***ตอนพิเศษ วันลอยกระทง***
-พฤศจิกายนปีที่แล้ว-
เย็นวันนั้นเรามาเดินซื้อของกันที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต
“พี่เอย์กินอันนี้ไหมครับ” ผมประคองกล้วยหอมแบบแปลกๆ
ขึ้นมาให้พี่เขาดู พี่เอย์หันมายิ้ม มันกำลังสนอกสนใจเลือกมะเขือเทศออสเตรเลียที่เพิ่งมาลงใหม่
“อะไร? ทำไมมันเป็นแบบนั้น
หวีเล็กจัง”
“อันนี้เป็นกล้วยหอมแบบธรรมชาติค่ะ
เราปลูกไว้ที่สวนของพืชผักสวนครัว ปล่อยให้มันเจริญเติบโตเอง
ถึงหวีจะเล็กไปหน่อยแต่อร่อยมากเลยนะคะ” พนักงานสาวเขาแนะนำ
“กล้วยหอมธรรมชาติเหรอครับ?” ผมทวนคำถาม
“ใช่ค่ะ
ปลูกแบบธรรมชาติไม่ใช้ยาฆ่าแมลงหรือสารเคมีเลย”
“พี่ลองกินดูไหมครับ
ผมว่าท่าทางอร่อยนะ หวีไม่ใหญ่มากน่ารักดี” ผมหันไปถาม พี่เอย์ขยับเข้ามาหาผม
“สักสองหวีดีไหมคะ”
พนักงานประคองส่งให้เรา พี่เอย์ใช้สองมือรับมาเลยนะ มันน่ะกินเป็นอยู่แค่ไม่กี่อย่างกล้วยหอมก็ถือว่าเป็นของที่มันชอบเพราะงั้นมันจะทะนุถนอมมากเป็นพิเศษ
กลัวช้ำ
“รับอย่างอื่นเพิ่มอีกไหมคะ”
“ไม่ครับขอบคุณ”
มันกอดเอวผมแล้วพาเข็นรถเดินออกมา พนักงานเธอมองเราสองคนด้วยสายตาซุกซนผมจึงยิ้มหวานให้
จะแกะมือมันออกจากเอวก็เดี๋ยวงอนขึ้นมาอีกเลยปล่อย
ไม่ใช่ว่าชินหรืออะไรแต่วันนี้พิเศษหน่อยไม่อยากดื้อให้มันโกรธ
“ปิง ของมึงเป็นกล้วยหอมแบบไหนวะ
แบบธรรมชาติหรือแบบใส่สารเคมี”
“เฮ้ยพี่พูดไรอ่ะ” ผมหน้าตาเหรอหรา
จู่ ๆ พี่เอย์มันพูดเรื่องบ้าอะไร พอผมถามคุณชายมีขำอีก ดีนะยังพูดเสียงเบา
“ก็ถามดูไง มึงว่าของมึงเป็นแบบไหน
แบบธรรมชาติมะ หรือเป็นแบบใส่สารเคมีแบบกู กล้วยหอมยักษ์ คึคึ”
“บ้า ลามก พี่แม่ง” ผมขยับหนีมัน
พี่เอย์ดึงผมเข้ามากอดคอไว้อีก ผมมุดออกทำท่าไปยืนเลือกน้ำผลไม้แช่เย็น
“ลามกที่ไหน กูพูดถึงเรื่องกล้วยมึงคิดไปไกลเอง”
ฟาดผัวะลงกลางหลังมันแก้เขิน ลืมไปเลยว่าอยู่กลางซุปเปอร์ พี่เอย์เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้
มันวกรถเข็นกลับไปเอาขนมปัง
ผมเลยมองหน้ามันตอนเข้ามาก็ไม่สนใจพอเห็นว่าซื้อกล้วยมันคงเพิ่งนึกออกว่ากล้วยหอมต้องกินกับขนมปังนิ่มๆ
“เอาเยอะๆ” มันบอกตัวเองแล้วคีบๆๆๆขนมใส่ถาด
