ”
“งั้นไม่เอา” เอสส่ายหัวบอกไม่กินของคนอื่น
เขาคว้าเอาตะเกียบในถ้วยแคปขึ้นมาแล้วคีบพร้อมกับยื่นหน้าเข้าไปอ้าปากรับ
แคปรำคาญยกให้มันทั้งถ้วยไปเลย
“กินให้หมดนะมึง
ถ้ากูเห็นว่าเหลือแม้แต่เส้นเดียวนะกูจะเอาถ้วยคว่ำใส่หัวมึงเลย”
“ทำเสียงแบบนั้นทำไม คิดว่ากูกลัว?”ดวงตาคมกริบจ้องท้าทาย
“ไอ้สัส”
“หึหึ” เอสเลื่อนถ้วยแคปส่งคืนให้ ไม่อยากจะแกล้งแล้ว
เขาก็แค่ยกยิ้มกวนๆใส่อีกคน ก่อนจะโดนยันกลับมาที่ใต้โต๊ะเหมือนอย่างเคย
“ไงวะ กินอะไรมารึยังมึงอ่ะ” ปอเดินกลับมานั่งลงประจำที่
เขาถามเอสไปตามมารยาทก่อนคีบเส้นมาม่าในถ้วยตัวเองเข้าปากกินต่อ
แต่ช่างเข้าทางแขกผู้มาเยือนเมื่อเอสส่ายหัวบอกยัง ทำให้กินหน่อย
“จริงดิ!?”
ปอเงยหน้าอ้าปากค้าง คำว่าจริงดิ ของเขาหมายถึงมึงใช้ให้กูทำจริงดิ
แต่คนฟังคงจะคิดว่าเขาหมายถึงยังไม่กินข้าวมาจริงดิ
“อือ” เอสยักคิ้วตอบทำหน้าเหมือนคนหิวโซมาก ๆ
ปอมองทั้งไอ้เพื่อนตัวดีที่ยักไหล่ไม่สนใจแล้วก็มองไอ้คนที่เป็นแขกผู้มาใหม่ที่นั่งอยู่ข้าง
ๆ ก่อนพ่นลมหายใจยาวเหยียดแล้วลุกขึ้นเดินไปจัดการต้มให้อย่างเสียไม่ได้
“มาช่วยกันสิวะ คิดจะให้กูทำอยู่คนเดียวรึไง”
“ไม่เอาอ่ะเหนื่อย กูทำไม่เป็นหรอก..”
เอสว่าแล้วทำท่าฟุบลงที่โต๊ะ ช้อนตามองแคปแต่รายนั้นไม่สนใจก้มหน้าก้มตากินของตัวเองจนหมด
“เหนื่อยอะไรของมึง ไปออกกำลังมาดิ? ที่ไหนวะ ฟิตเนส??”
ปอหันมาถามฆ่าเวลาชวนเอสคุยก็ดีกว่าปล่อยให้มันไปหาเรื่องแหย่แคปให้โมโหขึ้นมาอีก
“เปล่าไม่ใช่ฟิตเนส ไปค่ายมวย ซ้อมมวยไง..”
“ซ้อมมวย!?” ปอร้องขึ้นอย่างดัง
หันมาทำหน้าทำตาไม่อยากจะเชื่อเพราะรูปร่างเอสเหมือนคนที่ดูแลตัวเองด้วยอุปกรณ์ออกกำลังแบบง่าย
ๆ มากกว่า บอกว่าไปว่ายน้ำหรือไม่ก็เล่นเทนนิสนั่นยังจะน่าเชื่อกว่าเลย
“อือใช่ ทำไมวะ”
“กูไม่คิดว่ามึงจะชกมวย”
“ต้องชกดิ ช่วงนี้ยิ่งต้องซ้อมบ่อย
ออกกำลังไงเมียกูดุต้องแกร่งมากๆไม่งั้นสู้ไม่ไหว เอามันไม่อยู่แน่ ๆ”
“........” ปอฟังแล้วถึงกับเงียบ เขากลืนน้ำลายอึกใหญ่ ๆ ลงคอ
พลางคิดไปว่าสิ่งที่ได้ยินมันคงเป็นเรื่องผิดพลาดอะไรบางอย่าง หูเขาต้องไม่ดีแน่ๆ มีเสียงถีบอะไรหนักๆบางอย่างดังออกมาจากใต้โต๊ะ
แคปกำลังถลึงตาจ้องเอส แน่นอนว่าสองคนต้องกำลังสู้กันอยู่ ไม่รู้ใครถีบใครล่ะ
แต่ไอ้เอสมันคว้าเอวแคปเข้าหาตัวมันแล้ว เพื่อนเขาก็ดันสู้สุดฤทธิ์
ปอรีบเอาทัพพีรัวเคาะหม้อสแตนเลสเสียงดังลั่น เรียกให้สองคนนั้นหันขวับมา มันสู้กันทีไรเขาใจหายทู๊กที ไม่ใช่อะไรนะ
ไอ้เอสน่ะมันชอบคว้าเอาเพื่อนของเขารวบเข้าหาตัวมันทุกครั้ง
ถึงปอจะเป็นคนไม่ชอบเสือกแต่เรื่องแบบนี้มันก็อดที่จะชำเลืองดูไม่ได้
“เอาต้มยำหรือหมูสับดีวะหรือมึงจะแดกมาม่าเกาหลี..”
ในที่สุดพอน้ำเดือดปอก็ต้องหันไปถาม เอสขยับห่างออกมาแล้ว แคปนั่งทำหน้าหงุดหงิด
“หมูสับดิ
ของกูไม่ใส่พริกนะ” คนบอกนวดขาตัวเองไปด้วย แสดงว่าตัวมันนั่นแหละที่โดนแคปถีบ
“มึงไม่มาทำเองเลยล่ะ..” เสียงปอขุ่นขึ้นทันที
รู้สึกว่าทำไมกูต้องโดนสั่งวะ บอกตรงนี้เลยว่าแคปเพื่อนรัก(ประชด)ทำอาหารไม่เป็น
ไม่น่าเชื่อว่าไอ้คนข้าง ๆ มันก็ยังทำไม่เป็นด้วยเหมือนกัน
มาทีไรคนที่ต้องรับผิดชอบไม่พ้นเขาคนนี้ ส่วนมันสองตัวนั่งดูแล้วก็ใช้ปากสั่งๆๆๆๆ
“นั่นสิ สั่งมากทำไมวะ โตจะเป็นควายกินมาม่าไม่ใส่พริก ไอ้ปอ
มึงทำเผื่อกูอีกถ้วยด้วยเมื่อกี้หมามันแย่งกินไปตั้งหลายคำไม่อิ่มเลยเนี่ย..” แคปตอกย้ำคำพูดในใจของปอให้แม่นยำยิ่งขึ้นไปอีก
ตกลงคือมันทั้งสองคนนั่นแหละสั่งมากสุดและก็กัดกันมากที่สุดด้วย เดี๋ยวคอยดูมันสั่งเสร็จก็กัดกันอีก
เชื่อขนมกินได้เลย
“ว่าใครหมา..” นั่นไง จากนี้คงได้กัดกันจนอาหารหมดจาน
ปอถอยหายใจเซ็ง ๆ อีกครั้ง ก่อนสนใจกับอาหารในหม้อตรงหน้าตัวเอง
ทำใจแล้วก็ปลงกับสองคนด้านหลัง
เมื่อมาม่าเดือดปุด เขาตอกไข่ใส่ลงไปรอให้ทุกอย่างสุกเรียบร้อย
หยิบเอาถ้วยเปล่ามาตักเสิร์ฟให้แขกผู้มีเกียรติ
“ใครรับเอาล่ะ หน้าหมาน่ะ มึงอ่อ?” ยังเถียงกันอยู่
“เดี๋ยวมึงจะโดน คืนนี้น่าดู” นี่เสียงมาจากเอสชี้นิ้วจิ้มหน้าผากเล็กไปด้วย
“กูกลัวตายล่ะ คืนนี้มึงต้องกลับห้องตัวเอง กู-ไม่-ให้-ค้าง” แคปถลึงตาใส่ปัดมือใหญ่ออก
ก่อนรับเอาถ้วยเก่าของตัวเองที่ปอตักส่งให้ใหม่มากิน
“เลิกเถียงกันได้แล้ว กินให้หมดด้วยกันทั้งคู่นั่นแหละ”
“อะไร กูกินถ้วยสองแล้วใครจะไปกินหมดมึงตักเยอะขนาดนี้
กูไม่ใช่ยักษ์” แคปท้วงขึ้นทันทีเมื่อมองเห็นมาม่าในถ้วยตัวเอง
“ถ้าไม่หมดกูไม่ทำให้กินอีก” ปอว่า เอาดิ๊ เขาใช้น้ำเสียงเด็ดขาด
ทั้งสองคนสงบศึกชั่วคราว แต่ยังมีมองหน้ากันแบบกวน ๆ
เอสนี่ก็ยิ้มยั่วเพื่อนเขาอยู่ตลอด แคปเองก็ขึ้นง่ายเข้าทางคนขี้แกล้ง
ไม่รู้ว่ากินกันไปแบบไหนแต่ในที่สุดอาหารมื้อเย็นก็ผ่านพ้นไป
กินเสร็จทั้งแคปทั้งเอสไปนั่งดูการ์ตูนต่อ แต่ไม่ใช่ว่าจะอยู่กันแบบเงียบ ๆ หรอกนะ
ดูอะไรก็เถียงกันแทบทุกอย่างดูโคนันยังแบ่งกันเป็นสองฝ่าย
ตีกันจนจะตายว่าใครกันแน่คือผู้ร้ายตัวจริง
ดูทอมแอนด์เจอรี่คนนึงชอบแมวอีกคนนึงเชียร์หนู
แล้วอย่าถามนะว่าใครทำหน้าที่ล้างจานอยู่ในครัว ก็เขาไงเพื่อนที่แสนดี หึหึ
สองตัวนั่นกินเสร็จก็เดินหนีจะทำอะไรเป็นสักอย่าง ปอส่ายหัวไม่อยากจะสน
“เมื่อไหร่มึงจะกลับวะ” แคปนั่งกอดหมอนอยู่หน้าทีวีมองดูเวลา
แล้วเหล่มองไอ้คนข้าง ๆ
“ไม่อ่ะ คืนนี้จะนอนที่นี่” เอสตอบกลับมาเรียบ ๆ
หน้ามึนทั้งที่ตายังจ้องทีวีอยู่ แคปเลยฟาดหมอนใส่ไปแรง ๆ รับไว้เกือบไม่ทัน
“จิ๊ กูเบื่อมึงที่สุดเลยว่ะ” แคปพูดหัวเสียลุกขึ้น
เห็นปอกำลังเดินเข้ามาจากห้องครัว คว้าเอาหมอนอีกใบขว้างใส่เพื่อนตัวเองด้วย
รายนั้นก็รับเอาอย่างงง ๆ เอสลุกขึ้นมาตบลงที่ไหล่ปอแล้วหัวเราะเบา ๆ
ก่อนก้มลงหอบเอาข้าวของบรรดากองหนังสือสมุดและกระเป๋าเครื่องคอม
เดินตามแคปเข้าห้องไป
ปอที่มองสองคนนั้นจนลับสายตาทิ้งตัวนั่งลงที่โซฟากอดหมอนใบที่แคปโยนทิ้งไว้ให้
เขาไม่ได้สนใจทีวีเลยด้วยซ้ำ ไม่ว่ามันจะเปลี่ยนเป็นรายการอะไร เขาก็ไม่ได้ยิน
เพราะมัวแต่นึกถึงเรื่องราวเมื่อประมาณต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา
วันนั้น....
ก๊อก ก๊อก
“แคป คุยกับกูหน่อยดิ๊..” เดินไปเคาะห้องเรียกเพื่อน
แคปเปิดประตูออกมาหัวยุ่งหน้าตาดูหงุดหงิด
ปอขยับนิดหน่อยเขาก็สามารถมองเห็นอีกคนที่นั่งทำงานอะไรสักอย่างอยู่กับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ถูกวางไว้บนเตียงนอนของแคป
เมื่อคืนเอสมานอนค้างที่ห้อง สองคนทะเลาะกันดังมาก ๆ
แคปเหวี่ยงจนแทบเอาไม่อยู่ ขณะที่ไอ้แขกผู้มาเยือนต้องใช้วิธีการมึนๆของมันจัดการ
จนในที่สุดคนที่เหนื่อยคือเพื่อนของเขาเอง ด่าจนหลับไป เอสจึงลากเข้าห้อง
จากนั้นสองคนก็อยู่ด้วยกันในนั้นจนถึงเช้า ไม่ใช่ว่าเขาไม่ระแคะระคาย
ไม่ใช่ว่าเขาปิดหูปิดตาไม่รับรู้ แต่ไม่คิดว่าไอ้น้องรหัสเฮียเต้
จะทำท่าจริงจังกับเพื่อนของเขามากถึงขนาดนี้
“ออกไปคุยกันข้างนอก” ปอดึงแขนแคปให้เดินตามออกมา
แคปชะงักนิดหน่อยจ้องหน้าปอนิ่งแต่ในที่สุดก็ตัดสินใจเดินตามเพื่อนออกมา
“มึงเล่ามาให้หมด” เขาดันไหล่แคปให้นั่งลง ยื่นบุหรี่ส่งให้
แคปก็แค่รับไว้ ส่วนเขาเองก็จุดขึ้นมาหนึ่งมวนเช่นกัน แคปก้มลงมาต่อไฟ
สองคนจ้องหน้ากันและกันอยู่ชั่วขณะ จนในที่สุดแคปพยักหน้าอย่างจนมุม
แล้วเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างตัวมันกับเอสในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา
แบบสั้นๆให้ปอฟัง
“จริงดิ!?”
ปอมองแคปอย่างคนที่ไม่อยากจะเชื่อทั้งหมดที่ได้ยินนั่น
ทั้งที่คิดว่าตัวเองรู้อยู่แล้วแต่พอมันออกมาจากปากเพื่อนเขาเอง
มันดูน่าตกใจมากพอควรอยู่
“อือ” แคปตอบเรียบ ๆ บุหรี่มวนที่สองถูกคาบขึ้นใส่ปาก
เอื้อมมือหยิบไฟแชคขึ้นมาจุดสามสี่รอบกว่าจะติด เอนตัวพิงโซฟาอย่างเซ็ง ๆ
พร้อมยกสองมือเสยผมที่ยาวลงมาจนปรกหน้าปรกตา
“มันแปลกใช่ไหมล่ะ” แคปพึมพำถามขึ้น
เบนสายตามองเพื่อนตัวเองที่นั่งลูบหน้าลูบตา
แต่ปอกลับส่ายหัวบอกว่าไม่ ไม่แปลกอะไรหรอก
“แต่คือ กูตกใจนิดหน่อย
ไม่คิดว่าสุดท้ายแล้วมึงจะมีแฟนเป็นผู้ชายไง กูก็เลย........”
“พูดเหี้ยไรวะห๊ะ!” แคปแว๊ดขึ้นเสียงดัง
ปอนี่สะดุ้งโหยง เงยหน้ามอง เมื่อเพื่อนตัวเองจู่ ๆ ลุกขึ้นเหมือนกับโมโหหนัก
เขากระตุกๆเสื้อแคปบอกให้นั่งลงใจเย็นๆ
“กูไม่ใช่แฟนมัน ถึงจะเคยนอนด้วยกันแต่กูไม่ใช่แฟนมันเด็ดขาด
มึงรู้แค่นั้นจบ!” แคปพูดใส่อารมณ์เต็มที่ จ้องหน้าปอตาเขียว
“ไม่ใช่แฟน?” ปอทวนคำถาม
“ก็เออสิวะ ให้ตายกูไม่มีทางเป็นแฟนมันเด็ดขาด” แคปย้ำบอก
“แต่มันตามมานอนค้างกับมึงแล้วนะ เมื่อคืนก็...” เขากลืนน้ำลายดังเอื๊อก
เมื่อคืนนับเป็นครั้งแรกที่แคปทำอะไรไม่ได้ยอมให้เอสนอนค้างด้วย ทั้งที่ปอเองก็อยู่
เรื่องมันเลยแดงขึ้นมาแบบนี้
“ค้างก็แค่ค้าง นอนข้างกันนั่นมันก็ใช่
แต่ไม่ได้เอากันแค่นี้จบป่ะ มันกับกู กูกับมัน ไม่ใช่แฟนกัน!” แคปขยายความแล้วพูดย้ำอีกครั้ง ปองงแต่ก็พยักหน้าพยายามจะเข้าใจ
แคปคว้าหมอนอิงเอาเข้ามากอดจนแน่น
“กูหงุดหงิด ไม่ใช่ว่าไม่อยากเล่าให้มึงฟัง แต่คือกู
ไม่รู้จะเริ่มตรงไหนก่อน กู....”
“เออๆช่างเหอะมึงรักใครกูก็รักด้วย กู...”
“กูไม่ได้รักมันไอ้สัส!”
