(II)
“ซี๊ดด...ไอ้เหี้ย!” แคปซี๊ดปากด้วยความแสบเมื่อรอยแตกที่มุมปากซ้ายถูกสำลีชุบด้วยแอลกอฮอล์แตะเช็ด
“เจ็บไหมล่ะมึง
อย่าหันหนีสิวะกูทำยากนะเนี่ย สัสเอ๊ยกูเองก็เจ็บ..” ปอทั้งทำทั้งด่า สุดท้ายเอาพลาสเตอร์ยาขึ้นมาแปะทาบให้
“พอแล้ว
ติดไรนักหนาวะกะอิแค่รอยช้ำรอยแตกสองสามวันก็หายแล้ว” เขาพูดอย่างไม่ใส่ใจหันหน้าหนียกมือขึ้นมาผลักมือเพื่อนออก
แต่ปอยังตามดึงคางมนนั้นกลับมาอีกครั้ง
“กูบอกติดก็ติดสิวะเอ๊ะ” ปอดุ
“อย่าทำ
ไม่เอาเว้ยพอแล้ว” แคปว่าอย่างรำคาญ
เขาผลักปอออกแล้วลุกขึ้นแต่ถูกอาร์ดึงไว้อีก
“อยู่เฉยๆน่าแคปเดี๋ยวไอ้ปอมันจัดการแผลมึงเสร็จจะได้มาทำให้กูต่อด้วย
ยิ่งมึงมากเรื่องกูกับมันก็ยังไม่ได้ทำแผลเลยนะเว้ย..” เสียงเพื่อนตัวเล็กทำให้แคปต้องหันกลับมามอง แผลบนใบหน้าของอาร์มีเต็มไปหมด
แน่นอนครึ่งนึงเป็นความผิดเขา เพราะว่าใจร้อนเกินไปเลยพลอยทำให้เพื่อนลำบาก
และคนที่เจ็บตัวหนักสุดก็คืออาร์ เขาพาเพื่อนๆไปโดนตีนของไอ้พวกเวรนั่นอย่างช่วยไม่ได้จริง
ๆ ไม่น่าเชื่อว่าเพื่อนสนิทของไอ้เมี่ยงจะเป็นไอ้เอสคนนั้น
ก็คิดอยู่เหมือนกันตอนที่อาร์เอ่ยชื่อเมี่ยงครั้งแรก คิดว่าเคย ๆ
ได้ยินจากที่ไหนที่แท้พี่ชายเขาเคยพูดไว้ว่ากลุ่มน้องรหัสตัวเองมีไอ้เอสนี่แหละที่ฝีมือดีที่สุด
“มึงอย่าไปหาเรื่องมันอีกล่ะไอ้แคป
เจอที่ไหนก็ไม่ต้องไปทักมันหรอก เรื่องคราวนี้ขอให้มันจบลงที่วันนี้นะเว้ย..” ปอพูดบอกแกมขอร้อง
คำว่าทักที่เอ่ยไปแน่นอนว่าไม่ใช่ทักทายแบบคนทั่วไปเขาทำกันแน่ ๆ
ระดับแคปนั่นคงหมายถึงหมัดถึงตีน แคปมองหน้าปออีกครั้งขณะที่มือใหญ่ทาบพลาสเตอร์ลงไปเป็นแผ่นที่สาม มุมปากเพื่อนเขียวม่วงจนเป็นรอยช้ำ
สันจมูกโด่งมีพลาสเตอร์ยาที่ปอกำลังแปะทับรอยสีเขียวอมม่วงเป็นแผ่นที่สี่
แคปกำหมัดแน่นเมื่อนึกถึงหน้าไอ้เวรนั่น ความโกรธเหมือนถูกกวนให้กรุ่นขึ้นมาอีก
“เรื่องดิ่
ไอ้เหี้ยนั่นอย่าให้กูเจอมันเชียวนะกูจะกระทืบแม่งไม่เลี้ยงเลย
ลองสู้กันตัวๆดิ่วะกูไม่มีวันแพ้หรอก”
แคปพูดอย่างคั่งแค้น
เรื่องราวคราวนี้เขาเสียหน้ามากมายทีเดียว
คนที่ไม่เคยพ่ายแพ้ให้กับใครมาก่อนยกเว้นพี่ชายตัวเองต้องมายืนหมดสภาพต่อหน้าไอ้เวรตะไลนั่น
ยิ่งคิดเขายิ่งหงุดหงิดและโมโห
“เออไอ้เก่งมึงคิดว่ามึงเก่งให้ได้แบบนี้ตลอดนะ
มึงเห็นไหมว่าขนาดเฮียเต้ยังเกรงใจมันเลย ปากดีๆนี่เงียบไปบ้างก็ได้
มึงบอกว่าเจ็บบอกว่ากลัวมันบ้างไม่มีใครว่ามึงหรอก”
“ไม่เคยครับบอกเลย
คำว่ากลัวไม่เคยมีในสาระบบความคิดของกู ยิ่งกับไอ้สันดานนั่นแล้วไม่ต้องพูดถึง
เจอที่ไหนปัญหาเกิดกูรับรอง ว่าแต่มึงเหอะอะไรวะแต่ก่อนตีคู่กับกูแท้ ๆ
ไหงพอเจอไอ้เหี้ยนั่นมึงถึงได้เรียบร้อยขึ้นมาแบบนี้” แคปจ้องหน้าปออย่างสงสัย ปกติแล้วไอ้เพื่อนเขาคนนี้ไม่เคยกลัวใคร
ฝีมือต่อยดีพอๆกันกับเขาผิดที่ว่าปอใจเย็นกว่าหน้าตาก็เรียบร้อยต่างกับแคปทั้งใจร้อนมุทะลุดื้อดึงและที่สำคัญหน้าตากวนตีนอย่าบอกใครบางครั้งไปเที่ยวกันแค่นั่งอยู่เฉย
ๆ ยังมีคนมาหาเรื่องถึงโต๊ะ
“ไม่ให้มันเงียบเชียบเรียบร้อยได้ไง
มึงไม่เห็นนี่ตอนที่ไอ้เอสนั่นเดินเข้ามาครั้งแรกมันถีบไอ้ปอจนกระเด็นไปเป็นวา”
“เหี้ยปอตอนไหน
ทำไมกูไม่เห็นวะ”
“ก็ตอนที่มึงเล่นไอ้ห่าเมี่ยงนั่นไง
กูจะร้องบอกไอ้ปอให้ระวังก็ไม่ทันแล้ว”
อาร์ชิงตอบให้ก่อนเขาปิดกล่องปฐมพยาบาลเมื่อใช้อุปกรณ์ทุกอย่างจนเสร็จเรียบร้อย
ปอยกมือขึ้นลูบ ๆ
พลาสเตอร์ยาที่ทาบติดอยู่ที่ปากตัวเองหลังจากที่อาร์ผลัดหน้าที่กันติดให้เขาบ้าง
“จุกฉิบหายกูจะบอก..” ปอแกล้งลูบท้องทำหน้าตางอๆส่งน้ำเสียงสำออยนิดๆแต่ว่าแคปดันรู้ทันตบหัวเพื่อนไปฉาดใหญ่
“มารยานักนะมึง
กูรู้เหอะที่จริงมึงก็สนุกใช่ไหมล่ะ ตีคนแบบนี้มันส์ดีจะตาย
เราชกมันมันชกเรายิ่งแลกยิ่งลุ้น”
“เชี่ยแคป
หัวกูเสียทรงหมดแล้วห่า ทำเป็นรู้ดี”
“กูรู้ใจมึงที่สุดไม่ใช่ไง
หมาตัวไหนเคยบอกมาตั้งแต่มอสี่แล้ววะ”
“มอสามหรอกไอ้เหี้ย” ปอสวนกลับแต่ไม่ทันที่อาร์ชิงพูดขึ้นอีก
“มอสองต่างหากกูจำได้”
ว่าแล้วพวกเขาสามคนก็หัวเราะกัน
ก่อนที่จะแยกย้ายกันนอนกระจัดกระจายอยู่ตามพื้นบ้างที่นอนบ้างนานจนถึงเย็นเจ้าของห้องอย่างอาร์ตื่นขึ้นมาก่อนเขาอาบน้ำแต่งตัแล้ววจึงปลุกแคปและปอให้ลุกขึ้น
สองคนงัวเงียขี้เซาเป็นนิสัยประจำตัวโดยเฉพาะแคปที่เวลาง่วงหรือนอนไม่พอนิสัยจะออดอ้อนเหมือนเด็กน้อยมากผิดกับเวลาปกติ
“ไอ้แคปเดินให้มันตรงสิวะ
แบบนี้กูจะไว้ใจให้มึงขับรถกลับคนเดียวได้ป่ะเนี่ย..” ปอเขย่าตัวแคปเบา ๆ พวกเขาสามคนเดินลงมาที่ใต้หอเพื่อเอารถ
ปอตื่นเต็มตาแล้วแต่แคปยัง
“ขับรถให้หน่อย...” แคปทำเสียงอ้อน ๆ
แกล้งซบไหล่เล็กของอาร์แล้วทำท่าเหมือนจะกัดกินจนอาร์ต้องใช้สายตาปรามแล้วดันหัวออก
ปอดึงแคปบอกให้เดินให้ตรงทางเขาจึงเปลี่ยนเป็นเดินเซไปเซมาแทน
“บอกว่าให้ไปแชร์ห้องอยู่ด้วยกันตั้งแต่แรกก็ไม่ยอม
เห็นป่ะล่ะเสียเวลาพวกกูต้องมากินนอนที่ห้องมึงแทบจะทุกวันเนี่ย ฮ้าวววว” แคปพูดเสียงติดงัวเงียสุดท้ายก็หาวออกมาหวอดใหญ่
ก่อนชูสองมือขึ้นบิดขี้เกียจ สร้อยข้อมือสีเงินที่ใส่ประจำห้อยสะท้อนแสงสวยงาม
ของติดตัวชินนี้พี่ชายเขาเป็นคนซื้อให้ตอนที่สอบเข้ามหาลัยเดียวกันได้เมื่อปีที่แล้ว
“เอาเหอะกูอยู่ตรงนี้ก็ดีแล้วใกล้มหาลัย” อาร์ว่า
“เออๆเรื่องของมึงเหอะพวกกูจะกลับแล้ว
ไอ้แคปมึงกลับกับกูละกันรถมึงจอดไว้ที่หอไอ้อาร์นี่แหละพรุ่งนี้เรียนเสร็จเดี๋ยวค่อยแวะมาเอา” ปอชักห่วง ๆ กลัวว่าแคปยังไม่สร่างง่วงดีเลยเสนอให้กลับรถตัวเอง
ปกติก็แชร์ห้องกันอยู่กับแคปอยู่แล้วเวลาไปเรียนเขาสองคนใช้รถแค่คันเดียว
แต่วันนี้แยกกันมาเพราะแคปบอกจะแวะไปบ้านก่อนจะมาที่หออาร์เพราะงั้นรถพวกเขาเลยมีถึงสองคัน
“เฮ้ยไม่ได้!” แคปรีบสวนขึ้นหน้าตาที่เคยงัวเงียตื่นขึ้นทันที
“พรุ่งนี้กูต้องไปรับน้องแยมไปเรียนเช้าเว้ย
จะทิ้งรถไว้ที่นี่ได้ไงเล่า”
“เออไอ้เหี้ย
พอเรื่องเมียนี่ตาโตเชียวนะ ทั้งที่เปลี่ยนมาตลอดแท้ ๆ
ไม่ใช่ว่าพรุ่งนี้เป็นคิวน้องแป้งนะมึง หลงคิดว่าเป็นน้องแยมไปเองซวยตายห่าเลย..” ปอเบรกเพื่อน
“เสือก
เรื่องของกูกูจัดคิวเองได้เว้ย”
“แหมกูอยากเสือกนักนะถ้าไม่ใช่เพราะทั้งน้องแป้งทั้งน้องแยมนี่กูทั้งนั้นที่จีบมาก่อนพอมาเจอมึงนี่เปลี่ยนใจมาหามึงแทบทุกคนกูอยากรู้ฉิบหายเลยว่ะมึงแม่งมีอะไรดีนักหนา”
“หึหึ....”
