# 26 อยากหมุนเวลา.....
“อะไรนะครับ! ผู้จัดการ”
“พิชย
คุณฟังไม่ผิดหรอก นี่คือรายชื่อที่ทางสำนักงานใหญ่ส่งมา พวกคุณทั้งสามคนถูกแลกตัวไปประจำอยู่ที่
อัศวออโต้คาร์ ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป”
ผม
หมาบาสและวุฒิ เดินออกมาจากห้องผู้จัดการของศูนย์รถยนต์ญี่ปุ่นชื่อดัง เราสามคนต่างเงียบ
ในใจผมตอนนี้คือหนักอึ้งมาก รู้เหตุผลทั้งรู้ว่าเพราะเหตุใดถึงมีรายงานคำสั่งออกมาแบบนั้น
“พี่ปิง
ยิ้มหน่อยสิพี่เราควรจะดีใจกันไม่ใช่เหรอ
นับตั้งแต่พรุ่งนี้ไปเราจะได้ไปประจำอยู่ที่ศูนย์รถยนต์ยุโรปที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยเลยนะพี่
ได้ยินข่าวว่าแต่ละวันมีรถเข้ามาใช้บริการเป็นร้อย ๆ คัน พนักงานเขาก็เยอะ
ศูนย์ซ่อมบำรุงใหญ่กว่าที่นี่สามสี่เท่าโน่นแน่ะ
ที่สำคัญที่สุดโชว์รูมรถของที่นั่น
พวกเราสามคนเคยซิ่งมอไซด์ผ่านแล้วชะเง้อคอมองกันตอนเราเรียน ปวช. อยู่ไงพี่ พี่ปิงยังจำได้ไหม”
หมาบาสพูดปลอบใจผมขณะที่ไอ้วุฒิตบลงที่บ่าผมอย่างปลอบใจ
ทั้งที่ตัวมันสองคนหน้าเสียไม่แพ้กันกันกับผมหรอก ผมรู้ครับว่า อัศวออโต้คาร์
ยิ่งใหญ่จริง ดีจริง ทุกอย่างคือดีมาก ศูนย์ซ่อมรถยุโรปชั้นแนวหน้า แต่คือพวกผมก็รักที่นี่นะ
ถึงจะเป็นศูนย์รถยนต์ญี่ปุ่นแต่เราก็มีพรรคพวกที่สนิทสนมกันมาเป็นปี ๆ
เราเข้ากันได้ ทำงานร่วมกันไม่เคยมีปัญหา ผมพอใจที่เล็กๆของผม
แต่แล้วมันคืออะไรจู่ ๆมีคำสั่งให้ผมย้ายไปประจำอยู่ที่นั่น
ซ้ำร้ายยังมาบังคับเพื่อนผม บาสกับวุฒิให้พวกมันต้องไปปรับตัวตั้งตัวกันใหม่อีก
“ขอโทษนะเว้ย
กูทำให้พวกมึงเดือดร้อนจริง ๆ เลย”
“คิดมากทำไมวะ มึงไปอยู่ที่ไหนพวกกูสองคนต้องตามไปอยู่ด้วยอยู่แล้ว เราสามคนเพื่อนตาย”
ไอ้วุฒิแม่ง
มึงพูดซะกูซึ้งเลย ผมแกล้งเอาหน้าไปเช็ดๆหัวไหล่มันหมาบาสเลยเล่นบ้าง
เราสามคนกลับมายิ้มได้อีกครั้ง ไล่เตะกันไปเรื่อย
เย็นวันนั้นผมแวะกลับออฟฟิศ
ปลดกระเป๋าแล้ววางลง พี่เชนหน้าตายุ่งคือเหมือนคนกำลังค้นหาอะไรบางอย่าง
“ปิง
กูหาฮาร์ดดิสตัวสีฟ้าไม่เจอ มึงเห็นป่ะ ไม่รู้เผลอเอาไปวางไว้ที่ไหน”
“ไอ้ตัวสองพันกิ๊กน่ะเหรอพี่”
“ใช่ๆ”
“อ๋อไอ้ตัวนั้น
วันก่อนผมเอากลับไปทำต่อที่บ้าน ยังไม่ได้เอากลับมาเลยครับ พี่เชนรีบใช้ป่ะพี่เดี๋ยวผมกลับไปเอามาให้”
ผมเดินเข้าไปด้านในที่โต๊ะกินข้าวด้านใน
ที่ฝาชีเล็กครอบขนมทาโกะยากิที่พี่เขาชอบซื้อมาให้ผมกินวางไว้
ผมเลยจิ้มกินไปสองลูก
“เออขนมอยู่บนโต๊ะกูลืมบอกมึง
กินดิ่วะ”
“อินแอ๊ววว” ผมพูดทั้งขนมเต็มปาก
พี่เชนหันกลับมามองหัวเราะผมใหญ่ ผมยักไหล่แล้วริน้ำกินอึกๆๆ
“กินเสร็จมึงกลับไปเอามาให้กูดิ่
อ่ะนี่กุญแจรถ”
พี่เชนโยนกุญแจซีอาร์วีของพี่เขาส่งให้ ผมคาบส้อมไว้ แล้วใช้มือรับเกือบไม่ทันกำลังยัดขนมเข้าปากพอดี
“อย่านาน
เดี๋ยววันนี้งานกูไม่เสร็จได้อยู่โต้รุ่งแน่ ๆ มึง”
“คร้าบๆปิงไปเดี๋ยวนี้เลย”
ผมฝ่าฟันมรสุมรถติดช่วงเย็นด้วยบทเพลงเพื่อชีวิตเพราะๆที่อยู่ในรถของพี่เชน
เมื่อก่อนมันไม่ใช่เพลงแนวนี้หรอกนะครับแต่ผมแอบเอาแผ่นนี้มาเสียบไว้
อะไรวะซีอาร์วีรุ่นนี้ยังไม่มีช่องเสียบแฟลชไดร้ฟ์อ่ะ เออผมก็งงนะพี่เชนจะให้ขับรถยนต์มาทำไมวะ
ผมซิ่งมอไซด์แปปเดียวมันจะถึงบ้านเร็วกว่าอีก
รถจอดลงที่หน้ารั้วไม้เตี้ย
ๆ รีบวิ่งเข้าไปด้านในตัดหน้าร้านไปที่ด้านหลังไม่ได้แวะขึ้นไปที่ระเบียงหน้าร้าน
คือผมรีบมากตรงดิ่งเข้าไปที่บ้านสวนหลังเล็กของพวกเราหยิบฮาร์ดดิสตัวที่พี่เชนบอกแล้วเดินจ้ำออกมาเลย
“ปิงลูก”
เสียงแม่เรียกอยู่ที่ระเบียงหน้าร้าน ผมเงยหน้าขึ้นไปมอง มันก็ไม่ได้สูงนะแค่เป็นบันไดเตี้ย
ๆ สองสามขั้นจากพื้นดิน แล้วผมก็รีบจนไม่ได้มองเลยว่าคุณนายนั่งอยู่ นึกว่าเป็นลูกค้าแต่พอยกนาฬิกาขึ้นดูถึงได้รู้ว่านี่มันเกือบจะหนึ่งทุ่มแล้ว
แม่ปิดร้านไปแล้วนี่
“ปิงครับ มานี่เร็วขึ้นมาหาแม่”
“แม่ครับ ปิง.......”
