[XI]
แคปนั่งมองเมนูอาหารที่อยู่ในมือแล้วกลืนน้ำลายเหนียวลงคออึกใหญ่ๆ...ไม่ใช่ว่าอยากจะกินจนน้ำลายหกหรืออะไรทั้งนั้น
แต่เพราะว่าปากเจ้ากรรมดันพูดเมนูอาหารแปลกๆออกมาตั้งแต่ตอนที่อยู่บนรถ เพราะงั้นตอนนี้ทั้งเขาทั้งไอ้ตัวที่พามาจึงนั่งจ้องเมนูอาหารอิสานกันอยู่ที่ร้านแจ่วฮ้อนริมทางใกล้กับสวนสุขภาพของหมู่บ้านอะไรสักอย่าง
“เอ่อ...คือ
มีอาหารตามสั่งไหมครับ”
แคปยิ้มแห้งๆเงยหน้าถามพนักงานผู้หญิงที่เข้ามายืนรอออเดอร์อยู่นานแล้ว
เขามองสบตาไปทางไอ้ตัวดีฝั่งตรงข้าม มันก็ทำท่าเป็นมองนกมองไม้อะไรของมันสักอย่าง
ยกหน้าที่สั่งอาหารทั้งหมดให้กับเขา แล้วดูที่เมนูซิเนี่ย มันคืออะไรวะแจ่วฮ้อน
เคยได้ยินก็พูดไปเรื่อยกินเป็นที่ไหนกัน แค่พูดประชดออกไปดันพาเข้ามากินจริง ๆ
ซะได้
“ยังไงคะ
อาหารตามสั่งแบบไหน..” พนักงานเสียงสวยมาก ต่างกับหน้าตา
“เอ่อพวกกระเพราไก่ไข่ดาว
ข้าวผัด ไม่ก็....”
“อ๋อแบบนั้นไม่มีค่ะ
ที่นี่ร้านแจ่วฮ้อนสมุนไพรหม้อดิน มีแจ่วฮ้อนหมู ไก่ ปลา กุ้ง
ชุดเล็กชุดกลางชุดใหญ่ค่ะ
แล้วก็นี่นะคะเมนูอาหารอีสานทั้งหมดของร้านเราส่วนใหญ่เน้นผักเพื่อสุขภาพค่ะ
หนุ่มๆทานแล้วฟิต” อะไรฟิตไม่ทราบครับ!
แคปนี่ฟังแล้วถึงกับยกมือขึ้นเกาขมับยังมีหน้ามาเล่นมุกขำ
เขาไม่เห็นจะรู้สึกตลกด้วยตรงไหน
ชำเลืองมองโต๊ะข้าง ๆ ที่มีลูกค้าเข้ามาจับจองกันเยอะมาก
มันเป็นร้านแบบนั่งชิลๆปูเสื่อกับพื้น มีโต๊ะญี่ปุ่นเตี้ย ๆ อยู่ตรงกลาง แคปเบนสายตากลับมามองที่เมนูในมืออีกครั้ง
พนักงานยังยิ้มให้อย่างใจดี
เขาจึงส่งยิ้มแห้งกลับไปอีกครั้ง พร้อมหลับหูหลับตาชี้ส่ง ๆ
ไหนๆก็กินไม่เป็นแล้วจะอันไหนรายการอะไรก็เหมือนกันทั้งนั้น
“หึหึ”
เอสหัวเราะเสียงต่ำๆ คล้ายคนกำลังลอบสมน้ำหน้า
แคปจึงถลึงตาใส่แล้วยันขาถีบที่ใต้โต๊ะแรง ๆไปสองที เอสบอกเจ็บชี้หน้าทำตาดุๆ
แคปเลยเบะปากส่งให้ จิ๊
ให้ตายเขาก็ไม่มีทางบอกมันหรอกว่ากินไม่เป็น เดี๋ยวพออาหารออกมาจะกินแหลกเลยคอยดู
ว่าแล้ววินาทีรออาหารก็ผ่านไปหม้อดินที่บรรจุไปด้วยน้ำซุปสมุนไพรหรืออะไรสักอย่างถูกพนักงานเข้ามาจุดไฟตั้งต่อไว้ให้
แคปก็แค่มอง ๆ มันไม่ต่างกับสุกี้เอ็มเคนักหรอกวะ
ถึงแม้กลิ่นมันจะประหลาดมากไปก็เถอะ
“จะทำยังไงกับมัน..”
เอสกอดอกถาม
“เดี๋ยวกูจัดการเอง..”
แคปยืดอกตอบ เหล่มองหม้อดินระหว่างเขากับมันอีกครั้ง น้ำซุบร้อนเดือดปุดๆ
มีจานผักจานหมูอะไรต่อมิอะไรที่เขาไม่รู้จักวางอยู่สองด้านรอใส่ลงไปในหม้อ
กลิ่นเครื่องปรุง ข่าตะไคร้ใบมะกรูดลอยขึ้นมาจนเตะปลายจมูก แคปจามสองสามรอบ
เอสเองก็นั่งทำจมูกฟึดฟัดถูกจนแดง จะว่าหอมมันก็หอมอยู่นะแต่กลิ่นมันออกจะฉุน ๆ
พวกเครื่องปรุงมากเกินไปหน่อย คงจะอร่อยสำหรับคนที่ชอบอาหารรสจัด
แต่ทว่าสำหรับทั้งแคปและเอสที่กินอาหารรสชาติจืดๆจนชินปากทำยังไงก็ไม่ชินกับกลิ่นสักที
จนกระทั่งเอสหยิบฝาหม้อดินที่วางอยู่ด้านข้างขึ้นมาจะปิดมันลงไป แต่แคปรีบห้ามไว้
“ทำอะไรของมึง
ฮัดเช่ย!”
แคปจามเป็นครั้งที่เจ็ด เอสเงยหน้าขึ้นมองแล้วบอกจะปิดเอาไว้มันเหม็น
แคปดุใส่บอกอย่าพูดเสียงดังเดี๋ยวคนอื่นเขาได้ยินมันไม่ดี เขามองไปที่โต๊ะข้าง ๆ
แล้วกำลังคิดสเต็ปการกินที่จะต้องทำตาม
“มึงจะบ้าหรือไงวะ
เปิดไว้อย่างนั้นแหละ ถ้าปิดไว้แล้วเราจะกินแบบไหนกันล่ะ
เราต้องเอาของที่อยู่บนโต๊ะใส่ลงไปให้หมดก่อน..”
ว่าจบหยิบจานหมูหมักเทพรวดลงไปจนหมดจาน เอสเห็นแบบนั้นจึงหยิบจานผักสดที่วางอยู่ข้าง
ๆเขา เทพรวดลงไปหมดจานด้วยเช่นกัน กลายเป็นว่าหม้อดินเล็ก ๆ
เต็มเอี๊ยดจวนเจียนจะล้นออกมาอยู่รอมร่อ
และเท่านั้นยังไม่พอถ้วยน้ำจิ้มเล็กๆสองสามถ้วยถูกเขากับแคปยกเทราดลงไปในหม้อจนหมดเช่นกัน
จากนั้นเอสรีบคว้าฝาหม้อมาปิดกดๆเอาไว้
“มึงจะปิดไว้ทำไมวะไอ้เอสเดี๋ยวมันล้นออกมาหรอก..”แคปมองหน้าคนตรงข้ามทำแล้วพูดแบบดุๆ
“กูเหม็นนี่..”
เอสพูดเรียบๆแต่แคปรีบยื่นมือไปอุดปากเอาไว้แล้วบอกพูดอะไรระวังปากหน่อย
เกรงใจร้านเขาบ้างบอกหลายทีแล้ว เอสจึงพยักหน้าบอกโทษที
“กินได้แล้วมั้งนั่นน่ะ..”
แคปโบ้ยหน้าบอก เขาใช้ตะเกียบชี้ ๆแล้วสั่ง
“มึงชิมดูก่อนดิ๊”
“ไม่เอา”
เอสรีบบอก หันไปที่โต๊ะอื่น ๆ
ท่าทางจะกินกันเอร็ดอร่อยมากแต่ล่ะคนคือหน้าแดงคาดว่ามาจากความเผ็ดร้อนของอาหารและกลิ่น
“ไม่กินก็ตามใจหิวแล้วอย่ามาโวย
รีบกินรีบกลับอย่ามายึกยักทำเป็นเรื่องมาก คุณชายมาจากไหนมึงอ่ะ
ของแค่นี้กินไม่เป็นกระจอกว่ะ ดูกูนี่ดูกู กูจะกินให้มึงดูเป็นตัวอย่างของง่าย ๆ
กินสบาย ๆ ชิลมาก อึกก..แค่กๆๆๆๆๆ..อ่ะ...แค่กๆๆๆๆๆ”
แคปบ่นไปด้วยใช้ตะเกียบคีบเส้นร้อน ๆ
กับผักในหม้อดินออกมาแล้วยัดเข้าปากโดยที่ไม่ทันได้เป่าเพราะว่ามัวแต่พูด
อาหารที่ทั้งร้อนทั้งเผ็ดมากทำเอาเขาสำลักไอค่อกๆๆจนหน้าแดงเถือก
หายใจไม่ทันราวกับว่ากำลังจะตายลงเสียให้ได้
แคปไอจริงจังมากๆจนเอสที่ตอนแรกก็นึกขำแต่พอเห็นแคปสำลักเป็นจริงเป็นจังขนาดนั้นเขารีบขยับมานั่งข้าง
ๆ ลูบหลังให้พร้อมยืนมือออกมารับอาหารที่แคปคายออกมาจากปากจนเลอะเทะไปหมด
ใช้ตัวเองบังไว้ไม่ให้โต๊ะอื่นๆเห็น
ดึงทิชชู่ยื่นแก้วน้ำป้อนอีกคนจนคว้าส่งให้แทบไม่ทัน
“พี่ครับ..”
เอสยกมือเรียกพนักงาน พี่ผู้หญิงรีบเข้ามาจัดการให้
เธอหาผ้ามาเช็ดทุกอย่างจนเรียบร้อย
เอสจึงบอกขอโทษด้วยให้คิดตังค์ได้เลยเห็นแคปเป็นขนาดนี้จะให้นั่งกินต่อก็ไม่เอาเหมือนกัน
“ไอ้เหี้ยเอส
กูเสียดายของ อ่ะแค่กๆๆๆ
มึงกินต่อได้ไหมล่ะ แค่กๆ โอยเจ็บปากเจ็บลิ้นไปหมดปากกูพองแล้วไอ้เหี้ย...”
น้ำหูน้ำตาไหลปากแดงหน้าแดง คล้ายกับคนที่กินอาหารแล้วผิดสำแดงอะไรสักอย่าง
เอสยกแก้วน้ำเย็นส่งให้อีกแล้วลูบหลังต่อ
“ไม่กินแล้ว ไปลุก” เอสบอกแล้วจัดการเช็ดมือตัวเองจนเรียบร้อย
เขาลุกขึ้นแล้วดึงแคปบอกให้ลุกพร้อมกัน
“อร่อยออกมึงกินดิ่..”
แคปไม่ยอมลุกเงยหน้าบอกเอส นี่ขนาดสำลักจนจะตายห่ายังมีหน้าไปกวนเขาหลอกล่อให้กิน
เอสส่ายหน้าอย่างรู้ทันแล้วผลักหัวเล็กไปหนึ่งที
“อร่อยหัวมึงสิ
ลุกเร็ว”เขาก้มลงไปพูดเบา ๆ ทำตาดุใส่ แคปรีบลุกขึ้นยืน ไอค่อกแค่กต่ออีกนิด
“กูสำลักเพราะกินไปพูดไป ไม่เกี่ยวกับว่าอาหารเขาไม่อร่อยสักหน่อยไอ้เหี้ย”
“รู้สึกสมน้ำหน้าว่ะ
ทีหลังกินอะไรไม่เป็นก็บอกอีกนะจะพาไปกิน” เอสหันไปพูดแดกดันใส่ ก่อนที่แคปจะเดินแยกมาเปิดประตูฝั่งตัวเอง
“กูคงไปกับมึงหรอกสัส
ปัง..”
รถเคลื่อนตัวออกไปจากร้านแจ่วฮ้อนสมุนไพรริมทางที่ยิ่งดึกยิ่งคนเยอะ ท้องแคปร้องโกรกๆจนเอสหันมามองแล้วหัวเราะใส่
“สมน้ำหน้ามึงว่ะ..”
“ปากหมา
ก็เพราะว่ามึงไม่ใช่รึไง”แคปหันไปเถียง ห้องร้องโกร้กๆ
“เกี่ยวไรกับกู
มึงเลือกของมึงเอง ก่อนจอดรถกูถามแล้วใช่ไหม..”
“ก็แล้วมึงทำไมไม่กินเองล่ะวะกูกินไม่เป็นมึงกินคนเดียวก็ได้ลุกออกมาทำไม..”
“กูกินไม่เป็นหรอกของแบบนั้น
กะว่าถ้าเมียชอบจะฝึกสักหน่อย หึหึ ขำว่ะ..”
“ถ้ามึงหัวเราะต่ออีกกูจะโดดลงตรงนี้เลย..”
“กล้าจริงดิ่..”
ใบหน้าคมเข้มหันมาท้า พร้อมกับสับเลนเหยียบคันเร่งจนจมมิดไม่ต้องถามเลยว่าเร็วไหม
แน่นอนว่ามันเร็วกว่ารถทุกคันบนท้องถนนมืดๆในตอนนี้
“กูเกลียดมึงที่สุดอ่ะ..” แคปนั่งหน้ายุ่ง
เวลาทำอะไรมันไม่ได้คำพูดนี้ถูกหยิบขึ้นมาใช้จนติดปาก
“สารภาพรักรึไง
ขอบใจนะครับเมีย..”
