# 24 เธอยัง....?? ( Aeton’s Part)
นิวยอร์ก, 2012
ผมปลดกระเป๋าสะพายลงจากบ่า ถอดโค๊ดแล้วหย่อนพาดลงที่พนักของโซฟายาว ฮีตเตอร์ถูกปรับอุณหภูมิไว้แล้ว ค่อยปลดกระดุมแขนเสื้อทั้งสองข้างแล้วพับขึ้น ตอนนี้นิวยอร์กเข้าหน้าหนาว อากาศช่วงเย็นไปจนถึงกลางคืนจะหนาวจัดผมทิ้งตัวลงที่โซฟานุ่มก่อนหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเช็คข้อความเข้า รูปใครบางคนที่หน้าจอจุดรอยยิ้มแรกแห่งวันของผมได้เสมอ สายตาไล่อ่านข้อความทางไลน์ที่ส่งมาล่าสุดเมื่อต้นเดือนที่แล้วแต่ผมยังอ่านมันแบบซ้ำๆโดยไม่มีเบื่อ ช่วงนี้ปิงเริ่มส่งข้อความห่างออกไปทุกที ผมแค่นรอยยิ้มแสนขมขื่นให้กับตัวเองเมื่ออดคิดไม่ได้ว่า อีกไม่นานข้อความของผมคงจะไม่มีส่งมาให้อีกต่อไป เลื่อนมือไปที่รูปถ่ายล่าสุดของเราที่เขาใหญ่เมื่อปีที่แล้ว เป็นผมกอดคอมันไว้แน่น เราสองคนหยอกกันอยู่บนเตียงสีขาวนุ่ม จริงๆวันนั้นผมน่าจะกดโหมดวีดีโอบันทึกความทรงจำของผมกับมัน แต่ผมก็มีเพียงแค่ภาพนิ่งของ
....คนที่ผมรัก....
“เอย์กลับมาแล้ว? ”
เสียงเรียกที่ดังขึ้นจากด้านหลังดึงให้ผมหันกลับไปมอง
เพื่อนคนไทยที่เข้ามาขอแชร์บ้านอยู่ด้วยหลังจากที่เรารู้จักกันที่สถาบันสอนภาษาสำหรับคนเอเชีย
กัสเรียนวิศวเหมือนกันกับผม หนึ่งปีที่ผ่านมานี้เขาช่วยผมไว้มากจริง ๆ
“กัสนึกว่าเอย์จะกลับมาเร็วเลยทำอาหารไว้รอ บะหมี่เย็นหมดแล้วเดี๋ยวกัสไปอุ่นให้แปปเดียวแล้วเดี๋ยวจะยกออกมาให้เลยนะ
วันนี้ทำราเมงน้ำใสเอย์ลองกินดูว่าชอบไหม” กัสวิ่งลงมาจากบันไดตรงเข้าไปที่ครัว
เขาตัวเล็กแต่ทะมัดทะแมง ผิวขาวหน้าตาคล้ายคนญี่ปุ่น กัสยกราเมงชามใหญ่ที่เวฟเสร็จร้อน
ๆ ออกมาวางไว้ให้ผม
“ทำไมกลับค่ำนักล่ะ
ตอนที่แยกกันที่มหาลัยเอย์บอกจะแวะไปที่ร้านหนังสือ กัสเลยนึกว่าจะไม่นาน”
“ผมแวะไปที่สวนสาธารณะมาน่ะ”
“เอาอีกแล้ว ไปนั่งดูดาวอีกแล้วเหรอ”
ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
ก้มหน้ากินราเมงถ้วยใหญ่ที่ไม่เคยจะกินหมดเลยสักครั้ง กัสชอบทำอาหาร
และชอบถามผมว่าผมชอบกินอะไร ผมเลยบอกกินได้ทุกอย่างยกเว้นข้าวผัดกุ้ง
เขาเคยถามผมว่าทำไม แต่ผมไม่ได้ตอบกลับไป ว่าอาหารนั้นมีความหมายมากมายแค่ไหนกับผม