ผมวิ่งขึ้นมาถึงได้มองเห็นชัดๆว่าเป็นใครที่นั่งคุยอยู่กับแม่และพี่ขม คำพูดชะงักกึกทันที
“ปิงมานั่งก่อนลูก
ดูซิว่าใครมา” แม่เบี่ยงตัวออก
เผยให้เห็นใครคนนั้นนั่งอยู่ข้าง ๆ แบบเต็ม ๆ
“พี่เอย์เขาซื้อของมาฝากแม่กับพี่ขมเยอะเลยนะ
มีขนมที่ปิงชอบด้วยนะลูก พี่เขากลับมาแล้ว ปิงรีบเข้ามาหาพี่เอย์เร็วลูก”
ขาผมชะงักนิ่งอยู่ที่บันไดขั้นสุดท้าย
คือรู้สึกว่าหนักอึ้งมากราวกับถูกตอกตรึงไว้อยู่กับพื้นจนก้าวต่อไปไม่ได้อีก เราสองคนสบสายตากัน
พี่เอย์ค่อยลุกขึ้นยืนช้า ๆ ทุกอย่างระหว่างเราคือเงียบไปหมด เย็นย่ำแบบนี้ที่ระเบียงไม้ระแนงใต้ลีลาวดีต้นใหญ่
สายลมอ่อนพัดพาเอากลิ่นหอมของดอกไม้สวยเข้ามาแตะกระทบถึงปลายจมูก
เส้นผมสีอ่อนปลิวพลิ้ว ผมยกมือขึ้นเกลี่ย
“ปิงกินข้าวด้วยกันก่อนนะลูก
เดี๋ยวแม่กับพี่ขมจะเข้าไปทำอาหารให้ พี่เอย์เขามารอลูกนานแล้วนะ มาเร็วเร๊ว มานั่งคุยกับพี่เขาก่อน”
แม่เดินเข้ามาหาผม
แต่คุณเชื่อไหม....สายตาของเราสองคนระหว่างผมกับมันยังไม่สามารถละออกจากกันได้เลยแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว
ผมไม่อยากเจอมันก็จริงแต่ในใจลึกๆแล้วผมก็อยากจะเก็บเกี่ยวความทรงจำที่ผมทำหล่นหายไปถึงสามปีกลับคืนมาเหมือนกัน
“ปิงลูก!” แม่เรียกขึ้นเสียงดัง เธอกระตุกแขนผมเบา ๆ ผมสะดุ้ง
ปลุกตัวเองให้ออกจากภวังค์ความคิดทั้งหมด
เรื่องของผมกับมันจบไปนานแล้ว
ไม่มีอะไรสำคัญมากกว่าเรื่องงานอีก
ผมต้องรีบกลับไป....พี่เชนรอผมอยู่
“แม่ครับ
ปิงแวะมาเอาของ วันนี้มีงานค้างเยอะต้องรีบกลับนะ” ผมบอกแม่กอดเอวอุ่น
แล้วเดินเลี่ยงลงบันได ความจริงผมไม่อยากจะหันไปมองมันอีก แต่ในระหว่างนั้นตอนที่ผมจะก้าวขึ้นรถ
อะไรบางอย่างในหัวใจกลับดึงสายตาผมให้หันกลับไปมองเรือนร่างสูงโปร่งที่ยืนเกาะราวระเบียงนิ่งจ้องมองมาที่ผม
สายตาของพี่เขาคือเว้าวอนมาก....ผมรู้ ผมรู้ว่ามันอยากจะคุยอะไรบางอย่างกับผม
ตั้งแต่เมื่อวานที่เราเจอกันที่บริษัทของมัน แต่คือผมยังรู้สึกว่าตัวเองไม่พร้อม ไม่ว่าสิ่งที่พี่เขาอยากจะคุยด้วยคืออะไร
สักวันหนึ่งถ้าหากว่าผมพร้อมกว่านี้ เข้มแข็งกว่านี้ ผมจะลองรับฟังมัน
“พี่เชนครับ”
ผมยื่นฮาร์ดดิสตัวที่ผมกลับไปเอาส่งให้
“กูต้มมาม่าไว้แล้ว
เผื่อมึงด้วย อยู่บนโต๊ะนะ ในฝาชี”
“ครับพี่”
พี่เชนยุ่งอยู่กับตัวโปรแกรมอยู่ที่หน้าจอ
เครื่องคอมที่พวกผมหอบกลับมาจากอัศวฯ เมื่อวานนี้ ถูกรื้อกระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะ
หน้าที่ผมเองที่ต้องเป็นคนประกอบเข้า เมื่อคืนผมนั่งดึงและย้ายข้อมูลจากเครื่องนี้จนเกือบจะตีสี่
ดีหน่อยที่ฮาร์ดดิสไม่มีปัญหา
“พี่เชนยังไม่กินเหรอครับ”
ผมเปิดฝาชีออกดู เส้นอืดนิดๆแล้วมีแครอทโรยหน้าด้วย พี่เชนชอบกินผักมากนะ แครอท
ผักกาดแก้ว สองอย่างนี้จะขาดไม่ได้ ต้องซื้อติดตู้เย็นไว้ตลอด
“ยังดิ่
รอมึง” พี่เชนเดินเข้ามานั่งกินข้าง ๆ ผม
“โหพี่
เกิดผมกลับมาสามทุ่มอ่ะ”
“ก็กินสามทุ่มไง”
“แล้วพี่ไม่หิวอ่อ”
“หิวนะ
แต่ไม่มาก ถ้าทนไม่ไหวยังไงกูก็ต้องกินก่อนอยู่แล้ว
มึงไม่ต้องคิดว่ากูจะรอมึงจนดึกขนาดนั้น”
“อะโด่ว
ไอ้เราก็นึกว่าจะมีคนใจดีรอกินข้าว” ผมเบะปากใส่ พี่เชนอมยิ้ม ยื่นมือเข้ามายีหัวผมอย่างเอ็นดู
ผมรู้ว่าพี่เชนพูดเล่น ปกติเราสองคนจะโซ้ยรอบดึกด้วยกันตลอด
มาม่านี่ต้องมีติดออฟฟิศ ผักกับไข่ต้องมีติดตู้เย็น
มื้อไหนใครว่างคิดจะพักสายตาจากหน้าจอก็จะเลี่ยงไปแสดงฝีมือต้มมาม่า ไม่ก็ทำอาหารอร่อย
ๆ แต่ถ้าหากว่างกันจริง ๆ พี่เชนกับผมเราจะไปซุปเปอร์ด้วยกัน หาซื้อของสดมาทำกิน
คืนนั้นเราสองคนทำงานกันจนดึกดื่นอีกแล้ว
แต่ครั้งนี้เป็นพี่เชนที่หอบหมอนหอบผ้าห่มลงมาปูนอนข้างๆโต๊ะผม
“อ้าวพี่ไม่ขึ้นไปนอนดี
ๆ อ่ะครับ” งานพี่เขาเสร็จแล้ว
“กลัวว่ามึงจะดีลีทข้อมูลในเครื่องเขาโดยไม่ตั้งใจสิ
กูต้องดูไว้ไม่ให้พลาดเด็ดขาดเลย”
“หูยยยยพี่ครับ
ผมเนี่ยระดับไหนแล้ว มีเหรอเคยทำเรื่องผิดพลาดแบบนั้น” เครื่องนั้นแหละครับที่มันหล่นและน้ำราดลงมาหน้าจอก็แตกละเอียด
แต่ผมถอดฮาร์ดดิสมันออกมาแล้ว
“แฮกเข้าไปได้ยัง”
พี่เชนถาม งานพี่แกเสร็จแล้วโล่งเลยดิ่ ผมนี่รับผิดชอบอันนี้หนักเลย
“ยังดิ่
เดี๋ยวจะเข้าได้แล้วเนี่ย อย่าเพิ่งกวนผมดิ่พี่” ผมพรมนิ้วลงที่แป้นรัวเลย
คือแรนดอมรหัสอยู่
“กูว่าคุณเอย์ตั้นอะไรนั่นแปลกๆอยู่นะปิง
เมื่อวานไม่รู้เกิดอะไรขึ้นจู่ ๆ เดินเข้าไปปัดเครื่องตกลงมาจากโต๊ะซะงั้น ตอนคุยเรื่องขอบข่ายงานกับกูแล้วก็พิมที่ห้องรับรองคือยังดี
ๆ อยู่เลย แต่พอกูขึ้นไปเห็นที่ห้องประธานนี่คือแบบ เหมือนคนล่ะคนเลยว่ะ”
หน้าผมเริ่มชา
คือไม่รู้จะตอบพี่เชนกลับไปว่าอะไร ผมคิดว่าผมรู้เหตุผลที่พี่เอย์ทำแบบนั้น
แต่พี่เชนไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยเลยย่อมต้องสงสัยเป็นธรรมดา
“แล้วที่สำคัญอยากจะให้เราเข้าไปวางระบบให้
แต่จะมาลองภูมิเราหรือยังไงแบบไหนกันวะ ทำไมไม่ยอมให้รหัสเครื่องมาต้องให้เราแฮกหาเองแบบนี้งานมันจะเดินช้าลงไหมยังไง
มึงคิดเหมือนกูป่ะวะปิง”
หน้าพี่เชนนี่คือสงสัยเต็มที่
ผมน่ะกลัวว่าพี่เขาจะพูดเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว แต่เห็นเมื่อคืนทำเฉย ๆ
เลยนึกว่าจะลืมไปแล้วที่แท้เก็บเอามาถามผมวันนี้
“อีกอย่าง....”
พี่เชนพูดแล้วหยุด
ผมเลยหันไปมอง สายตานี่คือจ้องผมนิ่งเลย วี่แววสงสัยเต็มเปี่ยมไปหมด
“กูว่าสายตาที่คุณเอย์เขามองมึงนี่มันไม่ธรรมดาว่ะปิง
ถามจริง มึงเคยรู้จักกับท่านประธานของที่นั่นมาก่อนใช่หรือเปล่า”
.
.
.