“กูไม่ใช่เมียมึง!
บอกไม่รู้กี่ร้อยครั้งแล้วไม่รู้จักฟัง” แคปหันไปด่า อีกคนก็แค่หัวเราะเสียงต่ำ
“หึหึ
จริงดิ?”
“........”
สัสเอ๊ย สบถแบบไร้เสียง
ตวัดสายตาเขียวปั๊ดใส่ แต่คนอย่างไอ้เอสมันคงไม่มีทางรู้สึกรู้สาอะไรได้หรอกด่าแรง
ๆ ก็หน้ามึน ด่าไม่มีเสียงก็ทำเป็นไม่รู้เรื่องได้อีก
แคปนั่งกัดปากนิ่งแค้นใจแบบฉิบหายทำอะไรมันไม่ได้สักอย่างไม่รู้ไอ้คนขับกำลังจะขับไปทางไหน
มันไม่ใช่ทางกลับห้องเขาและไม่ใช่ทางกลับห้องมันด้วยซ้ำ
รถชะลอตัวจอดลงหน้าร้านสะดวกซื้อที่เปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง แคปยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูทันที...........สี่ทุ่ม
อยากกลับห้องไปต้มมาม่ากินเสียแต่ตอนนี้ อยากนอนกลิ้งบนเตียงนุ่ม ๆ อยากอาบน้ำเย็น
ๆ ใต้ฝักบัวชื่นฉ่ำ เฮ้อ
เขาตาแทบจะหลับอยู่รอมร่อเหนื่อยมาตลอดทั้งวันทำสวนทำไร่แล้วตกเย็นยังไปคัดตัวเตะบอล
ขอนอนสักงีบท่าจะดี เปลือกตาบางปรือแทบไม่ขึ้นแคปคอตกกำลังจะหลับแน่ ๆ
แล้วแต่เอสหันมาเขย่าเรียก เขาจึงสะดุ้งเฮือกขึ้นมาร้องโวยวายดังลั่น
“เหี้ยไรของมึงกูตกใจ!”
“ท้องมึงร้องโครกครากขนาดนี้ยังคิดจะหลับลงอีกเหรอวะไอ้แคป
เชื่อมึงเลย ลงมา..” เขาเดินอ้อมไปเปิดประตูอีกฝั่งแล้วดึงแขนบอกให้ลงมาด้วยกัน
แคปหัวเสียดึงมือหนาออกจากแขนตัวเองเดินอย่างคนหมดอาลัยตามอีกฝ่ายเข้าไปในเซเว่น
“กินเป็นป่ะ
อันนี้อ่ะ..” เอสหยิบขนมปังขึ้นมาหนึ่งห่อแล้วหันไปถาม แคปพยักหน้าหงึกๆ
“กูถามว่ากินเป็นไหม
ไม่ใช่ให้พยักหน้าตอบส่ง ๆ เดี๋ยวกินไม่เป็นยุ่งยากขึ้นมาอีก..”
“กินเป็นสิวะแค่ขนมปังมึงจะบ้าเรอะ..”
โดนด่าเข้าไปยาว ๆ แคปนี่ตาสว่างโล่
หันไปกวาดเอาขนมปังบนชั้นลงในตะกร้าสีส้มในมืออีกคนทันที
เอสหันข้ามไหล่ตัวเองไปจ้องหน้า แคปเลยถลึงตาแล้วเขย่งหน้าเขาไปท้าทาย
เอสหลุดขำแคปถึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าใบหน้าเขาสองคนห่างกันอยู่แค่คืบเดียว
เขารีบหันหลังเดินกลับไปที่ตู้แช่ไอติมฝั่งด้านหน้า
“หยิบมาดิ..”
เอสเดินตามมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แคปหรี่ตานึกอะไรดี ๆ ออก
เขาหอบเอาไอติมแท่งที่อยู่ในตู้เป็นสิบ ๆ อันทิ้งลงในตะกร้า
กำลังจะเดินเชิดหน้าไปเอาอย่างอื่นแต่เจอดึงแขนไว้ก่อน เอสเอาไอติมทั้งหมดใส่ตู้แช่ไว้คืนเหลือไว้แค่สี่แท่ง
“ทำไรของมึง..”
แคปโวย
“จะกินอะไรเยอะแยะ
คนล่ะสองอันก็พอแล้ว”
“กูจะกินหลายอัน
มึงยุ่งไรด้วยล่ะ..”
พูดพลางจะหยิบมาใส่ไว้คืนแต่เอสดึงแขนให้เดินตามไปที่ตู้แช่อาหารสำเร็จ
“มึงกินไม่หมดหรอกเชื่อกูสิ”
“หมดสิวะทำไมจะไม่หมด”
แคปยังดื้อดึงเถียงต่อแต่ก็ยอมเดินตามแรงดึงมา
พอถึงหน้าตู้อาหารเอสปล่อยแคปออกแล้วถามว่าจะเอาไหมให้เลือกออกมา
แคปส่ายหัวบอกไม่เอา
“กระเพราไก่ไข่ดาว
ข้าวผัดก็มีหยิบออกมาให้พนักงานเขาจัดการเวฟให้..”
แคปส่ายหัวหน้ายุ่งบอกไม่เอาจนคิ้วจะเชื่อมติดกัน
จากนั้นขยับไปรอคิวจ่ายตังค์เอสเดินตามเข้าไป
“อย่ามาร้องหากับข้าวตอนเที่ยงคืนนะ
กูไม่มีให้นะบอกไว้ก่อน..” แคปตวัดสายตาใส่คนพูดทันที
“แล้วทำไมกูต้องร้อง
เดี๋ยวออกจากนี่มึงส่งกูที่ห้องเลย
มาม่าอะไรกูก็มีต้มกินไม่เห็นจะเดือดร้อนมึงตรงไหน เพื่อนกูต้มให้ประจำ..”
“อยู่กับกูมึงยังกล้าพูดถึงคนอื่น
เดี๋ยวมึงจะโดน..” เอสก้มลงไปกระซิบเสียงเหี้ยมใส่
วางตะกร้าลงเพราะถึงคิวเขาพอดีขณะที่แคปเดินอย่างหงุดหงิดไปรออยู่ด้านนอก ไม่นานนักเอสก็เดินหิ้วถุงขนมออกมา
“ส่งกูเลยได้ไหม
เหนื่อย วันนี้กูไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับมึงแล้วนะ..” แคปที่ยืนรออยู่ตัดสินใจบอกไปดีๆวันนี้เหนื่อยจริงเหนื่อยจัง
เขาอยากพักแบบเต็มที่ หิวน่ะหิวแต่อยากจะนอนตอนนี้เลยมากกว่า เอสมองดูคนข้าง ๆ
อย่างพิจารณาเห็นใบหน้าเล็กอิดโรยอย่างเห็นได้ชัดคงเพราะว่าเหนื่อยมาตลอดทั้งวัน เขาจึงยื่นมือออกมาขยี้หัวแล้วบอกให้ขึ้นรถแคปปัดออกเหมือนอย่างเคย
ก่อนที่เขาจะถูกเอสจ้องหน้าแล้วดึงแขนจับไปยัดใส่รถแทน
ในที่สุดรถสีขาวคันสวยจึงเคลื่อนตัวออกไป
“ไม่ไปห้องมึงนะบอกไว้ก่อน..”
แคปชำเลืองมองคนขับหน้ายุ่ง ความจริงอยากจะดิ้นถีบเตะพาลแล้วต่อต้านแรง ๆ
นะแต่วันนี้หมดแรงมากจริง ๆ ต้องเอาน้ำเย็นเข้าลูบ ขนาดนั้นไอ้ตัวดีมันยังนั่งเฉย
ๆ แค่หันมองมาที่เขาบ้างเป็นบางครั้ง
“.........”
“ไอ้อาร์มันเห็นกูขึ้นรถมากับมึง
เดี๋ยวเกิดเพื่อนกูสงสัยขึ้นมา...” พูดพลางชำเลืองมองไปอีก เอสก็ยังเงียบต่อ
แคปส่ายหัวขี้เกียจจะคิดคว้าเอาถุงขนมหลังเบาะกะจะมาเปิดแกะกินเพราะท้องร้องโครกครากขึ้นมาอีกรอบ
แต่เอสยื่นมือมาดึงถุงขนมนั้นไว้แล้วเหวี่ยงกลับไปที่หลังเบาะเหมือนเดิม
“เดี๋ยวค่อยกินจะถึงแล้ว..”เขาหันมาบอก
“อะไรของมึงวะ
กูหิว..” แคปเถียงจะหันไปหยิบถุงมาใหม่แต่เอสกอดคอล๊อคไว้แคปจึงดิ้น
พอรถเหวี่ยงเอสหันมาดุ
“รอแปปเดียวเดี๋ยวถึงแล้วกูยกให้มึงกินทั้งหมดเลยนั่นแหละ..”
“เออดี
กว่าจะถึงที่ตรงนั้นของมึง กูคงเลิกหิวแล้วล่ะไอ้สัส” แคปกัดฟันว่าประชด
เขาหันไปมองนอกหน้าต่าง แอร์เย็น ๆ
กับเพลงเบา ๆ ทำเอาเขาง่วงแล้วง่วงอีก หาวออกมาเป็นรอบที่สาม
เกาหัวตัวเองอย่างหงุดหงิดจนยุ่งเหยิง และตอนนั้นเองที่เสียงเพลงจากโทรศัพท์มือถือสีทองของเอสดังขึ้น
เจ้าของเครื่องหยิบขึ้นมาดูก่อนโยนใส่ตักส่งให้แคป
“รับให้หน่อย”
“อะไรของมึง”
แคปมองดูตัวเลขสิบหลักเรียงกันเป็นเบอร์ที่ไม่ได้ถูกเม็มไว้
“คู่แข่งมึงไง
กำจัดออกไปสิ..” เอสว่าต่ออีก
“คู่แข่งเหี้ยไรวะ..”มือแคปค้างอยู่ที่หน้าจอแล้ว
กะจะรับนะแต่คิดไปคิดมาเขาโยนกลับไปคืนไว้ที่ตักมันอย่างเดิมดีกว่า
เสียงไอ้เจ้ามือถือก็แผดร้องดังลั่นอยู่นั่นแหละเพลงแม่งอะไรไม่รู้
แคปนี่ปวดประสาทสุดๆ
“มึงก็รับสักทีสิวะปล่อยให้มันร้องอยู่ได้
ไม่ก็กดตัดสายไปเลย น่ารำคาญ”
“ก็บอกว่ารับให้หน่อยไง
ขับรถอยู่เนี่ย..”
“โอเคได้กูจัดการเอง
ติ๊ด” แคปกดตัดสายทิ้งไปเลยรำคาญแม่ง
โยนกลับไปที่ตักมันแล้วมองหน้าท้าทายแต่เอสก็แค่ยกยิ้ม
“ก็แค่นั้น”
“ถ้าเกิดเป็นคนสำคัญมึงโทรมากูไม่รู้ด้วยนะ”
“คนสำคัญ?
หึหึ”
“หัวเราะเหี้ยไร”
“ก็แค่สงสัย”
“สงสัยเหี้ยไรของมึงอีก”
“สงสัยว่ามึงไม่อยากรู้รึไงว่ากูเม็มชื่อมึงไว้ว่ายังไงในเครื่องกูน่ะ”
เอสหันไปเลิกคิ้วสูงถาม แค่มันยกยิ้มที่มุมปากแคปนี่ก็หนาวไปถึงสันหลังเลย
หน้าอย่างมันไม่พ้นชื่อผัว ๆ เมีย ๆ ไอ้คนลามกแบบมัน ทุเรศสุด
“กู-ไม่-อยาก-รู้!” แคปพูดหนักแน่น
แต่สายตาจดจ้องอยู่ที่มือถือบนตักนั่น
เอสที่เหมือนจะรู้ทันรีบหยิบโทรศัพท์ตัวเองมากดปิดเครื่องก่อนยัดเก็บไว้ที่ช่องเก็บของข้างประตู
“ไม่อยากรู้จริงอ่ะ”
“เรื่องของมึงเถอะ
ว่าแต่เมื่อไหร่จะถึงที่ๆมึงจะพาไปสักที อะไรวะขับมาตั้งนานกูหิวจนจะเป็นลมตายอยู่แล้ว
กูว่ากลับเลยดีกว่าไหม
อย่าคิดว่ากูสัญญาจะเป็นตุ๊กตาหน้ารถให้มึงหนึ่งวันแล้วจะพาไปที่ไหนก็ได้นะ เวลาหมดตอนเที่ยงคืนกูบอกให้รู้ไว้เลย”
“โอ้โห
นี่กูมากับสโนไวท์เหรอวะเนี่ย หึ”
“ซินเดอเรลล่าไอ้เหี้ย!”
