‘ค่ายมวย 24 ชั่วโมง’
ที่จอดสำหรับสมาชิก
เมื่อรถยนต์สีขาวคันสวยเลี้ยวเข้ามาจอดตัวลงในช่องจอดพิเศษสำหรับสมาชิก
เอสไม่สนใจคนข้าง ๆ ที่ยังนั่งตาค้างมองป้ายค่ายมวยจนเหลียวหลัง
เขาเปิดรถออกมายืนหัวเสียอยู่ด้านนอกเจ็บเนื้อเจ็บตัวไปหมด
“บ้าฉิบ..” สบถขึ้นอย่างหงุดหงิดพร้อมกับยกแขนซ้ายขึ้นเช็ครอยเขียวช้ำที่ดูเด่นขึ้นมาแม้กระทั่งในที่มืดๆขนาดนี้ยังเป็นสีม่วงจัด
มีรอยขีดสีแดงที่คาดว่าน่าจะมาจากเล็บตอนที่สู้กันบนรถเมื่อตะกี้ เหอะ เหมือนที่เพื่อนเขาว่ากันไม่ผิด
หมาบ้าชัดๆ มันทั้งทุบทั้งตีพอไม่ได้ดั่งใจทั้งถีบทั้งจิกทั้งข่วน
ดีนะที่มันยังนั่งอยู่ในรถถ้าหากยืนเถียงกันนี่เขาคิดว่าคงไม่พ้นเจอหน้าแข้งมันแน่
ๆ
“มึงพากูมาที่นี่ทำไม” แคปก้าวตามลงมาติดๆ
เขาเดินเข้ามาถามเอสด้วยน้ำเสียงห้วนๆ กับหน้าตาช่างสงสัย
แต่เอสขี้เกียจพูดด้วยเขาส่ายหัวบอกให้แคปหลีกทางจะเดินเข้าไปด้านใน
แคปไม่ยอมก้าวขาขวางไว้ สองคนเลยยืนจ้องหน้ากัน
“ก็ไหนว่ามึงจะตีกับกูไง
พามาที่ค่ายมวยขนาดนี้อย่าบอกว่ายังโง่ไม่เข้าใจความหมายกูอีกนะ..”
“ไอ้สัส ที่กูถามน่ะหมายถึงว่าอะไรจะต้องยุ่งยากขนาดนั้น
มึงบ้ารึเปล่าตีกันที่ไหนก็ได้นี่หว่า ทำไมถึงต้อง......”
“สวัสดีครับคุณเอส วันนี้ทำไมมาซะดึกเลย..” เสียงที่ดังขึ้นจากด้านหลัง
เรียกให้แคปที่ยังพูดไม่จบประโยคดีต้องหุบปากลง
ทั้งสองคนหันไปมองเป็นพนักงานของที่นี่วิ่งออกมาต้อนรับ ท่าทางนอบน้อมกับเอสน่าดู
“ไม่เห็นคุณเอสมาตั้งนานเลยครับ เฮียถามหาอยู่ตลอดเลย
ไม่ทราบว่าวันนี้จะมาซ้อมหรือว่ามาหาเฮียครับ”
“พอดีเพื่อนผมเขาอยากปล่อยของเลยจะมาเป็นคู่มือให้สักหน่อย
รบกวนนายเป็นกรรมการให้หน่อยสิ” เอสโบ้ยหน้าไปที่แคป พนักงานมองคนตัวเล็กกว่าเอสแค่ไม่กี่เซ็นต์ด้วยสายตาประเมินความสามารถสุดขีด
ก่อนอมยิ้มบางๆออกมา
“ได้เลยครับ ใช้ห้องเดิมดีไหมครับ”
“ได้” เอสยกข้อมือดูเวลา
แล้วปรายตามาทางแคปหน่อยนึง ก่อนที่จะเดินตามพี่พนักงานชายเข้าไปด้านใน
แคปเองก็เดินตาม
“นี่มึงเอาจริง?” แคปดึงเอสไว้แล้วกระซิบถาม “กูก็บอกแล้วไงทำไมมึงต้องยุ่งยากด้วยวะ
ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่”
“ตีแบบนี้แบบนี้แหละดี มีกรรมการมีอุปกรณ์
แพ้ชนะตัดสินกันเลย” พอเข้ามาถึงห้องใหญ่
เอสโยนนวมส่งให้ แคปรับไว้เกือบไม่ทัน เขากำลังสนใจกับบรรยากาศรอบ ๆ
เวทีสองสามเวทียาวต่อเนื่องกันไป
เพิ่งจะเคยรู้ว่ามีค่ายมวยสำหรับซ้อมตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงอยู่
เขาหันมองเอสอย่างประเมินก่อนที่จะสรุปได้เองว่า
เจ้านี่มันอาจจะเป็นนักมวยเก่าหรือไม่งั้นก็ชอบมาออกกำลังกายที่นี่เป็นประจำถึงขนาดได้เป็นสมาชิกมีที่จอดรถประจำ
พนักงานรู้จักถึงขนาดวิ่งเข้ามาเทคแคร์
แต่เดี๋ยวก่อน...ถ้าหากว่าเป็นสมาชิกของที่นี่นั่นก็หมายถึงว่ามันชกมวยเก่งดิ่?? แล้วถ้ามันชกมวยเก่งเขาควรจะเอาตัวเข้าไปแลกไหมยังไง...แคปเริ่มคิดหนักจนคิ้วเริ่มจะผูกติดกันเป็นโบว์
“ยืนเซ่ออยู่ทำไม ถ้าพร้อมแล้วก็ขึ้นมา” เสียงเอสตะโกนเรียกทำให้แคปสะดุ้ง
มองดูอีกทีเอสอยู่บนเวทีเปลี่ยนเป็นชุดวอร์มรออยู่แล้ว สวมนวมเรียบร้อย
แคปเดินเข้าไปหาเกาะขอบเงยหน้ามอง
เอสเลยจับเชือกที่ขอบเวทีแล้วรั้งลงพลางกระตุกรอยยิ้มเจ้าเล่ห์พูดจาท้าทาย
“อย่าบอกนะว่ามึงกลัว...”