เช้าวันต่อมา
ที่อัศวออโต้คาร์
“สวัสดีครับ”
“มากันเร็วดีนะ
เห็นรายชื่อส่งมาจากฝ่ายบุคคลตั้งแต่เมื่อวาน
ยังคิดอยู่เลยว่าวันนี้พวกคุณจะมาทันไหม”
ผม บาส
และวุฒิ ตอนนี้ยืนรายงานตัวอยู่ที่แผนกซ่อมบำรุงของศูนย์รถยนต์นำเข้าที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย
อัศวออโต้คาร์ ผู้จัดการของที่นี่แบ่งเป็นแต่ล่ะแผนกชัดเจน
หัวหน้างานของผมเป็นผู้ชาย อายุน่าจะประมาณสามสิบต้น ๆ สูงใหญ่ดูภูมิฐานมาก พี่เขาชื่อศักดาแต่ให้พวกผมเรียกเขาว่า
‘หัวหน้า’
“เอาล่ะ
คงไม่ต้องรีรออะไรให้มากความหรอกนะ ไปเปลี่ยนชุดแล้วออกไปลุยงานกันเลย
เดี๋ยวผมจะพาไปแนะนำกับช่างฟิตที่ประจำอยู่ที่นี่”
ว่าจบหัวหน้าศักดาพาพวกผมสามคนออกเซอร์เวย์อู่ซ่อมบำรุงที่กว้างขวางมาก
ๆ ผมประเมินด้วยสายตาคร่าว ๆ รถที่กำลังมารับการซ่อมบำรุงเกือบ ๆ
จะห้าสิบคันเข้าไปแล้ว ทั้งที่เป็นแค่ช่วงเช้า พนักงานสวมชุดหมีสีเทาประจำรถแต่ละคันทำงานกันด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
ทักทายหัวหน้าของพวกเขาอย่างอารมณ์ดี
แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเจ้านายกับลูกน้องของที่นี่ได้เป็นอย่างดี
“ที่ศูนย์ของเราจะรับเฉพาะรถยุโรปนำเข้าทุกยี่ห้อ
เพราะฉะนั้นลูกค้าที่มาใช้บริการก็จะมีแต่ลูกค้าระดับเกรดบีขึ้นไป
ไม่ต้องให้ผมบอกใช่ไหมว่าเราต้องพิถีพิถันมากแค่ไหน จริง ๆ
แล้วไม่ว่าจะเป็นลูกค้าเกรดไหนเราก็ต้องพิถีพิถันกับเรื่องของคุณภาพให้มากที่สุด
เพราะเราทุกคนในที่นี้กุมความปลอดภัยในชีวิตของพวกเขาอยู่ คุณต้องทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจ
รถหนึ่งคันคือหลายชีวิตที่คุณจะต้องรับผิดชอบ ห้ามทำงานชุ่ย ๆที่จะส่งผลลัพธ์แย่ ๆ
ให้เกิดกับบริษัทเด็ดขาด”
พี่เขาย้ำถึงนโยบายของบริษัท
ความรับผิดชอบ ความอดทน สอนพวกผม แนะนำพวกผมสามคนกับทุกๆหน่วยย่อยในแต่ละจุด
สุดท้ายแล้วพวกผมสามคนได้เข้าประจำอยู่ที่จุดซ่อม ของบีเอ็มดับเบิ้ลยู
เออคนรวยเยอะจริงวุ๊ยย คือที่หน่วยนี้รถแน่นมาก ช่างเดินกันให้วุ่นเลย
“หน่วยบีเอ็มดับเบิ้ลยู
กับ เมอเซเดสเบนซ์ เป็นหน่วยซ่อมหลักของศูนย์เรา จำไว้แค่ว่างานต้องเนี๊ยบ ไม่อนุญาตให้มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นเด็ดขาด ถึงเวลาต้องลุยงานกันแล้ว ยินดีต้อนรับสู่ อัศวออโต้คาร์ ”
“ขอบคุณครับ” ผมสามคนตอบรับพร้อม ๆ
กัน หัวหน้าศักดาเดินเข้ามาตบลงที่บ่าพวกผมให้กำลังใจ เรายิ้มสู้แล้วเริ่มลุยงาน
ช่างฟิตที่นี่ต้อนรับพวกเราดีมาก ไม่มีใครดูถูกที่เราเคยทำแต่รถญี่ปุ่น
ผมหมาบาสและหมาวุฒิกำลังตั้งหน้าตั้งตาเรียนรู้ช่วงล่างของรถยี่ห้อใหม่ ๆ
“วุฒิ ประแจแหวนเบอร์สิบ”
ผมยื่นมือออกไปรับ หมาวุฒิวางลงให้พร้อมแถมประแจปากตายตัวเล็กมาอีกนึง
“ดีมากมึง รู้งานดี”
ที่นี่ผมไม่ต้องมุดไปนอนใต้ท้องรถอีกแล้วนะครับ
คือเขาจะมีเครื่องยกรถให้ลอยสูงขึ้นพวกผมเดินๆกันอยู่ด้านล่างเงยหน้าซ่อมจัดการกับช่วงล่างเลย
อุปกรณ์ยกเป็นไฮโครลิคแน่นหนาและปลอดภัยดีมาก
“พี่ปิงนี่ขนาดไม่ได้มุดนะ
หน้าพี่นี่ยังเปื้อนได้อีก ฮ่าๆๆ ตลกว่ะพี่ส่องกระจกดูดิ่” หมาบาสมันแซว
ผมแกล้งไม่สนใจไม่ได้ยิน หันมองมันตาเขียวแล้วยกขาจะถีบมันหน่อยนึง
ไอ้วุฒิย้ายไปอีกคันแล้วมีรุ่นพี่เข้ามาสอนพวกผม
“จุดนี้เราใช้ประแจปากตายเบอร์สามงัดเลย
มันเอาออกยาก” เสียงจากพี่ปอนด์ ช่างหลักที่รับผิดชอบรถคันนี้ เห็นว่าเป็นมือหนึ่งของหน่วยบีเอ็ม
พี่เขาใจดีมว๊ากกกกกกกกก ยื่นเครื่องมือส่งให้ผม
“พี่ครับ
คันนี้นัดรับกี่โมงพี่” ผมถาม
“ห้าโมงเช้า
แต่คือต้องเสร็จก่อนนะเดี๋ยวต้องขับไปเข้าคาร์แคร์อัดฉีดก่อนส่ง”
“โหยแล้วจะเสร็จทันเหรอพี่”เออคือมันก็เร็วไปไหม
“มีรอคิวอยู่อีกเพียบ
แต่ก่อนนี้อู่เราจะนัดรับถัดไปอีกวัน แต่หลังจากคุณเอย์ตั้นท่านประธานคนใหม่เข้ามา
แผนการบริการลูกค้าของเราปรับเปลี่ยนนิดหน่อย งานเราต้องไวขึ้น
กระจายหน่วยย่อยเพิ่มขึ้น ตอนแรกก็กังวลนะว่ามันจะเสร็จทันไหมยังไง
แต่คุณเอย์แสดงศักยภาพให้เห็นแล้วว่าท่านประเมินความสามารถพวกเราได้ดีจริง ๆ ลูกค้าพอใจกันมาก
ได้รถเร็วขึ้นในขณะที่คุณภาพเรายังคงเดิม งานเยอะขึ้นปีนี้คิดว่าน่าจะเปิดรับพนักงานประจำเพิ่มขึ้นอีกด้วย”
ผมฟังไปด้วยขันประแจไปด้วย
แอบอมยิ้มนิด ๆ เพราะได้ยินรุ่นพี่เขาชื่นชมมัน
ท่านประธานของที่นี่..........คุณเอย์
“ปิง!” เสียงไอ้วุฒิตะโกนเรียกมาจากอีกฝั่ง ผมชะงักมือจากการขันน็อตให้แน่นหันไปมอง
อากาศร้อนมากประกอบกับชุดที่ใส่เป็นชุดหมี
ผมเผลอเอามือดำๆป้ายใบหน้าไปอีกแล้ว
มันกวักมือเรียกผมไว
ๆ แต่ผมไม่สนใจ มันเลยปรบมือเรียกอีกครั้ง
คราวนี้ดังกว่าเดิมอีกสามเท่าผมรีบวิ่งออกไปหามันพี่ปอนด์หัวเราะผมใหญ่เลย
“ไอ้เหี้ย
ช้า โทรศัพท์มึงแม่ง”
“เอ๊า
กูจะรู้?” ผมรีบถอดถุงมือออกเหวี่ยงใส่หัวมัน
แล้วคว้าเอาหูโทรศัพท์มาแนบไว้ พี่ที่เขารับสายให้คือยิ้มร่าให้พวกผมเลย
“สวัสดีครับ
พิชย ครับ” เออใครวะรู้ได้ไงว่าผมทำงานที่นี่
“............”
“ฮัลโหลครับ”
ผมกรอกเสียงลงไปอีก แต่คือทางนั้นเงียบ ผมกำลังคิดว่าน่าจะมีอะไรผิดพลาดเพราะนี่เป็นเบอร์ภายในไม่น่ามีสายเรียกเข้ามาที่ผม
เพราะผมเพิ่งเข้ามาทำงานที่นี่เป็นวันแรก กำลังจะอ้าปากถามพี่ที่เป็นคนรับสาย ว่าเขาถามหาผมแน่หรือเปล่าเสียงนึงจากปลายสายก็ดังแทรกขึ้นก่อน
“......ปิงกูหิวข้าว”
ผมชะงักทุกอย่างทันที
น้ำเสียงแผ่วเบาแต่นุ่มทุ้ม ทำเอาหูผมบอดจากเสียงรอบข้างมาก
เสียงที่เปล่งออกมาจากโทรศัพท์เด่นชัดดังสะท้อนก้องอยู่ในใจ
ผมรู้แน่ว่าเป็นเสียงของใคร คืออึ้งมาก ทำอะไรไม่ถูก
“ขึ้นมากินข้าวด้วยกันนะ
จะเที่ยงแล้ว” น้ำเสียงที่อ่อนล้า เต็มไปด้วยความสำนึกผิดกับอะไรสักอย่าง
น้ำเสียงที่แผ่วเบาไม่เต็มเสียงดี ผมรีบตั้งสติ
มือไม้คือสั่น ตัดสินใจวางสายแล้วเดินกลับมาหาพี่ปอนด์ ทำงานของผมต่อไป ระหว่างนั้นก็คอยฟังนะว่าจะมีคนเรียกผมไปรับสายอีกไหม
แต่คือทุกอย่างก็เงียบไป จนกระทั่งเกือบจะเที่ยง
“พิชยะ”
“ครับ”
ผมหันไปหา เห็นหัวหน้าศักดาเดินเข้าไปคุยอะไรบางอย่างกับพี่ปอนด์
พักนึงก็เดินเข้ามาหาผม
“เดี๋ยวออกไปกับผมหน่อยนะ
ไปชุดนี้เลยก็ได้ไม่เป็นไร”
“ไปไหนครับ”
ผมลุกขึ้นถอดถุงมือทิ้งไว้ที่ชั้น แล้วรีบก้าวเดินตามหัวหน้าออกไป
คือแกเดินเร็วมากเพราะว่าตัวสูงใหญ่
ผมนี่ก็ไม่ได้ตัวเล็กนะแต่ยังต้องกึ่งวิ่งกึ่งเดินตามแก
“หัวหน้าจะพาผมไปไหนเหรอครับ”
เราเดินตัดออกมาที่ตึกสำนักงาน หัวหน้ากดลิฟต์เรียกชั้นบนสุด ผมรีบหันมองทันที
ห้องบนสุดคือห้องของประธาน......................ห้องของพี่เอย์
“เมื่อกี้คุณเอย์โทรลงมาหาผม
บอกให้พาคุณขึ้นไปพบ กำชับให้ผมเดินมาส่งคุณให้ถึงที่หน้าห้องท่าน คงกลัวว่าคุณจะหลงน่ะ”
ผมแอบถอนใจ เอนตัวพิงที่ผนังลิฟต์แก้วสวยงามมองต่ำลงไปเห็นโชว์รูมรถเบื้องล่างมีแต่รถยุโรปสวยงามที่เด็กผู้ชายอย่างผมใฝ่ฝัน
ผมนึกไว้อยู่แล้วตั้งแต่เมื่อวานเรื่องที่ถูกขอแลกตัวมาทำงานที่นี่
รู้ดีว่าเป็นเพราะใคร ทั้งเรื่องที่ผมเจอมันนั่งคุยอยู่กับแม่ผมที่ร้านนั่นอีก
ผิดไหมครับ....ผมแค่รู้สึกว่าผมเหนื่อยเหลือเกิน
เหนื่อยมานานแล้วกับการรอคอย ผมอยากจะหยุดพักตัวเองสักช่วงนึง ผมรู้พี่เอย์กำลังพยายามจะทำอะไร
เรื่องของเราไม่ว่าเหตุผลของมันจะคืออะไรขอผมหยุดพักสักหน่อยก่อนได้ไหม ผมเหนื่อยมามากจริง
ๆ ผมรู้ว่ามันอยากจะอธิบาย อยากจะบอกเล่าถึงเหตุผลของมัน แต่คือผมยังไม่พร้อม
ผมเคยถามตัวเองนะว่าตอนนี้ความรู้สึกของผมคืออะไร คำว่ารักยังมีความหมายกับผมอยู่อีกไหม
ผมเกือบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเราสองคนครั้งหนึ่งเคยรักกันคือมันนานมากแล้วจริง ๆ
ติ๊ง!