สวนกลับแทบไม่ทัน เอสขำยิ่งกว่าขำหันไปมองใบหน้ายุ่ง ๆ
นั่นแล้วยื่นมือเข้าไปขยี้หัวเล็กอีกครั้ง
“หึหึ
ขำอีกแล้วว่ะ อยู่กับมึงกูไม่มีเบื่อเลยจริง ๆ ”
“บ้าฉิบ”
แคปสบถเพราะเจอคนตอบกวนๆเข้าให้ ปัดมือมันออกแรง ๆเหมือนอย่างที่เคยทำ
ในที่สุดรถเลี้ยวเข้าซอยขรุขระระยะหนึ่งก่อนที่จะเจอย่านที่อยู่อาศัยแบบโบราณเล็กๆแคบๆทั้งสองฝั่ง
มันคล้ายกับเป็นโฮมสเตย์หรืออะไรสักอย่าง
มีคนต่างชาติและคนไทยหลายคู่เดินจูงมือผ่านไปมา
แผงลอยขายของที่ระลึกติดไฟสีส้มดวงเล็กๆประดับสวยงามตีคู่ไปกับทางขึ้นลงเนินเล่นระดับที่เต็มไปด้วยดอกลีลาวดีสีขาวที่ร่วงหล่น
ราวกับกับสถานที่ท่องเที่ยวชายทะเลยามค่ำคืน
มีลมแม่น้ำพัดโกรกเข้ามาส่งให้บรรยากาศดียิ่งๆขึ้นไปอีก
แคปสูดเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอด เขายืดสองแขนออกจนสุดเงยหน้านิดๆ รับลม
“ไปทางนั้นกัน..”
เอสเดินถือถุงขนมเข้ามาหาแล้วดึงแขนให้อีกคนเดินตาม
มีคู่รักชายชายสองสามคู่เดินสวนทางผ่านมา เขาเดินจูงมือกันอยู่แคปเห็นแบบนั้นแล้วก็รู้สึกประหลาดนิดๆ
หันไปมองเอสที่ยังทำหน้าเฉย ๆ ตัวเองกลับรู้สึกว่ามีความร้อนอยู่แถว ๆ
ฝ่ามือพอค่อย ๆ ไล่สายตาต่ำลงไปปรากฏว่าเขากับมันกำลังเดินจูงมืออยู่เหมือนกัน
แคปนี่สะดุ้งโหยงรีบชักฝ่ามือออก
“จะจับทำไมล่ะวะน่ารำคาญจริงเลย..”
ว่าใส่แบบนั้นแล้วเดินดุ่ม ๆ นำไป เอสเอาแต่อมยิ้มขำ ยอมปล่อยอีกคนง่าย ๆ เขาก็แค่เดินถือถุงขนมตาม
ตั้งใจพามาอยู่แล้วปล่อยให้แคปแวะดูโน่นนี่นั่นตามร้านค้าเล็กๆไปเรื่อย
ขณะที่เขาเองก็แค่ตามใจดูอะไรไปเรื่อยๆบ้างเหมือนกัน เมื่ออีกคนหยุดลงที่ตรงไหนเขาก็จะรออยู่นอกร้านแค่นั้น
เดินเข้าร้านนึงออกอีกร้านนึงหน้ายุ่งกลับออกมา สักพักก็ยืนลูบท้อง
“อยากได้อะไร..”เอสเดินเข้าไปถาม
“ไม่อยากได้”
แคปยักไหล่
“งั้นไปตรงโน้น..”
คนชวนบ่ายหน้าบอกทาง เขาดึงแขนอีกคนให้เดินตาม
ทางลงเนินใกล้กับบาร์เหล้าเล็กๆสร้างเป็นกระท่อมไม้ไผ่มุงด้วยหญ้าคาและฟางข้าวแห้ง
ติดดวงไฟประดับเป็นรูปส้มผลเล็กๆจนรอบ
ที่นั่งมีแค่สามโต๊ะแต่กลับถูกจับจองไปหมดแล้ว ส่วนหน้าเคาน์เตอร์นั่น
บาร์ไม้ไผ่ถูกเรียงรายไว้ด้วยเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สีสันต่าง ๆ นับสิบ เอสเดินเข้าไปคุยกับพนักงาน
ยื่นเงินใบสีเทาจ่ายก่อนคีบเอาบาคาดี้สีฟ้าแดงสองขวดใส่มือ
จากนั้นเดินเข้ามาดึงแขนแคปบอกให้เดินตาม
ที่ด้านหลังกระท่อมนั่น
เป็นภูมิทัศน์ที่ถูกปรับให้เป็นจุดชมวิวส่วนตัว
มีทางเดินเชื่อมลงสู่แม่น้ำสายสำคัญลักษณะเป็นระเบียงไม้เล็กๆขนาดหนึ่งเสื่อยื่นออกไปบนผืนน้ำ
ด้านหลังมีต้นลีลาวดีใหญ่โค้งเข้ามาปกคลุม
ยามเมื่อลมพัดโกรกเข้ามาดอกสีขาวของมันจะปลิวร่วงหล่นส่งกลิ่นหอมอบอวล
“โห
สวยจัง วิวแจ่มมาก..” แคปพึมพำมัวแต่ยืนตื่นตะลึง
ไม่เคยรู้ว่ามีที่ๆสวยงามขนาดนี้ซ่อนอยู่ใจกลางเมืองที่แสนแออัดและวุ่นวาย สะพานพระรามแปดที่เห็นอยู่ไม่ไกลมีสายเคเบิ้ลระนาบคู่สีเหลืองทองที่ขึงเสากับตัวสะพานเป็นเส้นทะแยงมุมนับร้อย
สะท้อนกับแสงไฟจนส่องประกายงดงามสะดุดตาต้องลงบนผิวน้ำ
เขาเบื่อตึกหรูหราเต็มทนวันนี้ได้มายืนบนพื้นไม้เย็น ๆ
ทอดสายตามองวิวที่เป็นธรรมชาติของแม่น้ำที่ลำคลองแบบนี้แคปรู้สึกดีมากจริง ๆ ตั้งใจสูดเอาอากาศบริสุทธิ์เต็มอิ่มอีกครั้งและเผลอระบายรอยยิ้มออกมา หันมองไปข้าง ๆ
ที่นั่งถัดๆไปมีคู่รักสี่ห้าคู่นั่งชมเดือนชมแสงจันทร์กันอยู่ที่มุมส่วนตัวซึ่งแต่ละจุดห่างกันพอสมควร
นึกพิลึกตัวเองนิดๆที่ต้องมานั่งในที่ๆบรรยากาศดีแบบนี้กับไอ้ตัวข้าง ๆ ถ้าเปลี่ยนเป็นสาวสวยน่ารักสักคนมาแทนที่ได้จะดีมากๆ
“ทำหน้าอะไรของมึง
นึกอะไรเพี้ยนๆขึ้นมาอีกล่ะดิ..” เอสดึงแขนบอกให้นั่งลงมาด้วยกันได้แล้ว
ยืนนานปวดขา
แต่แคปกลับถอนหายใจยกใหญ่ออกมาเขาก้มลงไปมองไอ้คนที่มันนั่งลงไปแล้วเรียบร้อยเงยหน้าจ้องเขาอยู่
“กูกำลังคิดไง
ว่าบรรยากาศดีๆแบบนี้ถ้าได้มากับสาวสวยสักคนน่าจะดีกว่ามากับมึงเยอะ!”แคปทิ้งตัวนั่งลงข้างๆแล้วยื่นหน้าพูดคำว่า
เยอะ แบบเน้น ๆ เอสเอามือจิ้มหน้าผากเล็กคาดโทษแต่แคปยักไหล่ใส่บอกไม่กลัว
เอสเลยยื่นขนมปังส่งให้แทน
“กูเอาสีแดงนะ..”
แคปเมินขนมปังแต่คว้าเอาขวดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ดีกรีต่ำสีแดงมาไว้กับตัว ก่อนหยิบถุงขนมมาเลือกของกินที่อยู่ด้านใน
แคปหยิบซองไอติมแท่งมาฉีกเลีย
“ท้องมึงร้องดังขนาดกูยังได้ยิน
ทำไมไม่กินขนมปังก่อนวะ ไอติมทีหลังสิ..” เอสดุนิดๆ
แต่แคปกลับหันไปถลึงตาใส่แล้วบอกห้ามยุ่ง แคปคาบไอติมไว้ในปากแล้วหยิบเอาขวดบาคาดี้สีฟ้าของเอสมางัดกับฝาขวดสีแดงของตัวเอง
ขวดแดงเปิดฝาออกแล้วส่วนไอ้ขวดฟ้าแคปไม่สนใจยื่นส่งคืนให้เจ้าของมันแล้วเลิกคิ้วท้า
ประมาณว่าแน่จริงมึงเปิดดิ่ ไม่มีอะไรมางัดแล้วบอกให้รู้
“ดื้อนัก
กินแต่ไอติมกับไอ้ขวดแบบนี้ระวังท้องมึงจะบิดตีเกลียวเป็นทวิตเตอร์นะ..”
เอสคว้าเอาขวดตัวเองกลับคืนแล้วใช้ฟันสวยๆของเขางัดเปิดอย่างไม่สนใจ แคปนี่เห็นแล้วเบะปากใส่ แหม่ ทำเป็นโชว์ อิโถวของแค่นี้ใครก็ทำได้โว๊ย กูแค่ไม่อยากทำ
จิ๊
“กูอยากกินไอติมก่อนเดือดร้อนมึงตรงไหนล่ะ..”
ไม่อยากสนใจไอ้ขวดน้ำสีนั่นอีกแล้ว เขานั่งดูดนั่งเลียไอติมรสเผือกหอมอร่อยของเขาไป
เอสหันดูแล้วก็ส่ายหัว กัดกินขนมปังของตัวเองต่อ
แคปมองไปที่ฝั่งตรงข้ามเยื้องไปทางด้านขวาพระจันทร์ดวงโตกลมสวยกำลังทาบเงาเข้ากับสายน้ำกว้าง
กลายเป็นลูกไฟดวงใหญ่ๆสะท้อนออกมาในจุดที่แสงไฟพาดส่องลงไปถึงได้ เขาตื่นตาตื่นใจมาก
มีสายลมยามดึกที่โกรกพัดเข้ามาพาเอากลิ่นหอมของดอกไม้สีขาวที่ตกเกลื่อนอยู่ตามพื้นลอยเข้ามาแตะถึงปลายจมูก
แคปหยิบดอกลีลาวดีที่เพิ่งร่วงตกลงมาต่อหน้าต่อตาเขาทั้งคู่ขึ้นมาดูแล้วเผลอดม....หอม
“เอาเสียบทัดหูมึงสิ
กูว่าคงจะเหมือนลิง..”
“สัส
ปากหมา..” แคปนี่หันไปด่าแทบไม่ทัน คนกำลังเคลิ้มอารมณ์ดี ๆ ไอ้ห่า
“หึหึ
ขำว่ะ” เอสพึมพำแล้วส่ายหัว แคปตวัดตาเขียวปั๊ดใส่ ขำห่าขำเหี้ยไร
เขาทำอะไรแม่งเอาแต่ขำ โรคจิต
“มาบ่อยล่ะสิท่ามึงอ่ะ..”
แคปหันมาถามบ้าง วางดอกไม้นั้นลงแล้วสนใจไอติมของเขาต่อ
“ไม่บ่อยหรอก
นานๆที..” เอสกัดขนมปังก้อนนุ่มเคี้ยวจนเต็มแก้ม
เขาบอกให้แคปกินขนมปังด้วยกันแต่แคปกลับส่ายหัวบอกไม่
เอสหยิบดอกไม้สีขาวดอกใหม่ที่เพิ่งร่วงตกลงมาส่งให้อีกแต่แคปไม่สนใจ
นั่งกินไอติมของเขาต่อ เอสเลยแกล้งเอาดอกไม้นั่นวางไว้บนหัวเล็ก
“ไม่เอา
อย่าสิ..” แคปเอียงหลบ เอสขำขึ้นมาอีกแคปเลยทำเชิดใส่ไม่อยากจะสนใจ
เขาสองคนนั่งทอดสายตาไปที่ฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำใหญ่เงียบ ๆ
ไกลจากตรงนี้ไม่มากมีเรือลำใหญ่ประดับไฟสวยงามค่อยเคลื่อนตัวอ้อยอิ่งไปตามแนวลำน้ำ
มันคงเป็นเรือชมจันทร์จากโรงแรมใหญ่ไม่ไกลจากฝั่งตรงนี้ บรรยากาศกำลังเงียบได้ที่ แต่ท้องแคปดันร้องโครกครากขึ้นมาอีก
“ก็บอกแล้วว่าให้กิน..”
เอสแบ่งขนมปังในมือออกเป็นสองส่วนแล้วส่งให้
“กูพูดตอนไหนว่าหิว..”
เด็กดื้อก็ยังเป็นเด็กดื้ออยู่ดี นับวันมีแต่จะดื้อหนักขึ้นไปอีก
เอสถอนหายใจหนักๆแล้วจ้องหน้า
“ท้องมึงทรยศซะขนาดนี้ยังมาเถียงได้อีกนะไอ้แคป
เอาไปกินซะ..” เอสดุใส่
แต่แคปไม่สนใจเลือกหยิบอันใหม่ขึ้นมาแล้วฉีกซองออกมาแล้วกินๆๆ
ความจริงเขาหิวมากเลย
“เรื่องอะไรกูต้องกินกับมึงวะ
อันนี้กูเลือกมาเองอร่อยกว่าไอ้ที่มึงเลือกตั้งเยอะ”
“อร่อยจริงดิ..”
