บทที่ 43 เจ้าตัวแสบ
เช้าวันใหม่ที่แสงแรกแห่งวันยังไม่สาดส่อง
ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อรู้สึกถึงอะไรบางอย่างหนักๆทับลงมาที่หน้าอก
พอตั้งสติดีๆถึงได้รู้ว่าตัวเองไม่ได้นอนอยู่คนเดียว ที่ข้าง ๆ
ยังมีอีกคนที่นอนอยู่ด้วยกันซึ่งตอนนี้มันทั้งรัดทั้งกอดทั้งทับไว้จนอึดอัดไปหมด
“อือ....พี่....”
ผมครางเรียกงัวเงีย หวังว่าคนข้างตัวจะขยับกายออกสักนิดสักหน่อย
พักนี้พี่เอย์นอนร้ายขึ้นมาก แข้งขาปัดป่ายไปหมด
ตั้งแต่เรากลับมาจากเกาหลีคุณชายมีท่าทีในการนอนเปลี่ยนไป แต่ก่อนมันจะชอบซุกอกผมตลอด
แต่พักนี้รู้สึกผมจะเป็นฝ่ายโดนจับซุกกับอกมันมากกว่า
“พี่เอย์ครับ
ตีห้าแล้ว ตื่นไหม” ผมเงยหน้ามองนาฬิกาที่หัวเตียงจริง ๆ ตั้งปลุกไว้ที่ตีห้าครึ่ง
นัดแม่กับพี่ขมไว้ว่าจะช่วยเรื่องอาหารตื่นเร็วขึ้นหน่อยอาจจะดี
วันนี้เป็นวันสำคัญของพี่เอย์ มันได้ฤกษ์เปิดร้านช่วงราว ๆ เก้าโมงเช้า เพราะอย่างนั้นแม่กับพี่ขมจึงรับหน้าที่ดูแลเรื่องอาหารให้
พี่เอย์จะทำหน้าที่รับแขกสำคัญของมันส่วนผมก็ดูแลช่วยเรื่องทั่ว ๆไป
ปลายจมูกซนเริ่มคลอเคลียร์
ผมสะดุ้งนิด ๆ เพราะมัวแต่เพลินอยู่กับห้วงความคิด หันไปมองอีกทีคุณชายกำลังยกยิ้มทั้งที่ตายังไม่ลืม
มันยิ่งกระชับกอดแน่นเข้าอีกซุกหน้าลงที่ไหล่ ผมขยับยังไงก็ไม่ยอมลุก
“นิดเดียวๆ”
มันกระซิบเสียงแผ่วพร่า ลมหายใจร้อนรวยรินเข้าหู ผมงี้ขนลุกซู่
“ไม่เอาพี่
ลุกเดี๋ยวนี้เลยครับ” ผมรีบปรามไว้ก่อน ไม่งั้นยาวกันแน่ ๆ
มือไม้มันเริ่มล้วงที่แปลกๆ
“ดื้ออะมึง”
ถึงมันจะไม่ยอมฟังแต่ผมก็จัดการผลักมันออกได้สำเร็จ
คุณชายฮึดฮัดขัดใจในที่สุดลุกขึ้นนั่งเสยผมตัวเองแบบลวกๆ
“ปิงมึงมาดูนี่ดิ๊
อะไรกัดหลังกูวะโคตรคัน” ผมลุกขึ้นบ้างกำลังจะเดินไปเปิดไฟ
พี่เอย์คว้าเอาแขนไว้แล้วทำหน้ายู่ยี่เรียกให้มาดูหลังให้มัน
“เดี๋ยวผมเปิดไฟก่อนดิ
แบบนี้ดูไปก็ไม่เห็นหรอกครับ”
ผมมองไปที่แผงอกกว้างเปลือยเปล่า
กล้ามเนื้อท้องที่เป็นลอนสวยงาม รูปร่างมันยังคงดีเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน อาจเพราะพี่เอย์ชอบวิดพื้นและยกเวท
ที่สำคัญช่วงนี้พี่เอย์ไม่ค่อยใส่เสื้อนอน มันชอบบอกว่าเวลาที่ผิวเราสัมผัสกันแล้วมันรู้สึกดี
“ก็ดูทั้ง ๆ
แบบนี้แหละ”
ผมขยี้ตาแล้วนั่งลงข้างหลังมันก้มลงมองหารอยตุ่ม
ดูแล้วดูอีกก็ไม่เห็นว่าจะมีตัวอะไรกัดทำให้ผิวพรรณที่สวยงามของคุณชายมีรอยด่างพล้อย
ในเมื่อตาเปล่ามองไม่เห็น มือผมเลยต้องเลื่อนขึ้นไปสัมผัส ลูบดูว่ามันมีตุ่มอะไรอยู่ตรงไหน
“ไม่มี....อื้มม...!!”
โดนจนได้
หลงกลมันอีกจนได้ วงแขนแข็งแรงรัดคอผมลงมา พร้อม ๆ กับร่างกายใหญ่โตทาบทับ
ริมฝีปากสวยเอียงเข้าหาแล้วกดจูบลงมาอย่างร้อนรน พี่เอย์มันเป็นแบบนี้เสมอตอนเช้า
ๆ มันชอบจูบ แล้วไม่ใช่จูบแบบธรรมดาด้วยนะคือแบบเร่าร้อนมากผมก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก
เห็นผมเป็นแบบนี้แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราต้องจูบต้องหรือทำอะไรแปลกๆทุกวัน
แต่มันไม่ใช่แบบนั้นสิ คุณชายชอบเล่นแบบนี้มาก
ซึ่งไอ้การที่ผมต้องมาถูกจับเล่นคู่กับมันนี่ค่อนข้างเสียเปรียบมากมายจริง ๆ
ผมปล่อยให้มันจูบจนพอใจ
รู้ว่าอย่างไรเสียมันเองก็ต้องลุกเพราะตีห้ากว่าแล้ว
พี่เอย์ถอนจูบออกมาอย่างอ้อยอิ่ง
มันทำอย่างกับว่าเสียดายนักหนาทั้งที่เราก็นอนข้างกันในทุกวัน มือใหญ่ยกขึ้นมาลูบหน้าลูบตาผม
ใบหน้าเราห่างกันแค่คืบ
ผมพิจารณาโครงหน้ามันดี
ๆ นานแล้วที่ไม่ได้มองมันชัดเจนแบบนี้ แสงแรกแห่งวันทาบลงมาที่เตียง ดวงอาทิตย์ยามเช้ากำลังจะโผล่พ้นเส้นขอบฟ้า
ดวงตาเรียวสวยสีดำสนิทลึกล้ำราวกับห้วงราตรี คิ้วเข้มได้รูป
ริมฝีปากบางรับกับจมูกที่โด่งเป็นสัน
เส้นผมละเอียดยาวระต้นคอที่แม้ตอนนี้จะดูยุ่งเหยิงไปบ้าง แต่นั่นก็ไม่ได้ลดทอนความหล่อเหลาออกจากเครื่องหน้าที่ชัดเจนของมันได้
ผมค่อยยกมือขึ้นมาลูบแก้มมันแผ่วเบาสอดเข้าไปจนถึงท้ายทอย
“ทำให้กูพอใจสิ
แล้วจะลุก”
มันเหมือนกับอ่านใจผมออก
ในห้วงเวลาที่ผมกำลังเคลิ้มกับใบหน้าของมันทีไรมักจะได้ยินคำพูดสองแง่แบบนี้เสมอ
แต่นั่นกลับไม่ได้ทำให้ผมหลงเคลิ้มตาม ตรงกันข้ามผมกลับตั้งสติได้และรู้สึกตัวขึ้นทันที
อุ๊ก!!
“โอ๊ย เจ็บเนี่ย เล่นแรงตลอดอ่ะ” พี่เอย์หน้ามุ่ย
มันลุกขึ้นในทันที ผมยกเข่าขึ้นกระทุ้งหน้าท้องมัน ถึงไม่แรงมากแต่ก็ไม่ได้เบานะ เราสองคนมีงานที่ต้องรีบจะมามัวเคลิบเคลิ้มเล่นอะไรแปลกๆคงไม่ดีแน่
“ก็ถ้าพี่มัวแต่ทำเรื่องอย่างว่า
เช้านี้อะไรๆมันจะทันไหมล่ะครับ ลุกได้แล้วไปอาบน้ำเลย!”
ผมคว้าผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่โยนใส่มันแล้วพูดดุๆ
ส่วนตัวเองก็หยิบเอาอีกผืนแล้วเดินขยี้หัวออกไปใช้ห้องน้ำด้านนอก
ไม่สนว่าจะมีใครนั่งมองตามตาละห้อยด้วยความเสียดายหรืออะไรก็แล้วแต่
ว่าจะไม่ถอยหลังหันมามองแล้วก็อดไม่ได้
เห็นพี่เอย์นั่งนิ่งอยู่ปลายเตียง ที่บ่าเปลือยพาดผ้าขนหนูผืนใหญ่ที่ผมเพิ่งโยนส่งให้ขณะที่มันซบใบหน้าลงที่ฝ่ามือแล้วส่ายหัวแรง
ๆ
นี่มันเป็นเด็กหรือไงโดนขัดใจแค่นี้ถึงกับทำท่าทางเป็นเด็กประถมแบบนั้น
บ้าเอ๊ย...คุณชายงี่เง่า!
