# 25 ที่ว่าง....
ก่อนเคยคิดว่ารักต้องอยู่ด้วยกันตลอด.....เติบโตจึงได้รู้ความจริง......
ภายในห้องจัดเลี้ยงของโรงแรมหรูระดับห้าดาวริมแม่น้ำเจ้าพระยา
สองนักธุรกิจหนุ่มกับอีกหนึ่งนักธุรกิจสาวรุ่นใหม่ไฟแรงที่กำลังถูกเปิดตัวขึ้นทีละน้อยในฐานะของบุคคลในแวดวงไอที
เจ้าของบริษัทยูเซย์ดาต้าซิสเต็มส์ ผู้พัฒนาซอฟแวร์และวางระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ให้กับหน่วยงานธุรกิจจนเป็นที่กล่าวขาน
หลายครั้งแล้วที่พี่ๆเขาพาผมออกงานสังคมแบบนี้
แต่นี่เป็นงานใหญ่ครั้งที่สองที่ผมถูกพี่เชนกับพี่พิมลากมาด้วย คือปกติผมไม่ถนัดเลยนะไอ้งานเปิดตัวที่ต้องมาปั้นหน้ายิ้มให้กัน
ต้องคุยกับใครก็ไม่รู้ที่ผมไม่รู้จัก มีสื่อมีช่างภาพคอยถ่ายรูปอยู่ตลอด
ผมเคยบอกพี่เชนกับพี่พิมไปแล้วว่าให้พี่เขาไปกันเลย ผมไม่ค่อยชอบงานแบบนี้ ผมอึดอัดแต่ก็ต้องอดทน
พี่เชนบอกว่าผมโตแล้วต้องเรียนรู้การเข้าสังคมไว้บ้าง ต่อไปจะได้ไม่เก้อเขินเวลาที่เราสองคนออกงานด้วยกัน
“เพิ่งเคยเห็นตัวจริงวันนี้ครับคุณคเชนทร์
ได้ยินชื่อเสียงมานานแล้วจริง ๆ โดยเฉพาะบริษัทยูเซย์ของคุณ สองปีหลังมานี่แข็งแกร่งขึ้นมาก
โซลูชั่นบริการสำรองและกูคืนข้อมูลธุรกิจของทางคุณนี่โด่งดังมากเลยนะครับซอฟต์แวร์ตัวที่คุณเพิ่งจะเปิดออกมาทางสื่อกำลังเป็นที่ต้องการของตลาดมากเลยนะ”
น้ำเสียงสุภาพนุ่มและทุ้มของท่านประธานลี
ประธานจัดงานและเป็นผู้นำทางการบริหารทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศจากสถาบันการเงินการธนาคารใหญ่
แสงแฟลชสว่างวาบก่อนที่ช่างภาพจะย้ายตัวเองไปถ่ายภาพให้แขกท่านอื่น ๆบ้าง
“ขอบคุณครับท่านประธานลี
ผมต่างหากที่รู้สึกเป็นเกียรติมาก ยูเซย์ของพวกเราได้บัตรเชิญมาร่วมงานในครั้งนี้ด้วย
เป็นเกียรติมากมายจริง ๆ ครับ พวกเรายังเป็นบริษัทเล็กๆยังต้องปรับปรุงและพัฒนาขึ้นอีกเยอะ”
“หึหึ ถ่อมตัวแบบนี้อนาคตคุณคงไกลแน่ๆล่ะนะ
ผมคนนึงที่พร้อมจะสนับสนุน” พี่เชนรีบโค้งของคุณ ผมเองก็ค้อมหัวให้ท่านด้วย ผมรู้สึกประหม่ามาก
“ขอบพระคุณท่านมากจริง ๆ ครับ ผมขออนุญาตแนะนำโปรแกรมเมอร์มือหนึ่งอีกคนของบริษัทเรา
นี่พิชยครับ น้องชายผมเอง” ผมยกมือขึ้นไหว้อย่างนอบน้อม ท่านประธานลีส่งยิ้มอบอุ่นให้แล้วเอื้อมมือมาตบบ่าผม
“ดีครับดี เด็กรุ่นใหม่ทั้งนั้น
ยังเด็กอยู่เลย เก่งกันทั้งพี่ทั้งน้องแบบนี้บริษัทคุณไปได้ไกลกว่านี้มากแน่ ๆ
ผมรับประกัน เออว่าแต่หนูพิมนั่นล่ะหายไปไหนแล้วเนี่ย เห็นมาแนะนำตัวกับผมอยู่
แม่หนูนี่ก็อีกคนได้ข่าวว่าขยันหางานเข้าบริษัทเหลื๊อเกิน คุณเชนโชคดีนะที่ได้หุ้นส่วนดี
ๆ ทั้งนั้น”
“ขอบคุณครับ พิมไปทักทายลูกค้าต่างชาติที่รู้จักกันน่ะครับ
คงอยู่ที่โซนด้านหลัง”
“ถ้างั้นก็เชิญตามสบายเลยนะ
เดี๋ยวผมต้องขอตัวไปทักทายแขกเหรื่อคนอื่นๆบ้าง”
ประธานลีพูดแล้วก็เดินออกไปมีผู้บริหารอีกหลากหลายบริษัทเดินหน้ากันเข้ามาทักทายพี่เชน
พี่เขาแนะนำผมกับทุกๆที่เข้ามาหา คือผมตาลายเบลอไปหมดทำไมคนที่เราต้องทำความรู้จักในแวดวงสังคมถึงได้มีมากหน้าหลายตาขนาดนี้
“เชน ปิง
มาเร็วเดี๋ยวไปรู้จักกับมิสเตอร์หว่องกับมิสเตอร์หลิน
เขาเป็นคนฮ่องกงเดี๋ยวพูดภาษาอังกฤษเลยนะ”
พี่พิมหญิงเก่งหญิงเหล็กและหญิงมั่นโคตรจะคล่องแคล่วของบริษัทเราเดินมาลากผมกับพี่เชนตรงดิ่งไปที่มุมหนึ่งของห้องจัดเลี้ยง
ผมรีบดึงแขนพี่เชนไว้
“มีอะไร”
พี่เชนหันมาถาม
“พี่เชนครับ
ผมพูดภาษาอังกฤษไม่ได้” พี่เชนหยุดเท้าชะงักเล็กน้อยทำให้พี่พิมหยุดแล้วหันมามองพวกผม
ประมาณว่าเกิดอะไรกันขึ้นหยุดทำไมอะไรแบบนั้น
“เอ่อ คือผม
ผมว่าผมไปรอที่ด้านนอกดีไหมครับ” ผมพูดอึกอักกลัวว่าจะเป็นตัวถ่วงของพี่ ๆ เขา
“มีอะไรเชน
ปิงเป็นอะไร” พี่พิมถาม
“เปล่าไม่มีอะไร
ไปกันต่อเถอะ” พี่เชนบอกให้พี่พิมเดินต่อ พี่เขาเอื้อมมือมาดึงแขนผมให้เดินตามไปด้วย
“ไม่เป็นไรไม่ต้องกังวลนะ
เดี๋ยวมึงยืนอยู่ข้าง ๆ กู
กูจัดการทุกอย่างเอง คำแนะนำตัวง่าย ๆ มึงฟังเข้าใจใช่ไหม”
“ครับพี่”
หลังจากนั้นคือเราสามคนยืนอยู่ในกลุ่มลูกค้าต่างชาติแทบทั้งหมด
ฟิลิปปินส์ เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ คุณหว่องและคุณหลินจากฮ่องกงน่าจะเป็นคนที่มีพาวเวอร์มากแน่
ๆ สังเกตจากที่หลายคนพยายามมาทำความรู้จักท่านไว้
พี่เชนกับพี่พิมคุยภาษาอังกฤษคล่องปรื๋อเร็วจนผมฟังไม่ทันแล้วสำเนียงนี่คือเหมือนในหนังฝรั่งซาวด์แทรกที่ผมไม่ชอบดูมาก
ๆ ทั้งกลุ่มนั่นพูดคุยอะไรกันผมฟังไม่รู้เรื่องจนกระทั่งถึงช่วงท้าย ๆ ของงาน
พี่เชนถูกเรียกขึ้นไปเป็นตัวแทนของบริษัทถ่ายรูปร่วมกับท่านประธานลี มิสเตอร์หว่องรวมถึงมิสเตอร์หลินนั่นด้วย
กว่าเราจะได้กลับกันก็ราว
ๆ สี่ทุ่ม
“เป็นอะไรมึงนั่งหน้างออย่างกับตูด”
พี่เชนเป็นคนขับผมนั่งอยู่ข้าง ๆ เรากำลังมุ่งหน้าสู่ออฟฟิศ
วันนี้เป็นคิวผมนอนค้าง ไม่รู้ว่าพี่เชนยังมีงานค้างที่ต้องทำไหมปกติถ้ามีคือพี่เขาก็จะนอนค้างด้วยกัน
ส่วนพี่พิมแยกกลับบ้านแล้วเรียบร้อย
พี่เชนบอกสงสารเป็นผู้หญิงไม่อยากให้ต้องมาลำบากค้างที่ออฟฟิศเหมือนพวกผม
“พี่เชนครับทำไมพี่กับพี่พิมถึงพูดฝรั่งคล่องปรื๋อเลยอ่ะครับ”
เออผมเองก็อยากจะพูดเก่งเหมือนกันนะ อย่างน้อยได้รู้ว่าเขาคุยอะไรกันบ้าง
“หึหึ”
พี่เชนอมยิ้มไม่ตอบอะไร
รถเราจอดลงที่ออฟฟิศแล้วเดี๋ยวนี้เป็นออฟฟิศใหญ่มีพี่ยามนั่งเฝ้าสองคน
เขาทำความเคารพพวกเราก่อนจะเปิดประตูให้พี่เชนเอารถเข้าไปจอดด้านใน
พอขึ้นไปชั้นบนผมรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าอาบน้ำเลยดิ่
ชุดสูทโคตรของความอึดอัด ทักสิโด้แบบนี้จะว่าไปเคยใส่อยู่ครั้งนึง
นานแล้วสามสี่ปีที่แล้วมั้งนะ ตอนที่ไปงานวันเกิดบ้านคุณหญิงย่าของพี่เอย์
พี่..................................................................เอย์
พี่เอย์??