เอสหลอกถาม แคปพยักหน้าตอบพาซื่อ มือข้างนึงถือไอติม อีกข้างถือขนมปัง
แก้มกลมเคี้ยวตุ่ยๆ เอสหันมองคนข้าง ๆ ตัวแล้วอดขำออกมาอีกไม่ได้
“ถ้าอร่อยจริงไหนลองป้อนกูดิ๊
ขอชิมหน่อย”
“อึ่กก! มึงฝันเหรอ”
แคปถองศอกประเคนใส่พุงเอสเพราะมือไม่ว่าง
เขาหันไปถลึงตาใส่แถมด้วยอีกอย่างโทษฐานที่นั่งหัวเราะเขาอยู่ได้ จนกระทั่งต่างฝ่ายต่างเงียบกันไป
กลับเป็นแคปที่ผิดสังเกตหันไปถามเพราะเห็นว่าเอสนั่งจ้องเขาอยู่นานแล้ว
“อะไร
มองกูทำไม”
“มึงกินไอติมเก่งนี่”
เอสว่า
“ยังไง...”
แคปหันขวับไปถาม มันคล้ายกับคำชมนะแต่รู้สึกทะแม่ง ๆ
น้ำไอติมกำลังจะละลายย้อยหยดลงมาเขารีบเอาปากดูดจ๊วบๆที่โคนแท่งไว้ เอสได้โอกาสเลยชี้
“ก็ท่าดูดกับท่าเลียมัน
เอ่อ...มัน....”
“มันอะไร..”
ปากนี่ถามไปอย่างนั้นแหละ แคปตะหงิดๆขึ้นมาแล้วไอ้เหี้ยเอสแม่งนึกเรื่องอะไรชั่ว ๆ
ขึ้นมาอีกแหง ๆ แคปก็แค่กัดฟันกรอดรอฟังอีกคนต่อรูปประโยค
เอสยึกยักไปหน่อยนึงแต่ในที่สุดก็พูดยาวออกมา
“มันชวนให้คิดว่าถ้าเปลี่ยนจากไอติมเป็นของๆกู
มันจะน่าดูขนาดไหน โอ๊ย!! ผั๊วะ!! แคปพอ โอ๊ยยกูเจ็บไม่เอาแล้ว ผั๊วะ ตุ๊บๆๆ ผั๊วะ!” แคปทิ้งถุงในมือลงทันที ตาขวางขึ้นมา กูว่าแล้ว หน๊อยยยยยยยย
ในหัวมึงนี่คิดแต่เรื่องลามกทั้งนั้นสินะ คนก็แค่นั่งกินไอติม
คิดหัวมึงสิคิดไปได้เนาะเรื่องดูดเรื่องเลีย
แคปทั้งก่นทั้งด่า ทุบตีเอสจนอีกฝ่ายต้องรวบมือเขาไว้
ถึงอย่างนั้นขาเล็กก็ยังฤทธิ์เยอะจะยกขึ้นมาถีบ
เอสจึงใช้ขาตัวเองเกี่ยวแล้วกดล๊อคเอาไว้ นี่ขนาดสถานที่และบรรยากาศดีขนาดนี้เขาสองคนยังเถียงยังตีกันได้
“ปล่อยกู!”
แคปร้องสั่งหน้ามุ่ย
โดนเอสรัดแน่นอยู่แบบนี้เขาเองก็กลัวจะมีคนเห็นมองซ้ายมองขวากลับไม่มีสักคนที่หันมาสนใจ
“นิ่ง
ๆ สิวะ” เอสว่า
“มึงก็ปล่อยกูสิ”
“ปล่อยแล้วจะนั่งเฉยๆไหมล่ะ”
“เรื่องดิ”
แคปเถียงเชิดหน้าขึ้น เอสเห็นริมฝีปากที่เขาจูบอยู่เป็นประจำอยู่ใกล้ชิดขนาดนี้ก็เกิดความรู้สึกอยากจะแกล้งขึ้นมาอีก
มือใหญ่เลื่อนเข้าไปล๊อคต้นคอแคปไว้ทันที
“ไอ้เชี่ย
อย่า..” แคปฝืนไว้จนตัวสั่น ไอ้บ้าเอสมันก้มลงมาแล้วจริง ๆ
ปลายจมูกเขากับมันเฉียดกันแค่ไม่กี่เซนต์บ้าเอ๊ย
แคปขยุ้มคอเสื้อทั้งผลักทั้งดันมันไว้ ขณะที่ปากก็พ่นคำด่าระรัว
“ไอ้สัส
ไอ้คนเลวไอ้คนชั่ว สันดานแย่ มึงมันนักฉวยโอกาส บ้าเอ๊ย
ปล่อยกูออกไปได้แล้วแม่งอึดอัด ไอ้เหี้ยเอสมึงปล่อยกู๊วววว..”
แคปรวบรวมพลังครั้งสุดท้ายแต่ผลคือเอสแทบจะไม่กระดิกขยับเลยแม้แต่น้อย
คราวนี้เจอรัดแน่นมากจริง ๆ เขาโกรธจนตัวสั่น จ้องหน้ามันแล้วเงียบจนเอสมองแล้วต้องตัดสินใจปล่อยออกมา
“มีแต่จะเอา
มีแต่จะอยากได้ มึงได้กูไปแล้วนี่ยังไม่พออีกรึไง
ต้องให้ขนาดไหนถึงจะพอแก่ใจมึงอีกห๊ะ..” เขาโพล่งคำพูดระบายออกมาด้วยความน้อยใจ
สู้ไม่เคยได้แต่โดนบังคับประจำ ถึงเอสจะทำแค่จูบแต่คำว่าไม่ชอบยังไงมันก็คือไม่ชอบ
เอสหันมองคนที่นั่งบ่นจนหน้างอ
เลื่อนตัวขยับแล้วขยับอีกจนเขาต้องชี้ให้ดูว่านั่นน่ะจวนจะตกน้ำอยู่แล้วให้เลื่อนเข้ามาอีก
แคปจึงค่อยๆ เขยื้อนขยับกลับมาอย่างช่วยไม่ได้
เอสยื่นซูกัสรสนมส่งให้แต่แคปส่ายหน้า เขาเลยใช้ดวงตาคมกริบจ้องมองไปที่อีกคน
“มึงรู้ไหม
กูมันมักโลภที่สุดเลยล่ะ” จู่ ๆ น้ำเสียงทุ้มต่ำดังขึ้น
“ร่างกายที่ได้มาแล้วน่ะทำให้กูสนใจอยากจะได้อะไรที่มากกว่านั้นอีก..” แคปหันขวับมองไปที่คนพูดทันที
ดวงตาคมกริบสองคู่จดจ้องกันและกันแน่นิ่ง
มันใกล้เสียจนแคปมองเห็นแม้แต่เงาของตัวเองสะท้อนออกมาจากดวงตาที่เต็มไปด้วยความมั่นใจคู่นั้น
กลับเป็นแคปที่ต้องหลบหลีก
เบนสายตาไปหาแสงสะท้อนสีเหลืองทองที่ขับให้ราวสะพานตรงหน้าสวยงามโดดเด่น
“กูเกลียดมึงที่สุดอ่ะ
มึงรู้ไหม..” แคปพึมพำว่า
“ไม่รู้สินะ
แต่เขาว่ายิ่งเกลียดจะยิ่งรัก ระวังไว้ดีๆด้วยล่ะ..” เอสหยิบดอกไม้ที่ร่วงตกลงมาใหม่วางลงในแม่น้ำ
มันค่อย ๆ กระเพื่อมตามแรงส่งของสายน้ำเอื่อย ๆ ล่องลอยออกไป
“ไม่มีทางหรอกเว้ย
คนอย่างกูไม่มีทางรู้สึกอะไรแบบนั้นกับมึง..”
“จริงดิ”
ทันทีที่แคปพูดจบเอสคว้าหมับต้นคอขาวล๊อคแล้วดึงเข้าหาตัวเขาทันที
องศาการเอียงใบหน้าได้ที่เรียบร้อยแล้วหากแต่เขายังไม่ยอมกดริมฝีปากหยักจูบลงไป
แคปที่หลับตาปี๋คิดว่าตัวเองต้องโดนจูบเข้าแน่ ๆ จึงค่อยเปิดเปลือกตาขึ้นมอง
พอเห็นว่าเอสอมยิ้มแล้วจ้องหน้าเขาอยู่คล้ายกับแกล้ง มือเล็กก็ฟาดชกลงไปที่ท้องคนตัวใหญ่กว่าทันที น่าเสียดายที่อีกฝ่ายหลบทันรวบมือเขาไว้ได้อีกแล้ว
“หึหึ
คิดว่ากูจะจูบรึไง”
“สัส
ก็เพราะว่าเป็นมึงนักฉวยโอกาสน่ะสิกูถึงต้องคิดอะไรชั่ว ๆ แบบนั้น”
“นักฉวยโอกาส??”
เอสทวนคำเย้ย เจอแคปทั้งดิ้นทั้งด่า
“โฮ้ยยย
ปล่อยกูได้แล้ว อึดอัดน่ารำคาญเป็นบ้า”
“ถ้าปล่อยแล้วจะอยู่นิ่ง
ๆ ไหมล่ะ นั่งอยู่เฉย ๆกินไปแบบเงียบ ๆ ”
“เรื่องดิ
ทำไมกูต้องเชื่อมึงด้วย”
“เอองั้นไม่ปล่อย”
“กูไม่นิ่งแล้วมึงก็ต้องปล่อย!”
แคปเถียงจนคอขึ้นเอ็น เขาเม้มปากแน่นเชิดหน้า เอาดิ๊กูโมโหแล้วแม่ม
สองคนจ้องตากันจนในที่สุดเอสเป็นฝ่ายยอมปล่อยเขาออกมาจากอก แคปรีบขยับถอยห่างออกมา
“กูจะนั่งเงียบ ๆ รอเวลา พอเที่ยงคืนปุ๊ปมึงต้องส่งกูที่ห้องทันที”
“คิดว่ากูจะทำแบบนั้น??”
เอสหันมาเลิกคิ้วสูงถามกวนตีนได้อีก แคปโมโหคว้าเอาถุงขนมมาแกะกินต่อแล้วขยับออกมาทำท่ารังเกียจ
เอสไม่อยากจะสนใจหยิบไอติมขึ้นมาแกะด้วยเหมือนกัน สองคนนั่งชันเข่ากินขนมกันเงียบๆต่อไป
อย่าได้สงสัยทำไมไม่มีบุหรี่ อากาศดี ๆ แบบนี้เอสก็แค่ทิ้งมันไว้บนรถ
เขามองโทรศัพท์มือถือแคปที่วางอยู่แล้วส่งสายตาบอก
“อะไรของมึงอีก”
แคปหันมาถามหน้ายุ่ง
มองหน้าเอสสลับกับมือถือตัวเอง
“เปิดเพลงดิ
เครื่องมึงมีเพลงเบาๆฟังไหม ไม่เอาเอฟเอ็มนะ..” เอสบอกเรื่องเพลงแต่ริมฝีปากพลันกระตุกรอยยิ้มร้าย เขาแลบลิ้นสีสดออกมาเลียไอติมยั่ว
นั่นยิ่งทำให้แคปโมโหหนักลืมตัวขยับเข้าไปคว้าไอติมในมืออีกคนฟาดทิ้งลงน้ำไปอย่างไม่สนใจ
เอสหันมาจ้องหน้าเอาเรื่องสุดๆ
“สะใจว่ะ..”
แคปเม้มริมฝีปากท้าทายพร้อมกับตีคิ้วใส่
เอสกระชากไหล่เล็กเข้ามาบีบทันที เขาจ้องหน้าดุ
“มากไหมล่ะหื้ม
สะใจน่ะ”
“เรื่องของกู”
แคปปัดมือใหญ่ออกให้พ้นตัว เขานั่งกินขนมปังต่ออย่างไม่ใส่ใจอะไรทั้งนั้น เอสถอนหายใจเซ็งส่ายหัวไม่อยากจะสนเช่นกัน
เขาหยิบเอาโทรศัพท์แคปขึ้นมาอันดับแรกที่คิดนานแล้วคือไลน์เด้งเข้ามาเรื่อย ๆ
น่ารำคาญมากเขาจึงกดปิดเน็ต จากนั้นเลื่อนหาแอปฯเพื่อกดเปิดเพลงช้า ๆ เบา ๆ
ที่คิดไว้แล้วว่าอีกฝ่ายน่าจะมีอยู่เยอะ
ทว่าพอได้เห็นลิสต์รายชื่อเพลงเอสนี่นึกขำเลย
มีเพลงลูกทุ่งเพลงเก่าเพลงโบราณอะไรต่อมิอะไรเยอะมากๆ
ก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะแล้วแต่รสนิยม เขาก็แค่กดเลือกเพลงตั้งต้นไปแบบมั่ว ๆ
แล้ววางลง
ขณะที่แคปเห็นมันเอามือถือตัวเองไปกดแล้วนะแต่ก็ไม่อยากจะสน ช่างหัวมัน
แย่งกลับคืนมาก็เป็นเรื่องอีก
มันอยากเล่นอะไรเล่นไปไม่มีความลับอะไรแปลกๆอยู่ในเครื่องนั้นอยู่แล้ว เขานั่งกินขนมต่อไปเรื่อย
ๆ พอกินจนหมดเขาก็เริ่มหาวหวอดสามสี่ครั้งจนน้ำตาจะไหล
“กี่โมงแล้ววะ
กูอยากกลับแล้วนะ ฮ้าววววว” หาวออกมาเป็นครั้งที่ห้า
ไม่ยกมือขึ้นปิดปากใดๆทั้งสิ้น ไม่จำเป็นต้องรักษาภาพพจน์อะไร
เขาเป็นตัวของตัวเองไม่ได้คิดจะให้มันมองแต่ด้านดีๆอยู่แล้ว
ยิ่งมันรู้สึกว่าเขาน่าเกลียดได้ยิ่งดี แคปหาวออกมาต่ออีกนิดตาปรือขึ้นอีกหน่อย
เปลือกตาบางหนักอึ้งแทบจะปิดลงอยู่รอมร่อ อยากบอกไอ้ตัวดีข้าง ๆ เหลือเกินว่า กู-ง่วง-มาก
ทนแทบไม่ไหวแล้วเหี้ย
เหนื่อยหนักหนามาทั้งวัน นี่ยังต้องมานั่งถ่างตาถ่อลมกลางคืนแบบนี้อีก
มันก็ใช่อยู่บรรยากาศมันสวย อากาศมันก็ดี แต่ต้องมาทนนั่งกับไอ้ตัวอันตรายแคปยิ่งกว่าจะต้องระมัดระวังตัว
แต่ในที่สุดคนที่นั่งหาวหวอดก็หลับคอตกเป็นนกจำศีล
เอสหันมองนิ่ง ๆ อยู่สักพักก่อนที่เขาจะดึงไหล่เล็กให้พิงซบมาที่บ่าแกร่ง
เสียงลมหายใจหนักหน่วงบอกให้รู้ว่าคนขี้โวยวายอย่างแคปหลับลงได้แล้วจริง
ๆ
พระจันทร์ดวงโตยังคงทอดเงาลงในแผ่นน้ำกว้าง เรือไฟงดงามลอยเอื่อยคู่ไปกับบรรยากาศและกระแสลมยามดึก
เสียงหรีดหริ่งเรไร ร่ำร้องขับขานราวกับเป็นสักขีพยานว่า
ในค่ำคืนนี้มีอนาคตคู่รักพิลึกกึกกือหนึ่งคู่มานั่งชมจันทร์กินขนมด้วยกัน
ริมฝีปากระบายรอยยิ้มออกมาบางๆก่อนที่มือใหญ่จะเกลี่ยปอยผมสีอ่อนที่ปลิวระบนใบหน้าขาวแล้วเลื่อนไปลูบลงที่ศีรษะเล็กของอีกคน
ท่วงทำนองเพลงแผ่วเบา ๆ จาก
โทรศัพท์มือถือของแคปที่เปิดเป็นเครื่องเล่นเพลงทิ้งไว้พลันเกิดเป็นเสียงเพลงไพเราะดังลอดออกมา
.