เมื่อลิฟต์เปิดออก
ผมค่อยก้าวเดินอย่างช้า ๆ ตามหลังหัวหน้าฝ่ายผมไป ทางเดินที่คุ้นเคย
หนทางที่กำลังมุ่งไปสู่ห้องของท่านประธานใหญ่ของที่นี่
“สวัสดีครับคุณภีม
ผมพาพิชยขึ้นมาแล้วครับ ปิงนี่คุณภีมเลขาของท่านประธาน รู้จักกันไว้”
ผมยกมือขึ้นไหว้
คุณภีมน่าจะอายุพอๆกับหัวหน้าศักดา หล่อเหลาสวมแว่นดูภูมิฐาน
“สวัสดีครับคุณพิชย
ขอบคุณมากครับพี่ศักดา” เขายกมือขึ้นรับไว้ผมแล้วหันไปกล่าวขอบคุณหัวหน้าศักดา
ผมรู้สึกแปลกใจนิดๆคือเมื่อวานผู้ชายตัวเล็ก ๆ
อีกคนที่จัดเนคไทจัดทรงผมให้พี่เอย์ไม่ใช่คนๆนี้ ผมนึกว่าเขาคนนั้นเป็นเลขาของพี่เอย์เสียอีก
“คุณพิชยเชิญเลยครับ
ท่านประธานรออยู่แล้ว” คุณเลขาท่าทางรีบร้อน เคาะประตูห้องบานใหญ่แล้วเปิดเข้าไป
คนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะเงยหน้าขึ้นมองผมทันที
ผมรู้....ถ้าผมตัดสินใจก้าวเข้าไป
ประตูด้านหลังจะถูกปิดลงทันทีและจะมีเพียงพี่เอย์กับผมเท่านั้นที่เหลืออยู่ภายในห้องนี้
“คุณพิชยครับ”
ผมยังยืนค้างนิ่งอยู่แบบนั้น จนคุณภีมต้องเรียกผมอีกครั้งผมถึงรู้สึกตัว ค่อยก้าวเข้าไปด้านใน
ประตูใหญ่ด้านหลังถูกปิดลงอย่างที่คิดไว้จริง ๆ
พี่เอย์ยืนมองผมอยู่ขณะที่ผมกวาดตามองดูรอบ ๆ ห้องอีกครั้ง ผมเข้าห้องนี้เป็นครั้งที่สามแล้ว
รู้สึกว่าแอร์ในนี้เย็นเฉียบ ทั้งที่ผมอยู่ในชุดหมีของพวกช่างฟิตยังรู้สึกได้เลยว่าเย็นมาก
พี่เขาค่อยก้าวออกมาหา
ในมือ ถืออะไรอยู่สักอย่าง
“ทำไมเป็นถึงโปรแกรมเมอร์แล้วยังต้องมาทำงานซ่อมรถแบบนี้” เสียงพี่เอย์คือเบามาก
ดวงตาคมมีแต่ความเศร้าสร้อย กวาดตามองดวงหน้าผม เรายืนชิดกันมากจริง ๆ
“แก้มมึงมอมแมมไปหมด”
มันพูดแล้วยกมือที่ถือผ้าเช็ดหน้าจะมาเช็ดรอยเปื้อนที่ใบหน้าให้ผม
ผมรีบก้าวถอยหลังแล้วปัดมือมันออก มันเลยยืนนิ่งถือผ้าเช็ดหน้าเก้ออยู่แบบนั้น
“ไม่ทราบว่าคุณเอย์เรียกผมขึ้นมา
มีธุระอะไรครับ” ผมถามไปแบบเรียบ ๆ ควบคุมระดับน้ำเสียงไว้เต็มที่ รู้ว่ามันยืนก้มหน้านิ่ง กำผ้าเช็ดหน้าอยู่แบบนั้น
แต่จะเรียกผมขึ้นมาเพราะจะมาแค่เช็ดหน้าให้คงไม่ใช่แน่ ๆ
“โกรธกูมากเหรอ
เกลียดกูแล้วใช่ไหม”
“ถ้าคุณยังพูดเรื่องเก่า
ๆ อีกผมจะขอตัวลงไปทำงานต่อนะครับ”
“ปิง” มันก้าวเข้ามาหา ผมรีบถอยหลัง
พี่เอย์คว้าแขนผมไว้
“คุณเอย์ครับ
ตอนนี้อยู่ในเวลาทำงาน ผมเป็นพนักงานของคุณ ผมพิชยครับ กรุณาเรียกชื่อจริงผมด้วย
ถ้าคุณมีธุระจะสั่งให้ผมทำในเวลางานผมทำให้ได้ แต่นอกเหนือจากเรื่องงานแล้วผมเสียใจนะครับผมคงไม่มีเวลามาเล่นไร้สาระกับคุณหรอกครับ”
พี่เอย์บีบแขนผมแรงขึ้นมาก คล้ายกับว่ามือมันเริ่มจะสั่น
ดวงตาเต็มไปด้วยแววตัดพ้อผมมากมาย
“มึงไม่ยอมเรียกกูว่าพี่เอย์
แล้วยังไม่อนุญาตให้กูเรียกมึงว่าปิงด้วย?”
“............”
พี่เอย์เสียงสั่นมาก
ผมรีบหลบสายตามัน มันจ้องผมจนมันพอใจ ผมนิ่งอย่างเดียวผมไม่ตอบ
บรรยากาศระหว่าเราคือชวนอึดอัดมาก ผมมองเห็นห้องเล็กๆด้านในห้อง ๆ นี้เลยเผลอมองไป
สงสัยเหมือนกันว่ามันคือห้องอะไร
“มองหาใคร”
เสียงมันถามขึ้น ผมสะดุ้งดึงสายตาตัวเองกลับมา
“ไม่มีใครอยู่ในห้องนั้นหรอก
มึงข้องใจเรื่องอะไรถามกูได้นะ”
“ปะ....เปล่าครับ”
เอาจริง ๆ เลยนะผมแอบคิดนิดนึงว่าผู้ชายตัวเล็กๆดูน่าทะนุถนอมคนนั้น
อาจจะอยู่ภายในห้องนั้น
“ปิง?”
“ผมแค่กำลังสงสัย
คุณเปลี่ยนเลขาแล้วเหรอครับ”
“เปลี่ยนเลขา?”
