# 27 กาลครั้งหนึ่ง......
ครืน ~ ครืนน
~
ผมไม่รู้ว่าตัวเองนั่งตัวชาอยู่อย่างนั้นเนิ่นนานแค่ไหน
เสียงฟ้าร้องปลุกให้ผมรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาที่มองจอภาพพร่าเบลอไปหมด
เป็นเพราะหยดน้ำตาใสที่กำลังเอ่อล้นออกมา
ผมลุกขึ้นเดิน
ลากขาไปที่หน้าต่างอีกครั้ง ตัวทั้งตัวหนักอึ้ง หัวใจของผมเจ็บปวดมากมายจริง ๆ
ความรู้สึกอะไรที่เอ่อล้นอยู่ภายในตีกันให้วุ่นวายไปหมด
ผมหลับตาลงแน่นภาวนาให้ใครคนนั้นกลับไปแล้ว
ก่อนที่ผมจะแหวกผ้าม่านเป็นช่องเล็กๆแล้วมองลงไปอีกครั้ง
คุณเชื่อไหม....คนอย่างพี่เอย์คนนั้น
คนอย่างคุณเอย์ตั้น อัศวเหมมินทร์ คนๆ นั้น
ยังยืนมองผมอยู่ที่เดิมสายตาที่ส่งขึ้นมาแน่วแน่และมุ่งมั่น แต่มีอยู่สิ่งหนึ่ง
ที่ทำให้ผมคนนี้ถึงกับกลั้นน้ำตาต่อไปไม่ไหวร้องไห้โฮออกมาอย่างหมดอาย ในมือที่เคยชูหน้าจอขอโทรศัพท์มือถือ
บัดนี้เปลี่ยนเป็นไอแพดจอใหญ่ยกชูขึ้นไว้เพื่อให้ผมได้มองเห็น
ข้อความตัวหนังสือขนาดใหญ่โต
ชัดเจน....
“ขอโอกาส”
ครืน~ ครืนน ~ ~
เสียงฟ้าร้องดังต่อเนื่อง
ซ้ำยังถี่ขึ้น แสงวูบวาบจากบนท้องฟ้าลอดผ่านเข้ามาถึงในห้องนี้
ตามมาด้วยเสียงฝนเริ่มลงเม็ดเปาะแปะๆแล้วแรงขึ้นเรื่อยๆ......ซ่าา~ ~ ครืนน ~ ~
ท่ามกลางสายฝน....ผู้ชายคนนึงยังคงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น
ในมือของเขายังถือหน้าจอไอแพดชูขึ้นมาแบบที่ไม่เกรงกลัวท้องฟ้าเลยสักนิด
นัยน์ตาคู่นั้นฉายแววมุ่งมั่นอยู่เต็มเปี่ยม...หวังแต่เพียงว่าขอให้คนที่เขารัก ให้โอกาส....สักครั้ง
สายลมเย็นพัดโกรกเอาไอเย็นและละอองฝนผ่านเข้ามาจนถึงด้านใน เมื่อหัวใจสั่งให้ร่างกายผมขยับ ไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าลงมายืนอยู่ที่หน้าประตูทางเข้าตั้งแต่เมื่อไหร่
ในมือของผมกำด้ามร่มไว้แน่นไขกุญแจเตรียมจะผลักเปิดออกไปแต่แล้วกลับต้องหยุดชะงัก
อะไรบางอย่างในใจดึงให้ผมฉุกคิด
แน่ใจแล้วใช่ไหมที่จะออกไปตอนนี้
แน่ใจแล้วใช่ไหม
ที่จะก้าวเดินออกไปหาใครคนนั้น
ผมหยุดนิ่งอยู่อย่างนั้นนานเป็นนาที
แต่ในที่สุดผมตัดสินใจผลักบานประตูออกไป ร่มสีฟ้าถูกเปิดกางออก
ผมเดินไปหยุดอยู่ที่บันไดหินอ่อนด้านหน้า ระหว่างเราระยะห่างประมาณห้าเมตรได้ ในมือพี่เอย์ไม่มีไอแพดแล้วมันไพล่แขนข้างหนึ่งไว้ด้านหลังยืนนิ่งมองผมอยู่อย่างนั้น
ฝนเทกระหน่ำลงมา ผมค่อยก้าวเข้าไปหาก้าวแล้วก้าวเล่าจนในที่สุดเราสองคนยืนอยู่ภายใต้ร่มกันฝนคันเดียวกัน
ผมเงียบมันเองก็เงียบ เสียงฟ้าร้องยังดังอยู่ไม่หยุด
มีเพียงสายตาของเราเท่านั้นที่ยังไม่สามารถละออกจากกันได้เลย ตัวมันเปียกโชกไปหมด
“ทำอะไรน่ะครับ
ทำแบบนี้ทำไมกัน”
พี่เอย์นิ่งมาก
นัยน์ตาคมแฝงไว้ด้วยแววเศร้าสร้อย ขยับเลื่อนกวาดมองดวงหน้าผมช้าๆชัดๆ
“หนึ่งพันหนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าวัน
สองหมื่นแปดพันสองร้อยชั่วโมง
หนึ่งล้านหกแสนเก้าหมื่นสองพันนาที
ความรู้สึกของกูคนนี้
ยังคงเหมือนเดิม”
ผมบอกไม่ถูกเลยว่าความรู้สึกตอนนี้ของผมคืออะไร
ถ้อยคำที่เอ่ยออกมาสะท้อนความรู้สึกผ่านดวงตาคมที่จ้องมองมาแน่วแน่จริงจัง ทว่ากลับแฝงไว้ด้วยความอ่อนโยนนุ่มนวลและเว้าวอน
ผมเจ็บมานานแค่ไหน
หัวใจที่ถูกความเหงากัดกินจนด้านชา ในวันเวลาที่ผมคิดถึงและรอคอย ตัวมันหายไปอยู่ที่ไหน
แต่พอถึงวันหนึ่งที่ผมบอกตัวเองให้เลิกรอ คนๆนี้กลับปรากฏตัวออกมาอีกครั้ง
คำพูดคำจาราวกับว่าจะทวงถามความรู้สึกเก่า ๆ ให้หวนกลับคืน
“ครั้งเดียว”
“......??......”
“ขอแค่โอกาสให้กูได้อธิบายเหตุผลทุกอย่าง”
สายตาพี่เอย์มุ่งมั่น
มั่นคง นัยน์ตาที่โฟกัสมาที่ผม ผมคนเดียวเท่านั้น นัยน์ตาที่เหมือนกับวันนั้น วันที่เราสองคนใกล้ชิดกันเป็นครั้งแรกและเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่เราจะห่างกันไป
แสนไกล
เงาสะท้อนของดวงตาที่มีเพียงแค่.....ผมคนเดียว
ผมข่มกลั้นความรู้สึกตื้นตัน
ทั้งโกรธ ทั้งรักเอาไว้จนเอ่อล้น พี่เอย์ยกมือขึ้นมาลูบแก้มผมเบา ๆมันส่ายหน้าปรามเมื่อเห็นว่าผมทำท่าจะเอ่ยห้ามในสิ่งที่มันกำลังจะทำ
มืออีกข้างที่มันไพล่ไว้ที่ด้านหลังตั้งแต่แรก
บัดนี้เผยออกมาแล้ว ดอกกุหลาบสีแดงช่อใหญ่ถูกยื่นออกมาอยู่ระหว่างเราสอง
ผมตกใจจ้องหน้ามันนิ่งเลย
ครืน~ ครืนน ~ ~
เสียงฟ้าร้องแว่วเข้ามาเรียกสติทุกอย่างกลับคืนมาให้ผม
ขณะที่ผมกำลังจะเอ่ยบอกมันว่าอย่าทำอะไรแบบนี้เพราะไม่มีประโยชน์อะไรเลย เสียงทุ้มของพี่เขากลับเอ่ยแทรกสายฝนขึ้นมาก่อน
“ฝากถือหน่อย”
พี่เอย์ยื่นกุหลาบช่อนั้นส่งมาให้ผม แต่ผมอึกอักไม่ยอมรับและกำลังจะก้าวถอย
“ไม่ได้เอามาให้มึงหรอกนะ
อย่าเข้าใจผิดไป เชือกรองเท้ากูหลุดฝากถือไว้ก่อนสิ” มันยัดช่อกุหลาบใส่มือผมไว้แล้วคุกเข่าลงไปก้มผูกเชือกรองเท้า
เสียงฟ้าร้องคำรามดังมากๆ
สายลมเย็นเฉียบพัดผ่านแทรกทุกอณูผิวกาย
....ผู้ชายคนหนึ่งคุกเข่าต่อหน้าชายอีกคนที่ถือช่อกุหลาบไว้
พร้อมกับร่มสีฟ้าที่กางกันสายฝนเย็นฉ่ำ...