ผมหยุดมองตัวเองผ่านกระจกเงาในห้องน้ำ
สามปีเต็มแล้วสินะที่ผมไม่เคยได้ติดต่อกับพี่เขาเลย
ไม่รู้ว่าป่านนี้จะกลับมาหรือยังอยู่ที่นิวยอร์กนั่น คำพูดที่ว่า ‘ไม่ต้องรอกู
ถ้ามึงเจอใครที่ดีกว่าอย่าปิดโอกาสตัวเอง’ดังสะท้อนซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัว
ตอนนั้นผมน่าจะคิดได้แล้วว่าความหมายของพี่เขาคืออะไร ตรง ๆ ตัวเลยก็คือไม่ต้องรอ ไม่อยากให้รอ
ไม่มีประโยชน์ที่ต้องรอ ทุกอย่างของเราก็แค่นั้น
เพราะผมเลิกรอพี่เขาไปตั้งแต่เมื่อสองเดือนที่แล้ว
เราจบกันไปแล้ว
พี่เขาจบกับผมแล้วตั้งแต่เมื่อสามปีก่อน
ส่วนผม เพิ่งคิดที่จะจบกับพี่เขาเมื่อสองเดือนที่แล้ว
ผมก้มลงไปกวักน้ำขึ้นมาล้างหน้า
ล้างแล้วล้างอีก ล้างไปเรื่อย ๆ รอจนหัวเย็นหน้าเย็น ผมรอให้หัวใจผมเย็นลง
บอกกับตัวเองว่า ทุกอย่างคือจบไปแล้ว พี่เอย์เป็นรักแรกของผม
ผมไม่เคยรักใครจริงจังดูเหมือนผมเคยบอกคุณไปแล้ว ผมสามารถคบแล้วเลิกได้ง่าย ๆ
ทุกคนคือเหมือนกันหมด แต่หลังจากพี่เอย์เข้ามาในชีวิตผมทุกอย่างเหมือนถูกเติมเต็ม
เราสองคนคบกันเหมือนเพื่อนเหมือนพี่จนในที่สุดผมได้กลายเป็นคนรักของพี่เขา ในวันสุดท้ายที่เราสองคนต้องห่างกันไกล
พี่เอย์เลือกที่จะไปโดยทิ้งผมคนนี้ให้อยู่โดยไม่มีความหวังอะไรเลย
ผมผิดไหมที่จะรู้สึกได้ในวันหนึ่งว่า.......พี่เอย์ใจร้ายกับผมมาก
วันคืนที่ผมต้องรอคอย
วันคืนที่ผมเดียวดาย ช่วงเวลาที่ผมต้องเหงา
....ผมเจ็บ....
“พี่เชนจะค้างที่ออฟฟิศเหรอครับ”
ผมเดินเอาผ้าขนหนูผืนเล็กคล้องคอออกมานั่งเช็ดหัวอยู่ใกล้ ๆ พี่เชนกำลังนั่งทำงานอยู่กับเครื่อง
คงสะสางงานต่อจากเมื่อตอนกลางวัน
“อือว่าจะค้าง
งานกูแม่งแก้เท่าไหร่กูไม่ได้ดั่งใจว่ะ คิดว่าจะดูต่ออีกหน่อย”
“ให้ผมช่วยไหมพี่”
“ไม่ได้หรอก
โปรแกรมนี้มึงยังไม่เคยใช้เดี๋ยวเดือนหน้ากูว่าจะสอนให้
ต่อไปเราอาจจะต้องเปิดศูนย์ฝึกอบรมเกี่ยวกับซอฟแวร์ด้วย พิมมีแผนจะรับโปรแกรมเมอร์มาเพิ่มอีก
มึงจำเป็นต้องเรียนรู้อยู่แล้วนะปิงเอาไว้สอนพนักงานใหม่ ๆ ด้วย”
พี่เชนพูดกับผมแต่ตาจ้องอยู่ที่เครื่อง
ผมเลยเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้แล้วถีบปรื๊ดเดียวเก้าอี้ไถลไปชนเก้าอี้พี่เขาเลย
ผมยิ้มตาหยี แต่พี่เชนมองผมตาเขียวเลยสิ
“กวนนนน”
“โหหหหหหหหแกล้งหรอกครับ
เห็นพี่ซีเรียสนี่ มานี่มาผมช่วยพี่พิมพ์อะไรถึงไหนแล้วผมดูดิ๊” ผมดึงเก้าอี้พี่เขาออกแล้วเลื่อนของตัวเองเข้าไปนั่งแทน
เก้าอี้ล้อลื่นดีมากนะ
“เห้ยไม่เอ้า
ปิงอย่ากวนดิวะเดี๋ยวงานกูไม่เสร็จจะได้นอนไหมคืนนี้อ่ะ”
“ชู่ว์ เงียบ
ๆ เดี๋ยวผมทำต่อให้โปรแกรมนี้เคยทำอยู่นะ เดี๋ยวลองทำแบบนี้ดูก่อน” แล้วผมก็พรมนิ้วลงที่แป้นรัวเลย
เร็วมากเหมือนกันกับพี่เขาน่ะแหละ ผมกำลังไล่ตามพี่เชนอยู่นะ คึคึ พี่ท่านนั่งมองผมอึ้งตาค้างเลยดิ่
เดี๊ยะๆ
เดี๋ยวได้รู้เลยผมใคร ดูด้วยเหอะ
“อ่าเสร็จแล้ว เห็นไหมครับบอกว่าจะช่วยไง อ่ะ
พี่ต่อเองที่นี้” พวกผมกำลังรอให้โปรแกรมมันรัน พี่เชนใจจดจ่อมาก ประมาณสามสิบวิได้
พอเห็นหน้าจอดิสเพลแค่นั้นแหละครับ พี่เชนนี่หน้าเขียวเลย
จ้องผมอย่างกับจะกินเลือดกัน
“หึหึ หึหึ”
พี่เชนลุกขึ้นหัวเราะเสียงต่ำ มองผมเม้มปากแน่น ตายๆผมตายแน่ ๆ
หวังดีกลายเป็นทำให้พี่เขาต้องรื้อใหม่หมดอีกรอบ
ผมหันซ้ายหันขวาเลื่อนเก้าอี้ถอยปรู๊ดเดียวคือติดผนังด้านหลังห้องเลย พี่เชนเองก็เร็วไม่แพ้กันเก้าอี้ล้อเลื่อนถีบโต๊ะทีเดียวไถลมาถึงผมแล้ว
“มึงนี่มันตัวป่วนกูจริง
ๆ นะ ก็บอกแล้วว่าโปรแกรมนี้มึงยังใช้ไม่เป็น ดูคีย์แต่ละตัวดิ๊มันใช่เหรอ หืมม
เจ้าปิ๊ง!!” ผมรีบจะลุกขึ้นพี่เชนจับสองบ่าผมแล้วกดให้นั่งลงที่เดิม
ผ้าเช็ดตัวที่พาดหัวอยู่ถูกมือใหญ่ของพี่เขายีๆๆๆแล้วก็ยีลงให้
จากที่ผมดิ้นๆกลายเป็นตอนนี้นั่งให้พี่เขาเช็ดหัวให้ผม
“พี่เชนครับผมขอโทษ”
“ทีหลังถ้ากูบอกก็ให้เชื่อเข้าใจป่ะ”
“คร้าบผม”
พี่เชนเอื้อมมือไปคว้าเอาที่หนีบกระดาษอันใหญ่
ๆ ที่อยู่บนโต๊ะมาหนีบผมด้านหน้าที่ยาวจนปรกตาผม มัดรวบขึ้นไปคล้ายจุกแอปเปิ้ล
เป็นแบบที่ผมชอบทำเสมอเวลานั่งเขียนโปรแกรมทำงานเพราะหากิ๊ปไม่ได้ ผมยกมือคลำๆดูที่หัวตัวเอง
เออพี่เชนทำเป็นด้วยเหรอวะ
“ไปนอนได้แล้วไปเดี๋ยวกูต้องแก้งานไม่รู้จะเสร็จเมื่อไหร่
พรุ่งนี้มึงต้องไปทำงานแต่เช้าอีก” พี่เขาหมายถึงงานประจำของผมที่ศูนย์รถชื่อดัง
ผมเป็นช่างฟิตอยู่ที่นั่น งานประจำผม
“เพิ่งจะเที่ยงคืนเองพี่ผมยังไม่ง่วงเลยเหอะ”
“เรื่องของมึงจะนั่งถ่างตาจนถึงเช้าก็ไม่เกี่ยวกับกู”
“ใจร้ายว่ะ”
พี่เชนไม่สนใจผมหรอก
โยนผ้าเช็ดหัวใส่ผมแล้วตัวเองก็เดินกลับไปนั่งทำโปรแกรมต่อ
ผมก็นั่งมองหน้าจอพี่เขาไปสักพักเราไม่ได้คุยกันนะ จนผมเดินออกไปเข้าห้องน้ำเลยแวะขึ้นไปหอบหมอนหอบผ้าห่มลงมากองลงที่พื้นข้าง
ๆ พี่เขานั่นแหละ พี่เชนถึงได้หันมาถาม
“ทำไมไม่ไปนอนที่ห้องดีๆ”
“ผมยังไม่ง่วง”
“ยังไม่ง่วงทำไมมึงไม่นั่ง
ไปเอาที่นอนลงมาปูทำไม”
“ก็ง่วงนิดๆอ่ะ”
คือไงล่ะผมก็แค่อยากจะนอนรอ
ผมรู้สึกผิดนะทำงานพี่เขาพังแล้วก็เลยอยากจะอยู่รอเป็นเพื่อน ก็แค่นั้นแหละความคิดอันน้อยนิดของผม
“งานมึงเสร็จหมดแล้ว?”