“สัส..”
“ผู้หญิงน่ะยิ่งร้ายยิ่งชอบมึงไม่รู้? ยิ่งเวลากูดูดบุหรี่แล้วต้อนเธอเข้ามุมเพื่อบดจูบนะ
แม่งอ่อนระทวยไปแทบทุกรายแหละ หึหึหึ”
อาร์กับปอพร้อมใจกันเบะปากก่อนลงมะเหงกใส่หัวแคปไปพร้อม ๆ กัน
เจ้าตัวดีรีบเปิดรถตัวเองแล้วขับหนีออกไปทิ้งไว้แต่เสียงหัวเราะทะเล้นที่หากไม่สนิทกันจริง
ๆ จะไม่รู้เลยว่าเจ้าตัวขี้เล่นได้ขนาดนี้
“กูไปนะ..” ปอหันไปบอกอาร์ก่อนที่ตัวเองจะออกรถตาม
.
“มีไร..” แคปยกมือถือขึ้นมากดรับ
เขาเดินจวนจะถึงห้องอยู่แล้วขณะที่ปอเป็นฝ่ายทาบการ์ดแล้วเปิดเข้าไปก่อน
สองคนเป็นรูมเมทกันตั้งแต่เรียนปีหนึ่ง
(พูดกับกูนี่ห้วนได้อีกนะมึง
ไอ้น้องแสบ)
“ไม่อยากคุยกับพี่ว่ะ” แคปเดินตามเพื่อนเข้าห้อง เขานั่งลงที่โซฟายกขาขึ้นมาพาดไว้
(อย่ามากวนตีน
แผลเป็นไง มึงเจ็บหนักรึเปล่า)
“ถามทำไมเพิ่งนึกได้หรือไงว่ามีน้องชื่อแคป”
(เดี๋ยวเหอะมึงหาเรื่องกูจริง
ๆ นะ ถ้าไม่ห่วงจะโทรหาไหมบอกกูมาดิ๊ เจ็บมากรึเปล่า)
“..........”
(ผู้หญิงเหรอมึงงอนไม่เข้าเรื่อง)
“เกลียดคนพูดมาก”
(โอ๊ยยย ครับๆ
กูไม่พูดแล้วครับ แบบนี้พอใจแล้วใช่ไหมครับคุณน้องแคป”
“หึหึหึ”
(หัวเราะกูได้นี่แสดงว่ามึงไม่เป็นไรเลยนี่หว่า
ไอ้น้องแสบกูก็นึกว่ามึงจะนอนท้องระบมเพราะเจอตีนน้องรหัสกู)
“ไม่มีทางหรอก
ระดับผมความเร็วตีนแค่นั้นไม่มีทางโดนอยู่แล้ว
ดูด้วยพ่อผมใครส่วนพี่อย่าไปพูดถึงมัน”
(เดี๋ยะๆมึงโดน)
“ขำป่ะล่ะ”
(ขำบ้านมึงดิ่
บอกกูมาเร็วเข้าไม่เป็นไรมากใช่ไหมพ่อโทรหากูว่ามึงโดนตีนใครแล้วเรื่องแตกนะ กูนี่แหละจะเจอ)
“ก็บอกแล้วไงไม่เป็นไรสักหน่อย
ลาเต้อย่าห่วงน่า..”
(ไอ้แคป!)
เสียงเต้เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นบอกเป็นนัยให้แคปรู้ว่าพี่พูดจริงถามจริง
เขาเองก็ขี้เกียจกวนตีนต่อยอมรับไปเลยง่าย ๆ
“เออๆ
เจ็บเชี่ยๆ หมัดหนักฉิบ น้องรหัสกับพี่รหัสแม่งไปฝึกมวยมาจากที่เดียวกันป่ะวะเนี่ย
ดีนะไม่โดนตีนมันด้วยไม่งั้นป่านนี้จะเดินตรงๆได้เหรอ”
(หึหึหึ)
“แล้วพี่มีอะไรอีกป่ะล่ะ
ไอ้ปอมันมองผมตาเขียวแล้วเดี๋ยวไปล้างจานก่อนวันนี้หน้าที่ผมเหอะ” แคปมองไปที่ครัวปอยืนรื้อข้าวของในตู้เย็นออกมากอง ๆ ไว้ที่โต๊ะ
คงกำลังคิดว่าเย็นนี้จะทำอะไรกินกันดี
(ไม่มีหรอกแต่กูอยากจะเตือนมึงไว้อย่าง กูไม่รู้นะพวกมึงสามตัวไปทำอิท่าไหนกันมา
แต่บอกไว้ก่อนว่าไอ้เอสไม่ใช่คนที่มึงจะฟัดกับมันได้ง่าย ๆ
แล้วเพื่อนกลุ่มมันทุกคนก็ไม่ใช่คนที่มึงควรจะยื่นมือเข้าไปยุ่ง)
“ผมกลัวมันตายล่ะ
พี่คิดว่าผมกลัวมันงั้นดิ”
(เออมึงเก่งกูรู้
แล้วแต่ละกันเจอมันก็อย่าหลบล่ะ
เป็นไรขึ้นมาก็ให้เพื่อนมึงใส่ยาให้นะถ้าเพื่อนมึงยังจะพอทำได้ไม่กระดูกร้าวไปก่อนมึง)
“ไม่อยากคุยแล้ว
คำอวยพรไม่ได้เรื่อง วางแล้วนะ”
(แคปอย่า..กูพูดจริง
อย่ามีเรื่องกับมันอีกได้ไหม เจอที่ไหนก็ทำเป็นไม่เห็นไม่รู้จักมันซะ
ตรงๆเลยนะถ้าหากมึงมีเรื่องขึ้นมาอีกจริง ๆ
กูเองก็คงต้องกลายเป็นศัตรูกับน้องรหัสตัวเองแน่ๆมึงรู้อยู่แล้วกูเลือกใคร)
“..........” แคปเงียบไป
เขาคว้าซองบุหรี่ขึ้นมาคาบไว้หนึ่งตัว ลุกขึ้นมองซ้ายมองขวาหาไฟแช็คมาจุด
ก่อนเลื่อนประตูระเบียงเพื่อออกไปยืนดูด
(เงียบทำไม
โกรธกูอีก เอาเข้าไป)
“ไม่สัญญาว่าจะทำได้อย่างที่บอก
แต่จะอดทนให้ถึงที่สุด” เต้รู้ดีว่าถ้าแคปพูดจริงจังน้ำเสียงจะเป็นแบบนี้เสมอ
(ดีมากคาปูคนสวย
ถ้ามึงอดทนจนสุดแล้วมันเกินลิมิตของมึง ถึงตอนนั้นจัดเต็มไปเลยไอ้น้อง
เข้าใจความหมายกูนะ)
“ผมชื่อแคปครับ
คาปูนั่นมันพี่ปัญญาอ่อนเรียกเมื่อสิบปีที่แล้ว
ดูหน้าผมด้วยจะเรียกคนสวยก็ให้เกียรติหน้าตาผมหน่อย)
แคปส่ายหัวกับคำพูดหยอกล้อของพี่ชาย เมื่อก่อนเขาน่ารักเหมือนเด็กผู้หญิงก็จริง
แต่ตอนนี้ไม่ใช่แบบนั้น ถึงแม้ว่าลาเต้มักจะหยิกแกมหยอกเขาแบบนี้เสมอ
(หึหึหึ
แค่นี้เว้ยไอ้หมา ไว้เจอกันวันอาทิตย์กลับบ้านนะมึง พ่อถามหาแล้ว)
“ครับพี่..”
(น้องกูนี่น่ารักที่คำลงท้ายเหรอวะ.....)
“........” แคปรีบกดวางสายแล้วดับบุหรี่ก่อนเปิดประตูเดินเข้าห้อง
เขาโยนมือถือทิ้งที่โซฟาพลางบ่นอุบอิบเหมือนทุกๆครั้งเวลาที่โดนพี่ชายแซว
เพราะเต้ชอบทำเหมือนเขาเป็นน้องสาวมากกว่าน้องชายไม่รู้ทำไมตั้งแต่เด็กทั้งพ่อทั้งพี่ชายดูแลเขายิ่งกว่าเด็กผู้หญิง
แคปเคยสรุปเอาเองว่าอาจเพราะบ้านเขามีแต่ผู้ชายล้วน
และเขาเป็นลูกคนเล็กทั้งพ่อทั้งพี่จึงตามใจและดูแลเขามากเป็นพิเศษ
อีกทั้งตอนเป็นเด็กพ่อมักตัดผมให้เขาเป็นทรงบ๊อบน่ารักๆเข้ากับใบหน้ารูปไข่ปากนิดจมูกหน่อยบวกกับผิวขาวเนียนอมชมพู
หลายคนเลยพลอยคิดว่าเขาเป็นเด็กผู้หญิง
อีกทั้งเขากับพี่ชอบแกล้งกันอยู่ตลอดตั้งแต่เล็กจนโตพี่เต้ชอบอุ้มเขาไปอวดคนนั้นคนนี้แล้วบอกคาปูเป็นตุ๊กตาที่น่ารัก
แต่ตอนนี้มาดูหน้าเขาเถอะมันไม่ใช่แบบนั้นเลยสักกะนิด
“ทำไรกินวะ...” แคปคว้าเอาหมอนอิงขึ้นมากอดพร้อมเดินไปชะโงกหน้าดูในครัว
“มึงอยากกินอะไร
มีแค่ไข่กับเนื้อปูสำเร็จ กินเหมือนเดิมอีกมึงเบื่อป่ะล่ะ..” ปอเงยหน้าถาม แคปส่ายหัวบอกไม่เบื่อ เขาลากเก้าอี้ออกมาแล้วคร่อมขานั่ง
ซบหน้าลงที่หมอนมองดูเพื่อนตอกไข่ลงในถ้วย
“ถ้าว่างนักมึงก็ไปล้างจาน
สองใบตั้งแต่เมื่อเช้ายังกองอยู่ในซิ้งค์เลยเหอะ” ปอบรรจงเทเนื้อปุลงในไข แคปสังเกตดูเขาไม่ได้ใส่น้ำปลาอีกแล้วไม่รู้ว่าทำไม
กระทะน้ำมันร้อนมากจนควันขึ้น ปอเทไข่เจียวลงไปเสียงฟู่ววววว ส่งกลิ่นหอมหวลไปทั่วครัว
“หอมมมม..” แคปทำจมูกฟึดฟัด “หิวว่ะ..”
“อย่าเพิ่งเปิดสิวะข้าวยังไม่สุก” ปอตีมือแคปเมื่ออีกฝ่ายจู่ ๆ เดินมาเปิดฝาหม้อหุงข้าว
“หิวแล้วก็หอม”
“เออๆกูรู้
แต่มึงต้องรอเดี๋ยว ไปอาบน้ำไปออกมาข้าวสุกพอดี”
“ห้ามกินก่อนกูนะมึง
กูกลัวมึงกินก่อน”
“เออไอ้ห่า
กูคงกินก่อนมึงได้หรอกข้าวยังแฉะเป็นข้าวต้มอยู่เนี่ย” แคปคว้างหมอนกลับไปโยนไว้ที่โซฟายาว เขาชี้หน้าปอแล้วรีบวิ่งเข้าไปอาบน้ำ
จริง ๆ
คงจะเรียกว่าวิ่งผ่านน้ำมากกว่าเพราะแคปใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีก็เดินใส่เสื้อออกมาขณะที่หัวยังเปียกโชก
“เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอกมึง”
“กูสน?” แคปว่าแล้วเขี่ยขาปอให้หลีกจากทางพร้อมแทรกตัวเข้ามานั่งที่ประจำ
ข้าวรอพร้อมไว้อยู่แล้ว
อาหารมีอยู่แค่อย่างเดียวคือไข่เจียวปูกับซุปมิโซะคนล่ะถ้วย
“อร่อย..” เขาว่าทั้งที่ข้าวยังเต็มปาก มือกดรีโมทหาช่องทีวีรายการโปรด
“ยังจะกินได้อยู่นะมึง”
“ทำไมวะ อ้าวแล้วทำไมมึงไม่กินอ่ะ..” แคปหันมาถามเพื่อน
ตอนแรกเขาไม่ได้สังเกตเลยด้วยซ้ำว่าปอเอาแต่นั่งดมข้าวเขี่ยแล้วเขี่ยอีก
หน้าตาไร้อารมณ์บอกยี่ห้อว่าไม่สนใจอยากจะกินเลยด้วยซ้ำ
“เจ็บปากอ่ะดิ” ปอว่า
“หือ??” แคปงับช้อนเข้าไปอีกคำ
“เชื่อมึงเลยโดนชกมาแบบนั้นยังทำเฉย”
“อ้าว
งั้นจะให้กูนั่งโอดโอยว่าเจ๊บเจ็บแบบนั้นเรอะ..” เอาจริง ๆ
ยาดีมากเลยนะ ไม่รู้ทำไมไม่ค่อยระบม
“เปล่า
เออมึงกินต่อเหอะ กูก็แม่งถามไปงั้น..”