พี่เอย์คุกเข่าอยู่แบบนั้น
จนผมสงสัยว่าทำไมมันถึงได้ผูกเชือกนานนัก ผมมองดูแผ่นหลังกว้างและไหล่แข็งแกร่งนั้นสั่นเทิ้มคล้ายคนกำลังร้องไห้
ขยับก้าวถอยหลังออกมาอีกนิดอยากจะก้มลงไปดู แต่แล้วในที่สุดพี่เขาก็ลุกขึ้นยืนก่อนจะหมุนตัวหันหลังเปิดประตูรถแล้วก้าวขึ้นไปนั่งอยู่ในนั้น
ผมคว้ากรอบประตูไว้เกือบไม่ทัน “เดี๋ยวครับ! แล้วไอ้นี่ล่ะ” ผมหมายถึงช่อดอกไม้
พี่เอย์หันมามองผมนัยน์ตาแดงก่ำ
“กูฝากไว้ก่อน เดี๋ยววันหลังจะมาเอา” มันว่าแล้วสตาร์ทรถ ผมยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น รถค่อยเคลื่อนตัวออกไปแล้ว
ฝนยังคงเทลงมาไม่หยุด เสียงไลน์ข้อความในโทรศัพท์ผมเด้ง ล้วงเอาออกมาดู
‘รีบเข้าไปข้างใน ดึกแล้วอันตราย’
รถบีเอ็มสีขาวคันสวยจอดชะลอออกไปไม่ไกล
ผมก้มลงมองช่อดอกไม้ในมือ แล้วมองไปที่รถมันอีกครั้ง
ไฟท้ายรถยังจอดนิ่งสนิทอยู่แบบนั้น พี่เขาคงกำลังรอให้ผมเดินเข้าไปด้านใน
คืนนั้นสายฝนยังตกลงมาอย่างต่อเนื่อง
ฟ้ายังคงร้องคำรามอยู่ไม่หยุด ผมนอนไม่ค่อยจะหลับเลย ครืน~
ครืนน ~ ~
.
.
“ปิง เวลาขันน็อตตัวนี้มึงต้องเหลือพื้นที่ไว้รองสายพานเส้นนี้ด้วยตอนที่เราสอดเข้าไปมันจะได้ง่าย
เข้าใจนะ”
“ครับพี่ปอนด์”
เช้านี้ที่หน่วยซ่อมบีเอ็มดับเบิ้ลยู
ผมยังคงตั้งหน้าตั้งตาอย่างหนัก มีพี่ปอนด์มือหนึ่งของหน่วยคอยสอนคอยควบคุม
ผมตั้งใจมากนะคือจุดไหนที่ต้องระวังผมจะจดจำเอาไว้ให้ดีเลยเพราะผมถือว่าช่วงล่างของรถยี่ห้อนี้ผมยังใหม่อยู่มาก
ถึงผมจะผ่านงานมาจากศูนย์รถญี่ปุ่นแล้วก็จริงแต่นี่อยากจะบอกว่าเนื้องานคนล่ะแบบเลย
ความแข็งแกร่งของตัวโครงรวมถึงส่วนประกอบอื่น ๆ
ผมไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมรถยนต์ยี่ห้อนี้ถึงได้แพงมาก
“พี่ปิง
พี่ว่าเราพ่นสเปรย์ใส่ตรงนี้มันจะได้ป่ะวะพี่” ไอ้บาสมันถาม ผมชะเง้อคอไปมอง
คือตอนนี้เราเดินอยู่ใต้ท้องรถนะ ตัวรถถูกยกแขวนไว้ด้านบน
“เออ กูว่าได้ จุดนี้ไม่มีปัญหาหรอก
ได้ป่ะครับพี่ปอนด์ จุดนี้น่ะ” ผมชี้จุดให้พี่ปอนด์ดู
“ได้ ตรงนั้นใช้สเปรย์เบิกทางเลย
วุฒิส่งประแจเบอร์สิบสองให้กูที” พี่ปอนด์ตอบผมแล้วหันไปบอกไอ้วุฒิ รถคันนี้พวกผมสามคนช่วยกันลุยแต่ต้องมีพี่เขาคอยตรวจเช็คทุกจุดอย่างละเอียด
พวกผมทำงานกันจนถึงเที่ยง
“โหหหหห
แคนทีนที่นี่ใหญ่สวยแล้วก็สะอาดมากอ่ะพี่ปิง” เราสามคนเดินมาที่โรงอาหาร
คือผมไม่รู้นะว่าใช้ศัพท์คำนี้ได้ไหม พวกพี่ ๆ พนักงานเรียกว่าแคนทีนกันหมดผมก็ไม่รู้ว่ามันต่างกันยังไง
มันก็โรงอาหารหรู ๆ ล่ะมั้งนะ
“มึงไปซื้อไป”
ผมยัดบัตรพนักงานส่งให้มัน ไอ้บาสมันเดินไปสั่งอาหารง่าย ๆ
เป็นข้าวราดผัดกระเพราไข่ดาวมาสามจานเลย ผมเลยลุกไปซื้อน้ำมะพร้าวเย็น ๆ มาสามแก้ว
“เออปิง เมื่อวานที่มึงถูกเรียกขึ้นไปหาพี่เอย์
เอ๊ย คุณเอย์ข้างบนน่ะ เป็นไงวะไม่เห็นมาเล่าให้พวกกูฟังเลยนะ”
ไอ้วุฒิหยิบแก้วของไอ้บาสที่หมดแล้วเหลือแต่ซากมะพร้าวขึ้นมากินต่อ
เสียงน้ำแข็งโครกๆ โคตรตลกผมยิ้มอย่างอารมณ์ดี แต่ดั๊นมาสะดุดกับคำถามมันอ่ะดิ่
ไอ้ห่า เรื่องมีเป็นร้อยเป็นพันไม่ถามเสือกมาถามเรื่องที่ผมไม่อยากจะพูด
“ก็ไม่มีไร”
“ถุย!
ไม่มีเหี้ยเหอะ มึงกลับลงมานี่นั่งเหม่ออ่ะ กูชวนทำอะไรก็เหม่อ
นี่คือไม่มีหรือไม่อยากแชร์ทุกเรื่องราวกับพวกกูแล้ว”
“เปล่า” ผมลากเสียง เหล่ตามองมัน
คือหมาวุฒิมันจะมาทำงอนผมทำซากอ้อยอะไรผมไม่เข้าใจแม่งเลย
“ใช่ ๆ พวกผมไม่เชื่อหรอก
พี่ปิงน่ะเปลี่ยนไปพี่ไม่รู้ตัวหรอก เมื่อก่อนพี่ทั้งสดใสทั้งร่าเริง
มีอะไรเล่าให้พวกผมฟังหมดอ่ะ เดี๋ยวนี้คือเงียบ
ปกติเรื่องคุณพี่เอย์นี่พี่ต้องเล่าต้องบอกพวกผมดิ่
ตั้งแต่พี่เขากลับมาพี่ปิงไปเจอ แล้วยังไงอะไรต่อ คือเดี๋ยวนี้พวกผมไม่รู้เลย
เรามันคนไม่สำคัญนี่เนอะวุฒิเนอะ”
“เดี๋ยะๆเดี๋ยวกูถีบ
อย่ามาทำหน้าอ้อนตีนอยู่แถวนี้แม่ง”
ผมยกขาขึ้นทำท่าจะถีบมันไอ้บาสหัวเราะร่ารีบหนีไปหลบหลังไอ้วุฒิ
ผมเลยบอกต่อไปห้ามพูดชื่อไอ้พี่เอย์ดัง เพราะเดี๋ยวคนที่นี่จะได้ยิน
ถึงเขาไม่รู้ว่าเอยืไหนแต่ทางที่ดีคือไม่ต้องพูด พวกมันพยักหน้าเข้าใจ หลังจากนั้นผมเลยเล่าเรื่องราวคร่าว
ๆ
หลังจากที่ผมเจอพี่เอย์ครั้งแรกตอนที่เข้ามารับงานวางระบบที่บริษัทนี้ให้พวกมันฟัง
รวมถึงเรื่องที่พี่เอย์ไปดังรอผมที่ร้านแม่
แล้วสุดท้ายคือเมื่อคืนที่พี่เขาไปหาที่ร้านแต่ผมไม่ยอมเปิดให้เข้ามานั่ง
พวกมันเบะปากใส่บอกว่าผมใจร้าย
แต่ผมไม่ได้เล่าเรื่องไอ้ข้อความน้ำเน่ากับช่อดอกไม้ที่มันบอกฝากถือไว้ก่อน
เพราะไม่งั้นมีหวังโดนล้อสามเดือนไม่จบแน่
“เออจะว่าไปวันนี้ไม่เห็นหัวหน้าศักดาวะ”
หมาบาสเอ่ยขึ้น พี่ปอนด์เดินมาเจอพวกเรา พี่เขาเดินมากับแฟนผู้หญิงนะ
โบกมือบายกันแล้วพี่แกก็นั่งลงข้าง ๆ พวกผมเลย
“กินข้าวแล้วเหรอพี่” ผมถาม
“เรียบร้อย”
“พี่ปอนด์ครับทำไมวันนี้ผมไม่เห็นหัวหน้าอ่ะพี่”