งานทำบุญตักบาตรช่วงเช้าผ่านไปด้วยความกรุณาของแม่กับพี่ขม
วันนี้ที่ร้านส้มตำของแม่ปิด เราทุกคนรวมตัวกันอยู่ที่ร้านใหม่ของพี่เอย์ หมาบาสกับวุฒิมาถึงตั้งแต่หกโมงทำหน้าที่รับส่งขบวนพระสงฆ์จัดพิธีอะไรของมันไปซึ่งผมกับพี่เอย์ไม่ถนัด
พี่เชนเองก็แวะมาตักบาตรด้วยแล้วบอกจะรีบกลับไปก่อน
ถ้าเย็นเคลียร์งานได้อาจจะแวะมาใหม่ เพื่อนบ้านบริเวณใกล้เคียง
รวมไปถึงเพื่อนฝูงของพี่เอย์ซึ่งทยอยมากันเรื่อย ๆ ทั้งชายทั้งหญิง ซึ่งตอนนี้มันก็กำลังคุยกับแขกเหรื่ออยู่
แต่ว่า...มีอยู่คนหนึ่งที่ผมไม่คิดมาก่อนว่าจะได้เจอ
แล้วที่สำคัญพี่เอย์บอกเองว่าเขาคนนี้จะมาช่วยมันทำงานอยู่ที่ร้านนี้อย่างเต็มตัวในฐานะเลขาคนใหม่ของมัน
“คุณภีมทานอะไรดีครับเดี๋ยวผมจะเดินไปตักมาให้”
“ไม่เป็นไรครับ
คุณปิงตามสบายเลย เดี๋ยวผมขอเคลียร์ห้องนี้ต่ออีกนิด”
ใช่แล้วครับ
ไม่รู้ว่าคุณยังจำคุณภีมได้ไหม เลขาพี่เอย์ที่อยู่อัศวออโต้คาร์ไง
ผมเองก็เพิ่งจะรู้เมื่อตอนที่ออกมาหน้าบ้านแล้วเจอคุณภีมจอดรถรออยู่แล้ว
ผมไม่รู้ว่าพี่เอย์มันไปพูดหว่านล้อมอะไรแบบไหน คุณภีมถึงได้หน้ามืดลาออกจาบริษัทที่แสนมั่นคงอย่างอัศวแล้วมานั่งอยู่ร้านเล็ก
ๆ ที่ทำเกี่ยวกับงานรับเหมาก่อสร้าง
งานต้อนรับแสดงความยินดีในช่วงเช้าที่ผ่านไปแสนราบรื่นต้องยกความดีความชอบให้กับคุณภีมถือว่าเป็นพ่องานเลยทีเดียว
ทำหน้าที่คุณเลขาได้อย่างไร้ที่ติ พอเคลียร์แขกกันเกือบหมด ผมกับเขาเลยต้องมานั่งเคลียร์ห่อของขวัญช่อดอกไม้
ที่แสนมากมายจนเกือบจะล้นออฟฟิศออกมาจนถึงประตู
คุณเลขาคนใหม่หอบกล่องของขวัญทั้งหลายซ้อนๆกันเรียงเข้าไปที่มุมหนึ่งของห้อง
ผมเองก็ขยับช่อดอกไม้ทั้งเล็กทั้งใหญ่ วางเรียงตามเข้าไปติดๆ
ทั้งป้ายชื่อของพี่ซ่าร์ที่ห้อยตกลงมาจากกุหลาบชมพูสวยช่อโตๆ
ตัวแทนจากอัศวทั้งสองแห่งซึ่งมีเลขาของคุณพ่อพี่เอย์เป็นตัวแทนส่งมาให้
ช่อดอกไม้จากบริษัทรับเหมาก่อสร้างและผู้ประกอบการอีกนับสิบๆแห่งที่เป็นของเพื่อนทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้องของพี่เอย์
อย่างช่อนี้ก็ของยูเซย์ พี่เชนให้เด็กส่งมาในช่วงสายเป็นลิลลี่สีขาวแซมด้วยกุหลาบสีน้ำเงินเข้มถูกจัดไว้ในกระถางเคลือบสวยงาม
ผมยกแขนขึ้นปาดเหงื่อที่หน้าผากพร้อมๆกับการยกตะกร้าหวายที่อัดแน่นไปด้วยกุหลาบสีแดงไปวางไว้ที่อีกมุม
คุณชายส่งแขกเสร็จแล้วเดินเข้ามาด้านใน
“พี่เอย์หิวไหมครับ”
ผมเดินเข้าไปหามัน พี่เอย์ทิ้งตัวนั่งลงที่โซฟาเดี่ยวอย่างหมดแรง
วันนี้มันใส่สแลคสีดำกับเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มปลดกระดุมออกสองเม็ด ทับด้วยเสื้อนอกสีเดียวกัน
ทั้งชุดไม่รู้ว่าราคาปาเข้าไปเท่าไหร่
ผมเคยบอกมันนะว่าเสื้อผ้าใส่แบบธรรมดาบ้างก็ได้ แต่พี่เอย์เป็นคนที่ชอบใส่เสื้อผ้าที่เน้นเนื้อผ้าคุณภาพดีเพราะอย่างนั้นราคาจึงแพงมาก
แต่พี่เขาบอกว่าเฉพาะชุดทำงานเท่านั้น ชุดอยู่บ้านก็แบบธรรมดาแต่ผมว่ามันโกหกธรรมดาของมันก็ยังแพงมากสำหรับผมอยู่ดี
ผมแนบกระป๋องน้ำอัดลมเข้ากับแก้มมัน
พี่เอย์สะดุ้งนิดๆพอรู้ว่าเป็นอะไรเย็น ๆ คุณชายก็อมยิ้มรับไปเปิดดื่มอย่างสบายใจ
“คุณภีมเดี๋ยวคุณเดินไปทานข้าวที่บ้านแม่เลยนะ เมื่อกี้เห็นเจ้าบาสมันมาตามแล้ว” พี่เอย์บอกคุณเลขาของมัน ผมดูแล้วก็รู้สึกสงสารพี่เขานะหลังจากจัดการเรื่องกล่องของขวัญและช่อดอกไม้
คุณภีมยังต้องไปจัดการกับโต๊ะทำงานใหม่เอี่ยมของตัวเอง ซึ่งมีทั้งงานเอกสารงานต่าง
ๆ ที่ทยอยเก็บเป็นแฟ้มเข้าตู้
“นั่นสิครับวันนี้เหนื่อยแล้วคุณภีมยังไม่ได้ทานอะไรเลย
ออกไปพร้อมผมก็แล้วกันนะ” คราวนี้ผมเป็นคนชวน พี่เอย์คงไม่หิวหรอกเพราะมันนั่งทานกับเพื่อนฝูงตั้งแต่เช้ากินไปคุยไป
มีแต่ผมกับคุณภีมวิ่งวุ่นหานั่นโน่นนี่บริการให้มันเลยยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเราเลย
จนเวลาล่วงมาบ่ายแบบนี้
“มึงยังไม่กิน?”
พี่เอย์หันมาถาม มันทำหน้าตาประหลาดใจ
“ครับ
เดี๋ยวผมมานะพี่ พี่เอย์อาบน้ำสักหน่อยก็ได้ครับท่าทางเหนื่อย ๆ
ผมไปกินข้าวที่บ้านโน้นแปปเดียว” มันพยักหน้ารับ ผมกับคุณภีมเลยเดินออกมา
เราสองคนใช้ประตูด้านข้างเดินลัดเลาะมาแป๊ปเดียวก็เข้ามาอยู่ในเขตรั้วบ้านของแม่แล้ว
“มาลูกมาปิง คุณภีม
มาทานข้าวด้วยกัน” แม่กับพี่ขมหมาบาสกับวุฒิเองก็กำลังนั่งทานอยู่พอดีเลยกวักมือเรียกเรา
พี่ขมลุกขึ้นไปตักข้าวเพิ่ม
“คุณภีมทานพร้อมกันกับแม่ได้ไหมครับหรือว่าไม่สะดวกจะแยกไปนั่งที่โต๊ะนั้นเดี๋ยวผม...”
“ไม่เป็นไรครับผมไม่ยุ่งยากทานได้นั่งได้ทุกที่
คุณปิงไม่ต้องเกรงใจผมขนาดนั้น”
ผมส่งยิ้มจริงใจไปให้
คุณภีมเองก็ส่งยิ้มกลับมา
เขาขยับแว่นตานิดๆความจริงแล้วหน้าตาท่าทางเขาไม่เหมือนคนที่จะมาตกระกำลำบากกับพี่เอย์เลยนะ
บางทีผมก็สงสาร
เราทานข้าวกันจนเสร็จ
แม่กับพี่ขมเก็บอาหารออกไปแล้วหมาบาสมันอาสาช่วยแม่ล้างจาน
ส่วนวุฒิเดินไปสูบบุหรี่อยู่แถว ๆ รั้วพลางจัดการกับเศษใบไม้เศษขยะ ผมจึงลุกเดินเข้าไปยกผลไม้ออกมา
“จานนี้พิเศษ
แม่บอกว่าคุณภีมน่าจะชอบครับ” แตงเมลลอนสีเขียวพี่ขมได้มาจากตลาดอีกแล้วมันสดมาก
ได้ยินว่าไปรู้จักกับป้าเจ้าของสวนเขาใจดีลดให้เป็นพิเศษ
“คุณแม่คุณปิงใจดีจังนะครับ
พี่ขมเองก็ด้วย”
“คุณภีมครับ
เรียกผมว่าปิงเฉย ๆ ก็ได้ คือมันรู้จักจี้ยังไงไม่รู้เวลาที่มีคำนำหน้าเพราะๆแบบนั้น
ผมไม่ค่อยชินน่ะครับ” ความจริงที่บริษัทพนักกงานรุ่นน้องๆเรียกผมคุณปิงก็มีบ้าง
แต่คนที่รู้จักกันจริง ๆ จะเรียกแค่ปิง ไม่งั้นก็คือคุณพิชยไปเลย
ผมมีความรู้สึกว่าน่าจะสนิทกับคุณภีมได้อีกถ้าเราจะขยับสรรพนามในการเรียกหากัน อย่างน้อยที่สุดพี่เขาก็เป็นคนดีและยังอุตส่าห์ลาออกมาช่วยงานพี่เอย์
ผมรู้ดีว่าการที่ต้องมาทำงานเป็นเลขาให้คนแบบพี่เอย์ของผมนั้นไม่ง่ายเลย
มันทำงานเก่งก็จริงแต่นิสัยส่วนตัวค่อนข้างจะไม่เอาใคร ถ้าไม่ถูกใจคือบายเลย
ทุกอย่างสามารถตัดจบไปได้ง่าย ๆ แทบจะทุกกรณี
“เอาแบบนั้นเหรอครับ”
คุณภีมใช้นิ้วมือเรียวยาวดันแว่น มองหน้าผมอึกอัก
“ใช่ครับ
เรียกปิงเฉยๆนี่แหละ”
“ถ้าอย่างนั้นปิงก็เรียกผมว่า
พี่ภีมก็ได้”
“เฮ้ย...แต่ว่า....”
“เมื่อก่อนผมก็เรียกแค่ปิงนะ
ตอนที่อยู่อัศวออโต้
แต่ตอนนี้ผมมาทำงานให้คุณเอย์แล้วปิงเองก็เหมือนเจ้านายอีกคนของผมเพราะอย่างนั้นผมคิดว่าบางทีมันอาจจะไม่เหมาะ
แต่ถ้าคุณปิงไม่ถือต่อไปจะเรียกครับ”
คุณภีมบรรจงจิ้มแตงเมนลอนเข้าปาก
เขาเคี้ยวตุ้ยๆจนเต็มแก้ม หมาบาสเดินออกมาจากครัวมันเองก็มานั่งเบียดอยู่ข้าง ๆผมแล้วมอง
“ตกลงตามนี้นะครับ
ผมเรียกแค่ปิงเฉย ๆ ปิงเองก็เรียกผมแค่พี่ภีม”
“คะ.......
“เห็นทีจะไม่ได้หรอกครับ”
เสียงทุ้มดังอยู่ด้านบน
ผมรีบเงยหน้าขึ้นมอง พี่เอย์มันเดินมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ขึ้นมาพร้อมกับวุฒิ
ขัดจังหวะคำตอบของผมที่กำลังพูดอยู่กับคุณภีม ผมเลยอ้าปากค้างกับคำตอบ
“พี่เอย์?”
“ผมไม่อนุญาตให้ปิงเรียกใครว่าพี่อีก
เป็นคุณภีมต่อไปน่ะดีแล้วครับ”
“ขอโทษด้วยครับคุณเอย์”
หน้าตาพี่เอย์มันเอาจริงเสียจนขนาดหมาบาสยังมองมันหน้าเหวอ
ไม่ต้องพูดถึงคุณภีมที่ตอนนี้หน้าซีดยิ่งกว่าแผ่นกระดาษ
คงอยากจะแปลงร่างเป็นมดเพราะเจอสายตาที่จ้องลงมาแบบนั้น
“พี่เอย์ครับดุเกินไปแล้วพี่
ไปแกล้งคุณภีมเขาทำไมน่ะ”
“กูแกล้งที่ไหน
พูดจริง” มันว่าแล้วชี้ ๆ บอกผมให้จิ้มแตงหอม ๆ ให้มันกิน
ผมเลยจับยัดเข้าไปชิ้นใหญ่ ๆ
เจอมันตบกะโหลมาทีไอ้หมาบาสหัวเราะใหญ่ผมเลยโบกมันต่ออีกทอดให้หายแค้น
คุณภีมมองพวกเราแล้วก็ยิ้มขำ
“พี่เชนจะมาตอนไหนวะปิง”
เสียงไอ้วุฒิมันถามขึ้น ผมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูด้วยความเคยชินแต่ลืมไปเลยว่ามันเสีย
วันนี้เลยไม่ได้ใส่ จับยกข้อมือหมาบาสขึ้นดูแทน
“น่าจะช่วงเย็น”
ผมตอบ เพราะพี่พิมไปภูเก็ตเพื่อติดต่องานสองสามวันแล้ว
พี่เชนจึงต้องดูแลงานออฟฟิศอยู่คนเดียวกว่าจะปลีกตัวมาได้ เมื่อเช้าบอกต้องเลิกงานก่อน
“ยังอุตส่าห์แวะมาตักบาตรช่วงเช้านะครับ
คุณคเชนทร์ใจดีกับปิงมากจริง ๆ” จู่ ๆ คุณภีมพูดเรื่องไม่น่าจะพูดออกมา
พี่เอย์มันถึงกับวางส้อมจิ้มแตงลงกับจาน
“พี่เชนรักพี่ปิงจะตาย
ขนาดผมขอร้องยังนะไม่เคยยอมหรอกแต่ถ้าเป็นพี่ปิงนะพูดแค่คำเดียว
พี่เชนทำให้ทุกอย่างอ่ะ”
“ไอ้บาส
มึงหุบปาก” ผมกระแทกขามันแรง ๆ ที่ใต้โต๊ะ พูดแม่งไม่รู้เรื่องเล๊ย
ดูหน้าพี่เอย์มันบ้าง หมาบาสมันยังหันมามองหน้าผมแล้วยักไหล่
ประมาณว่าไม่รู้เรื่องว่าจู่ ๆ ผมไปเตะขามันทำไม ผมได้แต่แยกเขี้ยวใส่
“เงียบ ๆ
เหอะมึงอะ” ผผมย้ำอีก
“ผมพูดจริง ไม่เชื่อถามไอ้.....