ปอส่ายหัวให้ตัวเองพอๆกับที่งงๆไปกับแคป
แต่ในที่สุดเขาก็คว้าจานตัวเองขึ้นมากิน สองคนกินไปดูการ์ตูนไปหัวเราะกันไป
ช่วงนี้โดเรมอนกลับมาฮิตอีกแล้ว
“วันนี้มึงไปค้างกับแพรรึเปล่าวะ..” แคปกินคำสุดท้ายเสร็จ
เขาลุกขึ้นถือจานไปเก็บแล้วเปิดตู้เย็นเอาน้ำเปล่ามาดื่ม
“แพรกลับบ้าน
เดี๋ยวพรุ่งนี้กูต้องไปรับเขาที่สนามบินแต่เช้าเลย”
“อ่อ..”
แคปพยักหน้ารับรู้ คืนนั้นเขาลุกขึ้นมากลางดึกเพราะเสียงปอเพ้อดังมาก
พอไปจับตัวดูถึงได้รู้ว่าเพื่อนมีไข้ต่ำๆ ปอกุมท้องไว้ตลอดแล้วบอกว่าเจ็บ
พอแคปเปิดดูถึงได้รู้ว่าท้องปอเขียวช้ำมากคงเพราะตอนโดนไอ้เวรนั่นถีบจนกระเด็น
ยิ่งดูก็ยิ่งแค้นแคปกำหมัดแน่นก่อนเอายาฟกช้ำมานวดให้แล้วบอกปอว่าให้นอนดี ๆ
“เออๆ
มึงไปนอนเหอะกูฝันว่ะโทษที”
“......” แคปมองหน้าเพื่อนอย่างไม่ค่อยไว้ใจเท่าไหร่
รอยช้ำที่หน้าดีขึ้นแล้วแต่แผลที่ท้องทำให้เขาห่วง
“ไปหาหมอไหมมึง”
“บ้าดิ่ แผลแค่นี้ไกลหัวใจเว้ย
กูบอกแล้วไงว่าฝันเลยละเมอเสียงดัง มึงกลับห้องไปได้แล้วไปล๊อคห้องให้กูด้วยนะ” ปอว่าจบตวัดผ้าห่มขึ้นคลุมโปง
แคปยืนจ้องอยู่สักพักตัดสินใจเดินกลับไปหอบหมอนหอบผ้าห่มมานอนข้างกัน
“ทำเหี้ยไรของมึง” ปอโวยวายลุกขึ้นนั่งมองคนที่ล้มตัวลงนอนข้าง ๆ เขา
“กูบอกแล้วไงว่ากูไม่เป็นไร
จะมานอนด้วยกันทำไมล่ะวะเตียงยิ่งแคบ ๆ ไอ้แคปมึงกลับไปนอนห้องมึงเลย”
“อย่าละเมอจนถีบกูตกเตียงล่ะสัส
นอนๆเดี๋ยวพรุ่งนี้มึงจะได้ตื่นไปรับเมียแต่เช้าไง” แคปไม่สนใจที่เพื่อนไล่ให้ไปนอนห้องตัวเอง
เขาพูดจบกดหัวเพื่อนให้นอนลงไปส่วนตัวเองก็นอนหลับตาอยู่ข้าง ๆ กัน
ปอจับมือแคปเหวี่ยงไปหาเจ้าตัว เขาจะอ้าปากด่าอีกก็เจอแคปกดหัวลงมาอีกปอเลยต้องจำใจได้ยินแต่เสียงเล็กหัวเราะหึหึกลับมาอีกปออมยิ้ม
ในที่สุดเขาก็หลับลงไปโดยมีเพื่อนสนิทที่สุดนอนอยู่ข้าง ๆ
.
“พี่แคปช่วยแยมกินสิคะ
ไหนบอกแยมว่าร้านนี้อร่อยไงตัวเองไม่เห็นจะสั่งเลยอ่ะกินแต่กาแฟขมๆอยู่นั่นแหละ” น้องแยมเด็กบริหารตัวเล็กน่ารัก ผิวขาว ผมสีน้ำตาลยาว สเป็คเดิมๆของแคป
“อะไรกาแฟขมๆนี่เขาเรียกเอสเพรสโซ่ แยมเอาเค้กเพิ่มอีกไหมครับเดี๋ยวพี่ไปสั่งให้นะ”
“บ้า
แยมอ้วนเป็นหมูแล้วยังจะถามอีก เค้กสามชิ้นผู้หญิงที่ไหนเขากินกันล่ะ”
“อาทิตย์ละครั้งไม่เป็นไรมั้ง..” เขาพูดอย่างเจ้าเล่ห์ แคปยกยิ้มนิดๆพร้อมสายตาที่เต็มไปด้วยลูกเล่นแพรวพราว
ก่อนยกแก้วกาแฟขึ้นดูด
“พี่แคปชอบกินเอสเพรสโซ่เหรอคะ
มาทีไรสั่งแต่อันนี้อ่ะ ไม่กินอันอื่นๆบ้าง คาราเมลเฟรปเป้เขาก็อร่อยนะ ลาเต้
ม็อคคา คาปูชิโน่”
“ไม่ครับ
ของพี่ต้องเอสเพรสโซ่เท่านั้น” แยมไม่เคยรู้ว่าชื่อจริงของแคปคือ
คาปูชิโน่ จะว่าไปพ่อเขานี่ถือว่าแปลกมากทีเดียว
เฮ้ยโก้เป็นบาริสต้าที่หลงใหลการสะสมเมล็ดกาแฟและชื่นชอบการชงกาแฟทุกรูปแบบ
เพราะงั้นจงอย่าแปลกใจที่เขากับพี่ชายถึงมีชื่อแปลกประหลาดอะไรแบบนี้
“แต่จริง ๆ
กาแฟที่แยมพูดมาทั้งหมดนั่นต้องใช้เอสเพรสโซ่เป็นตัวชงนะ
พี่ถึงมีความรู้สึกว่าเอสเพรสโซ่เพียวๆไปเลยมันน่าจะอร่อยกว่า ซึ่งมันก็อร่อยจริง” น่าเสียดายอีกอย่างที่แยมไม่เคยรู้ว่าบ้านแคปเปิดร้านกาแฟ
เขาเคยคิดว่าสำหรับคนที่เขาจริงจังด้วยเท่านั้นจึงจะพาไปกินกาแฟฝีมือเฮียโก้ได้
“รักเดียวใจเดียวว่างั้นเถอะ”
“อือฮึ เอสเพรสโซ่กินแล้วไม่อ้วน ไม่มีนม นมน้อย
ไม่เหมือนพวกชาเขียวปั่นนี่ นมเยอะแต่ไม่อร่อย..” แคปแกล้งกัดน้องแยมด้วยคำพูดเบา ๆ
เพราะเธอชอบกินแต่ชาเขียวที่ทั้งหวานทั้งมัน แล้วก็ชอบมาบ่นว่าตัวเองอ้วน
“พี่แคปบ้า
ถามจริงแยมอ้วนมากป่ะ เดี๋ยวจะลดน้ำหนักอยู่นะ พี่แคปอย่าเบื่อแยมนะคะ” เมื่อผู้หญิงถามว่าตัวเองอ้วนไหมผู้ชายจะมองที่ตรงไหนถ้าไม่ใช่นมตูดและขา
แคปกวาดสายตาทั่วร่างเล็กด้วยความชำนาญทำทีเป็นขยับตัวออกนิดๆจะได้มองท่อนขาเพรียวที่ใต้โต๊ะได้ถึง
“ไม่เบื่อหรอกครับ
พี่ชอบอ้วนๆนะกอดแล้วอุ่น” ความจริงเขารู้สึกดีๆนะกับผู้หญิงอวบนิดๆ
ผอมแห้งมากๆไม่สเป็ค
“คนบ้า
หนักจะตายยังจะชอบอีก” แยมเขินกัดหลอดจนเหมือนจะขาดเป็นสองท่อน
“หนักตอนไหนอ่ะ
ไม่หนักนะไม่ได้รู้สึกว่าหนักเลยนี่”
“ไม่ต้องเลย
เดี๋ยวพอเจอผู้หญิงสวย ๆ หุ่นดีๆพี่แคปก็เบื่อแยม พี่แคปเจ้าชู้เขารู้กันหมดอ่ะ”
“เจ้าชู้ที่ไหน
มีแยมคนเดียว”
“อย่ามาตอแหล
แยมรู้หรอกเรื่องยัยแป้งสาววิทย์คอมอ่ะแต่นี่ทำไม่รู้ไม่เห็นให้หรอกนะขี้เกียจมีปัญหา
ถ้าแยมยังเป็นที่หนึ่งของพี่อยู่ก็โอเคอ่ะ ยกเว้นแค่อย่างเดียว..”