“ยังครับ
เหลือแก้อีกนิดเหมือนกัน แต่ผมเบลอแล้วพี่ไว้พรุ่งนี้ว่ากันต่อ”
“งั้นมึงก็นอนไปเดี๋ยวเสร็จแล้วกูเรียก”
แล้วพี่เชนก็นั่งทำงานต่อไป
ผมหยิบหนังสือ ซีพลัสพลัสขั้นสูง ขึ้นมานอนคว่ำหน้าอ่านเล่น ผมเก่งภาษาซีที่สุดนะบอกเลย
ซีพลัสพลัส ซีชาร์ป ออปเจ็คซี พวกนี้นี่คือผมจะไวมาก ขณะที่พี่เชนเก่งทุกอย่าง แต่เด็ดสุดน่าจะเป็นจาวา
ตอนนี้บรรยากาศคือเงียบมาก ดึกมากแล้วด้วยจวนจะตีสอง ได้ยินแต่เสียงรัวแป้นพิมพ์จากมือของพี่เขา
“พี่เชนครับ”
“หื้อ
ว่าไงง่วงแล้วดิ่” ผมส่ายหน้า ปิดหนังสือลงแล้วหันไปนอนจ้องพี่เขาดี ๆ
“พี่สอนผมพูดภาษาอังกฤษหน่อยดิ่พี่”
“หึหึ ทำไมวะ
นึกครึ้มอกครึ้มใจอะไรขึ้นมา หรือได้แรงบันดาลใจจากงานเลี้ยงเมื่อตอนหัวค่ำ”
“ก็ใช่ไง
ผมก็อยากจะฟังพวกพี่คุยรู้เรื่องบ้าง อย่างน้อยให้ได้รู้ว่าพี่กับพี่พิมกำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่”
“มึงก็พูดดิ่”
“ก็พูดไม่เป็นน่ะ”
“แล้วใครเขาจะพูดเป็นโดยที่ไม่ฝึกพูด
กูถาม” พี่เชนหันมามองหน้าผม จะว่าไปพี่เชนดูตอนนี้ทำไมเหมือนพี่เอย์มากเลยวะ
เหมือนอย่างกับถอดแบบกันมาเลยงั้นแหละ
ผมสลัดความคิดบ้า
ๆ นั่นออกไปช่วงนี้ผมมักจะคิดถึงพี่เอย์บ่อยมาก
“ไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษได้โดยที่ไม่พูด มึงเข้าใจป่ะ”
“ผมมีหนังสือฝึกพูดภาษาอังกฤษเป็นโหล”
“ไม่เกี่ยว”
“ผมมีซีดีฝึกภาษาอังกฤษเยอะมาก”
“นั่นก็ไม่เกี่ยว”
“แล้วพี่เชนฝึกจากไหนล่ะครับ
สอนผมบ้างสิ”
“มึงก็ต้องพูดไง
พูดกับกูก็ได้กับพิมก็ได้ เดี๋ยวคำไหนผิดกูจะบอกมึงเอง”
“เฮ้ยไม่เอ้า
ผมอายเหอะ”
“ก็เออเป็นซะอย่างเนี๊ยะ
แล้วเมื่อไหร่จะพูดเป็นอ่ะ”
“ก็แล้วพี่กับพี่พิม
ฝึกยังไงอ่ะ”
“ก็กูบอกแล้วมึงทำแบบพวกกูไม่ได้หรอก”
“ยังไงล่ะครับก็บอกสิ”
ผมเริ่มโมโห ลุกขึ้นนั่ง
“กูกับพิมจบมาจากซิดนี่ย์
เราเรียนปริญญาตรีกันที่นั่น” จ๋อยดิ่ครับผมน่ะ เออแล้วแบบนี้
ผมจะเก่งเหรอผมจะพูดได้เหรอ ผมไม่มีตังค์ไปเมืองนอกเหมือนพี่ ๆ เขานี่หว่า
“ไม่มีอะไรเกินความสามารถมึงกูรู้
ไม่เกี่ยวกับเรื่องเงิน อยู่เมืองไทยมึงก็เก่งได้ ต่อไปมึงต้องพูดเป็นภาษาอังกฤษกับกูทุกวัน
ไม่ต้องอายบอกตัวเองไว้แค่นั้นจบ”
“ไม่เอาเหอะ
ผมอายนะ” ผมนั่งพึมพำหน้ามู่ทู่คิ้วขมวด พี่เชนหันมามองแล้วอมยิ้มส่ายหัว
“อายเหี้ยไรนักหนา
มึงอายกูเหรอ”
“อื้อๆ”
“อายกูทำไม
มึงชอบกูเหรอถึงต้องอายกู”
“เห้ยเปล่า
ไม่ใช่แบบนั้นพี่” ผมรีบหันไปหาแล้วปฏิเสธ
“ก็รู้ว่าไม่ได้ชอบ
เพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องอาย พูดออกมาเลยเดี๋ยวกูตอบกลับไปมึงก็จะชินไปเอง”
“เอางั้นเหรอ”
“เออ”
“แล้วจะเริ่มเมื่อไหร่”
“อะไรของมึง”
“จะเริ่มเรียนเมื่อไหร่
ผมจะไปท่องไปเตรียมตัวจะได้แปลออกเวลาพี่ถามมา”
“จิ๊!” พี่เชนจิ๊ปาก หมุนเก้าอี้มาหาผมเลย
“การพูดภาษาอังกฤษน่ะ
ไม่ต้องเตรียมตัวไม่ต้องแปลเลยคือพูดออกมาเลย พูดปุ๊บมึงจะเข้าใจเองว่ามันหมายความว่าอะไร
เรียนกับกูห้ามมึงมาแปลเป็นภาษาไทยให้กูได้ยินนะ”
“อ้าวไม่แปลแล้วผมจะเข้าใจเหรอพี่”
อะไรของพี่วะ
“โว๊ยยยยย
กูเบื่อมึงจริงเล้ยยย เวรกรรมอะไรของกูวะเนี่ย” พี่เชนขยี้หัวหันซ้ายหันขวา
ผมเริ่มทำตัวไม่ถูกคือคิดว่าพี่เขากำลังหาอะไรขว้างมาทางผมป่ะวะ ท่าทางฉุนจัดมาก
กลุ้มเรื่องโปรแกรมอยู่แล้วยังต้องมากลุ้มเรื่องผมอีก โฮววว
“ปิง นี่อะไร”
พี่เชนหยิบปากกาขึ้นมาแล้วถามผม
“ปากกาไง”
ผมตอบ
“ไม่ใช่! นี่คือ เพ็น” พี่เขาเลิกคิ้ว
“เข้าใจแล้วใช่ไหม
มันไม่ใช่ปากกา แต่มันคือเพ็น ต่อไปมึงหยิบจับอะไรมึงไม่ต้องแปลเป็นไทย คือมึงจะรู้เองว่านี่คือเพ็น
นี่คือรู้เร่อ นี่คือสแทปเล่อ นี่คือบุ๊ค นี่คือคอมพิ้วเท่อร์
ไม่ต้องแปลให้ยุ่งยากมากความ อั่นเดอร์สแตนท์”
ผมพยักหน้าเริ่มเข้าใจในสิ่งที่พี่เชนกำลังพยายามสอนผม
“ไหนมึงลองพูดกับกูมาสักประโยคซิ
อะไรก็ได้”
“แดร์อีสอะบุ๊คโอ้วเวอร์แดร์”
ผมคิดถึงประโยคนี้เลยดิ่ ง่ายดี คึคึ
“ยากกว่านั้นดิ่วะ
มึงเด็กอนุบาลเหรอ เอาใหม่ดิ๊!” พี่เชนเริ่มหันไปสนใจงานต่อขณะที่หูนี่คือกำลังรอฟังผมพูดอยู่แน่
ๆ กระดิกนิดๆ
“ปิง”
คือผมเงียบไปนานจนพี่เขาหันมามอง
ผมรู้แล้วล่ะว่าจะพูดอะไรแต่คืออายไงกลัวว่าจะพูดผิดเลยไม่กล้าพูดออกมา
“จะพูดป่ะ
กูบอกแล้วใช่ไหม ไม่ต้องอาย ไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษได้โดยไม่พูด” พี่เชนในโหมจริงจังน่ากลัวอ่ะ
เอาวะ
พูดก็พูด ผิดแล้วอย่ามาหัวเราะแล้วกัน ผมก้มหน้างุดแล้วหลับหูหลับตาพูด
“ทูมอโร่ว
อีส อิท พอสสิเบิ้ล ทู มีท แอท โฟพีเอ็ม” สำเนียงผมคือไทยเป๊ะ พี่เชนไม่ได้หัวเราะออกมาก็จริงแต่ผมแอบเห็นว่าพี่เขากัดปากกลั้นรอยยิ้มไว้ด้วยไหล่สั้นนิดๆเลยอ่ะ
งี้แหละไม่ค่อยอยากพูด คืออายมากเหอะ
“มึงต้องพูดว่า
อิ๊ส-สิท-พ้อส-เซอ-เบิ่ล..... ไม่ใช่ อีส-อิท-พอส-สิ-เบิ้ล....
คือมึงต้องดัดจริตนิดๆ การเชื่อมเสียง ไม่งั้นมันจะแข็งๆฟังแล้วตลก
มึงเรียงประโยคดีแล้วเหลือก็แต่สำเนียงการออกเสียงเดี๋ยวพูดกับกูบ่อย ๆ
มึงค่อยก๊อปปี้สำเนียงกูไป เข้าใจนะ”
“ครับ”
“เริ่มจากตอนนี้เลย
มึงต้องพูดกับกูเป็นภาษาอังกฤษ ถ้าหลุดคำไทยมานะกูจะทำโทษ”
“ทำโทษยังไง”
“ไม่รู้ยังไม่ได้คิด
แต่น่าจะหนัก ต้องเอาให้มึงอายจะได้พูดเป็นไวๆ”
“แค่วันละชั่วโมงก่อนนอนได้ป่ะพี่”
พี่เชนหันมามองผมตาเขียวปั๊ดผมเลยยกมือไหว้ปรกๆทำหน้าอ้อน
ๆ เข้าใจผมหน่อยเถอะ เด็กช่างยนต์แบบผมอยากจะฝึกสปี๊คอิ๊งนี่คือสุดของความชิคแล้ว
เพราะงั้นผมขอวันละชั่วโมงพอ
“เอาแบบนั้นก็ได้แต่มึงต้องดูหนังซาวด์แทร็คให้ได้วันละเรื่องด้วย
เพราะมึงต้องฝึกการฟังจากเจ้าของภาษาจริง ๆ”
“คร้าบ ๆ”
ผมไม่ชอบดูหนังซาวด์แทร็กเลยให้ตายเหอะผมชอบฟังเสียงพากย์ตลกๆมากกว่า
ส่วนสำนวนผมจะก๊อปปี้จากพี่เชนนี่แหละ
คึคึ
ผมจะพูดฝรั่งเป็นแล้ว มีพี่เชนเป็นคนสอน คราวนี้แหละผมจะไปพูดอวดหมาบาสกับหมาวุฒิที่ศูนย์รถมันต้องทึ่งตะลึงงันผมแน่นอน
ผมหลับตาแล้วนึก คุณเชื่อไหมซอกนึงในหัวใจผมกำลังนึกไปถึงอีกคนที่อยู่ไกลแสนไกล พี่เอย์คงจะพูดฝรั่งไฟแลบเลยดิ่
น่าเสียดายนะครับที่พี่ไม่ใช่คนที่ได้สอนผม ผมอยากให้พี่สอนนะแต่พี่คงจะไม่ว่างกลับมาสอนผมหรอก
ตอนนี้พี่อาจจะมีคนใหม่ให้พี่ฝึกพูดคุยอยู่ที่นั่นทุกๆวันแล้วก็ไม่รู้
“ปิง!!” พี่เชนตะโกนเรียกอย่างดังผมหน้าเหรอหรา
“เป็นอะไร”
“ปะ...เปล่าครับ”
ผมล้มตัวลงนอนคว่ำ เท้าแขนไว้อย่างเดิมอ่านหนังสือเล่น
“ถ้าง่วงขึ้นไปนอนก่อน”
“ผมจะรอพี่” ผมพลิกหน้าหนังสือไปเรื่อย
ๆ สลัดความคิดเรื่องพี่เอย์หลุดออกไปแล้ว
“หึ ทำอย่างกับนอนเตียงเดียวกันนะมึง
คนล่ะห้องแท้ ๆ” พี่เชนบ่นงึมงำ แล้วลุกเดินเข้ามาหา
“ช่างดิ่
ผมจะรออ่ะ”
พรึ่บบ
ผ้าห่มถูกสลัดแล้วคลุมลงที่ตัวผม
พี่เชนจ้องหน้าผมนิ่งเลย เราสบสายตากันแวบนึง “นอนได้แล้วมันดึกแล้ว”
พี่เชนพูดแล้วเดินไปที่โต๊ะ
โยนของสิ่งนึงส่งมาให้ผม รับไว้เกือบไม่ทันนะไอพอดสีขาวของพี่เขา
เก่าแล้วดิมีรอยถลอกด้วย
“หลับตาแล้วฟังไป
ห้ามพูดมากกูรำคาญงานกูจะไม่เสร็จ”
คืนนั้นเราสองคนต่างหลับกันไปตอนไหนไม่รู้ผมตื่นมาตอนเช้าในสภาพสายไอพอดคาหู
ส่วนพี่เชนอยู่ในสภาพหัวอยู่บนหมอนเดียวกันกับผมแต่ตัวนี่อยู่บนพื้นอีกฝั่งตรงข้ามกันเลยผ้าห่มก็ไม่มีนะนอนบนพื้นเปล่า
ๆ ผมลุกขึ้นแล้วเอาผ้าห่มผมคลุมตัวให้พี่เขาจากนั้นก็อาบน้ำแล้วออกไปทำงาน
สองเดือนหลังจากนั้น
“ไอ้ปูนมึงส่งประแจเบอร์สิบมาให้กูดิ๊
ลืมเอาเข้ามาด้วยเหี้ย!”