“หึ...ไม่มีทางหรอกเว้ย” ว่าจบแคปเหวี่ยงขากระโดดขึ้นเวทีข้ามเชือกเข้าไปหาทันที
เอสถอยออกมายืนอยู่ตรงกลางรออีกคนแต่งตัวให้เรียบร้อย
“ชุดมึงอยู่นั่น..” เขาบุ้ยใบ้ไปที่เก้าอี้มุม
พนักงานเอาเข้ามาวางให้ตั้งแต่แรก
“กูไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนชุดหรอก
ไม่อ่อนอย่างมึงจะชุดไหนกูก็ต่อยได้ทั้งนั้นเว้ย
เอาแค่ถอดเสื้อก็คงจะพอมั้ง....” แคปว่าข่มพร้อมปลดกระดุมลงทีละเม็ดๆ
เหวี่ยงเสื้อที่ถอดออกพาดไว้ที่เชือกก่อนหยิบนวมขึ้นมาสวมสร้อยสีเงินเส้นจิ๋วสะท้อนแสงกับหลอดนีออนแวววาวเป็นประกาย เขาเดินหน้าเข้าหาเอสเรื่อย ๆ
ด้วยแววตาที่ไม่มีความกลัวเลยแม้แต่น้อย ในเมื่อตัดสินใจไปแล้วเพราะงั้นแคปจะลุยเต็มที่
แม้จะรู้สึกว่าตัวเองเสียเปรียบอยู่หน่อย ๆ
แต่พ่อกับพี่ชายสอนเขาเสมอว่าไม่ให้กลัวคนและไม่ยอมให้ใครมารังแก
ถึงแม้ว่าจะต้องแพ้ก็ขอแบบสมศักดิ์ศรีละกันวะ
“แพ้ชนะตัดสินยังไง...” แคปถามขึ้น นวมพร้อม
ทุกอย่างพร้อม ปรายตามองดูกรรมการเองก็พร้อม
แต่สะกิดใจตอนที่เห็นชุดมิดชิดของเอสแล้วก็อดที่จะขำไม่ได้ อะไรก๊านนน
แมนๆต่อยกันทำไมต้องแต่องค์มิดชิดขนาดนั้นด้วยวะ
อย่าบอกนะว่าไอ้เอสหุ่นมันไม่เฟิร์มถึงขนาดอายที่จะถอด น่าขำ
“ยกเดียวจบ ใครล้มก่อนเป็นฝ่ายแพ้” เอสพูดขึ้น
“โอเคได้ แต่กูถามไรอย่างได้ไหมวะ”
“อะไร” เอสมองอย่างสงสัย
จะชกกันอยู่แล้วยังมีมาถาม
“ทำไมมึงต้องใส่ชุดมิดชิดขนาดนั้นด้วย หุ่นไม่เฟิร์ม? รูปร่างไม่ฟิต? หรือว่าพุงมึงย้อยวะห๊ะ ฮ่าๆๆๆ”
จบคำพูดแคปเอสถอนหายใจยาวเหยียด
รู้สึกสมเพชคนที่กำลังหัวเราะเยาะเขามากจริง ๆ ไม่เฟิร์ม ไม่ฟิต พุงย้อย บ้ารึเปล่า
จะต่อยกันอยู่แล้วยังมีหน้าพูดเรื่องรูปร่าง ชอบคิดโน่นนี่นั่นไปเอง
แล้วก็สรุปเองเสร็จสรรพ ทั้งที่ยังไม่เคยเห็นรูปร่างคนอื่นแท้ ๆ
ทีตอนอยู่บนรถแหกปากบอกจะต่อยตีลูกเดียว พอพามาต่อยกันจริง ๆ ถามนั่นถามนี่จนน่ารำคาญ
“ถอดออกดิเสื้อมึงอ่ะ แมนๆชกกันครับ ไม่เคยได้ยินรึไง”
“อย่าพูดมาก มาเริ่มกันเลย..” เอสส่ายหัวรำคาญคนพูดมาก
เขาหันไปพยักหน้าบอกกรรมการว่าจะเริ่มแล้ว
“เออตามใจ เรื่องของมึง” แคปไม่สนใจเรื่องชุดอีกต่อไป
เขาคิดไปเองสรุปไปเองว่าเอสคงเป็นแค่คนที่ฝีมือสูสีกันกับเขาเพราะว่าหน้าตามันไม่ใช่แนวนักมวยป่าเถื่อน
พวกกล้ามโตๆแผงอกใหญ่ ๆ แบบนั้นปล่อยมาหมัดเดียวเขาคงได้ตายคาที่แน่ ๆ
แต่ในเวลาเดียวกันนั้นแคปดั๊นนึกเรื่องอะไรบางอย่างออก
“มีอะไรอีก..” เอสถามขึ้น
“ชกกันเฉย ๆ มันจะไปมันส์อะไรวะ
คนแบบพวกเรามันต้องมีพนันขันต่อเข้ามาเอี่ยวดิ่
แบบนี้ธรรมดาเป็นบ้าไม่มีอะไรน่าสนใจ งั้นกูจะเพิ่มเงื่อนไขลงไปละกัน”
“ว่า....”