“พอแล้วมึง
เงียบ!!” คราวนี้ผมโหเกี่ยวคอมันแล้วใช้มืออุดปาก
ไอ้บาสแม่งทุเรศมันดิ้นๆทำท่าทางแรด ๆ กวักไม้กวักมือให้ไอ้วุฒิช่วย กว่าจะนั่งตรงๆได้เล่นเอาผมนี่เหนื่อย
ขณะที่คุณชายยังนั่งเงียบอยู่ เสียงเพลงเบา ๆ ดังลอดออกมาแม่โบกมือส่งยิ้มมาให้
ผมเลยตะโกนขอเพลงเข้าไปแม่จัดให้แบบด่วน ๆ เราทั้งหมดเลยผ่อนคลายขึ้น
พูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อยพร้อมกับฟังเพลงกันไปด้วย
“พี่เอย์ครับเราไปแกะของขวัญกันดีไหมเต็มออฟฟิศเลยนะมีแต่กล่องใหญ่
ๆ ทั้งนั้นผมตื่นเต้นนะเนี่ย”
“แหมพี่ปิงจะตื่นเต้นทำไมอ่ะของทั้งหมดนั่นพี่เอย์เขายกให้พี่อยู่แล้วล่ะ
โอ๊ย!”
ไอ้หมาบาสนั่งดีๆนี่แทบไม่ได้ปากมันช่างแกว่งหาเรื่อง
ผมตบหัวมันแรง ๆ ไปอีกทีก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินออกจากโต๊ะ เข้าไปบอกแม่ว่าจะกลับไปจัดการงานต่อที่บ้าน
พี่เอย์มันเดินตามเข้ามาคว้าแขนผมไว้
“นาฬิกาไปไหน”
สายตาคมกริบจ้องลงมาที่ข้อมือว่างเปล่าของผม
ปกติผมจะใส่นาฬิกาตลอดมันเองก็คงเพิ่งสังเกตตอนที่เราคุยกันเมื่อตะกี้
พอผมลุกออกมาเลยเดินแยกมาถาม
“มันเสียน่ะครับ
ว่าจะเอาไปซ่อมยังไม่มีเวลาเลย”
“ทำไมไม่บอก”
“หือ?”
ผมเลิกคิ้วสูง คือก็แค่นาฬิกาเสียทำไมต้องบอกมันด้วยผมเองก็ไม่เข้าใจ
เดี๋ยวซ่อมเสร็จเอามาใส่แค่นั้นก็จบ
พี่เอย์ถอดนาฬิกาของมันออกมาแล้วยื่นให้
เป็นเรือนหนังสีดำหรูหราแล้วก็สวยมากๆ ซึ่งเวลาที่พี่เอย์ใส่เรือนนี้ทีไรมันจะเลือกใส่เข้าคู่กับเสื้อเชิ้ตปลดกระดุมลงมาที่หน้าอกแล้วพับแขนขึ้นนิดๆ
วันนี้ก็เช่นกัน
“กูให้”
“ให้ผม?”
ผมร้องทวน
“อย่าเรื่องมาก
รับๆไป”
ผมกำลังงงๆ
ทำอะไรไม่ถูกหันซ้ายหันขวาเจอพี่เอย์ตบหัวอีกครั้งแล้ว
นี่ผมกำลังนึกนะช่วงนี้คุณชายทำไมถึงชอบตบหัวผมนักมันเอ็นดูอะไรนักหนา
สมองผมจะเสื่อมหากินไม่ได้เข้าสักวันงานเขียนโปรแกรมยิ่งต้องใช้สมองอันปราดเปรื่อง
“หรือไม่อยากได้
มันเก่าแล้วงั้นดิ่”
“เก่าที่ไหน
ไม่ใช่แบบนั้นครับ ผมแค่ เอ่อ...เอ่อ..เกรงใจ”
“เกรงใจทำไม
มึงกับกูก็คนๆเดียวกัน อย่ามาพูดคำนี้อีกนะ น่าโมโห” คราวนี้มันยู่หน้า
ผมรีบรับมาเลยคุณชายโมโหแล้ว นาฬิกาสวยมากพี่เอย์ใส่หลายครั้งแล้วก็จริงแต่ยังใหม่มาก
ๆ อย่างที่บอกว่ามันเป็นคนสะอาดและรักษาของใช้ดีมาก
ถึงแม้จะใส่และถูกใช้งานหลายครั้งแต่ความสวยและใหม่กลับไม่ได้ลดลงเลย
แม้กระทั่งสายหนังยังไม่หักเลยด้วยซ้ำ
“พี่เอย์ขอบคุณครับ”
ผมยกมือไหว้มันแล้วทาบตัวเรือนลงที่ข้อมือ พี่เอย์เป็นคนใส่ให้ผมเอง
มันขยี้หัวผมแล้วส่งยิ้มร้ายให้พร้อมกับคำพูดจาน่าตี
“ถ้าเกรงใจก็ผ่อนเป็นความพึงพอใจให้กูช่วงก่อนนอนก็แล้วกัน”
“ฝันไปเหอะ” ผมเบะปากยักไหล่ใส่
เจอคุณชายคว้าหมับเข้าที่ไหล่
“เอองั้นถอดออกมา”
“ไม่เอา! ให้แล้วให้เลยสิ” ผมรีบวิ่งหนี
สะดุดจนเกือบหน้าคะมำไอ้วุฒิกระโดดหลบแทบไม่ทัน
“พี่ปิง
ใครมาน่ะพี่” หมาบาสพูดขึ้น
มันยืนมองรถเก๋งสีขาวคันโตที่เพิ่งดับเครื่องจอดลงที่หน้าบ้าน ผมเองก็มองดูด้วย เราเคลียร์แขกไปหมดแล้วยังมีใครอีกที่ยังไม่มา
และทันทีที่ผมเห็น
“พี่เอย์ครับ”
ผมมองข้ามไหล่หันไปเรียก คุณกัสมาเลขาและเพื่อนเก่าของมันยืนถือช่อดอกไม้ใหญ่มากๆอยู่ที่หน้าประตูรั้ว
“กัสน่ะปิง” เสียงทุ้มต่ำพูดขึ้น ผมรู้อยู่แล้วล่ะ พี่เอย์คงเกรงใจผมเลยหันมามอง ผมพยักหน้าให้มันแล้วบอกให้ลงไปรับแขก
“ไปด้วยกันไหม”
“ไม่หรอกครับ
พี่เอย์ลงไปหาเพื่อนเถอะ ผมรออยู่นี่นะ”
“เดี๋ยวกูจะพาเขาไปดูที่ออฟฟิศ
รีบ ๆ ตามมาล่ะ” ผมพยักหน้ารับทราบ พี่เอย์หันไปสั่งความบางอย่างกับคุณภีมก่อนเดินลงไป
“ไม่ไปด้วยจะดีเหรอพี่”
หมาบาสมันพูดขึ้นเบา ๆ ผมหันหลังเดินเข้ามาในบ้าน แม่กับพี่ขมนั่งดูทีวีในครัวกันอยู่
ความจริงคุณภีมเดินกลับไปแล้วชวนผมไปด้วยแต่ผมคิดว่ายังไม่ไปตอนนี้จะดีกว่า
“ไม่เป็นไรหรอก
นั่นเพื่อนพี่เอย์” ผมบอกหมาบาสแต่ดูเหมือนว่าจะปลอบใจตัวเองไปด้วย
“ไอ้วุฒิล่ะวะ”
“ผมส่งมันไปแล้วพี่
ลูกพี่ปิงไม่ต้องห่วงเดี๋ยวถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลไอ้วุฒิมันจัดการให้”
“ไอ้เหี้ย มึงนี่ก็เกินไปนะ”
“ผมกับวุฒิห่วงลูกพี่หรอก
ก็รู้ๆกันอยู่”
ผมพยักหน้าเบา
ๆ หยิบหมอนที่ตกลงจากโซฟาขึ้นมากอด ไอ้บาสมันวิ่งออกไปที่หน้าบ้านหายไปพักนึงก็เดินเข้ามา
หน้าตานี่บอกบุญไม่รับปากบ่นงุบงิบอะไรสักอย่าง ผมกำลังจะเหยียดตัวลงนอนอยู่แล้วเลยต้องกระดิกนิ้วเรียกมันเข้ามาหา
“เป็นไรของมึงอีก
ดูทำหน้าเข้า” ผมดีดหน้าผากมัน หมาบาสมันชอบอ้อนผมนะ
เห็นตัวมันโตๆแบบนี้นิสัยนี่เด็กยิ่งกว่าผม
“พี่ปิงกลับเหอะ
ไปบ้านคุณพี่เอย์ด้วยกันเร็วเข้า”
“อะไรของมึง”
“น่านะ
กลับกันเหอะพี่ ไอ้เหี้ยวุฒิมันอยู่คนเดียวผมไม่สบายใจ
มันน่ะไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมไอ้คุณกัสมาอะไรนั่นหรอก
แล้วพี่ก็มานั่งสบายอกสบายใจอยู่นี่เดี๋ยวก็โดนเขาคาบพี่เอย์ไปหรอก โด่ววววว”
“พูดอะไรของมึง
กูก็บอกแล้วว่าพี่เอย์กับคุณกัสเขาเป็นแค่เพื่อนกัน กูเชื่อใจคนของกู”
“เพื่อนกันน่ะผมรู้
คุณพี่เอย์ไม่ได้คิดน่ะผมก็รู้ แต่ว่าคุณกัสมาอะไรนั่น
ถ้าเป็นอย่างที่พวกเรารู้กันมาก่อน ผมไม่ไว้ใจ”
“ทำไม?”
ผมกอดอก ตั้งใจฟังคำตอบของมัน
“ก็เพราะว่าเขาเคยชอบพี่เอย์ของพี่
คนเรามันชอบน่ะมันไม่ได้เลิกชอบกันง่าย ๆ นะพี่
แล้วงี้ถ้าเกิดเขาทำอะไรแปลกๆขึ้นมาพี่จะทำไง”
“อะไรของมึงที่ว่าแปลกๆ”
“ก็อย่าง
นั่งคุยกันที่ชิงช้าใกล้ ๆ กับบ่อปลา พูดคุยหัวเราะด้วยกันอย่างสนิทสนม คือแบบ
ทำทุกอย่างเหมือนที่ผมที่ไอ้วุฒิที่พี่เชนทำกับพี่อ่ะ”
“เออแล้วทำไม
ถ้าเขาจะทำกันแบบนั้นแล้วทำไม”
“วะ! พี่ปิงเนี่ย ไม่เข้าใจอะไรซะเล๊ย”
“มึงแหละพูดเข้าเรื่องซะทีอ้อมโลกอยู่ได้”
คราวนี้ไอ้บาสมันตั้งท่าแล้ว
จ้องหน้าผมยิ่งกว่ายักษ์จะกินเลือด
“ก็ตอนนี้เขาสองคนนั่งคุยกันอยู่ที่ชิงช้าใต้ต้นไม้แล้วก็ดูปลาอยู่ด้วยกัน
หัวเราะด้วยกัน ยิ้มให้กันแล้วผมยังแอบเห็นว่าไอ้คุณกัสมาอะไรนั่นจับมือพี่เอย์ของพี่ด้วยนะ”
ผมลุกพรวดขึ้นทันที
ไม่ต้องรอให้มันพูดจบหรอก
“แล้วทำไมมึงบอกกูช้าแบบนี้วะ!”