ผมจะกินฝีมือคนอื่นได้ยังไงถ้าไม่ใช่หมาปิงมันเป็นคนทำ จากนั้นมากัสจะพยายามทำอาหารต่าง ๆ มาให้ผมกิน
เมนูเปลี่ยนไปเรื่อยจนมาลงตัวที่ราเมงน้ำใสที่กัสทำบ่อยสุด
หลังเลิกเรียนผมชอบไปนั่งที่สวนสาธารณะใกล้ๆกับบ้านพัก
ที่ตรงนั้นจะมองเห็นท้องฟ้าได้ชัดเจนในมุมกว้างไร้ตึกหรืออะไรต่อมิอะไรมาบดบัง
“พี่เอย์ครับคืนนี้ท้องฟ้ามีดาวเต็มไปหมดเลย
อยู่ทางนั้นพี่ได้ออกมามามองดาวบ้างไหมครับ
หรือว่าตอนนี้เราอาจจะกำลังมองดาวดวงเดียวกันอยู่ พี่คิดถึงผมบ้างไหม
ผมอยู่ที่นี่คิดถึงพี่มาก พี่คงจะเปิดเรียนแล้วใช่ไหมครับ มีเพื่อนเยอะไหม
มีคนไทยเหมือนกันหรือเปล่า ผมเข้าเรียนมหาลัยแล้วนะ แค่สองปีก็จบแล้ว พี่ล่ะครับ
สองปีจบไหม ถ้าจบแล้วพี่จะกลับมาเลยหรือว่าจะทำงานอยู่ที่โน่นก่อน”
ตั้งแต่วันนั้นมาผมแวะไปที่สวนเกือบทุกวัน
หวังเพียงว่าดาวดวงที่ปิงมองอยู่จะเป็นดาวดวงเดียวกับที่ผมเฝ้ามองไม่ว่าช่วงเวลาของเราจะต่างกันแค่ไหน
รูปถ่ายมากมายของมันในโทรศัพท์มือถือของผมถูกเรียกขึ้นมาดูซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนผมจำได้ขึ้นใจ
ไม่เคยมีวันไหนที่ผมไม่คิดถึงมัน..........................หมาปิง
“ว่าไง” ผมกดรับสายเดียร์คู่หมั้นผมเอง เดียร์อยู่เมืองไทยทำงานที่โรงแรมฝรั่งชื่อดังในเครือของที่บ้านมันบริหาร
“โทรมารายงานความคืบหน้าประจำเดือนไงมึง”
“รีบพูด”
“เออกูรู้แล้วขู่จังวุ๊ย ฟังดีๆนะ ตอนนี้น้องเขาเข้าเรียนมหาลัยแล้ว
สบายดียังไม่ได้คบใครหรอกมึงไม่ต้องเป็นห่วงเพื่อนใหม่ๆก็มีบ้างแหละแต่เจอเจ้าบาสกับเจ้าวุฒิมันกันท่าไว้ทุกทางใครจะเข้าใกล้มากกว่าหนึ่งเมตรได้เหรอ
มึงกลับมาต้องหาของไปสมนาคุณไอ้หมาน้อยสองตัวนั้นให้หนักๆเลยรู้ไหม”
“หึหึหึ” ผมแอบยิ้มและหัวเราะเบาๆ
เมื่อนึกถึงว่าหมาปิงมันจะหน้าตาท่าทางเป็นยังไงตอนที่อยู่ในชุดนักศึกษา
แล้วยังพวกสองหมารอบๆตัวมันเวลาที่คอยกันคนมาจีบมันอีก "หึหึหึ”
“หัวเราะอารมณ์ดีเลยดิ่มึง บอกอีอย่างนึงให้รู้ วันนี้กูแวะไปที่ร้านแม่น้องเขาด้วย
เจอปิงวิ่งเสิร์ฟอาหารทำงานให้วุ่นเลย”
“หน้าตาเป็นยังไง ผมยาวไหมตัดผมหรือเปล่า อ้วนขึ้น ผอมลง
หรือว่า.....”