แคปโมโหขึ้นมาอีก
เมื่อปอพูดคำว่ารักซึ่งเขาไม่มีทางเอามาใช้กับคนประเภทไอ้เอสมันเด็ดขาด
“กูบอกตอนไหนว่ากูรักไอ้เหี้ยเวรตะไลในห้องนั่น
ก็แค่พลาดไปกูยังหาวิธีไล่มันออกไปจากชีวิตไม่ได้ ขอเวลากูแป๊ปเหอะ
มึงอย่าพูดเรื่องรักๆชอบ ๆ ใคร่ๆ อะไรนั่นขึ้นมาอีกนะ โฮ้ยยยย กูหงุดหงิด!”
“......”
“เป็นไร อยากถามไรถามมาให้หมด
เคลียร์กันวันนี้เลยกูเองก็ขี้เกียจมานั่งพูดหลายที เรื่องเซ็ง ๆ พูดให้เสร็จครั้งเดียวไปเลย”
“.....”
“ไอ้หมาปอ” แคปเรียกอีก ใช้สายตาขู่
ปอเหมือนคนที่อยากจะพูดอะไรอีกสักอย่างแน่ ๆ แต่ไม่กล้า ในที่สุดปอรวบรวมความกล้าสูดลมหายใจ
ขยับเข้ามาใกล้แคปแล้วถามแบบม้วนเดียวจบ
“มึงกับมันใครเป็นเป็นผู้หญิงวะ”
“ไอ้สัส กูเป็นผู้ชาย” แคปสบถขึ้นทันที ตาแข็งกร้าว
เสียงกัดฟันกรอดๆดังลอดออกมาจนได้ยินถึงหน้าประตู
“งั้นแสดงว่ามันเป็นผู้หญิงเรอะ..” ตัวใหญ่แบบนั้นแคปกดมันแบบไหนวะ
ปอนึกจนตาลอยโดนแคปตบหัวแรง ๆ หนึ่งที ดาวลอยมารอบหัว
“ก็คนที่อยากได้ผู้ชายอย่างกูจนตัวสั่นถึงขนาดตามมานอนด้วยถึงห้อง
ก็มีแต่ผู้หญิงน่ะแหละ”
“จริงดิ?” ปอมองเพื่อนตัวเองแบบไม่ค่อยเชื่อ
แคปจะยื่นมือมาตีอีก เขารีบเอาหมอนมากันไว้
“กูต้องพูดจริงสิวะ
มันนั่นแหละเป็นผู้หญิง” แคปปั้นคำโกหก คำโตมากจริง ๆ
“งั้นแสดงว่ามึงก็ไม่เสียหายดิ”
“เออ!
กูไม่เสียหายหรอกไอ้สัส!! ไอ้เพื่อนเวรไอ้เพื่อนเหี้ย
กูไม่เสียหายเลยสักกะติ๊ด ไม่เล๊ยยยยยกูยังสดโสดและซิง” แคปร้องไห้ ฮือๆๆอยู่ในใจ
ไอ้เพื่อนบ้ามึงจะตอกย้ำคำว่าเสียหายกับกูไปถึงไหนยิ่งพูดกูยิ่งอยากจะร้องไห้ กูนี่ฟังแล้วจึ๊กเลย
“ดีๆๆ กูกะนึกว่ามึงเป็นผู้หญิง แบบนั้นเสียดายแทน”
“แทนใครวะ เสียดายเห้ไร”
“แทนบรรดาเมียเก่ามึงอ่ะ เสียดายความหล่อมึงไง”
“หึ ไม่ต้องเสียดายเพราะกูยังเสียบได้ดีเหมือนเดิม ไม่มีปัญหา”
นั่นคือเรื่องเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา
ปอนั่งนึกแล้วก็ส่ายหัวอยู่คนเดียว
เพราะไอ้คำว่าเมียที่เอสหลุดเรียกแคปเต็มๆปากเมื่อสักครู่สะกิดใจเขาให้นึกย้อนขึ้นมาอีกจนได้
“กูไม่ได้รักมันไอ้สัส กูบอกตอนไหนว่ากูรักไอ้เหี้ยเวรตะไลในห้องนั่น
ก็แค่พลาดไปกูยังหาวิธีไล่มันออกไปจากชีวิตไม่ได้ ขอเวลากูแป๊ปเหอะ
มึงอย่าพูดเรื่องรักๆชอบ ๆ อะไรนั่นขึ้นมาอีกนะ โฮ้ยยยยหงุดหงิด!”
“หึหึหึ กูเชื่อมึงดีไหมเนี่ย
อาทิตย์ที่ผ่านมานี่ไอ้เอสแม่งมานอนค้างกับมึงสี่คืนแล้ว ไม่ใช่แฟนไม่ได้รัก
ไม่ได้คบ แล้วมานอนค้างด้วยกันตลอดๆ ความสัมพันธ์เห้ไรแบบไหนกันวะไอ้แคปเอ๊ย....”
.
.
ขณะที่สถานการณ์ปัจจุบันภายในห้องนอนที่เปิดแอร์เย็นเฉียบแต่ใจเจ้าของกลับห้องร้อนระอุจนสุด
พอเอสวางกระเป๋าเครื่องพร้อมหนังสือที่หอบมาลงบนเตียง
แคปก็ลากเก้าอี้พนักสูงเข้ามาทิ้งตัวนั่งลงแล้วถอนหายใจยาวเหยียดมองอีกคนอย่างเซ็ง
ๆ
“กูไม่เข้าใจมึงจริง ๆ ว่ะ มึงเองก็มีงานที่ต้องทำ
การบ้านรายงานเปเปอร์แต่ล่ะอย่างนี่เยอะมากพอๆกันกับกู ไปอ่านไปเขียนอยู่ห้องตัวเองจะไม่ดีกว่าหรือไงวะ”
“ไม่หรอก แบบนั้นไม่ดี..”เอสทิ้งตัวนั่งลงที่เตียง
“กูไม่เข้าใจ” แคปส่ายหัวย้ำอีกที เอสยกยิ้มอ่อนๆ
“แล้วอยากเข้าใจไหมล่ะ หื้ม?” เขาคว้าหมับแขนแคปแล้วกระชากแรง
ๆ จนแคปถลาเข้ามานั่งลงที่ตัก เอสล๊อคเอวเล็กไว้ทันที
“ทำงานไปด้วยมองหน้าเมียไปด้วยมันเสร็จไวกว่ามึงไม่รู้?”
“เพี๊ยะ! อย่ามาทำมือไว
กูว่ามึงโรคจิตแน่ ๆ ชอบถูกกูด่าชอบถูกกูตี
เป็นบ้าอะไรมานั่งหลังขดหลังแข็งทรมานทำงานอยู่บนพื้นห้องคนอื่น
ทั้งที่ห้องตัวเองทั้งใหญ่ทั้งกว้าง โต๊ะทำงานก็หรูหรา เตียงมึงก็ใหญ่กว่าเตียงกูตั้งสองเท่า
บ้าฉิบ!” แคปด่ากราดยาวเหยียด เอสก็แค่เงยหน้าขึ้นมอง หวั่น
ๆ จะโดนฟาดสวนมาเหมือนกันแต่พอเห็นอีกคนยังเฉยเขาเลยแค่แสยะยิ้มออกไป
“มึงรู้คำตอบอยู่แล้ว”
“กูรู้มึงหวังอะไร..” แคปหรี่ตามองเกลียดเหลือเกินรอยยิ้มแบบนั้นของมัน
“แล้วเมื่อไหร่จะให้ล่ะ”
“ผั๊วะ! ไม่ต้องมายิ้ม
คำถามมึงชวนหัวเราะเหรอเหี้ย อย่ามามักโลภ
มึงได้ไปแล้วยังจะมาอยากได้เหี้ยห่าไรอีก..” แคปฟาดผั๊วะๆเข้ากลางหลัง
เอสคว้าจับเอาสองแขนเล็กมารวบไว้
“มึงกินข้าวครั้งเดียวอิ่มป่ะล่ะ ของอร่อยมันต้องกินซ้ำดิวะ”
“กูไม่ใช่อาหาร ไอ้สัสเลิกทำหน้าแบบนั้นใส่กู”
“หึหึ คิดว่ากูพูดนี่หมายถึงมึงหรือไง หลงตัวเองเหมือนกันนี่หว่า
ไหนดูซิปากยังหวานเหมือนเดิมอยู่ไหม โอ๊ยซี๊ดส์!”
พูดจบเขาเลื่อนมือขึ้นไปคว้าเอาคอแคปดึงลงมาขบปากนิ่มเบา ๆ หนึ่งครั้ง
แต่เจอแคปกัดสวนลงอย่างแรงเอสรีบปล่อยออกแทบไม่ทัน แคปลุกขึ้นทันที
“มึงมันแย่มาก นิสัยแม่ง กูจะทำงานแล้วห้ามมึงมากวน
วันนี้ไม่เสร็จกูนอนไม่ได้บอกเลย” แคปชี้หน้าแล้วถอยห่างออกมา
ก่อนที่จะคว้าเอาพนักเก้าอี้ตัวเองทิ้งตัวนั่งลงไปอีกครั้ง เอสก็แค่มองแล้วอมยิ้ม
งานเขาเยอะมากพอกัน มันก็จริงที่ว่าห้องเขากว้างกว่าสบายมากกว่า แต่ก็อย่างว่าได้นั่งอยู่ใกล้
ๆ คนที่เขาคิดอยากจะแกล้งได้กัดได้หยอกแล้วสนุกไปด้วยกันได้
มันก็ต้องมาถึงห้องนี้เท่านั้นล่ะนะ
คืนนั้นสองคนนั่งหันหลังต่างคนต่างทำงานในห้องไปแบบเงียบ ๆ
ทั้งห้องสี่เหลี่ยมได้ยินแต่เสียงต๊อกๆแต๊กๆของคีย์บอร์ดสองเครื่องราวกับมันกำลังโต้วาทีกันอยู่
เมื่องานเริ่มเครียด เอสจุดบุหรี่ขึ้นสูบ แคปจึงหันมาเพราะได้กลิ่น
“บ้าเอ๊ย ห้องกู” เขาลุกขึ้นเดินไปเปิดหน้าต่างระบายอากาศ
เอสเงยหน้ามอง
“อะไรทำเป็นอ่อนหัด อย่าบอกว่ามึงไม่สูบนะ นั่นซองอะไร..”
เอสโบ้ยหน้ามองไปที่ซองบุหรี่ของแคปที่วางไว้แถวหัวเตียง
“ซองพริกป่นล่ะมั้งสัส ถามอะไรไม่คิด
ถึงสูบกูก็จะเดินไปพ่นด้านนอก ไม่เสียมารยาททำห้องคนอื่นเขาเหม็นแบบนี้หรอก”
“แพ้รึเปล่า”
“ไม่แพ้ แต่มันเหม็นเวลานอนกูไม่ชอบ”
“..........”
เอสมองแล้วเงียบ
เขาสูบต่อไปจนหมดมวนจากนั้นลุกขึ้นไปปิดหน้าต่างให้ เข้าไปแปรงฟันล้างหน้าล้างตาแล้วกลับมานั่งทำงานต่อ
สองคนยุ่งอยู่กับงานของตัวเองเกินกว่าจะหาเรื่องอะไรมากัดกันได้อีก
เวลาผ่านไปแคปเหลือบมองนาฬิกาอีกที จวนจะตีสองแล้ว
ลุกขึ้นบิดขี้เกียจหาวหวอดสองสามทีก่อนหมุนเก้าอี้หันมามองอีกคนที่นั่งอยู่บนพื้นใช้เตียงเขาต่างโต๊ะทำงาน
“……..”
แคปกอดอกนั่งมองเงียบ ๆ
เอสง่วนอยู่กับงานตรงหน้าไม่ได้เห็นเลยว่าเขานั่งจ้องมันนานมากแล้ว จู่ ๆ
เสียงคีย์บอร์ดกลับหยุดลง พร้อมๆกับคนที่นั่งอยู่บนพื้นเงยหน้ามอง แคปรีบหลบตา
“อะไร” ถามขึ้นแบบเก้อๆ เพราะว่าเอสต้องเห็นแน่ ๆ
ว่าเขานั่งมองมันอยู่สักระยะแล้ว
บอกเลยว่าไม่ได้คิดพิศวาสหรือชื่นชมอะไรทั้งนั้น
ก็แค่นั่งมองเพราะกำลังคิด
ไม่เข้าใจและคิดไม่ตกว่าที่มันมาตามติดเขาอยู่ทุกวันนี้นี่ต้องการอะไรกันแน่
คือเอสได้จากเขาไปทุกอย่างแล้วจริง ๆ แม้กระทั่งตัวเขามันก็ยังได้แล้ว
แต่ที่ยังตามอยู่อีกคือต้องการอะไร
“มึงใส่แว่นด้วยรึไง..” เอสลุกขึ้นเดินเข้ามาหา
แคปเพิ่งรู้สึกตัวว่าลืมถอดแว่นสายตาออก
“ก็แค่เวลาทำงาน..” ว่าแล้วเขาก็หมุนเก้าอี้กลับคืน
คว้าเอาขวดน้ำข้าง ๆ ยกขึ้นดื่ม
จับเอาปากกาลงมือจะทำงานต่อแต่เจออ้อมกอดของคนตัวโตพาดผ่านมาทางด้านหลัง
มันกอดทั้งพนักพิงนั่นแหละยืนซ้อนเก้าอี้เขาอยู่
“ทำเหี้ยไรของมึง..”แคปหันมาถามหน้ายุ่ง
เอสยื่นโทรศัพท์มือถือออกมาพร้อมกับแนบใบหน้าชิดเข้ากับศีรษะเล็กของแคป
“ถ่ายรูปกัน”
“ไม่เอา” แคปเอียงหลบผลักเอสออกจะลุกขึ้นแต่เจอมือใหญ่กดล๊อค
กอดคอเอาไว้
“แปปเดียว มองกล้องเร๊ว แช๊ะ!” ภาพที่ถูกถ่ายไปด้วยความรวดเร็วไม่น่าเชื่อว่าจะคมชัดได้
แต่ทว่าคนนึงสวมแว่นทำหน้ายุ่ง ๆ กับอีกคนที่ยังเก็กหล่อได้ในสไตล์เดิม ๆ
เอสยกยิ้มขึ้นนิดๆพอใจในผลงานการถ่ายภาพของตัวเอง
เขาขยี้หัวแคปจนยุ่งแล้วมองดูว่างานของอีกคนไปถึงไหนแล้วก่อนโดนมือเล็กปัดออกแรงๆอย่างเคย
“งานมึงใกล้เสร็จรึยังวะ..” มองดูที่นาฬิกา
ตีสองแล้วเดินไปเก็บหนังสือหนังหาของตัวเอง
“ยุ่ง” แคปตอบเซ็ง ๆ ก้มลงตั้งใจทำงานของตัวเองต่อ จริง ๆ
คือเหลืออีกแค่นิดเดียวหยุดตอนนี้ก็ไม่มีปัญหาแต่ไม่อยากจะทำแบบนั้นเขาอยากให้มันหลับได้ก่อนเลยยิ่งดี
เอสเดินออกมาจากห้องน้ำแล้วเปิดโคมไฟที่หัวเตียงนอนเล่นโทรศัพท์มือถือรอ
กระทั่งเวลาเกือบตีสามแคปนี่ไม่ไหวแล้วหาวหวอดๆเป็นสิบครั้ง
“กูโพสรูปเมื่อกี้ลงไอจีนะ..”เสียงทุ้มดังมาจากเตียงแคปหันขวับ
“ไอ้สัสมึงอย่าบ้า” คนพูดทำตาเขียว มือที่ถือปากกาอยู่แทบจะเขวี้ยงใส่หัวไอ้ตัวอันตรายพูดไม่มีหัวคิด
“ใครจะจำได้วะ มึงใส่แว่นแล้วถ่ายใกล้ขนาดนั้นหน้าเต็มจอ
ดูดิ..” เอสยกมือถือโชว์ภาพให้ดูอีก แคปลุกพรวดกระโจนเข้าหาจะคว้าเอามาลบ
แต่เอาไม่ได้
“พี่กูสิจำได้แน่ไอ้เหี้ย เอามานี่ มึงอย่าหาเรื่องนะ
ถ้าทำอะไรไม่เข้าท่ากูจะไม่อนุญาตให้มึงเข้าห้องอีกเลยคอยดู!”