“ถ้ากูชนะ กูจะได้อะไร”
“ไร้สาระ มึงคิดว่ามึงจะชนะหรือไง” เอสสวนกลับในทันที
“เออ ของมันแน่อ่ะ...” แคปลอยหน้าตอบ
ความมั่นใจเต็มเปี่ยม
“เรื่องมากฉิบหาย จะเอาอะไรว่ามา”
“อืม....” แคปทำท่าคิดนิดนึง
ก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปหาอีกคนแล้วใช้นวมชกลงที่ไหล่เอสเบา ๆแบบหยอกล้อ “ เหล้าแพงๆสักขวดก็ไม่เลวนี่หว่า
หึหึ”
เอสผลักเขาออกในทันที
พร้อมยืนจ้องหน้าคนที่กำลังอมยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“ก็ได้
แล้วถ้ามึงแพ้ล่ะ” เอสรับคำแล้วถามกลับ
แคบเลิกคิ้วแบบกวนตีนสุดๆ
“แพ้เรอะ? ไม่มีทางหรอกเว้ย
แต่ก็เอาเหอะเพื่อความสบายใจของมึงกูจะบอกไว้คร่าว ๆ ก็ได้ ถ้ากูแพ้นะ
กูจะเลี้ยงก๋วยเตี๋ยวมึงคืนนี้เป็นไง ”
“ทำไมต้องก๋วยเตี๋ยว” เอสถามงงๆ ไม่ยุติธรรมที่สุด
ก๋วยเตี๋ยวห้าสิบบาทกับเหล้าดีๆขวดตั้งหลายพัน
“เพราะกูมั่นใจว่ากูจะต้องได้แดกเหล้าต่อ
ก๋วยเตี๋ยวมันเป็นแค่ข้ออ้าง ก็มันเป็นเพราะมึงไม่ใช่รึไงที่ลากกูออกมาจากผับนั่น
ถ้าตีกันที่นั่นแล้วนั่งต่อ ป่านนี้.....” แคปเผลอคิดไปว่า
ป่านนี้คงได้กินเหล้าปลอบประโลมหัวใจช้ำๆจากน้องแยมคนสวยที่เห็นเขาเป็นควายมาสองเดือนเต็ม
ๆ ไหนๆคืนนี้จะชกชนะแล้วก็ให้ไอ้คนขี้แพ้มันเลี้ยงเหล้าตอบแทนไปเลยละกัน
“ป่านนี้อะไร..” เอสถามประโยคที่แคปยังพูดไม่ทันจบ
“ไม่มีอะไร
ไม่เกี่ยวกับมึงเอาเป็นว่าถ้ามึงแพ้มึงเลี้ยงเหล้ากู
แต่ถ้ากูชนะกูจะเลี้ยงก๋วยเตี๋ยวมึง” แคปอยากจะบอกเหลือเกินว่าเขาไม่ชอบกินเตี๋ยวเลย
และวันนี้แน่นอนว่าไม่มีทางได้กินด้วย
“จะเอาแบบนั้น?” เอสถามมองหน้าอีกฝ่ายนิ่งๆ แคปยักคิ้วตอบกวนๆว่า เออ
“ก็ได้ ตามนั้น
เข้ามาเลย...”
เสียงทุ้มต่ำพูดแค่สั้น
ๆ สองคนเดินหน้าเข้าหากันทันที แคปแสยะยิ้มนิดหน่อยขณะที่เอานวมทั้งสองมือชกใส่กัน
เอสคงคิดว่าเขาจะใช้หมัดต้องตั้งการ์ดปิดอยู่แล้ว แต่โทษทีว่ะ หึหึ เขายกขาขึ้นฟาดในจุดที่เขาคิดว่าเล็งไว้ดีแล้ว
ผั๊วะ....ตึ่งงงงง!!!!!!!
“ไอ้อ่อนเอ๊ยยยย...”
แคปยืนเท้าสะเอวเบ้หน้า
มองคนที่นั่งกองอยู่ที่พื้นอย่างเสียอารมณ์ เป็นไปได้ยังไงวะ
แค่ลูกเตะครั้งเดียวของเขาจะทำให้มันจอดลงที่พื้นแบบนี้
เอสถอดนวมทิ้งแล้วยกมือขึ้นเสยผมอย่างหงุดหงิด
พื้นที่บนตัวเขามีเป็นสิบเป็นร้อยตารางนิ้วเรื่องบ้าบออะไรทำไมไอ้หมาบ้านี่มันถึงได้เล็งเจาะเข้าเป้าขนาดนั้น เอสปวดหนึบเข้าที่หน้าขาอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อสองปีที่แล้วเขามีอุบัติเหตุที่ต้นขาด้านหน้ามีปัญหาเรื่องกระดูกนิดหน่อยเจอแคปซ้ำลงมาที่แผลเดิมพอดิบพอดีเล่นเอาเขาเสียวปลาบไปทั้งขา
ไปไม่เป็นทรุดนั่งอย่างหมดปัญญา
“กูแพ้แล้ว...” เอสบอก
“บ้าฉิบ มึงตั้งใจต่อยรึเปล่าเนี่ย” แคปโวย
“แพ้ก็คือแพ้ อย่ามาถามเรื่องมาก” เอสลุกขึ้นยืน เขาชะลอเวลาสักครู่ยังไม่ก้าวขาออกไปจนแคปสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ
“เป็นไรของมึง
อะไรโดนกูเตะแค่นั้นอย่าบอกนะว่าเดี้ยงเลยอ่ะ..”
“ประสาท” เอสว่าแล้วส่ายหัว
เดินไปหยิบเสื้อที่แคปพาดไว้แล้วโยนส่งให้ คนรับคว้าเอาไว้เกือบไม่ทัน
“เดี๋ยวกูออกมา มึงไปรอที่รถก่อนก็ได้”
“เรื่องดิ ทำไมกูต้องเชื่อมึงวะ” แคปใส่เสื้อแบบลวก ๆ
ลอดเชือกออกมาแล้วกระโดดลงจากเวที มือก็ติดกระดุมไปด้วย
“ไม่อยากแดกเหล้าฟรีรึไง ไหนบอกว่าถ้ากูแพ้เลี้ยงเหล้ามึงไง..”
เอสหันไปถาม แคปหยุดชะงักอยู่ที่ประตู
คำว่าของฟรีแน่นอนว่ามันล่อใจโดยเฉพาะสุรากับคนแมนๆเช่นเขา หึหึ
“อย่าช้านะมึง กูจะนับถึงแค่เก้าสิบ”
คนตัวเล็กกว่าต่อรอง เอสพ่นลมขายใจแบบขำๆ
“หึ เออ นับช้า
ๆ ละกัน ห่างรอบละหนึ่งนาทีได้ยิ่งดี”
“สัส...”
เอสชี้หน้าทันทีที่แคปสบถ
ปากบอกประมาณว่าให้ยืนเฉยๆอย่าพูดมาก แต่แคปกลับเบะปากแล้วยักไหล่ใส่อย่างไม่แคร์
“กูจะพูด...ทำไม” แคปว่าท้าทายด้วยประโยคที่ไร้เสียง
เอสคว้าเอานวมที่กองอยู่แถวๆนั้นซัดใส่หัวก่อนเดินหลบเข้าไปด้านใน
ได้ยินแต่เสียงแคปด่าไล่หลังตามมา
“เพื่อนคุณเอสแปลกๆนะครับ”
พนักงานที่เดินเข้ามาด้วยกันพูดขึ้น
เอสถอดเสื้อวอร์มออกแล้วหยิบเสื้อตัวเองมาสวมใส่คืน มัดกล้ามเนื้อสวยงามตัดกับรอยสักที่ต้นแขนขวา
สะท้อนภาพของผู้ชายรูปร่างดีมากคนหนึ่งอยู่ที่กระจกบานใหญ่
“เขาไม่ใช่เพื่อนผมหรอก”
“อ้าว”
“จะว่าไงดี คู่อริ คู่แค้น ไม่งั้นก็.....”