ไอ้บาสมันถามพี่เขา พี่ปอนด์ล้วงลูกอมขึ้นมาแจกพวกผมคนละเม็ด ผมก็แกะกินเลยดิ่
กำลังหิวอะไรหวาน ๆ
“หัวหน้าไม่อยู่หรอกวันนี้ที่คอนสตรัคชั่นเขามีประชุมใหญ่
เมื่อเช้าคุณภีมโทรลงมาเรียกพี่ศักดาบอกคุณเอย์ให้พี่ศักดิ์ดาไปด้วยกัน”
“มิน่าล่ะ
ผมไม่เห็นตั้งแต่เช้าแน่ะ” หมาวุฒิมันยัดกระดาษห่อลงในกระเป๋าเสื้อผมๆเลยโบกหัวมันไปทีไอ้นี่หลบเก่งมาก
“ไม่มาหรอก
เลิกเย็นโน่นแหละ ช่วงนี้ประชุมบ่อยท่านประธานพอใจผมงานระหว่างสามเดือนนี้มากคุณเอย์น่ะเก่ง
นโยบายใหม่มาทำให้ลูกค้าเราเพิ่มสูงมากเลยต้องมีประชุมกันบ่อย
เกี่ยวกับการรักษาฐานลูกค้านั่นแหละนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้หัวหน้าคงจะมาบอกพวกเราเอง”
ตลอดช่วงบ่ายจนถึงเย็นผมได้ลงมือกับรถอีกหลายสิบคัน
วันนี้รถเยอะเหมือนเดิมแต่งานเราก็เดินเร็ว
ก่อนเลิกพี่ปอนด์เดินเอาใบข้อมูลอะไรสักอย่างมาไว้ให้ผม
“เมื่อวานตอนมึงขึ้นไปข้างบน
กูให้พวกพวกเราที่เหลือกรอกหมดแล้ว อันนี้ของมึงกรอกแล้วเอาขึ้นไปส่งเอง
พรุ่งนี้ก็ได้วันนี้คงไม่มีใครอยู่”
“ส่งที่แผนกไหนพี่”
“ของมึงเขาระบุมาว่าให้ส่งกับคุณภีม”
ผมพยักหน้ารับ
“ที่โต๊ะเลยใช่ไหมพี่”
“ส่งให้ถึงเจ้าตัวเขาล่ะ
งานคุณภีมเขาเยอะ เดี๋ยวใบประวัติข้อมูลต่าง ๆ ของมึงจะหายนะ”
“ขอบคุณครับพี่
พี่ปอนด์เดินออกไปแล้ว
พวกผมเข้ามาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเปลี่ยนจากชุดหมีเป็นชุดธรรมดาแล้วก็แยกย้ายกันกลับ
ผมขับมอไซด์ผมนั่นแหละไม่ได้เปลี่ยนหรือซื้อคันใหม่หรอกครับถึงตอนนี้จะมีเงินเหลือใช้แต่ก็ยังต้องเก็บไว้สักหน่อยอยู่ดี
อะไรที่ผมคิดว่าไม่จำเป็นผมจะตัดออกไปก่อน แม่กับพี่ขมมีบ้านมีร้านอยู่แล้ว
รถก็มีแล้ว ส่วนผมยังไงก็ได้ทั้งนั้นขอแค่แม่สบายใจไม่ลำบาก
“ลูกพี่ปิง
บ๊ายบายยยย” หมาบาสมันกระโดดขึ้นซ้อนไอ้วุฒิแล้วพวกเราก็แยกย้ายกันไป
แวะเซเว่นหน้าซอยก่อนเข้าออฟฟิศ
เดี๋ยวนี้ผมเลิกงานช้าเพราะงั้นตอนกลางคืนผมต้องทำงานดึกขึ้น
งานเขียนโปรแกรมมีคิวยาวเหยียด ออฟฟิศผมพนักงานเลิกห้าโมงเย็นกลับมาทีไรคนอื่น ๆ
จะกลับกันหมดแล้วเหลือแต่พี่เชนนั่งเฝ้าโต๊ะอยู่ทุกครั้ง
พี่เขาจะเหนื่อยมากไหมนะผมไม่เคยเห็นพี่เชนเหลวไหลเลย
ทำงานๆๆแล้วก็งานจนกลัวว่าพี่เขาจะเหงาหรือว่าเครียดมากไปไหม
“พี่เชนครับ”
ผมทักขึ้นหลังจากผลักประตูกระจกเข้าไป
“มาแล้ว?”
“อ่ะนี่” ผมแบมือยื่นขนมชิ้นเล็กๆส่งให้
พี่เชนละสายตาจากจอเงยหน้าขึ้นถาม
“อะไร?”
“แกะดูดิ่พี่” ผมยิ้ม พี่เชนหยิบออกไปแกะๆดู
คือผมเอากระดาษใบเสร็จอะไรสักอย่างห่อลูกอมหนึ่งเม็ดแล้วพับเป็นรูปดาว
พอพี่แกแกะออกเห็นเท่านั้นแหละยิ้มร่าเชียว
“เล่นอะไรของมึง
ประสาทยังดีอยู่ไหมเนี่ย”โดนผลักหัวมาเต็ม ๆ
“หูยยยผมก็แค่อยากเห็นพี่ยิ้มหรอก
วันๆจ้องแต่คอมนี่กลัวว่าจะเครียดไงเลยหาวิธีมาทำให้ยิ้ม”
พี่เชนวาดวงแขนกอดเอาคอผมไว้
“เดี๋ยวบอกอะไรดีๆให้ เอียงหูมา”
“อะไรพี่” ผมอยากรู้เต็มที่
“แค่กูเห็นหน้ามึงกูก็ยิ้มแล้ว”
“เฮ้ยย!”
ผมผงะ รีบมุดออกมาจากใต้แขนพี่เขาเลย พี่เชนยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
ผมนี่มองหน้าพี่แกแบบไม่ไว้ใจอ่ะ อย่านะอย่ามาคิดไรกับผมนะบอกไว้เลย
“ก็เพราะว่ามึงน่ะตลกอยู่แล้ว
นี่ถามจริงเวลาส่องกระจกน่ะเคยมองเห็นตัวเองแล้วคิดว่าตลกบ้างไหม
หรือมึงคิดว่ามึงหล่อ ส่องทีไรก็เออกูหล่อแบบนั้นอ่อ?”
“พี่ก็พูดไป ผมก็หล่อของผมเหอะ
แม่ผมยังชมบ่อยเลยว่าผมน่ะทั้งหล่อแล้วก็ยังน่ารัก”
“หึหึหึ”
พี่เชนกลั้นหัวเราะจนไหล่สั่น ผมเบะปากใส่ พี่เขาแกล้งเอาขามาถีบเก้าอี้ผมไถลไปอีฟากของห้องเลย
ผมนึกได้ลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตาทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำแล้วเดินกลับมานั่งทำงาน
เราสองคนคู่หูดูโอ้
โปรแกรมเมอร์ของยูเซย์ เสียงพรมนิ้มลงที่แป้นคีย์บอร์ดไม่รู้ว่าของใครเป็นของใคร รู้แต่ว่าความเร็วของสองเราไม่ได้แตกต่างกันเลย
พี่เชนนิ่งมากแล้วก็เงียบมาก ครอบเฮดโฟนใส่หูไม่รู้กำลังทำอะไร
“ปิง” ผมสะดุ้งเฮือก พี่เชนหันมาเรียก
คือเพลินมากจริง ๆ เรานั่งโต๊ะติดกันเลยนะหันหน้าไปทางหน้าประตูออฟฟิศ เวลาล่วงผ่านมาเกือบจะทุ่ม
“นั่นกุหลาบใคร” ใจผมหายวาบ
พี่เชนปรายสายตาไปที่กุหลาบสีแดงใหญ่ช่อนั้น
คือตอนผมเข้ามาเหล่ตาดูมันเหมือนกันแต่คิดว่าจะไม่สนใจ บอกตัวเองไว้ คนๆนั้นไม่ได้เอามาให้ผมนี่ ก็แค่พี่เขาบอกว่าฝากไว้ วันหลังจะมาเอา
มันหมายความว่าไง? แสดงว่าจะมาที่นี่อีกงั้นดิ่
“มะ...ไม่รู้พี่” ผมไม่รู้จริงอ่ะว่าของใคร
แต่ผมรู้ว่าใครเป็นเจ้าของ
“อ้าวแล้วงั้นของใครล่ะวะ
วันนี้ถามใครก็ไม่มีใครรู้ แล้วคนที่มาถึงที่นี่คนแรกเมื่อเช้าเขาก็บอกว่าตอนมาถึงคือเห็นตั้งไว้แล้ว
กุหลาบปริศนาหรือไงลอยมาตั้งไว้เอง?”