ผมแหกปากลั่น
กำลังมุดๆอยู่ใต้ท้องรถเก๋งคันใหญ่ ที่ศูนย์รถยนต์แผนกซ่อมบำรุง
ผมทำงานที่นี่มาได้เกือบจะปีแล้วนะ ชอบมากเพราะเวลาทำงานได้ใส่ชุดหมีแบบที่ผมเคยฝันไว้
พวกช่างฟิตส่วนใหญ่จะใส่กัน คือผมรู้สึกผมเท่อ่ะ
เออน็อตตัวนี้แม่งขันยากมาก อากาศวันนี้ก็ร้อนมากเลยด้วย ฮึ่ยย เสื้อผ้านี่ดำเปื้อนไปหมด
หน้าผมก็ดำนะป้าย ๆ เช็ดๆไปหมดอ่ะ
ไม่ค่อยสนใจอะไรหรอกก่อนกลับบ้านผมต้องอาบน้ำก่อนทุกครั้งอยู่แล้ว
“พี่ปิง”
ไอ้บาสมันก็มุดเข้ามา เรานอนอยู่ใต้ท้องรถหัวชนกันอยู่
ผมยื่นมือออกไปแล้วร้องบอกคนที่อยู่ด้านนอก
“ประแจเบอร์สิบสอง
ไขควงแฉกด้วย” ไอ้ปูนรอเสิร์ฟอยู่แล้วมันวางลงให้ผมโคตรแรงมันแกล้งอ่ะ
ผมเลยแจกเหี้ยมันไปอีกตัวได้ยินเสียงมันหัวเราะลั่นไอ้บาสนี่มันเอาไฟฉายเข้ามาด้วย
มันหัวเราะผมใหญ่พอเห็นว่าหน้าผมดำแค่ไหน หัวเราชนกันแต่มันน่ะขายื่นออกไปท้ายรถ
ส่วนขาผมยื่นออกไปทางหัวรถ ผมเลยเอามือดำๆป้ายหน้ามันบ้าง มันดิ้นเลยดิ่
ป้ายมือไปที่ถังน้ำมันเครื่องแล้วจับมาป้าย ๆ หน้าผมจนดำปิ๊ดปี๋
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ
ตลกพี่ว่ะ” มันขำจนท้องแข็งไปแล้วมั้ง
“แห่ะๆ
มึงไม่ตลกตายห่าล่ะ กร๊ากกกกกกกกก ดูหน้ามึงซะก่อน หมาบาสเอ๊ย”
พวกผมก็เล่นไปทำไปไม่ได้รีบหรอกครับจวนจะเสร็จแล้ว
คันนี้ผมกับหมาบาสรับผิดชอบ ส่วนไอ้วุฒิวันนี้ถูกเรียกไปประชุมเรื่องล้อกับบังโคลนรุ่นใหม่
พวกผมเลยได้มุดกันอยู่แค่สองคนโดยมีไอ้ปูนที่หมาวุฒิมันวานให้เป็นคนส่งเครื่องมือให้พวกผมแทน”
“เฮ้ยพี่ปิง
ทำไมด้านนอกมันเงียบ ๆ วะพี่”
“เออนั่นดิ่”
ผมเริ่มสังเกตแล้วหันดูรอบข้าง วิวใต้ท้องรถแบบนี้ก็เห็นแต่ขาคนแค่นั้นแหละครับ
“แล้วขาใครสามคนกำลังเดินมาทางรถเราอ่ะพี่”
ผมมองออกไปเห็นขาผู้ชายสวมสแลคหกขาสามคนกำลังเดินใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ
“ลูกค้ามาดูรถเขามั้ง
อะไรวะไหนในใบบอกนัดรับสี่โมงเย็นไงวะ เหลืออีกตั้งสามสิบนาที
งั้นต้องรีบหน่อยแล้วมึง” ผมบอกไอ้บาสเบา ๆ แล้วรีบเร่งมือ
ขาคนสามคนเดินใกล้เข้ามาแล้ว ตอนนี้ยืนอยู่แถว ๆ ข้างรถพวกผมเอง หนึ่งในนั้นเป็นผู้จัดการผมดิ่ผมจำรองเท้าเขาได้
คือมันมีเอกลักษณ์มากๆ ผมกับหมาบาสแอบเลวนินทาแกตอนที่เข้ามาทำงานใหม่ ๆ
คือแกเตี้ยแล้วเสริมส้น สูงมาก โคตรตลก
“ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากเลยครับ
ไม่คิดว่าท่านจะมาสนใจบริษัทของเรา” เสียงผู้จัดการผมพูด
“ท่านประธานของผมชื่นชอบงานเกี่ยวกับศูนย์บริการลูกค้าครับ
ยิ่งเป็นงานเกี่ยวกับรถยนต์ที่บริษัทของเราทำกันอยู่แล้วท่านยิ่งชอบ”
“ผมแปลกใจมากครับตอนที่คุณกัสมา
ติดต่อมาว่าจะขอมาดูกิจการของเราทั้งหมดเพื่อพิจารณาร่วมทุน
มีเงินทุนใหญ่ๆอย่างในเครือของท่านประธานมาช่วยโอบอุ้มเป็นฐานให้บริษัทของเราแบบนี้ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากจริง
ๆ”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ
หวังว่าในอนาคตถ้าหากว่าจะมีการแลกเปลี่ยนพนักงานเพื่อให้ได้ประสบการณ์ตรงเรื่องรถของยุโรปทางคุณคงจะไม่ขัดข้อง”
“โอ้ไม่มีปัญหาครับ
เราเป็นเหมือนคนๆเดียวกันแล้ว คนของที่นี่จะไปที่นั่นเมื่อไหร่ก็ได้คุณกัสมาหรือว่าท่านประธานอยากจะให้ใครย้ายไปเพื่อเพิ่มประสบการณ์ยกหูบอกผมกริ๊งเดียวครับ”
“ขอบคุณมากนะครับคุณใจดีมากจริง
ๆ ผมเป็นเลขาของท่านมีอะไรคุณคุยผ่านผมได้ตลอดเวลาเลย
พร้อมช่วยเหลือทุกเรื่อง”
เสียงคนสองคนคุยกันไปมา
ขณะที่ผมกับหมาบาสตั้งหน้าขันประแจให้แน่นแต่รู้สึกว่าจะผิดเบอร์
ทำยังไงดีวะถ้ายื่นมือออกไปขอไอ้ปูนตอนนี้ ผู้จัดการจะว่าอะไรไหม
พอดีว่าพวกเขาสามคนกำลังจะเดินออกไปจากรถแล้วหมาบาสเลยเรียกเอาเครื่องมือจากไอ้ปูน
“ประแจเบอร์หก”
เสียงแหบ ๆ ของไอ้บาสเรียกคนด้านนอก มันเป็นหวัดตั้งแต่เมื่อวานผมยื่นมือออกไปรอ
ค้างไว้แบบนั้น ดูขาไอ้ปูนมันกำลังก้าวเข้ามาหาพร้อม ๆ กับ ฝีเท้าหนึ่งในกลุ่มคนนั้นหยุดชะงักลง
กางเกงสแลคสีดำพริ้วก้าวเข้ามาใกล้รถพวกผมอีกครั้ง
ผู้จัดการผมกับอีกขาก็ก้าวเข้ามาด้วย
เขาเดินเข้าไปหาไอ้ปูนแล้วเดินกลับมาทางที่มือผมยื่นอยู่
ย่อตัวนั่งลงข้างรถแล้ววางประแจลงที่มือของผมเบามาก ผมรับเอามาแล้วรีบตั้งหน้าทำงานของผมต่อ
“พนักงานของเราตั้งใจทำงานกันทุกคนครับ
ระดับการรักษาเวลาของเราเป็นมาตรฐาน รถคันนี้นัดรับสี่โมงเย็นนี่ก็จวนจะเสร็จแล้วเขาเลยต้องเร่งมือหน่อย
ขอประทานโทษจริง ๆ ครับที่ทำให้ท่านต้องส่งเครื่องมือให้แบบนี้”
“ไม่เป็นไรครับท่านประธานเราใจดีเสมอแบบนี้แหละครับ
ท่านไม่ถือหรอก”
แล้วเขาสามคนก็เดินห่างออกไปผมทำทุกอย่างเสร็จพอดี
เลยค่อยถดๆตัวออกมา ยืนขึ้นทันมองเห็นแผ่นหลังของคนสามคนที่กำลังเลี้ยวออกไปจากโรงซ่อม
แผ่นหลังที่คุ้นตามากทั้งรูปร่างและส่วนสูง แต่ทรงผมคือไม่ใช่
ผมรีบหันหน้ามาหาพวกหมาๆสองตัวที่มันกำลังล้อเลียนผมอยู่
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆ
หน้ามึงแม่งตลกว่ะ ดำโคตรเลย เอ้าเช็ดซะ” ไอ้ปูนพูดแล้วโยนผ้าเช็ดเหงื่อส่งให้
“สัส
มึงไม่ลองมามุดเองอ่ะ” ผมรับเอามาแล้วเตะตูดมันไปทีบอกมันขอตัวไปอาบน้ำเพราะจวนถึงเวลาเลิกแล้วมือยิ่งป้ายหน้าก็ยิ่งดำเลยไล่เอาไปตามป้ายพวกมันบ้างไอ้พวกหมาวิ่งหนีกันใหญ่
“ปิงโทรศัพท์มึงแม่ง”