“จริงดิ่? อะไรครับ...” แคปเลิกคิ้วถาม
นี่คือข้อดีอย่างนึงของแยมที่ทำให้แคปคบเธอได้นานกว่าทุกคนหน่อย ๆ
“ถ้าพี่แคปคบผู้ชายเมื่อไหร่ก็บายค่ะ
แยมซีเรียสมากนะเรื่องเนี๊ยะ
ตอนที่ตัดสินใจคบพี่นะดูแล้วดูอีกจนแน่ใจว่าพี่แคปไม่ใช่แน่ ๆ อ่ะ”
“ตลกแล้วครับแยม
พี่ไม่มีทางทำแบบนั้นหรอก ทั้งเนื้อทั้งตัวเนี่ยให้แยมคนเดียวเลยนะ
ทำให้รู้อยู่เกือบทุกครั้งที่ไปค้างด้วยแล้วนี่” แคปส่งสายตาเจ้าชู้ ยื่นหน้าไปใกล้ ๆ
จนหน้าผากจะชนกับเธอแล้วทำเสียงกระซิบกระซาบที่ท้ายประโยค
“คนบ้าเมื่อคืนก็ไม่มาค้าง
แยมรอตั้งนาน คนเจ้าชู้..” แยมเอื้อมมือมาตีแขนเขาเบา ๆ เธอหน้าแดงนั่งม้วนไปม้วนมาแคปเลยคว้ามือเธอมาจับไว้ก่อนที่แยมจะตักเอาเค้กสตอเบอรี่ชิ้นนุ่มป้อนส่งให้ทาน
มุมปากเจ้าเล่ห์ของแคปจุดรอยยิ้มขึ้นอีกครั้ง จ้องหน้าเธอด้วยสายตาที่แพรวพราว
“ไหนว่าชอบให้พี่เจ้าชู้ไง..” กลิ่นหอมของสตอเบอรี่ลอยออกมาจากปากที่ใกล้ชิดกัน
“คนนิสัยไม่ดี
อย่าทำสายตาแบบนั้นใส่แยมนะ” แยมเขินอายขึ้นอีกเป็นเท่าตัว
พอดีว่ามีข้อความเข้ามาแคปเลยนั่งกดโทรศัพท์มือถือไป
แยมเองก็ทานเค้กกับดูดชาเขียวปั่นไปเรื่อย ๆ เขาสองคนไม่ได้รีบร้อนไปไหน
วันนี้แยมมีเรียนเช้าตัวเดียวเพราะงั้นแคปเลยอาสาว่าจะไปรับที่หอ เขารอจนเธอเรียนเสร็จแล้วจึงพามาทานเค้กกันแถวหน้ามหาวิทยาลัย
บรรยากาศดีๆกับร้านกาแฟบวกไอศครีมที่สาวๆชื่นชอบ
ขณะเดียวกัน
“เมย์จะลงไหมครับ
เดี๋ยวพี่แวะซื้อกาแฟให้เพื่อนแปป”
“ไม่อ่ะค่ะร้อนเมย์ไม่อยากลง
พี่เมี่ยงนี่ก็เหลือเกินทำไมไม่ขับรถมาซื้อเองนะใช้พี่เอสทำไมก็ไม่รู้ต้องถ่อออกมาแต่เช้าเนี่ยยังนอนไม่อิ่มเลย”
“บ่นทำไม
น่าเบื่อ”
“เอ๊ะ พี่เอส
อย่ามาว่ากันนะ”
“ถ้าไม่อยากให้พี่ดุก็อย่าลามปามเพื่อนพี่แบบนั้น”
“อ๋อ
แตะไม่ได้ใช่ไหม พี่เมี่ยงนี่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็สำคัญกับพี่เสมอนะคะ
สำคัญกว่าเมย์อีกงั้นสิ”
เอสเบรครถลงทันทีที่คำประชดประชันหลุดจากริมฝีปากเล็ก
เขาส่ายหัวก่อนเปิดรถแล้วเดินลงไปทิ้งให้น้องเมย์ดาวบัญชีของปีนี้ที่คบกับเขามาได้เดือนกว่า
ๆ หงุดหงิดหัวเสียอยู่คนเดียว
ไม่รู้เพราะนิสัยขี้เบื่อและไม่ค่อยจริงจังอะไรกับใครนานๆใช่รึเปล่าที่ทำให้เขาคบใครได้ไม่ทนไม่นานขนาดนี้
สถิติสำหรับคนที่ยาวนานที่สุดที่เคยคบมาคือสองเดือนกับอีกสิบสี่วันเป็นข้อมูลจากพวกไอ้ชิพและไอ้เมี่ยง
ไม่รู้ว่าเขาจะทนความเอาแต่ใจของเธอได้อีกนานแค่ไหน
“คาปูชิโน่เย็นกับม๊อคค่าเฟรบเป้ครับ”
“แก้วเล็กแก้วใหญ่คะ”
“แก้วใหญ่ทั้งคู่ครับ” เอสเดินเข้ามาสั่งที่เคาน์เตอร์
จ่ายเงินเสร็จรอรับเครื่องดื่มฟังเพลงบรรเลงเบา ๆ ที่คลอเรื่อยๆแต่
เสียงทุ้มๆของใครสักคนที่กำลังนั่งป้อหญิงดันแว่วมาเข้าหู
“ไหนดูซิแก้มยุ้ยๆนี่เปื้อนเค้กไปหมดแล้วครับ
พี่เช็ดให้นะ..” เอสมองคนที่นั่งหันหลังให้เขาในทันที
สาวสวยที่นั่งอยู่ต่อหน้ายิ้มเขินหน้าแดงมีเอามือไปหยิกแขนอีกฝ่ายนิดๆด้วย
“อย่าสิพี่แคปน่ะ
แยมไม่ใช่เด็กสักหน่อยเช็ดเองได้น่า..”
“อย่าดื้อสิครับ
เดี๋ยวพี่เช็ดให้ ดีกว่าน้องแยมเช็ดเองตั้งเยอะนะ..”
“......” แยมนั่งนิ่ง
ๆกัดปากรอ ให้แคปหยิบทิชชู่มาเช็ดออกให้ ขณะที่ตากลมโตมองไปรอบๆอย่างเขินอายกลับมาสะดุดลงที่ชายหนุ่มคนที่กำลังยืนรอกาแฟอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์
แยมกลืนน้ำลายเอื๊อกใหญ่ ๆ
พลางกล่าวโทษตัวเองว่าผู้ชายหน้าตารูปร่างดีคนนี้เข้ามายืนอยู่ต่อหน้าต่อตาเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ทำไมไม่รู้ตัวเลยสักนิด
เอสมองเห็นตาโตๆจ้องเขาแทบจะกลืนกินลงไปทั้งตัวก็อดที่จะนึกขำออกมาไม่ได้
ผู้หญิงคนนี้ลุคภายนอกน่ารักเรียบร้อยแต่แววตานั้นยั่วยวนและเต็มไปด้วยลูกเล่นที่แพรวพราวเหมือนสาวเปรี้ยวที่เขามักเจอตามสถานเริงรมย์ยามค่ำคืน
ที่จริงแล้วเขาไม่ได้สนใจอะไรเธอนักหรอกถ้าจะจำไม่ได้ว่าไอ้แผ่นหลังของคนที่นั่งป้อสาวหันหลังให้เขาอยู่ตอนนี้คือไอ้แคป!
ไอ้เด็กเกษตรคนที่พาเพื่อนมาหาเรื่องไอ้เมี่ยงเพื่อนเขาเมื่อวาน
รสจุกที่ท้องกับรอยเขียว ๆ ที่ขายังทำเขาเจ็บระบมมาจนถึงตอนนี้
เอสพยักหน้านิดๆยกยิ้มกรุ้มกริ่มให้เธอแค่นั้นก็ทำเอาแยมแทบละลาย
เธอจ้องเขาชนิดว่าไม่ยอมให้หลุดออกจากกรอบสายตาเลยแม้แต่นิด
“มีอะไรครับแยม..” ดูท่าแคปจะรู้ตัวซะแล้วว่าผู้หญิงของเขากำลังจ้องใครบางคนอยู่ด้านหลังตัวเขาเอง
แคปหันขวับกลับมามอง ตาเฉี่ยวเบิกกว้าง
คิ้วกระตุกขึ้นมาทันทีเพราะเอสยังยกยิ้มให้แฟนของเขาไม่หยุด
แต่นั่นยังไม่สำคัญเท่าไอ้เหี้ยนั่นมันยักคิ้วกวนตีนส่งมาให้แคปอย่างท้าทาย
“สัส...” แคปแค่นสบถในคอ
กำลังจะลุกขึ้นอย่างฉุนเฉียว
อยากจะเดินเข้าไปกระชากไอ้บ้านั่นแล้วชกตามันสักหมัดสองหมัดตอบแทนที่มันตบหน้าเขาเมื่อวานกับรอยชกที่ปากนี่อีก
ยังเจ็บไม่หาย แต่สัญชาตญาณบางอย่างเตือนให้เขาชะลอทุกอย่างไว้ก่อนเมื่อน้องพนักงานเรียกไอ้บ้านั่นเพื่อรับเครื่องดื่ม
“ขอบคุณครับ” เอสบอกขอบคุณอย่างสุภาพแล้วหันมาแสยะยิ้มยั่วให้แคปอีกครั้ง
คราวนี้คนตัวเล็กไม่รอช้าลุกขึ้นทันทีแต่เอสที่ไวกว่าก้าวเข้ามากดไหล่เขาให้นั่งลงตั้งแต่เมื่อไหร่
“ทำหน้าตาแบบนั้นเดี๋ยวแฟนมึงก็กลัวหรอกว๊า..” เขากระซิบที่ริมหูเล็ก แคปรีบผลักออกแล้วสบถเบา ๆ
กะให้เอสได้ยินแค่คนเดียว
“สัส...ออกไปให้พ้นกูเลย”
“หึ ตลก
กูอยากใกล้มึงรึไง..”
“......” แคปชี้หน้ากัดฟันกรอดด้วยความโมโห
จะด่าจะว่าก็ได้ไม่เต็มปาก เห็นแก่ที่เขาพาสาวมากินเค้กอารมณ์ดี ๆ
ทำไมต้องซวยมาเจอไอ้ห่านี่ด้วยก็ไม่รู้
“แฟนมึงน่ารักนะ..” เอสนึกสนุกลากเก้าอี้ออกมานั่งลงข้างๆ แคปรีบขยับออกห่าง
“ปัง! ไอ้เหี้ย
มึงจะเอาไงกับกู..” แคปตบโต๊ะเสียงดัง
ด่ากราดขึ้นพลางลุกพรวดพราดทำหน้าตาน่ากลัว จนคนทั้งร้านหันมามอง
แยมเองก็ดูตกอกตกใจขณะที่เอสดึงแขนแล้วกระชากให้นั่งลงที่เดิม
“บอกแล้วไงมึงจะทำให้น้องเขากลัวนะ..” แคปกัดฟันกรอด มองหน้าแยมที่เริ่มซีดขึ้นนิดๆ
เธออาจจะกำลังกลัวเขาอยู่จริงอย่างที่ว่า แคปโหมดนี้แน่นอนว่าแยมยังไม่เคยได้เห็น
เพราะงั้นเขาจะนับหนึ่งถึงสิบปลอบใจตัวเองให้เย็น ๆ ไว้ก่อน
“พี่แคปเป็นอะไรรึเปล่าคะ” แคปส่ายหน้าบอกว่าไม่
แยมไม่อยากเซ้าซี้อีกตอนนี้เธอโฟกัสสายตาไปที่อีกคนมากกว่า
ซึ่งนั่นยิ่งทำให้แคปหงุดหงิด
“อะ...เอ่อ
พี่คือพี่เอสใช่ไหมคะ พี่เอสวิศวะปีสอง..” แยมถามขึ้นอย่างไม่รู้เรื่องว่าสองคนแทบจะฆ่ากันตายอยู่แล้ว เธอกัดปากรอคำตอบด้วยใจที่เต้นดังตุ่บตั่บ
เธอเคยเห็นเขาตั้งแต่งานมหาลัยเมื่อต้นปี
ตอนนั้นพวกรุ่นพี่หลายคนบอกให้เธอรู้ว่าเอสคือคนที่เมื่อปีกลายวิศวะอยากจะให้ลงประกวดเดือนคณะมากที่สุด
แต่เจ้าตัวกลับไม่สนใจโดนตื้อแค่ไหนก็ไม่ยอมสนทั้งที่รูปร่างหน้าตาชนะคนอื่นๆชนิดขาดลอย
และที่เป็นข่าวครึกโครมแบบสุดๆคือตอนที่เอสกับพี่รหัสของเขามีเรื่องมีราวกับคณะสัตวแพทย์ตอนงานกีฬาของมหาลัยทีมบาสสองคณะแทบจะฆ่ากันตายเดือดร้อนกรรมการจากคณะเทคนิคการแพทย์ต้องเข้ามาช่วยห้าม
ตอนหลังได้ยินข่าวว่ากอดคอกินเหล้าเข้าใจกันดีแล้ว
“ใช่ครับ
รู้จักพี่ด้วยเหรอ..” เอสมองหน้าเธอพร้อมกับค้อมหัวให้นิดๆ
ไม่คิดว่าเธอจะรู้จักเขาด้วย
“โอ๊ยแยมดีใจจังเลยค่ะ
เคยเห็นพี่ตั้งแต่ตอนช่วงงานเฟรชชี่ไนท์ของมหาลัย พี่ดังมากเลยรู้ไหมคะ
สาวๆคณะแยมไม่มีใครไม่รู้จักพี่หรอกค่ะ
พี่เอสน่ะไอดอลแบดบอยขวัญใจสาวๆทุกคณะน่ะแหละ”
“นี่คงเป็นคำชมใช่ไหม..” เอสยิ้มบาง ๆส่งให้
“ชมสิคะ”
“งั้นก็ขอบคุณมาก
น้องแยมก็น่ารักครับ แต่น่าเสียดายไปนิดนะ...” เอสว่าแล้วแสร้งพ่นลมหายใจแบบเซ็งๆ
เขาลุกขึ้นปรายสายตามองแคปนิดหน่อยพอเห็นอีกฝ่ายนั่งทำหน้าหงุดหงิดยิ่งพาให้อยากแกล้งเพิ่มขึ้นอีก
แผนร้ายอยู่ในใจเขาตั้งแต่ลากเก้าอี้ออกมานั่งด้วยแล้ว
“น่าเสียดายอะไรคะพี่” แยมทำหน้าสงสัย
“ก็น่าเสียดายที่.......มานั่งให้เมียพี่จีบอยู่แบบนี้ไงครับ
หึหึ..”