“คู่ขา??”
“หึ...ตลกน่า” เอสขำคำพูดแบบตรงไปตรงมาของอีกฝ่าย
พี่พนักงานคนนี้ค่อนข้างสนิทกับเขาดี มาทีไรก็ดูแลเทคแคร์อยู่ตลอด
เอ็นดูกันตั้งแต่เขายังเด็ก เมื่อก่อนมาที่นี่บ่อย ๆ
พอโตขึ้นเขาไม่ค่อยมีเวลามามากนัก แต่ก็ยังสามารถคุยเล่นแบบสนิทสนมได้
“ถ้าผมดูไม่ผิด เมื่อกี้คุณเอสแกล้งแพ้ใช่ไหมครับ”
“เปล่า ผมแพ้จริง ๆ โดนจุดสำคัญเข้าน่ะ”
“เรื่องอุบัติเหตุคราวนั้นน่ะเหรอครับ”
เอสพยักหน้ารับเบา ๆ พลางจับที่หน้าขาตัวเองไปด้วย
ตอนนี้หายเจ็บแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกเสียวแปลบๆอยู่บ้าง
โชคดีเมื่อก้มลงดูไม่มีรอยแผลอะไรที่ต้องเป็นห่วงกระดูกคงจะเชื่อมต่อสมบูรณ์แล้ว
บางทีอาจเป็นเพราะความรู้สึกที่สะสมอยู่ในขณะที่เป็นแผลตอนนั้นพอสัมผัสเข้าก็รู้สึกตกใจมากกว่าที่จะเจ็บอะไรแบบจริง
ๆ จัง ๆ
.
ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวแผงลอยริมทาง รถแต่งสีขาวคันหรูชะลอตัวจอดลงข้างฟุตบาท
“อ้าวไอ้เหี้ย ไหนว่าจะเลี้ยงเหล้าไง กูชนะนี่หว่าไหงพามาจอดที่ร้านก๋วยเตี๋ยวล่ะวะ” เมื่อดูท่าว่าเอสกำลังจะเดินลงไปกินที่ร้านนี้แล้วแน่
ๆ แคปก็โวยวายขึ้นมา
“ร้านนี้ก็มีเหล้า” เอสพูดตอบอย่างไม่ใส่ใจแล้วเขาก็เปิดรถก้าวลงไปทัน
แคปรีบตามเข้าไปถามไม่ดังนัก แถวนี้มีร้านก๋วยเตี๋ยวเรียงตัวกันอยู่สามสี่ร้าน
ขยับไปหน่อยเป็นผับขนาดเล็กสองสามแห่งและที่ฝั่งตรงข้ามเป็นคอนโดสูงใหญ่ขนาดกลาง
แคปชี้ๆไปที่ผับเล็กนั่น เขามองเอสบอกประมาณว่าไปกินกันที่ร้านนั่นดีกว่า
แต่เอสไม่สนใจผลักเขาออกแล้วเดินเข้าไปจับจองลงที่โต๊ะนั่งเล็กๆ
“อะไรของมึง อย่าบอกนะว่าจะแดกเหล้าขาวกับก๋วยเตี๋ยวอ่ะ” แคปตามไปนั่งลงฝั่งตรงข้าม
“มีปัญหารึไงล่ะ กูเลี้ยง มึงกินแค่นั้นจบโอเคไหม”
“ไอ้สัส กูไม่กินกับมึง” แคปไม่สนใจแล้วเหมือนกัน
เขาว่าจบลุกขึ้นหันหลังจะเดินออกไปเอสคว้าแขนเขาไว้แล้วดึงให้นั่งลง
“นั่งลง มึงแดกเหล้าไปกูหิวข้าว”
“ทำไมกูต้อง....
“สั่งอะไรดีคะ..” พนักงานสาวเดินยิ้มหวานเข้ามาถามเสียงใสกริ๊ก
แคปเหล่มองเธอตาโต
อะไรกันเนี่ยร้านก๋วยเตี๋ยวริมทางแบบนี้ทำไมมีพนักงานสาวสวยขนาดนี้มาเสิร์ฟได้
นางฟ้ามันต้องอยู่ในผับไม่ใช่รึไง ทำไมมาเดินดินอยู่ข้างทางได้วะเนี่ย เขารีบดึงแขนตัวเองออกจากเอสตามสัญชาตญาณเมื่อเห็นเธอขยับสายตามอง
มา แคปนั่งลงทันที เธอส่งเมนูให้เอสจากนั้นยืนรอออเดอร์
“แดกเหี้ยไรมึง” แคปยื่นหน้าเข้าไปถามให้เบาที่สุด
เอสเงยหน้าขึ้นมองหน้าแล้วส่ายหัวเมื่อเห็นความกะล่อนของอีกฝ่าย เขาดูเมนูต่อไปเรื่อย ๆ พอเปิดถึงหน้าหลัง ๆ แคปเอื้อมมือไปเคาะนิ้วลงที่เมนูเหล้าราคาแพงยี่ห้อหนึ่งพร้อมยักคิ้วบอกเอสว่าจะเอา
เอสจ้องหน้าเจออีกคนเดาะลิ้นใส่อย่างยั่วโมโห
“มึงแพ้เองนี่หว่า...” แคปเย้ย เอสพยายามบอกตัวเองว่าต้องอดทนเข้าไว้
เขาส่ายหัวรอบที่ร้อยก่อนบอกน้องพนักงานว่าจะสั่งอะไรบ้าง
“จริงๆวันนี้อากาศดีนะ
แต่น่าเสียดายที่ต้องมานั่งแดกเหล้าอยู่กับคนที่ไม่ถูกขี้หน้ากันนี่กูเซ็งสุดๆบอกเลย” แคปมองรอบข้างไปเรื่อย เขาพูดลอย
ๆ ออกมาราวกับว่าคนตรงข้ามกันไม่ใช่เอส
“ก็แล้วมึงมาทำไมล่ะ..”