.
.
♪ ♫ ♫ ...ไม่มีเหตุผลที่ยากๆให้หนักใจ มีเพียงเหตุผลที่ง่ายๆ ถ้าอยากฟัง
มันเป็นเหตุผลข้อเดียวของทุกอย่าง
รักเธอ...................หมดใจ
ไม่มีเหตุผลที่ยากๆให้หนักใจ มีเพียงเหตุผลที่ง่ายๆถ้าอยากฟัง
ไม่มีเหตุผลที่ยากๆให้หนักใจ มีเพียงเหตุผลที่ง่ายๆถ้าอยากฟัง
มันเป็นเหตุผลข้อเดียวของทุกอย่าง
รักเธอ..................เหลือเกิน ♫ ♩ ♬ ♬。
.
.
ราวหนึ่งชั่วโมงผ่านไป
เสียงเคาะระฆังจากหมู่บ้านใกล้ ๆ บอกให้รู้ว่าเป็นเวลาเที่ยงคืนพอดี
เอสมองดูนาฬิกาที่ข้อมือเทียบกันก่อนเขย่าเรียกคนที่ยังนอนหลับพิงไหล่เขาอยู่ ริมฝีปากเผยอออกมาน้อย ๆ หลับใหลไร้สติ
“แคป....”
“.........”
“แคป
ตื่น...”
“.........”
“ไอ้แคป
ถ้ามึงไม่ตื่นอีก กูจะใช้วิธีการของกูปลุก
อย่ามาร้องโวยวายแล้วตีกูทีหลังนะเว้ย..” เขาหันไปพูดกับคนข้าง ๆ ที่นอนซบ
แต่ก็เหมือนกับว่าเขากำลังพูดอยู่คนเดียว
เสียงกรนครอกๆดังลอดออกมาเบา ๆ
เอสขยับใบหน้าแค่นิดเดียวเท่านั้นปลายจมูกโด่งของเขาเฉียดเข้ากับหน้าผากมนสวย
เอสชะงักไว้แค่ตรงนั้น ชั่งใจอะไรบางอย่างแต่ในที่สุดเขาก็กดปลายจมูกลงไปอยู่ดี
จูบลงเบาๆราวกับกลัวว่าจะทำให้อีกฝ่ายตื่นทั้งที่กำลังปลุกกันอยู่แท้ ๆ
แคปขยับตัวนิดๆ
“แคปตื่น
กูจะเอาจริงแล้วนะ..” คราวนี้เรียกแบบจริงจังใช้น้ำเสียงดุแต่แคปก็ยังคงอ้าปากหลับไม่ได้สนใจอะไรทั้งนั้น
เอสจะเรียกขึ้นมาด่าก็ไม่ใช่นิสัย ที่สำคัญมันไม่ยอมตื่นนี่สิปัญหา เขาตัดสินใจลุกพรวดขึ้นเลยแคปจึงร่วงลงทั้ง ๆ
ที่นอนเอนอยู่แบบนั้น หัวเกือบจะฟาดลงที่พื้นไม้แต่เอสรองรับเอาไว้ได้ทัน
แคปลืมตาตกใจร้องโวยวายดังลั่น
“ทำเหี้ยไรของมึงวะ
กูตกใจนะเนี่ยแม่งคนกำลังนอนหลับสบายๆเลยห่า!”
ตื่นขึ้นได้โวยวายอีก
เอสใช้สายตาด่าไปแทนแต่คนมองกลับไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรหรอก แคปหน้ายุ่งลุกขึ้นปัดๆกางเกงให้สะอาดก่อนเดินหลับตากระแทกไหล่อีกฝ่ายแทรกตัวขึ้นเนินเตี้ยๆตัดออกไป
“มึงส่งกูที่ห้องเลยนะ”
พอขึ้นรถได้สั่งอย่างเดียว เอสหันไปมองหน้ากำลังจะอ้าปากพูดอะไรสักอย่าง
แต่เสียงท้องแคปร้องโครกครากออกมาก่อน
คราวนี้มีอัพเกรดแถมเสียงบิดตัวของลำไส้ดังจนเจ้าของยังเบ้หน้าทำท่าเจ็บ
“เป็นไรของมึง
ปวดท้องหิวข้าวเหรอ..”
รถกำลังจะเลี้ยวออกจากซอยแล้วนะแต่รู้สึกว่าแคปเหมือนจะเจ็บจริง ๆ
เขาจึงชะลอรถลงก่อน
“ยุ่งน่า
รีบส่งกูที่ห้องสักที..”แคปรู้ว่าตัวเองไม่ได้กินข้าว
ถึงแม้ขนมปังจะตกถึงท้องแต่เขาเป็นคนที่ถ้าไม่ได้กินข้าวจะปวดท้องเป็นประจำ
“ปวดท้องหิวข้าวก็บอกมาตรง
ๆ ลีลาท่ามากทำไม”
“เรื่องของกู
รีบๆขับไปเหอะมึงอ่ะ..” แคปยกมือกุมท้องนั่งนิ่วหน้าหลับตาเอาหัวพิงเบาะ เอสเอาโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายหาใครสักคน
แต่แคปไม่ได้สนใจจะฟัง
รถเคลื่อนตัวออกไปแล้ว เพียงแค่สิบนาทีหลังจากนั้น
รถยนต์สีขาวคันสวยก็มาจอดลงที่ผับคุ้นเคย แคปมองซ้ายมองขวา
“อะไรของมึง
จอดที่นี่ทำไมวะ..” คนยิ่งหิว ๆ อะไรวะอย่าบอกนะว่าจะมาเที่ยวทั้งๆแบบนี้
ดูชุดเขาทั้งคู่ก่อนคนนึงนักบาส อีกคนนึงนักบอล แล้วจะพามาเที่ยวผับหรูหรา
โอ๊ยยยยกูจะบ้า แคปนี่นั่งหันหน้าหันหลังจ้องหน้าคนขับ
“ไอ้เหี้ยเอสมึงบ้าป่ะวะกูถามจริง”
“อย่าถามมาก
ลงได้แล้ว” เอสเดินลงจากรถ กระชากประตูฝั่งคนนั่งเปิดอ้าออก
“ลง..”
สั่งอีกครั้ง ยืนจ้องหน้าแคป
“กูไม่เข้าไปนะ
ชุดแบบนี้ไม่มีทางเข้าไปเด็ดขาด ที่สำคัญกูหิวมาก
ถ้ามึงจะเที่ยวต่อเดี๋ยวกูเรียกแท็กซี่กลับเองได้..”
แคปเงยหน้าขึ้นมาบอกไม่ยอมก้าวขาลงรถ เอสดึงแขนแล้วกระชากบอกให้เข้าไปด้วยกัน
เสียงปิดประตูรถดังมาก มีน้องพนักงานวิ่งเข้ามาหา
เอสยื่นใบร้อยส่งให้ตบไหล่แล้วบอกฝากรถด้วย น้องเขาพยักหน้ายิ้มรับ
“อะไรของมึงวะ
แล้วจะไปทำไมทางนี้ล่ะวะเนี่ย..” แคปทั้งเดินทั้งวิ่งตามแรงลาก
ปวดท้องก็ปวดไอ้เหี้ยเอสยังจะพาเขาอ้อมไปเข้าฝั่งทางด้านหลัง
รู้ตัวอีกทีก็เห็นป้ายเฉพาะพนักงานเท่านั้นแปะติดอยู่
“มึงมาเข้าอะไรทางนี้เล่า
ต้องไปเปิดบัตรผ่านด้านหน้าโน่น..” แคปคว้าจับกรอบประตูไว้
ก่อนที่เอสจะยืนจ้องหน้าแล้วบอกให้เงียบ ๆ ตามเขาเข้ามาก็พอ
“บ้าเอ๊ย..”
ทั้งสบถทั้งๆเดินตาม เดี๋ยวเจอเจ้าของเขาเรียกตำรวจแล้วมึงได้หนาวแน่ ๆ
แคปกำลังจะดึงรั้งอีกฝ่ายไว้แล้วบอกให้ไปเข้าทางด้านหน้าแทน
สาวสวยคนนึงก็เดินออกมาจากด้านใน ดูเหมือนว่าหน้าเธอคุ้นพอสมควร
“มาได้สักทีนะเรา
อาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไปจ๊ะแคป เป็นไงบ้าง
เห็นเจ้าเอสบอกว่าเราหิวจนจะเป็นลมแล้วจริงเหรอ..”
เธอเอ่ยทักยาวเหยียดพร้อมกับส่งรอยยิ้มให้
ขณะที่แคปกลับมองเธออย่างงงๆผู้หญิงคนนี้จู่ ๆ พูดเรื่องอะไร
เธอเข้ามากอดเอวแคปบอกให้เดินตามเข้าไป ส่วนไอ้ตัวดีที่พาเข้ามานั้นมันเดินล้ำหน้าไปก่อนโน่นแล้วไม่สนใจหันมามองที่เขาสักนิด
“.......”
ไอ้บ้าเอสเอ๊ย มึงทิ้งกูได้นะมึง
แคปเขย่งโหยงๆตะโกนเรียกแบบไร้เสียง แน่นอนว่าเอสไม่มีทางได้ยินหรอก
“กินกันที่นี่นะ
อาหารง่าย ๆ พี่ไปแย่งที่ครัวทำมาเองเลย แคปทานได้ใช่ไหมไข่เจียวหมูสับ..”
เธอพาเขาสองคนเข้ามานั่งลงที่ห้องผู้จัดการหรืออะไรสักอย่างที่อยู่โซนด้านในสุดของตัวผับ
ห้องแคบมากผนังบุกันเสียงจากภายนอกปิดกั้นทุกส่วน
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีเสียงดนตรีหนักๆดังลอดผ่านช่องประตูเข้ามาได้
“พี่แอมป์ไงพี่สาวเอสเราเคยเจอกันแล้วนี่ เห็นทำหน้างงๆไม่ใช่ว่าแคปลืมพี่ไปแล้วหรอกนะ”
“อ๋อเปล่าครับ
ไม่ลืม..” แคปรีบตอบรักษามารยาท
อันที่จริงตอนที่เจอกันครั้งก่อนนั้นมันเป็นการแนะนำแบบผิดพลาดไปต่างหากเขาจึงไม่ได้สนใจจะจำ
แอมป์เห็นแคปนั่งจ้องอาหารเธอจึงชี้บอกให้ทานได้เลย ไข่เจียวหอมๆกับข้าวสวยร้อน ๆ
แคปที่นั่งมองจานข้าวอยู่นานแล้ว แต่อดทนกัดฟันไว้เพราะเธอมัวแต่ชวนคุย
และเพราะน้ำลายมันพาลจะไหลหกออกมา เขาหิวมากจนเอสที่นั่งข้าง
ๆถึงกับเอามือเข้ามารองใต้คางให้ นึกภาพน้ำลายยืดย้อยหกลงมาแล้วคงน่าตลกเป็นบ้า
แคปทำตาเขียวใส่แล้วปัดมือเอสออกแรงๆ จะบ้าเรอะใครมันจะไปทำน้ำลายยืดได้ขนาดนั้นจริง
ๆ พี่แอมป์หัวเราะดังลั่นส่วนเอสก็แค่ยักไหล่
“หยอกกันน่ารักจริง
ๆน๊า ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าเอสจะพาแคปมากินข้าวถึงที่นี่ มันดึกขนาดนี้แล้ว”
“ถ้าไม่จำเป็นไม่รู้สึกว่าอยากมาเลยนะ”
เอสหันมายิ้มกวนๆใส่พี่สาว เธอจึงถอนหายใจใส่
“นอกจากมาเที่ยวล่ะสิท่า
ไม่งั้นฉันจะได้เห็นหัวแกบ้างไหมล่ะไอ้น้องชายตัวดี แล้วนี่ใส่ชุดอะไรกันมา
ไปเล่นบาสเล่นบอลกันมาเรอะ..” เอสยักคิ้วตอบอกว่าใช่ เขายกแก้วน้ำเย็น ๆ
ขึ้นดื่มแล้วหันไปหาแคป ดูว่ากินได้ไหม
“กินได้ป่ะ..”