ไม่ใช่แค่แยมเท่านั้นที่ตาโต
แคปที่นั่งฟังอยู่ด้วยนี่ตาเบิกกว้างจนเกินลิมิต เส้นด้ายแห่งความอดทนขาดผึงลง
เขาลุกพรวดขึ้นแบบที่ใครก็ห้ามไม่อยู่อีกแล้ว
“ไอ้สัส!
มึงพูดเรื่องเหี้ยไรวะห๊ะ!!” มือเล็กยื่นเข้ากระชากคอเสื้อคนตัวสูงเหวี่ยงทีเดียวดันไปถึงกระจก
ผู้คนในร้านแตกตื่นแต่แคปไม่สนอะไรแล้วทั้งนั้น
เอสไวกว่าเพียงนิดเมื่อเขาคว้าจับข้อมือเล็กบิดแล้วไขว้ไปไว้ข้างหลัง
แคปใช้อีกมือจิกหัวดำๆลงมาทันทีเอสเจ็บจนเหมือนหนังหัวจะหลุดเขารีบปล่อยข้อมือเล็กนั่นออก
“ร้ายจริง ๆ
นะมึง” เอสสบถ
น้องพนักงานยืนหน้าเสียอยู่หลังเคาน์เตอร์ ลูกค้าอีกสองโต๊ะเดินเลี่ยงหลบออกไป
แยมเองก็ลุกขึ้นมองเขาสองคนกล้าๆกลัว ๆ
“ปัง!
...ไปเจอกันข้างนอก มึงกูตัวๆกันเลย”
แคปทุบโต๊ะเสียงดัง
ว่าแล้วเดินเข้าไปคว้าเอากุญแจรถกับโทรศัพท์อย่างหงุดหงิด
เขาดึงข้อมือแยมออกมาด้วยกันก่อนปรายตามองไปที่อีกคนเหมือนกำลังบอกเป็นนัยว่าให้ไปเจอกันข้างนอก
“โทษทีนะครับที่มีเรื่อง..” เอสเดินผ่านไปที่เคาน์เตอร์เขาวางใบพันไว้ให้หนึ่งใบสำหรับค่าเสียหายบางส่วน
น้องพนักงานรีบพยักหน้ารับพร้อมยกมือขึ้นไหว้อย่างเบลอๆ
ไม่รู้ใครอายุมากกว่าน้อยกว่า
“พี่แคป..เดี๋ยวค่ะ..” ที่ด้านนอกแยมรั้งแขนตัวเองไว้นิดๆเพราะว่าแคปเดินเร็วมากและหน้าเครียดจัด
จะว่าลากแขนเธอเดินออกไปเลยก็ว่าได้
แคปโบกแท็กซี่ให้ขณะที่แยมยังไม่ตั้งตัวไม่ทันติด เธอทำทีท่างงๆ จริง ๆ
คงงงตั้งแต่เจอประโยคเด็ดของเอสแล้ว
“พี่แคป แยม..”
“แยมกลับเองนะครับ
เดี๋ยวพี่ต้องทำธุระไว้เย็นนี้พี่โทรหานะ”
“ตะ...แต่....”
“มีหลายเรื่องที่ต้องอธิบาย
อย่าไปฟังที่ไอ้เวรนั่นมันพูดล่ะ พี่กับมันไม่ถูกกันน่ะ ดึกๆพี่โทรหานะ” แคปจับแยมยัดเข้ารถแล้วปิดประตูให้ แท็กซี่ออกตัวในทันที
เขาหันไปหาคนที่ยืนรออยู่แล้ว
“มึงว่ามาจะเอาตรงไหน” แคปถามจริงจัง แต่ดูเหมือนเอสจะมีสีหน้ากังวลอะไรบางอย่าง
“ไอ้เหี้ย!
ถามไม่ตอบนะมึง กูถามว่าจะเอาตรงไหนห๊ะ” เมื่อเอสไม่ตอบแคปจึงผลักไหล่แกร่งนั้นแรง
ๆ หนึ่งครั้ง เอสเซนิดๆแต่ด้วยสัญชาตญาณเขาคว้าจับข้อมือแคปไว้ในทันทีแล้วบิด
“พูดดีๆ
อย่าตะคอก..”
“กูไม่จำเป็นต้องพูดดีกับมึง
จะเอาตรงไหนตอบ!!” แคปยิ่งดิ้นเอสยิ่งบิดแน่นเป็นเท่าตัวนั่นทำเอาเขาปวดหนึบไปทั้งแขน
“ยังเอาไม่ได้
กูเองก็มีคนรออยู่ที่รถ” เอสว่าเสียงนิ่ง
ๆ มองไปที่รถตัวเอง
สาวสวยตุ๊กตาหน้ารถตอนนี้นั่งหน้าหงิกหน้างอเพราะรอนานแล้ว “น่าเสียดายนะไมมีเวลาเล่นกับมึงว่ะวันนี้”
“ก็แล้วจะเอายังไงล่ะห๊ะ
ดีแต่ปากใช่ไหมมึงอ่ะ..” แคปจ้องใบหน้าคมท้าทาย
พูดแต่ละทีนี่เขาทั้งกระโดดทั้งเขย่งไหนจะต้องตะโกนใส่หน้ามันต้องผลักอกมัน
แล้วไอ้สีหน้าท่าทางกวนตีนแบบนั้นยิ่งมองแคปยิ่งฉุน
“เจอกันครั้งต่อไปมึงกูตัวต่อตัว” เอสพูดขึ้นเรียบ ๆ ตกลงนัดหมายเสร็จสรรพ
“ได้เลยไอ้เหี้ย..แต่ในเมื่อวันนี้อารมณ์กูเสียแล้ว
เพราะงั้นขอมัดจำจากมึงไว้ก่อนละกัน..ผั๊วะ!” แวบหนึ่งของสายตาแคปมองเห็นช่องทางเปิดจุดอ่อน เขาเตะเข้าที่ขาเอสแบบจัง ๆ
ก่อนหลุดออกมาจากมือแข็งแกร่งนั้นได้ แล้วเสริมออปชั่นผลักจนเอสกระเด็น
“อึกก บ้าฉิบ..” เอสครางออกมาเพราะเจ็บ ตัวเขาเซมาจนถูกรถ เมย์รีบเปิดประตูออกมาดู
“พี่เอสอะไรกันน่ะคะ” เธอทำหน้าตกใจ แต่เอสบอกไม่เป็นไรแค่เล่นกันกับเพื่อน
“เพื่อนพี่เอสงั้นเหรอคะ
เรียนคณะอะไรน่ะเมย์ไม่เคยเห็นเลย ทำไมถึงดุแบบนั้น”
“.......” บางครั้งเอสเองก็รู้สึกรำคาญความจู้จี้อยากรู้นั่นโน่นนี่ไปหมดของผู้หญิงขึ้นมาเสียดื้อๆ
“พี่เอส เมย์ถามก็ตอบสิคะ”
“ไม่มีอะไรขึ้นรถเถอะ”
“พี่เอส!”
“.......” มันหน้าที่อะไรกันที่เขาจะต้องคอยรายงานทุกเรื่องให้เธอรู้
เอสส่ายหัวอย่างเบื่อหน่าย
“เงียบอีกแล้วนะ
ไม่อยากคุยกับเมย์งั้นเลิกกันเลยดีไหม”
“จะเอาแบบนั้นเหรอ
พี่พร้อมนะที่ถามน่ะคิดดีแล้วใช่ไหม”
“พี่เอส!”
“..........”
“.........” น้องเมย์คนสวยนั่งหน้างอตลอดทาง
ขณะที่เอสไม่ได้สนใจเลย
.
“โอ๊ยยยเจ็บฉิบหายเลย
บิดจนแขนกูกระดูกแทบร้าว ระบมไปหมดสัสเอ๊ย..” แคปขับรถกลับห้อง ปอกับอาร์นอนดูทีวีอยู่ด้วยกัน
วันนี้เขากับปอไม่มีเรียนแต่อาร์น่าจะมีวิชาเลือกหนึ่งตัวตอนเช้าเสร็จแล้วคงแวะเข้ามาที่ห้องเขา
“มาแล้วเหรอมึง
ทำหน้าตาอะไรแบบนั้นวะ..” ปอเงยหน้าถาม
ลุกขึ้นนั่งพิงโซฟาดีๆ อาร์ขยับออกไปนิดๆ ทำให้แคปเข้ามานั่งด้วยกันได้
“แล้วมึงอ่ะ
ทำไมกลับมาเร็วนักวะ ไหนว่าไปรับแพร์”
แคปล้วงโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกง
ส่อง ๆ ดูไอจีกดไลท์รูปไปเรื่อยเปื่อย พอเห็นว่าไม่มีอะไรเล่นเลยโยมือถือทิ้ง
“รับเสร็จแล้ว
ส่งถึงหอแล้ว”
“อะไรวะ
กูเชื่อมึงเหรอสัส รับเสร็จปุ๊บส่งเสร็จปั๊ปจะกลับเลย
อย่างคุณปอนี่ผมว่ามันไม่ถูกต้องอยู่นะ ทุกทีเห็นอยู่ด้วยกันทั้งเช้าทั้งเย็น”
“ไอ้เหี้ยแคปพูดซะกูเสียหมด”
“งั้นมึงก็รีบบอกความจริงมา
ไอ้ที่มึงไลน์ไปเรียกให้กูกลับเร็ว กับไอ้ที่มึงกลับมาเร็ววันนี้นี่
มันมีอะไรแอบแฝงอยู่ใช่ไหม” แคปนึกถึงข้อความที่เขาได้รับเมื่อตอนนั่งกินกาแฟอยู่ที่ร้าน
ปอยิ้มกรุ้มกริ่ม ในที่สุดบอกแคปไปว่ารุ่นพี่โทรเรียกให้ไปรวมตัวกันที่แปลง19
ดินแดง นั่นเป็นสถานที่สำหรับปลูกพืชไร่พืชสวนที่พวกเขารับผิดชอบอยู่
พรุ่งนี้มหาลัยจะเปิดตัวงานเกษตรเป็นวันแรกจริง ๆ
พวกเขาเซ็ตทุกอย่างไว้เกือบหมดแล้วอาจจะมีบางอย่างที่ต้องเพิ่มเติม
“ไอ้แคปตกลงพรุ่งนี้มึงได้เฝ้าจุดไหนวะ” อาร์ถามขึ้นบ้าง ยกมือแคปขึ้นมาดูเจอรอยเขียว ๆ
เขาเลยเอานิ้วจิ้มๆหน้าผากแคปแล้วทำหน้าตาสงสัย
แคปส่ายหัวไถลตัวจากโซฟาลงที่พื้นก่อนกลิ้ง ๆ
ตัวไปตามพื้นพรหมแล้วไปนอนอยู่หน้าทีวีแทน
“กูบอกอาจารย์ไปแล้วว่าจะไปเฝ้าแม่ไก่ออกไข่แต่จารย์น่ะบอกให้กูไปเฝ้าแปลงข้าวโพดกับแปลงมะเขือเทสที่ปลูกโชว์”
“อ้าวจริงดิ่” ปอตกใจนิดๆ เขากับแคปขอไปเฝ้าเล้าไก่ ไปๆมาๆไงเหลือเขาแค่คนเดียววะเนี่ย
“แล้วพวกมึงอ่ะ” แคปตีคิ้วตอบว่าจริงแล้วถามปอกับอาร์ต่อ
“กูก็เฝ้าแม่ไก่กกไข่นั่นแหละ
แต่แถมแม่วัวเพิ่มมาอีกเพราะอยู่ในโซนเดียวกัน
แดกมาม่าละกันนะจะได้ไม่เสียเวลาเดี๋ยวต้องออกไปประชุมกันอีก” ปอลุกขึ้นเดินไปที่ครัว
พวกเขามีประชุมกับรุ่นพี่ช่วงเย็นเดี๋ยวคิดว่าต้องออกไปกันแล้ว
กินมาม่ารองท้องไปก่อนจะได้ไม่หิวกันมากกว่าจะเลิก
“ส่วนกูอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลมึงหรอกไอ้แคป
กูเฝ้าแปลงแตงโมกับฟักทองว่ะ”
สามคนมองกันแล้วส่ายหน้าปลงกับตัวเองที่ขอลงอย่างนึงแต่อาจารย์จับยัดให้ลงอีกอย่างอย่างช่วยอะไรไม่ได้จริง
ๆ แคปลากอาร์ลงมานอนดูหนังข้าง ๆ
ขณะที่ปอเริ่มลงมือทำอาหาร เขาไม่ได้เล่าเรื่องที่ไปเจอเอสให้เพื่อนฟัง
แต่คิดไว้อยู่ว่าถ้าหากเจอกันจัง ๆ วันไหนคงเกิดเรื่องขึ้นมาอีก แคปยกข้อมือเขียว
ๆ ขึ้นมาดู รอยช้ำที่แขนยังคงเด่นชัด
“เจอกันอีกวันไหนกูจัดมึงแน่ๆอ่ะไอ้เหี้ยเอส..” เขาพึมพำเบามากๆ แต่อาร์ยังคงหันขวับมามองคิ้วขมวดทำหน้าสงสัย
แคปรีบส่ายหัวแล้วชี้ๆบอกให้สนใจทีวีต่อ
.