“เอย์ๆเดี๋ยวก่อนใจเย็น เดือนที่แล้วกับเดือนนี้น้องเขาก็ไม่ได้ต่างกันหรอกกูก็ส่งรูปไปให้มึงอยู่ตลอด
แต่วันนี้พิเศษกูขอถ่ายรูปคู่กับน้องเขามาด้วยเดี๋ยวจะส่งไปให้มึงเดี๋ยวนี้แหละ”
“ส่งมาดิ่ ให้ไวเลย”
“อย่าโกรธนะมึง กูเผลอแนบแก้มน้องปิงไปนิด
ช่วยไม่ได้อยากหล่อทำไม พูดแล้วยังเสียดายไม่หายถ้าไม่ใช่แฟนมึง กูว่าน้องเขาคงมีแฟนสวยน่าดูเลยว่ะเหี้ย”
“สัสเดียร์ มึงดิ่คู่หมั้นเหี้ย ปากเหรอนั่น
กูขอให้น้องเอิงแฟนมึงนอกใจไปคบทอมคนใหม่หล่อกว่ามึงร้อยเท่า”
“อ้าวๆๆเหี้ยแล้ว ไอ้เอย์มึงพูดงี้เดี๋ยวกูไม่ส่งรูปไปเลยนี่
ชิชะ”
“โอ๊ะๆๆๆ ส่งๆๆ กูไม่ว่าแล้วกูไม่ว่า มึงแล้วรีบส่งมาให้ไวเลย
ด่วน ๆ หลังมึงวางสายเสร็จเลยนะ”
“รู้แล้วเว้ย แต่มีอีกเรื่องที่กูต้องบอกมึงนะ”
“อะไร”
“นี่คงจะเป็นครั้งสุดท้ายที่กูจะทำเรื่องราวพวกนี้ให้มึงได้แล้ว
อาทิตย์หน้ากูต้องลงไปประจำอยู่ที่กระบี่ ยังไม่รู้จะนานแค่ไหนกว่าจะได้กลับขึ้นมา
พอดีตำแหน่งผู้จัดการที่นั่นว่างลงคุณนายแม่เลยให้กูเข้าไปเสียบเลย
กว่าจะคุ้นกับงานกูคงจะหนีขึ้นมากรุงเทพไม่ค่อยได้”
“.............” ผมอึ้งไปนิด ปกติตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาผมจะรู้ความเคลื่อนไหวของปิงผ่านทางเดียร์
แม้ว่าจะไม่บ่อยแต่มันก็พอจะเป็นธุระให้ผมได้
“อย่าโกรธนะมึง”
“ไม่เป็นไร มึงเองก็จำเป็นกูเข้าใจ”
“เอย์ตั้นอย่าเศร้าดิ่วะ อยู่ทางนั้นมีเพื่อนป่ะเนี่ย
อย่าปิดตัวเองนะมึง มึงต้องมีเพื่อนมีสังคม
เรื่องของปิงกลับมามึงค่อยมาว่ากันอีกที ตั้งใจพยายามในส่วนของมึง
ทนเอาดิ่วะขนาดน้องเขายังทนได้เลย มึงเป็นถึงพี่มึงเองก็ต้องทนได้เหมือนกัน”
“กูรู้น่า”
แล้วสายก็ถูกวางไป
ผมนั่งนิ่งอยู่ที่โต๊ะหนังสือข่มอารมณ์ทุกๆอย่าง
พยายามคิดว่าไม่เป็นไรผมเองก็ต้องอดทน ขนาดปิงก็ยังอดทนเมื่อวันที่ไม่มีผมอยู่ข้าง
ๆ มันยิ่งต้องทนหนักเพราะผมไม่มีการติดต่อกลับอะไรเลย
เพราะฉะนั้นจากนี้ต่อไปผมจะเป็นฝ่ายอดทนให้หนักบ้าง
เราสองคนจะผ่านมันไปได้ ความเหงา ความอ่อนแอและหวั่นไหวของหัวใจ
ผมกับปิงจะต้องผ่านเรื่องราวคราวนี้ไปให้ได้
ก๊อกๆ
“เอย์นอนยัง” กัสเปิดประตูเข้ามา
“กินโอวัลตินร้อนๆนะกัสชงมาให้ อ่านหนังสืออยู่เหรอ” แก้วโอวัลตินร้อนถูกวางลงให้