ผมก็แกล้งทำเงียบสิครับคีย์โคดต่อไปเรื่อย
ๆ พี่เชนขมวดคิ้วทำหน้าสงสัยเต็มที่ ผมแอบหันไปมองเห็นหน้าตานี่คือแบบ
สงสัยผมนี่แหละ
เสียงกรุ๊งกริ๊งที่ประตูดังขึ้น
เราสองคนเงยหน้าขึ้นพร้อมกัน พอเห็นว่าเป็นใครที่เดินเข้ามาผมถึงกับตาค้าง
มือที่วางอยู่ที่แป้นคีย์บอร์ดคือค้างไปด้วย รู้สึกตัวอีกทีคือพี่เชนลุกขึ้นแล้วเก้าอี้พี่แกชนเข้ากับเก้าอี้ของผม
“สวัสดีครับคุณเอย์”
เสียงพี่เชนปลุกผมออกจากภวังค์ตกใจ พี่เขาเดินเข้าไปหามัน ผมเริ่มตั้งสติได้ลุกขึ้นยืนมองมันดี
ๆ พี่เอย์มองพวกผมนิ่งอยู่ที่ประตู มือข้างหนึ่งหิ้วถุงพลาสติกอะไรสักอย่างเยอะแยะไปหมด
ส่วนแขนอีกข้างหนีบน้องหมีตัวยักษ์ลูกชายคนโปรดของมัน
ตัวที่นั่งดูวิวแม่น้ำเจ้าพระยาในห้องของมันมาด้วย
คือผมมองมันแบบเซ่อเลย.....มันมาทำไม??
ถ้ามาเรื่องงานไม่ควรจะหนีบน้องหมีมา??
“ขอใช้ครัวหน่อย”
มันพูดเรียบ ๆ กับพี่เชน หน้าตาคือไม่สบอารมณ์แต่ก็ยังจะพูด พี่เชนงงแดกสิ
แต่ก็เดินนำมันเข้าไปด้านใน ผมหันมองตามคือเอี้ยวตัวเหลียวหลังมองเลย
คืองง
“คุณทำงานของคุณต่อเลยไม่ต้องสนใจผม”
เสียงมันบอกพี่เชน ระดับความดังเหมือนอยากให้ผมได้ยินด้วย ผมแกล้งไม่รู้ไม่ชี้
ทำท่าไม่ได้ยิน แต่ในใจนี่คิดนะ
มันกำลังจะทำอะไร??
เห็นคุยบางอย่างเงียบ ๆ สักพักพี่เชนเดินกลับมาแล้ว นั่งลงที่โต๊ะข้างกันกับผมเหมือนเดิม
“มึงไม่ไปดูหน่อยอ่ะ
ท่าทางหยิบจับอะไรไม่ค่อยเป็นนะ”
ผมหันไปมองอีกที
คือเห็นมันเอาน้องหมีวางไว้ที่มุมเคาน์เตอร์
แล้วมองออกมาที่พวกผมตานี่เขียวปั๊ดเลย ผมรีบหันคืนแทบไม่ทัน
พี่เชนลงมือกับโปรแกรมของตัวเองต่อแล้ว
เคร้ง!.....เคร้ง!!.....ปัง!.... ตึ่ง!!....เคร้ง!!!!
เสียงโช้งเช้งโคร้งเคร้งดังลอดออกมาจากในครัวตลอดเวลา
ผมที่จิตใจไม่สงบอยู่แล้ว กับพี่เชนที่คงจะหมดความอดทนพร้อมกันเราหันมองกันช้า ๆ หน้าตาพี่แกคือกระอักกระอ่วนมากอยากให้ผมลุกขึ้นไปดูไอ้คนที่มันทำบ้าบออยู่ในครัวน่ะแหละ
แต่ผมก็ยังคงนิ่ง
“น้องหมีครับ
เดี๋ยวพี่เอย์จะเล่านิทานเรื่องนึงให้ฟังนะ” เสียงทุ้มต่ำดังออกมาชัดเจน
มันบอกจะเล่านิทานให้หมีฟังแต่ผมนี่แหละที่หูผึ่ง แอบหันไปมอง
ไอ้พี่เอย์แม่งบ้า
คือมันเอาผ้ากันเปื้อนผมมาสวมทับชุดทำงานหรูหราของมันน่ะแหละไม่เข้ากันซักกะติ๊ด กำลังตั้งใจหั่นอะไรสักอย่างอยู่ที่เขียงข้าง ๆน้องหมี
มีช้อนสายตามองมาที่ผมด้วยนะ นันย์ตาเราเลยบังเอิญสบกันพอดีทั้งผมทั้งมันรีบหันไปคนล่ะทิศล่ะทาง
ผมกลับมาตั้งสมาธิกับงานผมต่อ
“เรื่องนี้มันผ่านมานานหลายปีแล้วแต่พี่เอย์ไม่เคยที่จะพูดให้น้องหมีฟังเลย
น้องหมีตั้งใจฟังพี่เอย์นะครับ”
เสียงแป้นพิมพ์จากพี่เชนคือเงียบ
ผมเหล่ตาไปมอง พี่เชนหยุดนิ่งเหมือนกันกับผม
“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
มีลูกชายผู้ซื่อสัตย์คุกเข่าอยู่ต่อหน้าผู้หญิงที่เขาเรียกเธอว่า ‘คุณแม่’
เฝ้าขอร้องอ้อนวอนขอโอกาสจากเธอเพื่อให้เขาได้คบหากับคนที่เขารัก
แต่ไม่ว่าจะอ้อนวอนอย่างไรเขาก็ไม่สามารถทำตามความต้องการได้ ในที่สุดด้วยข้อแลกเปลี่ยนที่เขากับคุณแม่มีร่วมกันก็คือ
ถ้าหากเขายอมไปเรียนต่อต่างประเทศสามปีโดยไม่มีการติดต่อระหว่างกันเลยแม้แต่ครั้งเดียว
หลังจากกลับมาแล้วคุณแม่จะยอมรับฟังเรื่องราวของเขาและคนที่เขารัก”
ผมลุกพรวดขึ้นทันที
มองหน้าพี่เชนแล้วรีบเดินเข้าไปในครัว
“นี่คุณพูดเรื่องอะไรอยู่น่ะครับ”
พี่เอย์กำลังก้มหั่นแครอทเป็นชิ้นเล็กๆที่เขียง มันเงยหน้าขึ้นมาหาผม
“กูกำลังเล่านิทานให้น้องฟัง
มึงก็ไปทำงานของมึงต่อสิกูไม่กวนหรอก” เสียงพี่เอย์คืออ่อนล้า หน้าตาเหนื่อยมากจริง
ๆเท่าที่รู้มาคือมันมีประชุมยาวทั้งวัน เย็นย่ำแบบนี้ยังจะแวะเข้ามาที่นี่อีก
“แล้วนี่คุณกำลังทำอะไร
จู่ ๆ จะมาทำอาหารอะไรที่นี่เหรอครับ
พี่เชนเขาก็นั่งอยู่คุณต้องเกรงใจเจ้าของเขาบ้างนะ ผมว่าคุณกลับไปดีกว่าไหม”
“กูบอกเขาแล้วนี่ว่าขอใช้ครัว
เขายังบอกเองว่าตามสบาย มึงไปนั่งทำงานต่อเถอะไม่ต้องสนใจกูหรอก”
มันก้มหน้าลงไปหั่นต่อ
ผมถอนใจยาวหันซ้ายหันขวาเพราะความดื้อรั้นของมัน ตรง ๆ
เลยนะผมเกรงใจพี่เชนด้วยคือถ้าผมอยู่กับมันสองคนผมไม่ว่าหรอกแต่นี่คือพี่เชนนั่งอยู่ด้วยไงผมเลยรู้สึกว่ามันไม่น่าจะใช่ตอนนี้อ่ะ
ผมเดินหัวเสียกลับมานั่งลงที่เดิม
“น้องหมีครับฟังพี่เอย์ต่อนะ”
เสียงมีดกระทบกับเขียงพลาสติกดังลอดออกมาพร้อมกับเสียงทุ้มต่ำของมัน
ผมนี่สมาธิกระเจิงมาก หูตั้งจิตใจจดจ่ออยู่แต่ว่ามันจะพูดอะไรแปลกๆออกมาอีก พี่เชนปรายตามาที่ผมเป็นระยะ
“ในช่วงที่เขาไปเรียนปีแรก
คนรักของผู้ชายคนนั้นส่งข้อความไปให้ตลอดเลย เขายิ้ม เขาดีใจ แต่ในขณะเดียวกันเขากลับโกรธและโมโหตัวเองมากที่ไม่สามารถแม้แต่จะตอบอะไรกลับไปได้
เขาเสียใจเพราะเขารู้ว่าคนรักของเขาจะต้องทรมานมากแค่ไหนที่ไม่ได้ข้อความหรือข่าวคราวจากเขาเลย”
ผมนิ่งอยู่อย่างนั้นถ้อยคำทุกคำผ่านเข้ามาในหัวใจของผมทั้งหมด
แอบหันไปมองคนที่อยู่ในครัวช้า ๆ แต่ดันป๊ะสายตากับพี่เชนอีกจนได้
คือผมอยากบอกว่าหน้าพี่เชนคือตลกมาก
หน้าจืดๆคงทำหน้าไม่ถูกคิดว่าพี่เอย์จะมาพูดอะไรกับผมตอนนี้
“น้องหมีคิดดูสิครับ
ผู้ชายคนนั้นทรมานแค่ไหนต้องหักห้ามใจตัดช่องทางการสื่อสารติดต่อทุกอย่างกับคนรักของเขา
หัวใจที่แหลกสลายลงไปทุกวันๆ เมื่อคิดแต่ว่าคนรักของเขาสักวันนึงจะต้องท้อ รอเขาจนเหนื่อยท้อและทรมานลงเรื่อย
ๆ
เขาแสนเจ็บปวดทุกครั้งที่คิดว่าตัวเองเป็นต้นเหตุที่ทำให้คนรักของเขาต้องเหมือนคนที่ตายลงทั้งเป็น
จนกระทั่งหนึ่งปีผ่านไป
ข้อความที่เริ่มห่างลง ในที่สุดคนรักของเขาก็ไม่ส่งข้อความหาเขาอีกเลย เขาร้องไห้
เขาสับสน กี่ร้อยกี่พันครั้งที่มือของเขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วจะกดโทรออก
แต่แล้วเขาเองก็ต้องหักห้ามใจไว้
ในเมื่อเขาทุ่มเทแรงใจมาขนาดนี้แล้วบอกกับตัวเองว่า
เขาจะทนให้ถึงที่สุดตอบแทนผู้หญิงที่เขาเรียกเธอว่า ‘คุณแม่’ กลับมาจะได้พูดและบอกเธอได้เต็มปากว่าเขาไม่ได้ผิดสัญญากับเธอ
ความพยายามทั้งหมดของเขาจะต้องไม่สูญเปล่า เขาหวังไว้ว่าเมื่อกลับมาทุกอย่างระหว่างเขากับคนที่เขารักจะยังคงเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนไป
แม้ว่ารู้ทั้งรู้นี่คือการหลอกตัวเองอยู่ทุกวี่วัน จะมีใครบ้างที่เฝ้ารอคอยอย่างไร้ความหวัง จะมีใครบ้างที่อดทนรอคอยโดยไร้จุดหมาย
และจะมีใครบ้างที่หัวใจยังไม่ด้านชาถ้าหากถูกทอดทิ้งและปล่อยให้รอคอยเนิ่นนานขนาดนี้”
พรึ่บบ!!