“อ้าวไอ้เหี้ยนี่ปากดี ก็มึงไม่ใช่ไงบอกจะเลี้ยงเหล้ากู
แพ้แล้วอย่าคิดเบี้ยวครับ
เห่อะอ่อนเองโดนกูเตะทีเดียวก็จอดแล้วไม่เห็นจะเก่งอย่างที่เจอกันวันแรกเลยนี่หว่า”
“เหรอ วันนั้นกูเก่งด้วยเหรอ”
“ไอ้สัส พูดมากนะมึง” จริง ๆ
แล้วแคปสังเกตเห็นว่าเอสจับที่ต้นขาตัวเองบ่อยมาก
ตำแหน่งที่เขาเตะแบบเจาะลงไปพอดิบพอดี ก็พอจะรู้อยู่หรอกว่าขาเอสคงจะมีปัญหาอะไรอยู่ก่อนแล้ว
น้องพนักงานเริ่มเอาเครื่องดื่มและอาหารมาวางแคปยิ้มให้เธอพร้อมกล่าวขอบคุณ
เขาชงเหล้าให้ตัวเองโดยไม่สนใจคนตรงหน้า เอสเอาก๋วยเตี๋ยวมาตักปรุงก้มหน้ากิน
คีบแค่สามคำก็หมดถ้วย ไม่มีสั่งเพิ่มไม่กินอะไรอีก เขาล้วงเอาบุหรี่ขึ้นมาจุดพ่นควันขาวอย่างไม่แคร์
พอดีกับที่แคปไอโขลกขึ้นมา แค่กๆๆๆ
“อะไรของมึง
อ่อนหัดหรือไงกะอิแค่บุหรี่อย่าบอกนะว่าไม่สูบ มิน่าปากมึงถึงแดงแบบนั้น”
“คนที่อ่อนหัดน่ะมันมึง จะสูบก็ดูสถานที่ด้วย..” เห็นเขาเป็นแบบนี้แต่ก็ดูที่ดูทางอยู่นะไม่ใช่นึกอยากจะพ่นตรงไหนก็พ่น
ยิ่งโต๊ะข้าง ๆ มีสาว ๆ เพิ่งเดินเข้ามานั่ง เขาเองก็ไม่อยากจะเสียมารยาทกับคนสวย
“ทำไม
นี่มันที่กินเหล้ากูสูบได้แน่ ๆ ไม่ต้องให้บอก” เอสหงายแก้วอีกใบที่คว่ำไว้ขึ้นมาเขาจัดการชงเหล้าให้ตัวเอง
มองดูคนตรงข้ามที่นั่งมองเขาทำโน่นทำนี่แล้วเบะปากใส่
“นี่มันร้านก๋วยเตี๋ยวมึงบอกกูเอง” แคปเถียง
เอสส่ายหัวอย่างหงุดหงิดก่อนบี้บุหรี่ดับลงที่โต๊ะ เขาเลิกคิ้วถามไปกวน ๆ ประมาณว่าพอใจยัง
แคปไหวไหล่นิดๆเหยียดรอยยิ้มส่งให้
“อยากโดนกูถีบไหม ทำหน้าทำตาแบบนั้น”
“อ้าวเหี้ย พูดแบบนี้ก็สวยดิ
อะไรวะกินอยู่ดีๆปากหมาขึ้นมาอีกแล้วสัส..” แคปลุกพรวดขึ้นโต๊ะข้าง ๆ
มองมากันหมด
เขากำลังจะเอื้อมมือเข้าไปคว้าคอเสื้อเอสดึงเข้ามาจัดการโทษฐานปากดีอยู่แล้วถ้าไม่มีร่างสูงใหญ่ราวกับยักษ์ของใครบางคนเดินเข้ามาห้ามไว้ก่อน
“มีเรื่องไรกันน้อง
อยากจะกินที่นี่รักษาระเบียบวินัยให้อยู่ในความสงบด้วย พวกพี่ไม่ชอบความวุ่นวาย” แคปมองผู้ชายร่างยักษ์คนนั้น คือสูงจนเขาต้องเงยหน้า
ตัวพี่แกใหญ่มากจริง ๆ
นี่ถ้าโดนเข้าสักหมัดไม่ต้องคิดให้เสียเวลาเขาคงกองราบอยู่ที่พื้นอย่างกับต้นผักเหี่ยวแน่
ๆ
“ไม่มีไรครับพี่ พวกเราแค่เล่นกัน” เป็นเอสตอบออกมา ส่งสายตาบอกแคปว่าให้นั่งลง
อย่าหาเรื่อง
“ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว พวกพี่ดูแลความเรียบร้อยของที่นี่
ไม่ชอบให้มีเรื่องเข้าใจตรงกันนะ” เอสพยักหน้าให้ก่อนที่พี่ยักษ์แกจะเดินออกไป
แคปนั่งหน้าหงุดหงิดจนเอสต้องเลื่อนแก้วเหล้าส่งให้แล้วบอกให้กินๆลงไป
เวลาผ่านไปเรื่อย
ๆ สองคนนั่งดวนเหล้ากัน สายลมยามดึกพัดโกรกมาเบา ๆ แคปเสยผมที่ยาวลงมาจนปรกตา
“มึงว่ากูมาวยังวะไอ้เหี้ยเอส” คนพูดเมามากจนตาเยิ้ม
เอสมองทั้งเหล้าทั้งโซดาที่นอนกองกันอยู่บนโต๊ะ
เขายกข้อมือขึ้นดูเวลาก่อนชูมือเรียกพนักงานเข้ามาเก็บบิล
“ไหวไหมคะพี่..” น้องคนสวยพนักงานที่เข้ามาชงเหล้าให้ในช่วงแรกถามขึ้น
ขณะที่เขารับเงินทอนแล้วเดินเข้าไปดึงแขนแคปขึ้นมาพาดใส่บ่า
“ทำเบาๆเป็นไหมไอ้เหี้ย..” นี่เสียงคนเมาโวยวายออกมา
เอสคว้าเอวแคปแนบเข้าไว้กันไม่ให้ล้ม
“ให้แฟนหนูมาช่วยแบกไปขึ้นรถก็ได้นะ” เธอชี้ไปที่ผู้ชายร่างยักษ์คนนั้นที่นั่งหน้าบูดอยู่ไกลๆ
เอสส่ายหัวแล้วบอกปฏิเสธ