ผมเองก็ชี้ๆสิ่งที่ผมอยากกิน เราซื้อเยอะมากจนพูนถาดเพราะกินจุทั้งคู่ กำลังต่อคิวจ่ายตังค์ ผมเห็นแผ่นหลังใครสักคนไวๆ
เลยสะกิดเรียกพี่เอย์ให้ดู
“เฮ้ย! พี่เอย์ครับ โน่นๆพี่โน่น”
พี่เอย์หันไปมอง เสียงผมคงตื่นเต้นน่าดู บุ้ยใบ้ดึงมันให้รู้ว่าผมกำลังมองไปทางไหน
“มันมาด้วยกันได้ไงวะ” พี่เอย์พึมพำ
“เข็นรถช่วยกันด้วยอ่ะพี่”
จะไม่ให้ผมตกใจได้ไง พี่เชนพี่ซ่าร์กำลังเลือกซื้ออะไรกันสักอย่างอยู่ไม่ไกล
ตอนแรกเห็นแค่แผ่นหลังยังไม่แน่ใจเท่าไหร่ แต่พอเห็นว่าเป็นพี่เชนปุ๊ปแล้วคนข้าง ๆ
ใส่ผ้าปิดปากสีดำกับหมวกแคปดำผมรู้ทันที อยากจะบอกว่าพี่ซ่าร์หล่อมากนะขนาดปิดหมดยังแผ่ออร่าความหล่อออกมาได้
ผิวงี้อื้อหือสวยเนียนคือไม่เหมือนคนธรรมดา คุณเคยเห็นแจจุงของดงบังไหม แบบนั้นแหละพี่ซ่าร์พี่ชายพี่เอย์หล่อแบบนั้นเลย
“ตามๆ หมาปิงตาม”
ผมน้อมรับบัญชาเลยครับ เราเข็นตามแบบห่าง ๆ ผมพยายามแอบดูสุดฤทธิ์มาซื้ออะไรกันวะ
พี่เอย์มันบอกตามก็จริงนะแต่มันไม่ค่อยสนใจหรอกมันหยิบโน่นหยิบนี่
สนใจพวกปลาญี่ปุ่นที่เขากำลังแร่อะไรของมันไปตามเรื่อง บางทีก็ไม่หยุดยืนดูอะไรแปลกๆพวกกุ้งหอยปูอะไรที่มันอาจไม่เคยเห็น
แต่ผมนี่สิชะเง้อจนคอแทบเป็นกะเหรี่ยงยาวๆแล้ว
“พอแล้วมึงคอยืดคอยาวเชียว”
“พี่อ่ะ ไปใกล้กว่านี้อีกนิดได้ไหม”
“ไม่เอาพอแล้ว ไปซื้อกระทงไป ซุ้มอยู่ทางโน้น
เดี๋ยวดึกๆคนไปลอยเยอะกูไม่ค่อยชอบ เรารีบซื้อรีบออกไปกันดีกว่า
สองคนนั้นช่างหัวมันเหอะ”
ผมแอบกัดปากด้วยความเสียดายก้มหน้าเรียกคะแนนเห็นใจอยากดูต่ออีกสักหน่อยแต่พี่เอย์มันไม่หลงกล
แต่เอาวะจะตามดูไปไม่มีอะไรดีขึ้นมาแค่รู้ว่าพี่สองคนมาช็อปด้วยกันผมก็มีแต้มต่อไว้ล้อพี่เชนได้สบายแล้ว คึคึ
วันนี้คนเยอะมาก เราเข็นรถกันไปเรื่อย
ๆ จนจะถึงซุ้มกระทงอยู่แล้ว
ตายห่า!!!!
“พี่เอ๊ย์!!! ” ผมอุทานเสียงแหลม ไม่ดังมากนะแต่จับแขนมันเขย่าๆๆ พี่เอย์ตกใจหน้าเหวอเลย
“อะไรของมึง”
“เหี้ยเหอะพี่ สองคนนั้นแวะซื้อกระทงกัน” พี่ซ่าร์กำลังเลือกกระทงขนมปังสีชมพูกับสีฟ้า
เหมือนพี่เชนจะพูดอะไรสักอย่างในที่สุดวางสีชมพูลงเอาสีฟ้าใส่รถเข็นแทน เฮ้ยเอาจริงดิ่หยิบลงรถเข็นแล้วด้วย อันเดียว!!