ผมลุกพรวดขึ้นอีกครั้งเดินเข้าไปหยิบน้องหมียักษ์มันออกมาหนีบไว้ที่เอว
“พอเถอะครับ ผมว่าคุณหยุดพูดได้แล้ว ทำไมต้องพูดเรื่องอะไรในที่แบบนี้ด้วย
พี่เชนก็นั่งอยู่ด้วย คุณเกรงใจเขาหน่อยเถอะครับ"
“เกรงใจทำไมกูแค่เล่านิทานให้น้องหมีฟัง
หมีมานี่นะ มาฟังพี่เอย์เล่าต่อนะครับ” มันเอื้อมมือมาหยิบหมีไปตั้งไว้ที่เดิมหน้าตาดื้อดึง
ลงมีดกับเนื้อมะเขือเทศฝานเสียสวยเชียว
สามปีมันไปหัดทำมาจนชำนาญขนาดนี้เลย? ผมเอนตัวพิงผนังข้าง ๆน้องหมี กอดอกไว้ลองฟังว่ามันจะพูดอะไรต่ออีก
“น้องหมีครับผู้ชายคนนั้นน่ะ
คิดอยู่ตลอดเวลาเลยนะ วาดฝันไว้ตลอดถึงวันที่เขาจะกลับมาเจอกับหัวใจของเขาอีกครั้ง
แต่พอกลับมาแล้วทุกอย่างมันเปลี่ยนไปหมด คือเขาทรุดมาก ทุกอย่างคือดับมืด
มองไปทางไหนกลับเหมือนคนที่อับจนไร้หนทาง เขาออกตามหาจ้างนักสืบขับรถวนเวียนค้นหาทุกวันทุกคืน
จนสองเดือนผ่านไปมีข่าวแจ้งมาว่าคนรักของเขาทำงานอยู่ที่ศูนย์รถยนต์แห่งหนึ่ง
ตอนนั้นคือหัวใจเขานี่เหมือนกับเจอโอเอซิสกลางทะเลทราย
ขับรถไปแอบดูทุกครั้งที่มีเวลา
แค่เห็นว่าคนรักของเขายิ้มได้หัวเราะได้ยังอยู่กับเพื่อนดีๆกลุ่มเดิมมันก็ทำให้เขาสบายใจ
เขารีบดำเนินการทำทุกๆอย่าง จนในที่สุดเขาสองคนกลับเจอกันอีกครั้ง”
ผมยืนมองมันนิ่งยอมรับว่าจิตใจหวั่นไหวไปกับถ้อยคำของพี่เขามาก
แต่ก็ยังควบคุมระดับของอารมณ์ไว้ได้ พี่เอย์คดข้าวมาเตรียมไว้
ตอกไข่สองใบใส่ถ้วย เทกุ้งสำเร็จใส่จานเล็ก ๆ มะเขือเทศแครอททุกอย่างหั่นพร้อม
มันตั้งกระทะกดสวิทไฟใส่น้ำมันแล้วเททุกอย่างรวมกันในครั้งเดียว
ผมกำลังจะอ้าปากบอกแต่ก็คิดได้ว่า ปล่อยให้มันทำต่อไปแบบนี้ก็ดี
บางครั้งการยืนมองมันเฉย ๆ ก็รู้สึกสบายใจกว่าการเข้าไปบอกโน่นนี่นั่น
ผมรู้สึกว่าทำไมหัวใจผมหวั่นไหววะ
เหี้ยเหอะผมรีบสะบัดหัวไล่ความรู้สึกนั้น....คล้ายกับความรู้สึกเมื่อสามปีก่อนมากจริง
ๆ
ในที่สุดข้าวผัดกุ้งร้อน
ๆ หน้าตาตลกๆ ถูกตักออกจากกระทะและวางลงบนโต๊ะ ผมเหล่ตามอง
“น้องหมีครับ
น้องหมีว่าพี่เอย์ทำถูกไหมครับ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้พี่เอย์ยังจะเลือกทำแบบนั้นอยู่ไหม?
เลือกปล่อยมือจากคนที่ตัวเองรักแล้วเดินจากไป โดยที่ไม่บอกแม้คำว่าลา
หายไปโดยไม่ติดต่อกลับมาเลย แต่ทว่า พอถึงเวลาที่ต้องกลับมายังมีหน้ามาทวงสัญญา
ทวงคำว่ารักจากเขาคนนั้น ทั้งที่ตัวเองเป็นคนฉีกสัญญานั้นทิ้งไป
เป็นคนปล่อยมือก่อน พี่เอย์คนไม่ดี โคตรของความโง่และเห็นแก่ตัวเลยใช่ไหม”
“คุณเอย์หยุดเถอะครับ
อย่าพูดอีกเลยนิทานของคุณไร้สาระมากจริง ๆ ไม่มีใครเขาฟังหรอกครับ”
“กูเล่าให้น้องหมีฟังเหอะ”
“ถ้างั้นผมจะอุดหูน้องหมีไว้”
ผมคว้าน้องมาแล้วเอามือพับหูสองข้างลง พี่เอย์หยิบแตงกวาที่ล้างสะอาดแล้ว มาเริ่มปอกเปลือกแบบช้า
ๆ กระท่อนกระแท่น
มันค่อยๆเงยหน้ามองผม
เราสองคนสบสายตากัน
“กูรู้ว่าสิ่งที่กูทำผิดมากต่อความรู้สึกของมึง
แต่ถ้าหากว่าย้อนเวลากลับไปได้กูก็ยังจะเลือกทำแบบนั้นอยู่เหมือนเดิม
ทว่าสิ่งที่จะแตกต่างจากเดิมคือกูจะเลือกบอกเหตุผลทุกอย่างกับมึง อย่างน้อย ถ้าหากครั้งสุดท้ายในชีวิตที่ต้องเลือกระหว่างครอบครัวกับหัวใจ
กูจะได้บอกกับครอบครัวได้ว่ากูทำทุกอย่างตามความต้องการของคุณแม่เต็มที่แล้ว กูตอบแทนให้ท่านเต็มที่แล้ว
หลังจากนี้ต่อไปกูจะขอทำตามหัวใจของตัวเองบ้าง”
พี่เอย์ก้าวเข้าหา
มองหน้าผมนิ่งด้วยแววตามุ่งมั่นเหมือนเมื่อคืนไม่มีผิด ผมก้าวถอยหลังแต่ถอยต่อไปไม่ได้อีกเพราะแผ่นหลังชนเข้ากับผนังแล้ว
พี่เขาขยับสายตามองต่ำลงที่ตัวน้องหมีที่ผมอุ้มไว้
มันจ้องที่สร้อยคอของน้อง ผมเพิ่งสังเกตจริง ๆ ว่ามีเชือกเส้นนึงคล้องป้ายหนังอะไรสักอย่างไว้
พี่เอย์จับป้ายสี่เหลี่ยมเล็กๆพลิกอีกทางเพื่อเปิดข้อความที่ถูกซ่อนอยู่
โชว์ให้ผมได้เห็น...