ผมไม่รู้ทำไมกัสชอบชงเครื่องดื่มร้อนเข้ามาให้ผมดื่มก่อนนอนทุกคืน
ผมขี้เกียจถามไถ่ให้มากความ เอาเป็นว่าอยากทำอะไรก็ทำไป
เราอยู่บ้านเช่าเดียวกันก็จริง แต่ห้องกัสจะเป็นห้องเล็กฝั่งซ้ายมือที่ชั้นสอง ส่วนห้องผมจะอยู่ฝั่งขวาเป็นห้องนอนใหญ่
อีกห้องนึงเป็นของเด็กออสซี่ซึ่งไม่ค่อยได้มาสุงสิงกับพวกผมนักหรอก บ้านใหญ่นะ
แต่เราอยู่กันแค่สามคน
“เอย์จะกลับเมืองไทยวันไหนนะ”
“อาทิตย์หน้า”
“ดีจังเลยนะ มีกลับไปรับปริญญาด้วย ของกัสน่ะให้เขาส่งไปไว้ที่บ้านนั่นแหละ
ไม่ได้กลับไปรับหรอก แล้วเอย์จะไปนานไหมอย่าลืมว่าวันพฤหัสเรามีเข้าห้องวิจัย
งานสัมมนาก็ขาดไม่ได้ด้วย”
“รู้แล้ว”
ผมยกโอวัลตินขึ้นดื่ม กัสเดินไปงับหน้าต่างให้ชิดเข้าอีกนิด
ถึงเราจะใช้ฮีตเตอร์แต่ผมชอบเปิดหน้าต่างไว้เสมอไม่สนความหนาวเย็นเพราะห้องของผมจะมองเห็นท้องฟ้าและดวงดาวในยามค่ำคืนได้
ถึงจะไม่ใช่วิวที่กว้างเหมือนอยู่ที่สวนสาธารณะแต่ก็ยังดีที่ได้มอง
แล้ววันที่ผมต้องเดินทางกลับเมืองไทยก็มาถึง ผมรู้สึกดีใจไหมน่ะเหรอ ดีใจสิ ใช่ผมดีใจ เครื่องลงตอนหัวค่ำมีคนมารับผมกลับไปที่บ้านคุณแม่กำลังจะออกไปงานเลี้ยงอะไรสักอย่างพอดีทักทายกันนิดหน่อยเธอก็บอกให้ผมพักผ่อน
สามทุ่มผมขับรถออกจากบ้านจุดหมายจะเป็นที่ไหนได้ถ้าไม่ใช่หอพักเล็กๆของหมาปิง
ผมเฝ้าภาวนาให้คืนนี้ปิงมันกลับมานอนค้างที่หอ
ถึงผมจะไม่ได้เห็นหน้าก็ไม่เป็นไรขอแค่ให้ผมได้เห็นว่ามันยังอยู่ในห้องเล็กๆไม่ได้ย้ายไปไหนแค่นั่นก็พอ
ผมไม่ได้จอดรถไว้ในที่เดิมที่เคยจอด เพราะด้านหน้าไม่สามารถมองเห็นห้องมันได้ชัด
ผมขับเลี้ยวมาจอดลงที่ซอยด้านหลัง
ที่นี่จะเห็นระเบียงกับหน้าต่างบานเกร็ดสองบานเล็กๆแสงไฟยังเปิดสว่างจ้าอยู่
จุดให้รอยยิ้มในหัวใจที่ผมไม่ได้มีมาเป็นปีๆแล้วเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
ปิงอยู่ในห้อง คนที่ผมรักยืนอยู่ในที่นั้น ผมเฝ้าภาวนาว่าขอให้มันเดินออกมาที่ด้านหลังบ้าง
จะเป็นเข้าห้องน้ำล้างจานซักเสื้อผ้าหรืออะไรก็ได้สุดแล้วแต่ปิงมันจะทำ
แต่จนแล้วจนรอดผมรออยู่นานก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของมัน
ผมเคลื่อนรถจอดลงให้ดีๆ ที่หน้าร้านค้าเล็กๆที่ถูกปิดลงแล้วเพราะเวลาที่เริ่มดึก
แต่ไฟในห้องที่ยังเปิดค้างอยู่ ทำให้ผมยังไม่หมดหวังไปเสียทีเดียว
ปิงอยู่ในนั้น
ผมมองดูมัน แม้จะเห็นแค่เพียงแสงของดวงไฟในห้องผมก็พอใจ ผมกดกระจกลงแล้วดับเครื่อง
สูดลมหายใจรับเอาอากาศของบริเวณนี้เข้าไปจนเต็มปอดนั่งมองห้องของคนที่ผมรักอย่างไม่รู้เบื่อ
ไฟในห้องยังสว่างจ้า ขณะที่มีสายลมเย็นพัดผ่านเข้ามาพร้อม ๆ กับกลิ่นฝนที่โชยแตะโพรงจมูกไม่นานหลังจากนั้นเม็ดฝนเริ่มโปรยปรายลงมาแล้วผมจัดการสตาร์ทเครื่องใหม่อีกครั้งปิดกระจกขึ้นหันมองไปทางฟุตบาต
ร้านค้าที่ปิดไว้มีกันสาดเล็กๆยื่นออกมา ถ้าผมนั่งอยู่ในรถผมจะมองห้องมันไม่ถนัด
ทั้งฝ้ากระจกทั้งเม็ดฝนที่เริ่มแรงขึ้นจะทำให้ผมไม่สามารถมองเห็นห้องมันได้ในที่สุด
ผมตัดสินใจลงจากรถวิ่งเข้าไปยืนหลบฝนอยู่ที่ใต้กันสาดเล็กๆนั่น
ห้องที่ไฟยังคงเปิดไฟสว่างไสวมีลมโกรกเข้าไปเบา ๆ ม่านหน้าต่างปลิวพลิ้ว
ภาวนาอีกครั้งขอให้มันเดินมาเลื่อนบานเกร็ดปิดลง ผมยืนอยู่ที่จุดนั้นนานเป็นชั่วโมงขณะที่ฝนเริ่มเทหนักลงมาเรื่อย
ๆ
ในที่สุดเหมือนฝันผมเป็นจริงมีเงาคนเดินมายืนอยู่ที่หน้าต่างจัดการกับอะไรสักอย่างกับผ้าม่านให้มิดชิดและน่าจะกำลังหมุนปิดบานเกร็ดเพราะสายฝนที่สาดหนักขึ้น
ตัวผมเริ่มชื้นและเปียกอุณหภูมิภายนอกลดต่ำแต่ผมไม่สนใจความหนาวเหน็บยังคงจะเฝ้าคอยดู
นานเท่าไหร่ไม่รู้ที่สายตาของผมโฟกัสอยู่ที่หน้าต่างของห้องนั้นเสมอ
จนกระทั่งไฟในห้องดับลง ผมยกนาฬิกาขึ้นดู หกทุ่มกว่าแล้ว
วันนี้ทำไมปิงนอนเร็ว ปกติเมื่อก่อนเท่าที่รู้ตีสองมันยังนั่งเล่นเกมส์ทางเน็ตอยู่เลย
ผมรออีกสักพัก ถึงได้จับรถแล้วขับกลับบ้าน
เช้าวันต่อมาผมมีซ้อมรับปริญญาและทันทีที่เลิกผมรีบจับรถแวะมาที่ร้านส้มตำของแม่ปิง
ผมชะเง้ออยู่นานแต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของมัน
ลืมสังเกตไปว่าที่หน้าร้านไม่มีรถมอไซด์คันที่มันใช้ประจำจอดอยู่
ผมนั่งรอจนกระทั่งแม่ของปิงและพี่ขมกำลังจะปิดร้านเธอมองมาที่ผม
ตอนนั้นเองที่ผมรีบขับรถแล้วเลี้ยวออกมาเลย
ผมเหมือนคนที่กำลังทำความผิด ทั้งที่แค่อยากมาหา มาเห็นหน้าคนที่ผมรัก
เช้าตรู่วันต่อมาเป็นวันที่ผมรับปริญญาจริง