แกว่งขาไปเตะเข่ามันฉาดใหญ่ ๆ ก่อนเดินดุ่ม ๆๆ ลงไปที่รั้วบ้าน
เสียงหมาบาสมันวิ่งตามลงมาแบบประชิด
“อยู่โน่นพี่”
ผมมองไปตามทางที่มันชี้ให้ดู
ไม่รู้ทำไมเหมือนกันตอนแรกที่ลงมาก็กล้าดีนะ
แต่พอเดินมาใกล้ๆแล้วรู้สึกว่าเสียงผมกับหมาบาสจะคล้ายกับคนกระซิบเข้าไปทุกทีเหมือนเรากำลังแอบทำความผิดอะไรสักอย่าง
“เอาแล้วๆ”
ไอ้บาสมันพากย์ ผมรีบตบกะบาลมันไปอีกครั้ง จนนับไม่ถ้วนแล้วว่าเป็นครั้งที่เท่าไหร่ของวัน
พี่เอย์กับคุณกัสมานั่งอยู่ข้าง ๆ กันที่มานั่งยาว สองคนกำลังมองดูปลามั้งนะ
ก้มๆมองอยู่แถวนั้นไม่ดูปลาคงมองหาไส้เดือนกิ้งกือล่ะ
หน้าตาคนตัวเล็กนี่ยิ้มแย้มกว้างขวางมากดูมีความสุขสุดๆ จะว่าไปคุณกัสมาเขาทำไมน่ารักวะหน้าตาเหมือนเด็กทอมบอยน่ารักๆที่ผมเคยคิดอยากจะจีบเมื่อตอนมัธยมแต่เพราะมาแพ้แม่สาวลายเสือ
นับตั้งแต่ยกครูกับแม่เสือดาววันนั้นสเป็คผมก็เลยออกๆแนวสาวเซ็กซี่ซะเป็นส่วนใหญ่
เดี๋ยวนะ มาเข้าเรื่องเรากันก่อนผมว่าผมออกนอกเรื่องไปอีกแล้ว
ข้าง ๆ สองคนนั่นไม่มีดอกไม้ช่อใหญ่ที่ผมเห็นตอนที่คุณกัสมาลงรถ
แสดงว่าเข้าไปที่ออฟฟิศกันแล้วค่อยเดินออกมา ผมรู้สึกคันยิบๆที่หลัง
หันข้ามไหล่ตัวเองไปถึงกับต้องผงะ ไอ้หมาบาสแม่งจะเข้ามาใกล้อะไรนักหนา
“เหี้ย! มึงขยับออกไปดิ๊ จะมาใกล้ทำไมเล่า” ผมว่าฉุนเฉียว
“ผมก็อยากรู้นี่
ตรงนี้มันต้นไม้บังอ่ะ”
ผมจนใจขยับออกมาอีกหน่อยแต่คิดว่าเราสองคนยังคงถูกบดบังจากมุมของพี่เอย์อยู่ดี
มันไม่มีทางมองเห็นได้หรอก ไอ้บาสสะกิดเข้ามาอีก
“ลุกแล้วๆ”
ทั้งสองคนลุกจากม้านั่งยาว
พี่เอย์เดินตามหลังคนตัวเล็กไป คงกำลังเดินชมสวนชมนกชมไม้ชมห่าเหวอะไรของมันอยู่
แต่โชคเข้าข้างชะมัด คุณกัสมาเดินใกล้เข้ามาทางพวกผมเพราะอย่างนั้นมุมนี้เห็นสองคนนั้นชัดเจนมาก
“ดูหน้าดิ
ระรื่นจริง” ผมถองศอกเข้าที่ท้องมันเบา ๆ ไอ้บาสหน้าเขียวจะร้องผมรีบเอามืออุดปากไว้
มันรีบถลึงตาบอกว่าเขาสองคนกำลังจะเดินเข้ามาใกล้ ผมเลยรีบปีนขึ้นไปแอบบนง่ามของกิ่งไม้ใหญ่
คือไม่สูงมากหรอกนะแต่มันก็พอจะแอบ ๆ เกาะอยู่ตรงนั้นได้ หมาบาสไต่ตามขึ้นมาติด ๆ
แต่เรื่องที่ไม่น่าเกิดขึ้นก็ดั๊นเกิดขึ้นมาจนได้
มันเผลอพลาดอะไรไปไม่รู้หมาบาสมันลื่นทีเดียวปรื๊ดเลยคว้าเอาขาผมดึงตกลงมาพร้อมกัน
เสียงก้นกระแทกลงพื้นโครมใหญ่
พี่เอย์กับคนตัวเล็กนั้นหันมาหน้าตาตื่น ๆ ผมที่ตกลงมากับมันด้วยหน้าถอดสี
“เป็นอะไรปิง !?” มันก้าวเข้ามาหายื่นมือออกมาให้
ไอ้บาสจะยึดมือมันไว้แล้วลุกขึ้น แต่เจอพี่เอย์เอามือหลบยื่นมาให้ผมยึดแทน
หมาบาสมันเลยเกาะขาผมขึ้นมาอีกที
“มาเมื่อไหร่
แล้วทำอะไรกันอยู่”
ผมทำหน้าไม่ถูกพี่เอย์น่ะเวลาที่ไม่ได้อยู่กันสองต่อสองมันดุมากนะ
เสียงพูดนี่แบบถ้ากินหัวผมเข้าไปได้มันคงทำ เพราะอย่างนั้นไม่ต้องพูดถึงหน้าไอ้บาสเลยมันหดเหลือสองนิ้วไปแล้ว
“เอย์ครับอย่าดุนักเลยน้องกลัวจนสั่นแล้วนั่น”
เสียงเล็กเจื้อยแจ้ว คุณกัสมายิ้มขำผมกับหมาบาส
เนื้อตัวเราสองคนคงมอมแมมแหละลื่นก้นจ้ำเบ้า พื้นหญ้ามันก็ชื้น ดินเปื้อนก้นไปหมด
“เจ็บไหม”
มันเดินเข้ามาจับตัวผมแล้วดู ผมรีบขยับถอย พี่เอย์ชักสีหน้าขึ้นทันที
“สวัสดีครับปิง
ขอโทษด้วยนะวันนี้มาช้าไปหน่อย แต่ว่าผมก็ตั้งใจมาอวยพรนะครับ”
“ขอบคุณครับ”
“ที่ร้านเอย์สวยมากบ้านก็น่ารัก
ผมรู้สึกอิจฉาปิงมากจริง ๆ” ดวงตากลมโตจ้องมองมือของพี่เอย์ที่กำลังหยิบเศษใบไม้แห้ง
ๆ ออกจากหัวผม ไอ้บาสนี่ยืนเงียบอยู่ข้างหลัง
“อิจฉาทำไมกันครับ
บ้านคุณกัสมาอยู่เชียงใหม่ผมว่าต้องสวยกว่าที่นี่แน่ ๆ”
“อยู่เชียงใหม่ไม่ได้หมายความว่าต้องมีบ้านสวย
ๆ แบบนี้นี่ครับ”
เอ่อ
โทษทีผมคงจะพูดผิดไป ความหมายของผมก็คืออากาศที่นั่น ต้นไม้ดอกไม้ที่นั่น
แล้วอีกทั้งพี่เขาก็เป็นถึงวิศวกรบางทีบ้านอาจจะสวยงามกว่านี้หลายเท่า
“ผมชอบที่นี่นะ
เมื่อก่อนตอนที่ผมกับเอย์เรียนอยู่ด้วยกัน ผมเห็นโปรเจคของเอย์มีรูปแบบงานก่อสร้างสไตล์นี้เยอะมากไม่คิดว่าถึงคราวบ้านตัวเองจริง
ๆ เอย์เขาจะทำฝันให้เป็นจริงได้ ผมนี่ทึ่งไปเลยล่ะครับ ตอนนั้นยังช่วยกันแรเงาภาพอยู่เลยเผลอแปปเดียวเพื่อนผมคนนี้มีบ้านเป็นของตัวเองแล้ว”
“กัส
ไม่เอาน่า” พี่เอย์ส่ายหน้าเบา ๆ สายตามันปรามพี่คนนั้นอย่างเห็นได้ชัด หมาบาสกระตุกเข้าที่ชายเสื้อผม
พอหันไปมองผมเห็นมันตาแดง ๆ คล้ายคนจะร้องไห้ผมถลึงตาถามว่ามันเป็นบ้าอะไร
ไอ้บาสส่ายหน้าแรง ๆ พอดีกับที่คุณกัสมายกมือขึ้นดูเวลา
“คุยกับเอย์เพลินจนลืมเวลาไปเลย
เดี๋ยวกัสขอตัวกลับก่อนดีกว่านะครับ”
คุณเลขาคนเก่าก้าวเดินนำออกไปพี่เอย์มองมาที่ผมแล้วดึงแขนให้ตามไปด้วย
“ยินดีด้วยอีกครั้งนะครับเอย์
กัสกลับนะ ปิงครับน้องบาสพี่กลับแล้วนะ” มือเล็กแทนที่จะยกขึ้นโบกลาพวกผมแต่คุณกัสมากลับทำสิ่งที่ตรงกันข้าม
พี่เขาเขย่งเท้าเพื่อเอื้อมไปหยิบเศษใบไม้แห้งที่ปลิวลงมาติดอยู่ที่ปกเสื้อด้านหลังของพี่เอย์ออกให้
ดวงตาสวยส่งยิ้มเปิดเผยให้กับผู้ชายตัวสูงที่อยู่ตรงหน้า
“ต้องให้ดูแลอยู่เรื่อยเลย
ไม่เปลี่ยนไปเลยนะเอย์ตั้น”
คำพูดที่กำลังลอยหายไปกับสายลม
แต่กลับตอกย้ำเข้ามาในจิตใจผมราวกับเข็มทิ่มแทง รู้สึกหน้าทั้งหน้าชาไปหมด ฝ่ามือเองก็เย็นเฉียบ
ผมยืนตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น ไม่รับรู้ด้วยซ้ำใครจะอยู่หรือจากไป สมองกำลังพร่าเบลอกับอากัปกิริยาเมื่อตะกี้ของใครคนนั้นกับคนรักของผม
“คิดอะไร”
ผมสะดุ้งโหยงเพราะถูกใครบางคนเอานิ้วดีดที่หน้าผาก พอมองดูคนรอบข้างอีกทีก็พบว่าคุณกัสมากำลังส่งยิ้มให้
“ไปแล้วนะครับปิง
ไว้วันหลังว่าง ๆ จะแวะมารบกวนใหม่นะ”
ผมพยักหน้าพยายามเหยียดยิ้มออกไป
แต่มันคงเป็นได้แค่รอยยิ้มการค้าบาง ๆ และก่อนที่คุณกัสจะปิดประตูรถลง
พี่เอย์ยื่นมือมาขยี้หัวผมแล้วคว้ากรอบประตูนั้นไว้ คนขับตัวเล็กหันมามองทันที
“กัสเข้าใจใช่ไหมที่ผมบอกไปทั้งหมดของวันนี้”
พี่เขาเงยหน้าขึ้นมองสบตาพี่เอย์
ดวงตากลมสั่นไหวและช่างเต็มไปด้วยแววแห่งการตัดพ้อ มันจะดูน่าสงสารนะถ้าหากเมื่อกี้ผมไม่โดนพายุอารมณ์พัดโบกเล่นเอาหัวใจแกว่งไปนิดๆ
“เข้าใจครับเอย์”
“.....” พี่เอย์นิ่งไปแต่สายตานี่จ้องหน้าคนตัวเล็ก
มือของมันคว้าสอดเข้ามาที่มือผมแล้วขยับมายืนดี ๆ
“ถ้าว่างก็แวะมาเที่ยว
ผมกับปิงก็เหมือนคนๆเดียวกันถ้าหากกัสมาแล้วไม่เจอผมแวะเข้าไปคุยกับแม่หรือน้องก็ได้
นายเป็นเพื่อนที่ดีของฉัน กัส”
คุณกัสมาปรายสายตามาที่ฝ่ามือของพวกเราก่อนเงยหน้ามองผมแล้วสุดท้ายไปหยุดอยู่ที่พี่เอย์
“ขอบคุณครับเอย์ นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว”
ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมงหลังจากคุณกัสมากลับไป
วุฒิกับบาสกำลังช่วยคุณภีมจัดการข้าวของและเอกสารต่าง ๆ ที่ออฟฟิศ
ขณะที่ผมกับพี่เอย์เพิ่งเดินออกมาจากด้านใน
อย่ามาถามเลยนะว่าเราสองคนเข้าไปทำอะไร
ก็แค่ผมงอนมันเล็กๆน้อย ๆ เรื่องแขกคนพิเศษของมันนั่นล่ะ คุณชายเลยจัดการประเคนของง้ออันใหญ่อันโตเล่นเอาซะจนผมจุกเดินเป๋แทบจะไม่ไหว
อย่า.....คุณอย่ามาเข้าใจผิด
ก็แค่พี่เอย์พยายามปอกกล้วยหอมลูกใหญ่ๆแล้วป้อนให้ผมกิน
ทั้ง ๆ ที่รู้ทั้งรู้ว่าผมไม่ชอบกินกล้วยเลยสักนิด
“พี่ปิงมาดูๆ”
เสียงไอ้บาสกวักมือเรียก มันนั่งกองอยู่ที่พื้นวุ่นกับการแกะห่อของขวัญในส่วนที่พี่เอย์อนุญาต
จริง ๆ ไม่ควรจะแกะวันนี้นะแต่พี่เขาทนลูกตื้อหมาบาสมันไม่ไหวเลยปล่อยตามใจ
เจ้านั่นยิ้มร่าเริงใหญ่ดูมันตื่นเต้นกับกองของขวัญยิ่งกว่าเด็กๆ
“อะไรของมึง”
ผมเดินไปขัดสมาธิอยู่ข้าง ๆ
“นาฬิกาไม้