ไอ้วุฒิมันเลิกประชุมแล้วเดินลงมาหาพวกผม ยื่นโทรศัพท์ส่งให้ผมที่เพิ่งออกมาจากห้องอาบน้ำ
พี่เชนโทรมาบอกว่าวันนี้จะแวะมารับให้เอารถมอไซด์ทิ้งไว้ที่นี่เลย ผมก็เออออไป
ปกติพี่เชนไม่ค่อยได้มารับผมหรอกนะยกเว้นเราสองคนจะมีงานต่อที่ไหนหรือพี่ท่านจะพาผมไปหาอะไรดี
ๆ กระแทกปากกัน
“ลูกพี่ปิงแล้วเบอร์เก่าพี่อ่ะ
ไม่ใช้แล้วเหรอหรือว่าทำเป็นสองเครื่องเดี๋ยวนี้ผมโทรหาพี่แต่เบอร์นี้ลืมเบอร์เก่าไปแล้วเนี่ย”
“เออ เบอร์เก่ากูเก็บไว้ไหนไม่รู้ว่ะ”
ผมสวมยีนส์เสร็จ จัดการกับเข็มขัด แล้วปลดเสื้อออกจากไม้แขวน
เป็นเสื้อยืดธรรมดาในแบบของผม
“อะไรของพี่วะ”
หมาบาสมันเองก็กำลังใส่เสื้อใส่กางเกงอยู่เหมือนกัน
“ตั้งแต่พี่เชนเอาเบอร์ใหม่ให้ใช้แล้วบอกบริษัทจ่ายให้กูก็ใช้แต่เบอร์นี้อ่ะ
ช่วงแรกก็สลับอยู่หรอกซิม แต่หลัง ๆ มาก็นะ คนที่รู้จักกันก็มีเบอร์ใหม่กูหมดแล้ว
เบอร์เก่าเลยไม่ได้ใช้อ่ะ กูถอดแล้วเก็บถาวรเลยอ่ะดิ่”
“เสียดายว่ะพี่เลขสวยด้วยนะ”
“ช่างหัวมันดิ่”
ผมตอบไปแล้วก็รู้สึกสงสารตัวเองเหมือนกันนะ เพราะเบอร์นั้นมีไปก็ไม่มีใครที่จะโทรมาหาอยู่ดี
คนรู้จักครอบครัวเพื่อนฝูงผมต่างก็ใช้เบอร์ใหม่ของผมหมดแล้ว มันไม่ผิดหรอกที่ผมจะทิ้งเบอร์นั้นไป
มีแค่คนเดียวที่ยังไม่รู้ว่าผมเปลี่ยนเบอร์
เขาอยู่แสนไกล แต่เขาก็คงไม่โทรมาหาผมอยู่แล้วเพราะงั้นจะเบอร์ใหม่เบอร์ไหน ๆ
ก็ไม่มีความหมายหรอก
เสียงไลน์ผมเด้ง
ไอ้วุฒิมันยกขึ้นมาเปิดอ่านแล้วบอกพี่เชนมาถึงแล้ว ผมชวนไอ้บาสกับไอ้วุฒิไปด้วยกัน
มันบอกพี่พิมโทรบอกพวกมันตั้งแต่เที่ยงว่าเลิกงานแล้วให้กลับไปเฝ้าออฟฟิศ
“สงสัยจะพาพี่ปิงไปที่ไหนสำคัญแน่
ๆ อ่ะ”
“งั้นเดี๋ยวไปเจอกันที่ออฟฟิศเลย
ดึกๆล่ะมั้งนะ แต่ถ้ามันดึกมากพวกมึงก็กลับกันไปก่อน ไปแล้วเว้ย”
ผมบอกหมาบาสกับหมาวุฒิ หยิบเป้หยิบหมวกแคปแล้วเดินออกมา ยืนรอพี่เชนอยู่หน้าบริษัทไม่ถึงสามนาที
ซีอาร์วีสีดำคันใหญ่ของพี่เขาก็จอดลงเทียบท่าต่อหน้าผมเลย
รู้สึกเหมือนราชรถมาเกยนิดๆ
คึคึ
“ไปไหนอ่ะพี่”
ผมขึ้นรถแล้วถาม ถอดเอากระเป๋าเหวี่ยงไปวางไว้ด้านหลัง
พี่เชนหันมามองผมอีกคงแปลกๆเห็นผมใส่หมวกผมเลยถอดออกแล้วเสย ๆ สะบัดหัวให้เข้าที่
“พิมนัดเจอพวกเรา
เห็นว่ามีงานใหญ่ที่เพิ่งติดต่อเข้ามาด่วนมากกูเลยต้องแวะมารับมึงนี่ไง”
เราสองคนไปเจอพี่พิมที่ร้านกาแฟเรือนไม้บรรยากาศดีมาก
ผมคิดถึงบ้านเลยสิ ไม่ได้กลับไปนอนกับแม่มาสองสัปดาห์แล้ว
ที่ร้านแม่ตอนนี้เป็นชานไม้ระเบียงยื่นออกมาใต้ต้นลีลาวดีแบบนี้เลยล่ะครับ
“เชน ปิง
ทางนี้” พี่พิมยกมือเรียก
“กินอะไรจ๊ะปิง”
เสียงเล็กร้องถาม ผมมองดูที่โต๊ะพี่พิมสั่งขนมเค้กกับกาแฟร้อนของตัวเองมาแล้ว
“อืม
อะไรก็ได้ครับ” ผมตอบเก้อเขินคือตรง ๆ นะสั่งไม่ค่อยเป็นถ้าบอกกาแฟก็กาแฟอ่ะ
ทำไมต้องถามอย่างอื่นให้มากความ พี่เชนหันมอง
“มึงลุกขึ้นไปสั่ง
ของกูเอาอเมริกาโน่ เติมน้ำเชื่อมที่เคาท์เตอร์มาให้กูด้วย ส่วนมึงจะกินอะไรให้บอกน้องเขาไปที่เคาท์เตอร์นั่น”
“....พี่เชนครับ”
ผมเสียงอ่อน
“ลุก!”
พี่เชนพูดเสียงเข้ม ผมค่อยลุกขึ้นอย่างจำใจ หน้านี่งออ่ะ พี่เขาคงดูออกแหละเพราะผมไม่ยอมเดิน
ในที่สุดพี่เชนเลยลุกขึ้นด้วยแล้วรุนหลังผมให้เดินไปที่เคาน์เตอร์เพื่อสั่งกาแฟ
พี่เชนกระซิบผมอีกครั้งย้ำเมนูของตัวเอง ผมไปถึงก็สั่งๆตามที่พี่เขาบอก ส่วนของผมเองก็ชี้
ๆ ไปที่กระดานบนหัวคนชงนั่นแหละมั่ว ๆ
ไปพี่เชนสั่งขนมเค้กเพิ่มอีกสามสี่ชิ้นแล้วเราสองคนก็เดินถือกาแฟกับขนมของพวกเราออกมานั่งสมทบกับพี่พิมที่ด้านนอก
“ไม่เห็นจะยากใช่ไหม”
“หูยพี่ ก็ผมไม่เคยทำนี่
เคยสั่งแต่ร้านธรรมดา”
“นี่ก็ร้านธรรมดา
คนเรามันต้องเป็นไว้ทุกอย่าง ทำอะไรจะได้ไม่เก้อเขิน
ทุกคนต้องมีครั้งแรกมึงทำเป็นแล้วต่อไปเวลามากับกู มึงต้องเป็นคนออกไปสั่งมาให้พวกกูกิน
มึงเป็นเด็ก”
“แต่พี่ต้องเป็นคนจ่าย
พี่เป็นผู้ใหญ่ โอ๊ยยยยยย” ผมถูกโบกกะบาลมาแบบเต็ม ๆ โทษฐานยอกย้อนผู้ใหญ่
พี่พิมหัวเราะร่าเลย
“สองคนนี้สนิทสนมกันดีนะเนี่ย
เดี๋ยวนี้เชนยิ้มบ่อยเลย
ปิงรู้ไหมเมื่อก่อนนั่งซีเรียสอยู่แต่หน้าจอหนวดเหนิดเนี่ยโกนที่ไหน
จะไปไหนทีพี่ต้องย้ำแล้วย้ำอีกนะว่าให้ทำตัวให้เนี๊ยบ
แต่เดี๋ยวนี้หนวดนี่ไม่ค่อยเห็นอ่ะยิ้มก็บ่อย คุยเก่งขึ้นอีกด้วย”
“แต่งานช้าลงไง”
“ยังไงพี่”
ผมหันไปถาม ผมกับพี่เชนนั่งข้าง ๆกันนะ
“มัวแต่คุยกับหมาไง
เช็ดหัวให้หมา มัดผมให้หมา สอนหมาพูดภาษาอังกฤษ” พี่เชนแขวะยาว ยิ้มยั่วแล้วเหล่ตามองผม
ผมเลยเตะขาพี่เขาไปทีเจอกระทืบกลับมาสิ
พี่พิมก็หัวเราะพวกเราต่อ เจ็บดิ่ ขาอ่ะ
“เอาล่ะที่นี้เรามาเข้าเรื่องงานกันได้แล้ว
วันนี้มีบริษัทใหญ่มากกกกติดต่อมาที่เรา เขาอยากให้เราวางระบบคอมพิวเตอร์ใหม่ทั้งหมดให้กับองค์กรของเขา
ทั้งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ด้วย คือยกให้เราจัดการทุกอย่างใหม่หมดเลย
ราคาที่เสนอมาอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก ปกติแล้วบริษัทใหญ่แบบนี้เราจะต้องยื่นซองประมูลแต่แปลกมากที่เขาเจาะจงมาว่าจะให้พวกเราเข้าไปทำ
เมื่อเช้านี้พิมเข้าไปคุยกับคุณกัสมาเลขาของที่นั่นมาแล้ว
เขาอยากให้เราเข้ามาดำเนินการให้เร็วที่สุด
พิมเลยนัดคุยกับเขาในวันพรุ่งนี้เห็นว่าท่านประธานของบริษัทจะลงมาคุยเองด้วย”
“พรุ่งนี้เลย?