คนที่ยังก้มหน้าก้มตากินพยักตอบหงึกๆ ไข่เจียวหมูสับมือดึกแบบนี้อร่อยมากจริง ๆ
หอมหมูสับหอมพริกไทย เม็ดข้าวก็สวยนุ่มร้อน
เขาหลับหูหลับตาพุ้ยๆๆข้าวกินจนเต็มกระพุ้งแก้ม
แอมป์มองแคปแล้วก็ยิ้มเธอเลื่อนแก้วน้ำส่งให้
“ขอบคุณครับ..”
แคปกินจนหมดจานแล้วกล่าวขอบคุณ แอมป์บอกไม่เป็นไร
ที่จริงแล้วเอสโทรมาบอกให้เธอเตรียมอาหารไว้
บอกจะพาเพื่อนแวะมากินเธอเลยทายไปว่าแฟนคนนั้นที่เคยเจอรึเปล่าเอสบอกใช่แค่นั้นเธอก็เตรียมไข่เจียวง่าย
ๆ ไว้ให้เพราะคิดว่าแคปต้องไม่เรื่องมากแล้วก็จริงอย่างที่คิด
แคปนี่ได้แต่ส่งยิ้มอ่อนจางคือไม่รู้จะพูดกับเธอว่าอย่างไรเพราะสิ่งที่เธอเข้าใจมันผิดพลาดไปหมด
เขาไม่ใช่แฟนน้องชายเธอด้วยซ้ำ
“ไม่ต้องเกรงใจนะ
ถ้าหากแคปอยากแวะมากินข้าวฝีมือพี่ก็แวะมาอีกได้จ๊ะเข้าด้านหลังก็ได้
อย่างเจ้าเอสเวลาอยากกินอาหารด่วน ๆ
ก็เข้ามาด้านหลังทุกทีแหละรายนี้น่ะทำอาหารเองไม่เป็นหรอกหิวดึกดื่นทีไรวิ่งมาหาพี่ทุกที
แล้วแคปล่ะทำเป็นไหม...”
ดูเหมือนว่าเธอจะคุยเก่งจนน่าใจหาย
แคปฟังทันบ้างไม่ทันบ้างส่ายหน้าแล้วพยักหน้าตอบมั่วไปหมด
ต่างกับเอสที่ไม่ได้ฟังเธอเลย เขาแค่รอแคปกินเสร็จก็เท่านั้น
“กลับได้รึยังจะตีหนึ่งแล้ว..”
เอสเห็นแคปกินจนหมดจานเขาก็ลุกขึ้น เดินไปชะโงกมองผ่านกระจกไปที่ผับด้านนอกเจอขาแดนซ์นักเที่ยวเยอะมากๆจวนตีหนึ่งแบบนี้เวลากำลังดี
ส่วใหญ่เมาได้ที่ทั้งหญิงทั้งชาย ต่างคนต่างถือแก้วเหล้าสีกันให้คลัก
เอสตบๆหาบุหรี่นึกได้ว่าทิ้งไว้บนรถ เขาเลยเดินไปหยิบแก้วน้ำมาดื่ม แคปถือจานเปล่าเดินไปหาเอส
ส่งสายตาถามว่าเขาควรจะเอาไปเก็บในครัวเองดีไหม
แต่รายนั้นก็แค่มองไม่ได้สนใจเขาสักนิดว่าต้องการจะสื่ออะไร
“เอาวางไว้ที่นี่เลยจ๊ะแคป
เดี๋ยวพี่เรียกพนักงานมาเก็บออกไปเอง” เธอดึงจานในมือแคปวางลงที่เดิม
เอสเดินเข้ามาหาแตะหลังบอกว่ากลับกันได้แล้ว
ขณะกำลังจะเดินออกไปพี่สาวคนสวยจึงดึงแขนน้องชายตัวเองไว้
“ดึกแล้วอย่าเถลไถลกันนะกลับห้องเลย”
“รู้แล้วน่า”
เอสหันมาบอก พวกเขาทั้งหมดกำลังเดินผ่านบานประตูเล็กๆทะลุออกทางด้านหลัง
ที่ลานจอดรถเด็กพนักงานที่ดูแลรถวิ่งเข้ามาทำความเคารพแอมป์อย่างนอบน้อม
เธอโบกมือบอกว่าไม่เป็นไรธุระส่วนตัว เด็กนั่นจึงวิ่งเลี่ยงไป
“แกแวะกลับบ้านบ้างนะแม่กับป๊าบ่นคิดถึง
เมื่อคืนก็ยังพูดอยู่เลย ว่างวันไหนก็ให้แวะเข้าไป”
“เดี๋ยวดูก่อน
ช่วงนี้ยังไม่ว่าง” เอสบอก
“ไม่ว่างงั้นเหรอ
เห๊อะ แคปดูเอานะ เจ้าเอสน่ะพี่บอกให้กลับบ้านนี่ไม่เคยกลับหรอก
พ่อกับแม่บ่นพี่จนหูชาบอกให้ลากตัวมันกลับบ้าน ขอร้องเลยนะแคป
ถ้าว่างก็บังคับขู่เข็ญให้มันกลับไปค้างที่บ้านบ้าง
ติดเมียจนอยู่แต่ห้องแบบนี้ถ้าแม่รู้เดี๋ยวเป็นเรื่องพอดี”
“ติดเมีย?”
แคปคิ้วขมวดทวนคำ แอมป์เลยตบพุงเขาเบา ๆ แล้วอมยิ้มส่งให้ เธอขยิบตาเหมือนคนรู้ทัน
แคปผงะรู้ตัวในทันที ปากหนอปากกูไม่น่าถามเลย เข้าตัวอีกแล้ว
ทำท่าแบบนี้เอาไม้หน้าสามมาฟาดหัวกันยังจะดีกว่า
“อย่าพูดมาน่าพี่แอมป์..”
เอสดึงแคปให้ขึ้นรถ แอมป์จึงก้มลงมาบอก
“ขับรถดีๆล่ะกลับกันเลยนะอย่าแวะที่ไหนอีกมันดึกมากแล้ว” ทั้งสองคนพยักหน้ารับ
แคปไหว้สวัสดีแล้วบอกขอบคุณ เธอปิดประตูให้แล้วยกมือบ๊ายบาย
ความจริงแล้วตอนที่เดินออกมาพี่สาวน้องชายคุยกันเรื่องอะไรแคปไม่ได้ฟังเลยด้วยซ้ำ
ปล่อยสองคนเดินคุยกันไปเขาเดินตามหลังดูรถลูกค้าที่มาเที่ยวหลายคันสวยๆทั้งนั้นจอดเรียงกันไว้เธอถามอะไรก็เออออไปตามเรื่อง
หลังจากรถเคลื่อนตัวออกมาจากผับนั่นเอสกดเปิดวิทยุหาเพลงเบา
ๆ ฟัง แคปมองดูเวลาได้แต่หวังว่าไอ้ตัวอันตรายเอส
คงจะส่งเขาลงที่หอโดนสวัสดิภาพไม่นอกลู่นอกทาง
“พี่มึงใจดีเหมือนกันนะ”
จู่ๆแคปก็พูดขึ้น เอสหันมามอง
“ยังไง”
“ก็ทอดไข่อร่อย
สวยด้วย ใจดี ท่าทางคงเก่งไม่งั้นผู้หญิงคนเดียวจะคุมผับใหญ่ๆแบบนั้นได้ยังไง แต่ว่า หน้าตาไม่เห็นเหมือนมึงเลยนี่หว่า
ดูดีกว่าเป็นร้อยเท่า”
“หึ
ขนาดนั้นเลย”
“เออดิ
พี่เขาคงตามใจมึงจนเสียนิสัยล่ะนะ น้องคนเล็กอย่างมึงเลยนิสัยแย่ ๆ
สันดานไม่ดีชอบรังแกคนอื่นแบบนี้ไง”
“ใครเป็นน้องคนเล็ก”
เอสหันขวับมาถาม
“ยังจะมาถามก็มึงไม่ใช่รึไง”
“กูมีน้องสาวอีกคน
แต่ตอนนี้ไม่ได้เรียนอยู่เมืองไทยเพราะงั้นคนที่เป็นน้องคนเล็กแล้วถูกตามใจจนสันดานไม่ดีก็คือมึงนั่นแหละมากกว่า”
“ไอ้สัสได้ทียอกย้อนกูเชียวนะ”
“หึหึ..”
เอสยกยิ้มขำๆ
ไม่บ่อยนักที่เขาจะพูดย้อนอีกคนยาวเหยียดขนาดนี้แต่กับแคปยิ่งแกล้งยิ่งมันส์
เวลาที่ได้เห็นมันทำหน้าตายุ่ง ๆ หน้าโกรธๆยิ่งขำเข้าไปใหญ่ เขาอารมณ์ดีผิวปากไปตามเสียงเพลง
จู่ๆเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือของแคปพลันดังขึ้น เจ้าของเครื่องกำลังจะหยิบขึ้นมากดรับแต่ดันทำร่วงตกลงไปในซอกข้างประตูกว่าจะล้วงแล้วหยิบขึ้นมารับได้
คนปลายสายก็ด่าแหลก พี่เต้ พี่ชายแคปเอง
(ช้ามาก)
พอกดรับก็ถูกต่อว่าทันที แคปไม่ได้อธิบายมากมายอะไรเขาแค่อือๆตอบไปเท่านั้น
(มึงอยู่ไหนเนี่ย)
เต้ถามลงมาอีก
“อยู่...เอ่อ..อยู่กับเพื่อน”
อึกอักนิดหน่อยก่อนตอบ
ไอ้เหี้ยเอสมันไม่ได้เป็นกระทั่งเพื่อนของเขาด้วยซ้ำ จะให้พูดว่าอยู่กับศัตรูคู่อริคงไม่ได้
(เพื่อนไหนวะ
เพื่อนมึงกูเห็นอยู่สนามบอลกันหมด ตอนที่แยกกันออกมากูไม่เห็นมึงนะ
ได้มาคัดตัวเตะบอลป่ะเนี่ยคาปู)
“ไปดิ
ผมเตะเสร็จแล้วเหอะก็เลยออกมา”
ก็เพราะไอ้น้องรหัสตัวดีของพี่ไม่ใช่รึไงเขาถึงต้องมาตกระกำลำบากแบบนี้
(งั้นก็แล้วไป
มึงอยู่กับใครที่ไหนบอกกูมาดิ๊..) น้ำเสียงเต้ถามมาค่อนข้างจริงจัง
แคปผู้ซึ่งโกหกใครไม่ค่อยเนียนถึงกับยกมือขึ้นกุมขมับ
“อยู่กับ.......เออใช่
พี่เต้เจอไอ้อาร์กับไอ้ปอยังอ่ะ”
แคปกำลังจะตอบแต่นึกบางอย่างได้จึงเอ่ยถามพี่ชายขึ้นก่อน
(เจอแล้ว
ทำไมวะ)
“อ๋อเปล่า
เจอแล้วก็ดี”
(น้องคาปูครับกูว่ามึงแปลกแล้ว
บอกมาเดี๋ยวนี้อยู่ที่ไหนกับใคร
แล้วอย่าริมาโกหกเพราะถ้ากูจับได้ทีหลังมึงจะโดนมากกว่าที่ควรเป็นสามเท่า)
เต้เก็กเสียงขู่ แต่แคปกลับเงียบไปไม่ยอมตอบ
มีเสียงอึกอักเหมือนคนคิดอะไรไม่ค่อยตกดังลอดออกมา เต้ได้ยินแบบนั้นถึงกับหัวเราะ
(อยู่กับผู้หญิง?
กำลังทำเรื่องอย่างว่า?)