เขาเองก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เมาแต่แค่น้อยกว่าเจ้าคนคออ่อนแล้วยังอวดดีนี้อยู่หน่อยๆ
“เดินดีๆสิวะ โอ๊ย..” เอสทั้งแบกทั้งสบถ
โดนแคปฟาดผั๊วะเข้าที่หน้าทันทีที่พูดจบ คนเมาหน้ายุ่งเดินเซแล้วยังบ่นไปตลอดทาง
“อย่ามาว่ากูนะ มึงไม่มีสิทธิ์” เสียงคือยานคางมากๆ
“ฤทธิ์มากนักนะมึง เดินดีๆตัวหนักเหี้ยๆเลย
เดี๋ยวกูจะเอามึงไปโยนทิ้งงที่ป่าข้างทางถ้ายังไม่หยุดพูดมาก”
“กูจาพูด กูจาพูด มึงจามาห้ามกูได้ยังงายยยยย”
“นิ่งๆ”
“โอ๊ยยย โยนหาพ่องเหรอ กูเจ็บนะอื้อออ” พอเปิดรถได้เอสยัดแคปเข้าไปด้านในทันที
คนเมาทำท่าจะก้าวลงมาเขาเลยใช้เท้าถีบยัดๆมันขึ้นรถแล้วปิดประตูก่อนถอนหายใจเฮือกใหญ่กอดอกแล้วพิงประตูรถไว้
ก้มดูอีกทีเจ้าคนขี้เมาท่าทางจะสงบลง นอนแล้วหลับตานิ่งอยู่ที่เบาะ
เอสล้วงเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมาต่อสายหาพี่รหัสตัวเอง กะว่าจะเอาแคปไปส่งให้ที่ร้านแต่ตอนนี้รู้สึกตัวเองก็ไม่ค่อยจะไหว
ทางที่ดีให้เต้มารับเอาไอ้บ้าน่ารำคาญกลับไปเองจะดีกว่า
(ว่างายยยวะไอ้น้องเหี้ย มึงหายหัวไปหนายเนี่ย
เพื่อนมึงถามหากันให้ทั่วเลอออ...) ให้ตายสิ เสียงเต้ยานคางซะยิ่งกว่าของทางนี้
ท่าทางคงเมาหนักกันน่าดู ยังไม่ออกจากผับแน่ ๆ ดนตรีแว่วเข้ามาดังลั่น
“เฮียเมาป่ะเนี่ย”
(เมาที่หนายยยยกูเหรอจามาวววว
พวกกูคอแข็งกันทั้งตระกูลลลลลโว๊ย)
เอสส่ายหัวทันทีที่ยิน สองพี่น้องขี้โม้มากๆ
คอแข็งกันทั้งตระกูลคือเห้อัลไร??
(มึงโทรมามีไรอ่ะ) เต้ถามมาอีก
เสียงไม่ดังแล้วแต่เปลี่ยนเป็นกังวานแทน คาดว่าตอนนี้อยู่ในห้องน้ำ
“น้องเฮียเมาอยู่กับผมเนี่ย เอาไงอ่ะ
ไปส่งไม่ไหวนะเฮียจะมารับมันป่ะ”
(น้องหน๋ายวะ น้องกูมีเป็นสิบๆ ระบุหน่อยสิโว๊ยยย
มึงก็น้องไม่ใช่ไง จ่อกกกกกกๆๆๆ) บ้าฉิบ มีเสียงเอฟเฟคจากห้องน้ำประกอบอีกต่างหาก
เอสส่ายหัวอีกแล้ว บ้าอะไรไม่รู้กับสองพี่น้องนี่ทำเอาเขามึนตึ๊บจริง ๆ ให้ตายเหอะ
“ไอ้แคปน้องเฮียอ่ะ”
(อ้าวไอ้แคปมันไปอยู่กับมึงได้งายวะ
ไม่เชื่อหรอกมึงแม่งโม้ชัวร์วันก่อนยังตีกันอยู่เลยเห็นกูแบบนี้ไม่ลืมหรอกนะเว้ย)
“ตกลงจะมารับมันป่ะ..” เอสสะดุ้งขึ้นนิดๆเมื่อแคปทำท่าจะเปิดรถออกมาอีกเขาเลยดันเอาไว้
(มึงพูดจริงดิ่)
“อือ
ถ้ามารับก็ไปแวะเอาที่คอนโดผมละกันเดี๋ยวเอามันไปทิ้งไว้ที่นั่น
แค่นี้นะเฮีย”
(แม่งพูดซะน้องกูเหมือนถุงขยะเลยไอ้สัส
แวะเอาไปทิ้งบ้าบออะไรของมึงวะ
แคปน่ะมันน่ารักยิ่งกว่าตุ๊กตายิ่งเวลามันนอนหลับนะหน้าเหมือนกวางตัวเล็กๆน่ารักมากๆ
กูน่ะ.....บลาๆๆ) ได้ยินเสียงเต้ร่ายยาว ๆ เอสรีบกดสายทิ้งทันที
ขืนให้ฟังไอ้พี่ชายหลงน้องตัวเองต่อไปเรื่อยๆ
มีหวังเขาได้สำรอกของเก่าออกมาจนหมดแหงๆ
ลองก้มลงมองคนที่นั่งหลับสิ้นฤทธิ์อยู่ในรถอีกครั้ง
“บ้าเอ๊ย ขยับมานั่งดีๆสิวะ เอาขาขึ้นมาทำไมเนี่ย” พอขึ้นรถมาเขาเอื้อมมือไปดึงไหล่แคปให้นั่งตัวตรง
ๆ ผลักขาคนตัวเล็กกว่าลงจากเบาะ จากนั้นกดสายเข็มขัดล๊อคให้
ล้วงมือไปที่กระเป๋ากางเกงฟิตๆแคบขยับทำหน้ายุ่งนิดหน่อยตาก็ตะแคงให้อีกฝ่ายล้วงได้สะดวก
เอสเอาโทรศัพท์มือถือแคปออกมากะจะกดต่อสายหาเพื่อนของไอ้คนที่เมามายอยู่นี่ว่าให้มารับกลับไป แต่แล้วความหวังดับริบหรี่ทุกอย่างเพราะโทรศัพท์แคปดันแบตหมด