“เมื่อวานผมว่าที่ผมเจอไม่ใช่คุณภีมที่นั่งอยู่หน้าห้องคุณตอนนี้
เป็นอีกคน ตัวเล็กๆ”
ผมถามออกไปแล้วอยากตบปากตัวเองคือผมเป็นคนแบบนี้จริงนะอยากรู้อะไรผมจะถามเลย
นิสัยเสียไม่เปลี่ยน ที่น่าอายคือผมเห็นมันอมยิ้มนิดๆด้วยนะไม่รู้คิดอะไรบ้าบอหรือเปล่าคือผมก็แค่ถามแค่สงสัยไม่ได้คิดอะไรสักหน่อย
“ถ้ามึงหมายถึงกัส
เขาไม่ได้ทำงานที่นี่หรอก เขาเป็นเลขากูอยู่ที่อัศวคอนสตรัคชั่น ถามทำไมมึงสนใจเขาเหรอ”
ผมหันขวับทันที
ใครจะไปคิดอะไรแบบนั้นมั่วเหอะ “ก็แค่แปลกใจน่ะครับกะว่าถ้าเจอจะคุยเรื่องแผนงานวางระบบสักหน่อย”
“มึงคุยกับกูสิจะไปคุยกับเขาทำไม
กูเป็นผู้ใช้งานนะ
มึงต้องออกแบบระบบจากความต้องการของผู้ใช้ไม่ใช่เหรอ”
“ไม่ล่ะครับ
ผมเกรงใจ” ผู้ใช้โคตรเอาแต่ใจแบบคุณทางที่ดีผมห่างไว้สักหน่อยจะดีกว่า ผมก้าวถอยออกมาอีกคือรู้สึกว่าเราสองคนจะใกล้กันเกินไปแล้ว
พี่เอย์รีบก้าวตามผมใช้ความเร็วขยับออกไปยืนอยู่อีกด้านคือแสดงออกให้รู้เลยว่าผมไม่อยากอยู่ใกล้มัน
มันจ้องผมนิ่งเลย
“ผมว่าคุณรีบพูดธุระของคุณดีไหมครับ
ผมจะได้ลงไปทำงานต่อสักที”
ผมรีบเข้าเรื่องขยับ
ๆ ไปจนตอนนี้เกือบจะอยู่ชิดบานประตูแล้ว เสียงสูดลมหายใจยาวดังขึ้น
ก่อนที่ตัวมันจะเดินอ้อมกลับไปนั่งลงที่โต๊ะประจำตำแหน่งของตัวเอง ผ้าเช็ดหน้าที่มันกำไว้ถูกโยนลวกๆลงบนโต๊ะ มันเอนตัวพิงพนักยกขาขึ้นไขว่ห้างแล้วจ้องหน้าผมนิ่ง
มาดท่านประธานฉายชัดต่อหน้าต่อตาผมคนนี้.......แววตาของพี่เอย์เปลี่ยนเป็นแข็งขึ้นหน่อยนึง
“นี่เป็นคำสั่งจากประธานใหญ่ของที่นี่
ต่อไปนี้ทุกๆเที่ยงตรงกูจะต้องเห็นหน้ามึงนั่งรอกินข้าวพร้อมกูอยู่ที่ห้องอาหารเล็กของที่นี่
ออกจากห้องนี้ไปเลี้ยวซ้ายอยู่ข้าง ๆ ห้องรับรอง
อาหารว่างของกูจะเสิร์ฟที่บ่ายสามโมงเย็นคนที่ต้องเอามันเข้ามาให้กูทุกครั้งต้องเป็นมึง
และสุดท้าย กูจะเป็นคนไปส่งมึงกลับบ้านเองทุกครั้งหลังเลิกงาน
เพราะฉะนั้นหกโมงเย็นของทุกวันให้มารอกูอยู่ที่ห้อง ๆ นี้เดี๋ยวกูจะสั่งเลขาไว้”
คำสั่งเอาแต่ใจร่ายยาวจนผมฟังไม่ทัน
ไม่รู้ว่ามันคิดไว้ล่วงหน้าหลายวันมากไหม แต่ก็พอจะจับใจความได้สามข้อหลัก ๆ
ผมส่ายหน้าปฏิเสธทันที “ผมขอปฏิเสธทั้งหมดครับ”
“ไหนว่าถ้าเป็นเรื่องงาน
ในเวลาทำงานมึงสามารถทำให้กูได้หมดทุกอย่างไง”
“แต่เรื่องที่คุณใช้ให้ผมทำ
มันไม่เกี่ยวกับเรื่องงานเลย ทั้งกินข้าวเที่ยง ทั้งยกของว่าง
แล้วยังเรื่องกลับบ้านอะไรนั่นอีก ผมทำให้คุณไม่ได้หรอกครับ” มันเกินไปมากๆเลย
ก๊อกๆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อม
ๆ กับเลขามันเปิดเข้ามา “คุณเอย์ครับ
อาหารพร้อมที่ห้องเล็กแล้วครับ”
“จัดเพิ่มเป็นสองที่
ต่อไปพิชยจะขึ้นมาทานข้าวกับผมทุกวัน คุณภีมจัดการให้ผมด้วย”
“ตั้งแต่วันนี้เลยเหรอครับ”
“ใช่
ตั้งแต่วันนี้เลย”
“ครับผม”
หลังจากปะตูปิดลงผมแทบจะกระโจนใส่มัน
คือหน้าผมหงิกแล้วก็งอมากนะบอกเลย มันเรื่องอะไรที่ต้องมาบังคับผมให้ขึ้นมากินข้าวกับมันทุกวัน
ที่นี่มีแคนทีนใหญ่มากอาหารก็ท่าทางจะอร่อยผมก็อยากจะกินกับพรรคพวกเพื่อนฝูงผมดิ่
ไม่งั้นจะสนิทกันได้เมื่อไหร่ เกิดมามัวแต่นั่งกินบริการเสิร์ฟมันอยู่เนี่ย เรื่องความสัมพันธ์กับเพื่อนฝูงผมคงจะหดหายหมด
แล้วที่สำคัญมากอีกอย่างก็คือมันเล่นบอกเลขามันแบบนั้น
พี่เขาไม่สงสัยผมแย่หรือไงผมเป็นใครผมมีสิทธิ์อะไรถึงขนาดท่านประธานต้องให้มานั่งกินข้าวร่วมด้วย
เราเป็นอะไรกันเหรอ คือเรื่องมันจบไปนานแล้วนี่ยังจะมารื้อฟื้นเพื่อ? แล้วดูชุดที่ผมสวมอยู่ตอนนี้เสียก่อน
ชุดหมีเปื้อน ๆ อ่ะ หน้าก็ดำ ดีหน่อยที่มือสะอาดเพราะผมจะสวมถุงมืออยู่เสมอเวลาทำงาน
“ผมไม่ว่างหรอกนะครับ”
“แต่นี่เที่ยงแล้ว”
“ผมไม่ทำ”
“ปิง”
“ผมไม่ชอบการถูกบังคับ
ผมรักงานช่างฟิต ผมเป็นโปรแกรมเมอร์คุณก็รู้ ถ้าผมไม่รักงานช่างจริง ๆ
ผมคงคิดจะลาออกไปนานแล้ว ถ้าคุณยังคิดจะบังคับผม
พรุ่งนี้ผมจะทำเรื่องลาออกจากที่นี่ทันทีเลยครับ”
แววตาและน้ำเสียงของผมแน่วแน่และจริงจัง พี่เอย์นิ่งงันไปเลย มันจ้องผมแล้วถอนใจ
ผมดื้อนะถ้าบอกไม่แล้วคือไม่อ่ะ
เราสองคนไม่ได้เกี่ยวข้องกันแล้วด้วย
ความสัมพันธ์ตอนนี้ก็แค่เจ้านายลูกน้อง
บรรยากาศระหว่างนั้นเงียบกริบ
ผมเงียบมันเองก็เงียบ พี่เอย์หยิบปากกาสีทองออกจากแท่นเสียบหรูหราบนโต๊ะทำงานตัวใหญ่
กำลังเขียนอะไรบางอย่างลงบนกระดาษโน้ตแผ่นเล็กๆ
“ทำงานให้กูชิ้นนึง”
มันเลื่อนกระดาษแผ่นนั้นส่งให้ ผมเดินเข้าไปหาหยิบขึ้นมาดูช้า ๆ
อีเมลแอดเดรส
??
“แฮกข้อมูลทั้งหมดในแอดเดรสนี้ให้กูที
กลับไปทำที่ออฟฟิศมึงก็ได้ ไม่จำเป็นต้องทำที่นี่”
“เมลของใครครับ
ผมถามได้หรือเปล่า”
“เดี๋ยวมึงก็รู้เอง”
“แล้วคุณจะใช้ข้อมูลวันไหน”
“เร็วที่สุด”
ผมเงยหน้ามอง
เก็บกระดาษแผ่นนั้นยัดเข้ากระเป๋าชุดหมี ถามมันว่ามีอะไรเพิ่มเติมอีกไหม พี่เอย์ส่ายหัวเอาแต่นั่งมอง
ผมเลยขอตัวออกมา
เย็นวันนั้นผมกลับถึงบริษัทเกือบหนึ่งทุ่มพี่เชนจ้องหน้าผมใหญ่
คือพี่เขายังไม่รู้ว่าผมถูกย้ายไปประจำที่อัศวออโต้คาร์แล้ว
“ประชุม?” ผมเดินเอาถุงขนมมาตั้งลงที่โต๊ะอาหาร พี่เชนเดินมาที่โต๊ะค้นๆดู
ผมซื้อขนมที่เซเว่นมากองไว้เยอะมาก พี่ท่านชอบกินขนมเล่นตอนดึก ๆ
หมากฝรั่งนี่สารพัดยี่ห้อ อ้อ ลืมบอกคุณไปพี่เชนเลิกบุหรี่ได้แล้วนะครับ
เพราะผมไฟท์พี่เขาบ่อยซื้อลูกอมซื้อหมากฝรั่งให้กินตลอด
พี่เชนบอกขี้เกียจรำคาญผมบ่นเลยเลิกซะ
“เปล่าครับพี่
ตอนนี้ผมกับไอ้บาสแล้วก็ไอ้วุฒิถูกย้ายไปทำงานที่อู่ของอัศวออโต้คาร์แล้วครับ”
“เฮ้ย
จริงป่ะเนี่ย” ผมรู้ดิ่พี่เชนคงตกใจแหละ พี่เขาหยุดนิ่งทุกอย่างแล้วหันมามองผมเลย ปากนี่ยังคาบมากฝรั่งไว้
“จริงครับ
มีคำสั่งมาเมื่อวาน ผมลืมเล่าให้พี่ฟัง เมื่อเช้าก็รีบ ๆ เลยไม่ได้บอก”
“แล้วทำไมถึงต้องเป็นพวกมึง
มันแปลกไหมวะปิง”
“...........”