ทุกคนในครอบครัว รวมถึงคุณย่าต่างมางานรับปริญญาของผมดอกไม้แสดงความดีใจเต็มไม้เต็มมือไปหมด
ผมดีใจมากนะ แต่ทว่าคนที่ผมอยากให้มายืนอยู่ข้าง ๆ ผมตอนนี้มากที่สุดกลับไม่ได้มาอยู่ในที่ตรงนี้กับผมด้วย
บางทีถ้าตอนนั้นผมดึงดันที่จะยังอยู่ที่เมืองไทย หมาปิงมันคงจะได้เข้ามายืนถ่ายรูปร่วมกับผม
ผมจะจับมือมันไว้แล้วเราจะส่งยิ้มให้กับกล้องด้วยกัน ผมจะเก็บรูปใบนี้ไว้
แต่คือ...ทุกอย่างมันไม่ใช่อย่างที่คิด
“ดีใจด้วยนะลูก”
“ดีใจด้วยนะหลานย่า”
“เก่งมากเอย์ตั้นของพ่อ”
“ขอบคุณครับ” ผมตอบรับเบา ๆ ส่งยิ้มบางให้กับทุกคน
ขณะที่ในหัวใจพลันได้ยินเสียงสดใสของคนๆนึงดังกึกก้อง
‘ดีใจด้วยนะครับพี่เอย์’
ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ผมจะมีความสุขแค่ไหน......แต่นั่น....ก็เป็นเพียงแค่ฝัน
เย็นวันนั้นผมบอกที่บ้านไว้ว่าจะแวะไปฉลองกับเพื่อน
แต่อันที่จริงผมแวะเข้าไปคอยหมาปิงมันที่ร้านอีกครั้ง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เจอ
แม่ของปิงออกมามองรถผมอีกแล้ว คงกำลังคิดว่ารถคันนี้คุ้นมาก
เป็นผมเองที่ประมาทดันจอดลงในที่ๆเคยจอดอยู่เป็นประจำ ผมรีบขับออกไป ตกดึกผมก็ไปรอมันอยู่ที่หอพักอีกครั้ง
แต่คราวนี้รอจนดึกดื่นปิงก็ยังไม่กลับเข้ามาห้องพักห้องเดิมปิดไฟเงียบทุกอย่างมืดสนิท
ผมเหลือเวลาอีกไม่มากแล้วหกโมงเช้าของวันพรุ่งนี้ผมต้องกลับไปเรียนอีกหน
ผมตั้งใจจะเฝ้ารอ คิดว่าปิงคงจะมีธุระที่ไหน
ผมรอจนผมเผลอหลับไปเพราะความเหนื่อย ตื่นมาอีกทีคือตีสองกว่าแล้วห้องปิงยังคงมืดสนิทอยู่แบบเดิม ตัดสินใจเป็นครั้งสุดท้ายขับรถไปที่หมู่บ้านจัดสรรเล็กๆที่บ้านเช่าของแม่ปิงอยู่ในนั้น
เพียงแค่เห็นว่ามีรถมอไซด์คันเดิมของมันจอดนิ่งอยู่ในรั้วเตี้ยๆหน้าบ้านน้ำตาผมรื้นขึ้นมาอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้
ฟุบหน้าลงที่พวงมาลัยทุบๆๆแล้วก็ทุบ ผมเจ็บใจตัวเอง พยายามตั้งสติใหม่พยายามข่มอารมณ์ไว้ให้ลึกที่สุด
ความรู้สึกที่ว่าอยากจะเห็นอยากจะเจออยากจะกอดตีตื้นถาโถมเข้ามาจนจุกอยู่เต็มหัวอก
ตั้งแต่วันที่ผมไปรอมันอยู่ที่หอวันแรกแล้ว ผมอยากจะเดินลงไปหาใจจะขาด อยากคุยอยากมองหน้าอยากเห็นรอยยิ้มขี้เล่นของมันอีกสักครั้ง