“นอนได้ยังล่ะ ง่วงแล้วอ่ะ” เอสไม่สนใจมือถือแล้วเขาโยนทิ้ง ๆ
ไปไว้อีกฝั่งนึงของเตียงเกี่ยวคอแคปกอดลงมาบอกให้นอนด้วยกัน
แคปไม่ทันตั้งตัวทับลงบนตัวเอสแบบเต็ม ๆ
คนตัวเล็กดิ้นสู้กันอยู่สักพักในที่สุดก็ยอมนอน เอสใช้เขาแทนหมอนข้างอย่างเคย
“แสบตาไปปิดไฟดิ” แคปสั่ง ง่วงจนจะหลับอยู่แล้ว
เอสปิดไฟล๊อคห้องปิดทุกอย่างเรียบร้อย
กลับเข้ามานอนเจอแคปเอาหมอนข้างมาขวางพร้อมห่มผ้ามิดชิดทำตัวเหมือนดักแด้
เขาจึงดึงเอาหมอนข้างยักษ์เหวี่ยงออกแทบไม่ทันทำน้ำเสียงหงุดหงิดกระชากแคปเข้ามากอดจนจมอก
“โฮ้ยยยกูอึดอัดมึงนอนนิ่งๆสิวะอย่ามาใกล้มาก
รำคาญเนี่ยรู้ไหม”
“เหรอ ไม่รู้อ่ะ”
“อย่าจับสิวะนอนไปอย่างเดียวจะลูบหาหวยเหรอ
หลังกูไม่ใช่ต้นกล้วยลูบแม่งอยู่นั่นหวยไม่โผล่มาหามึงหรอก”
“ไม่หาหวยหรอกหาอย่างอื่น”
“หาเหี้ยไรของมึง ต่ำไปแล้ว ต่ำไปแล้วไอ้เหี้ย..” แคปตะปบมือหนาไว้แทบไม่ทัน
เอสเลยสอดเข้าแผ่นหลังเล็กแล้วลูบเล่นแทน
“มันเนียนดีไง”
“เนียนพ่องดิ กูไม่เนียนด้วยนะสัส
มือมึงสากอย่างกับกระดาษทราย”
“สากที่ไหนสาว ๆ บอกมือกูนุ่มทุกคนอ่ะ สวยด้วยนะ จับดูป่ะ”
“ฝันสิ บ้าเอ๊ย..” แคปเบะปากใส่อย่างหงุดหงิด เขาขยับออกแล้วบอกอย่ามาใกล้มาก
เอสขยับตามสองคนขยับหนีขยับตามกันจนจวนจะตกเตียงแคปหันไปฟาดผั๊วะเอสหัวเราะหึหึ
“อือๆไม่กวนแล้ว นอนๆ”
“ขยับไป กูอึดอัด”
“........”
“ไอ้เหี้ยเอสอย่ารัดสิวะกูร้อนเนี่ยมึงเห็นใจกันบ้างได้ป่ะ
แม่ง..”
“ทำเหมือนวันนั้นกันอีกป่ะ”
“พูดเหี้ยไรห๊ะ ขยับออกไป แล้วมาทับกูทำไมเนี่ย โอ๊ยยยยย ”
“ไม่ได้อยากกอดนักหรอกนะ แต่...กูทำให้มึงเอาไหมล่ะ”
“ไม่เอาเว้ย โฮ้ยยยยยกู... อื้ออ~” โดนฉกจูบปิดปากลงมาเบา ๆ แคปขยับตัวไม่ได้โดนล๊อคคอล๊อคแขนล๊อคขา
ได้แต่เงยหน้ารับจูบเร่าร้อนจากอีกฝ่ายจนหายใจหายคอแทบไม่ทัน เอสจับใบหน้าเล็กด้วยสองมือ
เขากดจูบซ้ำแล้วซ้ำอีกขณะที่แคปส่งเสียงครางหนักประท้วงอยู่ตลอด
พยายามสะบัดหน้าหนีแต่คนเอาแต่ใจก็ยังไม่ยอมปล่อยออก ลิ้นร้อนแรงลามกรวมถึงริมฝีปากร้ายบดขยี้กวาดต้อนและดูดดุนเอาลิ้นเล็กของแคปจนมุมไปทุกสัมผัส
“อื้อ ไอ้สัส! พอ อึกก อื้ออ แค่กๆๆๆ”
แคปไอโขลกเมื่อในที่สุดโดนปล่อยปากออกมา ผลักไหล่หนาออกแรง ๆ แต่โดนรวบดึงไว้อีกครั้ง
ด้วยความกลัวว่าจะโดนมากกว่าจูบแคปจึงดิ้นแล้วทุบตีคนตัวโต
“ร้องให้เพื่อนมึงได้ยินเลยใช่ไหมห๊ะ” มือไม้สองคนสู้กันเอสจัดการพันไว้ทั้งแขนทั้งขา
“ไอ้สัส ปล่อยกู!!”
“เลิกดิ้นแคป กูแค่จูบ ดิ้นมากๆตีห้าไม่จบนะครับเมีย
กูบอกให้รู้”
“.....อึ่กก....”
แคปถองศอกใส่หนักๆหนึ่งครั้งก่อนกัดริมฝีปากอย่างคับแค้น
ยอมนอนให้มันกอดนิ่งๆและเงียบได้ในที่สุด
ชีวิต ซวยเป็นบ้า!
.
.
ก๊อกๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ปังๆๆๆๆๆๆๆ ก๊อกๆๆๆๆๆๆๆๆ
“แคป ไอ้แคปโว๊ยยยยยยยย ตื่นๆๆๆๆๆๆๆ”
เสียงเคาะประตูดังรัวจนแคปที่นอนตื่นยากยังต้องสะดุ้งโหยง
ลุกพรวดขึ้นดูเวลา สะบัดผ้านวมผืนใหญ่ออกจากตัว
“ตายห่าแล้วกู”
เขาเสยหัวลวกๆพลางสบถไม่เป็นศัพท์เดินไปเปิดประตูห้องให้คนที่เคาะเรียกด้วยความรีบร้อน
“สองโมงแล้วไอ้แคปมึงแม่งสายเหี้ยเลย..”
ปอแต่งตัวจนเสร็จเรียบร้อย
นึกแปลกใจทำไมนาฬิกาปลุกแคปดังแล้วยังไม่ได้ยินเสียงอาบน้ำ
เขาแต่งตัวเสร็จเดินมาแนบหูเข้าที่ประตูไม่ได้ยินเสียงอะไรจึงรีบเคาะเรียก
“นาฬิกากูทำไมไม่ปลุกวะ..” แคปขยี้หัวเดินไปคว้าเอาผ้าเช็ดตัว
กำลังจะเข้าห้องไปอาบน้ำเจอปอคว้าแขนเอาไว้
“ทำไมวะ” แคปถาม ปอโบ้ยหน้าไปทางไอ้คนที่นอนอยู่บนเตียง
เพราะว่าใช้ผ้าห่มผืนเดียวกันอยู่ ตอนที่ตื่นแคปเหวี่ยงออกหมด
ตอนนี้เอสจึงนอนเกือบจะล่อนจ้อนโชว์กางเกงบ็อกเซอร์รัดๆแค่ตัวเดียว
“ใหญ่เหี้ยๆ ใครโดนเข้าไปคงจุกสัส” ปอพูดขึ้นมาลอย
ๆไม่คิดอะไรโดนแคปโบกกะบาลรับอรุณเต็มแรง
จากนั้นเดินไปคว้าผ้าห่มเหวี่ยงคืนกลับไปบนเตียงปิดหน้าปิดตัวไอ้อุบาตที่นอนแผ่ไม่รู้เรื่องอยู่
“ไม่ปลุกมันล่ะวะ”
“ช่างหัวมันสิ” แคปหงุดหงิดหัวเสีย จะเดินเข้าไปอาบน้ำ
แต่ไอ้ตัวดีบนเตียงกลับส่งเสียงงัวเงียขึ้นก่อน
“มีอะไรกันน่ะ ตื่นแต่เช้าเลย วันนี้วันเสาร์ไม่ใช่เหรอวะ..”
เอสหาวหวอดหนึ่งครั้งลุกขึ้นนั่งแล้วคว้าเอาผ้าห่มผืนใหญ่ที่ถูกเหวี่ยงคลุมหน้าคลุมตาใส่เมื่อครู่มากอด
“จะออกไปไหนกัน..” เขามองปอที่ใส่ชุดเต็มยศ
เสื้อช็อปสีเขียวเข้มกับกางเกงยีนส์แบบพอดีตัว ขณะที่แคปหันมองเขาตาเขียว
นาฬิกาที่ตั้งปลุกไว้จำไม่ได้ว่าลุกขึ้นมากดปิดเมื่อไหร่
ต้องเป็นไอ้ตัวดีมันปิดให้แล้วไม่ยอมเรียกเขาแน่ ๆ
“อะไร ตื่นมาก็โกรธ กูยังไม่ได้ทำอะไรเลยเหอะ”
“ไม่ทำบ้านมึงสิ
นาฬิกาที่กูตั้งปลุกไว้มึงใช่ไหมล่ะห๊ะที่กดปิดน่ะ” แคปด่าลั่น เอสทำหน้าจ๋อย
เจอแคปคว้าเอาหนังสือสันหนาอะไรสักอย่างบนโต๊ะเหวี่ยงกลับมาเกือบถูกหัว
ดีที่เอาผ้าห่มมารับไว้ทัน ขนาดปอที่ยืนอยู่ด้วยยังต้องรีบหลบ
สองคนมันเล่นกันแรงมากจริง ๆ
“จะไปไหนกันวะพวกมึง มีเรียน?” เอสลุกขึ้นเสยผม
เดินมาเปิดตู้เอาผ้าเช็ดตัวผืนใหม่ของแคปออกมาพาดบ่า
“วันนี้มีลงแปลงนอกตาราง”ปอบอก
“แล้วเลิกตอนไหน”
“เย็น ๆ โน่นแหละ”
เอสพยักหน้ารับรู้พลางตบลงที่ไหล่ปอแล้วบอกว่าจะไปอาบน้ำที่ห้อง
ปอก็เออๆตอบไป สิบห้านาทีหลังจากนั้น
สามคนลงมายืนเถียงกันอยู่ด้านล่าง เอสตกลงกับปอว่าจะพาแคปไปส่งให้
แต่เจ้าตัวดันไม่ยอมโวยวายขึ้นมาเอสเลยบอกให้ปอขับรถออกไปก่อนเลย
“ไอ้ปอ ไอ้เพื่อนทรยศ!”
แคปชี้หน้ายืนขวางทางไม่ให้ปอขับรถออกไปได้ เอสเดินไปลากแขนเล็กไว้
“แคปไหนว่ารีบ ขึ้นรถเร็วเข้า” ตัวแคปไม่ใช่เบาๆ
อีกทั้งเอสยังหอบข้าวของเต็มมือ
บรรดาหนังสือรวมถึงเครื่องคอมที่สะพายไว้ที่ไหล่ เขาดึงแคปมาด้วยพร้อม ๆ
กับโยนข้าวของทั้งหมดใส่ไว้ท้ายรถ พอแคปได้โอกาสรีบวิ่งกลับไปดักรถปอไว้อีก
“ปังๆๆๆๆไอ้หมาปอมึงเปิดประตูสิวะ
ล๊อครถใส่หน้ากูเดี๋ยวคืนนี้มึงจะโดน กลับถึงห้องน่าดูเลย มึงนะมึง เพื่อนเวร..”
แคปก้มลงไปตบกระจกด่าๆๆๆปอยิ้มแห้งๆยกมือบ๊าย ๆ บอกเจอกันที่มหาลัย
ก่อนที่รถจะค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกไป
แคปยืนยกขาทำท่าเตะส่งให้เพื่อนตัวเองเอสเลยเดินมาดึงแคปกลับมาเหวี่ยงยัดใส่รถ
“นั่งนิ่ง ๆ เงียบ ๆ แล้วจะไปส่งให้โดยสวัสดิภาพ”
“กูไม่.......”
“ถ้ามึงยังโวยวายเจ้าปัญหาไม่จบ กูจะแวะม่านรูดแถว ๆ
นี้แล้วลากมึงลง เอาไง..” แคปกำลังอ้าปากจะด่าต่อแต่เอสสวนดักคอขึ้นมาก่อน เขายืนค้ำประตูรถไว้จ้องหน้า
จนเห็นว่าอีกฝ่ายยอมหุบปากแล้วนั่งดี ๆ
เขาจึงปิดรถให้แล้วเดินอ้อมมานั่งประจำที่ฝั่งคนขับ
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นรถยนต์คันสวยก็เลี้ยวเข้ามาจอดในรั้วของมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่ใจกลางเมือง
หน้าสวนเกษตรที่เก่าที่เดิม
“เลิกกี่โมง” เอสถาม
“เรื่องของกู” แคปตอบห้วน ๆ
จะลงท่าเดียวแต่เจอคว้าแขนไว้เร็วมาก
“เลิกกี่โมงแคป..”
เอสถามอีกครั้งคราวนี้ใช้น้ำเสียงจริงจัง
แคปหันขวับมาจ้องหน้า
คือที่เขาไม่บอกเพราะว่าไม่อยากให้รู้จะได้ไม่ต้องมารับมาหากันอีก
แต่เอสก็ยังไม่ยอมจะซักไซ้ถามให้ได้ความ แคปจึงหันไปถลึงตาใส่อีกครั้ง
“กูจะกลับเอง เลิกกี่โมงก็ช่างไม่เกี่ยวกับมึง..” แคปมองเห็นรถปอเพิ่งเลี้ยวเข้าช่องจอดทั้งที่ออกมาก่อนแล้วพอเห็นว่าอาร์ลงมาด้วยก็ถึงบางอ้อ
ปอแวะรับอาร์ก่อนเข้ามาแปปเดียวเท่านั้น
“เพื่อนกูมาครบแล้ว เปิดรถ” เขาหันไปสั่ง
เอสส่ายหัวก่อนตัดสินใจยื่นมือใหญ่มาล๊อคต้นคอแคปแล้วทำท่าจะดึงเข้าหา
แคปรีบรั้งตัวเองไว้
“อ่ะ กูไม่เล่นไอ้เหี้ยเอสมึงอย่าทำแบบนี้นะ..”
เมื่อสายตาคมกริบของเอสขยับลงมองที่ริมฝีปากเขา
แคปเสียวไปถึงสันหลังกลัวมันดึงเข้าไปจูบ
“งั้นบอกมาก่อนวันนี้เลิกกี่โมง”
“ไม่บอก!”
ถึงอย่างนั้นก็ยังจะดื้อ
“ดื้อจริงๆ ดื้อไม่มีใครเกิน..” เอสกัดฟันพูด
เขาแทบจะหมดความอดทน เพื่อน ๆ แคปเริ่มทยอยกันมาเยอะขึ้น
เอสจึงยอมปล่อยมือที่ล๊อคต้นคอออก
เขากระตุกรอยยิ้มเจ้าเล่ห์น้อย ๆ เมื่อนึกอะไรดีๆได้ โทรศัพท์มือถือของแคปที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อช็อปถูกเขาล้วงหยิบขึ้นมา
“อ่ะ มึงเอาของกูมานะ..” แคปโวยขึ้น
จะคว้าเอามือถือตัวเองกลับคืนแต่เสียใจด้วยเพราะเอสยัดเก็บแล้วเรียบร้อย
“เล่นเชี่ยไร ก็รู้อยู่ว่ากูสายแล้ว..”แคปด่าตาเขียว
“นี่คือโทษที่มึงไม่ยอมบอกว่าเลิกตอนไหนไง
เอาของกูไปใช้แทน..” เอสโยนโทรศัทพ์มือถือเครื่องสีทองของตัวเองส่งให้
“เดี๋ยวจะไปทำงานรอที่หอสมุด เสร็จเมื่อไหร่โทรเรียก”
“ไม่มีทาง กูไม่โทรหามึงแน่ ๆ” แคปยื่นมือจะไปกดปุ่มปลดล๊อคเจอเอสตีมือเสียงดังเพี๊ยะ
แคปถลึงตาใส่
“งั้นก็ตามใจ ไม่โทรเช็คว่าเครื่องตัวเองยังอยู่สุขสบายดีไหมก็เรื่องของมึง”
“กูเกลียดมึงที่สุดอ่ะ”
“ไม่ต้องบอกรักกูมาก เลี่ยน” เอสบอกแล้วกดปลดล๊อครถให้เอง
เขาตีคิ้วกวนๆผลักไหล่เล็กบอกลงไปได้แล้ว
แคปฟาดหลังมือใส่พุงเขาไปหนึ่งทีก่อนกระชากประตูเปิดออกอย่างแรง
“ไอ้เหี้ย กวนตีน ปัง!” แคปด่ากราดไว้ลงรถแล้วปิดประตูใส่หน้าโครมใหญ่
ก่อนที่เขาจะวิ่งเข้าไปหาเพื่อนตัวเอง
นึกขึ้นมาได้ว่าโทรศัพท์ไอ้บ้านั่นปิดเครื่องแล้วยัดเก็บไว้ในกระเป๋าดีที่สุด
.
.