“มึงเล่ามาดีกว่า
กูว่ามันไม่ธรรมดาแล้วนะความสัมพันธ์ของพวกมึงสามคนกับท่านประธานคนนั้นน่ะ
คุณเอย์ตั้น อายุพอๆกับกูนี่แหละสามปีที่แล้วจบวิศวจากจุฬา แล้วไปต่อที่นิวยอร์ก
ทำงานอยู่ที่นั่นหนึ่งปี ก่อนกลับมารับตำแหน่งประธานของอัศวออโต้คาร์ ทั้งที่ควรจะไปประจำอยู่ที่อัศวคอนสตรัคชั่นซึ่งทำงานเกี่ยวกับงานวิศวรรมโดยเฉพาะแต่ก็ไม่ไป มีพี่ชายเป็นดาราชื่อดัง
แล้วที่สำคัญเขาเป็นหลานชายคนโปรดของคุณหญิงใหญ่แห่งตระกูลอัศวเหมมินทร์”
พี่เชนจ้องหน้าผมนิ่งน้ำเสียงคือคาดคั้น
ผมค่อย ๆ ทิ้งตัวนั่งลงที่เก้าอี้
พี่เขาเองก็นั่งลงด้วย
“แล้วคนธรรมดาอย่างมึงไปเกี่ยวข้องกับคนในตระกูลสูงศักดิ์แบบนั้นได้ยังไงวะปิง”
ในที่สุดผมก็ต้องเล่าเรื่องราวคร่าวๆระหว่างผมกับพี่เอย์ให้พี่เชนฟัง
คือไม่อยากจะปิดหรอกครับพี่เชนดีและจริงใจกับผมมาก รักผมเหมือนน้องชายคนนึงเลย
พี่เชนมีพี่สาวแค่คนเดียว ฐานะทางบ้านเรียกว่าดีเลยเป็นญาติห่าง ๆ กับพี่พิม
ถึงจะบอกว่าแค่นับถือกันมาไม่ใช่เครือญาติจริง ๆ แต่พี่พิมกับพี่เชนรักกันเหมือนพี่น้องว่าไงว่าตามกันไว้ใจซึ่งกันและกัน
ในวันที่พี่เชนชวนผมให้ร่วมหุ้นด้วยทั้งที่เป็นแค่หุ้นลมพี่พิมไม่มีต่อว่าสักคำ ซ้ำยังสนับสนุน
พี่ทั้งสองคนรักและไว้ใจผมมาก
เพราะฉะนั้นเรื่องของผมที่อาจจะต้องมีส่วนข้องเกี่ยวกับบริษัทผมก็ควรจะต้องเล่าให้พี่เขาได้รับรู้ไว้บ้าง
เฉพาะบางส่วนที่สามารถจะเล่าได้
“พี่เชนรังเกียจผมไหมครับ”
คำพูดแรกที่ผมถามพี่เขาหลังจากที่เล่าเรื่องราวทั้งหมด
พี่เชนนิ่งอึ้งแดกไปเลย
“คือผมก็ผู้ชายคนนึงอ่ะพี่
แค่ว่าตอนนั้นผมชอบผู้ชายเหมือนกันแค่นั้นเอง
คือผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองกำลังคิดอะไร ความรู้สึกมันห้ามกันยากพี่ก็รู้
ตอนนั้นผมมีโอกาสได้อยู่ข้าง ๆ พี่เขาคือผม คือ......
“พอแล้วมึงไม่ต้องพูดแล้ว”
พี่เชนลุกขึ้น หันหลังให้ยกมือเสยผมสองสามทีเดินหายเข้าไปในห้องน้ำล้างหน้าล้างตาแล้วกลับออกมาใหม่
หย่อนตัวนั่งลงข้าง ๆ ผมอีกครั้ง
“โทษทีนะ
กูแค่ตกใจ เพราะว่ามึงไม่เหมือนเลยสักนิด
คือกูดูยังไงมึงก็ผู้ชายเหมือน ๆ กับกู
ถ้าถามว่ากูรังเกียจมึงไหมตอบได้ทันทีเลยว่า ‘ไม่’
มึงเป็นน้องชายคนสำคัญของกู
ไม่มีทางที่กูจะเอาเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้มาขีดคั่นความสัมพันธ์ของพวกเรา
แล้วที่สำคัญที่สุดนะปิง”
“อะไรครับ”
พี่เชนวาดวงแขนขึ้นมาคล้องเอาคอผมไว้ ผมดีใจพี่เชนเข้าใจผม
เราสองคนนั่งชิดกันพี่เขาโยกตัวผมเบา ๆ ทำท่าเหมือนเด็กแล้วก้มลงมากระซิบ
“มึงเจ๋งโคตรที่ปราบท่านประธานคนนั้นได้
มึงเห็นไหมวันนั้นจู่ ๆ คอมก็ร่วงลงมาจากโต๊ะ กูสงสัยอยู่แล้วเชียวแต่ก็พยายามตัดประเด็นมึงออกไป
ที่แท้หึงโหดนี่เอง หึหึ”
“พี่เชนครับไม่ใช่แบบนั้นพี่
คุณเอย์เขาไม่มาหึงผมหรอก ที่สำคัญคือเขาจะมาหึงผมทำไม? หึงกับใคร? ผมกับเขาห่างกันไปนานมากแล้วครับ
ผมก็บอกพี่ไปแล้วนี่ว่าเราไม่ได้ติดต่อกันมาสามปีกว่าแล้ว”
“เด็กเอ๊ยเด็กถ้าเขาอยากจะจบกับมึงจริง
จะย้ายมึงไปทำงานที่บริษัทเขาทำไมกันว๊าา...” พี่เชนยีหัวผมเล่นอย่างเคย
ส่งรอยยิ้มอบอุ่นมาให้ คำพูดพี่เชนไม่ใช่ว่าผมไม่เคยคิด
“ผมกับคุณเอย์จบกันนานแล้วจริงพี่
ผมไม่โกหกหรอก”
“เข้าใจแล้วครับ
จบแล้วก็จบดิ่วะมึงจะอธิบายอะไรนักหนา
ทำอย่างกับกูเป็นแฟนใหม่มึงต้องอธิบายเพราะกลัวว่ากูจะเข้าใจผิดงั้นแหละ”
“เฮ้ยผมเปล่า”
ผมรับปฏิเสธ ยกแขนหนักๆที่พาดคอผมอยู่ออก พี่เชนหัวเราะหึหึ ยิ่งแกล้งล็อคคอผมแน่นกว่าเก่าเสียอีก
เสียงฟ้าร้องคำรามมาจากด้านนอก
ดูท่าว่าวันนี้ฝนอาจจะตก คิวผมนอนเฝ้าออฟฟิศอีกต่างหาก
ไม่รู้วันนี้พี่เชนจะกลับหรือจะนอนค้างที่นี่ด้วยกัน
ผมทำอาหารง่าย
ๆ เป็นผัดแครอทใส่เต้าหู้ แล้วก็แกงจืดไข่ เราสองคนนั่งทานข้าว
พี่เชนเดินไปเปิดเพลง เสียงดนตรีดังเบา ๆ คลอเคล้าบรรยากาศช่วงหัวค่ำคือผ่อนคลายมาก
“เดี๋ยวคืนนี้กูต้องกลับไปค้างที่บ้าน
มึงอยู่คนเดียวโอเคนะ”
“ครับ”
ผมตอบรับแอบผิดหวังนิดๆเหมือนกัน เดี๋ยวนี้ถ้าพี่เชนค้างด้วยผมจะได้ฝึกพูดภาษาอังกฤษก่อนนอน
ผมเริ่มจะคล่องแล้วนะ สำเนียงนี่คือก๊อปปี้คุณพี่มาเปี๊ยบ
เคยลองพูดให้พี่พิมฟังด้วย รายนั้นหัวเราะใหญ่บอกผมกับพี่เชนทำไมพูดสไตล์เดียวกันเลย
ผมเลยบอกโปรแกรมเมอร์สไตล์ไง พี่เชนเบะปาก
“อะไรวะกูไม่ค้างด้วยแค่นี้ร้องไห้เหรอมึง
ตาแดงเชียวนะ”
“เรื่องเหอะ”
พี่เชนกินเสร็จแล้ว พูดแหย่ผม ผมเลยลุกขึ้นเอาจานไปวางลงล้างที่อ่างล้างจานใกล้ ๆ
กัน กลิ่นฝนลอยมาแตะถึงปลายจมูกทั้งที่อยู่ในห้องแอร์แท้ ๆ
ได้ยินเสียงฟ้าร้องครืนๆแว่วเข้ามา
“พี่เชนครับผมว่าถ้าพี่จะกลับอยู่แล้วรีบหน่อยก็ดีนะพี่
สามทุ่มกว่าแล้วเดี๋ยวฝนทำท่าว่าจะตกกว่าจะถึงบ้านอีก”
“อือฮึ งั้นเดี๋ยวจะออกไปเลยมึงอยู่ได้
โอเคนะ”พี่เชนคว้าเอากระเป๋ากับเสื้อแจ็คเก็ตขึ้นมาพาดไว้ที่แขนก่อนหยิบกุญแจรถแล้วเข้ามาขยี้หัวผมอีกครั้ง
“เดี๋ยวผมออกไปส่งพี่”
พี่เชนส่งยิ้มอบอุ่น วันนี้ตอนขามาผมเห็นรถพี่เขาจอดอยู่ด้านหน้าไม่ได้ขับเข้ามาจอดในบริษัท
ก็มีคิดๆไว้อยู่นะพี่เขาคงจะกลับบ้าน
“กูไปแล้วนะปิง
มีอะไรด่วนโทรตามกูได้เลย เข้าใจใช่ไหม”
“ครับพี่” พี่ขาเอาแจ๊คเก็ตขึ้นสวม
ผมก็ยืนมอง พี่เชนพับ ๆ แขนเสื้อขึ้นไป พอถึงไอ้ข้างขวาที่พี่เขาไม่ค่อยถนัดเพราะต้องใช้มือซ้ายพับพี่ท่านเลยยื่นแขนข้างนั้นมาให้ผม
ผมรู้งานรีบพับๆๆขึ้นไปให้เสมอกับอีกข้าง
“ไปแล้วมึง พรุ่งนี้เจอกัน”
มือใหญ่ยีลงที่หัวผมอีกครั้งเบา ๆ ก่อนก้าวขึ้นรถแล้วขับตีโค้งรถมาจอดลง ผมเลิกคิ้วถามว่าลืมอะไร
พี่เชนกดกระจกลงตะโกนไล่ผมให้รีบเข้าตึกไป
ผมเลยรีบวิ่งปรื๊ดเข้าไปแล้วล็อคประตู
คือจริง ๆ ก็มีพี่ยามสองคนเฝ้าที่ด้านนอกแต่พี่เชนจะบอกเสมอว่าห้ามไว้ใจใคร เราต้องล๊อคห้องทุกครั้งที่จะนอนหรือนั่งทำงานเพราะบางที่พลั้งเผลอเราไม่รู้จักตื้นลึกหนาบางของเขา
ผมก็เออทำตามนะ
ผมยืนอยู่ด้านในล๊อคประตูกระจกด้านหน้าให้แน่นหนากำลังจะขยับผ้าม่านรูดปิด
ดั๊นไปสังเกตว่ามีรถบีเอ็มสีขาวคันคุ้นตามากจอดอยู่ไม่ไกล
คือจอดอยู่ด้านหน้าเลยนั่นแหละเมื่อกี้ตอนออกไปส่งพี่เชนนี่ผมไม่ได้สังเกตเลยนะ
ใจผมนึกหวั่นคิดไปถึงใครบางคนแน่แล้ว
แต่พี่เขาไม่เคยมาที่นี่ ไม่น่าจะรู้ว่าผมจะค้างที่ไหนวันไหนยังไง
ผมเลยลองเปิดม่านมองแบบชัด ๆ คือเป็นพี่เอย์จริงด้วย ลงมายืนข้างรถตั้งแต่เมื่อไหร่?