สวยมากๆเลยพี่ของญี่ปุ่นด้วย ยี่ห้อเนี๊ยะแพงมากเลยนะ เออๆยี่ห้อเดียวกับที่พี่ใส่นี่แหละ”
มันจับข้อมือผมขึ้นมาชี้ ๆ แล้วหรี่ตาทำท่ารู้ดี
พี่เอย์เพิ่งใส่ให้ผมเมื่อตะกี้ที่บ้านแม่ มันยังอุตส่าห์แอบมาเห็นเข้าจนได้
ผมผลักหัวมันแรง
ๆ ไปอีกที หมาบาสแยกเขี้ยวใส่ผมเลยเขกมะเหงกมันไป
เราเล่นฟัดกันจนไอ้วุฒิกับคุณภีมส่ายหัว ผมกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้น จู่ ๆ
พี่เอย์เดินออกมาใช้ขาสะกิด หมาบาสรีบปีนลงมาจากตัวผมทันที
“อะไรพี่”
ผมเงยหน้าถาม ปรายตามองกล่องของขวัญถูกแกะออกจนหมด
วุฒิเก็บกระดาษพร้อมริบบิ้นสะอาดเรียบร้อย สิ่งของมากมายต่าง ๆ
ถูกวางกองไว้บนโต๊ะกระจกและบนพื้น
“ออกไปดูดิ๊
ใครมา”
ทั้งผมทั้งบาสลุกขึ้นพร้อมกัน
เห็นหัวรถคุ้น ๆ แต่ตัวรถดันถูกต้นไม้ใหญ่บดบังผมรีบวิ่งออกไปโผล่หัวดู
“พี่เอย์
พี่ซ่าร์มาแล้วครับ”
ตะโกนเข้ามาบอกมันพร้อมๆกับเดินออกไปต้อนรับนายแบบหนุ่มรูปหล่อที่ตอนนี้มือข้างหนึ่งจูงเด็กผู้ชายน่าตาน่ารักน่าชังอายุสักประมาณแปดเก้าขวบเข้ามา
“ไงปิง”
พี่เขาโยนเป้เด็กประถมลายสไปเดอร์สีเขียวแมนส่งให้ ผมรับไว้เกือบไม่ทัน
“พี่ซ่าร์สวัสดีครับ”
ผมสวัสดีพี่เขานะแต่สายตาโฟกัสอยู่ที่เจ้าตัวเล็ก
“เจ้าเอย์อ่ะ”
“อยู่ข้างในพี่
เข้ามาดิ”
เดินแปปเดียวเราก็มานั่งจ้องเจ้าเด็กตัวเล็ก
ๆ ที่มีใบหน้าเหมือนกับพี่เอย์เปี๊ยบอย่างกับฝาแฝด
น้องเห็นกล่องของขวัญที่เหลือบางส่วนดีใจใหญ่เข้าไปกระโดดโลดเต้น ดอกไม้สารพัดช่อเจอมือเจ้าหนูน้อยทั้งหอมทั้งเด็ดทั้งดม หมาบาสมันทำหน้าที่พี่เลี้ยงเด็กได้ดีมาก
“ก็อย่างที่บอกไปเมื่อคืน
คงต้องรบกวนมึงกับปิงสักสามวัน” พี่ซ่าร์มองไปที่ลูกชายก่อนหันกลับมาที่ผม
“พี่รู้ว่าปิงเองก็ไม่เคยมีน้อง
เจ้าเอย์ก็ยิ่งแล้วใหญ่ แต่ยังไงก็ไม่อยากทิ้งเด็กเล็กๆไว้ที่บ้าน
คุณแม่กับคุณพ่อก็ไม่อยู่”
“ก็เลยจะเอามาฝากไว้ที่กู”
“อย่างน้อยเขาก็ยังคุ้นเคยกับมึง”
พี่ซ่าร์ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู ทำท่าไม่ค่อยสบายใจ
ส่วนพี่เอย์ไม่สนใจหน้าไหนหรอกมันนั่งมองน้องอันวากับหมาบาสเล่นกันอยู่
“ยังไงก็ฝากด้วยนะปิง
เดี๋ยวจะไปขึ้นเครื่องเลย ไว้สุดสัปดาห์พี่กลับมาจะรีบมารับน้องทันที”
“ไม่ต้องเป็นห่วงครับพี่ซ่าร์
ผมจะดูแลให้เท่าที่จะทำได้” ผมเห็นพี่เขาหน้าตาไม่สบายใจเลยพยายามพูดปลอบใจไป
น้องอันวาท่าทางเลี้ยงง่ายคงไม่ยุ่งยากหรอก จริง ๆ พี่เอย์มันต้องสนิทกับน้องนะ
ขนาดตอนอันวาเข้ามาเห็นหน้ามันยังกระโดดใส่ด้วยความดีใจ ปากนี่เรียกแต่เอตั้นๆ ถึงแม้ว่าพอเห็นบรรดากล่องของขวัญและดอกไม้จะพุ่งตรงเข้าหา
ผมเองก็แอบสงสัยนะทำไมพี่เอย์มันทำท่าขัดใจได้ขนาดนั้น
“แล้วนอนคนเดียวได้ป่ะเนี่ย”
เสียงทุ้มต่ำของพี่เอย์ถามคำถามสิ้นคิดขึ้น
หัวสมองผมลั่นเปรี๊ยะรู้ทันทีว่ามันไม่พอใจเรื่องอะไร
ไอ้คุณชายเด็กเอ๊ย
“ให้อันวานอนกับมึงดิวะ
เด็กยังเล็กๆอยู่เลยจะทิ้งให้นอนคนเดียวได้ยังไง”
พี่ซ่าร์เดินเข้าไปหาพี่เอย์ต่อว่ามันเสียงเขียว
“ไอ้เอย์อย่าให้มันเกินไปนะมึง”
“รู้แล้วๆอย่ามาย้ำมาก
ไปไหนก็ไป ไป ปวดประสาทอยู่ดีๆเอาเด็กมาฝาก ถ้านอนคนเดียวได้อีกเรื่อง”
“พี่เอย์ครับทำไมพูดแบบนั้น”
ผมรีบเดินเข้าไปหามัน แต่พี่ซ่าร์รู้ใจน้องชายมากเลยนะไม่ถือสา พี่เขายกยิ้มมุมปากทำมือกางนิ้วชี้กับนิ้วโป้งออกเป็นรูปปืนแล้วยิงใส่มัน
พี่เอย์รีบผลักพี่ชายตัวเองออก
“กูไปนะ” จบคำพูดพี่ซ่าร์
พี่เอย์ยกขาใส่ทันที
“ไปบอกอันวาก่อนดิ
เดี๋ยวได้ร้องไห้หรอก อย่างน้อยบอกเขาให้เข้าใจ”
พี่ซ่าร์พยักหน้าเดินเข้าไปกระซิบอะไรกันสักอย่าง
อันวาพยักหน้าแล้วตอบรับครับๆๆๆ แก้มกลมถูกขโมยหอมแรงๆจากนั้นพี่เขาก็เดินออกไป
“อ้อปิง”
“ครับ”
พี่ซ่าร์หยุดชะงักที่หน้าบ้าน
“อันวาบางครั้งก็นอนละเมอนะ
ถ้าไงดึกๆปิงช่วยกอดไว้แน่น ๆ ด้วยล่ะ”
“จะไปไหนก็รีบไปเลยไป!”
กล่องอะไรสักอย่างเปล่า ๆ ลอยไปเกือบถูกหัวพี่ซ่าร์ เป็นพี่เอย์มันปาออกไปเอง ผมนี่ได้แต่ส่ายหัว
คุณชายทิ้งตัวนั่งลงที่โซฟา ยกมือเสยๆผม
“เอย์ตั้น
อันนี้อะไร” อันวาปีนขึ้นมาบนตักมัน
หลังเล่นสนุกจนเลอะเทอะหมาบาสกับไอ้วุฒิกำลังทยอยเก็บกล่องของเรียงใหม่เป็นรอบที่ยี่สิบ
“นาฬิกาไง”
“ทำไมนาฬิกามีรูปร่างแบบนี้”
น้องอันวา ชูสิ่งที่อยู่ในมือขึ้นสูง ๆ สายสร้อยห้อยตกลงมาถึงตัก เด็กน้อยปีนเหยียบบนหน้าขาพี่เอย์แล้วพยายามจะกระโดดให้ตัวสูงขึ้นอีก
“นั่งเฉย ๆ
ดิวะ ดื้อนะเราเดี๋ยวนี้”
“เอย์ตั้นดุอันวา”
เจ้าตัวเล็กทำแก้มป่องพองลม ยกสองมือกอดอก ทำท่างอนแต่ก็ยอมนั่งลงบนตักมัน
“ไม่ง้อนะ
บอกไว้ก่อน”
“อันวาจะเล่นกับปิงก็ได้”
เจ้าหนูกระโดดลงมานั่งที่ตักผมทันที รับแทบไม่ทัน
“อันวาเรียกว่าพี่ปิงสิครับ
ไม่ใช่ปิงเฉย ๆ นะ ไม่งั้นก็เรียกคุณอาก็ได้”
ดวงตากลมโตเงยหน้ามองผม
จ้องอยู่นานในที่สุดยืนขึ้นช้า ๆ ราวกับว่าใบหน้าผมเป็นของประหลาดกระทั่งตัวเองยังไม่แน่ใจว่าหน้าผมเป็นอะไร
ทำไมเจ้าเด็กนี่จู่ ๆ ยืนจ้องเอาๆ
“ปิงครับ”
เสียงเล็กเรียกขึ้น
“พี่ปิงครับ”
ผมทวนให้น้องรู้ว่าควรจะเรียกผมแบบนี้ แต่อันวาส่ายหัวแรง ๆ
“ปิง”
น้องเรียกผมอีก แขนเล็กกอดเข้าที่คอ
“ว่ายังไงตัวเล็กหิวแล้วเหรอ”
ผมกะเอาไว้ คิดว่าถึงเวลานี้แล้วน่าจะหิวเดี๋ยวจะพาไปหาแม่กับพี่ขมสองคนนั้นตื่นเต้นแน่
“อันวาง่วงนอน
ปิงพาอันวาไปนอนหน่อย”
“หา!?”
“อันวาง่วง
อยากให้ปิงกล่อมแล้วก็นอนกอด”
“ทะ...ทำไม”
ผมแอบกลอกตาส่องไปที่พี่เอย์ รู้สึกว่ามันนั่งแยกเขี้ยวหน้าเขียวหน้าเหลือง
“อันวาเห็นปิงแล้วคิดถึงมัม
อันวาอยากให้ปิงกล่อมนอน”
ใจผมอ่อนยวบลงทันที
คือตอนแรกก็ไม่เป็นหรอกนะเลี้ยงเด็กน่ะ ยังคิดอยู่ว่าจะพยายามอะไรแบบไหน
แต่พออันวาพูดถึงคุณแม่ของตัวเองแล้วผมนึกสงสารขึ้นมาทันที
ดึงเจ้าตัวเล็กเข้ามากอดแล้วลูบหัว
“ได้สิ
เดี๋ยวคืนนี้พี่ปิงนอนกอด
แต่อันวาต้องไปทานข้าวเย็นกับพี่ปิงพี่บาสพี่วุฒิแล้วก็แด๊ดเอตั้นก่อนนะครับ
หลังจากนั้นเราจะมานอนด้วยกัน”
“ปิงจะเล่านิทานให้อันวาฟังด้วยไหม”
“เล่าสิ”
คืนนั้นเราทั้งหมดไปทานข้าวกันที่บ้านแม่
ทั้งพี่ขมทั้งแม่ตื่นเต้นใหญ่ขอตัวน้องไปนอนด้วยแต่อันวาทำไมถึงติดผมซะเหลือเกินก็ไม่รู้
ขนาดหมาบาสกับไอ้วุฒิบอกจะกลับเด็กน้อยยังไม่สนใจสักนิด บาสมันแกล้งร้องไห้แล้วบอกน้อยใจอันวาไม่รัก
เด็กซนหัวเราะเอิ๊กอ๊ากใหญ่ จนดึกๆเราสามคน
ผมพี่เอย์และอันวาเดินจูงมือกันผ่านรั้วเล็กๆเข้ามาที่บ้านของพี่เอย์
“ไปอาบน้ำนะ
อันวาอาบเองเป็นไหม” ผมเปิดกระเป๋าสไปเดอร์แมนหาผ้าขนหนูและชุดนอนรวมทั้งแป้งเด็ก
พี่ซ่าร์เตรียมให้ดีมาก
“อันวาจะอาบกับปิง
ให้ปิงถูจู๋ให้” เจ้าหนูถอดผ้าถอดผ่อนตัวเองได้เร็วมาก พักเดียวก็อยู่ในชุดวันเกิด
ก้นกลมๆพุงโตๆ ใส่สร้อยข้อมือสี่ขาเลยน่ารักมาก
“เฮ้ย! ให้มันน้อย ๆ
หน่อย” พี่เอย์พูดเสียงดุ
มันเดินไปคว้าเอาผ้าเช็ดตัวของมันแล้วคว้าหมับข้อมือกลมก่อนจูงเข้าห้องน้ำไป
“อาบกับแด๊ดสนุกกว่า
เดี๋ยวให้ดูอะไรดีๆ” ตอนแรกเจ้าอันวาตั้งท่าเบะปากเตรียมจะร้องไห้
แต่พอพี่เอย์บอกว่าจะให้ดูอะไรดีๆ หูเจ้าหนูก็ตั้งขึ้นมาทันที
ปากเล็กๆกับดวงตาซุกซนกลิ้งกลอกอยากรู้อยากเห็นเงยหน้าถาม
“อะไรเหยอ
ดูอะไรครับแด๊ด”
“เอาเหอะน่า
อันนี้น่ะมันต้องแช่น้ำด้วยกันมันถึงจะดูได้”
“งั้นให้ปิงแช่ด้วยไหม
ดูพร้อมกันเลย”
เจ้าหนูชีเปลือยพุงโตผ้าขนหนูหลุดอยู่ตรงทางเข้า ผมนั่งหัวเราะ พี่เอย์เลยชี้ๆบอกว่าผ้าหลุดแล้ว
มือเล็กๆของน้องรีบหอบเอาผ้าผืนของตัวเองขึ้นมาห่อไข่กับกระจู๋ไว้
“ไม่ได้หรอกอันนี้น่ะเป็นความลับ
เรารู้กันแค่สองพอ”
“แต่ว่า...