“ขอบคุณครับ” เอสรับบัตรสแกนคืนจากพนักงานหอสมุด
ระหว่างเดินไปหาที่นั่งมุมประจำมีสายจากเมี่ยงโทรเข้ามาที่โทรศัพท์อีกเครื่องของเขา เอสบอกให้มาเจอกันที่ห้องสมุดชั้นสองได้เลย
เขาเลือกที่นั่งติดหน้าต่างด้านในริมสุดโต๊ะใหญ่ที่ยังว่างอยู่
วางข้าวของที่หอบมาลงบนโต๊ะ เปิดฝาพับโน๊ตบุ๊ค มองดูเวลาก่อนลงมือจัดการกับงานที่ยังค้างอยู่
สักประมาณเกือบสิบโมงคนเริ่มเยอะ
ที่นั่งเงียบๆกลับเริ่มจอแจไปด้วยนักศึกษาจากต่างคณะ
เอสลุกไปเลือกหยิบหนังสืออ้างอิงจากชั้นวางใกล้ ๆ
“อุ้ย! ขอโทษค่ะ”
เขากำลังจะหยิบหนังสือสันแข็งเล่มใหญ่ที่วางอยู่ชั้นบนสุด
แต่มือดันชนเข้ากับมือเล็กของผู้หญิงที่ยืนเขย่งเอื้อมจะหยิบเล่มที่อยู่ใกล้กัน เธอเสียหลักเซเข้าใส่เอสรับไว้แทบไม่ทัน
“ขอโทษจริงๆค่ะ ขอโทษอีกครั้ง..” เธอกุลีกุจอขอโทษ
เอสพยักหน้าบอกไม่เป็นไรพร้อมกับเอื้อมมือไปหยิบหนังสือเล่มนั้นมาให้ ก่อนดึงเอาเล่มที่ตัวเองต้องการออกมากำลังจะหันกลับ
แต่เธอกลับยื่นหนังสืออีกเล่มส่งให้เขาแทนแล้วยิ้ม
“ของอาจารย์ท่านนี้ออกเล่มใหม่แล้วล่ะ
เล่มที่นายถืออยู่นั่นเขียนไว้ตั้งแต่สามปีที่แล้ว เล่มนี้ใหม่กว่า
เรฟเฟอเร้นซ์ก็ดีกว่าด้วย”
“ขอบคุณครับ ลงเรียนวิชานี้เหมือนกันเหรอ..” เอสมองดูที่ปก
นึกสงสัยจึงถามขึ้น ถ้าอยู่คณะและปีเดียวกันเขากลับไม่คุ้นหน้าเธอเลย
“เปล่าหรอก แต่เราสนใจเรื่องงานออกแบบโครงสร้างน่ะ
ชอบยืมหนังสือแนวๆนี้ไปอ่าน แล้วนายเรียนอยู่วิศวะเหรอ”
“ใช่ครับ โยธา”
“ยินดีที่ได้รู้จัก เราเรียนนิเทศนะ
ปีสองแล้วกิจกรรมเยอะเป็นบ้ากว่าจะหาเวลามาทำสิ่งที่ชอบได้ แล้วนายอ่ะ อยู่ปีไหน
ปีสองเหมือนกันใช่ป่ะ”
“ใช่ครับ
ผมปีสองแล้ว”
“ว่าแล้วเดาถูกจริง ๆ
ตอนแรกเรานึกว่านายอยู่ปีหนึ่งแต่พอเห็นจับหนังสือเล่มนี้ก็รู้เลยดิ อ๊ะ แล้วจะเรียกกันยังไงดีล่ะ
เรากับนายงี้เหรอ..” เธอทำหน้าไม่ถูก เอสจึงส่งยิ้มไปให้
เห็นความเอ๋อบนใบหน้าใสๆของเธอแล้วทำให้เขานึกถึงแคปขึ้นมาหน่อยๆเหมือนกัน
“ไม่เป็นไรครับ เรียกยังไงก็ได้ ขอตัวนะ”
เอสเลี่ยงไม่ยอมบอกชื่อ เขาแค่พยักหน้าแล้วบอกขอตัว ก่อนเดินกลับไปที่โต๊ะตัวเอง
เขานั่งทำงานต่อสักพักจนกระทั่งเมี่ยงโทรเข้ามาอีกรอบ
เขาจึงสั่งให้เมี่ยงแวะซื้อลูกอมกับหมากฝรั่งแอบใส่กระเป๋าก่อนขึ้นมาด้วย เอสกดวางสายแล้วลุกขึ้นเดินไปที่ชั้นด้านหลังเมื่อนึกขึ้นได้ว่ามีหนังสือที่เขาต้องใช้อยู่ตรงนั้น
“หวัดดีครับพี่เอส..”
ขณะที่กำลังไล่สายตามองหาหนังสือที่ต้องการ เสียงนุ่มๆที่ทักขึ้นด้านหลัง
เรียกให้เขาหันไปมอง
“โชคดีจังครับ ไม่คิดว่าจะได้เจอกันที่นี่” คนทักยังเอ่ยต่อ
ใบหน้าน่ารักและสวยเกินกว่าผู้ชายทั่วไปส่งรอยยิ้มมาให้
เอสเลิกคิ้วขึ้นนิดๆเหมือนกำลังนึกทบทวนว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าชื่ออะไรสักอย่าง
“อย่าบอกนะครับว่าพี่ลืมผมไปแล้ว เราเพิ่งจะเจอกันวันก่อนเอง
ไบต์ไงฮะ น้องไบต์เภสัชที่แลกเบอร์กับพี่เมื่อวันก่อนไง”
“แลกเบอร์?” เอสทวนคำขึ้นทันที
จำไม่เห็นได้ว่าตัวเองไปแลกเบอร์ไว้กับใคร
“คิคิ ลืมจริง ๆ ด้วย
มิน่าล่ะไบต์โทรหาตลอดแต่พี่ไม่เคยจะรับเลยอ่ะ
เมื่อกี้ก็โทรนะครับแต่สงสัยว่าอยู่ห้องสมุดพี่เลยปิดเครื่องไว้ใช่ไหมฮะ”
เอสนึกออกในทันทีเมื่อฟังอีกคนพูดจาแบบนั้น มือถือเขาอยู่กับแคปทางนั้นน่าจะปิดเครื่องไว้แน่
ๆ อยากรู้เหมือนกันถ้าแคปรับสายเจ้าเด็กนี่แล้วจะเป็นแบบไหนกันนะ
เมื่อสัปดาห์ก่อนตอนที่เขาจะพาแคปไปนั่งเล่นริมน้ำนั่น มีสายโทรเข้ามาแล้วเขาบอกให้แคปรับให้เพราะอยากจะรู้ว่าแคปจะทำยังไง
แต่รายนั้นก็แค่กดตัดสายปิดเครื่องทิ้งไป
“เปล่านี่ครับ พี่ไม่ได้ปิดนะ” เอสชำเลืองมองที่โต๊ะใหญ่ริมสุดอีกด้านหนึ่งของชั้นหนังสือเยื้องกันกับโต๊ะของเขา
เด็กเภสัชกลุ่มของไบต์ที่เขาเจอที่ร้านอาหารวันนั้นทั้งกลุ่มรวมกับผู้หญิงคนที่เข้ามาทักเขาเมื่อกี้ก็น่าจะใช่
“ไบต์ไม่เชื่อหรอกฮะ จะบอกว่าพี่เอสตั้งใจไม่รับสายจากไบต์งั้นเหรอ”
คนตัวเล็กกัดริมฝีปากแล้วยิ้มเอียงหัวทำหน้าตาไร้เดียงสา
ไบต์คงพยายามน่าดูที่จะทำให้เขารู้สึกว่าทางนั้นน่ารักแต่ทว่าเอสกลับไม่ได้รู้สึกอะไรด้วยเลยสักนิด
ออกจะรำคาญมากเสียด้วยซ้ำ
เขาขยับหลบออกนิดหน่อยเมื่อคนตัวเล็กสาวเท้าเข้ามาใกล้
“ไบต์เสียใจนะ”
“แล้วเราไปได้เบอร์พี่มาจากที่ไหนครับ” จำได้ว่าไม่เคยให้ไป
ที่สำคัญเบอร์นั้นน้อยคนมากที่จะได้ ไม่เหมือนเครื่องสีดำที่เขาใช้อยู่นี้
เอสเดินกลับมานั่งลงที่โต๊ะตัวเอง ไบต์เดินตามมาด้วย
“ไบต์มีวิธีของไบต์ก็แล้วกันฮะ คืนนี้ถ้าไบต์โทรหาพี่เอสจะรับไหมล่ะครับ”
น้องคนนี้ช่างตื้อไม่เลิกจริง ๆ เอสถึงกับละสายตาจากหน้าจอคอมออกมาจ้องหน้า
ดวงตากลมสวยของคนตัวเล็กเปิดเผยท้าทาย
มองหน้าเขาแล้วส่งรอยยิ้มให้ “คืนนี้ไบต์จะโทรหาอีกนะฮะ”
น้องไบต์ขยิบตาใส่ด้วยแววเจ้าชู้ เอสถอนหายใจหนักๆหนึ่งครั้งก่อนเอนแผ่นหลังพิงพนักเก้าอี้
มองหน้าอีกคนอย่างระอา
ตอนแรกก็ว่าจะไม่ใจร้ายแล้วนะแต่ว่าแบบนี้ท่าทางจะสลัดได้ยากเขาจึงนั่งจ้องหน้าคนที่กล้าท้าทายสายตาของเขาอยู่
“พี่ไม่รู้นะครับว่าที่เราโทรน่ะเป็นเบอร์ไหน
แต่ถ้าเบอร์ที่ลงท้ายด้วย 333 นั่นล่ะก็ เบอร์นั้นเมียพี่ใช้อยู่ครับ”
“ห๊ะ! เมีย!?” ดวงตากลมโตเบิกขึ้นด้วยความตกใจ
แต่เอสกลับตอกย้ำคำพูดต่อจากนั้นให้ชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีก
“ใช่ เคยบอกไปแล้วนี่ว่ามี..”
“มะ...ไม่เชื่อหรอกครับ ก็ไบต์สืบมาดีแล้ว
พี่เอสเลิกกับเมย์ไปแล้ว ตอนนี้ยังไม่เห็นพี่ควงผู้หญิงที่ไหนเลยสักคน
ไบต์ไม่เชื่อเด็ดขาด พี่เอสโกหกไบต์ใช่ไหมฮะ แค่ไม่อยากให้ไบต์มากวน” ใบหน้าเล็กเชิดใส่ด้วยความมั่นใจ
เขามั่นใจว่าข้อมูลของตัวเองหามาดีแล้วแน่ๆ จะผิดพลาดได้ยังไง
เพราะแฟนเก่าเอสตอนนี้ควงอยู่กับรุ่นพี่สถาปัตย์ที่เคยมาก้อร่อก้อติดเพื่อนเขาอยู่
และเพื่อนทุกคณะที่เขารู้จักคอนเฟิร์ม พี่เอสภาคโยธายังไม่ได้เริ่มคบกับใครใหม่
“ไบต์ไม่เชื่อ”
“มันไม่จำเป็นที่คำว่าเมียต้องเป็นผู้หญิงไม่ใช่เหรอครับไบต์
บางทีคนที่เราเห็นว่าพี่ไปไหนมาไหนด้วยคนนั้นอาจจะเป็นคนสำคัญของพี่ก็ได้นะ”
“......” น้องไบต์เม้มริมฝีปากแน่นบอกตัวเองว่าไม่เชื่อเด็ดขาด
เขาเงียบกริบไป ขณะที่เอสถอนหายใจแล้วส่ายหัวอย่างเบื่อหน่าย
ก้มลงสนใจงานของเขาต่อ
รู้ทั้งรู้ว่าสายตาจากคนตรงหน้ากำลังจ้องเขาแน่นิ่งอยู่ราวกับไฟลุก
อาจจะโกรธมากๆที่เขาไม่เปิดโอกาสอะไรให้เลย
ช่วยไม่ได้กับคนที่ไม่มีความรู้สึกว่าจะต้องแคร์ เขาไม่เคยคิดใส่ใจ
มันก็อาจจะมีบ้างบางคนที่มีอะไรดึงดูดและทำให้เขาสนใจได้
แต่สำหรับบางคนที่วิ่งเข้าหาเขาก่อนส่วนมากมักไม่ได้รับความสนใจอะไรจากเขาเลย
หน้าตาอย่าไปพูดถึง เอาเข้าจริงเวลาเลือกว่าจะคบไม่เคยตัดสินคนจากตรงนั้นเลย
ถึงแม้ว่าจะบังเอิญได้ควงแต่สาวสวยเซ็กซี่มาตลอดก็ตาม
แต่คนปัจจุบันของเขาแบนสุดๆทั้งหลังทั้งหน้าไม่มีที่จะให้ติเพราะไม่มีอะไรให้มองได้เลย
หึหึ
“ถ้าอย่างนั้นไบต์ขอถามพี่อย่างนึงได้ไหมฮะ”
“..........” เอสเงยหน้าขึ้น
เขาเลิกคิ้วบอกเป็นนัยว่าอีกฝ่ายจะพูดจะถามอะไรก็ให้รีบเลย
“คนที่พี่เอสเรียกว่าเมียน่ะ ผู้หญิงหรือผู้ชายครับ?”
ไบต์ใช้น้ำเสียงจริงจังถามอย่างไม่มีกลัว เอสขยับตัวนิดๆ หยิบปากกาขึ้นมาหมุนใส่มือเล่น
นี่ถ้าเขายังไม่มีอะไรกับแคปนะไอ้เด็กนี่โดนเขาถีบตกเก้าอี้ไปแล้ว
แต่ไม่น่าเชื่อว่าหลังจากได้รู้จักกับแคป บางสิ่งบางอย่างในใจเขาเริ่มเปลี่ยนไป
นั่นคือความรู้สึกกับผู้ชาย ไบต์เป็นคนที่ถือว่าสวยนะ หน้าตาดี
แต่น่าเสียดายที่เขาไม่มีความรู้สึกว่ามันน่าสนใจที่จะให้เฝ้ามอง ต่างจากแคปที่ทั้งน่าแกล้งน่าค้นหา
จะว่าไปกับผู้ชายคนอื่น ๆ เขาก็เฉย ๆ นะไม่มีความรู้สึกเหมือนที่มีให้กับแคปปะปนอยู่เลย
เอสพยักหน้าเบา ๆ เมื่อเข้าใจความรู้สึกของตัวเองยิ่งขึ้น
เขาค่อยเลื่อนสายตามองดูคนตรงข้าม เห็นไบต์จ้องหน้าเขายกใหญ่
คงจะรอฟังคำตอบชัดๆจากปากของเขาเอง
“ว่าไงล่ะครับ คนๆนั้นของพี่ ผู้หญิงหรือผู้ชายฮะ”
‘ผู้ชาย’ เอาขยับริมฝีปากช้าๆชัดๆทว่าไร้เสียง
แต่แทนที่อีกฝ่ายจะตกใจหรือโกรธ ไบต์กลับอมยิ้มแสดงท่าทีราวกับว่า
พออกพอใจมากหลังจากที่ได้ฟังคำตอบนั้น เอสจึงเหลือบมองอย่างสงสัย
“ไบต์กำลังคิดว่าไบต์มีโอกาสฮะ
ถ้าพี่เอสให้โอกาสผู้ชายคนอื่นได้ แสดงว่าไบต์ก็ต้องมีโอกาสด้วย”
“ใครบอกครับว่าน้องมีโอกาส” เอสแสยะยิ้มกวนตีนสวนขวับขึ้นทันที
คำว่าโอกาสที่เขายังไม่แม้แต่จะคิดหยิบยื่นให้ อีกฝ่ายคิดได้ยังไงว่าตัวเองมี
น่าขัน
“แต่ไบต์สามารถทำให้พี่พอใจได้ทุกๆอย่าง
ถ้าพี่เอสให้โอกาสไบต์ได้เป็นผู้ชายอีกคนที่พี่คิดจะควงด้วยไบต์สัญญาฮะว่าไบต์จะ....”
“ไม่ต้องสัญญาหรอกครับ เพราะว่าพี่ไม่ได้ชอบเราเลย เข้าใจนะ
จบใช่ไหม” เอสพูดดักคอไว้ก่อนอีกคนจะเอ่ยถ้อยคำไร้ค่าไปมากกว่านี้
หน้าตาดีใช้ได้แต่นิสัยแบบนี้ไม่เข้าทางเขาเลยให้ตายเหอะ
“พี่เอส!”
“พี่จะทำงาน
เพื่อนเราคงจะรอนานแล้วนะมานั่งกับพี่ตรงนี้นานๆไม่ดีหรอก” เอสไล่ตรงๆตัดรอนไม่อ้อมค้อม
แต่น้องไบต์ยังไม่ยอมลุกขึ้น เขายื่นใบหน้าเล็กเข้าหาอีกฝ่ายใกล้ยิ่งขึ้นไปอีก
ท้าทายไม่เลิก
“ใครเหรอครับ
ผู้ชายที่พี่เอสยอมรับว่าชอบแล้วก็กำลังคบกันอยู่น่ะ” น้ำเสียงเย็นเยียบจากคนตรงข้ามทำให้เอสที่ไม่อยากจะสนเงยหน้าขึ้นมองอีกครั้ง
ไบต์ถึงขนาดข่มมือลงที่หน้าจอเครื่องคอมของเขาด้วย
“มันจำเป็นตรงไหนที่พี่ต้องบอกเราล่ะ”
“ถ้าไม่บอกแสดงว่าไม่มีใช่ไหมล่ะฮะ..”ไบต์ต่อคำขึ้นอีก
เอสถึงกับถอนหายใจหนักๆ จ้องมองคนที่ตื้อเขาไม่ยอมเลิก ขณะที่อีกด้าน
เคาน์เตอร์ทางเข้าเมี่ยงกำลังเดินยิ้มมาจากที่ไกลๆ
พอเห็นเอสนั่งอยู่โต๊ะเกือบท้ายสุด รายนั้นโบกไม้โบกมือให้
“อ้าวอยู่กับใครล่ะเนี่ย..”