เสียงฟ้าร้องคำรามมาอีก แย่ชะมัดทำตัวแบบนี้เกิดฝนตกขึ้นมาผมไม่เรียกเข้ามาหลบนะบอกไว้เลยไม่ใช่นิยายน้ำเน่า
ผมปิดไฟด้านหน้า
ไม่สนใจคนที่ยืนพิงรถอยู่ด้านนอก เดินเข้ามาล้างจานล้างแก้วของผมต่อ
ฟังเพลงไปเรื่อยๆ เช็ดครัวเช็ดโต๊ะไป พอทุกอย่างเรียบร้อยผมเดินไปหยิบอุปกรณ์ที่โต๊ะทำงาน
เอาเฉพาะอันที่คิดว่าจะใช้แล้วเดินขึ้นไปที่ห้อง กะว่าคืนนี้จะยิงยาวเพราะมีงานเขียนโปรแกรมค้างอยู่
เลยคิดว่ากว่าจะได้นอนอาจจะดึก
แต่ก็ไม่แน่เพราะผมทำไว้เยอะแล้วเหมือนกันเหลือแก้ไขต่ออีกนิดหน่อยเท่านั้น อาบน้ำอาบท่าเรียบร้อยเปิดเพลงเบา ๆ
จากมือถือเสียบเข้าลำโพงที่ต่อเอาไว้รอบห้อง เพลงเบา ๆ ช้า ๆ เก่าๆความหมายดี ๆ
ผมชอบฟังนะ เมื่อก่อนจะฟังแต่เพลงเพื่อชีวิต เพลงลูกทุ่ง เดี๋ยวนี้มีฟังเพลงสากลตามที่เชนบ้างเพลงไทยสากลธรรมดาก็ฟังบ่อย
กลายเป็นว่าผมฟังได้ทุกประเภทอ่ะ
ผมนั่งทำงานจนลืมไปเลยว่ามีใครบางคนยืนพิงรถคันสวยอยู่ด้านหน้า
เสียงฟ้าร้องคำรามผ่านเข้ามากระทบโสต ผมสะดุ้งรู้สึกตัว นึกได้ในทันที
ไม่รู้ป่านนี้คนที่ยืนรอมันจะกลับไปแล้วหรือว่ายัง ผมคิดแล้วคิดอีกก่อนตัดสินใจลุกไปที่หน้าต่าง
ห้องผมอยู่ชั้นสามนะสูงมากเหมือนกันแต่ก็พอจะมองเห็นชัด เพราะเมื่อกี้รถพี่เอย์จอดได้ตำแหน่งตรงห้องนอนผมพอดี
แหวกม่านเปิดออกเป็นช่องเล็ก
ๆ เผยให้เห็นร่างสูงโปร่งในชุดทำงานเมื่อตอนกลางวัน เนคไทถูกถอดออกแล้ว
แขนเสื้อสองข้างพับขึ้นไปนิดๆ พี่เอย์กึ่งนั่งกึ่งยืนพิงอยู่ข้างรถในมือ ถือโทรศัพท์กำไว้เพราะแสงของมันที่ลอดออกมา พี่เขาเงยหน้ามองขึ้นมาที่ห้องนี้
ผมคิดว่ามันมองไม่เห็นผมหรอก เพราะว่าถ้าหากว่าเห็นตอนนี้เราสองคนจะสบสายตากันพอดี
ผมกำลังจะตัดสินใจเดินกลับมานั่งทำงานต่อ
แต่แล้วจู่ ๆมือที่กำโทรศัพท์มือถือไว้ของมันชูขึ้น
หน้าจอมือถือถูกจับพลิกให้วางอยู่ในแนวนอน มือถือซัมซุงเครื่องใหญ่ที่มันชอบใช้เป็นประจำ
ผมไม่รู้ว่ามันโชว์ข้อความอะไรให้ผมดู เสียงฟ้าร้องคำรามมาอีกระรอกแต่ฝนก็ยังไม่ตกลงมา
พี่เอย์เงยหน้ามองมาที่ผมในมือยังชูโทรศัพท์ไว้สูงมาก
มันชูจนสุดแขนแต่ผมคนนี้ก็ยังมองไม่เห็นอยู่ดี ว่ามีข้อความอะไรเขียนอยู่ที่หน้าจอนั่น
ผมรู้แต่ว่าเป็นตัวอักษรวิ่งแต่ไม่สามารถอ่านได้เพราะคือมันไกลมากและตัวหนังสือคือเล็ก
ผมจ้องมองดูมันแล้วคิด
ภาวนาขอให้มันเลิกทำอะไรแบบนี้เพราะผมมองไม่เห็นหรอกว่าในนั้นเขียนอะไร
สิ่งไร้ประโยชน์จะทำไปเพื่ออะไร ต่อให้มันชูจนปวดแขนไปหมด หรือแหงนมองจนหน้ามืดผมคนนี้ก็ไม่ลงไปเปิดให้มันอยู่แล้ว
ผมได้ยินเสียงไลน์ผมเด้งเลยเดินไปหยิบมือถือขึ้นมาดู
เป็นชื่อของใครสักคนที่ผมเพิ่งจะกดตอบรับไปเมื่อสองสามวันก่อน ข้อความที่ส่งมาคือ (อีเมลแอดเดรส)
ผมสะกิดใจขึ้นมาทันทีนึกถึงเรื่องเมื่อตอนกลางวันที่พี่เอย์ยื่นอีเมลแอดเดรสให้ผมแล้วบอกให้กลับไปแฮก รีบคว้าเอากระเป๋าหยิบกระดาษแผ่นเล็กๆนั้นขึ้นมาดูเทียบกัน
สรุปคือมันเป็นแอดเดรสเดียวกัน ผมลุกขึ้นไปแอบดูมันอีก
พี่เอย์ยังชูมือถือค้างไว้อยู่แบบนั้น ผมไม่รู้จริง ๆ ว่ามันจะสื่ออะไร
พี่เอย์กำลังทำเรื่องที่ไร้ประโยชน์มากๆก็แค่นั้น ผมโมโหความรั้นของมัน ทิ้งตัวนั่งลงที่โต๊ะปิดโปรแกรมที่กำลังทำอยู่
เข้าอีกหน้าจอเพื่อทำการค้นหารหัสแฮกอีเมลที่มันฝากให้ทำ
คือกำลังคิดว่านี่มันมาทวงงานผมดึกๆดื่น ๆ ขนาดนี้คือคุณต้องการอะไร??