“เปล่านะ”
แคปรีบปฏิเสธ
(อายเหี้ยไรวะ
บอกมาเร็วอยู่กับใคร? แฟนใหม่มึงอ่อ)
“ไม่ใช่สักหน่อย”
(ก็แล้วใครล่ะวะ)
เต้ชักโมโห แคปหันมองไอ้ตัวดีข้าง ๆ
ที่มันช่างไม่รู้สึกรู้สาอะไรก็เริ่มหงุดหงิด ทำให้เขาต้องมาปั้นคำโกหกบ้า ๆ
กับพี่ชาย เขาไม่ทำแน่สู้พูดเรื่องจริงยังจะดีกว่
าเพราะเรื่องจริงพูดสิบครั้งก็ยังจะเป็นคำเดิม
แต่คำโกหกพูดสิบครั้งรับรองว่าเขาปั้นไม่เหมือนเดิมสักครั้ง
พี่เต้ผู้เลี้ยงเขามากับมือจับได้แน่ ๆ อยู่แล้ว
“อยู่กับไอ้เอสน่ะ”
แคปพูดออกมาจนได้ถึงจะไม่ดังมากแต่เต้ที่ปลายสายกับคนขับที่นั่งอยู่ข้างกันก็ได้ยินชัดเจน เอสยกยิ้มขึ้นทันทีราวกับเขาพออกพอใจ
แคปโมโหเลยประเคนหลังมือฟาดใส่หน้ามัน เจอมือใหญ่กว่าปัดออกจนปวดไปหมด
หันไปด่าแบบไร้เสียง เอสหัวเราะหึ
(เออใช่ ไอ้อาร์ก็บอกกูอยู่นี่หว่ากูลืมไปได้ไงวะคาปู
แล้วพวกมึงไปที่ไหนกันน่ะ ดีกันแล้ว?? หรือพากันไปถึงไหน) ดีนะที่แคปพูดความจริง
ที่แท้พี่เต้รู้อยู่แล้ว ตายห่าแน่ ๆ ถ้าเขาโกหก
“ไม่ถึงไหนหรอก แถวหน้ามหาลัยนี่แหละ
มันพาไปกินข้าวเพราะอยากจะให้ผมช่วยอะไรมันสักอย่าง กำลังคุยตกลงกันอยู่..” อันนี้แคปโกหกแบบเต็ม
ๆ
(มันมีปัญหาเหรอวะ)
เสียงเต้ซีเรียสขึ้นนิดๆ เขาคงคิดว่าเอสมีปัญหาจริง
“อ่าครับ
ใช่ มันมีปัญหา”
(กูรู้แระ)
“ห๊ะ!?” แคปอุทาน
เพราะจู่ๆเต้พูดขึ้นทำท่าเหมือนรู้อะไรดีๆแล้วจริง ๆ
หน้าเขานี่ซีดเผือดไปหมดตามประสาคนที่ทำความผิด แต่ก่อนที่จะคิดอะไรเลยเถิดมากเกินกว่าเหตุพี่ชายก็ไขข้อข้องใจให้เขาก่อน
(กูรู้แล้วว่าทำไมถึงเป็นมึง
แล้วกูก็รู้ด้วยว่ามันมีปัญหาเรื่องอะไร ตอนนี้ไอ้เอสมันติดสาวอยู่ที่คณะมึงน่ะ
พวกกูยังไม่รู้แน่ชัดว่าเป็นใคร ขนาดเพื่อนมันเองมันยังไม่ยอมพูดเลยนะ
เพราะงั้นมันก็เลยเลือกมึงไงคงคิดว่าอย่างน้อยมึงก็เป็นน้องชายกู กูคิดว่านะ
ไอ้เอสคงจะอยากให้มึงเป็นพ่อสื่อพ่อชักให้มันแน่ๆ)
“อะไรชักๆนะครับ
ใครชักให้ใคร..” แคปเสียงสั่นเครือแทบจะเป็นเสียงร้องไห้
พี่เต้รู้ถึงขนาดที่ว่าไอ้เหี้ยเอสมันติดใครสักคนอยู่ที่คณะพวกเขา
ตายห่าแล้ว ตายๆๆๆๆ เรื่องจะแดงขึ้นทุกทีแล้วไอ้แคปเอ๊ยมึ๊ง
ริมฝีปากบางสั่นระริกพูดพึมพำไม่เป็นภาษา
(พ่อสื่อพ่อชักไอ้น้องบ้า
มึงพูดอะไรไปถึงไหน) เสียงเต้เรียกสติให้แคปได้อีกครั้ง เขาสูดลมหายใจขึ้นใหม่
“ครับ
ๆ พ่อสื่อพ่อชัก คงจะใช่แหละ”
(เพราะงั้นมึงต้องสืบมาให้กู
ว่าสาวคนไหนที่ไอ้น้องรหัสกูมันไปสนอกสนใจถึงขนาดนั้น มันบอกมึงยังล่ะ)
“ห๊ะ
อ่ะ คือ......”
ยังพูดไม่ทันจบประโยคคำพูดอึกอักของเขาต้องหยุดลงแค่นั้นเมื่อเอสคว้าหมับเอามือถือแคปไปพูดต่อให้เอง
มันพูดอะไรสักอย่างต่ออีกแค่สองสามประโยคหัวเราะแล้วก็กดวาง พอเอสวางสายลงแคปนี่หันไปฟาดๆๆๆแล้วแถมทุบอีกหนึ่งทีระบายความแค้น
“มือหนักเป็นบ้า”
เอสหันมาโวย
“เรื่องของกู!”
แคปตะคอกเสียงดังลั่น ยกสองมือเสยๆๆแล้วขยี้หัว
หวังว่าพี่ชายคงยังจับพิรุธอะไรไม่ได้ เพราะไอ้ตัวอันตรายข้าง ๆ คนเดียว
เขานี่ฮึ่ยยยอยากจะขย้ำขยี้มันนัก
“ส่งกูที่ห้องเลยนะ
ไม่แวะที่ไหนอีกแล้ว”
แคปหน้ายุ่งมองเห็นแล้วว่ารถถึงตำแหน่งที่ควรจะต้องสับเปลี่ยนเส้นทาง
เขารีบพูดขึ้น
“ให้ส่งถึงเตียงเลยป่ะล่ะ..”
แคปหันขวับมองคนพูดทันที ทำตาเขียวเป็นรอบที่ยี่สิบ
เขางุ่นง่านขนาดนี้ยังมีหน้ามากวนตีนต่อ เดี๊ยะเหอะมึงเดี๊ยะๆ บอกตัวเองว่าให้ใจเย็น
ๆ ไว้ ทุกอย่างจะต้องนิ่ง
เผื่อยั่วมันโมโหขึ้นมาอีกเดี๋ยวมันจะฉวยโอกาสทำอะไรแปลกๆ
เกิดขับเตลิดไปห้องมันจะยุ่งเข้าไปใหญ่ แคปจึงเลือกที่จะเงียบแล้วเชิดหน้า
“กูขี้เกียจเถียงกับมึงแล้วว่ะ”
“ทำไม”เอสหันมาเลิกคิ้วถาม
“ปวดหัวปวดท้องปวดฟันอิ่มเกิน”
“ใกล้ตายแล้วดิ”
เอสพูดกวน ๆ ใส่อีก
แคปนี่อยากจะยื่นมือไปตบกะโหลกสักเปรี้ยงเสียแต่ว่ารอให้ถึงห้องตัวเองก่อน
เดี๋ยวกูจะด่ากราดเป็นเอ็มสิบหกรัวแล้ววิ่งลงเลยคอยดู
“เออสิ
อยู่ใกล้มึงมากไปกูตายได้ง่าย ๆเลยรู้ตัวป่ะ”
“หึ
กูไม่ให้มึงตายได้ง่ายๆหรอกนะวางใจได้เลย..” เอสหันมายักคิ้วใส่
“ทำไม
มึงเกี่ยวไรด้วยล่ะ”
“ก็ถ้ามึงตายกูจะแกล้งใครได้มันส์อย่างมึงกันล่ะหื้ม
หึหึ”
“........” หน๊อยยยยยยยย แคปนี่กัดปากแน่น
ยกนี้กูแพ้อีกแล้วสัส ฮึ่ยยยยย
“ทำหน้าอะไรของมึง
ยุ่งซะ” มือใหญ่ยื่นออกมาขยี้หัวเล็กอย่างสะใจที่แกล้งได้แต่เจอแคปผลักออกแรง ๆ
ยุ่งทั้งคิ้วทั้งหน้า
“กูเกลียดมึงที่สุดอ่ะ”
“รู้ดิ มากไหมล่ะ เกลียดมากจนจะตายเลยไหม”
“เออ
ตายได้ง่ายๆเลยอยู่ใกล้มึงบอกไปแล้วนี่”
“ทำไม
อยู่ใกล้คนหล่อแล้วจะตาย แสดงว่ามึงแพ้คนหล่อดิ?”
“ไอ้สัส
พูดออกมาไม่อายปาก” แคปหันไปสวน เอสหัวเราะหึ
“อายทำไมพูดความจริง”
“ความจริงหัวมึงสิ
พูดจาอะไรรู้จักอายคนอื่นบ้าง ไม่อายกูก็หัดอายตัวเอง
ส่องกระจกอยู่ทุกวันนี้มึงมองแต่หูเหรอถึงไม่เคยรู้ว่าตัวเองหน้าตาเหมือนอะไร
ขี้เหร่แค่ไหน”
“ปากดีจริง
ๆ นะเมียกูนี่ เดี๋ยว...เดี๋ยวจะถึงแล้วกูจะอดใจไว้ก่อน”
“มึงจะทำเหี้ยอะไร”
หันไปแทบจะทันที
“ทำแบบที่เคยทำไง
สั่งสอนคนปากดี”
“ไอ้....”
แคปรีบเงียบกริบลงทันที จะด่าอีกก็ได้แต่สบถอยู่ในใจ กัดริมฝีปากอย่างคั่งแค้น
ปัดโถ่โว๊ย!
รอให้กูลงจากรถมึงก่อนเถอะแม่งชาตินี้อย่ามาฝันว่ากูจะไปไหนมาไหนกับมึงอีก
และในที่สุดรถเลี้ยวผ่านจุดสแกนหน้าคอนโด
ตัดเข้ามาตีวงจอดที่ช่องจอดฟรีด้านใน แคปน่ะปลดเบลท์รอตั้งแต่ก่อนรถเลี้ยวเข้ามาจอดแล้ว
แต่น่าเสียดายที่เอสเหมือนรู้ทันกลับไม่ยอมกดปุ่มล๊อคออกให้ พอรถจอดสนิทลงปั๊ป
แคปหันไปถลึงตามองคนขับทันที
“ทำอะไรของมึงน่ะ”
เอสกำลังทำอะไรอยู่สักอย่าง หันหน้าหันหลัง แคปมองดูอย่างสงสัย
“รอแปปกูเอาของก่อน”
เขาเอื้อมมือไปหยิบพวกอุปกรณ์ของใช้ส่วนตัวต่าง ๆ อยู่ที่เบาะหลัง
โทรศัพท์มือถือที่ชาร์ต บุหรี่ไอพอด คือทุกอย่างพร้อมอยู่ในมือมัน
แคปนี่นั่งมองหน้าเอสจนเซ่อ
“มะ...หมายความว่ายังไง”
แคปถามต่อตะกุกตะกัก
“เตรียมของไง
ป่ะลงได้แล้ว” เสียงเปิดรถดังขึ้น
แต่แทนที่แคปจะเป็นฝ่ายเปิดลงไปคนแรกกลับเป็นเอสที่ตั้งท่าพร้อมยิ่งกว่าเจ้าของห้อง
“เดี๋ยวก่อนไอ้เอส
มึงจะไปไหนวะนั่น” แคปรีบคว้าไหลเอสไว้ ถามเรื่องที่รู้อยู่แล้วเต็มอก
“ก็จะลงไง
ดึกแล้วกูค้างกับมึงนะไม่กลับห้องหรอกขับรถไม่ไหวแล้ว”
“ไม่ได้!”
แคปรีบตะคอกสวนขึ้นอย่างดัง “มึงค้างไม่ได้ ห้องกูกูแชร์อยู่กับเพื่อน
จะให้กูแก้ตัวกับเพื่อนกูว่าอะไร
แค่ออกไปกับมึงแล้วกลับเอาป่านนี้พวกมันก็ต้องสงสัยกันแน่อยู่แล้ว
เกิดเอามึงเข้าไปนอนค้างด้วยอีกกูจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนวะมึงหัดคิดบ้าง”
“งั้นไปนอนห้องกูไหมล่ะ
แบบนั้นมึงก็ไม่ยอมอีกดิ”
“กูไม่ไปไหนกับมึงทั้งนั้น
กูจะขึ้นห้องกูแล้วมึงก็กลับห้องตัวเองไปซะ เรื่องง่ายๆแค่นี้อย่ามาทำเป็นงี่เง่า”
แคปพูดจริงจังทั้งน้ำเสียงและสีหน้า
“แบบนั้นไม่เอา”
แต่เอสส่ายหัวปฏิเสธจริงจังเช่นกัน เขาตั้งท่าใหม่อีกครั้งก้าวขาลงไปแล้วข้างนึง
แคปนี่รีบกระโจนไปดึงเอาตัวมันไว้แทบจะไม่ทันอีก
“ไอ้เหี้ยเอสมึงจะด้านไปไหนห๊ะ
เจ้าของห้องเขาไม่ให้มึงค้างด้วยนี่มึงยังจะพยายามได้อีกนะ”
“ไม่เป็นไร
ไหนมึงบอกมึงอยู่กับเพื่อนไงเดี๋ยวกูคุยกับเพื่อนมึงเองได้” อีกครั้งที่เอสทำท่าจะลุกแคปนี่หน้าจืดยิ่งกว่าจืด
เขาใช้สองมือดึงเสื้อบาสมันจนคอเสื้อรั้งรัดลำคอ เอสหันมาดึงกลับแล้วบอกให้ปล่อย
“ลงเหอะง่วงแล้ว
กว่าจะอาบน้ำอีก”
“นี่กูต้องทำยังไงวะมึงพูดดิ๊
จะเอายังไงแบบไหนมึงถึงจะยอมกลับ กูโมโหจริง ๆ แล้วนะเนี่ย” แคปเดือดสุด
“อะไรกันไม่อยากให้กูค้างด้วยขนาดนั้นมันไปไม่แปลกไปหน่อยรึไง
มึงกับเพื่อนมึงมีอะไรยังไงแบบไหนรึเปล่า”
“แบบไหนเหี้ยมึงสิ”
แคปฟาดหัวทุย ๆ
นั้นไปหนึ่งทีคนกำลังซีเรียสเรื่องค้างไม้ค้างก็เสือกพูดเรื่องไม่เป็นเรื่องขึ้นมาอีก
“ไม่มีผู้ชายหน้าไหนเขามาสนใจกูหรอกมีแต่คนตาบอดหูหนวกอย่างมึงนี่แหล่งแม่งตื้อไม่หยุดเลยกูแทบจะบ้าอยู่แล้วมึงรู้ตัวบ้างป่ะ”
“ไม่บ้าหรอกเดี๋ยวมึงก็รู้สึกดีๆกับกูเอง”
“ไม่มีทางหรอกเหี้ยมึงอย่าฝัน”
แคปสวนกลับ
“ไม่เคยสนใจกันจริงอ่ะ”
“......”