‘ขอโทษ’
ผมตัวชานิ่งไปกับข้อความของมัน
ปลายเท้าของเราชนกันแล้ว พี่เอย์ขยับเข้ามาใกล้มาก ผมเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาคมจ้องหน้าผมนิ่ง
“ขอโอกาสให้กูสักครั้ง”
กริ๊งงงงงงงงง
เสียงโทรศัพท์ออฟฟิศดังขึ้นผมสะดุ้งรีบจับตัวน้องหมีดันมันออกไปคือพี่เอย์ยืนชิดผมมากจริง
ๆ ผมหันไปมองพี่เชนคือโคตรจะเกรงใจ
พวกผมมาปรับความเข้าใจอะไรกันตรงนี้แล้วพี่เขาจะคิดยังไงแบบไหน เฮ้ออ
“ปิง
ลูกค้าโทรมา เขาจะคุยกับมึง” พี่เชนตะโกนเรียก ชะเง้อคอมา ผมเอาน้องหมียัดใส่อกมันไว้แล้วเดินออกมารับโทรศัพท์เลย
ผมคุยอยู่ครู่เดียวแล้ววางเป็นบริษัทโพล่า
ที่ผมดูแลอยู่เขาปรึกษาเรื่องเซิร์ฟเวอร์เห็นว่าอยากจะได้อันใหม่แล้วบอกให้ผมหาให้
ผมเลยบอกโอเคเดี๋ยวจะหาให้ ถามสเป็คถามราคากันนิดหน่อยเขาเข้าใจแล้วก็วางไม่มีอะไรมาก
“เป็นไง
บริษัทนี้ติดใจมึงแล้วดิ่”
ผมยิ้มบาง
จริง ๆ คุยกับพี่เชนก็ได้เหมือนกันแต่คือที่นี่ผมเข้าไปดูเครื่องให้เขาบ่อย
เจ้าของเขาเลยค่อนข้างสนิทและไว้ใจผม ผมก้มลงหยิบแฟ้มของอีกงานขึ้นมาแล้วชี้ให้พี่เชนดู
เลย์เอาท์ของงานออกแบบระบบคร่าว ๆ ของอัศวออโต้ฯนั่นแหละ
ผมลองร่างแบบไว้ตอนที่นึกได้ ไม่รู้ว่ามีอะไรที่ต้องแก้ไขไหม พี่เชนเลื่อนเก้าอี้เข้ามาหาหยิบดินสอมาวงๆในส่วนที่บกพร่อง
ผมกับพี่เขาปรึกษางานกันแบบนี้ประจำ
เคร้ง!!
เสียงจานกระแทกลงบนโต๊ะกระจกต่อหน้าต่อตาพวกผม
ผมกับพี่เชนแตกกันไปคนล่ะทางไม่ใช่อะไรนะ
คือคนบ้าที่อยู่ในครัวเดินเข้ามาแทรกกลางระหว่างผมสองคนที่กำลังคุยงานกันอยู่
อิพี่เอย์แม่งยืนกั้นไว้เลยคือมันตัวสูงใหญ่ด้วยไง พี่เชนนี่คืองงเลย
“กินข้าวดิ่
กูทำให้มึงนะ” มันวางแก้วน้ำลงข้าง ๆ จานที่มันกระแทกลงเมื่อตะกี้ น้ำเสียงนี่คือ
พี่เป็นผู้หญิงเหรอวะ คือเง้างอนเชี่ยไรเป็นผมต่างหากที่โกรธมันอยู่
“แล้วทำไมถึงมีจานเดียวล่ะครับ
พวกผมนั่งอยู่สองคนนะ” ผมถามเย็นชา
“จิ๊!” พี่เอย์ทำเสียงในลำคอผมเงยหน้าขึ้นไปมองมัน
มันยืนค้ำหัวผมไว้ คือบังระหว่างผมกับพี่เชนอ่ะง่าย ๆ เลย
“เรื่องดิ่
กูทำให้มึงกินคนเดียวเหอะ”
“อ้าวเมื่อกี้ยังเห็นผัดเต็มกระทะนี่
ตักมาเผื่อพี่เชนด้วยสิครับ แล้วของคุณล่ะไม่กินด้วยกันกับผมเหรอ”
“กูเททิ้งแล้ว”
มันกัดปากหน้ามุ่ย คงไม่พอใจสุดๆที่ผมจะให้มันตักมาเผื่อพี่เชน
ผมรู้ผมแอบขำอยู่ในใจเหมือนกันนะ
“หือ?”
“น้องหมีกินหมดแล้ว
แบ่งไว้ให้มึงแค่จานเดียว” มันว่าแล้วเดินอ้อมๆมานั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งซ้ายมือของผมดึงเก้าอี้ผมให้ห่างออกจากพี่เชน
หน้าคุณชายนี่งอมาก ผมแอบๆมองไปที่เจ้าของออฟฟิศอย่างพี่เชนคือรู้สึกสงสารพี่แกว่ะ
ที่ต้องมานั่งรับฟังอะไรแบบนี้ของพวกผม
“กินดิ”
เสียงพี่เอย์ดังขึ้น ผมมองดูข้าวผัดในจาน
นึกไปถึงข้าวผัดไหม้ๆของมันเมื่อสามปีที่แล้ว
คุณเชื่อไหม...วันนี้กับวันนั้นสีของข้าวผัดไม่ได้ต่างกันเลย คือดำๆด่าง ๆ
หน้าตาแบบไม่สวยงาม ผมกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ รสชาติของวันนั้นผมจำไม่ได้หรอก
กินทั้งน้ำตารสชาติคงขมขื่นแหละ แต่วันนี้รสชาติมันจะเป็นยังไงวะ
เออรู้สึกหิวเหมือนกัน
ผมตัดสินใจลุกขึ้นเดินเข้าไปด้านหลังหยิบจานเล็กกับช้อนมาอีกคัน
ตักแบ่งข้าวผัดใส่จานแล้วยื่นส่งให้พี่เชน ผมแอบๆมองมันนิดๆหน้านี่คืองอมากตาเขียวปั๊ด แต่ผมไม่สนใจพี่เชนพี่ชายผมอ่ะ
ทำให้ผมกินต้องให้พี่ผมด้วย ส่วนตัวมันปล่อยไว้งั้นแหละไม่ต้องมากินด้วยหรอก
“เฮ้ยกูไม่หิวหรอก
มึงกินเลย” พี่เชนเลื่อนจานคืนมา ยิ้มเจื่อน ๆ
“ผมกินไม่หมดหรอกพี่
พี่ช่วยผมกินนะ”
“ไม่ดีหรอกปิง”
พี่เชนมองไปที่มันแล้วรีบหลบตา หันมองหน้าจอของตัวเองอย่างเร็วคือพี่เอย์จ้องเขม็งอ่ะ
ใครจะไปกล้ากิน
“คุณเอย์ครับคุณเล่นมานั่งจ้องกันแบบนี้พวกเราไม่กล้าจะกินหรอกนะครับ
มีอะไรคุณก็ไปทำต่อสิในครัวโน่นน่ะ” ผมไล่
พี่เอย์ยังคงนั่งหน้างอกัดปากมองพวกผมสองคนไปมา
ผมก็ไม่แตะเลยนะช่างดิ่ รอให้มันเดินไปก่อนแล้วจะลองชิมดู ในที่สุดมันลุกพรวดขึ้นเดินอ้อมไปหยิบช่อกุหลาบสีแดงที่ผมวางเอาไว้บนโต๊ะเตี้ย
ๆ ข้างโซฟา พี่เอย์เดินถือช่อดอกไม้เข้ามาผมนี่หลับตาอย่างเร็วเลย
ภาวนาในใจอย่าทำอะไรเสี่ยว ๆ ประเภทเอามายื่นให้ผมที่โต๊ะนะคือพี่เชนนั่งอยู่ข้าง
ๆ ด้วยไงคือผมก็อายเป็นนะ
ที่ไหนได้มันเดินหายเข้าไปด้านใน
ผมถอนใจโล่งเลยดิ่ รีบมองไปทางมันเห็นกำลังทำอะไรกับช่อกุหลาบ ผมเลยลองตักข้าวผัดชิมดู
เลื่อนจานเล็กส่งให้พี่เชนอีกครั้ง พี่แกมอง ๆ ผมพยักหน้าให้ในที่สุดก็ค่อยตักใส่ปากเหมือนกัน
จริง ๆ
เราสองคนลิ้นจระเข้มากกินอะไรก็ได้ไม่ค่อยสนใจรสชาติหรอกครับอร่อยหรือไม่อร่อยไม่รู้เรื่องหรอกขอให้อิ่มท้องแล้วนั่งทำงานต่อได้อย่างเดียว
“หวานว่ะ”
พี่เชนพูดเบา ๆ ผมคาบช้อนไว้เลิกคิ้วถาม
หวานตรงไหนวะ ทำไมผมรู้สึกว่าคือมันจื๊ดจืด