เมี่ยงเข้ามาถึงก็วางหนังสือเหวี่ยงกระเป๋าลงแล้วหันไปยิ้มให้รุ่นน้องที่นั่งอยู่ด้วย
ก่อนดึงเก้าอี้ตัวข้าง ๆ เอสออกมาแล้วทิ้งก้นนั่งลงไป ไบต์ค้อมหัวให้กล่าวสวัสดี
“หวัดดีครับน้อง เคยเจอกันป่ะเนี่ยหน้าคุ้นๆอยู่นะ อ่ะเอาไปนี่ของมึง..” เมี่ยงทักทายพอเป็นพิธี
จากนั้นล้วงลูกอมหมากฝรั่งขึ้นมาจากกระเป๋าแล้วยื่นส่งให้เพื่อน
เขาเห็นแล้วรู้ทันทีว่าเอสกำลังอารมณ์เสียอะไรสักอย่างอยู่ นึกไปนึกมาจำได้แล้วว่าเคยเจอเด็กคนนี้ที่ไหน
กลอกตาอีกหนึ่งครั้งมองสบตาเอสอย่างรู้กัน
เมี่ยงแสยะยิ้มเล็กน้อยก่อนแกะอมยิ้มแล้วยัดใส่ปากเอส
ไบต์เห็นถึงกับอ้าปากเหวอมองหน้าเอสกับเมี่ยงสลับกัน
“กูเหนื่อยนะเนี่ย เฮ้อร้อนๆๆๆ”
เมี่ยงพิงหัวเข้ากับไหล่แกร่งแล้วบอกทั้งร้อนทั้งเหนื่อยที่โดนเอสใช้ไปซื้อลูกอมกว่าจะได้ขึ้นมา
เอสยื่นมือจะมาผลักหัวเล็กออกแต่เมี่ยงกลับคว้าเอามือใหญ่ของเอสมาจับและกุมไว้
“หวงไรวะ กูจับไม่ใช่คนอื่นสักหน่อย..”
แกล้งทำท่าจะยกหลังมือใหญ่ขึ้นมาจูบ เอสเบ้หน้ารีบผลักเมี่ยงออกแทบไม่ทัน
เมี่ยงแกล้งทำหน้างอน ๆ ช้อนสายตาบอกว่าโกรธ
“พี่เอสฮะ อย่าบอกนะว่าพี่...กับ...เอ่อ..พี่เมี่ยง....” ไบต์มองท่าทางที่สองคนแสดงใส่กันแล้วอ้าปากค้าง
สิ่งที่สงสัยติดอยู่ในใจถูกไขคำตอบโดยคนตัวเล็กผู้มาใหม่
“ใช่แล้วครับน้องไบต์ พี่กับไอ้เอสคบกันอยู่
ทีนี้ก็เลิกตามแฟนพี่สักทีนะ เห็นตั้งแต่ครั้งที่แล้วเรานี่ช่างตื้อใช้ได้เลยนี่
มีโทรหาด้วยใช่ไหม
พี่มันคนใจกว้างครับถ้าน้องเสนอมาก็ไม่อยากจะให้แฟนพี่มันหักหาญทำลายน้ำใจกัน
แต่เห็นน้องตื้อไม่เลิกแบบนี้แล้ว ตรงๆเลยครับพี่รับไม่ได้นะ ตัดใจซะเถอะน้อง พวกพี่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กถึงจะเพิ่งมาตัดสินใจคบกันตอนนี้
แต่ก็นะ...มันก็มั่นคงเกินกว่าที่จะมีใครมาแทรกได้ละกัน”
“จะ...จริงเหรอครับพี่เอส
คนที่พี่คบอยู่คือพี่เมี่ยงเพื่อนพี่จริงๆน่ะเหรอ..”
ไบต์ตกใจถึงขนาดยืนขึ้นพึมพำไม่รู้สึกตัว
เขามองหน้าเมี่ยงที่แกล้งเอามือสอดเข้าไปควงแขนเพื่อนตัวเองแล้วซบจนแน่น
เอสเงยหน้ามองรุ่นน้องที่ยืนอึ้งอยู่ ไม่อยากจะโกหกนะแต่จะให้บอกว่าตัวจริงคือใครก็ไม่ใช่เรื่องอีก
“พี่เอสบอกมาสิฮะ ถ้าออกมาจากปากพี่ไบต์จะเชื่อ..” ดวงตากลมสั่นระริก
มันเริ่มแดงก่ำจนทั้งเอสทั้งเมี่ยงลอบคิดอยู่ในใจเหมือนกัน คือ อย่าร้องนะเว้ย
“พี่เอสฮะ?”เสียงเล็กเรียกขึ้นอีก
บีบจะให้เขาตอบออกมาจากปากให้จนได้ แต่เอสกลับส่ายหัว
“ไม่เกี่ยวกับเรา พี่จะคบกับใครไม่จำเป็นต้องบอก
เราสำคัญอะไรกับพี่ล่ะ”
“พี่เอส..” ไบต์พึมพำเมื่อเจอคำพูดไร้ความปราณีแบบนั้น
คนที่เพอร์เฟคทุกอย่างแบบเขาจำเป็นอะไรต้องมายืนดูผู้ชายใจร้ายหนึ่งคนพูดใส่หน้ากันขนาดนี้
แล้วยังไอ้ท่าทีของคนข้าง ๆ นั่นอีก
ไบต์แทบจะขยี้ปลายเท้าเขากำมือแน่นโกรธมากใจสั่นไปหมด เพื่อนที่โต๊ะข้าง ๆ
เห็นท่าไม่ดีรีบเดินเข้ามา
“ไบต์ ไม่เอา พอ กลับเหอะ”
เสียงเพื่อนผู้หญิงที่เดินเข้ามาแตะไหล่บางเรียกขึ้น
“ขอโทษนะคะพี่ๆ หนูขอโทษแทนเพื่อนหนูด้วย”
เธอดึงแขนไบต์แล้วพยักหน้าบอกให้กลับ มีเพื่อนอีกสามคนเดินเข้ามาสมทบ
หนึ่งในนั้นเป็นผู้ชายหน้าตาน่ารักพอๆกับไบต์แต่เตี้ยกว่าอีกหน่อย
ไบต์ทำสีหน้าไม่พอใจแต่สุดท้ายเขาก็พยักหน้าตกลง คล้ายกับคนเพิ่งตั้งสติได้
“ผมไปแล้วนะครับพี่เอส ขอบคุณมากที่ให้ความกระจ่าง
ขอบคุณมากฮะพี่เมี่ยงที่ช่วยให้ผมได้ตาสว่างสักที พวกพี่เหมาะสมกันมากจริง ๆ” ไม่รู้คำขอบคุณหรือคำด่าแต่ที่แน่
ๆ ประชดไปสิบส่วน
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ว่าแต่แฟนพี่ๆก็หวงนะ
น้องจะทำอะไรก็เอาแค่พองาม ตื้อมากๆไม่ใช่ว่าผู้ชายเขาจะชอบ จริง ๆ
เราเองก็น่าจะรู้นี่เนอะไบต์..” เมี่ยงปั้นยิ้มหวานกลับไปให้ เอสหันมองอย่างแปลกใจ
ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเมี่ยงมันจะเล่นอะไรได้สมจริงสมจังมากขนาดนี้
“หึ ขอบคุณครับที่เตือนสติ
แต่บางทีอะไรๆที่ได้มายากๆมันโคตรท้าทายเลยไม่ใช่เหรอฮะ”
“ไบต์!” เพื่อนน้องเขาปรามขึ้นอีกเมื่อเห็นว่าไบต์ยังไม่ยอมลง
เมี่ยงเชิดหน้าเล่นละครต่อไป
“น้องไบต์คิดว่าพี่เอสท้าทายน่ะมันก็ใช่
แต่ลองมองในมุมกลับกัน พี่เอสเขาไม่คิดว่าน้องท้าทายเลยแม้แต่นิดเดียวนี่สิปัญหา”
“ที่สำคัญยังมีพี่อยู่อีกคนนึงด้วยใช่ไหมล่ะฮะ” ไบต์ประชดประชันต่อรูปประโยคของเมี่ยงให้สมบูรณ์
“ก็นะ...”
หัวเล็กซุกลงที่ไหล่เอสอีกครั้งตอกย้ำว่าตัวเองคือคนสำคัญ เขาตีคิ้วกวน ๆ
ส่งให้ไบต์ยั่วโมโหแต่รุ่นน้องกลับควบคุมสติอารมณ์ได้ดีกว่าที่คาด
“ไปจริง ๆ แล้วครับ วันนี้ไบต์สนุกมาก ขอบคุณนะฮะ..”
ไบต์ยิ้มเหี้ยมบอกไว้แค่นั้นก่อนที่เขาจะเดินหันหลังเชิดหน้าออกไปกับกลุ่มเพื่อน
“กูไม่ยอมแพ้บอกเลย”
เสียงเล็กพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยอารมณ์ขุ่นคลั่ก
เพื่อนทั้งกลุ่มต่างหันมองแล้วตบลงที่บ่าบอกให้ใจเย็น
ดันแผ่นหลังเล็กของไบต์ให้เดินกลับไปนั่งที่โต๊ะ
ริมฝีปากเล็กขบแน่นด้วยความคับแค้น
“กูไม่ยอมแพ้” เขาพูดขึ้นอีก
เม้มปากแน่นจนเพื่อนต้องเอื้อมมือมาบีบมือเล็กไว้
“จะอะไรกันนักหนาวะไบต์มึง
พี่เอสของมึงกูว่าเขาหยิ่งจะตาย
ดูดิ มึงให้ท่าขนาดนั้นพี่เขายังไม่สน มึงจะไปอะไรกันวะกับคนแบบนั้น
ต้องแย่งแม่งทั้งกับผู้หญิงผู้ชาย ยากเย็นขนาดนี้กูว่ามึงเลิกคิดเหอะ”
“ใช่ ๆ
แล้วก็นั่นน่ะพี่ตัวเล็กๆนั่นแฟนชัวร์กูก็บอกแล้ววันนั้นมึงยังเถียง เห็นไหม
หน้าแหกเจอแฟนเขาตอกกลับมามึงอายป่ะล่ะอิไบต์เอ๊ย
คนมาชอบดีๆมึงไม่เอาไปอยากได้ทำไมวะคนมีเจ้าของแล้วแบบนั้น”
“อายตรงไหน ไม่เห็นอาย
ดีใจซะอีกพอกูรู้ว่าพี่เขาคบผู้ชายกูนี่ดีใจจนเนื้อเต้นเลยนะ”
“เว่อร์ พูดอะไรของมึง”
“ทำไม กูคิดว่ากูมีโอกาสไง” ไบต์เชิดหน้าใส่เพื่อนตัวเอง
พูดในสิ่งที่ตัวเองคิดหมดเปลือก แต่เพื่อนกลับไม่เห็นด้วยสักนิด
“ก็แค่หล่อละวะนิสัยอาจจะแย่
ฟังแค่ที่เขาพูดกับมึงไม่เห็นเขาจะแคร์เหี้ยไรมึงเลย กูไม่ชอบอ่ะ นิสัยต้องไม่ดีแหง
ๆ”
“แค่หล่อก็พอแล้วอิเหี้ย พี่เขาแค่หล่อกูก็ยอมแล้ว
ยอมทุกอย่างยอมหมดเลย แบร่..” ไบต์ยื่นหน้าเข้าไปเถียงแบบแรดๆ
ยังอยู่ในห้องสมุดจะทำเสียงดังก็ไม่ได้
“เออ อิทาส มึงยอมอยู่คนเดียวเนี่ยจะปีแล้ว
เปิดใจไปมองคนอื่นบ้างสิ ดูอย่างพวกกูมึงรู้ป่ะตอนนี้เป้าหมายใหม่กูคือใคร”
“ใครวะ”
“รุ่นพี่เรียนเกษตร หล่อซ้า
พูดแล้วแก้มจะแตกแค่กูนึกถึงหน้าพี่เขากูก็ยิ้มแล้ว
วันก่อนเจอใส่กางเกงบอลเลือกซื้อของอยู่ในเซเว่นตอนตีสองอ่ะมึง หน้าสดๆ
หัวยุ่งน่ารักม๊ากกกกมาก กูคิดว่ากูรู้จักคอนโดพี่เขาด้วย”
“เหรอ ชื่อไรวะ”
“ชื่อแคปไง
หล่อขาวเท่โคตร ไม่หยิ่งเหมือนพี่เอสมึงหรอก กูกดฟอลโล่ไอจีพี่เขาแล้ว
ลงเม้นต์ไปด้วยพี่เขากดไลท์ให้กูน่าร๊อคอ๊ะ เสียด๊ายเสียดายพี่เขาไม่เล่นเฟส
ทวิตก็ไม่มีนะกูสืบหมดแล้ว”
“จริงดิ คนไหนวะ เอารูปมาดูดิ๊”
“คนนี้ไง คนนี้ๆ” โทรศัพท์มือถือถูกหยิบขึ้นมากดเข้าไอจีเปิดรูปภาพบุคคลที่พวกเขาทั้งกลุ่มพูดถึง
เสียงสครีมของหญิงสาวเจ้าของเครื่อง
กับท่าทางตลกๆ
“เชิญคุณลงทัณฑ์บัญชา จนสมอุราจนสาแก่ใจ กูยอมแล้วกูยอมพี่เขาทั้งตัวทั้งใจเลยจริง
ๆ”
“อิบ้า มึงเข้าใจกูแล้วใช่ไหมทีนี้”ไบต์ตีเพื่อนไปเบา ๆ
ทั้งหมดนั่งขำแล้วเม้ามอยกันต่อ
ขณะเดียวกันโต๊ะที่เอสกับเมี่ยงนั่งอยู่นั้นสามารถมองเห็นเด็กกลุ่มนั้นผ่านช่องว่างบางส่วนของชั้นหนังสือ
เมี่ยงถึงกับพ่นลมหายใจหนักๆออกมาทันทีที่สาวๆรวมถึงอิน้องไบต์กลับไปนั่งคุยจ้ออยู่ที่โต๊ะเดิมของตัวเองได้
เขาแอบมองจนคอยืดคอยาวก่อนหันกลับมาหาเพื่อนสนิทตัวเอง
“เหยยยยยร้ายยยยยยยยย ไอ้เอส
มึงติดค้างกูหนึ่งเรื่องวันนี้รับผิดชอบอาหารเย็นกูด้วยนะเว้ย” เมี่ยงดึงชี๊ตปึกใหญ่ของเอสออกมาไล่ดูรายการที่ต้องทำ
แต่เห็นเอสเงียบไปเขาจึงค่อยชำเลืองตาเงยหน้ามองเจอสายตาคมกริบนั่งกอดอกจ้องเขาอยู่
“มองทำไมวะ กูช่วยชีวิตมึงเลยนะนั่น
คนแบบนั้นขืนมึงได้มาควงกูที่เป็นเพื่อนคงอกแตกตายก่อนแหง..”
“ใครขอให้ทำล่ะ..” เอสบอกออกไปแบบง่าย ๆเมี่ยงมองเขาทันที
“ก็เห็นมึงโดนตื้อซะขนาดนั้นกูก็ช่วยดิวะ”
“ทีหลังไม่ต้องช่วยสมจริงสมจังขนาดนั้นหรอกว่ะ
ฟังมึงพูดแล้วกูขนลุกเลยสัส” เอสส่ายหัวว่าเรียบ ๆ
เริ่มหันมาสนใจงานในเครื่องของตัวเองต่อบ้าง
เมี่ยงเองก็กดเปิดเครื่องโน๊ตบุ๊คของตัวเองขึ้นด้วย
“มึงชอบผู้ชายรึเปล่าวะ ไอ้เอส” จู่ ๆ เมี่ยงถามขึ้น
เอสชะงักนิดๆแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมาย
“ตั้งแต่เรารู้จักกันมามึงยังไม่เคยมีประวัติคบผู้ชายเลยสักคนนะ..”
“ก็ไม่ได้รังเกียจอะไรนี่”
“ไอ้ชิพมันบอกกูว่ามึงได้ทั้งหญิงทั้งชาย บอกกูซิจริงรึเปล่า”
“ก็นะ ยังไงก็ได้กูไม่ได้สนใจตรงนั้นน่ะ ถ้ากูถูกใจ
ถึงจะเป็นผู้ชายกูก็รัก”
“.........” ทันทีที่คำตอบของเพื่อนรักจบลง
เมี่ยงหันขวับมาจ้องเสี้ยวหน้าที่กำลังเคร่งเครียดกับงานบนหน้าจอ
ชั่วขณะหนึ่งเอสเหมือนจะไม่ได้รับรู้เลยว่าเพื่อนตัวเองกำลังคิดอะไรแบบไหนอยู่
“แล้วคนล่าสุดของมึงล่ะ ผู้หญิงหรือผู้ชายวะบอกกูได้ไหม..”
“........” คราวนี้เป็นเอสที่หันกลับมามองหน้าคนถาม
เมี่ยงจ้องหน้าเขานิ่ง เขาเองก็จ้องกลับไปนิ่ง ๆ เหมือนกัน
“ตั้งแต่เราคบกันมาผู้หญิงของมึงทุกคนกูต้องสแกนให้ทั้งหมดเลยนะ
มีแต่คนล่าสุดนี่แหละที่มึงยังเก็บซ่อนเป็นความลับอยู่ ไหนบอกกูซิ
คนใหม่ของมึงผู้ชายใช่ไหมวะ”
“...........”