เร็วไปไหมเรายังไม่ได้รู้ข้อมูลของบริษัทนั้นเลยนะ”
“ตอนแรกพิมก็บอกว่าเร็วไปไหม
แต่คุณกัสมาบอกมาว่าท่านประธานของเขาอยากจะคุยกับเราเร็วที่สุด
คนรุ่นใหม่ไฟแรงท่าทางจะเก่งด้วยนะ เห็นว่าเพิ่งจบนอกมาผ่านงานมาแล้วด้วย ไม่ใช่เล่น
ๆ หรอก”
“พิมจะนัดทางนั้นกี่โมง”
“ทางนั้นให้เวลามาเป็นช่วงบ่ายสาม
เพราะตอนเช้าเจ้านายเขาติดประชุมใหญ่อยู่ที่อีกบริษัท พิมตกลงไปแล้ว ขอโทษนะเชนปิงที่ไม่ได้บอกก่อน
แต่คือที่นี่ไม่รับไม่ได้อ่ะเขายื่นโอกาสทองมาให้แบบนี้พิมต้องรีบรับเลย"
“แต่พรุ่งนี้ปิงมันทำงานที่ศูนย์รถ
กว่าจะเลิกคงเป็นช่วงเย็น
ถ้าอย่างนั้นพิมกับผมเราไปกันก่อนเดี๋ยวปิงเลิกแล้วค่อยให้ตามมา” พี่เชนหันมามองผมเลื่อนจานขนมเค้กของตัวเองส่งให้แทนอันเก่าของผมที่หมดแล้ว
ผมก็รับมาตักทาน เค้กช็อกโกแลตร้อนๆผมชอบผม
ปล่อยให้พี่ๆเขาถกกันไป ปล่อยให้เขาตัดสินใจกันเองคือจริง ๆ แล้วทุกครั้งที่พี่พิมรับงานใหญ่จะคุยปรึกษากับพี่เชนผมเป็นคนที่คอยทำตามที่พี่เชนสั่งแค่นั้นจบ
ผมยังไงก็ได้อยู่แล้ว พวกพี่ๆว่าไงผมว่าตามผมไว้ใจแล้วผมปล่อยเลย
“
โอเคงั้นก็ตามที่เชนว่า ปิงครับพรุ่งนี้ออกจากอู่แล้วรีบนิดนึงนะ ไปเจอกันที่นั่นเดี๋ยวพี่กับพี่เชนจะไปรอก่อนอาจจะคุยกับเจ้าของเขาให้เสร็จแล้วปิงไปถึงพี่จะได้พาดูระบบงานไอทีในแต่ละแผนก
เชนกับปิงคงจะต้องแบ่งงานกันเอง ว่าใครจะรับผิดชอบแผนกไหน
ที่นั่นเขาเลิกหกโมงเย็นคงจะยังทันได้สักแผนกสองแผนกพอได้เป็นตัวอย่างมาเขียนขอบเขตงานแบบคร่าว
ๆ”
“ครับพี่พิม”
ผมตอบรับ
เย็นวันนั้นพี่เชนไปทานข้าวที่บ้านผม
พี่พิมแยกกลับบ้านไป พี่เชนเลยแซวว่าช่วงนี้แฟนหวงนะ พี่พิมยิ้มกว้างเลย
“เชนทานเยอะๆนะลูก
ปิงบอกว่าเชนชอบทานผัดเห็ดเข็มทองใส่เต้าหู้
พอแม่รู้ว่าเย็นนี้เราสองคนจะมาทานข้าวที่นี่
พี่ขมเขารีบออกไปหาซื้อเครื่องปรุงมาไว้ให้เลย เสียดาย หนูพิมไม่ได้มาด้วย”
“พิมติดงานน่ะครับคุณป้า
ต้องรีบกลับไปเขียนใบเสนองานของวันพรุ่งนี้” พี่เชนตักเต้าหู้ใส่มาที่จานผมด้วยแม่ยิ้มใหญ่เลย
“ปิงเหมือนน้องชายผม
ขอบคุณคุณแม่มากนะครับที่อนุญาตให้ปิงไปทำงานอยู่กับผมแบบนี้
ผมสัญญาครับผมจะดูแลน้องชายคนนี้ให้ดีที่สุด จะไม่ให้ใครมารังแกปิงได้เด็ดขาดเลย”
“ขอบใจเชนมากนะลูก
แม่ดีใจเหลือเกิน ปิงไม่มีพี่ไม่มีน้องแม้แต่พ่อเขาก็ไม่เคยจะได้เรียก ปิงเคยบอกแม่ว่าเขารักและนับถือเชนมากๆ
เหมือนพ่อ เหมือนพี่ เหมือนเพื่อน มีอะไรก็ค่อย ๆ สอนน้องไปนะครับเชน แม่ขอบคุณอีกครั้งที่เชนให้โอกาสกับน้อง
ทำให้ครอบครัวเราดีขึ้นทุกอย่างจริง ๆ” พี่เชนวาดวงแขนไปกอดแม่ผมไว้แล้วโยกตัวเบา
ๆ คุณนายน้ำตาคลอเลยสิ
พี่เชนเลยหันมากระซิบผม
“นี่กูแก่ถึงขนาดเป็นรุ่นพ่อมึงเลย?” ผมแทบสำลักต้มจืดที่กำลังซดอยู่ สายลมยามดึกพัดมา เรานั่งทานข้าวกันอยู่ที่ระเบียงหน้าบ้านแม่เดินเข้าไปแล้ว
ดอกลีลาวดีสีขาวร่วงปลิวลงมาที่โต๊ะเราพอดีเกือบตกลงไปในชามน้ำแกง
พี่เชนหยิบดอกนั้นขึ้นมาแล้วส่งให้ผม
“สวยดี”
“ครับสวย”
ผมชอบลีลาวดีมาก ถึงได้ซื้อเป็นต้นใหญ่มาลงไว้ที่หน้าชานไม้ระแนง
ผมชอบดอกสีขาวเหลือง ชอบกลิ่นของมัน
“หอมด้วยนะครับ”
ผมยกดอกไม้ขึ้นแตะปลายจมูก พี่เชนมองผมแล้วยกมือขึ้นมาขยี้หัวผมเล่นอย่างเอ็นดู
แม่กับพี่ขมเดินออกมานั่งคุยสมทบด้วยกัน
คืนนั้นกว่าเราสองคนจะกลับออฟฟิศก็เกือบ
ๆ จะสามทุ่ม
ประมาณบ่ายสี่โมงเย็นของวันถัดมา
ทันทีที่ประตูรถไฟฟ้าเปิดออกผมรีบกระชับกระเป๋าสะพายแล้ววิ่งหน้าตั้งออกไปต่อมอไซด์รับจ้าง
ในใจโคตรของความพะว้าพะวง
เป็นผมผิดเองที่ไม่ได้ถามให้แน่นอนว่าบริษัทที่พี่พิมรับงานวันนี้คือบริษัทอะไร
จนถึงเมื่อเช้าพี่เชนถามว่าผมจะไปถูกไหมรู้จักไหมผมเลยเพิ่งจะรู้ว่าบริษัทที่เราจะเข้าไปวางระบบให้คือ
อัศวออโต้อิมพอร์ต ตอนนั้นพอได้ยินชื่อผมนี่ตัวชาไปหมด
ยืนนิ่งจนพี่เชนต้องเรียกตั้งหลายครั้งและถามว่าผมเป็นอะไร
ผมก็ได้แต่แถปฏิเสธไปเรื่อย พี่เชนบอกผมว่าให้ใช้บีทีเอสแล้วต่อมอไซด์รับจ้างจะได้ไม่เสียเวลามาก
ตอนแรกผมอิดออดคือไม่อยากจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวที่บริษัทนี้เลย แต่พวกพี่ ๆ เขาไม่รู้เรื่อง ถ้าจะต้องมาเสียงานเพราะเรื่องส่วนตัวของผมมันคงจะไม่ดี ผมเลยตัดสินใจมา
ในที่สุดรถจอดให้ผมลงที่ทางเข้าของบริษัท
ผมเงยหน้าขึ้นไปมองจุดที่สูงที่สุดของตึกนี้ จริง ๆ มันไม่ได้สูงเท่าที่ ‘อัศวคอนสตรั๊คชั่น’ หรอก
แต่ที่นี่ก็สูงมากอยู่เหมือนกัน
สามปีกว่าแล้วนับจากครั้งแรกที่ผมมาเหยียบที่นี่โดยเจ้าของบริษัทพามาเพื่อชมห้องของลูกชายเธอ
...ห้องของพี่เอย์....
ไม่รู้ว่าตอนนี้พี่เขาจะกลับมาแล้วหรือยัง
ผมไม่ได้แวะไปที่คอนโดพี่เขาอีกเลยนานมากแล้ว คุณเชื่อไหมตอนนี้แม้แต่คำว่า “พี่เอย์”
ผมก็ไม่กล้าที่จะเอ่ยเรียก
เพราะว่าเรื่องของเรามันห่างกันนานแล้ว นานมากจริง ๆ นานเกินไปจนผมรู้สึกประหม่าที่จะเรียกหากันเหมือนคนเคยสนิทสนมแบบนั้น ผมไม่เคยคิดว่าสามปีกว่าหลังจากนั้นผมจะได้แวะมาที่นี่อีก
ไม่ว่าพี่เขาจะกลับมาแล้วหรือยังคงอยู่ที่นิวยอร์ก
งานของผมกับพี่เชนวันนี้ก็ต้องดำเนินไป
บริษัทเรารับงานแล้วไม่เคยผิดพลาดพี่เชนทุ่มเทกับงานนี้มากเมื่อคืนก็นั่งดูโปรแกรมดูขอบเขตงานเตรียมไว้จนดึกดื่น
ผมต้องชงกาแฟให้ตั้งสองแก้วกว่าจะได้นอนเกือบตีสาม
เพราะฉะนั้นตอนนี้ผมจะตัดเรื่องส่วนตัวออกไปก่อน
ภาวนาอย่าเพิ่งให้พี่เขากลับมา
ผมยังไม่รู้ว่าจะทำตัวอย่างไร
คนที่ไม่ได้เจอกันมานานสามปีกว่า ๆ
คนที่ไม่เคยได้คุยกันเลยสามปีกว่าแล้ว
คนที่ตัดช่องทางของผม ปิดกั้นการสื่อสารและการติดต่อของผมทุกอย่าง
คนใจดำแบบนั้น
.
.
.
ขอร้องอย่างเพิ่งพบเจอกันในตอนนี้เลย
ติ๊ง!