“ถ้าถามมากเรื่องวันนี้จะให้นอนนอกห้อง
เอาไง”
“ไม่ครับ
อันวาไม่ถามมาก อันวาจะแช่น้ำกับแด๊ด” น้องอันวาส่ายหน้าแรง ๆ
พี่เอย์มันทำให้เด็กกลัวได้ตลอดจริง ๆ ผมชี้หน้ามัน ก่อนที่สองพ่อลูกจะเดินเข้าไป
“เดี๋ยวจะทำให้ดูว่าหนอนเล็กกับหนอนใหญ่มันต่างกันยังไง”
อิพี่เอย์นิสัยเลว ดูมันสอนลูกผิดๆถูกๆ
ผมนี่อยากจะเดินไปบีบคอมันนักแต่มองสภาพห้องตอนนี้แล้วเหนื่อยใจ เก็บ ๆ ๆอะไรให้เข้าที่แล้วหยิบผ้าเช็ดตัวของตัวเองเดินออกไปอาบน้ำที่ห้องด้านนอก
พอเข้ามาสองพ่อลูกยังไม่ออกมากันอีก
แต่ชุดนอนของน้องที่ผมวางเตรียมไว้ให้กับกระป๋องแป้งเด็กหายไปแล้ว แสดงว่าเจ้าตัวดีกำลังถูกจับแต่งตัวอยู่ในห้องน้ำ
ผมหยิบหนังสือเกี่ยวกับซอฟแวร์ที่อ่านประจำขึ้นมาเปิดๆฆ่าเวลานอนอ่านอยู่บนเตียง
เสียงห้องน้ำเปิดออกมาพร้อมกับเจ้าหนูหน้าขาว ๆ ในชุดนอนลายการ์ตูนบาร์บี้สีฟ้าที่ทำให้ผมถึงกับแอบขำ ทรงผมเรียบแปล้วิ่งถลาหน้าตั้งออกมาหา
“ปิง! ปิง! ปิงแย่แล้วๆ”
น้ำเสียงนี่แบบตื่นเต้นมากปีนขึ้นเตียงมาหาผม
“อะไรครับอันวาเป็นอะไร”
ผมลุกขึ้นถามจับน้องมานั่งบนตัก
พี่เอย์มันนุ่งผ้าเช็ดตัวออกมาจัดการสวมชุดนอนของตัวเอง
“หนอนยักษ์ล่ะ
หนอนยักษ์อยู่ในอ่าง อันวาเห็นมันมุดน้ำอยู่ในอ่างอันวากลัวมากเลย ตอนเอย์ตั้นกอดไว้มันยังอยู่แถว
ๆ ขาแด๊ดเลย”
ผมแทบจะบอกความรู้สึกตัวเองไม่ถูกหลังจากได้ยินประโยคนี้ของเจ้าหนู
พี่เอย์มันขำพรืดแน่ ๆ เกาะตู้ผ้ายืนหัวเราะจนไหล่สั่น
ดู๊ดูมันเล่นแกล้งอะไรลูกชายแบบแปลกๆ
“อันวาน่ะ
ไม่เคยพบเคยเห็นแบบนี้มาก่อนเลยครับ หนอนอะไรทำไมมันมาอยู่ใต้น้ำ มันตัวใหญ่ๆเท่ากับข้อมือของอันวาเลย
ยืดๆหดๆแล้วมันก็พยักหน้าผงกหัวได้ อันวากลัว” เจ้าหนูยกมือโชว์ขนาดของหนอนแล้ว โผเข้ามกอดคอผมรัดไว้จนตัวเซ
ผมได้แต่ลูบหลังเล็กๆปลอบใจ
“ไม่กลัวหรอกครับ
เดี๋ยวพี่ปิงจัดการให้ อันวาไม่ต้องกลัวอะไรเลย”
“ปิงจะไปกำจัดหนอนเหรอ”
“ใช่
เดี๋ยวพี่ปิงกำจัดให้เอง”
“มันอยู่ในห้องน้ำล่ะ
อยู่ในอ่าง”
“อ่าได้
เดี๋ยวเดินไปกำจัดให้เดี๋ยวนี้เลย” ผมแกล้งเดินเข้าห้องน้ำแล้วจิ้มกดโถชักโครก
เสร็จแล้วก็เดินกลับออกมา เจ้าหนูอันวายิ้มหน้าบาน แป้งเด็กที่ทาเล่นเอาหน้าหนุ่มหล่อน่ารักหน้าชังขึ้นอีกเป็นกอง
“เรียบร้อยครับ
พี่ปิงกำจัดให้แล้ว” ผมเดินผ่านพี่เอย์แอบหยิกพุงมันแรง ๆ
หนึ่งทีเจอมันเตะขามาเกือบล้มผมเลยถลึงตาใส่มัน พี่เอย์เดินมาทิ้งตัวลงนอนที่เตียง
ขณะที่เจ้าหนูรีบปีนลงจากเตียงวิ่งไปที่กระเป๋าของตัวเองเปิดซิบหยิบอะไรบางอย่างออกมา
“ปิงครับๆ
อันวาง่วงแย้วจะให้ปิงกอดพาเข้านอน” เจ้าหัวทุยๆผมสีน้ำตาลประบ่าหน้าตาเหมือนกับพี่เอย์เปี๊ยบวิ่งจ้าเข้ามาหาอีกครั้ง
มือเล็กหนีบหนังสือนิทานเล่มบาง พยายามปีนขึ้นเตียงเป็นครั้งที่เท่าไหร่ผมก็จำไม่ได้
“น้องอันวาเรียกว่าพี่ปิงสิครับ
ไม่งั้นก็เรียกว่าอาปิง” ผมที่เพิ่งสังเกตว่าเจ้าหนูติดกระดุมผิดเม็ด
จึงเอื้อมมือไปติดกระดุมเสื้อชุดนอนให้ใหม่ ท่าทางยังแต่งตัวไม่เรียบร้อย
แต่เอ๊ะเมื่อกี้พี่เอย์มันอาบน้ำกับน้อง
อย่าบอกนะว่าปล่อยให้น้องอันวาแต่งตัวปะแป้งเองโดยที่มันยืนมองเฉย ๆ
มิน่าล่ะแป้งถึงได้เต็มแก้มกลมๆแบบนั้น
หมาน้อยส่ายหน้างุดๆ
เอาหัวหนุนซุกลงที่ตักผม “ไม่เอา
อันวาไม่เรียกเดี๋ยวปีหน้าอันวาก็สูงกว่าปิงแล้ว”
“เด็กดื้อมานอนนี่มา
ต้องเรียกพี่ปิงนะรู้ไหมอย่าให้ต้องพูดหลายทีอันวากี่ขวบแล้วครับ”
“ไม่เอา
อันวาไม่เรียก” เจ้าหนูเบะปากขณะที่ผมทำหน้าดุใส่
“ถ้าอันวาทำตัวไม่น่ารัก
พี่ปิงจะไม่กอดนะ” ผมตบลงที่หมอนบอกให้มานอนที่ตรงนี้ข้าง ๆ ผม
พี่เอย์มันลงทุนนะปกติเตียงวางอยู่กลางห้องใช่ไหม มันเลื่อนไปจนชิดผนังแล้วจัดที่นอนให้อันวาอยู่ริมสุด
ถัดจากนั้นให้เป็นผมแล้วมันนอนด้านนอก เราขึ้นนอนเรียงกันตามลำดับ
“อันวาน่ายัก
ให้ปิงกอดๆๆ อุ้มๆๆ งื้ออออ ปิงอย่าทำหน้าแบบนั้นอันวาน่ายัก อันวาง่วงแย้วว”
น้องปีนเข้ามาแทรกตรงกลางระหว่างผมกับพี่เอย์
คุณชายนี่ฮึดฮัดขัดใจมากมันที่ซุกหลังผมอยู่ต้องเอามือที่กอดเอวผมไว้ใต้ผ้าห่มออก
“โอ๋ๆครับๆ
อันวาจะนอนตรงนี้เหรอ จะนอนตรงกลางใช่ไหม” ผมขยับให้น้องนอนดี ๆ
“อันวาจะนอนตรงนี้
ข้าง ๆ ปิงกับแด๊ด” เจ้าหนูพลิกตัวเข้าไปหาพี่เอย์หัวเล็กๆซุกลงที่อกกว้าง
“แด๊ดดี้เอย์ตั้น
เล่านิทานให้อันวาฟังหน่อยคราบ อันวาอยากจะฟังเรื่องลูกหมูฉามตัว”
“เด็กดีต้องนอนแต่หัวค่ำ
อันวาเป็นผู้ชาย ผู้ชายเก่ง ๆ เขานอนติดผนัง และไม่ฟังนิทานก่อนนอนด้วยนะ” เสียงทุ้มว่าขึ้นอย่างดุๆ เจ้าอันวาผงกหัวขึ้นมอง
“แต่แด๊ดดี้เอตั้นก็ไม่นอนติดผนัง
เอย์ตั้นไม่เก่งเหรอ”
“แด๊ดเก็บที่เก่งๆไว้ให้อันวาไง
อันวาเก่งไม่นอนกอดพี่ปิงนะ อันวาต้องนอนกอดตุ๊กตาหมีแทน อ่ะ เอาเจ้านี่ไปกอด”
มันส่งตุ๊กตาหมียัดให้น้อง พี่เอย์แย่มากสอนหลานผิดๆถูกๆ
อันวาจ้องมันนิ่งเหมือนพ่อลูกกำลังส่งสายตาอะไรกันสักอย่าง ก่อนน้องจะปีนข้ามผมกลับไปนอนที่ตัวเองแล้วเรียบร้อย
“ดีมากเด็กดีแบบนี้สิถึงจะเก่ง”
ผมได้ยินเสียงมันแอบหัวเราะอยู่ด้านหลัง พี่เอย์แกล้งเด็กได้เนียนมากจริง ๆ
ผมส่ายหัวเลย
“อันวาเก่งต่อไปอันวาโตขึ้นอันวาจะปูแลปิงนะ
อันวายักปิง ปิงยักอันวาไหม” เจ้าตัวอ้วนสุดหล่อเอาขาก่ายหมีแต่หันหน้ามาซุกอกผมแทน
ใบหน้าเล็กๆช้อนสายตาขึ้นมองด้วยแววตาเจ้าเล่ห์มากๆ
แววตาที่เหมือนกับเวลาที่พี่เอย์มันอ้อน....บ้าชะมัด! นี่ถ้าบอกว่าน้องเป็นลูกมันนี่ผมโคตรจะเชื่อเลยนะ
“ดูแล
ไม่ใช่ปูแล” ผมแย้งขึ้น อยากจะดีดกะโหลกเล็กๆไปสักทีหมั่นเขี้ยว แต่กลัวน้องเจ็บเลยพาดมือกลับมาฟาดลงที่หลังพี่เอย์แทนรายนั้นบ่นงึมงำอะไรสักอย่างไม่ได้สรรพอยู่ข้างหลัง
“นั่นแหละปิงบอกก่อน
ปิงยักอันวาไหม” เจ้าหนูอ้อนต่อ
“รักสิครับ
ทำไมจะไม่รักล่ะอันวาเด็กดี”
“มัมเคยบอกว่าอันวาหล่อเหมือนแด๊ดเอย์ตั้น ปิงยักอันวาใช่ไหม ยักใช่ไหมคร๊าบ”
“ครับๆ รักๆ”
“จิ๊! น่ารำคาญว่ะ
เมื่อไหร่จะนอนวะเด็กอะไรพูดมากชะมัด”
เสียงพี่เอย์มันบ่นดังขึ้นจนผมจับใจความได้ มีแกล้งจับมือน้องที่กอดผมอยู่ออก
พออันวากอดมาใหม่มันก็จับออกอีก ทำแบบนี้สี่ห้าครั้งจนอันวาเบะปากทำท่าจะร้องไห้มันเลยหน้าเสียจับมือน้องมากอดผมไว้ใหม่อีกครั้งด้วยตัวเอง
“เออๆๆ
อย่าร้องๆ” คุณชายเริ่มรน ผมแอบขำ มันทำหน้าไม่ถูก
“แด๊ดนิฉัยไม่ดี”
“อันวานอนได้แล้วครับดึกแล้ว
เดี๋ยวพี่ปิงเล่านิทานเลยนะ วันนี้จะเล่าเรื่องยักษ์กินคนดีไหม อืมม ยังไงดีน๊าาา กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว........