“สงสัยจะไปลอยคืนนี้มั้ง” พี่เอย์พูดเสียงเรียบๆธรรมดา
แต่ผมตาโต “หืม?”
“เขาซื้อกระทงกันแสดงว่าจะไปลอยด้วยกันอ่ะดิ
มึงก็รู้อยู่แล้ววันนี้วันอะไร”
“เฮ้ยพี่ แต่ว่า....”
“ก็เหมือนกับเราไง ไปเหอะ
สนใจไรนักหนาวะ”
จริง ๆ แล้ววันนี้พี่เอย์มันชวนผมไปลอยกันในสถานที่แห่งนึง
ผมถามมันว่าที่ไหนคุณชายเก็บเงียบไม่ยอมบอก จนกระทั่งถึงตอนนี้ผมยังไม่รู้เลยว่ามันจะพาผมไปที่ไหน
อะไรนะ เอเชียทีคเหรอ? ไม่ใช่หรอกครับ พี่เขาไม่ชอบที่ๆคนพลุกพล่านแบบนั้น
ตอนที่เราไปต่อคิวจ่ายตังค์คนค่อนข้างเยอะทุกช่องต่อคิวเต็มกันหมด
ผมแอบมองไปที่อีกช่องไกลๆเห็นพี่เชนกำลังยื่นบัตรจ่ายตังค์ ขณะที่พี่ซ่าร์ยืนเฉยๆ มองโน่นนี่นั่นรอ
ผมแอบอยู่ที่ไหล่ด้านหลังของพี่เอย์ กางขาให้ตัวเองเตี้ยลงอีกนิด ดีนะพี่ซ่าร์ไม่หันมาทางนี้
ยิ่งกลัวเห็นพวกเรา เพราะพี่เอย์เองเองก็ดูโดดเด่นไม่แพ้กัน พี่ซ่าร์เดินไปยืนล้วงกระเป๋ามองที่แผงหนังสือตรงช่องทางออก
คงกำลังดูรูปตัวเองมั๊ง เพราะหนังสือที่ลงปกพี่เขามีเยอะมาก
สักพักพี่เชนจ่ายเงินเสร็จเดินออกมาหามีแค่ถุงกระทงกับขนมไม่กี่อย่าง พี่เชนเอามือไปจับฮู๊ดที่เสื้อพี่ซ่าร์ขึ้นมาคลุมใส่หัวไว้ให้
คงกลัวคนจำได้เพราะมีน้อง ๆ ผู้หญิงกลุ่มนึงมองมาที่พี่ซ่าร์แล้วซุบซิบอะไรกันสักอย่าง
สองคนนั้นเดินกันออกไปแล้วเร็วมากๆ
ผมยืนดูจนตาลอย พี่เอย์ดึงแขนให้เดินตามออกไปบ้าง
“มองอะไรนักหนาวะ ชักหึงนิดๆ” พี่เอย์หน้าตาไม่สบอารมณ์แล้วผมรีบดึงๆเสื้อมันไว้
“เฮ้ยพี่ ไม่ใช่แบบนั้น” เราใช้รถเข็นๆข้าวของที่ซื้อมา
คุณชายทำท่างอนเป็นเด็กๆ ผมตัดเรื่องพี่เชนกับพี่ซ่าร์ออกไปในทันที
“พี่เอย์ครับผมเข็นให้นะ” ผมอ้อนมัน
“จิ๊ มึงมันแย่ที่สุด” มันปล่อยรถเข็นออกผมขยับเข้าไปเข็นแทน
“เดี๋ยวคืนนี้นวดให้ด้วย” ผมพูดเอาใจอีก
จริง ๆ ชอบนวดให้มันนะ
เราเล่นกันแบบนี้ประจำผมนวดให้มัน มันนวดให้ผม
สุดท้ายวันไหนคิวมันนวดให้ผมนี่ยาวกันทุกทีเพราะพี่เอย์ชอบลวนลาม มือมันจะชอนไชไปเรื่อย
“งั้นหายงอนก็ได้” คุณชายยิ้มร่าเป็นเด็กๆ
เราเดินกันออกมาที่ลานจอดรถ พอปลอดคนพี่เอย์มันกอดปุ๊บซ้อนตัวเข้ามาช่วยเข็น