“โคตรของความหวานเลี่ยน
นี่ถ้ากูเข้าไปโก่งคออ้วกในห้องน้ำคนทำเขาจะปรับค่าเสียหายลงในงานของเราป่ะวะ
ความเสี่ยงหลายล้านเลยนะมึงข้าวจานนี้” พี่เชนว่าแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ ผมเบ้ปากใส่
“หึหึหึ
หวานเหี้ยๆเลยมึง”
“พี่ก็พูดไป
หวานที่ไหน เนี่ยมันข้าวผัดกุ้งที่ขมที่สุดเลยพี่รู้ป่ะ”
ผมประชด พี่เชนหัวเราะหึหึแล้วส่ายหน้า
หันไปมองด้านในคนบางคนกำลังยืนแกะช่อดอกกุหลาบเก้ๆกัง ๆ ดอกไม้คือเหี่ยวนิดๆแล้วมันเอาไปล้างใหม่เปิดน้ำใส่ก็แร๊งแรงคือหน้าดอกช้ำหมด
พวกผมสองคนรีบหันกลับมาพร้อมกันตอนที่พี่เอย์เดินกลับมาพร้อมกับดอกไม้ในมือ
เสียงพรมแป้นพิมพ์ดังรัวมาอีกครั้ง
ราวกับว่าผมกับพี่เชนกับลังประลองกันอยู่
เก้าอี้ผมขยับผมเลยเงยหน้าขึ้นมอง
มันแทรกตัวเข้ามาระหว่างพวกผมอีกแล้ว ยื่นมือเอาดอกไม้มาเสียบลงที่แก้วปากกาตรงหน้าผมหนึ่งดอก
มองหน้าผมตาละห้อยแต่ผมไม่สน มันเลยเดินออกไปที่โต๊ะอื่น ๆ เสียบให้โต๊ะละหนึ่งดอกครบทุกโต๊ะแม้แต่ที่เคาน์เตอร์มีแก้วการ์ตูนสีชมพูของพี่พิมวางทิ้งไว้มันก็ยังเอาไปเสียบ
ตอนนี้ทั้งออฟฟิศเลยเต็มไปด้วยกุหลาบสีแดงโต๊ะละดอก
แต่ว่า....คงมีแต่โต๊ะพี่เชนที่มันตั้งใจไม่เสียบลงให้ พี่เขาก็มอง ๆ นะ
กวาดตามองทั้งออฟฟิศแล้วก็มองลงที่แก้วปากกาของตัวเอง
คงรันทดแหละ
คงจะคิดอยู่เหมือนกันว่าทำไมโต๊ะกูถึงไม่ได้วะ
นี่ถ้าผมเอาหนึ่งดอกจากแก้วผมไปปักไว้ให้พี่เขาแทนนี่คือผมว่าเป็นเรื่องใหญ่แน่
ๆ เลยเฉยไว้
เด็กโข่งในชุดกันเปื้อนทับเชิ๊ตสีเทาเข้มหรูหราทิ้งตัวนั่งลงด้านหน้าโต๊ะผม
ผมรีบขยับ ๆ หันหน้าจอบังหน้ามันไว้ คือไม่อยากให้มันจ้องหน้าผม อิพี่เอย์แม่งแย่
มันเลื่อนจอผมหันออกแล้วมันก็นั่งมอง
จ้องหน้าผมอยู่แบบนั้น
“สองทุ่มแล้ว”
มันพูดขึ้นน้ำเสียงอ้อน ๆ
“วันนี้มึงนอนไหน?”
ผมหยุดมือจากแป้นพิมพ์ทันทีหว่างคิ้วนี่คือย่นเลยนะ ตกใจหน้าตื่นกับคำถามของมัน
ที่สำคัญคือพี่เชนที่รัวมืออยู่ตลอดก็หยุดชะงักลงด้วย คือพี่เอย์ก็ไม่ได้พูดดังหรอกแต่ว่าผมกับพี่เชนนั่งอยู่ติดกันพี่เขาก็ต้องได้ยินคำถามมันอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ
“ปิง”
มันเรียกขึ้นมาอีกเมื่อเห็นว่าผมเงียบไม่ตอบมัน
“ผมจะนอนที่ไหนไม่เกี่ยวกับคุณนี่ครับ”
ผมตอบแล้วเลี่ยงเข้าโหมดทำงาน เอื้อมมือข้ามไปเอาแฟ้มที่โต๊ะพี่เชน ชะโงกหน้าเข้าไปดูหน้าจอพี่เขานิดนึงอยากรู้ว่าทำไปได้ไกลหรือยัง
ผมแทบขำก๊ากเกือบหลุดหัวเราะออกมาเมื่อเห็นว่างานพี่แกไม่ได้เดินหน้าเล๊ย
แล้วไอ้เสียงรัวคีย์บอร์ดนั่นมันคืออะไร แสดงว่าแอบดูแอบฟังพวกผมอ่ะดิ๊
ปกติแล้วพี่เชนนี่คือเร็วมาก
จู่ ๆ
พี่เอย์ลุกพรวดพราดขึ้นผมแหงนหน้ามองมันทำหน้ามุ่ย “กูจะกลับแล้ว” มันกระแทกเสียงถอดผ้ากันเปื้อนออกเดินเข้าไปอุ้มน้องหมีที่นั่งอยู่ในครัว
“น้องหมีกลับกันนะครับ
เรากลับห้องเรากันนะ ห้องของเราไงห้องของเราสองคน ห้องที่เราทำอะไรๆด้วยกัน
กินด้วยกันเล่นด้วยกันแล้วก็นอนด้วยกัน”
“อ่ะ..แค่กกกๆๆๆๆ
” เสียงพี่เชนสำลักน้ำที่กำลังดื่มทันที ผมนี่หน้าตาเสียคืออิพี่เอย์แม่งพูดอะไรไม่ได้ดูหน้าคนเล๊ยยย
ผมรีบหันไปมองหน้าพี่เชนอีก
คือพี่แกหน้าแดงแป๊ด
น้ำหกจนเลอะเทอะไปหมดพี่เอย์ยืนอยู่ข้างกล่องทิชชู่พอดีมันโยนกล่องนั้นใส่อกพี่เชนรับไว้เกือบไม่ทัน
“ไม่ต้องมาอ้อนหมาปิงของกู
มึงอยากมาแอบฟังพวกกูคุยกันเองสำลักน้ำตาลก็ช่วยไม่ได้ เรื่องของมึง”
“คุณเอย์คุณพูดอะไรน่ะครับ”
ผมรีบลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปด้านหลังพี่เชน พี่เขายังไอโขลกไม่หยุด
ผมกำลังจะทุบหลังให้แต่เจอสายตาอำมหิตจ้องมาเลยต้องชะงักมือไว้แค่นั้น
“ไหนว่าจะกลับไงครับ
รีบกลับไปสิ” ผมไล่อีก
“มึงก็เดินออกไปส่งกูสิ”
ผมถอนใจยาวส่ายหัวไปมาคือระอาใจมากพี่เอย์เอาแต่ใจรั้นแล้วก็คือไม่ยอมรับอะไรเลย เรื่องของเราคือจบไปแล้วแท้
ๆ มันเองก็รู้ยังจะมาทำมาพูดอะไรแบบนี้อีก
ผมเดินออกไปหามัน
พี่เอย์ยื่นน้องหมีส่งให้ผมเลยอุ้มเอาไว้เดินตามออกไปส่งมันที่หน้าออฟฟิศ
รถมันจอดอยู่ที่เดิม
ที่เดียวกันกับเมื่อคืนที่ผมกับมันยืนอยู่ภายใต้ร่มคันเดียวกัน
ผมเงยหน้ามองท้องฟ้าดูเหมือนเมฆจะดำกว่าทุกวันคล้ายฝนจะตกลงมาอีกในค่ำคืนนี้
สายลมอ่อนพัดผ่านเข้ามา ต้นโมกที่เรียงตัวเป็นแนวรั้วของตึกส่งกลิ่นหอมของดอกสีขาวโชยเข้ามาแตะถึงปลายจมูก
บรรยากาศคือดีมากจริง
ๆ
“ห้องที่คอนโดรกมากเลย
มึงพอจะรู้จักใครเรียกเข้าไปทำความสะอาดให้กูได้ไหม”
“คุณเรียกพนักงานของที่นั่นให้เข้าไปทำให้ก็ได้นี่ครับ”
พี่เอย์นิ่งไปนิด
จ้องหน้าผม “ใจร้ายกับกูจังนะ”
“คุณไม่ใช่เหรอครับที่ใจร้ายกับผมก่อน”
ผมเองก็จ้องหน้ามัน นันย์ตาพี่เอย์เศร้าลง ใบหน้าดูหมองลงมากจริง ๆ
“นั่นสินะ
คนใจร้ายแบบกูมันก็สมควรแล้วที่โดนมึงเมินแบบนี้”
“รีบกลับไปเถอะครับ
ฝนจะตกแล้ว”
“ปิง”
“........”