เวลาผ่านไปหลายนาที
ผมเพียงรอว่ารหัสตัวไหนที่สามารถใช้เปิดเข้าไปได้ เครื่องค่อนข้างเร็วแต่อย่างไรเสียก็ต้องใช้เวลา
แฮกข้อมูลไม่ใช่เรื่องง่าย แต่สุดท้ายล็อคอินรหัสได้เรียบร้อย
ผมเคาะปุ่มเอ็นเทอร์
พรืดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด เต็มหน้าจอ
ผมตาค้างนั่งตัวแข็งทื่อเมื่อเห็นว่าในนั้นมีอะไร
Letter พันหนึ่งร้อยเก้าสิบฉบับ เรียงวันที่เป็นระเบียบตั้งแต่เมื่อสามปีก่อน
โดยที่จดหมายฉบับแรก เป็นวันที่ที่ผมจำได้แม่นยำมากที่สุด
วันที่ผมกับมันต้องห่างไกลกัน
วันที่ผมนั่งร้องไห้อย่างหมดอายอยู่ในห้องของมัน กินข้าวผัดไหม้ ๆ
กับไข่ดาวดำๆทั้งน้ำตา....วันนั้นคือวันที่หัวใจของผมแตกสลายลง
ผมเลื่อนเมาส์ช้า
ๆ คลิกเข้าไปดูที่จดหมายฉบับนั้น ตัวอักษรทุกตัวเรียงร้อยปรากฏแก่สายตา... ฉบับแล้วฉบับเล่า
“ตอนนี้ที่เมืองไทยคงจะเป็นวันใหม่แล้ว
มึงยังร้องไห้อยู่ไหมปิง เมื่อวานนี้ตื่นแล้วสงสัยรึเปล่าว่ากูหายไปไหน
กูอยู่ที่นิวยอร์กนะ ไม่ต้องห่วงกู ไม่ต้องตามหา หมาปิงครับ กูอยู่กับมึงตลอดเวลาอยู่แล้ว
หัวใจเราสองคนวางอยู่ข้างกันเสมอ ไม่ว่าตอนนี้ตัวกูจะอยู่แสนไกลแค่ไหน
แต่ใจกูคนนี้ขอฝากไว้ที่มึงแค่คนเดียวเท่านั้น”
“หมาปิง เห็นข้าวผัดกุ้งที่กูผัดวางไว้ให้แล้วใช่ไหม
ตลกไหมครับ กูทำไม่ค่อยเป็นแต่ก็ยังอยากจะทำให้มึงได้กิน ขอโทษนะไข่ดาวก็ดำไปหมด ถ้าไงกินข้าวแล้วอย่าลืมกินยาด้วยตัวมึงอุ่น ๆเดี๋ยวจะไม่สบาย”
“ปิงครับ วันนี้กูไปลงเรียนเพิ่มที่สถาบันสอนภาษา
ขากลับลองใช้ซับเวย์ วิ่งแทบไม่ทันตอนที่เขาประกาศเรียก หิ้วกระเป๋าเต็มสองมือเลยคงต้องหากระเป๋าใบที่ใหญ่กว่าเดิมแล้ว
ถ้ามึงอยู่ข้าง ๆ ด้วยก็คงดีจะได้ให้เลือกแบบที่มึงชอบให้กูใช้สักใบ”
“ปิงครับวันนี้กูตื่นสายนิดหน่อย เพราะเมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับเลย รู้สึกหิวข้าวจนปวดท้องเดินลงด้านล่างดูว่าจะมีอะไรกินบ้างไหม
เพื่อนคนไทยทำแต่มาม่ามาหลายวันแล้ว คิดถึงข้าวผัดกุ้งของมึงมากที่สุด อากาศเริ่มเย็น
ๆ หนาวววว”
“หมาปิง วันนี้กูโทรหาซ่าร์มันบอกมึงโทรถามเรื่องกูด้วย
ปิงครับกูสบายดี
ตอนนี้กูเรียนอยู่ที่นิวยอร์กคิดถึงมึงมาก สามปีกูก็กลับแล้ว กูคิดถึงมึงนะ
รักเสมอ”
“ปิงครับ
วันนี้กูลองแวะซุปเปอร์ที่นี่ดู มองเห็นมะเขือเทศลูกโต เห็นแครอทที่มึงชอบ ถ้าตอนนี้เราสองคนอยู่ที่นี่ด้วยกัน
กูจะโอบไหล่มึงไว้แล้วบอกกับมึงว่า วันนี้อยากกินข้าวผัดมะเขือเทศ มึงต้องหันมาส่งยิ้มให้กูแล้วบอกใส่แครอทลงไปด้วยดีไหมครับพี่เอย์”
“วันนี้มหาลัยเปิดเรียนเป็นวันแรก
ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าต้องใช้ภาษาอังกฤษทั้งหมด แต่ยังไงกูก็ไม่ชินเสียที เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง
กลับมาต้องอ่านเพิ่มเติมเองอีกเยอะเลย พักเหนื่อยโดยการกดอ่านแมสแสจของมึง ตอนนี้ที่เมืองไทยกี่โมงแล้วนะ
หมาปิงมึงกำลังทำอะไรอยู่ ได้แวะไปที่ห้องของเราบ้างไหม ผ่านไปหลายเดือนแล้ว.......มึงเลิกร้องไห้หรือยัง”
“หนาวจังปิงครับ
วันนี้กูก็ออกไปดูดาวมานะ ไม่รู้ว่าจะใช่ดาวดวงเดียวกันกับที่มึงมองอยู่ทางนั้นไหม
อย่างน้อย ๆ เราสองคนก็ยังอยู่ภายใต้ผืนฟ้าแผ่นเดียวกันใช่ไหม ยิ้มให้กูสิปิง
ยิ้มแล้วมองขึ้นมา กูกำลังมองดาวดวงนั้นอยู่
มึงเองก็กำลังมองที่ดาวดวงนั้นเหมือนกันใช่ไหม”
“หมาปิงตอนนี้ที่นี่เข้าหน้าหนาวอีกแล้ว
คืนนี้มีหิมะตกลงมาด้วยนะ ที่เมืองไทยตอนนี้คงจะหนาวมากเหมือนกันใช่ไหม
ช่วงกลางคืนมึงต้องห่มผ้าหนา ๆ นะรู้ไหมครับ วันนี้ได้ออกไปช่วยแม่กับพี่ขมที่ร้านหรือเปล่า
ทานข้าวให้เป็นเวลาด้วยนะ”
“เที่ยงคืนกว่าแล้ว กูกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่
คิดถึงมึงมาก ปกติจะเปิดดูรูปในโทรศัพท์วันนี้เลยตัดสินใจปริ๊นส์ออกมา ใส่กรอบตั้งไว้ที่โต๊ะ
แบบนี้ค่อยยังชั่วหน่อย คิดถึงหมาจะได้มองเลยไม่ต้องไปกดมือถือค้างไว้อีก บอกตัวเองว่าสู้
ๆ ใกล้จะสอบเต็มทีแล้ว”
“เวลาผ่านไปช้ามากเลย สองปีทำไมรู้สึกว่าโคตรนานทั้งที่ตอนอยู่กับมึงวัน
ๆ นึงแปปเดียวเท่านั้นจริง ๆ วันนี้กูออกไปดูสถานที่ฝึกงาน เป็นบริษัทใหญ่มากอยู่นอกเมืองออกไปนิดเดียว
มีวิศวกรคนไทยคอยแนะนำกูกับเพื่อน ๆ ด้วย พี่เขาดีกับกูมาก”
“ปิงครับ ตอนนี้มึงคงจะเรียนจบปริญญาตรีแล้วใช่ไหม
ทำงานที่ไหนเหรอ? ส่งข่าวมาบอกกูหน่อยได้ไหม ข้อความที่มึงไม่ได้ส่งมานานปีนึงแล้ว
ทุกวันนี้กูเปิดอ่านอยู่แต่ข้อความเก่า ๆ ของมึง อ่านทุกวันซ้ำๆ
กูบอกตัวเองอยู่เสมอว่ามึงยังไม่ลืมกูหรอก มึงแค่ไม่ว่างเท่านั้น
กินข้าวแล้วใช่ไหมหมา มึงอ้วนขึ้นหรือเปล่าหรือว่าผอมลง ผมล่ะยาวขึ้นบ้างไหมแวะไปซอยออกบ้างนะ
มึงชอบบ่นว่าร้อนเวลาเตะบอลจะได้ไม่รำคาญ”
“ในที่สุด เหลืออีกแค่สัปดาห์เดียว
การรอคอยที่เนิ่นนานจะได้จบลงเสียที ถ้ากลับวันนี้เลยได้กูก็อยากจะทำ
คิดถึงมึงจนแทบจะขาดใจอยู่แล้ว แต่ต้องรอส่งเรื่องปริญญาบัตรเลยต้องยืดเวลาต่ออีกหนึ่งสัปดาห์
คอยดูนะถ้าไปถึงที่นั่นกูจะรีบไปหามึงเลยทันที
มึงอยากได้อะไรไหมกูจะซื้อกลับไปด้วย เมื่อวานไปเลือกซื้อกระเป่าให้แม่มึงแล้ว มีเสื้อสเวตเตอร์ของพี่ขมด้วยนะ
ส่วนของมึง....ไม่บอกดีกว่าซื้อแล้วแหละแต่จะเก็บไว้เป็นความลับก่อน”
“ปิงครับมึงอยู่ไหนเหรอ?? ตอนนี้กูกลับมาแล้วนะแต่มึงหายไปไหนเหรอ? กูไปตามหามึงทุกที่ๆมึงเคยอยู่และเคยไป ที่ร้าน ที่บ้าน
ที่หอ ที่สนามบอล ที่สะพานพุทธ ทำไมกูถึงไม่เจอมึงเลยครับ?? มึงย้ายบ้านย้ายร้านไปอยู่ที่ไหนแล้ว สามปีทำไมอะไรๆถึงได้เปลี่ยนแปลงไปถึงขนาดนี้.....ได้โปรดเถิดหัวใจ
ใครก็ได้ ได้โปรดช่วยผมด้วย....ผมต้องทำยังไงถึงจะได้เจอกับหมาปิงของผมอีก...ได้โปรดช่วยผมที....ผมหามันไม่เจอ
หัวใจของผม.......”
ครืน ~ ครืนน
~
ผมไม่รู้ว่าตัวเองนั่งตัวชาอยู่อย่างนั้นเนิ่นนานแค่ไหน
เสียงฟ้าร้องปลุกให้ผมรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาที่มองจอภาพพร่าเบลอไปหมด
เป็นเพราะหยดน้ำตาใสที่กำลังเอ่อล้นออกมา
ผมลุกขึ้นเดิน
ลากขาไปที่หน้าต่างอีกครั้ง ตัวทั้งตัวหนักอึ้ง หัวใจของผมเจ็บปวดมากมายจริง ๆ
ความรู้สึกอะไรที่เอ่อล้นอยู่ภายในตีกันให้วุ่นวายไปหมด
ผมหลับตาลงแน่นภาวนาให้ใครคนนั้นกลับไปแล้ว
ก่อนที่ผมจะแหวกผ้าม่านเป็นช่องเล็กๆแล้วมองลงไปอีกครั้ง
คุณเชื่อไหม....คนอย่างพี่เอย์คนนั้น
คนอย่างคุณเอย์ตั้น อัศวเหมมินทร์ คนๆ นั้น ยังยืนมองผมอยู่ที่เดิมสายตาที่ส่งขึ้นมาแน่วแน่และมุ่งมั่น
แต่มีอยู่สิ่งหนึ่ง ที่ทำให้ผมคนนี้ถึงกับกลั้นน้ำตาต่อไปไม่ไหวร้องไห้โฮออกมาอย่างหมดอาย
ในมือที่เคยชูหน้าจอของโทรศัพท์มือถือ บัดนี้เปลี่ยนเป็นไอแพดจอใหญ่ยกชูขึ้นไว้เพื่อให้ผมได้มองเห็น
ข้อความตัวหนังสือขนาดใหญ่โต
ชัดเจน....
V
V
V
V
V
V
V
V
“ขอโอกาส”
Tbc.