“กูช่วย” เร็วกว่าคำพูดปากร้อน ๆ
งับลงที่หูอย่างหยอกล้อผมขนลุกซู่ไปหมด จะหันไปด่ามัน อิพี่เอย์หัวเราะร่วนเลย ผมชกพุงมันไปที
วันนี้พี่เขาอารมณ์ดีนะ เห็นที่ทำงอนเมื่อกี้คงแกล้งให้ผมสนใจน่ะแหละ
ผมง้อแค่นิดเดียวคุณชายก็ยิ้มแล้ว
เราขับรถออกจากซุปเปอร์ไม่นาน ก็มาถึงร้านอาหารเล็กๆแห่งหนึ่ง
ข้างนอกนี่ธรรมดามากๆ แต่พอเดินเข้าไปด้านในอยากบอกว่าสวยงามมากกกกกกก
โรแมนติกที่สุด ระเบียงไม้สีขาวที่ยื่นออกไปรับลมริมแม่น้ำเจ้าพระยายามดึกประดับไว้ด้วยโคมไฟสีส้มดวงเล็กๆตลอดทั้งแนว วันนี้คนเยอะเป็นพิเศษอาจเพราะเป็นคืนวันลอยกระทง
เสียงเพลงวันเพ็ญเดือนสิบสองดังมาตลอดทางเดินเข้าร้าน
พอจับจองหาที่นั่งได้ มีพนักงานเข้ามาต้อนรับ พี่เอย์แนะนำผมให้พี่เขารู้จัก
ที่แท้เป็นร้านของครอบครัวเพื่อนพี่เอย์ มิน่าเราสองคนถึงได้ที่นั่งวิวดีมากๆเป็นส่วนตัว
ผมก็สงสัยนะทำไมเรามากันค่ำๆแต่โต๊ะนี้ดูเหมือนถูกจองไว้ก่อนแล้ว
ซึ่งจริงอย่างที่คิดเลย เพื่อนฝูงเยอะกว้างขวางนี่มันดีแบบนี้เอง
“ตามสบายนะมึง
เดี๋ยวกูไปดูแลแขกก่อน”
“เฮ้ย ว่าจะไปสวัสดีพ่อกับแม่อ่ะ”
“อยู่ในครัวโน่นแน่ะ ไปป่ะล่ะ”
“ไปดิ่วะ ปิงรอที่นี่แปปนะ”
“ครับ” ผมพยักหน้ารับ พี่เอย์ลุกออกไปแล้ว ผมก็นั่งมองโน่นนี่นั่นไปตามเรื่องมีหลายคู่หลายคนทยอยเอากระทงลงไปนั่งลอยกันที่บันไดทางลงริมแม่น้ำ
ผมมองดูวิวริมเจ้าพระยาที่มุมนี้แล้วสวยงามมากๆ ไม่คิดว่าจะมีร้านแบบนี้ซ่อนตัวอยู่
ผมมองไปที่ตึกสูงๆหลายสิบที่ฝั่งตรงข้าม มีอยู่อันนึงสะดุดใจผมมากเลย ตึกกระจกสูงเสียดฟ้ามาก
“รอนานไหม”
มันเดินกลับมานั่งลงฝั่งเดียวกับผม เราสองคนนั่งหันหน้าไปชมวิวกลางคืนของลำน้ำเจ้าพระยาด้วยกัน
สายลมพัดผ่านเข้ามาอีกครั้ง เส้นผมสีอ่อนของผมพลิ้วไสวเสียจนต้องเอามือขึ้นมาเสยเหน็บไว้ เสียงเพลงถูกเปลี่ยนเป็นดนตรีบรรเลงช้าเบา ๆ คู่รักหลายคู่ที่บนโต๊ะเริ่มจุดเทียนขึ้นมาแล้ว
มีน้องพนักงานเข้ามาจุดที่โต๊ะผมบ้าง
ที่ครอบเทียนเป็นแก้วใสเผยให้เห็นเปลวไฟเริงระบำเป็นเงาสวยงามอยู่ภายใน
ผมแอบคิดนะ
ทำไมเปลวไฟไม่กลายเป็นรูปหัวใจวะ แบบนั้นจะโรแมนติกน่าดูขึ้นอีกสิบเท่าเลย