ปากเล็กๆอมยิ้ม
ฟังไปหัวเราะไปคิกคักบางครั้งก็ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้สักพักกลับมาหัวเราะอีก
คงกำลังจินตนาการอะไรอยู่สักอย่าง ในที่สุดหน้าตาที่เหมือนกับพี่เอย์อย่างกับฝาแฝด
ตะกุยตะกายขึ้นมาหาจูบลงที่แก้มผมแล้วเอาจมูกมาชนๆก่อนเลื่อนไถลลงไปนอนหลับตาอ้าปากสบายใจอยู่ที่หมอนของตัวเอง
เช้าวันต่อมา
ทั้งผมทั้งพี่เอย์กำลังเผชิญกับเจ้าหนูจำไมระดับโลก
บรรดาคำถามมากมายหลายสิบส่งต่อจากปากน้อย ๆ เจื้อยแจ้วออกมาแต่เช้า น้องอันวาตื่นตั้งแต่ผมกับพี่เอย์กำลังจะแอบเล่นจ้ำจี้กัน
ตัวมันขึ้นคร่อมผมแล้วเรียบร้อย จมูกโด่งกำลังซุกอยู่ที่ซอกคอ
เราสองคนเคลื่อนที่ขยับมาจนถึงขอบเตียง ผ้าห่มผืนโตๆห่มเราไว้เสียมิด
มันช่างดูเย้ายวนและเคลิบเคลิ้มกับรสจูบและการเล้าโลมจนทั้งผมทั้งมันกลิ้งตกลงข้างเตียงกันทั้งคู่
พี่เอย์มันเห็นว่าจุดนี้ปลอดสายตาเด็กดีเลยจะจัดหนักขณะที่ผมเองก็บอกให้มันหยุดรุ่มร่ามเสียที
ในขณะนั้นเองเสียงเล็กๆที่ไม่คาดคิดก็ดังสะท้อนกังวานขึ้นภายใต้ความมืด
“แด๊ดนิสัยไม่ดี
รังแกปิงทำไมน่ะ อึ๊บๆ ขึ้นมาเลยนะ ไปนอนทับปิงไว้แบบนั้นเดี๋ยวหายใจไม่ออกหรอก”
เจ้าหนูปีนลงเตียงมาผลักๆพี่เอย์ออก แล้วจูงผมขึ้นไปนอน ใบหน้าเล็กซุกลงที่อกแล้วหลับไม่รู้เรื่องต่อไป
พี่เอย์มันฉุนจนสุดลุกขึ้นเสยๆๆผมอย่างอารมณ์เสีย ก่อนคว้าเอาผ้าขนหนูเดินเข้าห้องน้ำแล้วออกมานอนบ่นอะไรของมันจนหลับ
แล้วพอตอนเช้า
“แด๊ดครับทำไมปิงบอกว่าตู้เย็นบ้านเราอยู่กับคุณยาศรีอันวาไปเปิดดูบ้านเรามีแต่ขวดน้ำ
บ้านคุณย่าศรีขนมเต็มเลย”
“แด๊ดครับ
ทำไมอันวาต้องทนกินข้าวจนหมดจานทั้งที่อันวาไม่ชอบสักกะนิด”
“แด๊ดครับทำไมคนๆนั้นต้องใส่แว่นไว้ที่หน้าตลอดเวลา
ถ้าถอดแล้วจะมองไม่เห็นเหรอ” (คำถามนี้คุณภีมถึงกับกุมขมับ)
อื่นๆอีกมากมายจนมาถึงคำถามสุดท้าย
“แด๊ดครับ
ทำไมอันวาถึงอยู่กับแด๊ดไม่ได้ ทำไมต้องไปทำงานกับปิง??”
บนถนนที่คลาคล่ำไปด้วยบรรดารถ
ชั่วโมงเร่งด่วนแบบนี้ขนาดพี่เอย์เลี่ยงใช้เส้นทางเล็กๆเพื่อไปส่งผมที่ออฟฟิศ สถานการณ์จราจรยังสุดแสนจะย่ำแย่
เราใช้เวลากว่าชั่วโมงถึงจะฝ่ามาถึงออฟฟิศผมได้
“วันนี้แด๊ดมีนัดกับลูกค้า
อันวาต้องทำงานช่วยพี่ปิงนะ เดี๋ยวเย็นๆจะมารับแล้วเราสามคนไปกินไอศรีมกัน” พี่เอย์จอดรถลงแล้วหันมาเชยคางเจ้าตัวเล็ก
สองพ่อลูกกำลังสบสายตากัน
“เข้าใจนะ ไอศครีมตอนเย็นท่องไว้”
“ครับผม
แด๊ดสัญญาแล้ว เย้ๆๆๆ ไอศครีม”
“งั้นก็ลงไปได้แล้วเจ้าตัวดื้อ”
พี่เอย์ส่ายหน้า ผมส่งยิ้มไปให้มือใหญ่ขยี้หัวเล็กแล้วส่งมาที่หัวผมต่อvudmu
“เย็นๆกูมารับ”
“ครับพี่เอย์”
ผมจูงเจ้าหนูที่มือนึงถือถุงพลาสิกใส่ของเล่นเดินก้าวขึ้นบันไดด้านหน้า
เจอพนักงานหลายคนเริ่มทยอยกันเข้ามาทำงาน มียกมือสวัสดีทักทาย
“ต๊ายยยย
น่ารักจังเลยค่ะ เด็กที่ไหนเนี่ย โอ๊ยยยป้าจะเป็นลม ทำไมหนูหล่อจังเลยลูก”
พี่เตือนฝ่ายบัญชีกำลังเดินเอาน้ำออกมารดต้นไม้
เธออดไม่ได้ที่จะแวะมาจับแก้มเจ้าหนู
“อันวาสวัสดีคุณป้าครับ”
ผมบอกพร้อมปล่อยมือน้องออก น้องอันว่าน่ารักมากยกมือไหว้อย่างสวยเชียว
บางทีก็อดคิดไม่ได้นะว่าคุณนานะเธอสอนลูกดีมาก น้องอันวามารยาทดี ไหว้สวย
พูดจาภาษาไทยชัดเจน ผมเคยลองพูดกับน้องเป็นภาษาอังกฤษ อันวาก็ตอบเป็นอังกฤษทั้งหมด
แบบนี้ผมจึงชอบดีมากๆที่ไม่ใช่ไทยคำฝรั่งคำ
“หนูหล่อมากลูก
เข้าไปข้างในกับป้าป่ะ” เธออาสาจูงอันวาเข้าไป
ประกอบกับโทรศัพท์ผมดังเลยเอาออกมากดรับ ปล่อยน้องเข้าไปด้านในก่อน
แต่ขณะที่กำลังคุยอยู่ได้ไม่ทันวางสาย
เจ้าหนูวิ่งหน้าตาตื่นออกมาหา ในมือชูถุงพลาสติกที่ใส่ของเล่นมาจากบ้านขึ้นสูงจนสุดแขน
ขนาดนั้นก็ยังจะลากกับพื้น
“ปิง! ปิง! หนีเร็วๆ”
เสียงเล็กๆกับท่าทางเหมือนวิ่งหนีอะไรมาสุดชีวิต เจ้าหนูทิ้งถุงแล้วโดดโผเข้าหาผมทันที
ผมสอดมือรับมาอุ้มไว้โดยอัตโนมัติ
“ปิงๆหนีเร็ว
วิ่งๆๆ”
“อันวาเป็นอะไรครับ
กลัวอะไรน่ะหนีอะไรมา” มือเล็กกอดคอผมจนแน่นซุกหน้าเข้าที่ไหล่เบะปากทำท่าจะร้องไห้
“ปิงหนีเร็ว
ๆ ยักษ์มา ยักษ์มาแล้ว”
“ยักษ์ที่ไหน”
ผมเดินอุ้มเจ้าหนูเข้าไปด้านใน พี่เตือนเดินสวนออกมาพอดีดูเธอโล่งใจ
เพราะตะกี้อันวาคงสะบัดแขนเธอแล้ววิ่งหนีออกมา
“อันวาลงครับ
ไม่มียักษ์นะดูดี ๆ ที่นี่มีแต่สาว ๆ สวยๆทั้งนั้นเลยสวัสดีพี่ๆก่อนเร็ว”
ผมหลอกล่อให้น้องหันมา กว่าเจ้าตัวเล็กจะยอมผมอุ้มจนเมื่อยไปหมด
ในที่สุดพอหันมาเจอสาวสวยที่เดินออกมาหยิบเอกสารที่เคาน์เตอร์เจ้าอันวารัดคอผมแน่นสุดก่อนจะโหนตัวลงที่พื้น
“พี่สาวครับ
พี่คนสวย”
“ว่าไงจ๊ะหนุ่มน้อย”
“อันวาง่วงนอนพาไปนอนหน่อย”
เสียงหัวเราะดังกันทั้งออฟฟิศ
น้องอันวาเจ้าชู้มากจริง ๆ ถ้าชอบใครเข้าล่ะก็ชวนเข้านอนลูกเดียว ผมวางกระเป๋าสะพายลงที่โต๊ะปล่อยเจ้าตัวเล็กวิ่งเล่น
หน้าตาท่าทางเหมือนกำลังมองหาใครสักคนอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
สักพักพี่เชนเดินออกมาจากด้านใน
“สายนะมึง”
มือใหญ่ผลักหัวผมเบา ๆทักทาย
“โหยพี่
รบกับเด็กเนี่ย”
“รบกับเด็กหรือรบกับผู้ใหญ่เอาให้แน่”
“เด็กครับเด็ก
อย่ามาแซวกันนักเลย”
ผมกำลังแปลกใจ
คิดว่าอันวาคงเป็นอะไรสักอย่าง
น้องเข้ามากอดผมทันทีที่พี่เชนหย่อนก้นนั่งลงที่โต๊ะตัวข้าง ๆ โดยมีกาแฟสีเข้มจัด ถูกวางลงบนโต๊ะด้วย
อันวามองพี่เชนตลอดทำหน้าแบบกล้า ๆ กลัว ๆ
“ไงเราเจอกันอีกแล้วนะ”
พี่เชนก้มลงทักเจ้าตัวเล็ก
อันวายกสองมือปิดหูแล้วส่ายหน้าแรง ๆ แลบลิ้นปลิ้นตาใส่พี่เชนแต่รายนั้นทักแล้วก็แล้วกันไปไม่ได้ใส่ใจอะไรต่อ
“มึงกินป่ะ
ไปชงดิวะ” พี่เชนมองหน้าผม
“ดีเหมือนกันพี่
เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับเลย”
“ก็บอกแล้ว
มัวแต่รบกับผู้ใหญ่มันก็ลำบากหน่อยแหละ”
ผมเตะขาไปยันเก้าอี้พี่เชนทันที
ไม่ค่อยถนัดนักเพราะติดเจ้าเด็กอ้วน
“อย่ามาว่าแต่ผมเลย
ไม่ใช่ว่าเมื่อคืนพี่ซ่าร์เขามานอนค้างที่นี่เรอะ”
สายตาเรียวดำสนิทคมกริบแวววาว
ปราดมองมาที่ผมทันที ผมแสยะยิ้มใส่เจอท่านพี่ชี้หน้ากลับมา
กำลังจะลุกขึ้นไปชงกาแฟกินบ้างแต่ติดเจ้าเด็กน้อยซุกตักไว้ไม่ยอมปล่อย
“อันวากลัวอะไรครับ
ไปเล่นกับพี่คนสวย ๆ โน่นไป เดี๋ยวพี่ปิงกินกาแฟเสร็จแล้วจะทำงาน อันวาเอาของเล่นมาเล่นรอนะครับ”
อันวาทำปากยื่นปากยาว
ส่ายหน้าแรง ๆ อีกครั้ง ผมกำลังจะก้มลงไปพูดกล่อมพอดีว่าน้องพนักงานที่มาฝึกงานเดินผ่านมา
เธอเลยเรียกเจ้าหมูอ้วนไปเล่นด้วย อันวาพอเห็นคนสวยมาเรียกก็คงลืมอะไรบางอย่าง
วิ่งหน้าตั้งออกไปกอดช่วงขาเรียวยาวของเธอทันที
“อันวาง่วงนอน”
เสียงเล็กเจื้อยแจ้ว ผมนี่ส่ายหัวเลย
เวลาผ่านไปไม่เร็วนัก
ช่วงเที่ยงเราสั่งข้าวผัดมาทานกัน เจ้าเด็กดื้อกินง่ายแถมยังซนไม่เปลี่ยน
วิ่งเล่นไปมาอยู่ห่าง ๆ จากผมและพี่เชน แต่สายตานี่เฝ้าจดจ้องมองผมไว้ราวกับกลัวว่าจะหายไปไหน เจ้าหนูเล่นไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยจนกระทั่งเย็น
พนักงานเริ่มทยอยกันกลับ ไม่มีอะไรที่น่าดึงดูดใจอีกแล้ว ผมเห็นเจ้าหนูไปยืนโบกมือบ๊ายบายพี่สาวคนสวย
จากนั้นก็เข้ามากอดซุกเอวผม
“อันวาง่วงรึเปล่า
วันนี้ยังไม่ได้นอนเลยนี่” ผมเริ่มนึกถึงเรื่องที่พี่ซ่าร์บอก
น้องอันวาต้องนอนกลางวัน แต่วันนี้คงตื่นเต้นพอๆกับแปลกที่เลยตาสว่างตั้งแต่เช้า
“ไม่ครับ อันวาไม่ง่วงอันวาจะดูปิงทำงาน
อันจะเฝ้า”
“เฝ้าอะไร
พี่ปิงไม่หายไปไหนหรอก”
“ไม่
อันวาจะเฝ้า”
ผมก็ปล่อยไป
ทำงานเขียนโปรแกรมอะไรของผมไปเรื่อย ตอนนี้เหลือแค่ผมกับพี่เชนและน้องพนักงานผู้ชายอีกสองคนเท่านั้น
แล้วท่าทางก็กำลังจะกลับกันทั้งคู่
พี่เชนคงอยากจะได้อะไรสักอย่างลุกขึ้นเดินเข้ามาหาผมแล้วเอื้อมมือข้ามหัวไปหยิบของที่วางอยู่ที่โต๊ะตัวต่อไป
เพี๊ยะ!!!