.
หลังจากเอสส่งเมย์ที่คณะเขาขับรถกลับมาที่ตึกเรียนของตัวเอง เพื่อน ๆ
นั่งล้อมวงกันอยู่ที่โต๊ะเดิม
“อ่ะ กาแฟ...” เอสยื่นกาแฟส่งไปให้เมี่ยง คนรับทำหน้างงๆเพราะเอสเข้ามาช้ามากกกกก ขณะที่
ชิพกับบุ้งที่นั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ข้างๆก็งงไม่ต่างกัน พวกเขาทุกคนรอเข้าเรียนบ่าย
“ยี๋ ทำไมมันละลายไปหมดแบบนี้ล่ะวะไอ้เอส” เมี่ยงที่ใบหน้ายังมีรอยพลาสเตอร์หลงเหลืออยู่ดูดม๊อคค่าปั่นตามที่โทรสั่งแล้วทำหน้าเบ้
“แดกๆไปเหอะ
ของกูนี่ยิ่งกว่าน้ำเปล่าจะโยนทิ้งก็เสียดายแก้วละตั้งหลายตังค์นะมึง” แน่นอนว่าเอสหมายรวมถึงใบพันที่วางไว้เพื่อชดใช้ค่าเสียหาย
แต่เพื่อนๆไม่รู้เรื่อง ขาตรงที่โดนเตะปวดหนึบขึ้นมาเขาส่ายหัวสบถอยู่ในใจถึงความร้ายกาจของแคป
“อย่ามาขี้งกไอ้เหี้ย
แก้วละไม่เกินสี่สิบ” เมี่ยงผลักหัวเขาแล้วจะหยิบแก้วของเอสมาชิมดู
ปรากฏว่าเอสมือไวกว่าคว้าแก้วตัวเองไว้ทัน
“ของตัวเองก็มีมายุ่งของกูทำไม”
“ชิมหน่อย
นิดเดียว”
“ไม่เอา
กินของมึงไป” เขาผลักมือเมี่ยงออก
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นแต่ไม่ใช่ของเอส เป็นบุ้งกดรับสาย ชิพที่นั่งอยู่ข้าง ๆ
ส่ายหัว เอสเลิกคิ้วสงสัยเมี่ยงเลยกระซิบบอกว่าโรสแฟนบุ้งโทรมาเกือบสิบรอบแล้ว
วางปุ๊ปโทรวางปุ๊ปโทรไม่รู้เล่นเหี้ยไรกัน
“มิน่าไอ้ชิพหน้าอย่างกับตูด”
“พ่องสิ” ชิพที่ได้ยินถีบขาเอสมาที่ใต้โต๊ะ
คนขายาวกว่าหลบทันเป็นเมี่ยงที่ขาสั้นและไม่รู้เรื่องโดนชิพเตะขาเข้าแบบจัง ๆ
“ไอ้สัสชิพกูเจ็บแม่งถีบมาได้” เมี่ยงโวยวาย
“กูจะถีบไอ้เอสต่างหาก”
“แต่มันโดนกูเหี้ย”
“เออๆโทษที” ชิพบอกขอโทษแล้วปรายตามองไปที่บุ้งอีกครั้ง รายนั้นวางมือถือลงแล้ว
“สายใครวะไอ้บุ้ง
คุยเหี้ยไรยิ้มจนหน้ามึงใหญ่เท่าเกียร์คณะแล้ว” เอสแซวเพื่อน
“มันก็คงคุยกับคนที่มันจะฝากเกียร์ฝากใจไว้กับเขาล่ะมั้งนะ” ชิพแอบกัดเพื่อนสนิทนิดๆ
ความจริงเขาสี่คนรวมทั้งเอสและเมี่ยงเป็นเพื่อนเรียนด้วยกันมาตั้งแต่มอต้น
แต่พิเศษขึ้นมาอีกนิดที่เขากับบุ้งนั้นบ้านอยู่ใกล้ๆกันรู้จักกันมาตั้งแต่เด็กจนมาสนิทกันจริงจังเมื่อตอนรวมกลุ่มมัธยม
แม้กระทั่งสอบเข้าเรียนต่อก็ยังเข้าได้ที่เดียวกันเลขที่นั่งสอบติดกัน
ตั้งแต่นั้นมามีชิพที่ไหนมักจะมีบุ้งที่นั่น
“ใจอยู่ที่เกียร์
เกียร์อยู่ที่ใด ใจอยู่ที่นั่นน่ะเหรอวะ หื้ม??” เมี่ยงทำหน้าทำตาแซวบุ้ง เลยโดนโบกหัวไปสองที
“เกียร์อยู่กับกูเว้ยไอ้เหี้ย
ยังไม่ได้ให้ใครหรอกห่า พูดมากนะมึงเดี๋ยวกูตบปากฉีกให้”
“ไอ้บุ้งบ้า” เมี่ยงต่อว่าหน้างอๆ เมื่อบุ้งทำท่าง้างฝ่ามือแกล้งจะตบ
เขาแกล้งซบไหล่ชิพโดนบุ้งดึงออกแรงมากแล้วเหวี่ยงเมี่ยงไปใส่อกเอสแทน
“มึงยุ่งไรด้วยกูจะอ้อนไอ้ชิพ”
“ไม่ต้องอ้อนมัน
มาอ้อนตีนกูนี่มา” บุ้งยกขาขึ้นทำท่าจะถีบใส่แต่โทรศัพท์ดันดังขึ้นมาอีก
เขาสบตากับชิพนิดหน่อยก่อนกดรับสาย
“อีกแระ
คนเก่าๆ” เมี่ยงตีคิ้วบอกเบา
ๆ เมื่อมองเห็นว่าเป็นชื่อใครที่เรียกเข้ามา
ชิพส่ายหัวดึงแก้วกาแฟของเอสมาดูดบ้างแก้กระหาย
เขาเองก็รู้สึกว่ากาแฟทำไมมันจืดชืดไร้รสชาติขนาดนี้ตอนที่เมี่ยงโทรสั่งกำชับว่าให้เอสแวะซื้อร้านนี้ให้ได้เห็นว่าอร่อยนักหนา
แต่นี่อะไรไม่เห็นได้เรื่อง ร้านกาแฟของคณะยังแซบกว่าตั้งเยอะ
“เออแล้วพรุ่งนี้มึงเอาไงวะ
กูกับมึงอยู่ที่พื้นที่เดียวกันนะ ไอ้เมี่ยงกับไอ้บุ้งอยู่คนล่ะฟาก” ชิพเปลี่ยนมาถามเอส
พรุ่งนี้มหาวิทยาลัยจัดงานประจำปีเป็นวันแรกเรียกว่างานเกษตร
ถึงพวกเขาอยู่วิศวะแต่ยังไงก็มีรายชื่อจากพวกพี่ๆกิจกรรมให้เข้าไปช่วยงานอยู่ดี
“กูรู้สึกว่าตัวเองโชคดีว่ะ..” เอสอมยิ้มเมื่อนึกถึงว่าใบกำหนดการที่รุ่นพี่พวกเขาเพิ่งแจกมาเมื่อวันก่อน
เมี่ยงกับบุ้งได้ไปเฝ้าเขตลานจอดรถ
ในขณะที่เขากับชิพได้ไปดูแลเกี่ยวกับโครงสร้างของโรงเพาะเลี้ยงผักออแกนิกส์
“มึงไม่ต้องเลย
มาเปลี่ยนกับกูดิ่ หน้าโหดๆอย่างมึงต้องไปดูแลที่จอดรถโว๊ยโบกรถให้จอดงี้ ส่วนกูจะไปช่วยสาว ๆ เขาขายผักอวกาศเอง
ไอ้เอสมึงมาเปลี่ยนกับกูเหอะว่ะ”
“ไม่เอา
ร้อนจะตายชักเฝ้าลานจอดรถปีที่แล้วกูโดนเจอแต่คนมอง
ไม่รู้เป็นเหี้ยไรจนพี่รัฐไล่กูให้ไปอยู่ช่วยที่ฟาร์มวัว”
“เออใช่ตอนนั้นที่มึงไปนั่งรีดนมวัวนี่หว่า
รูปมึงยังอยู่ในโทรศัพท์กูเลยเหอะ ไหนๆว่าแล้วเอามาดูอีกก่อน” เมี่ยงหัวเราะจนตัวงอเมื่อนึกถึงงานเกษตรปีที่แล้วพวกเขาเพิ่งเข้ามาเรียนที่นี่เป็นปีแรก
เอสถูกรุ่นพี่แกล้งให้รีดนมวัวจนกระเด็ดเลอะเต็มหน้าเขาเลยถ่ายรูปเก็บไว้แบบรัว ๆ
“ลบไปดิ่ไอ้เหี้ยมึงเก็บไว้ทำไมวะ”
“ไหนเอามาให้กูดูมั่ง” ชิพคว้าแย่งมือถือเมี่ยงไปดู เอสได้แต่ส่ายหน้า
“ตลกแล้วไอ้เอสมึง
หน้ามึงเปื้อนนมวัวแต่เหมือนอะไรสักอย่างในไฟล์หนังโป๊กูเลยว่ะ”
“ไหนๆกูดูมั่ง” บุ้งที่เพิ่งคุยเสร็จหันกลับมาเบียดชิพแล้วยื่นหน้าเข้ามาดู
เอสเริ่มโมโหคว้าเอาโทรศัพท์มือถือของเมี่ยงมากดปิดภาพ
“พอๆจะดูเหี้ยไรกันเล่า
ไอ้เมี่ยงมันโรคจิตกูบอกให้ลบแม่งไม่ยอมลบ”
“โอ๋เอ๋ๆ
เรื่องไรกูจะลบวะ เอาไว้เวลาแกล้งเมียมึงไง
ส่งภาพนี้ไปให้ดูรับรองน้องเมย์ของมึงอกแตกตาย
เธอต้องคิดว่ามึงเพิ่งมีอะไรกับผู้ชายแล้วน้ำแตกใส่หน้ามึงแหงๆอ่ะ”
“หึหึหึ..” เอสหัวเราะหึหึ เมื่อคิดว่าเพื่อนยังไม่รู้จักเมย์ดีพอ
รายนั้นรับรองว่าไม่โง่หรอก ผ่านซึกโชกโชนมาแค่ไหนเขาหรือจะดูไม่ออก
“น้องเมย์คนสวยเขาไม่โง่หรอกเว้ย
หรือถ้าคิดว่าใช่แต่บางทีเธอยังอาจอยากจะคบมันต่อก็ได้นะ
ไอ้เอสมันเสน่ห์แรงอยู่แล้ว ข้างหลังเขากำลังฮิตมึงไม่รู้เหรอ”
“ไอ้เหี้ย
ปากดี” เอสผลักหัวชิพจนเซไปโดนบุ้งรายนั้นรับไว้ทัน
ทำท่าเป่าเพี้ยงๆปลอบประโลม
“พวกมึงแม่งผัวเมีย
นี่ถ้าไอ้บุ้งมันไม่มีเมียกูจะคิดว่าไอ้ชิพมึงเป็นเมียมันแล้ว” เมี่ยงชี้หน้าบุ้งกับชิพ เจอชิพคว้าเศษกิ่งไม้แถว ๆ นั้นขว้างใส่
“ไอ้เหี้ยมึงพูดอะไรให้เกียรติรูปร่างกูด้วย
แมนขนาดนี้หล่อลากขนาดนี้ กูกับไอ้ชิพให้ตายก็ไม่มีทางกินกันเองหรอกโว๊ย สเป็คกูมันต้องสาวแว่นชั้นสูงเท่านั้น
เด็กเภสัชๆ หุหุหุ” ชิพแกล้งทำหน้ากรุ้งกริ่ม
เจอบุ้งตบหัวเบา ๆ ไปที ทั้งหมดหัวเราะขบขันกัน เอสมองดูเวลาเหลืออีกสิบกว่านาทีข้อความจากเมย์ส่งมาเขาอ่านแล้วนะแต่ไม่ยอมตอบกลับไป
รู้สึกช่วงนี้เริ่มเบื่อๆ รู้ว่าผิดอยู่เหมือนกันแต่ทำไงได้ ก็นะความรู้สึกคนเรา..