ดอกกุหลาบสีแดงดอกโตปักลงที่แก้วทรงสูง
“หนาวไหม” มันถามขึ้น
พาดแขนขึ้นมาที่พนักเก้าอี้ผม
“ไม่ครับ อากาศกำลังเย็นสบายเลย”
ความจริงหนาวนิดๆแต่ผมชอบ
“ปิง” พี่เขายกแก้วเบียร์ขึ้นจิบท่าทีสบายๆ
เอนหัวลงลงที่ไหล่ผม
เราสั่งอาหารกันไม่กี่อย่างดูเหมือนเพื่อนพี่เอย์จะรู้เลยให้เวลาเราเป็นส่วนตัวมากๆ
ไม่มีพนักงานมารบกวน
“ดูตรงนั้นสิ โน่นน่ะมึงจำได้ไหม”
ผมมองตามที่พี่เขายกแก้วขึ้นชี้
ที่ฝั่งตรงข้ามเยื้องไปทางขวานิดๆ ตึกสวยมากสูงชันมองไกลๆเห็นแสงไฟระยิบระยับดวงเล็กๆเต็มไปหมด
“มึงเห็นไหม ตึกสูงๆตรงโน้น”
เรือสวยงามประดับโคมไฟสีส้มเป็นของโรงแรมอะไรสักอย่างเคลื่อนตัวลอยผ่านเข้ามา
ผมอดไม่ได้ที่จะยกมือถือขึ้นมาถ่ายภาพไว้ พี่เอย์จิ้มปุ่มสลับเปิดกล้องหันมาฝั่งพวกผม
มันขยับเข้ามาอีกนิดขณะที่ผมฉีกยิ้มแบบเอาให้ขี้เหร่สุด คุณชายเก็กสีหน้าเท่ๆ ก่อนผมจะกดปุ่มแชะลงไป
“อะไรครับ พี่จะชี้ให้ผมดูอะไร”
“ตึกสูงๆนั่นน่ะ
คอนโดกูไงมึงจำได้ไหม” มันคว้าเอามือผมไปจับไว้ที่ตัก
“เอ๊า จริงดิ่” ผมตกใจนิดๆ
พอเพ่งมองดี ๆ ถึงได้รู้ว่าใช่
คือฝั่งด้านนั้นตึกสูงสวยงามเยอะมากอันไหนเป็นคอนโดอันไหนเป็นโรงแรมผมนี่มองมั่วมาก
พี่เอย์เงียบไปพักมันหยิบดอกกุหลาบสีแดงที่ปักอยู่ในแก้วออกมา
“นานมาแล้วกูเคยบอกเด็กกะโปโลคนนึงว่าจะพามาที่นี่สักครั้ง”
“หืมม??”
“ตอนนั้นเราสองคนยืนอยู่ที่ริมกระจกห้องกูที่ชั้นห้าสิบ
สูงมากมึงตื่นเต้นใหญ่มองมาฝั่งนี้ไม่ยอมหยุด กูเลยบอกไปว่าวันนึงจะพามาที่นี่ไง
จำได้ไหม หื้ม?” มันเอาดอกไม้มาตีหัวผมเบา ๆ
ในขณะที่หัวสมองผมไหลเร็วยิ่งกว่าตอนรันโปรแกรมแล้วดึงความเร็วสุดยอดออกมาใช้
พยายามดึงข้อมูลเก่า ๆ ออกมา
แต่ผมจำไม่ได้ ให้ตายเหอะ
“ตอนนั้นกูชี้มาทางฝั่งนี้
มึงยังถามเลยว่าที่ไหน”
ผมพยายามนึกใหม่อีก
แต่ทำยังไงก็นึกไม่ออก ตายๆนี่ผมช่างไม่ละเอียดอ่อนเอาซะเลย เคยจำได้ลาง ๆ
เหมือนกันว่ามันเคยพูดว่าจะพาไปที่ไหนสักแห่งแต่ก็ไม่ค่อยชัดเจน
ผมจ้องหน้ามัน พี่เอย์ยกมือขึ้นมาไล้เข้าที่แก้ม “พี่เอย์หมายถึงร้านนี้เหรอครับ?”