แคปเบะปากแล้วส่ายหัว เอสได้แต่ยกยิ้มขำๆ
“รักล่ะ
เคยไหม”
“นั่นน่ะยิ่งแล้วใหญ่
ไม่มีทางหรอกเว้ย คำว่ารักต้องเก็บไว้พูดกับคนที่เราคิดจะจริงจังด้วยสิวะ
กูไม่มีทางพูดมันออกมาง่าย ๆ หรอก”
“แล้วจริงจังกับกูรึยัง”
“มึงจะบ้าเหรอห๊ะ นอนกันแค่ครั้งเดียวกับได้นอนข้างกันอีกสองคืน
กูจะไปรักมึงได้ยังไงวะ นั่นมันก็แค่ความสัมพันธ์ทางกาย
กูพลาดกับมึงครั้งเดียวจำเป็นอะไรกูต้องใช้คำว่ารักกับมึงคนที่บังคับกูเยี่ยงทาสด้วยห๊ะ..”
“ทาสเลย?”
“ก็เออสิ
มึงน่ะมันแย่ยิ่งกว่าแย่ สันดาน นิสัย ไม่ได้เรื่องสักอย่าง
บังคับกูตลอดพอไม่ได้ดั่งใจก็จับจูบ ดีหน่อยที่มึงยังรู้ผิดชอบชั่วดีไม่ข่มขืนกดกูลง
ถ้าเป็นแบบนั้นถึงมึงหล่อหรูรวยคับฟ้าผู้ดีแค่ไหน กูก็ไม่ยอมรับมึงเลยอ่ะบอกให้รู้
แม้แต่ความเป็นเพื่อนกูก็จะไม่ให้ มึงจำเอาไว้เลย”
“ไม่ทำหรอกแบบนั้นน่ะ..”เอสพูดพลางใช้มือเสยผมที่ยาวปรกหน้า
แคปหันมองเขาจึงยักคิ้วกวนๆส่งให้
“ไม่นิยมวิธีข่มขืน
แต่ปล้ำจูบนี่ชอบนัก”
“ไอ้สัส”
แคปด่า
“หึหึ..”
“อย่ามาวกวนเรื่องมาก
มึงต้องกลับได้แล้วกูจะขึ้นห้องห้ามตามมาเด็ดขาด
ถ้ามึงพูดไม่ฟังต่อไปกูจะไม่...อึ่กก....”
“จะไม่อะไร..”
เอสอมยิ้มใส่ ขณะที่แคปกลับอึกอักเพราะตอนแรกกะจะพูดว่า ถ้ามึงไม่ฟังต่อไปเขาจะไม่ยอมไปไหนด้วยอีก
ขืนพูดออกไปแบบนั้นไอ้เหี้ยเอสมันต้องคิดว่าเขาคิดอยากจะไปไหนมาไหนกับมันอีกแหง ๆ
แคปเลยหยุดชะงักไว้ก่อน
“กูถามว่าจะไม่อะไร..”
เอสเอียงหน้ากัดปากยั่วรอฟังคำตอบ
“จะไม่อะไรก็ช่างกูเถอะ กูลงแล้วนะมึงกลับได้เลย” แคปก้าวลงไปหนึ่งขาปรากฏว่าเอสที่เร็วยิ่งกว่าก้าวลงไปยืนอยู่แล้วเช่นกัน
“มึงทำอะไรน่ะห๊ะ..”
แคปกระโดดโผล่หน้าไปด่าข้ามรถ เอสเลิกคิ้วส่งให้แล้วยักไหล่
“เข้าไปนั่งในรถเลยนะมึง
ห้ามลง!”
“มึงก็เข้าไปก่อนดิ”
เอสต่อรองอีกครั้ง
“กูจะเข้าก็ได้แต่มึงเองก็ต้องเข้าด้วย”
“ตามนั้น..”
เอสว่าจบเข้าไปนั่งอยู่ในรถปิดประตูโครมใหญ่
แคปไม่น้อยหน้ายืนรีรอบวกลบคูณหารในใจอยู่กลับถูกเอสดึงแขนแล้วกระชากลงมานั่งคุยกันใหม่
แคปบอกตัวเองให้นับหนึ่งถึงสิบเขาจะต้องใจเย็น เขาจะต้องตะล่อมอีกฝ่ายให้ได้
จิตวิทยาทุกอย่างที่มีต้องงัดออกมาใช้ เมื่อเขาตั้งสติเย็น ๆ
ได้แคปหันไปจ้องหน้าเอสแล้วตั้งอกตั้งใจพูดดีๆด้วย อย่างชัดถ้อยชัดคำ
“กูจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย
มึงต้องกลับไปห้องตัวเอง
ห้องกูมึงเข้าไปค้างไม่ได้เพื่อนกูอยู่มันดูไม่ดีมึงเข้าใจที่พูดใช่ไหม”
“เข้าใจแต่กูอยากจะนอนกอดเมีย
จะให้กูทำยังไง..” เอสตอบเรียบ ๆ
แต่คำว่าเมียคล้ายกับคนเอาเข็มเป็นพันเล่มปักลงกลางหัวใจแคปเสียจริง
ในที่สุดเขาก็หมดความอดทนอีกครั้ง
“โฮ้ยยยยยน๊อออออ
มึงน๊อออออกูจะทำยังไงกับคนอย่างมึงดีวะเนี่ยเหี้ยเอ๊ยยยย จะทำยังง๊ายยยยย
กูจะทำยังไงมึงจะให้กูทำยังไงมึงถึงจะยอมกลับบอกกูมาซิ! ทำยังไงวันนี้มึงถึงจะยอมขับรถออกไปดี ๆ
แล้วปล่อยให้กูเดินขึ้นห้องอย่างสบายใจ ไหนลองบอกมาซิครับห๊ะ!!” แคปขยี้หัวตัวเองจนยุ่งเหยิงไปหมด
หงุดหงิดอารมณ์เสียฟุ้งซ่านเพราะพูดกับไอ้ตัวข้าง ๆ ไม่รู้เรื่อง
มันน่ะยิ่งกว่าเด็กอนุบาลกอไก่
“มีอยู่หนึ่งทางนะ”
จู่ ๆ เอสยกยิ้มแล้วบอกทางเลือกออกมา แต่แคปยังไม่ไว้ใจต่างคนต่างเหล่ดูกัน
“ทางไหน?
อย่าบอกนะว่าให้กูไปค้างที่ห้องมึงแบบนั้นกูไม่เอาเด็ดขาด” ต้องรีบออกตัวไว้ก่อน
อยู่กับมันถ้าช้าโดนเอาเปรียบทางร่างกายทุกที
“เปล่าไม่ใช่ทางนั้นหรอก”
“แล้วอะไร”
“มึงจูบกูดิ
จูบแค่ครั้งเดียวกูจะยอมกลับออกไปดี ๆ ไม่โวยวายไม่ดื้อดึง
รับรองว่ามึงจะเดินขึ้นห้องได้อย่างสบายอกสบายใจอย่างที่มึงต้องการเลย..”
“มึงฝันเอาสิไอ้เหี้ย
รู้อยู่แล้วว่าไม่มีทางยังจะพูด..”แคปสวนขวับ
หันไปถลึงตาเหลือกๆใส่แล้วขู่ฟ่อคงคิดว่าตัวเองดุน่าดู แต่น่าเสียใจจริง ๆ ที่เอสกลับมองเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นแค่หมาชิสุตัวเล็กๆที่ดุกว่าลูกแมวนิดหน่อยก็แค่นั้น
เขากระตุกรอยยิ้มขึ้นมาอีก
“นั่นคือทางเลือกแค่อย่างเดียวที่กูจะมีให้ กูให้มึงตัดสินใจแค่หนึ่งนาที
รู้ใช่ไหมว่าพูดจริงทำจริง.......จับเวลา”
“เฮ้ย!!”
แคปร้องเรียกก็ยังไม่ทัน เพราะทันทีที่พูดจบ
นิ้วเรียวยาวชี้ไปที่นาฬิกาดิจิตอลหน้าคอนโซน
“สัสเอ๊ย”
แคปกัดปากพึมพำทันที เอสเคาะนิ้วมือลงไปที่แผงหน้าจอ
มันกดปุ่มเพียงแค่ครั้งเดียวสามารถปรับเปลี่ยนไปเป็นตัวเลขที่นับถอยหลังลงเรื่อย ๆ
อย่างไร้ความปราณี ทุกๆอย่างเงียบสนิทไม่มีเสียงอะไรเล็ดลอดออกมาอีก
เขาสองคนจ้องหน้ากันวัดใจ พร้อมกับตัวเลขสีเขียวบนจอนั่นที่ค่อย ๆ
ถอยหลังลงอย่างโหดร้ายที่สุด
.
.
53 “กูไม่มีทางทำเรื่องไร้สาระอะไรแบบนั้นหรอกไอ้เหี้ย!”
.
.
43 “ปัญญาอ่อน
กะอิแค่นาฬิกาที่นับถอยหลัง กูกลัวตายห่าล่ะ!”
.
.
33
“สามสิบสามเรอะ เห่อะ แน่จริงมึงนับขึ้นมาสิวะ
นับถอยหลังลงไปทำเห้ไร ไอ้ตัวเลขบ้า!”
.
.
23 “มึงคอยดูนะ
ถ้าวันนี้กูหลุดออกไปได้ กูจะทุบไอ้นาฬิกาบ้าๆนี่ให้เป็นเศษเหล็กบุโรทั่งเลย
มึงคอยดู๊ว~”
.
.
13 “กู-ไม่-มี-ทาง-ทำ บ้าฉิบ!”
.
.
เอสนั่งกอดอกอมยิ้ม
ชำเลืองมองคนที่นั่งจ้องไอ้ตัวเลขดิจิตอลบนหน้าปัดสลับกันกับหน้าเขาแล้วสบถด่าแล้วด่าอีก
พอตัวเลขวิ่งมาจอดที่เลขสิบเอ็ดเขาขยับตัวหยิบอุปกรณ์ของเขาขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
บรรดาโทรศัพท์เอย ที่ชาร์ตเอย
กระเป๋าสตางค์ บุหรี่ ไฟแชค ใบหน้าเรียบเฉยลอบชำเลืองคนที่นั่งขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอีกครั้ง
เอสถึงกับส่ายหัวเพราะคิดว่าคงจะต้องดับเครื่องยนต์ลงเมื่อตัวเลขวิ่งไปถึงเลขศูนย์
แต่ทว่า...
5
4
3
2
1
“ไอ้เหี้ย! สันดานนักนะมึง
หลับตาเร็วเข้าสิ..” แคปตะคอกเสียงดังลั่น
แต่รวดเร็วยิ่งกว่านั้นมือเล็กกระชากผมนิ่มของเอสลงมาแรงมากพร้อม ๆ
กับที่ริมฝีปากสวยกดจูบลงไปที่มุมปากหยักชนิดที่ว่าหลับหูหลับตาจูบ
ส่วนความเร็วไม่ต้องพูดถึงมันเร็วมากเสียจนคนโดนจูบเก็บรายละเอียดยังไม่ทัน
รู้ตัวอีกทีคือโดนฝ่ามือเล็กฟาดแล้วผลักเข้าให้ชนิดที่ว่าตัวเขากระเด็นไปถึงกระจก
“....!!!!....”
“ไอ้สัส! กูเกลียดมึงที่สุดรีบ
ๆ ไปเลยไป จะไปตายห่าที่ไหนก็ไป เชี่ย!!”
ด่ากราดไว้แบบนั้นก่อนกระชากประตูเปิดออกแล้วก้าวลงจากรถปิดประตูโครมใหญ่ ๆ
ใส่คนด้านในที่นั่งนิ่งเป็นรูปปั้น
“โหหหห
นี่คือจูบจากเมียกู?? โหดร้ายเป็นบ้า..” เอสพึมพำแล้วส่ายหัว
ตั้งแต่เกิดมานี่คือครั้งแรกที่โดนจูบในลักษณะรันทดได้ขนาดนี้
เขายกมือขึ้นลูบรอยจูบเล็กๆที่มุมปากก่อนผุดรอยร้ายยิ้มออกมาจนได้
“หึ
ก็ถ้าไม่หลอกล่อมึงถึงขนาดนี้ หน้าอย่างมึงจะยอมจูบกูก่อนไหมล่ะ หื้มแคป?”
รถยุโรปสีขาวคันสวยเลี้ยวซ้ายออกจากคอนโดทิ้งตัวสู่ถนนสายใหญ่อย่างงดงาม
ด้วยว่าจิตใจของคนขับพองโตยิ่งนัก
Tbc.