“กูไม่ได้รังเกียจหรือคิดมากนะเว้ยบอกให้รู้
แค่อยากจะถามดูให้แน่ใจแค่นั้น บอกกูไม่ได้จริงๆเหรอวะเพื่อน”
“มึงอยากรู้จริงเหรอ..”
“อือ จริง”
“เดี๋ยววันหลังจะพาไปเจอ”
ทั้งสองคนนั่งทำงานยาวไปจนถึงช่วงบ่าย
อาหารไม่ต้องออกไปกินเพราะมีขนมปังที่เมี่ยงแอบซื้อใส่กระเป๋ามาตุนไว้
นั่งไปสักพักจนจะบ่ายสอง กลุ่มของเต้พี่รหัสเดินเข้ามาทัก
“ไงพวกมึง ขยันกันดีนี่หว่า”
“หวัดดีครับเฮียๆๆๆๆแล้วก็เฮียเต้คนสุดท้ายเพราะว่าหล่อสุด..”
เมี่ยงแซวไปอย่างที่เคยทำเจอเต้ตีหัวเบา ๆ มาหนึ่งที คนอื่น ๆ
แยกย้ายไปหาหนังสือเหลือแค่เต้กับรัฐ
“ทำเปเปอร์อะไรกัน แล้วไอ้ชิพกับไอ้บุ้งไปไหนกันน่ะ
ทุกทีต้องเห็นสี่คนนี่..”
รัฐถามขึ้นเมี่ยงเลยบอกว่าชิพกับบุ้งนัดกันไปเอาของกับเพื่อนอีกคน
เดี๋ยวเย็นๆค่ำๆก็จะมาเจอกัน
รัฐมองดูเอสที่กำลังง่วนกับการนั่งพิมพ์อะไรอยู่สักอย่าง
“โทรหาใครวะ”
รัฐหันไปถามเพราะเห็นเต้เอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรออกแล้วทำหน้ายุ่ง
ขณะเดียวกันเสียงโทรศัพท์เอสกลับดังขึ้นไม่ยอมหยุด
เขาแทบไม่รู้สึกตัวจนกระทั่งเมี่ยงสะกิดบอกมือถือมึงดังนั่นแหละเอสถึงนึกออกว่าเป็นเสียงเรียกเข้าจากมือถือของแคปที่เขายึดเอาไว้เมื่อเช้า
เอสยกขึ้นมาดูใช้หนังสือบัง
แน่นอนว่าสิ่งที่ทำให้ตกใจยิ่งกว่าเก่าคือชื่อคนที่เรียกเข้าดันเป็นชื่อ
ลาเต้ พี่รหัสของเขาเอง เอสชำเลืองมองไปที่คนยืนกดมือถือต่อสายโทร
เต้ท่าทางหงุดหงิดนิดๆเขากำลังบ่นกับรัฐว่าแคปมันไม่รับสาย
“น้องไม่ได้ยินมั้ง”
“ไม่ได้ยินเหี้ยไร กูโทรห้ารอบแล้ว
อ้าวไอ้เอสโทรศัพท์มึงดังรับสักทีสิวะ” เต้ตอบรัฐเสร็จหันมาหาเอสชี้บอกมือถือดังรับสิ
เมี่ยงเองก็งงบอกไปแล้วแต่เอสก็ยังทำเฉย
“รับดิวะมึง” เมี่ยงบอกอีก เอสส่ายหัวบอกขี้เกียจรับ
พวกช่างตื้อน่ะ ทุกคนเลยถึงบางอ้อ
เสียงเรียกเข้าก็ดังไม่หยุดและมันก็หยุดลงตอนที่เต้ตัดสินใจต่อสายโทรหาปอแทน
พอทางนั้นรับสายเต้จึงเดินออกไปนั่งคุยที่โต๊ะตัวเองหน้ายุ่ง
ขณะที่รัฐบอกกับเอสและเมี่ยงว่าขอตัวเพราะจะมานั่งทำงานเหมือนกัน
“มึงใช้ซัมซุงเมื่อไหร่วะไอ้เอส”
“ห๊ะ?”
“ปกติใช้แต่ไอโฟน สองเครื่องของมึงไอโฟนทั้งคู่
ไหงวันนี้เป็นซัมซุงมาได้อ่ะ ไหนดูดิ๊”
“ยุ่งน่า” เอสปัดมือเมี่ยงออกแล้วบอกห้ามยุ่ง อีกฝ่ายหรี่ตามองทำท่าจะไปแย่งมาดูอีกครั้งเอสเลยชี้หน้าแล้วล๊อคคอบอกให้ทำงานต่อได้แล้วเมี่ยงยู่ปากใส่
เขาสองคนนั่งทำงานต่อไปจนเกือบจะลืมเวลา บรรดานักศึกษาโต๊ะข้าง ๆ
เปลี่ยนหน้าไปแล้วสองชุด ท้องฟ้าด้านนอกเริ่มครึ้มลง เมี่ยงลูบท้องบอกหิวน้ำ
เอสถึงได้เงยหน้าขึ้นมองดูเวลา
“บ้าฉิบ!” เขาสบถเบา ๆ
ลุกขึ้นเดินไปอีกฝั่งของห้องใช้ชั้นหนังสือบังแล้วเอามือถือแคปกดโทรเข้าเบอร์ตัวเอง
ตอนที่หารายชื่อคำว่า สามีสุดหล่อ นั้นไม่มีแล้ว
ชื่อใหม่เบอร์เดิมที่ถูกบรรจุลงไปคือคำว่า ห้ามรับจากไอ้ตัวซวย เอสถึงกับขำ ห้ามรับจากไอ้ตัวซวยงั้นเรอะ
ห้ามรับแต่ก็กดรับทุกครั้ง หึหึ
นี่คือข้อดีของแคปที่ทำให้เขารู้สึกว่ามันน่าแกล้งดีจริง ๆ
เขากดต่อสายสามครั้งคือไม่ติดทุกครั้งแน่นอนแล้วว่าแคปปิดเครื่องเขาทิ้ง
เผลอๆโยนลงน้ำหมักวัชพืชเน่าอย่างที่มันเคยพูดแล้วด้วยซ้ำ
เขาจึงโทรหาปอแล้วถามเวลาเลิก ปอบอกกลับมาว่ากำลังจะเลิกกันแล้วถ้าจะมารับให้ออกมารอเลย
เอสเดินกลับไปที่โต๊ะบอกเมี่ยงเก็บของ ก่อนที่สองคนจะเดินลงมาที่ลานจอดรถด้านหน้า
.
.
“ไอ้แคป เฮียเต้โทรมา..” ปอเดินมายื่นมือถือส่งให้
แคปกำลังง่วนอยู่กับการเทน้ำจากถังหมักลงในกระป๋องฉีดเพื่อกำจัดแมลง เป็นน้ำชีวภาพที่พวกเขาผลิตและคิดค้นขึ้นเองปลอดภัยไม่เป็นอันตราย
แคปรับเอาโทรศัพท์จากเพื่อนไปคุย ปอจึงทำงานแทน คุยได้แค่แปปเดียวก็เอามาส่งคืนให้
ปอทำหน้างง
“มือถือมึงอ่ะ
เฮียเต้โวยใหญ่บอกว่าโทรหาตั้งหลายรอบมึงไม่ยอมรับเลย”
“อือกูไม่ได้เอามา..”
“ลืมเหรอวะ” ปอยังซื่อได้อีก แคปเหล่มองแล้วยักไหล่
“หมามันเอาไปไง มันจะเอาแดกแทนข้าวเที่ยงมั้งสัส
มึงก็รู้อยู่แล้วไอ้บ้านั่นมันกวนประสาทกูขนาดไหน..”
คำตอบของแคปทำให้ปอพยักหน้ารับรู้ทันที แบบนี้แย่ว่ะ ถึงกับยึดมือถือกัน
ท่าทางไอ้เอสอาการหนัก
“มองเหี้ยไร..” คนถามอารมณ์เสียสุด
ปอดึงแคปเข้ามากอดคอไว้บอกเปล่าๆก็แค่มอง
อาร์ที่อยู่ข้างๆจึงยื่นหน้าเข้ามาขอฟังด้วย
“บอกกูด้วยดิวะ ใครคือหมาตัวนั้นที่เอามือถือไอ้แคปไปเหรอ
ใช่คนที่มาส่งมึงเมื่อเช้ารึเปล่า โอ๊ย!!” อาร์ยังพูดไม่ทันจบดีเจอแคปจับเอากระกร้าอะไรสักอย่างแถวนั้นโยนใส่ พวกผู้หญิงขี้โวยวายบ่นแคปจนหูชาหาว่าเอาของที่ใช้ทำงานไปเล่นมั่วซั่ว
แคปไม่ขอโทษแต่ก้มลงไปกอดคอแล้วจี้เอวหยอกแทน
กลุ่มผู้หญิงปากมากทั้งกลุ่มเงียบกริบ จริง ๆ
พวกเธอชอบแคปมากนะเพราะว่าหน้าตาคือที่สุดของเกษตรแต่แคปมันเป็นพวกเจ้าชู้ เพื่อน
ๆที่รู้ไส้รู้พุงกันดีจึงไม่ค่อยมีใครอยากได้มาไว้ในครอบครองเลยสักคน กลัวเสียใจ
หึหึ
“ไอ้ปอมึงดูดิ แคปมันทำกูน่ะ”
อาร์แกล้งเบะปากจะร้องไห้ปอเลยแกล้งบอกโอ๋ๆๆ
สองคนทำตัวน่าหมั่นไส้เจอแคปถีบส่งมาทั้งคู่
สามคนไล่เตะกันไปทำงานกันไปโดนคนอื่นๆบ่นกันต่อไปอีก จนในที่สุดแดดร่มลมตกเวลาเย็น
ๆ ช่วยกันขนอุปกรณ์ออกจากสวนไปไว้ที่โรงเก็บเครื่องมือ
ปอรับสายเรียกเข้าจากใครสักคน
“สวัสดีครับ” เขาพูดเสียงสุภาพ
เพราะยังไม่รู้ว่าใครที่โทรเข้ามา
(ไม่ต้องสุภาพกับกูขนาดนั้น พวกมึงเลิกกี่โมงวะ)
เสียงนี้ทำเอาปอแทบอยากเขวี้ยงมือถือใส่หัวคนถาม รู้แล้วว่าทำไมแคปถึงได้โมโหมันนักเวลาที่คุยกันแต่ล่ะที
โคตรกวนตีน
“จะเลิกแล้ว มึงมีไร”
(ไม่ได้มีธุระกับมึงหรอก บอกแคปเปิดเครื่องกูดิ่
โทรเข้าไม่ติดเลยว่ะ..)
“เครื่องมึง แล้วเกี่ยวไรกับเพื่อนกูวะ”
(เครื่องกูอยู่กับมันแล้วเครื่องมันก็อยู่กับกู ชัดมะ
พวกกูแลกกันใช้มึงเก็ตยัง..)
“อ่อๆ”
ปอพยักหน้าบอกเข้าใจไปแบบงงๆคุยกับเอสเหมือนเขาโดนสะกดจิต
ถ้าใจไม่แข็งพอโดนมันครอบงำได้ง่าย ๆ
มิน่าไอ้แคปเพื่อนเขานับวันเอ๋อๆมันใกล้เพี้ยนแล้วแน่ ๆ ทั้งสองคน เขาคิดว่า
(บอกแคปด้วยให้รออยู่ที่นั่นเดี๋ยวกูเข้าไปรับ) เอสกรอกเสียงลงมาอีก
“มันไม่รอมึงหรอก มึงก็รู้นิสัยมันอยู่”
(บอกมันว่า ถ้าไม่รอก็ไม่ต้องเอามือถือคืน)
“มึงพูดกับมันเองเหอะ
ไอ้แคป แฟนมึงโทรมาว่ะ..”
ปอบอกคนในสายจากนั้นตะโกนเรียกแคปที่เดินแบบจอบอยู่ไม่ไกล
แคปนี่หยุดชะงักกึกยืนชี้หน้าปอทันที
“มารับเร็ว” ปอยังเรียกขึ้นอีกกวักไม้กวักมือเดินเข้ามาหา
แคปทิ้งจอบเสียมพลั่วลงคว้าเอาโทรศัพท์มารับอย่างหงุดหงิด
“มีเชี่ยไร”
(พูดกับกูให้มันน่ารักกว่านี้สิครับเมีย
ใช้ไม่ได้เลยมึงรู้ไหม)
“กู-ไม่-ใช่-เมีย-มึง บอกร้อยทีแล้วไม่รู้จักฟัง”
แคปเอามือป้องปากแล้วก่นด่า คนปลายสายหัวเราะเหอะๆ
(ไม่ใช่จริงดิ)
“ไอ้เอสมึงอย่ามากวนนะมีไรรีบพูด โทรมาทำไม”
(มือถือกูล่ะปิดเครื่องไว้ทำไม
ไม่ใช่ว่าคิดถึงมากจนทนไม่ไหวกดดูข้อมูลข้างในจนแบตหมดหรอกนะ)
“มึงฝันเอาสิไอ้เหี้ย ใครจะไปบ้าเปิดดูของๆมึงกัน”
(ไม่ได้ดูจริงดิ ในนั้นมีแต่ข้อมูลดีๆอยู่เพียบเลยนะ
มึงไม่ดูน่าเสียดายแย่)
“หึ กูไม่เห็นสนใจ
มือถือมึงกูโยนทิ้งน้ำหมักผลไม้เน่าไปแล้วด้วยซ้ำอยากได้คืนเชิญไปจ้างคนมาดำน้ำลงไปเก็บเองเองเหอะ”
(อะไรกั๊น
น้ำหมักชีวภาพคณะเกษตรมันบ่อใหญ่ถึงขนาดต้องจ้างคนลงไปดำน้ำเก็บเลยเหรอวะ
ไม่ใช่ว่าเขาหมักใส่กระป๋องใบเล็กๆไว้หรือไง) เอสแกล้งแหย่
“ไม่ต้องมาทำเป็นแสนรู้ หมาไอ้นมสดมันยังน่ารักมากว่ามึงมาก”
เอสขำพรืดขึ้นทันที นมสดเป็นหมาประจำมหาลัย มันเดินไปทั่วทุกคณะที่มันชอบ
ส่วนใหญ่ประจำอยู่ที่คอมเพล็กซ์(ศูนย์อาหาร) ไม่ว่าใครก็ต้องรู้จัก
เพราะว่ามันแสนรู้และน่ารัก สีน้ำตาลอ่อนพันธุ์ไทยหลังอานแท้ ๆ ขนสั้นสวยมาก
“ขำเหี้ยไรอีก กูพูดอะไรมึงก็ขำ ไอ้โรคจิต”
(อ่ะๆไม่กวนแล้วก็ได้ เลิกแล้วดิ ใช่ไหม)
“ยังเรียนอยู่เลย จดแล็คเชอร์จนมือหงิก นั่งฟังอาจารย์บรรยาย
แอร์โคตรเย็น!”
(กวนตีนนะมึง เอาดีๆ)
“นี่ก็ตอบดี ๆ นะ ด่ามึงตรงไหนล่ะ”
(ไอ้แคป!) เอสส่งเสียงหนักๆลงมาหนึ่งที
แคปกัดฟันกรอดดดด
“ยังไม่เลิก! ไม่ต้องมารับกูไม่อยากคุยกับมึง”
แคปทำท่าจะวางแน่แล้วเอสรีบเรียกขึ้น
(อย่าเพิ่งวางนะ
ถ้าวางกูส่งไลน์หาเด็กมึงบอกเลิกให้หมดตอนนี้เลยเอาดิ)
“อะไรนะห๊ะ! มึงว่าอะไร
คิดจะทำบ้าอะไรของมึงอีก” แคปร้องขึ้นทันทีเดินเลี่ยงไปหามุมเงียบ ๆ
ปลอดสายตาคนยิ่งขึ้นกว่านี้
(เจ้าชู้ตัวพ่อ) เอสว่า
“เรื่องของกู” แคปสวน ข้อมูลสาวๆในไลน์ถูกมันเปิดอ่านหมดแล้วแน่ ๆ
บ้าเอ๊ย
(ห้ามกลับก่อนให้นั่งรอกูอยู่ที่นั่น
ถ้าไม่เชื่อวันนี้ไม่ต้องเอาโทรศัพท์คืน ที่สำคัญคือน้องแป้งคนที่มึงป้อด้วยเกือบทุกวัน
กูจะส่งข้อความบอกเลิกน้องเขาตอนนี้เลย เอาดิ)
“ไอ้สัส
ไอ้คนชั่วถ้ามึงทำนะกูจะต้องหาทางจัดการมึงให้ได้คอยดู”
(กูไม่ทำถ้ามึงรักษาสัญญา)
“กูไม่คอย!”