“ใช่
ตอนเรียนพวกกูมานั่งดื่มกันที่นี่บ่อยมาก เวลามองไปที่ฝั่งตรงข้ามจะสวยงามและเห็นห้องนั้นชัดเจน”
ผมเพ่งสายตามองไปส่วนบนของตึกนั้นมืดเกือบหมดมีแสงไฟสีส้มดวงเล็กๆบ้างประปราย
“ไม่อยากเชื่อเลย หลังจากนั้นตั้งเกือบสี่ปีถึงได้พามึงมาที่นี่”
มันขยับเข้ามาอีก จากที่เราใกล้กันอยู่แล้วชิดเข้าไปอีก
ปลายจมูกมันใกล้แก้มผมมากเฉียดไปเฉียดมา ลมหายใจอุ่นร้อนทำเอาผมขนลุกไปหมด
ดีนะมุมที่เรานั่งอยู่ค่อนข้างปลอดคนและเป็นส่วนตัว พี่เอย์ยกมือผมขึ้นมาจูบ
มันแลบลิ้นร้อนออกมาเลียไล้ที่หัวนิ้วโป้งเบา ๆขณะที่สายตานี่จ้องหน้าผมอยู่
“พี่เอย์อย่าครับคนเยอะ” ผมขยับออก ใบหน้าร้อนฉ่าดึงมืออกจากมัน
รีบทำทีเป็นยกมือถือขึ้นดู พี่เอย์หัวเราะนิดๆ
“จะสามทุ่มแล้วพี่” ผมพูดเขิน ๆ
หยิบกระทงส่งให้ พี่เอย์ขยี้หัวผมก่อนขยับตัวนั่งดี ๆ
“งั้นไปลอยเลยไหม”มันถาม
พี่เอย์ปักเทียนลงไป
ผมเป็นคนจุดไฟนำทาง เราขยับออกมาจากเก้าอี้นิดเดียวก็เจอบันไดทางลงสู่แม่น้ำสายสำคัญ
เพราะว่าเป็นที่นั่งแบบพิเศษ
บันไดฝั่งนี้จึงเป็นที่ส่วนตัวมากๆ เฉพาะของสองเราเท่านั้น
“พี่เอย์อธิฐานพร้อมกันนะครับ”
พี่เขาประคองกระทงอย่างระมัดระวัง ผมใช้สองมือโอบรอบมือมันไว้
เราสบสายตากัน ถ้อยคำนับล้านความหมายถูกร้อยเรียงบอกเล่าความในใจมากมาย
โดยที่ไม่มีแม้แต่คำพูดจาสักคำ
ในที่สุดทั้งผมทั้งมันหลับตาลงทั้งคู่
คำอธิฐานแห่งรักถูกสายลมเย็นพัดผ่านทุกอณูของผิวกาย
มิตรภาพกำลังถักทอโอบกอดสองหัวใจให้อบอุ่นอิ่มเอม
ไอหมอกแห่งความเข้าใจล่องลอยขึ้นเป็นสายใยบาง
ๆเรียงร้อยเข้าสู่ห้วงหัวใจที่โหยหาซึ่งกันและกัน มือใหญ่เลื่อนเข้ามาประคองฝ่ามือเล็ก กระทงสวยงามค่อยบรรจงวางลงไปที่สายน้ำเย็นฉ่ำ
“มึงคือคนสุดท้ายในหัวใจของกู”
เปลวเทียนล่องลอยนำทางความรักไปจนสู่จุดสุดท้ายแห่งรักนิรันดร์
“พี่คือหัวใจของผม”
ขอพระแม่คงคาอวยพรให้เราสองคนประคองความรักที่มีให้แก่กันและกัน.....ยาวนาน..........มั่นคง.............ตลอดไป
...แต่เราก็หากันจนเจอ
มันนานแค่ไหนที่คอยเธอมา
รู้สึกไหมว่าชีวิตคุ้มค่า เมื่อมีใครสักคนข้างกาย
...เกิดมาเพื่อหาใครคนหนึ่ง เป็นคนที่ฟ้าสร้างมาตรงใจ
เราต่างรู้โลกมันแสนกว้างใหญ่ แต่มันคงไม่ยากเกินไป.....ที่ฉันจะพบเธอ
*************Special Complete***************
แถมๆ
“มึงอธิฐานอะไรวะเชน”
“ไม่บอก” มันหันมามองหน้าผมพักนึง
ก่อนปล่อยน้ำเสียงรั้นๆปฏิเสธ ทำเอาผมอยากจะยื่นมือไปบิดหูมันให้เขียว
หมั่นไส้นักทำท่าเป็นไม่อยากจะลอยสุดท้ายบอกเอาแค่อันเดียว
ผมกะจะซื้อสองอันแท้ๆกระทงน่ะ
“จิ๊
ถ้างั้นกูก็ไม่บอกว่ากูอธิฐานอะไร”
“เออกูไม่อยากรู้หรอก
เชิญมึงเก็บเงียบไว้คนเดียวเหอะ ไม่ต้องพูดนะ! ไม่ต้องพูดออกมา เดี๋ยวกูจะปล่อยมึงให้เดินกลับเองก็ไม่ต้องพูดออกมาเลยนะ”
“.....”