“อ้าวไม่ใช่เด็กเกษตรเหรอ
ไหนมึงเคยบอกจะจีบน้องสาวพี่เต้..” บุ้งพูดขึ้นโดยที่ไม่รู้เรื่องอะไร
เมื่อวานเกิดเรื่องชกต่อยขึ้นที่คณะแต่เขาเข้าสายเลิกเสร็จก็รีบกลับเลยยังไม่ได้รู้ข่าวว่าแท้จริงแล้วน้องพี่เต้เป็นชายหรือหญิง
เมี่ยงได้ฟังหัวเราะจนหน้าหงายเดือดร้อนเอสกับชิพช่วยกันจับไว้อีก
พอบุ้งสงสัยทั้งสองคนเลยเล่าเรื่องราวให้ฟัง ไอ้บุ้งหน้าจืดพึมพำถาม
“ผู้ชายจริงดิ?”
“ก็เออ
กูจะโกหกมึงทำซากเหรอ ยิ่งนึกถึงยิ่งรมณ์ขึ้นเลยกู” เมี่ยงตอบ
“แล้วมึงไปเลิกกับน้องฝนยังล่ะวะ
อย่าให้เดือดร้อนมากนักดิ่ ผู้หญิงแบบนั้นมึงก็รู้ๆอยู่”
“กูเอาเขาที่ไหน
วันนั้นเสือกมาชวนกูไปเป็นเพื่อนซื้อของ เจอไอ้เตี้ยอาร์จอดรถข้างกัน มันเข้ามาสอยกูร่วง
ตั้งตัวไม่ทันเลยแม่งกูกับมันเลยซัดกันที่ลานจอดรถนั่นแหละ”
“อ้าวตกลงมึงได้น้องเขายังนิ่”
“ก็ยังอ่ะดิ่
ไม่งั้นจะโมโหจนกระทืบมันแบบนั้นเหรอ”
“สัสเอ๊ยเสียเส้น แล้วเพื่อนน้องเขาเลยตามมากระทืบมึง”
“ก็เออ
ตีนหนักเหี้ยๆเลย ไม่เชื่อถามไอ้เอสดูดิ่” อาร์ถองศอกใส่สองสามที เอสตีคิ้วตอบ
ที่เขานิ่งไปเพราะกำลังนึกถึงเรื่องที่ว่าแคปเรียนอยู่คณะเกษตรขืนพรุ่งนี้เจอกันที่งานไม่ใช่ว่าจะมีเรื่องยุ่งยากกันอีกหรอกนะ
ยิ่งเมื่อตอนอยู่ร้านกาแฟเขาดันพูดว่าเจอกันครั้งต่อไปมึงกูตัวต่อตัว
“น้องเฮียเต้เนี่ยนะ”
“เอ๊อออ
น้องเฮียเต้เนี่ยแหละ” เมี่ยงยังยืนยันเมื่อบุ้งทำท่าทางไม่เชื่อ
“ผู้ชายจริงเหรอวะ
ตอนนั้นเฮียเอามือถือให้กูดูรูปน้องแกผู้หญิงชัดๆ”
“ไอ้ควายบุ้งมึงโดนเฮียแกหลอกแล้ว
นั่นมันภาพตอนน้องเฮียแกนอนหลับตาพริ้ม หน้าก็คงจะทำให้เราสับสนได้
มึงลองเจอตัวจริงดูสิไอ้เหี้ย ไม่เห็นจะเหมือนผู้หญิงตรงไหนเลย”
“แต่กูว่าเหมือน..”
“หือ??!!” เพราะว่าเอสแทรกขึ้น เพื่อนๆต่างพากันมองที่เขาเป็นตาเดียว เหมือนตรงไหนวะ
อาร์กำลังคิด
“บางมุม..” เอสเฉลยคำตอบขึ้นมา วันนี้เขาเห็นหน้าแคปแบบใกล้ ๆ แล้ว
จะว่าไปมีส่วนที่ดูซอฟกว่าใบหน้าผู้ชายปกติอยู่หลายจุด
แต่ด้วยทรงผมและท่าทางทำให้แคปดูกวนตีนแบบไม่ตั้งใจ
“อะไรของพวกมึง..” เอสเห็นเพื่อนๆมองเขาด้วยสายตาจับผิดแปลกๆหลังจากที่กำลังคุยกันอยู่ดีๆ
ยิ่งเมี่ยงกับชิพเบะปากแล้วทำเสียงเล็กเสียงน้อยใส่ แหนะๆๆๆ
เอสรู้สึกอยากจะถีบคนขึ้นมาทันที เจอเพื่อนกวนตีนเข้าให้แล้ว
เขาไม่น่าหลุดเลยให้ตายเหอะ
“แล้วมึงไปสังเกตไอ้เหี้ยแคปแม่งตอนไหน
กูเห็นวันนั้นตีกันจนจะฆ่ากันตาย
มึงยังมีอารมณ์ไปมองส่วนผสมบนใบหน้าไอ้เวรนั่นอีกเหรอวะ” เมี่ยงเป็นคนที่เผือกเก่งที่สุดในกลุ่มเท่าที่เอสรู้จักเพื่อนมา
เขาเลยแจกรางวัลตบเปรี้ยงหัวเล็กๆของมันไปก่อนที่จะมีไอ้ชิพกับไอ้บุ้งเป็นลูกคู่ขึ้นมาอีก
สองคนนั้นยิ่งกำลังทำสายตาอยากรู้อยากเห็นเต็มที่แล้ว
“สัสเมี่ยง
มึงเงียบปาก”
“จะมาตีกูทำไมเล่า
พูดเล่นๆอ่ะไอ้เหี้ย..” เมี่ยงลูบหัวตัวเองป้อย
ๆต่อว่า
“เอ่อ..พี่ๆคะ” เสียงเล็กใสกริ๊กดังขึ้นจากด้านหลัง
พวกเขาทั้งหมดต่างหยุดการสนทนาแล้วหันมอง
เป็นรุ่นน้องหน้าตาสะสวยเปรี้ยวจี๊ดหุ่นแจ่มสองคนยิ้มหวานแล้วทักทาย
“ว่าไงครับคนสวย..” บุ้งกับเมี่ยงหันมายิ้มให้ตามประสาคนอัธยาศัยดี ขณะที่ชิพกับเอสก้มลงสนใจกับโทรศัพท์มือถือของตัวเอง
“คือหนูชื่อจอย
มาจากนิเทศศาสตร์ค่ะจะมาขอให้พี่ชิพเป็นพี่เทคหนูได้ไหมคะ” ชิพละสายตาจากโทรศัพท์หันมองน้องเขาทันที
บุ้งเลยแกล้งเหยียบเท้าไว้บี้ให้หนักๆจนชิพมองเพื่อนสนิทตาเขียว
คิดว่าบุ้งคงอิจฉาเขาแน่ ๆ ที่มีคนสวย ๆ มาขอให้เขารับเป็นพี่เทคให้ ขณะเดียวกันกับที่น้องอีกคนเดินเข้าไปหาเอส
“ฟางข้าวค่ะ
พี่เอสเรียกน้องฟางก็ได้ ฟางมาขอให้พี่เอสเป็นพี่เทคฟางค่ะ”
เมี่ยงชิพและบุ้งมองหน้ากัน แต่เอสยังคงก้มหน้าก้มตาต่อ
ราวกับเขาไม่ได้ยินว่าน้องฟางพูดเรื่องอะไร
บุ้งเห็นบรรยากาศชวนอึดอัดกลัวน้องจะเก้อเลยพูดขึ้น
“น้องจอยคิดไงครับเนี่ยขอกันข้ามคณะแบบนี้..” เพราะน้องฟางข้าวท่าทางยุ่งยาก
เธอจ้องเอสไม่วางตา บุ้งเลยเลี่ยงไปถามเพื่อนเธอแทน
ตรงๆเลยก็คือพี่เทคสามารถข้ามคณะได้ก็จริง
แต่พวกเขายังไม่เคยรับน้องเทคจากต่างคณะเลยสักคนเดียว
แล้วตอนนี้แต่ล่ะคนก็มีเด็กในความดูแลไม่ต่ำกว่าสามโดยเฉพาะเอสกับเขามีเกือบสิบคน
“เพราะว่าจอยชื่นชมพี่ชิพค่ะ
เมื่อต้นเทอมตอนรับน้องรวมพี่ชิพเป็นหนึ่งในสตาฟว๊ากของพี่ๆวิศวะ
จอยอยากได้พี่ชิพมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้วค่ะ”
“แรงส์..” เมี่ยงสบถออกมาไม่ดังนักแต่ก็ไม่เบา
สามารถได้ยินกันหมดแน่นอน
“มาเป็นน้องพี่ดีไหม
ไอ้ชิพมันไม่สนใจรับน้องเทคข้ามคณะหรอกครับ ขนาดข้ามสาขามันยังไม่เอาเลยเน๊” บุ้งโปรยรอยยิ้มการค้าส่งให้
เขามักจะสกรีนเด็กที่จะเข้ามาหาชิพกับเมี่ยงเสมอ
เด็กที่ชิพกับเมี่ยงรับเป็นน้องเทคมีแต่เด็กผู้ชายคงแก่เรียนทั้งนั้นซึ่งทั้งหมดนั่นต้องผ่านเขาพิจารณาก่อน
ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้ทำหน้าที่นี้เหมือนกัน
มีแต่ของเอสเท่านั้นที่ไม่เคยยุ่งกับมันได้
“พี่ชิพว่าไงคะ..” จอยหันไปหาชิพ
“ขอโทษนะครับพี่ไม่รับน้องต่างคณะจริง
ๆ ไว้เราเจอกันทักทายกันได้นะ ชื่อจอยใช่ไหมพี่จะจำไว้ ขอโทษอีกครั้งครับ” ชิพค้อมศีรษะให้เธอน้องจอยหน้าเสียนิดๆแต่ก็ยอมเข้าใจ
“แล้วพี่เอสล่ะคะว่าไง
ใช้เหตุผลเดียวกันคงไม่ได้นะคะ
เพราะฟางรู้มาว่าพี่เอสเพิ่งรับเป็นพี่เทคให้เด็กบัญชีกับเด็กการโรงแรม” ฟางข้าวเป็นคนที่สืบข้อมูลมาดีมาก
แต่เธอจะรู้อีกอย่างหนึ่งไหมว่าคนที่เอสรับจากคณะบัญชีคือเมย์
แฟนคนปัจจุบันของเอสนั่นเอง
“พี่เอสคะ...” เธอเห็นเอสยังนั่งเฉยอยู่เลยเรียกถามอีก
“เอ่อ...คือว่าไอ้เอสมัน...ตะ....ตะ....เต็มแล้วครับ” เป็นเมี่ยงพูดขึ้นอย่างตะกุกตะกัก
เพราะไอ้พวกเพื่อนสามตัวที่นั่งอยู่ทำหน้านิ่ง ๆ
แต่ใต้โต๊ะนี่เตะขาส่งสัญญาณให้เขาพูดปฏิเสธให้
“จริงรึเปล่าคะ
พี่เอสเต็มแล้วจริงเหรอ” ฟางก้มหน้าลงไปใกล้มากพอเอสเงยหน้าขึ้นปลายจมูกโด่ง
ๆ ของเขาแทบจะชนกันกับเธอ เอสรีบขยับหลบ เขาโมโหนิดหน่อยไม่ชอบคนที่รุกจนเกินพอดี
เอสลุกขึ้นแล้วมองหน้าเธอ
“ตามนั้น เต็มแล้ว” เขาพูดเสียงนิ่ง หน้าตาไม่ยิ้มเลย
“แต่ฟางเป็นรุ่นน้องพวกพี่นะ
ตามมาจากโรงเรียน......พี่สี่คนอาจจะไม่รู้จักฟางแต่ฟางรู้จักพี่ๆทุกคนค่ะโดยเฉพาะคนที่ฟางสนใจมากเป็นพิเศษอย่างพี่เอส รับเป็นพี่เทคฟางเถอะนะคะ” เธอดักทางเขาไว้ไม่ยอมให้เอสก้าวออกมาจากที่นั่งได้
“น้องฟางครับเพื่อนพี่ก็บอกแล้วนะว่ามันรับน้องไว้เต็มแล้ว
ฟางลองหาพี่ๆคนอื่นดูดีไหม
ที่คณะฟางอาจจะมีรุ่นพี่ดีๆที่เทคแคร์ฟางได้ดีกว่าพวกพี่อีกนะครับ” ฟางหันไปมองบุ้งที่พยายามพูดกล่อมเธอ ก่อนจะมองไปที่เอสอีกครั้ง
“แต่ว่า.....