แคปตะโกนใส่อย่างดังก่อนกดตัดสายแล้วโยนมือถือขว้างทิ้ง
ปอกระโจนเข้ามารับแทบไม่ทัน รู้ว่าเพื่อนโดนไอ้คนปลายสายแหย่จนอารมณ์แทบระเบิด
เขาเดินไปชวนแคปเข้าไปล้างหน้าล้างตาที่ห้องซักล้างวันนี้เหนื่อยทั้งวันแต่ก็ไม่ได้สกปรกอะไรกันมากเพราะไม่ได้เล่นปุ๋ยอินทรี
แคปเดินหงุดหงิดไปคว้าคออาร์แล้วลากกันไปล้างหน้า
ถอดช็อปสีเขียวทิ้งไว้ที่รถปอเปลี่ยนเป็นเสื้อยืดสีขาวง่าย ๆ
ก่อนจับเอากระเป๋าสะพายขึ้นบ่า
“เอาไงวะมึง” ปอเดินเข้ามาถาม
แคปส่ายหัวบอกไปกันก่อนเลยเดี๋ยวไอ้บ้านั่นคงมาไม่อยากมีเรื่องและที่สำคัญเขาต้องการโทรศัพท์คืน
ปอพยักหน้าโอเคกอดคออาร์ล๊อคออกไปด้วยกัน เพื่อน ๆ หลายคนกำลังทยอยขับรถกลับ
คันแล้วคันเล่าผ่านไป เกือบทุกคนจอดเรียกแคปให้กลับด้วย
แต่เขาก็แค่โบกมือบอกไปกันก่อนเลย เวลาผ่านไปแคปก็ยังนั่งรอคอยอยู่ที่เดิม
ไม่มีอุปกรณ์อะไรขึ้นมากดใช้เล่นฆ่าเวลานึกถึงโทรศัพท์ไอ้เครื่องสีทองของเอส
ให้ตายเหอะ ไม่มีทาง เขาไม่เอาขึ้นมาเล่นให้เสียมือหรอกเดี๋ยวแบตหมดไปกี่เปอร์เซ็นต์มันจะหาว่าเขาค้นข้อมูลห่าเหวอะไรของมันอีก
แคปจึงทนนั่งรอต่อไปแบบเงียบ ๆ
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป
หกโมงครึ่ง เย็นจนฟ้าเริ่มมืดแล้วจริง ๆ
ป้ายรถเมย์หน้าสวนเกษตรค่อนข้างเปลี่ยว ที่สำคัญเขาหิวน้ำมากคอแห้งไปหมด
รถเมย์ที่ขับผ่านไปมาห่างขึ้นทุกที พอตัดสินใจว่าจะไม่รอดันไม่เห็นรถเมย์อีกเลย
แคปนึกขึ้นได้ว่ามีร้านสะดวกซื้อเล็กๆอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้มาก
เขาลุกขึ้นแล้วออกเดิน ทั้งบ่นทั้งหิวทั้งโมโห
ถ้าไม่รอเอสป่านนี้กลับไปนอนหลับตีพุงสบายใจแล้ว
บ้าฉิบไหนมันโทรมาบอกว่าจะถึงแล้ววะ
“ถึงบ้านมึงสิกูรอชั่วโมงนึงแล้วไอ้สัส” แคปสบถหงุดหงิด
ทั้งร้อนทั้งเหนื่อยทั้งหิว ปะปนกันไปหมด ป่าสองข้างทางที่มีแต่ต้นไม้ใหญ่ก็เปลี่ยวมาก
ถึงจะอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยแต่โซนหน้าคณะเกษตรต้นไม้ค่อนข้างเยอะและป่ารกที่สุด
ถึงแม้เขาจะเป็นผู้ชายแต่มาเดินอยู่คนเดียวแบบนี้ตอนโพล้เพล้มันก็น่ากลัวอยู่
ยิ่งวันนี้เป็นวันเสาร์คนยิ่งน้อยกว่าทุกที แคปเดินจนฟ้าเริ่มมืด
.
.
“ไปคอมเพล็กซ์ก่อนได้ป่ะวะกูหิวน้ำอ่ะ น้ำส้มปั่นเย็นๆ ชื่นใจ
เดี๋ยวกูซื้อให้มึงด้วยนะ ”
พอขึ้นรถมาได้เมี่ยงบ่นบอกหิวน้ำปั่น
แวะซื้อที่โรงอาหารก่อนเพราะร้านประจำของเมี่ยงอยู่ที่นั่น เอสพยักหน้าบอกให้ขึ้นรถ
เขาเลี้ยวไปที่โรงอาหารรวมที่อยู่ใกล้ ๆ เมี่ยงบอกให้เอสรอแปปเดียว
คนตัวเล็กวิ่งขึ้นไปชั้นสองซื้อน้ำปั่นเจ้าที่เขาชอบ
เอสก็นั่งรอฟังเพลงเล่นโทรศัพท์ของแคปไป กดไปมั่ว ๆ ดูโน่นดูนี่
สถิติเกมส์ยอดฮิตที่แคปชอบเล่นแต้มสูงหลายสิบล้าน เอสหัวเราะ มีหลายแอปที่ค่อนข้างปัญญาอ่อนแต่มันก็โหลดเก็บมาเล่น
ไอจีที่มีแต่รูปต้นไม้ใบหญ้า กับ
เฟสบุ๊คที่ไม่มีการอัพเดตหลายเดือนจนเหมือนกับว่าเจ้าของอาจเลิกเล่นไปแล้ว
ที่สำคัญประวัติการดูคลิปโป๊เพียบ เขาได้แต่ส่ายหัว
เวลาผ่านไปได้สักพักเอสเริ่มเอะใจทำไมเมี่ยงยังไม่ลงมา ด้านนอกเริ่มจะเย็นมากๆ
ใช้โทรศัพท์ของเขาอีกเครื่องต่อสายหา แต่เมี่ยงไม่ยอมกดรับ เขาเห็นท่าทางไม่ค่อยดี
เมี่ยงเป็นคนมีเรื่องบ่อยเอสจึงรีบเปิดรถแล้วตามเข้าไปด้านใน
แค่ตอนที่ก้าวขึ้นบันไดสวนทางกับกลุ่มเด็กสาธิตที่เข้ามาเรียนพิเศษอยู่ชั้นสอง
สิ่งที่เขาได้ยินก็พอจะรู้แล้วว่าเพื่อนตัวเองมีเรื่องอยู่หน้าร้านน้ำปั้นแน่ ๆ
เอสรีบวิ่งเข้าไปทันที เจอเมี่ยงกำลังสู้อยู่กับหนึ่งในนั้นตัวใหญ่กว่าเยอะมาก
ปากเล็กๆทั้งเถียงทั้งสู้
“ไอ้เมี่ยง! ทำเหี้ยไรของมึง”
เอสจะวิ่งเข้าไปห้ามเจอคนด้านนอกดักเอาไว้ พอมองหน้ากันชัดๆ ดูจากเสื้อผ้าที่ใส่ช็อปสีนี้น่าจะอยู่คณะวิทย์ภาคอะไรสักอย่าง
เอสไม่สนใจเขาจะฝ่าเข้าไปเอาเพื่อนตัวเองออกมาเพราะเห็นว่าทางนั้นเริ่มส่งคนใหม่เข้าลุย
เมี่ยงเองก็เริ่มสู้ไม่ได้
“มึงอย่ายุ่งถ้าไม่อยากเจ็บตัว” เสียงหนึ่งในจำนวนนั้นบอกกับเอส
ใช้มือหนาผลักหน้าอกเขาไว้แต่เจอ
เอสที่เก่งกว่ามากคว้าหมึบคอเสื้อมันรั้งขึ้นมาพูดเสียงทุ้มต่ำแต่น่ากลัวมากใส่
“ไม่ยุ่งไม่ได้ นั่นเพื่อนกูไอ้สัส!”
จบคำพูดไว้แค่นั้นเอสเตะแล้วเหวี่ยงสามสี่คนที่อยู่วงออกไปด้านข้างทั้งหมด
พวกมันสู้ไม่ได้ต่างคนต่างถอยถอยออกไปยืนห่าง ๆ เอสมองแล้วขมวดคิ้ว ไร้ฝีมือแบบสุดๆอะไรวะมีเรื่องกันได้ไง
เขาเดินเข้าไปจัดการเหวี่ยงไอ้คนตัวอ้วนโตที่กำลังจะประเคนหมัดใส่เพื่อนของเขาแล้วอัดมันแรง
ๆ จนตัวงอ อีกคนผอม ๆ วิ่งหนีออกไปแล้ว
“เพื่อนมึงหาเรื่องเอง
กูบอกแล้วว่าแก้วนั้นของกูมันก็ยังจะมาแย่งเอา” ไอ้อ้วนร้องบอกทำหน้าหวาดกลัว
มันพยายามลุกขึ้น เอสหันมองเมี่ยงทันที นี่มีเรื่องกันเพราะแย่งน้ำปั่นเนี่ยนะ
บ้าเอ๊ย
“ก็ใครจะไปรู้ล่ะ สั่งพร้อมกันกูก็คิดว่าแก้วนั้นของกู”
เมี่ยงเถียงซึ่งดูก็รู้ว่าข้าง ๆ คูๆแถมาก เอสถึงกับส่ายหัว
“กูสั่งก่อนมึงมาทีหลัง มาถึงก็แทรกคิว” ไอ้อ้วนชี้หน้า
“ก็กูหิวนี่”
“แล้วกูไม่หิวเหรอ กูอ้วนกูต้องหิวมากกว่า”
“นั่นก็เรื่องของมึง”
“แต่มึงทำกูเจ็บเลยไอ้เหี้ย ไอ้เตี้ย!”
มันด่าเมี่ยงแต่ชำเลืองมาทางเอสซึ่งยืนเท้าสะเอวส่ายหน้ากับเรื่องไร้สาระ
“กูก็เจ็บเหมือนกันนี่หมัดมึงหนักฉิบ”
เมี่ยงว่าพลางจับปากตัวเองที่แลกหมัดกันไปคนละสองหมัด มีเลือดซึมออกมานิดๆ
เอสเดินเข้าไปหาไอ้คนตัวโตยื่นมือให้ขอจับบอกขอโทษจริง ๆ
เขาไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องไร้สาระขนาดนี้
ฝ่ายนั้นซุบซิบกันอยู่พักนึงก่อนที่คนอื่น ๆ
ที่ถูกเอสเหวี่ยงออกในตอนแรกจะเดินกลับเข้ามา
“มึงใช่คนที่อยู่โยธาไหม”
“ใช่ ทำไม”
“เอสน้องเฮียเต้ใช่ป่ะ”
“เออใช่กูน้องรหัส”
น้องจริงนั่นเมียกู
“กูว่าแล้วหน้าตามึงคุ้นมาก
โทษทีว่ะพวกเราเองก็ไม่ระวังด้วยไอ้อ้วนมันหิว
มาถึงมันกับเพื่อนมึงก็กำลังมีเรื่องกันอยู่
พวกกูกะว่าจะให้มันดวลกันไม่คิดจะรุมหรอกนะ”
เอสพยักหน้าบอกไม่เป็นไรเข้าใจกันแล้ว
ทั้งหมดจึงนั่งกินน้ำปั่นคุยกันไปเรื่อย ๆ
ตกลงว่าเอสกับเมี่ยงได้เพื่อนใหม่จากต่างคณะเพิ่มขึ้นมาอีกกลุ่มใหญ่เลย
แล้วพวกนี้ก็เป็นหนึ่งในทีมบาสที่เอสจะต้องเจอวันกีฬาเพราะงั้นยิ่งคุยกันอย่างถูกคอ
“กินข้าวที่นี่เลยดีป่ะวะไอ้เอส..” เมี่ยงหันมาถาม
เขาลูบท้องแล้วบ่นว่าหิว
ขณะที่เอสตกใจจนหน้าซีดเพราะนึกอะไรขึ้นได้เขาลุกพรวดขึ้นเลย
“ตายห่าแล้วกู” เอสสบถในใจ เขาลืมแคป ลืมเลยจริง ๆ
“มึงกลับเองได้ไหม กูติดธุระ” เอสกุลีกุจบอกลาที่เหลือทั้งหมด
เมี่ยงรีบตามลงบันไดแทบไม่ทันเพราะเอสวิ่งเร็วมาก
“ไอ้เมี่ยงโทษทีวันนี้กูไม่ว่างไว้ค่อยเจอกัน”
“กูไปด้วย ของกูอยู่ในรถ”
“วันนี้ไม่ได้กูมีนัดมึงกลับเองหยิบของเร็ว”เอสกดล๊อคแล้วขึ้นไปนั่ง
รอเมี่ยงเข้ามาเอาข้าวของออกไปแต่รายนั้นกลับขึ้นมานั่งทั้งตัว
“ไม่เอากูไปด้วย มึงอย่าลืมวันนี้มึงค้างข้าวเย็นกูนะ
กูช่วยมึงเรื่องน้องไบต์อะไรนั่น..”
“ไว้วันหลัง วันนี้ไม่ว่างจริงๆ” เอสใช้สายตาเชิญเพื่อนลง
แต่เมี่ยงส่ายหัวบอกไม่
“ไม่เอา”
“ไอ้เมี่ยง” เอสหันมาดุ เมี่ยงเบะปากทำหน้าไม่ยอมลงเด็ดขาด
กดใส่เข็มขัดทุกอย่างเรียบร้อย เอสจำใจส่ายหัวทำอะไรไม่ได้ออกรถก่อนอย่างเดียว เขาเหยียบเต็มแรงถนนว่างและโล่ง
เลี้ยวเข้าแยกไปฝั่งสวนเกษตรสองข้างทางมืดตื้อไปหมดต่างจากหน้าโรงอาหารเมื่อกี้
ใจเริ่มไม่ค่อยดี มืดๆแบบนี้เขาอยากให้แคปตัดสินใจกลับไปกับปอตั้งแต่แรกเลย พอรถผ่านมาที่ป้ายรถเมล์หน้าสวน ที่ตรงนั้นกลับไม่มีคนอยู่แล้ว
เอสชะลอรถหยุดลง เขาต่อสายหาปอเพื่อความแน่ใจ
(แคปมันรอมึงอ่ะ กูออกมาตั้งแต่ก่อนหกโมงแล้วนะ
ทำไมวะมึงไม่เห็นมัน?)
“.......”
(มันบอกจะรอแน่ ๆ
กูเห็นมันนั่งรอมึงอยู่ป้ายรถเมล์นะลองลงไปหาดี ๆ
นั่งเล่นมือถืออยู่ด้านหลังรึเปล่า ไอ้เอส! มึงฟังกูอยู่ป่ะเนี่ย)
น้ำเสียงปอหงุดหงิดจัด
เพราะเอสไม่ได้ตอบอะไรกลับมา เขาโมโหจนตะคอกเรียกสติ เอสบอกเดี๋ยวจะลงไปหาให้วางสายก่อน
(ถ้าไม่เจอมันมึงโทรมา กูจัดการเอง นั่นเพื่อนกู) ปอพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ
ขนาดเอสยังต้องนึกกลัว
“แค่นี้ก่อน” เขากดตัดสาย
“มีอะไรวะ มึงจะลงไปไหน” เมี่ยงคิดว่าเอสกำลังหาใครสักคนแน่
ๆ เมื่อกี้คุยโทรศัพท์กับคนชื่อปอ
ทางนั้นตะคอกมาเสียงดังลั่นจนทะลุออกมา แล้วเอสก็ทำหน้าเครียดมาก
“รออยู่นี่เดี๋ยวกูมา” เอสเปิดรถเดินข้ามถนนไปอีกฝั่ง
วนหาจนแน่ใจว่าแคปไม่อยู่แถวนี้
“บ้าฉิบ!” เขาสบถ
ยกมือขึ้นเสยผมที่ยาวจนปรกหน้า ลมก็แรงอีก ความผิดเขาบ้าที่สุด ความผิดเขาจริง ๆ
“เจอไหม มึงหาใครอ่ะ”
พอขึ้นรถมาเมี่ยงถามด้วยความเป็นห่วงบอกจะลงไปช่วยหา แต่เอสส่ายหัวบอกไม่
เขาเหยียบรถขับตรงออกไป บางทีแคปอาจจะขึ้นรถเมล์กลับไปแล้ว
เอสกดมือถือเข้าเบอร์ตัวเองอีกครั้ง เครื่องยังถูกปิดไว้ มันน่าโมโหจนเขาอยากจะขว้างทิ้ง
ทุบพวงมาลัยรถหนัก ๆ มืดจนต้องเปิดไฟขับแล้วยังไม่เห็นว่าแคปอยู่ตรงไหน ลมพัดแรงต้นไม้ใหญ่สองฝั่งพัดโยกไปมา
ขนาดนั่งอยู่บนรถยังรู้สึกว่าน่ากลัว
เอี๊ยดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
รถถูกเบรกลงอย่างแรงเมื่อเอสเห็นว่าเงาใครที่กำลังเดินอยู่คนเดียวริมทางเท้ามืดๆ
เขากระชากประตูเปิดแล้ววิ่งลงไปหาทันที
“ไอ้สัสไอ้เหี้ยไอ้ชั่วไอ้คนเลวไอ้สันดานไอ้หน้าหมา
หน้าแมลงสาบจิ้งจกตุ๊กแก ชั่วเอ๊ย คนไม่ดี กูเกลียดมึง โคตรเกลียด เกลียดที่สุด
จะไปตายห่าที่ไหนก็ไปเลยกลับมารับกันทำไม ไปให้พ้นกูเลยไป๊ กูเกลียดมึงที่สุดมึงรู้ไหมห๊ะ! หิวน้ำจะตายห่าแล้ว!!”