“โอ๊ย!! อะไรกันวะเนี่ย”
เพี๊ยะ!! เพี๊ยะ!!!
“เฮ้ย! อะไรนักหนาไอ้เด็กเวรนี่”
ทั้งพี่เชนทั้งผมตกใจไม่ต่างกัน แต่พี่เชนคงตกใจกว่าสบถคำออกมาเสียงดังมาก
ก็เพราะจู่ ๆ อันวาไปลากเอาไม้บรรทัดเหล็กอันยาว ๆ ของใครสักคนแถว ๆ นั้นมาฟาดลงที่กลางก้นพี่แกอย่างดัง
ผมรีบลุกขึ้นยืน
“ไอ้ลุงยักษ์
ไอ้คนนิสัยไม่ดี แย่ที่สุดอย่ามาตะโกนใส่ผมนะ”
เสียงเล็กๆแว๊ดกลับ
หลังจากปีนขึ้นมายืนอยู่ที่เก้าอี้ผม พยายามจะให้ตัวสูงเท่ากันกับพี่เชนมั้งนะ
แต่ดูท่าเก้าอี้ที่มันหมุนได้แบบนี้จะทำให้การยืนของน้องไม่มั่นคงเท่าไหร่
อันวาทำท่าเหมือนกับจะตกลงไป
“ทำไม! มีปัญหาเรอะ!?” พี่เชนสอดสองมือเข้ามาอุ้มหนูน้อยลงมาจากเก้าอี้ทันทีแต่อันวาดิ้นๆๆรัดคอแล้วกัดลงไปที่ไหล่จนพี่เชนวางลงแทบไม่ทัน
“บ้าเอ๊ย เด็กบ้าอะไร
โอ๊ย..เจ็บนะเนี่ย” พี่เชนยกมือขึ้นลูบรอยกัด
“เจ็บให้ตายไปเลยอันวาเกลียดยักษ์!”
“ยักษ์อะไร
แกพูดอะไรไอ้เด็กบ้า” พี่ผมฟิวส์ขาด พี่เชนเวลาหลุดแล้วน่ากลัวพอๆกับพี่เอย์เลยนะ
“ผมบอกว่าอย่ามาตะโกนใส่ผม!” น้องอันวายกสองมือปิดหูแล้วส่ายหน้าแรง ๆ อีกครั้ง
พี่เชนนี่ขบฟันแล้ว ท่าทางพี่แกโมโหมาก
ผมนี่ยืนเซ่อไปเลยไม่รู้อันวาเป็นอะไรดูไม่ถูกชะตากับพี่เชนตั้งแต่วิ่งเข้ามาแล้ว พลางนึกขึ้นได้ในทันทีตอนที่อันวาวิ่งถลาออกไปหาผมด้านนอกพร้อมกับบอกว่าให้หนีมียักษ์อยู่ข้างในคงเห็นพี่เชนแน่
ๆ จะว่าไปพี่เชนกับพี่เอย์ก็ตัวเท่ากันนะ
ทำไมถึงพูดว่าพี่เชนเป็นยักษ์??
“ทำไม
มีปัญหาเรอะ!?”
“ผั๊วะ!!”
คราวนี้พี่เชนหน้าเงิบไปข้างหลังทันทีที่คำว่า
‘มีปัญหาเรอะ’ หลุดออกมาจากปาก
เจ้าอันวาประเคนตลับใส่แผ่นดีสก์ปาหัวพี่ท่านอย่างแรง ไม่อยากจะบอกว่ามันตรงเผงลงที่กลางหน้าผากเลย
พี่เชนแพ้แล้วเพราะหลบไม่ทัน พี่เขายกมือนวดที่หว่างคิ้ว
อันวารีบวิ่งแจ้นเข้ามาเกาะอยู่ขาผมแล้วช้อนสายตาอ้อน
“ปิง อุ้มๆ”
ผมที่กำลังยืนงงอยู่กับเหตุการณ์สุดระทึกถึงกับเพิ่งตั้งสติได้เมื่อเสียงเล็กๆเรียกขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง
“ปิง อุ้มๆ”
หมาน้อยเบะปากกำลังจะร้องไห้
ผมตั้งสติได้รีบอุ้มน้องขึ้นมาทันที
“อันวาจะกลับบ้านอันวาคิดถึงแด๊ด
อันวาจะหาเอย์ตั้น”
“อันวาไม่งอแงนะครับ
ตอนนี้แด๊ดกำลังทำงาน พี่ปิงก็กำลังทำงาน อันวาเด็กดีต้องรอก่อนนะ
เดี๋ยวแด๊ดก็มารับแล้ว เราสามคนจะได้ไปกินไอติมกันไงเนาะ”
ผมหลอกล่อบอกน้องขณะที่มองหัวโน
ๆ ของพี่เชนไปด้วย รายนั้นท่าทางจะปลง นั่งแยกเขี้ยวข่มอารมณ์อยู่ที่เก้าอี้
“อันวาไปดูซิ
อาเชนเจ็บหัวนะนั่น อันวาเป็นคนทำไม่ใช่เหรอ ไปเป่าให้หน่อยเร๊ว” ผมจะวางเจ้าตัวเล็กลง
แต่แขนกลมกอดคอผมไว้จนแน่น ส่ายหน้าแรง ๆ อีกครั้ง เบะปากคล้ายคนจะร้องไห้
“อันวาจะกลับตอนนี้”
น้ำเสียงเริ่มเปลี่ยน ผมนี่ใจหายวาบเลย
ถ้าเกิดร้องไห้จ้าขึ้นมานี่ผมทำอะไรไม่ถูกจริง ๆ นะ ต้องพยายามหาเหตุผล
ผมเชื่อนะเด็กเขาก็น่าจะมีเหตุผลของเขาและเข้าใจเหตุผลของเราอยู่
“ยังกลับตอนนี้ไม่ได้
แล้วงานพี่ปิงล่ะ”
“อันวา.....”
เจ้าหนูเสียงอ่อย
แขนเล็กยังกอดคอผมแน่นเหมือนเดิม แต่น้องซบใบหน้าลงที่ไหล่ ตาปรือๆ
ผมคิดอยู่แล้วว่าอันวาคงง่วงนอน เลยพาอุ้มเดินช้า ๆ แล้วตบตูบให้เบา ๆ
คือน้องก็ไม่ได้ตัวเล็กนะ แขนผมนี่ปวดและชาไปหมด พี่เชนเดินเข้ามาหาชี้บอกให้วางน้องลงที่โซฟา
ผมจะทำตามแต่เสียงเจ้าตัวเล็กงอแงขึ้นอีกผมเลยต้องอุ้มแล้วตบตูดต่อไปทั้งที่แขนนี่ล้าไปหมดแล้ว
พี่เชนเดินหายขึ้นไปชั้นบนสักพักเดินกลับลงมาพร้อมกับหมอนและผ้าห่ม
แขนอีกข้างหนีบตุ๊กตาปลานีโม่ตัวใหญ่ซึ่งผมเองก็ไม่รู้ว่าพี่ท่านไปเอามาจากที่ไหน
สีออกส้มตุ่น ๆเลยคิดไปว่าน่าจะเป็นของที่พี่เชนใช้กอดอยู่เป็นประจำ
“เอามานอนตรงนี้มา”
พี่เชนจัดหมอนจัดผ้าห่มแล้วตบลงที่โซฟาพยักหน้าเรียก
“ไม่เป็นไรพี่เดี๋ยวผมอุ้มนอนก็ได้”
ผมกลัวอันวาจะตื่นอีก ไม่อยากให้ร้องไห้
ผมแพ้เสียงเด็กร้องไห้กับผู้หญิงร้องไห้มากๆนะคุณรู้ยัง
คือขออะไรได้หมดอ่ะถ้าเป็นช่วงเวลาแบบนั้น ผมค่อนข้างใจอ่อน
“ดื้อนักนะมึง
อย่าให้ต้องพูดมากเหมือนเด็กๆ”
พี่เขาสอดสองแขนเข้ามาอุ้มน้องออกไปวางลงบนที่นอนที่เตรียมไว้ทันที
ตอนที่อันวาขยับคล้ายจะร้องไห้ เจ้าตุ๊กตาปลาตัวใหญ่ก็ถูกยัดเข้าไปไว้ที่อก
เจ้าหนูกอดพาดแขนขาแล้วอมยิ้มที่มุมปาก ผมเองเห็นแบบนั้นก็อดยิ้มบางออกมาไม่ได้
“มึงเองก็นอนด้วยสิ
เดี๋ยวตื่นมาไม่เห็นก็โวยวายอีก”
คราวนี้ถึงทีผมส่ายหน้าบ้าง
ความจริงอยากจะส่ายแรง ๆ เหมือนเจ้าอันวาอยู่เหมือนกัน คิดอีกทีอย่าดีกว่า
ผู้ใหญ่ทำมันไม่น่ารักหรอก
“นอนลงไป”
พี่เชนก้าวเข้ามาแล้วกดไหล่ผมลง
“อย่าสิ”
ผมใช้มือปัดแขนพี่เขาออก
“อย่าดื้อมากปิง
ดูตามึงซิแดงขนาดนี้แล้วแสดงว่าเมื่อคืนนี่ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่กวนทั้งคืนเลยใช่ไหม”
“เปล่า
ไม่ใช่สักหน่อย”
“นอนเถอะ เดี๋ยวมันมารับแล้วกูจะปลุก
นอนไปซะ”
คราวนี้ผมยอมนอนลงแต่โดยดี
ต่อกรกับทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่นี่ทำผมล้าไปหมด พี่เชนจับผ้าห่มขึ้นมาห่มให้จนชิดอก
ทั้งผมทั้งอันวาตอนนี้เลยดูเหมือนคู่หูที่ตกระกำลำบากมานอนหลับอยู่ที่โซฟาตัวยาว ๆ
ดีนะที่เบาะมันกว้างหน่อย ไม่อย่างนั้นคงได้เบียดจนใครสักคนตกพื้นไปแล้ว
พี่เชนเดินไปเอาโน้ตบุ๊คมาเปิดแล้วนั่งลงที่พื้น
เอนหลังมาพิงไว้ข้าง ๆ พวกเรา
บางที....ผมก็รู้สึกนะว่า
ทำไมพี่เขาถึงได้ใจดีกับผมมากมายขนาดนี้
Tbc.