ผมหน้างอ หยุดเดินทันที เราเกือบจะถึงรถกันอยู่แล้ว หงุดหงิดมันแม่ง
“ว่าไงล่ะ
จะพูดไหม”
“ก็ไหนมึงว่าไม่อยากรู้”
“ก็ไม่อยากรู้ดิ่
ถึงได้บอกว่าไม่ต้องพูดไง”
“คเชนทร์
มึงมันนิสัยแย่ที่สุด พูดกับกูดีๆปากมึงจะเปื่อยรึไง”
“แล้วกูพูดไม่ดีตรงไหน”
“ทุกตรง”
“ไม่ถูกใจมึงงั้นดิ่”
“ก็เออ”
“ชิ น่ารำคาญ
ขึ้นรถได้แล้ว” มันเดินเข้ามาดึงฮู้ดปิดหัวผมให้ดีๆ
รู้สึกอากาศจะเริ่มเย็นผมว่าน้ำค้างลงนิดๆด้วยนะ
รถขับออกมาได้ระยะหนึ่งผมรู้เลยว่ามันไม่ได้กลับมาส่งผมที่บ้านแน่ ๆ
เพราะรถผมจอดไว้ที่ออฟฟิศมัน พอถึงผมเดินตรงดิ่งไปที่รถตัวเอง คเชนทร์เดินเข้ามาคว้าแขนผมไว้
“ไปไหน”
“ขึ้นรถไง”
ผมบอกพร้อมกับบิดแขนตัวเองออกทำท่าจะขึ้นรถลูกเดียวเปิดประตูแล้วด้วย มันก้าวเข้ามาคว้ากรอบประตูไว้
“บ้านมึงจะย้ายหนีรึไงถ้าไม่กลับวันนี้”
“......” ผมคิ้วมุ่น อะไรคือบ้านจะย้ายหนี กำลังคิดตามคำพูดมัน
“ตามใจ อยากกลับก็กลับไป
ถึงแล้วไม่ต้องโทรมาล่ะ กูจะนอนแล้วน่ารำคาญสี่ทุ่มแบบนี้เวลานอนกูพอดีเป๊ะ”
“......” นี่ผมคิดว่าตัวเองหูฝาดอะไรคือบอกเวลานอนตัวเองสี่ทุ่ม
ตั้งแต่ผมรู้จักกับมันไม่เคยต่ำกว่าตีสอง
“ไปดิ่
รีบๆกลับไปเลยไป” มันดันผมขึ้นรถ หน้านี่งอมากแล้ว แต่ทว่าเป็นผมที่ดันตัวมันคืนไว้
“มึงจะบ้ารึไงกูบอกตอนไหนว่าจะกลับบ้าน”
มันดูอึ้งไปนิดหน่อย
“แล้วมึงมาขึ้นรถทำไม”
“ก็จะเลื่อนรถเข้าเก็บข้างในไอ้บ้า
ไปบอกพี่ยามเปิดประตูให้กูด้วย”
แค่นั้นแหละครับผมโดนมันผลักหัวเงิบเลย
คเชนทร์เดินผิวปากไปหาพี่ยามทันที
คืนนั้น......จำไม่ค่อยได้แล้ว!!