ลิฟต์เปิดออกที่ชั้นสี่
ผมโทรถามพี่เชนว่าให้มาเจอที่ชั้นไหน มีพนักงานด้านหน้าพาเข้ามา
เขาบอกให้ผมนั่งรออยู่ที่ห้องรับรองแห่งนี้ ผมมองซ้ายมองขวายกมือถือโทรหาพี่เชนอีกครั้ง
พี่เขาบอกคุยเสร็จนานแล้วเดี๋ยวเหลือเซอเวย์ของฝ่ายการตลาดให้ผมออกไปเอาเอกสาร
ที่เชนอยู่ห้องถัดไปข้าง ๆ ห้องที่ผมนั่งรออยู่ ผมเลยเดินออกไปหา
“ปิงทางนี้” พี่เชนกวักมือเรียก
“กูกับพิมคุยกับเจ้าของที่นี่เรียบร้อย
เดี๋ยวกูจะไปสำรวจที่ฝ่ายการตลาดชั้นสอง โชว์รูมเขาที่ชั้นหนึ่งพิมไปดูๆให้อยู่
ส่วนมึงเขาระบุมาว่าจะให้ขึ้นไปดูที่ห้องท่านประธาน”
“อ้าวทำไมงั้นล่ะพี่
ผมขอไปที่ฝ่ายการตลาดกับพี่ดิ่ ผมไม่อยากเจอท่านประธานของที่นี่หรอก”
ผมรู้สึกมันแปลกๆแล้ว
คิดว่าคุณแม่พี่เอย์กำลังเล่นอะไรกับผมอยู่แน่ ๆ ท่านประธานที่พี่เชนว่าคงจะเป็นคุณหญิงแม่คนสวยคนนั้นแน่
ๆ
“กลัวอะไรเล่า
เจ้าของกลับไปแล้วมั้งอาจจะเหลือแต่เลขาเดี๋ยวมึงก็เข้าไปดูระบบที่เครื่องเขานิดหน่อยพอ
เอาแต่รหัสมาเดี๋ยวคืนนี้กูดึงข้อมูลเอง พวกเราแฮกเก่งอยู่แล้วนี่”
พี่เชนตบบ่าแล้วยักคิ้วให้
อย่ามาว่าพวกผมขี้โกงเลยนะแต่จะให้ไปดูทั่วถึงตลอดในทุกแผนกนี่คงจะใช้เวลาเป็นเดือนแน่เพราะงั้นผมกับพี่เชนจะใช้วิธีแฮกแล้วดึงข้อมูลออกมาเลย
แต่ก่อนหน้านั้นคือผมต้องได้รหัสจากเครื่องแม่ข่ายใหญ่มาก่อน
“เดี๋ยวกูจะดูที่ฝ่ายการตลาดมึงไปดูเครื่องที่ชั้นบน
ทำเหมือนที่เราสองคนเคยทำมั่นใจตัวเองเดี๋ยวกูจะตามมึงขึ้นไป”
พี่เชนเดินออกไปแล้ว
ผมยืนนิ่งอยู่กับที่ กำเอกสารในมือจนแน่น
ทำไมต้องเป็นผมด้วยวะที่ต้องไปดูเครื่องของท่านประธาน
แล้วถ้าแม่พี่เอย์เห็นผมจะไม่โวยวายหรือไง
หรือว่าเธอจะไม่รู้ แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้รายชื่อโปรแกรมเมอร์ของบริษัทเรา ทางนี้ต้องสืบแล้วทุกอย่างนั่นแหละ
โปรเจคใหญ่ขนาดนี้บริษัทหลักในเครือของอัศว ไม่มีทางจ้างวานบริษัทห่วย ๆไร้ชื่อเสียง
มาทำงานวางระบบให้หรอก
เอย์ตั้น อัศวเหมมินทร์
ประธานกรรมการ
ป้ายชื่ออันใหญ่หรูหรายังคงติดประดับอยู่ที่หน้าห้อง
ประตูไม้บานหรูที่วันนั้นถูกผลักเข้าไปโดยมือเล็กๆของคุณแม่พี่เอย์
เธอพูดคุยกับผมอย่างใจดีแต่วัตถุประสงค์ลึกๆคืออะไรผมย่อมรู้ดีแน่นอนอยู่แล้ว
ผมเดินเข้าไปใกล้
ประตูบานใหญ่เปิดแง้มเอาไว้นิดๆ เผยให้เห็นสองคนที่อยู่ด้านใน
ผู้ชายตัวเล็กหน้าตาน่ารัก กำลังจัดเนคไทให้กับใครสักคนที่ยืนหันหลังมาทางผม
เขาสวมเชิ้ตสีดำสนิท
กางเกงสแลคเข้ารูป แผ่นหลังกว้างที่แสนอบอุ่น เรือนร่างสูงโปร่งราวกับรูปปั้นสลัก
จะมีก็แต่ทรงผมที่ทำให้ผมไม่มั่นใจว่าจะใช่เขาคนนั้นหรือเปล่า
“เอย์แย่มากๆเลยผูกเนคไทเบี้ยวตลอด
กัสต้องผูกให้แบบนี้ทุกวันไม่แย่เหรอครับ” คนตัวเล็กพูดแล้วตบเบาๆลงที่หน้าอก
คนตัวสูงหย่อนตัวกึ่งนั่งกึ่งยืนลงที่โต๊ะทำงานตัวใหญ่ ปัดมือคนตัวเล็กออก
“แล้วใครบอกให้ทำ
ผมเคยขอเหรอ”
“ชิชิ
ไม่ขอกัสก็ต้องผูกให้ กัสเป็นเลขาต้องดูแลเอย์เป็นธรรมดาอยู่แล้ว เจ้านายกัสต้องเนี๊ยบแล้วก็หล่อ
ดูซิผมเผ้าเนี่ยทำไมถึงตกลงมาทิ่มลูกกะตาแบบนี้ครับหืม ต้องเสยขึ้นไปสิครับ
กัสบอกแล้วว่าให้ไปตัดออกบ้าง เอย์ผมยาวขึ้นมากเลยไม่เท่สักนิดอยากหน้าสวยเป็นดาราเกาหลีเหรอ
เอย์เป็นผู้บริหารนะอย่าลืมสิ”
ผมมองดูมือเล็กยกขึ้นเสยผมคนตัวโตกว่าอย่างไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกแบบไหนอยู่
รู้แต่ว่าใจผมเต้นแรงมาก ตัวชาไปหมด ใบหน้าแขนขา ทำไมถึงชาแล้วก็รู้สึกว่าหนักอึ้งขนาดนี้
แม้แต่จะก้าวถอยหลังผมยังไม่สามารถยกมันขึ้นมาได้
ผมจ้องสองคนตรงหน้าที่เขากำลังพูดคุยกัน รู้แน่แล้วว่าใครคือผู้ชายตัวสูงใหญ่คนนั้น
ผมรู้แล้วว่าตอนนี้เขาคนนั้นกลับมาแล้ว แล้วผมรู้ก็แล้วว่าในที่สุดการรอคอยของผมในที่สุดก็จบลงได้แล้วจริง
ๆ สักที
“นายอย่าเล่นแบบนี้น่าเคยบอกหลายทีแล้วนะ
ดูเวลาซิ ทำไมป่านนี้ถึงยังไม่มีใครขึ้นมาเรียก เขาจะมาจริงตามที่เรานัดใช่ไหม”
ผู้ชายตัวสูงปัดมือเล็กที่พยายามจะเสยผมเขาออก ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูแล้วเดินอ้อมไปที่ด้านหลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่
หย่อนกายนั่งลงที่เก้าอี้ประธานเผยให้เห็นรูปร่างหน้าตาที่ชัดเจน
สามปีกับอีกเกือบๆสามเดือน
พี่ไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด
มีแต่ทรงผมเท่านั้นที่ยาวขึ้น
ทรงผมที่มีใครคนนั้นข้าง
ๆ กายพี่ เฝ้าดูแลให้
“ต้องมาสิครับ
คุณคเชนทร์เขาก็บอกแล้วนี่ว่าวันนี้จะมากันสามคน เดี๋ยวคงจะขึ้นมาแล้วล่ะ
กัสระบุแล้วว่าต้องให้น้องเขาขึ้นมาที่ห้องนี้”
“บริษัทนักสืบที่นายหามาให้ห่วยแตก
สืบยังไงตั้งสองเดือนกว่าถึงจะรู้ข่าว”
“ก็ยังดีกว่าคนบ้าที่ขับรถวนไปวนมาอยู่เป็นอาทิตย์นี่ถ้ากัสไม่ลงมาจากเชียงใหม่แล้วมาสมัครงานกับเอย์
ป่านนี้จะนึกออกหรือยังว่าต้องหาน้องเขาแบบไหน”
“จิ๊!”
เสียงจิ๊จ๊ะในลำคอที่ผมยังจำได้ดี
เวลาที่พี่เอย์โมโหหรืองอนไม่ได้ดั่งใจ จะชอบทำเสียงแบบนี้มาก
ผมนึกว่าผมคนเดียวเสียอีกที่พี่เขาจะทำแบบนี้ด้วย
ผมมองดูผู้ชายตัวเล็กน่ารักที่เดินเข้าไปหาพี่เขาแล้วก้มลงจิ้ม ๆ
ที่หน้าจออยู่ใกล้ ๆกันจนหัวเกือบจะชิดแล้วทำอะไรไม่ถูกเลย
ผมอยากหายไปจากตรงนี้มาก
“อ้าว
มานานหรือยังครับ ทำไมไม่เรียกผมล่ะ เข้ามาสิครับ”
เสียงเรียกจากคนตัวเล็กที่เปิดบานประตูให้กว้างออกปลุกผมให้ออกจากภวังค์ความคิดทุกอย่าง
ผมสะดุ้งขึ้นนิดนึงพร้อม ๆ กับท่านประธานคนนั้นค่อยยืนขึ้นจากโต๊ะแล้วจ้องมาที่ผม
.....พี่เอย์เห็นผมแล้ว.....
ทุกอย่างในห้องนี้ไม่มีอะไรสำคัญอีก
ตอนนี้มีเพียงสายตาของผมกับมันที่จ้องมองกันอยู่ มันยืนนิ่งเลยผมเห็นว่ามือมันสั่น
ตัวผมเองก็กำกระดาษในมือจนแน่นสั่นไปหมด
จ้องมองคนที่ผมเฝ้ารอคอยมาแสนนานด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยแววแห่งความตัดพ้อมากมาย
ขณะที่นัยน์ตาของมันกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความหมายของคำว่า ‘ขอโทษและเสียใจ’
พี่เอย์ก้าวออกมาแล้ว มันกำลังเดินมุ่งมาที่ผม
ดวงตาของมันแน่วแน่และมุ่งมั่นตรึงสายตาผมไว้ไม่ขยับออกแม้แต่น้อย แต่ทว่า ผมกลับก้าวถอยหลังไม่รู้ตัว
ดวงตาของเราไม่มีใครยอมละออกจากกันราวกับว่ากำลังจับจ้องของมีค่าที่ตัวเองเผลอทำหล่นหายไปนานหลายปี
ผมกลัว.....กลัวว่าทุกสิ่งในตอนนี้มันจะเป็นความฝัน.....หรือผมกำลังฝันไป
ผมก้าวถอยจนชนเข้ากับโต๊ะ เซจนต้องใช้มือค้ำยันไว้
พี่เอย์หน้าเสียรีบถลายื่นมือเข้ามาหา หากแต่ก็ยังช้าไปกว่ามือที่ใหญ่และเย็นของใครสักคนมาฉุดแขนผมไว้จากด้านหลังพยุงผมไว้ไม่ให้ล้มลง
“เป็นอะไร
ทำไมหน้าซีด” เป็นพี่เชนที่ถามหน้าเครียด คงคิดว่าผมไม่สบายหรือเป็นอะไรสักอย่าง ผมรีบส่ายหัว
“ปะ...เปล่าครับ
ผมเดินชนโต๊ะ” ผมโกหก หลบสายตาพี่เชน
“ไม่เป็นไรแน่นะ”
“ครับ
ไม่เป็นไร” ผมบอก
พี่เชนหันไปมองพี่เอย์คนนั้น
คนที่กำลังจ้องพวกผมนิ่ง ยืนค้างอยู่แค่ตรงนั้น เลยประตูออกมานิดเดียว
“ปิง นี่คือคุณเอย์ตั้น อัศวเหมมินทร์
ท่านเป็นประธานของที่นี่ เรียกท่านว่าคุณเอย์”
ผมเบนสายตามองไปที่ท่านประธานอีกครั้ง
พี่เชนกำลังแนะนำผมให้รู้จักกับเจ้าของบริษัทนี้
ท่านประธานใหญ่ของที่นี่
ท่านประธานของอัศวออโต้อิมพอร์ต
ท่านประธาน??