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่
เอสถอนหายใจเฮือกใหญ่อีกครั้งก่อนเอื้อมมือไปหยิบเสื้อคลุมหลังรถแล้วโยนพาดลงที่หัวคนเมาจนมิด
“หลับไปแบบมืดๆแหละดี อย่าตื่นขึ้นมาแล้วอาละวาดล่ะมึง”
รถคันสวยออกตัวไปเรียบร้อยแล้ว
แค่ไม่กี่นาทีรถก็ยูเทิร์นกลับมาเลี้ยวเข้าคอนโดหรูที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของร้านก๋วยเตี๋ยวร้านนั้นนั่นเอง
“บ้าเอ๊ย อย่าอ้วกใส่กูนะ” เอสดึงแคปออกมาจากรถ
พาเดินแบบเซๆไปที่ลิฟต์ แคปที่มึนๆงงๆไม่รู้เรื่องราวซบไหล่เขาแล้วอ้อน
บอกง่วงนอนๆ
“เออเดี๋ยวก็ถึงแล้ว มึงยืนนิ่งๆสิวะ จะซบกูทำเชี่ยเหรอ” เอสผลักหัวแคปออก
เงิบจนอีกฝ่ายเกือบหงายหลังเขาเลยดึงไว้ หัวเล็กซบลงมาอีกครั้ง
“บ้าฉิบ...” เอสสบถ
ลิฟต์เปิดออกพอดีเขาลากไอ้ตัวดีเดินเข้าไป ระหว่างเคลื่อนตัวขึ้นไปนั้น
แคปทำท่าจะอ้วกหลายครั้งมาก เขาเองลุ้นจนตัวโก่ง พอถึงชั้นที่กดเรียกแค่ก้าวขาออกไปเท่านั้นแคปพ่นของเก่าออกมาทันทีเอสรีบผลักหัวมันไปจุ่มลงที่ถังขยะข้างลิฟต์
เขายืนหันหลังให้แล้วเอื้อมมือไปฟาดแผ่นหลังเล็กดังผั๊วะๆๆอย่างไม่แคร์
นี่กูช่วยลูบหลังให้ก็ดีแค่ไหนแล้ว
“ไอ้เหี้ย....” แคปร้องงุ่นง่านคิดว่าคงจะเจ็บแต่เมามากจนไม่รู้ว่า
อะไรที่กำลังฟาดลงที่หลังตัวเองอยู่ ทั้งอ้วกทั้งมึนจนจะหมดแรง
มือไม้เริ่มไม่อยู่สุขกระชากกระดุมเสื้อตัวเองออกแล้วบอกอึดอัดจะนอน
เอสเลยรีบลากเข้าห้องก่อนที่คนแถวนั้นจะแตกตื่น
“ถ้ากูรู้ว่ามึงเมาแล้วจะยุ่งยากแบบนี้ให้ตายกูก็ไม่เลี้ยงเหล้ามึงเด็ดขาด” เขาบ่นก่อนโยนแคปลงที่โซฟาและเกิดพลาดเมื่อคนเมากองถลาลงที่พื้น
เอสก้าวเข้าไปแล้วแต่เห็นแคปล้วงมือขึ้นมาเกาพุงตัวเองยิกๆกางแข้งกางขาแผ่หรานอนสบายเขาเลยไม่อยากสนใจปล่อยให้นอนกลิ้งบนพื้นไปทั้งๆแบบนั้น เอสคว้าเอาหมอนอิงโยนฟาดใส่หัว
หวังจะให้แคปจัดการเอามันมาหนุนด้วยตัวเอง แต่คนเมาอย่างไรก็คือคนเมา
นอนหลับไม่รู้เรื่องมือไม้ปลดกระดุมออกจนหมด
มันเกานมอีกต่างหากบ่าฉิบหายเลยแม่ง
เอสถอนใจยาวพรืด ส่ายหัวก่อนเดินเข้าห้องตัวเองเพื่ออาบน้ำอาบท่า
สายน้ำเย็นฉ่ำกับอากาศดึกๆราว
ๆตีสอง
“.....วู๊ววว...วววว ~ ~........” เขาผิวปากอย่างสบายใจ
อาบน้ำสระผมจนเสร็จ ยืนเป่าให้พอหมาด
ดูเหมือนว่าจะหลงลืมไปแล้วว่ามีใครสักคนนอนกลิ้งอยู่ที่พื้นด้านนอก
“ว่าไง” มีโทรศัพท์เรียกเข้ามาเอสกดรับ
(ไอ้เพื่อนเหี้ย มึงหายหัวไปไหนวะแม่ง
กูกับไอ้ชิพกลับก่อนแล้วนะเว้ย) เสียงเมี่ยงโวยวายมาตามสาย
“เออๆโทษทีพวกมึงกลับกันเหอะกูถึงห้องแล้วว่ะ”
(ไอ้สัส ได้ผู้หญิงแล้วลืมเพื่อน)
“ผู้หญิงที่ไหนวะ” เอสคิ้วขมวด เขาเดินไปปิดไฟ
สะบัดผ้าเช็ดตัวออกแล้วก้าวขึ้นเตียง
เวลานอนบางครั้งไม่สวมใส่อะไรเลยเป็นเรื่องปกติ
(อย่า
มึงอย่ามาทำเก๋ไก๋ ผู้หญิงชุดดำที่มึงเดินไปนั่งคุยด้วยอย่าคิดว่าพวกกูไม่เห็น
เนอะชิพเนอะ” เสียงเมี่ยงกับชิพแซวโห่ดังลอดออกมา
เอสถึงกับตะโกนคำด่ากรอกตอบลงไป
“เชี่ย นั่นพี่กูโว๊ย สัสแล้วพวกมึง”
(กูเชื่อมึงเหอะ เจอพี่สาวจะหายหัวแบบนี้ไม่มีทางหรอก)
“ไม่เชื่อก็ตามใจ อย่าพูดมากจะนอนแล้ว”
เขาไม่รอให้อีกฝ่ายพูดอะไรกลับมาเอสโยนมือถือทิ้งลงที่เตียงแล้วดึงผ้าห่มผืนหน้าขึ้นมาห่มนอนอย่างสบายตัวสบายใจโดยที่ไม่ได้สนเลยว่าอีกคนด้านนอกจะนอนหนาวเหน็บคันคะเย่อหรืออ้วกแตกบ้าบอยังไง