“ไม่ชอบคนพูดไม่รู้เรื่อง
หลีก..” เอสก้าวแทรกตัวเธอออกมาอย่างไม่สนใจ
เขาเดินเข้าไปกอดคอเมี่ยงแล้วสี่คนก็พากันเดินขึ้นตึก
ฟางข้าวที่กำลังจะพูดรั้งแต่เจอเอสในโหมดนี้เข้าไปทำเอาเธอถึงกับสะอึก
หลายคนที่เคยบอกกับเธอแล้วว่าเอสนั้นแบดบอยตัวพ่อไม่เคยแคร์ความรู้สึกผู้หญิง
บุคลิกนิ่ง ๆ พูดน้อยแต่ต่อยหนัก กับรูปร่างที่สมบูรณ์แบบของเขา
ทำให้มีผู้ชายเขม่นเขาเยอะมาก
แต่กลับกันกับสาวๆที่ไม่รู้ทำไมถึงชอบวิ่งเข้าหาคนแบดๆแบบนี้นัก
และเธอเองก็ยอมรับว่าเป็นหนึ่งในนั้น
“พี่เอสคะ
ฟางไม่ถอยพรุ่งนี้ฟางจะมาใหม่” เธอตัดสินใจวิ่งตามเขาขึ้นบันไดไปแล้วตะโกน
เด็กวิศวะที่กำลังเดินขึ้นตึกเรียนหลายคนนั้นต่างหันมอง เอสหยุดชะงักนิดหนึ่ง
ก่อนตัดสินใจเดินลงมาหาเธอ
“พี่จะรับเราก็ได้
แต่มีเงื่อนไข...”
“เงื่อนไขคืออะไรคะ..” ฟางข้าวเริ่มมีความหวังนิดๆ เธอเงยหน้ามองเขาแล้วอมยิ้ม
“พรุ่งนี้ไปช่วยเพื่อนพี่ดูแลลานจอดรถที่งานเกษตร
ถ้าเราทนทำได้ทั้งวันพี่จะรับเป็นพี่เทคให้ก็แล้วกันนะครับ”
“มะ..มะ...หมายความว่ายังไงคะ” ฟางพึมพำขึ้น
รู้ว่าพรุ่งนี้มหาลัยมีงานแต่เรื่องดูแลลานจอดรถเป็นของผู้ชายไม่ผิดแน่
แล้วคนที่ผิวสวยๆราวน้ำนมข้าวอย่างเธอจะไปตากแดดร้อน ๆ ให้หน้าดำตัวดำทั้งวันจะเป็นไปได้ยังไง
เอสช่างเป็นผู้ชายที่ใจร้ายมากจริง ๆ
“หมายความตามนั้น
ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ต้องมา..” เขาตอกย้ำความใจร้ายกับเธออีกครั้ง
ก่อนเดินกลับขึ้นไปหาเพื่อน กอดคอเมี่ยงพาเดินขึ้นบันไดต่อ
ชิพกับบุ้งหันไปมองน้องฟางอีกที น้องจอยเดินมาจูงเธอกลับไปแล้ว
“เล่นเหี้ยไรของมึงไอ้เอส
น้องเขาตกใจหน้าจืดเลย ใจร้ายไปไหนสัส”
ชิพหันไปต่อว่าเพื่อนไม่จริงจังนัก
แต่เอสไม่สนใจ
“มึงว่าน้องเขาจะไปป่ะวะ” บุ้งหันไปถามชิพเหมือนขอความเห็น
“กูว่าไม่..”
“แต่กูว่าไป
มึงเตรียมตัวกระอักได้เลยขืนได้แบบยัยนี่มาเป็นน้อง
รับรองมึงโดนรังควานทั้งเช้าทั้งเย็นแน่อ่ะไอ้เอสเอ๊ย”
“ไม่มาหรอกน่า
ร้อนจะตายชัก..” เอสส่ายหัวนิดๆ
เขาคิดว่ายังไงฟางก็ไม่มีทางมาเดินงานเกษตรพื้นบ้านที่ทั้งร้อนทั้งฝุ่นแบบนี้แน่ ๆ
ระดับเธอดูก็รู้ว่าต้องเดินหรูอยู่แบบนางฟ้า
เหมือนๆกับเมย์สาวที่เขากำลังควงอยู่คนล่าสุด
“จะมาหรือไม่มากูไม่รู้
รู้แต่อย่าเอายัยน้องฟางนี่มายุ่งกับกูเป็นพอ” คราวนี้เป็นเมี่ยงเอ่ยขึ้นบ้าง เขาต่างหากที่ควรหนักใจ
เพราะเขาเฝ้าลานจอดรถขืนยัยน้องฟางมาจริงก็ต้องไม่พ้นเขาเป็นคนดูแลอีก
อย่าไปหวังอะไรกับไอ้บุ้งเพราะถึงเขาจะจับคู่ดูแลลานจอดดินแดงกลางแสงแดร้อน ๆ
กับมัน เมียมันก็ตามมากางร่มห่มผ้าให้เหมือนเดิม
ส่วนเอสกับชิพก็จะเริงร่าอยู่ที่โรงปลูกพืชผักอวกาศ
ทิ้งเขาไว้กับน้องฟางข้าวเน่าของมันแน่ๆ
“โมโหอะไรวะก็บอกว่าไม่มาไม่มามึงเชื่อกูดิ”
“เออๆเชื่อๆ
น้องฟางข้าวมึงอาจจะไม่มาแล้วน้องเมย์มึงอ่ะ จะมาป่ะ”
“ไม่รู้
ถามทำไม”
“มึงไม่ชวนน้องเขาล่ะ”
“ไม่ชวนขี้เกียจชวน”
“ไอ้ทุเรศ
นั่นแฟนมึงนะ”
“เดี๋ยวจะเลิกแล้ว”
“ให้ตายเหอะใครได้มึงซวยเป็นบ้าเลย
ถ้าหากผู้หญิงเขารู้ว่ามึงขี้เบื่อแบบนี้นะกูว่าไม่มีใครเขาอยากจะได้มึงนานหรอก
เอาแล้วถีบมึงทิ้งเลยดีที่สุด”
“ถามกูด้วยกูอยากได้เขานานไหมไอ้เหี้ยของแบบนี้เบื่อแล้วก็เลิก
เรื่องปกติ”
“สัสเอส..ไอ้เลวววว”
“กูหมายถึงนิสัย
มึงคิดอะไรเนี่ย ถ้ามีเสน่ห์จริงต้องไม่ทำให้กูเบื่อได้ดิ่วะ” เมี่ยงหันไปมองหน้าเพื่อนตาเขียวหลังจากเถียงกันยืดยาว
ก่อนที่ทั้งหมดจะเดินเข้าห้องนเรีกันไป เห็นเขาสองคนด่าเล่นกันแรง ๆ
แบบนี้แต่ไม่เคยโกรธกันนะ เมี่ยงกับเอสสนิทกันมาตั้งแต่มอต้น เพื่อนกินเพื่อนเที่ยวเพื่อนเมาเพื่อนตาย
ถึงเมี่ยงจะตัวเล็กแต่ก็ใจนักเลงพอๆกับเอส
จีบสาวกันมาแล้วไม่รู้กี่สิบคนแต่สุดท้ายไอ้เพื่อนตัวสูงได้ไปแดกก่อนทู๊กที
ถึงอย่างนั้นเมี่ยงก็หาได้แคร์ไม่ เขายังเดินหน้าเรื่องสาว ๆต่อไป
“พวกมึงอย่าเพิ่งเถียงกัน
กูเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้ งานวันพรุ่งนี้น้องพี่เต้จะไปป่ะวะ..” เป็นชิพที่ก้มลงกระซิบกระซาบ เหตุเพราะจู่ ๆ
เห็นพี่เต้กับพี่รัฐรวมถึงกลุ่มพี่รหัสกับพี่ลำดับของพวกเขาเดินผ่านหน้าห้องไป
เขาจึงนึกเรื่องของแคปขึ้นมาได้
“หือ??” เมี่ยงคิ้วขมวด “น้องพี่เต้ ไอ้แคปน่ะเหรอ”
“ก็เออ ไอ้คนที่มันกระทืบมึงเมื่อวานนี้ไง
มึงอย่าลืมนะมันเรียนเกษตร เกิดมึงไปเจอมันที่นั่น มึงจะไม่โดนตีนมันอีกหรือไง๊..”
“เฮ้ยมันจริง
กูลืมนึก” เมี่ยงทำสีหน้าไม่สบายใจหันซ้ายหันขวา
เพิ่งรู้สึกตัวว่าทำไมถึงมีแต่เขากับชิพที่ก้มหัวกระซิบกัน ไม่เห็นมีใครคนอื่น ๆ
สนใจ จนรู้ว่าโดนชิพหลอกให้ฟังมือเล็กก็ฟาดหัวเพื่อนจนเงิบไปแล้ว
“มึงกลัวมันป่ะ
ไอ้แคปน่ะ..” ชิพถามขึ้นอีก
เมี่ยงส่ายหัวแล้วบอกหึ
ชิพเลยลูบๆแล้วบอกดีมาก
“แต่กูจะไม่ออกจากลานจอดรถเลย
อาจารย์บอกกูว่าพวกเด็กเกษตรส่วนใหญ่จะเฝ้าแปลงผักไม่งั้นก็คอกสัตว์
แน่นอนว่าไม่มีใครมายุ่มย่ามเรื่องที่จอดรถแน่ ๆ
เพราะพวกเราวิศวะถูกขอร้องให้ช่วยดูแลเรื่องนั้น”
“อ้อ
นี่น่ะเหรอที่มึงบอกว่าไม่กลัวตีนมัน”
“ไม่กลั๊วววว ใครบอกวะว่ากูกลัว
เนอะเอสเนอะ..” เมี่ยงแอปเสียงสุดๆว่าไม่กลั๊วไม่กลัว
จนชิพหัวเราะขำ อาจารย์เข้าพอดี เอสหันมามองไม่รู้ว่าชิพกับเมี่ยงสุมหัวคุยเรื่องอะไรกัน
แต่ที่แน่ ๆ ช่วงนี้เขาจะได้ยินชื่อนี้บ่อยเกินไปแล้ว ‘แคป’
Tbc.