และทันทีที่คนตัวเล็กว่าเห็นเขา คำด่ามากมายพร่างพลูออกมาจากริมฝีปากนั่น
ทว่าแทนที่เอสจะโมโหเขากลับยืนนิ่งแล้วระบายรอยยิ้มอย่างโล่งใจก่อนดึงแคปเข้ามาจนชิดอก
กอดไว้ทั้งที่โดนทั้งปากทั้งมือทั้งตีนมันประเคนใส่แบบนั้น
“เลิกด่าได้ยัง
ถ้ายังไม่ยอมเงียบกูเอาปากกูปิดปากมึงจริงนะแคป”
“กูสนเหรอไอ้เหี้ย
มึงกล้าหลอกให้กูคอยกูจะด่ามึงจนกว่าจะหมดแม็กเลยคอยดู ไอ้@$&*^%$&........!&”
“อะไร ร้องไห้ด้วยเหรอเนี่ย ตาแดงๆว่ะ”
“ร้องบ้านมึงสิ กูไม่ได้ปัญญอ่อนขนาดนั้น มึงจะบ้าเรอะห๊ะ”
“หึหึ ปากดีจริงๆเมียกู ขึ้นรถเร็ว” เอสหัวเราะเมื่อแกล้งอีกคนได้ มือหนายื่นเข้าหาด้วยความรวดเร็ว
เขาตั้งใจจะกระชากแคปเข้ามาจูบปิดปากแบบจริงๆจัง ๆ แต่อีกคนรู้ทันหลบได้หวุดหวิด
“กูขึ้นแน่อยู่แล้วสัส!” แคปตอบใส่แรง ๆ
เดินกระทืบเท้าไปเปิดผั๊วะประตูฝั่งคนนั่งออก
เมี่ยงที่นั่งดูเหตุการณ์อยู่นานเงยหน้ามองเขาแบบเต็ม ๆ
อึ้งจัดเมื่อเห็นใบหน้าแคปในระยะใกล้ ขณะที่แคปไม่สนใจมองข้ามหลังคารถไปที่ไอ้ตัวคนขับมันกำลังจะเปิดรถขึ้นไปเหมือนกัน
‘ไอ้เหี้ยนี่ใคร!’ แคปขยับปากพูดหนักๆแบบไร้เสียง
เคาะนิ้วจิ้มลงบนหลังคาพร้อมถลึงตาใส่เอส รายนั้นยักไหล่แล้วบอกว่าเพื่อน
แคปจึงก้มลงใหม่จ้องหน้าเมี่ยงแบบดีๆนึกออกแล้วว่าไอ้คนตัวเล็กนี่คือคนที่เจอเขากระทืบวันนั้นตอนที่อาร์มีเรื่องแล้วเขายกพวกไปที่คณะวิศวะ
ขณะที่เมี่ยงนั่งตัวแข็งนานแล้วเพราะแค่เห็นแคปก็จำได้เลย
ใครจะไปลืมไอ้คนที่กระทืบเขาจนจมตีน เรื่องผ่านไปแค่ไม่ถึงเดือน
“ลุก! ไปนั่งหลัง ที่มึงอยู่นั่น” แคปบ่ายหน้ากวน ๆ
บอกเมี่ยงลุกออกจากเบาะไปนั่งด้านหลัง เมี่ยงพยักหน้าเบา ๆ เหมือนโดนสะกด
บอกโอเคก่อนที่ทั้งหมดจะเข้าประจำที่แล้วรถก็เคลื่อนตัวออกไป
“มึงแม่งช้า หาที่ซื้อน้ำเลยเหอะหิวจะตายห่าอยู่แล้ว
เดินมาตั้งนานไม่เห็นร้านค้าสักร้านบ้าฉิบ” พอขึ้นมาได้แคปยังบ่นต่อไม่หยุด
เอสยื่นมือเข้าไปขยี้หัวเล็ก นี่คือการขอโทษในแบบของเขาถ้าแคปจะสังเกตเห็น
เขาทำมันบ่อย ๆ เวลาที่ยั่วให้แคปโกรธ แต่วันนี้ยอมรับมากว่าผิดจริง
“ไม่ต้องมาจับ” แคปดุใส่ปัดมือหนาออกแรง ๆ
เจอเอสสวนกลับแกล้งจะบีบนมเล่น แคปฟาดผั๊วะเข้ามาหนักๆหนึ่งครั้งหน้าหล่อๆแทบเงิบ
คือเล่นกันแรงมากจนคนที่นั่งมองอยู่ด้านหลังอย่างเมี่ยงถึงกับงง
บอกความรู้สึกตัวเองไม่ถูกเลย
“เป็นไรวะเมี่ยง หน้าซีดเชียวนะมึง”
เอสมองกระจกหลังแล้วถามขึ้น รถมาจอดลงที่หน้าร้านสะดวกซื้อก่อนถึงประตูทางออก
แคปรีบวิ่งแจ้นลงจากรถ ปิดประตูเสียงดังมากๆจนเมี่ยงสะดุ้งโหยง เขาขยับเข้ามาใกล้
ๆ เพื่อนตัวเอง ขณะที่เอสไลน์หาปอบอกว่าเจอแคปแล้ว
เขาไม่รอทางนั้นตอบมารู้แค่อ่านแล้วก็จบกัน
เอสหันมาหาคนตัวเล็กที่นั่งสะกิดไหล่เขาอยู่
“ไอ้เอส นั่นน้องชายเฮียเต้นี่ ใช่ไหมวะ..” เมี่ยงถามด้วยความอยากรู้
เขาใช้โทนเสียงกระซิบแม้จะอยู่กันแค่สองคน บอกไม่ถูกรู้แต่ว่าแคปน่ากลัวมาก
นิสัยนะ ไม่ใช่หน้าตา
“อือ ใช่” เอสพยักหน้าตอบเรียบ ๆ
มองดูแคปยืนเปิดตู้แช่กวาดเอาน้ำสามขวดใส่มือ
“แล้ว ทำไมถึง มึง คือ..เอ่อ คือ..” เมี่ยงอ้ำอึ้งพูดไม่เป็นภาษา
เอสหันมาพยักหน้าให้แบบเต็ม ๆ คิดว่าเพื่อนตัวเองคงเข้าใจ
“อือตามนั้นแหละ ที่มึงคิดน่ะถูกต้องแล้ว”
“ห๊ะ! จริงดิ!?”
เมี่ยงอุทานขึ้นปิดปากแทบไม่ทันอีกมือนึงทาบอก
ใบหน้าเล็กยิ่งซีดจัดขึ้นไปอีกเมื่อได้ยินจากปากเพื่อนตัวเองแบบนั้น
พอดีกับที่แคปเปิดประตูแล้วสอดตัวเข้ามา
“เป็นไรวะหน้ามึงซีดฉิบหาย” แคปโยนชาขาวขวดเล็กส่งให้
เมี่ยงรับไว้แบบงงๆ
“ไอ้เอสเพื่อนมึงใกล้ตายแล้วอ่อ ดูหน้าดิ..” แคปเปิดขวดของตัวเองออกแล้วยกซด
น้ำชาสีใสไหลลงมาเป็นทาง เขารีบมากเทพรวดเดียวกะให้มันไหลเข้าปากทั้งหมด
แต่ไม่สามารถทำแบบนั้นได้
ขณะที่เมี่ยงฟังที่แคปพูดแล้วถึงกับลมออกหูจะอ้าปากกินน้ำแต่ก็ยกค้างไว้ เอสนั่งขำหึหึ เมี่ยงกุมขมับสุดจะเซ็งไม่เข้าใจเพื่อนตัวเองคิดอะไรแบบไหน
หน้าตาแคปดูดีมากก็จริงแต่นิสัยท่าทางรวมไปถึงแต่ละคำพูดมันไม่ใช่เลยอ่ะ
คือสเป็คของเอสที่ผ่านมามันพลิกจากหน้ามือเป็นหลังตีนเลยไม่ใช่เหรอนั่น
“มึงอยากกินอะไรวะไอ้เมี่ยง” เอสหันมาถาม รถเลี้ยวออกไปด้านหน้ามหาลัย
“กูติดข้าวเย็นมึงอยู่มื้อนึงวันนี้จะให้เลือกเลย”
“จะไปกันทั้งหมดเนี่ยเหรอ” เมี่ยงถามสวนขึ้นทันที
แคปสำลักพรวดไอค่อกๆออกมา
เอสหันมาดูยื่นมือตบหลังเล็กเบา ๆ
“กูไม่ไปด้วยหรอก มึงไม่ต้องห่วง” แคปหันไปบอก
ยักคิ้วกวนตีนใส่เมี่ยง จากนั้นหันไปหาเอส “มึงส่งกูแยกไฟแดงด้านหน้าก็ได้เอามือถือกูคืนมาแล้วก็ลากันตรงนี้เลย”
“พูดอะไรของมึง” เอสดุใส่แต่แคปไม่สน
“มือถือกูล่ะ” เอสมองคนที่ยื่นมือมาขอ
เขาส่ายหัวก่อนหยิบออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นส่งให้
“แล้วของกูอ่ะ” เอสถามบ้าง
“ทิ้งแล้ว”
“ทิ้งไหน”
“ไม่รู้ว่ะ ลืม” แคปยักไหล่ เตรียมหยิบกระเป๋า
เขาได้ของคืนแล้วเดี๋ยวตอนลงฟาดมือถือคืนมันแค่นั้นจบ รถกำลังจะจอดติดไฟแดง
แยกนี้เขาลงแน่ ๆ แคปคิดไว้แบบนั้น
“มึงรู้อยู่แล้วถ้ากูไม่อนุญาตมึงลงไม่ได้”
“ลงไม่ได้จริงดิ..”
แคปท้าทายยื่นมือเข้าไปจะชิงกดปุ่มปลดล๊อคแต่เอสที่เร็วกว่ามากคว้าหมับเอาไว้ทั้งตัว
รถติดไฟแดงแต่สองคนด้านหน้ากลับนั่งกอดกันจนจมอก
ถึงแม้มันจะดูทุลักทุเลไปบ้างเพราะคนนึงพยายามที่จะกอดอีกคนดิ้นจะออก
แต่ถึงอย่างนั้นเมี่ยงก็ยืนยันกับตัวเองแน่แล้วว่าเอสกับน้องชายเฮียเต้คบกันอยู่จริง
ๆ
“ไอ้สัส กูอึดอัด ปล่อยสิวะเพื่อนมึงนั่งอยู่นะไม่เห็นรึไง
ชั่วเอ๊ย ห่าราก” แคปดิ้นคลุกอยู่ในอกของอีกฝ่าย
พอสัญญาไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียวเอสปล่อยออกแล้วชี้หน้าบอกห้ามดื้ออีก
แคปฟาดมือใส่มือที่ชี้แบบไม่ยั้ง ทำอะไรไม่ได้เขานั่งหงุดหงิดกอดอกหันมองออกไปด้านข้าง
“มึงสองคนเป็นแฟนกันเหรอวะ” ไม่รู้อะไรดลใจจู่ ๆ
เมี่ยงโพล่งคำถามที่คิดว่าอยากรู้มากที่สุดออกมา
แคปคิ้วกระตุกหันขวับมาจ้องหน้าทำตาเขียวปั๊ดใส่ทันที
“กู-ไม่-ใช่-แฟน-มัน!”
เสียงหัวเราะเหอะๆดังมาจากคนที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาขับ
เมี่ยงยิ้มแห้ง ๆ ส่งให้แคปที่ยังจ้องหน้าถลึงตาใส่เขาไม่เลิก เมี่ยงโบกมือบอกโทษๆไม่ถามแล้วก็ได้
แคปจึงบดฟันดังกรอดๆ
บ้าฉิบ!
ไม่ว่าใครเห็นเขากับมันต้องคิดว่าเป็นแฟนกันทุกที กัดกันจะตายห่าแล้วเนี่ย
ตาบอดรึไงดูแค่นี้มองไม่ออกเหรอว่าเกลียดกันจนจะเข้าไส้อยู่แล้วเหี้ย!
“แคป วันนี้มีผู้ชายมาจีบกูด้วยนะ”
“ไอ้สัส เกี่ยวไรกับกูมึงพูดขึ้นมาทำบ้าเหรอห๊ะ!” จู่ๆเอสพูดเรื่องจริงที่ไม่สมควรจะพูดขึ้นมา แคปที่นั่งอยู่ถึงกับตาโต
เขารีบหันไปมองคนด้านหลัง
แน่นอนว่าเมี่ยงนั่งหน้าเอ๋อหูเอ๋อมองเขาสองคนอยู่
“มึงคิดว่ามึงหึงป่ะวะ” คนขับยังจะถามต่อแคปนี่กำหมัดกัดฟันแทบจะกระโจนใส่
“มึงหุบปากอย่าพูดเรื่องไม่เป็นเรื่อง ดูหน้าเพื่อนมึงก่อน”
“ไม่เป็นเรื่องตรงไหน เรื่องจริงทั้งหมดเลย” เอสเหลือบมามองเมี่ยงแวบหนึ่ง
ก่อนหันไปมองแคปที่กำลังทำหน้าเซ็งเหมือนพยายามท่องนะโมๆคุมสติ
“เรื่องจริงมึงก็ไม่สมควรจะพูด เงียบปากขับรถของมึงต่อไป”
“ก็แค่อยากรู้ว่ามึงหึงไหม”
“กูไม่สนใจหรอกไอ้เหี้ย ไร้สาระ”
“น้องเขาน่ารักด้วยนะหน้าสวยตัวเล็ก พูดก็เพราะ”
“แล้วมาบอกกูทำไมวะ” แคปหันไปถามหน้าตาหาเรื่องเต็มที่
เอสกำลังสังเกตว่าแคปโกรธหรือหึง คือยอมรับว่าดูไม่ออก
หึงกับโกรธแคปมันอาจแสดงออกเหมือนกัน เขาจึงแหย่เพิ่มไปอีกหน่อย
“ก็เผื่อวันหลังกูพาน้องเขาไปนั่งกินข้าวบ้างได้ป่ะล่ะ”
“เรื่องของมึง”
“กูทำจริงนะ”
“กูบอกว่าเรื่องของมึงไง บ้าเอ๊ย”
“หึหึ”
เอสหัวเราะเสียงต่ำพอใจ เพราะพอแคปพูดว่าบ้าเอ๊ย
เท้านี่ถีบหน้ารถโครมๆๆ
มือใหญ่ยื่นจึงออกไปขยี้หัวเล็กบอกให้ใจเย็น ๆ ถึงจะโดนปัดออกแต่เอสก็ยังจะขยี้ลงไปต่อจนได้
แคปทำหน้าเบื่อโลกเต็มที่กอดอกหันมองไปนอกหน้าต่าง
RRRRRRRRRRRRR
RRRRRRRRRRRRRRRRRRRRRRRRRRRR
“ครับเฮีย” โทรศัพท์เอสดังขึ้น
เขาเอาขึ้นมาดูที่หน้าจอพอเห็นว่าเป็นใครเหลือบมองคนข้างๆก่อนกดรับกดรับ
(ไอ้เอสมึงอยู่ไหน)
“กำลังจะไปกินข้าว มีอะไรรึเปล่าครับ”
(โป๊ะเช๊ะ กูจะชวนมากินด้วยกันเนี่ย ไอ้ชิพไอ้บุ้งก็อยู่
มึงอยู่กับใครวะ ไอ้เมี่ยงป่ะ)
“ครับใช่ มีน้องเฮียอยู่ด้วย..”แคปหันขวับมองเอสทันที
ตอนแรกไม่ได้ฟังแต่พอเห็นพูดเฮียแล้วยังโยงเข้าเรื่องน้อง แคปรู้ทันทีไม่พ้นเอสคุยอยู่กับพี่เต้
(น้องกู? คนไหนวะ) เต้ไม่ได้นึกถึงแคปเลย
ปกติถ้าพวกเขาคุยกันน้องในที่นี้จะหมายถึงพวกน้องรหัสน้องสาย
“น้องชายเฮีย แคปไง”
(อ่อดีเลย งั้นกลับรถมาร้านเก่าที่เดิมหลังมอ ร้าน XXX บอกคาปูเดี๋ยวกูสั่งของโปรดมันไว้ให้
มึงกับไอ้เมี่ยงออเดอร์อะไรพิเศษรึเปล่า)
“ไม่ครับ เดี๋ยวเจอกัน” เอสกดวางสาย
หาทางสับเลนจะยูเทิร์นรถกลับ
“ไปไหนวะมึง” เมี่ยงถาม
“ไปกินหลังมอ พี่รหัสกูรออยู่ที่นั่น”
แคปเหลือบมองหน้าคนพูดเมื่อเอสย้ำคำว่าพี่รหัสชัดๆ แคปขยับปากพูดคำว่า ‘กู-ไม่-อยาก-ไป’ แบบไร้เสียง เอสจึงตอบกลับมาแบบไร้เสียง
ช้าๆชัดๆทว่ากวนตีนไม่แพ้กัน ‘ไม่-ไป-ไม่-ได้-ครับ-เมีย’
“ไอ้สัส!”
ส่วนคำนี้เสียงดังฟังชัดมากๆ ชัดจนเมี่ยงที่นั่งอยู่ด้านหลังสะดุ้งโหยง ได้ยินแต่เสียงเอสหัวเราะเหอะๆพอใจที่แหย่ให้แคปมันโกรธได้
แล้วอมยิ้มอยู่คนเดียว
Tbc.