“ทุกอย่างของเรา
จะจบแบบนี้จริงๆเหรอ”
ผมก้มหน้านิ่งทันทีกับคำถามของมัน
เรื่องราวของผมกับมันจบไปนานสามปีกว่าแล้วด้วยซ้ำมันยังจะมาพูดอะไรตอนนี้อีก
“คุณอยากจะพูดอะไรหรือครับ”
“กูอธิบายทุกอย่างให้มึงฟังไปแล้ว
เรื่องที่บ้านของกู ข้อตกลงระหว่างกูกับแม่ของกู เหตุผลที่กูไม่ได้ติดต่อกลับมา
กูไม่อยากให้ทุกอย่างมันสูญเปล่า
ในเมื่อเราสองคนอดทนมาถึงขนาดนี้แล้วเราจะอดทนไปด้วยกันจนถึงที่สุด กูคิดแค่นั้นรอวันกลับมาหามึง”
ผมจี๊ดขึ้นทันทีที่ได้ยินคำพูดคำจาของมัน
สายตาแข็งกร้าวจ้องมันนิ่ง สะดุดหูที่สุดกับคำว่า เราจะอดทนไปด้วยกัน
ผมเดินหน้าเข้าหาผลักไหล่มันท้าทายเลย คือแบบพูดจี้ใจกันจริง ๆ
“ใครอดทนไปพร้อมกับคุณหรือครับ?
คุณบอกว่าคุณอดทนเพื่อรอวันกลับมาหาผม คุณมีจุดหมายปลายทางของความอดทนคุณก็รอได้สิ
แล้วผมล่ะ! ผมรออย่างคนโง่ที่ไม่รู้อะไรเลยสักอย่างเดียว
ผมอดทนรอโดยที่ไม่เคยได้อะไรตอบแทนมาให้ชื่นใจเลยแม้แต่ครั้งเดียว
คุณคิดว่าผมไม่เสียใจเหรอ ผมก็คนนะ เสียใจเป็น ร้องไห้เป็น เจ็บปวดเป็น
คุณเห็นผมเป็นอะไรดูถูกหัวใจของผมเหรอ ขอแค่คุณบอกผมแค่คำเดียวว่าคุณจะกลับมา ต่อให้เป็นสิบหรือยี่สิบปีหรือสามสิบปีผมก็จะรอคุณ
แต่คุณเลือกที่จะทิ้งผมไปโดยที่ไม่บอกอะไรเลย ผมเสียใจ ผมเสียใจมากจริง ๆ
ทุกคืนผมจะนอนนึกถึงคุณ ร้องไห้หา ละเมอฝันว่าคุณนอนอยู่ข้าง ๆ จนผมตื่นขึ้นถึงได้รู้ว่าความเป็นจริงแล้วไม่มีคุณอยู่ข้าง
ๆ ผมเลย ผมผิดเหรอถ้าผมเลือกที่จะเลิกรอ ผมผิดมากไหมถ้าวันนึงผมจะรับใครเข้ามาแทนที่คุณ
คนเราเมื่อความเหงามันกัดกินจนหัวใจผุกร่อนไปหมด
ย่อมรับเอาใครอีกคนเข้ามาแทนที่ได้ง่าย ๆ
ผมผิดไหม....ฮึกก...ถ้าผมจะมีใครคนอื่นไปแล้ว...ฮึกก...ฮอึ่กก...ผมผิดไหม.....ฮึกก....”
ผมโกหกมัน โกหกทั้งหมด ผมไม่ได้มีใคร ผมไม่เคยมี!! สามปีที่ผมรอ ผมไม่เคยรับใครเข้ามาแทนที่พี่เอย์ของผมเลย
คนๆเดียวในหัวใจของผมก็คือมัน แต่ผมเจ็บปวดมากจริง ๆ จะมีอะไรมารับประกันกับผมได้ ผมจะมั่นใจได้ยังไงว่าผมจะไม่ถูกมันทิ้งไปอีก
พี่เอย์ค่อยก้าวเข้ามาหา
มันยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่ไหลตกลงมาให้ผม ปาดออกอย่างช้า ๆ แสงจันทร์รำไรสะท้อนหยดน้ำใสในดวงตาของมันเช่นกัน...พี่เอย์เองก็ร้องไห้
“อย่าโกหกกู ปิงเด็กดีไม่โกหกพี่เอย์นะครับ”
ผมร้องไห้โฮออกมาทันทีที่มันพูดจบ
ทำไมพี่เอย์ถึงรู้ว่าผมโกหก
ทำไมถึงได้รู้
น้ำตาทะลักไหลออกมาคือผมไม่รู้เลยทำไมผมถึงอ่อนไหวแบบนี้ทั้งที่กับคนอื่นผมร้องไห้ยากมากแต่กับพี่เอย์แล้วคำพูดของมันกินใจผมนิดเดียวผมร้องเลย พี่เขายกมือขึ้นมาลูบแก้มผม อ่อนโยน
ตอบคำถามทุกอย่างที่ค้างคาใจผมว่ามันรู้ได้อย่างไรว่าผมพูดโกหก
“นัยน์ดวงตาของมึงมีแค่ภาพของกูเท่านั้นที่สะท้อนออกมา
เช่นกันกับนัยน์ตาของกู คนเพียงคนเดียวที่จะอยู่ในสายตากูได้ ก็คือมึง”
ความรู้สึกบางอย่างภายในใจเอ่อล้น
ตื้นตัน ผมไม่รู้แล้วว่าตัวเองกำลังคิดกำลังรู้สึกเช่นไร หากแต่คำพูดที่ผมคนนี้อยากจะเอ่ยมากที่สุดในเวลานี้ก็คือ.....
“เพราะว่าเราทั้งคู่สัญญากันไว้แล้วไง” ใช่ครับ... เพราะว่าเราสัญญากันไว้แล้ว
พี่เอย์เอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำในขณะที่ผมเอ่ยถ้อยคำเหล่านี้ดังกังวานอยู่ในหัวใจ
ไม่น่าเชื่อว่าเราสองคนเอ่ยคำๆเดียวกันขณะที่คนหนึ่งพูดมันออกมาอีกคนกลับคิดอยู่ในใจ
มือใหญ่และเย็นมือเดิมดึงผมเข้าไปกอด
อ้อมกอดที่ผมคิดถึงมากที่สุด ปรารถนามากที่สุด และเฝ้ารอคอยมากที่สุด
สามปีกับอีกสามเดือน
หนึ่งพันหนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าวัน
สองหมื่นแปดพันสองร้อยชั่วโมง
หนึ่งล้านหกแสนเก้าหมื่นสองพันนาที
ความรู้สึกของผมคนนี้
ยังคงเหมือนเดิม
ไหล่พี่เอย์อบอุ่นแข็งแรงและเป็นที่พักพิงให้หัวใจผมได้เสมอ
ความทรงจำครั้งก่อนไหลเทเข้ามาราวกับแผ่นหนังที่ถูกรีเพลซ้ำแล้วซ้ำอีก
ถ้อยคำชัดเจนเรียงร้อยออกจากหัวใจสองดวงที่รวมเป็นหนึ่งเดียว
“พี่เอย์ครับ ถ้าพี่ได้ผมแล้วพี่ยังจะเป็นพี่เอย์คนเดิมของผมอยู่ไหม”
“ไม่ว่าจะกี่ปีผ่านไป กูก็ยังจะเป็น ‘พี่เอย์’ คนเดิมของมึง กูสัญญา”
“สัญญากับกูว่าจะไม่ปล่อยมือนี้ เราจะจับกันไว้จนถึงที่สุด........สัญญาได้ไหม”
“ผมสัญญา”
“เรามาเริ่มกันใหม่นะ
ที่ผ่านมากูขอโทษ”
กาลครั้งนั้นยังอบอุ่นในใจ
รู้สึกทุกครั้งว่าเธอยังดูแลฉันใกล้ ๆ
เหม่อมองฟ้าแล้วถอนหายใจ
เหมือนเราได้พูดกัน
ราวกับเธอนั้นไม่เคยจากไปไหน
ยังคงยืนส่งยิ้มให้กำลังใจอยู่ในความทรงจำ
หากชีวิตนี้เร็วดั่งความฝัน
กาลครั้งหนึ่ง ดีใจนะที่เราพบกัน....
Tbc.