ผมจ้องมองใบหน้าคมคายที่ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
เขาเคยเป็นคนรักของผม ครั้งหนึ่งนานมาแล้วเขาเคยเป็นพี่เอย์ของผม เป็นคนที่เคยเอ่ยคำว่ารักกับผม
“รักมึงนะ”
มันผ่านไปนานมากแล้วจริง
ๆ
พี่เอย์ก้าวเข้ามาหนึ่งก้าว
ดวงตาคมวูบไหว เราสองคนจ้องกันแน่นิ่ง ถ้อยคำล้านความหมายถูกร้อยเรียงออกจากดวงตาของสองเรา ความรู้สึกประหม่าของผมเอ่อล้น ทั้งดีใจ เสียใจ
ตื้นตัน และตัดพ้อ ตีกันให้มั่วไปหมด
ผมพยายามที่จะตั้งสติ
พรูลมหายใจบอกกับตัวเองไว้ว่าวันนี้ผมมาทำงาน ผมก้าวเข้าหาพี่เขาช้า ๆ หยุดยืนอยู่ข้าง
ๆ พี่เชน ยกมือขึ้นไหว้คนที่ยืนมองผมนิ่งงัน
“สวัสดีครับ คุณเอย์ ”
ผมเห็นมันหลับตาลงแน่นทันทีที่คำว่า ‘คุณเอย์’ หลุดออกมาจากริมฝีปากผม ทุกอย่างรอบตัวเงียบกริบ จนพี่เชนเดินเข้าสะกิดผมอีกครั้ง
“มีอะไรกันรึเปล่า”
“เปล่าครับ”
ผมปฏิเสธ แล้วหันไปที่ผู้ชายตัวเล็กผู้ที่ผมมองเป็นแค่อากาศธาตุนานแล้ว
เดาได้ว่าเขาน่าจะเป็นเลขาของมัน
“ไม่ทราบว่าผมจะดึงข้อมูลได้จากคอมพิวเตอร์เครื่องไหนครับ”
พี่คนนั้นมองผมกับมันสลับกันไปมาก่อนเดินมาบอกผมว่าเครื่องที่ตั้งอยู่ที่โต๊ะท่านประธานภายในห้อง
ผมเลยหันไปหาพี่เชนแล้วพูด
“เข้าไปกันเถอะครับ
พี่เชน”
โครมมมมมมม!!!!!!!!!
ทันทีที่คำว่า
‘พี่เชน’ หลุดออกจากปากผม พี่เอย์เดินไปยืนอยู่ที่โต๊ะตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่
มันปัดคอมพิวเตอร์เครื่องใหญ่ที่วางอยู่บนนั้นร่วงหล่นลงมากองนิ่งอยู่ที่พื้นหน้าจอแตกกระจายแก้วน้ำที่วางอยู่กลิ้งราดรดซ้ำลงมาอีก
ระบบไฟตัดฉับ คือทุกคนตกใจกันมากทั้งผมทั้งพี่เชนทั้งเลขามัน
กุลีกุจอเข้าไปแล้วก้มลงเก็บ
มีแต่มันที่ยืนนิ่งไม่ขยับ
“เอย์ ใจเย็น
ๆสิ” เสียงเลขามันบอกเบา ๆ แต่ผมได้ยินเงยหน้าขึ้นไปมอง พี่เอย์ข่มกรามแน่นจนปากมันสั่น
มันจ้องผมอยู่ ผมรีบหลบสายตาลุกโชนนั่น
พี่เชนเป็นคนหยิบหน้าจอขึ้นมาตั้งใหม่อีกครั้งแต่คือจอมันแตกแล้วเลยเอาวางตะแคงไว้บนโต๊ะ
“ข้อมูลทุกอย่างอยู่ในเครื่องนี้
บริษัทพวกคุณทำเกี่ยวกับระบบซ่อมบำรุงด้วยใช่ไหม
ลองแก้ไขเครื่องนี้โชว์ให้ผมได้เห็นศักยภาพของพวกคุณบ้างสิ
ได้ยินข่าวมาเหมือนกันว่ายูเซย์มีสองคนโปรแกรมเมอร์ดูโอ้ ที่เป็นมือวางอันดับต้น ๆ
ของวงการไอทีเมืองไทย”
พี่เอย์เดินหน้าเข้าหาพี่เชน ใกล้จนหน้าอกแทบจะชนกัน
รูปร่างส่วนสูงสองคนไม่ได้ต่างกันเลย
“คุณคงเก่งมาสินะ”
พี่เอย์ส่งเสียงท้าทาย พี่เชนจ้องมันนิ่งเลย ผมคิดว่าพี่เชนไม่เข้าใจที่พี่เอย์ต้องการจะสื่อหรอก
คงกำลังงงกับเหตุการณ์มากกว่า
“ผมมั่นใจว่ามีความสามารถพอที่จะดูแลและวางระบบให้บริษัทคุณได้”
“ดีมาก
ทำให้สุดความสามารถของคุณก็แล้วกัน” เสียงพี่เอย์เย็นเฉียบมันจ้องพี่เชนด้วยสายตาที่เย็นเยียบมาก
“ครับ ถ้าอย่างนั้นพวกผมขออนุญาตยกเครื่องนี้ออกไปเลยก็แล้วกันนะครับ”
พี่เชนพยักหน้าให้ผมเบา ๆ
ผมรีบหอบเอาเครื่องคอมจอแบนรุ่นใหม่ที่ตอนนี้กระจกแตกไปหมดแล้วใส่อกสายคีย์บอร์ดพะรุงพะรัง
“ไปกันเถอะครับพี่”
“เดี๋ยวกูถือเองมึงไม่ไหวหรอก”
พี่เชนเข้ามารับหน้าจอจากผมไปผมเลยถือไว้แค่แป้นคีย์บอร์ด ขณะที่คนบางคนที่ทำของตัวเองแตกยืนมองพวกผมนิ่ง
พี่เชนเดินนำออกไปแล้วผมเองกำลังเดินตาม กำลังจะเลี้ยวออกนอกประตูอยู่แล้วถ้าไม่มีมือใหญ่ของใครบางคนดึงแขนผมเอาไว้
ผมหันมอง มันจ้องหน้าผมนิ่งเลยดวงตามีแต่คำถามมากมายเต็มไปหมด
ผมรู้ว่ามันอยากจะถามผมเรื่องพี่เชนเรื่องอะไรต่อมิอะไร เราสองคนสบสายตากัน ผมไม่หลบ ผมไม่ได้ทำอะไรผิด
พี่เอย์ก้าวเข้ามาใกล้
“มึงยังจำสัญญาของเราได้ไหม”
คำพูดแรกหลังจากที่เราสองคนไม่ได้คุยกันเลยสามปีเต็ม ๆ สามปีกว่าด้วยซ้ำไป มันยังมีสิทธิ์มาทวงถามคำสัญญาอะไรจากผมเหรอ
ใครกันที่ฉีกสัญญาของเราทิ้งไปตั้งแต่เมื่อสามปีก่อน สายตาคมกริบเบนไปที่ข้อมือของผม
เชือกสีชมพูเส้นนั้นที่มันเคยใส่ให้และผมสวมไว้เสมอ ตอนนี้ถูกผมถอดเก็บไว้ที่บ้านตั้งแต่เมื่อวันที่ผมไปรอมันที่คอนโดเป็นครั้งสุดท้าย
เมื่อสี่ห้าเดือนก่อนแล้ว ข้อมือสองข้างของผมว่างเปล่าไม่ได้สวมอะไรนอกจากนาฬิกา
พี่เขาค่อยเลื่อนสายตาขึ้นมามองหน้าผมอีกครั้ง
และกำลังรอคอยคำตอบจากผมอยู่ ผมตัดสินใจขยับแขนออกจากมือมัน
แล้วเอ่ย...
“ขอโทษนะครับคุณเอย์
หน้าที่ผมเสร็จแล้ว ผมขอตัว”
ผมก้าวเดินออกมาโดยไม่หันหลังกลับไปมอง
พี่เชนยืนรอผมอยู่ ผมรู้ว่าผมใจร้าย
แววตาของพี่เอย์คือเต็มเปี่ยมไปด้วยคำว่าห่วงใยและขอโทษมากมาย ทำไมผมจะอ่านไม่ออก
แต่ตอนนี้ระหว่างเราคือไม่เหมือนเดิม
ช่องว่างที่เนิ่นนานเกินไป ระยะเวลาที่ผมกับมันห่างกัน
คืนวันยาวนานที่มันทิ้งผมไปโดยไร้การติดต่อ
ความเหงาที่กัดกินหัวใจผมจนชินชา
และสุดท้ายคือช่องว่างระหว่างเรา ที่แม้ว่าตัวผมจะพัฒนามากมายแค่ไหนระดับความแตกต่างของเราก็ยังเป็นช่องว่างอยู่ดีเพราะพี่เอย์เองก็พัฒนาขึ้นมาไม่ได้ต่างไปจากผมเลย
เราสองคนกำลังก้าวขึ้นไปบนเส้นทางที่สูงชัน ผมก้าวขึ้นไปสามก้าว
พี่เอย์เองก็ก้าวขึ้นไปสามก้าวเช่นกัน เพราะฉะนั้นระยะห่างระหว่างเราอย่างไรเสียมันก็คือเท่าเดิม
ถึงผมจะไล่ตามพี่เขาเท่าไหร่แต่ตัวมันเองก็ยังคงก้าวต่อไปเรื่อย
ๆ
ไม่ว่าเมื่อไหร่
ดาวดวงนี้ที่อยู่บนฟากฟ้าก็ไม่เหมาะกับคนธรรมดาอย่างผม ผมไม่อยากถูกจับแยกกับมันอีกแล้ว ถ้าหากการกลับมาคบกันของเราจะสร้างปัญหามากมายและทำให้ผมไม่สามารถแม้แต่จะมองเห็นมันได้อีก
ผมจะขออยู่เงียบ ๆ ของผมแบบนี้ ขอมองดูมันอยู่ห่าง ๆ
ขอเป็นแค่กำลังใจในแบบที่มันอาจจะไม่ได้รับรู้
ก็เพราะว่าผมรัก.....และไม่เคยคิดว่าจะเลิกรัก
สามปีของผมยาวนานมากแค่ไหน...คำว่ารักของผมที่มีต่อพี่เขากลับไม่เคยลดทอนลงเลยแม้แต่น้อย
ผมรอจนท้อแล้วก็เริ่มต้นรอใหม่ ท้อแล้วท้ออีกเริ่มต้นใหม่ไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยครั้ง
รอจนคิดไปเองว่าหัวใจคงเจ็บปวดมากเกินพอแล้วผมจะเลิกรอ
แต่แล้วพอถึงวันที่ผมได้เห็นมันอีกครั้ง ผมถึงได้รู้ว่า สุดท้ายแล้วคนที่มีความหมายที่สุดในหัวใจของผมคือใคร
เพราะว่ารัก.......ไม่จำเป็นต้องได้มาครอบครอง
คราวนี้คงต้องเป็นพี่ที่ไล่ตามความรักของผมบ้างแล้ว
แต่ทว่า..สำหรับเรื่องงาน
ผมคนนี้จะขอเป็นฝ่ายไล่ตามพี่ให้ถึงที่สุด
สักวันหนึ่งผมจะก้าวขึ้นไปยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับพี่ให้ได้........แบ่งที่ว่างเอาไว้.........รอผม
หากเคียงชิดใกล้.....แต่เธอต้องทิ้งทุกอย่างเพื่อฉัน
ประโยชน์ที่ใด....หากรักทำร้ายตัวเอง
หากเดินแนบกาย....มีพลั้งต้องล้มลงเจ็บ
ด้วยกัน
ห่างเพียงนิดเดียว...ให้รักเป็นสายลมผ่านระหว่างเรา
แบ่งที่ว่างตรงกลางไว้คอย
เพื่อให้เราได้ถึงดั่งฝัน....ร่วมกัน
Tbc.