เวลาผ่านไปไม่รู้กี่ชั่วโมง
แคปที่นอนอยู่ด้านนอกพลิกไปพลิกมารู้สึกเหมือนตัวเองปวดเมื่อยเนื้อตัวไปหมด
ทำไมพื้นมันแข็งๆ
ทำไมอากาศมันหนาว
ๆ
ทำไมถึงมึนหัวไปหมดแบบนี้
โอยยยยอยากจะอ้วกกกก
เขาลุกขึ้นนั่งแบบมึน
ๆ ถอดเสื้อที่กระดุมถูกปลดไว้แล้วทั้งหมดทิ้งลงที่พื้น เพราะว่าภายในห้องมืดมาก
ไม่มีเสียงอะไรเล็ดลอดออกมาเลยนอกจากเสียงแอร์ แคปไม่ได้คิดนึกอะไรให้มากความ
ห้องไหน ๆ ก็จัดคล้ายๆกันทั้งนั้นเขาจึงคิดว่านี่เป็นห้องของตัวเอง บังเอิญมากจริง
ๆ การจัดวางเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นคล้ายกันอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้
แคปลุกขึ้นยืนเดินเซเข้าห้องนอนไม่มีการเตะชนอะไรให้ตกหล่นเสียหาย
“หึ....” เขากระตุกยิ้มขึ้นนิดๆเมื่อเห็นคร่าว
ๆ แล้วว่าตรงนั้นคือเตียงอันหนานุ่มของเขา หลงโทษตัวเองเมามากจนเข้าห้องไม่ไหว
ไปนอนกองอยู่ด้านนอกได้ยังไงวะตลกเป็นบ้า มือเล็กปลดกระดุมกางเกงยีนส์แล้วถอดๆๆ
ลำบากนิดหน่อยจนต้องล้มตัวนั่งลง เพราะเป็นเดฟที่ค่อนข้างรัดรูป บ็อกเซอร์เหรอ?? อืมม ถอดออกไปเลยดีกว่าเมาๆแบบนี้จะไปนอนทนอึดอัดทำไม
ว่าแล้วก็ปลดซีเคตัวเก่งลง
เมื่อเขาลุกขึ้นยืนดันเซล้มลงอีกครั้งเพราะสะดุดกับเสื้อผ้าที่ตัวเองถอดกองไว้
เขาเขี่ยๆมันให้พ้นทางก่อนซุกตัวลงนอนที่เตียงนุ่มทันที
“นอนละ....”
“อืมม...” เสียงใครสักคนที่อยู่บนเตียง คำรามฮึมฮัม
พลิกตัวหันหลังให้เขาเหมือนกับว่ารำคาญมาก
แคปคิ้วขมวดนิดๆทั้งที่ยังหลับตาอารามว่าเมา
แต่สุดท้ายแล้วก็ยิ้มออกมาเมื่อเขาเอามือลูบ ๆ
คลำๆดูแล้วรู้ว่าเป็นร่างกายเปลือยเปล่าของใครสักคน ผิวเนียนมากๆ คึคึ
เขาคิดว่าต้องเป็นแยม...เธออาจจะมารอเขาอยู่ที่นี่
แคปลืมไปเลยว่าแยมเพิ่งจะนอกใจเขาเมื่อหัวค่ำและเพิ่งมีเรื่องมีราวกัน
“แยมครับ..” แคปเรียกเสียงพร่าต่ำ
เขาดึงไหล่เล็กของแยมให้หันกลับมา รู้สึกว่ามันเต็มไม้เต็มมือกว่าเดิม
แยมอาจจะอ้วนขึ้นในเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมงแต่ไม่เป็นไรนอกจากแยมแล้วไม่มีผู้หญิงคนไหนกล้ามานอนแก้ผ้าบนเตียงเขาแน่
ๆ
“แยม....”
“อื้อ”
เมื่อเขาเรียกอีกครั้งแยมกลับตอบอื้อๆกลับมาทำน้ำเสียงติดรำคาญ
แคปที่หลับตาเริ่มอารมณ์เสีย ทุกทีไม่เคยเล่นตัวแบบนี้นี่หว่า
เรื่องมากนักไม่ยอมหันกลับมาใช่ไหม
ผู้หญิงอ่ะนะบางทีก็ชอบให้ใช้กำลังบังคับกันมั่ง เขาจัดการขึ้นคร่อมทับเธอซะเลย
แยมอ้วนขึ้นจริง ๆ นี่หว่า ตัวใหญ่ขึ้นเยอะเลย
“ตัวหอมจัง.....” แคปว่าเบา ๆ
พลางซุกปลายจมูกโด่งตักตวงเอาความหอมหวานแถวซอกคอเล็ก(??) ปลายคางมนรวมถึงมุมปากสวย(??) จูบลงไปแบบรัว ๆ
รู้สึกแปลกๆ
ว่ะ แต่ช่างมันก่อน แคปบอกตัวเองแบบนั้นแล้วแลบลิ้นออกมาไล้เลียพวงแก้มขาว(??)
อะไรวะ รู้สึกแปลกๆอีกแล้ว.....
ในเวลาเดียวกัน...คนที่นอนหลับนิ่งเป็นตายอยู่บนเตียงอย่างเอส
กลับรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังโดนผีอำ....ทั้งหนักทั้งอึดอัดจนต้องเบ้หน้า
รู้สึกว่าใบหน้าเปียกแฉะแล้วก็เหนียวเหนอะน่ะไปหมด ซอกคอจักจี้แปลกๆ
ก่อนที่ความเปียกชื้นจะลากขึ้นมาที่ใบหน้าอีกครั้งแล้วเปียกลามใบจนถึงใบหู
เอสค่อยลืมตาขึ้นด้วยความยากลำบาก
ปวดหัวหนึบ ๆ
Tbc.