แต่ผมทำแบบนั้นไม่ได้ไม่ใช่ว่ากลัวคุณแม่จะรู้หรืออะไร แต่ผมไม่อยากจะทำร้ายบ้านและครอบครัวของมันให้เดือดร้อน
ในเมื่อเราสองคนอดทนกันมาขนาดนี้ ปิงมันยังทนได้แล้วผมล่ะ
ผมเองก็ต้องอดทนเอาไว้เหมือนกัน
เที่ยวบินกลับนิวยอร์กเช้านี้ยังเงียบเหงาเหมือนเมื่อปีที่แล้วไม่มีผิด
ผมเลือกบินยาวไม่ต้องไปทรานซิทที่ไหนเพราะผมรู้สึกว่าล้าและเหนื่อยมากเหลือเกิน
วันนี้มีคุณแม่กับซ่าร์มาส่งผม แม่ไม่ได้พูดถึงเรื่องปิงเลยแล้วผมก็ไม่ได้ถาม
ผมคิดไว้แน่นอนแล้วไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นทันทีที่ผมกลับมาผมจะคุยเรื่องนี้กับคุณแม่อีกครั้ง
ผมจะอดทนต่ออีกสองปีถือเสียว่าทดแทนพระคุณของท่าน ถือว่าผมได้ทำอะไรให้ท่านบ้างแล้ว
จากนั้นผมขออิสระของผมบ้างขอความสุขของผมบ้าง และเมื่อวันนั้นมาถึงผมจะยอมแลกทุกสิ่งทุกอย่างของผมเพื่อให้ได้อยู่ร่วมกับมัน
หวังว่าเมื่อถึงวันนั้น.....ปิงจะยังคงไม่เปลี่ยนใจ
“เอย์ สองสมการนี้เราต้องเอามาดิฟรวมกันดิ่
ถ้าเอย์แทนค่าตัวแปรแบบนี้ สมการมันจะออกนอกโลกไปเลยนะ”
“เดี๋ยวจะลองทำดูก่อน”
“เชื่อกัสเหอะน่า ต้องใช้ตัวนี้แทนค่า นี่ๆๆทำแบบนี้
เดี๋ยวกัสจะสอน”
“.....เออ ผิดจริงว่ะ”
“ก็บอกแล้ววววว”
....
“เอย์หนังสือเล่มนี้ดีนะ
กัสเห็นพวกรุ่นพี่ถือกันหลายคนเลย เราเอาบ้างดีป่ะ”
“ตามใจดิ่ แต่ผมจะซื้อเล่มนี้”
“เอ้ยยยยรอกัสด้วยดิ่ อ่ะนี่จ่ายตังให้กัสด้วยนะ”
“จ่ายเอาเอง”
“หูยเย็นชาว่ะ เดี๋ยวติวออกแบบฯให้ กัสเก่งนะวิชานี้เอย์ก็รู้นี่”
“..........”
“นะๆๆน้าๆ เอตั้นสุดหล่อซื้อให้กัสนะครับนะ”
“อือ เอามาดิ”
“เย้!!!! เอย์ใจดีอ่ะ ขอบคุณนะครับ”
........
“เอย์ขยับนิดดิ่
กัสนั่งด้วยคน”
“มีอะไร”
ผมขยับออกให้
“ดูอะไรอยู่น่ะ
เห็นเอย์ชอบนั่งจ้องโทรศัพท์ ดูแล้วก็ยิ้มแบบนี้มันต้องมีอะไรแหง ๆ ไหน ๆ
ให้กัสดูด้วยดิ่ รูปใครเหรอ”
“ยุ่ง”
ผมรีบลุกขึ้นแล้วปิดหน้าจอมือถือทันที กัสดึงมือผมไว้
“จะไปไหน
กัสไม่ดูหรอกแค่พูดเล่นเอง กลับกันเถอะนะตรงนี้หนาวออกเอย์ชอบมานั่งอ่านหนังสือที่ม้าหินอ่อนตรงนี้เหรอ
เดี๋ยววันหลังกัสมานั่งคอยที่นี่นะ เราจะได้กลับพร้อม ๆ กันไง”
.........
“เอย์วันนี้กัสจะทำข้าวผัดไข่กวนให้เอย์กินนะ
เอย์ชอบผักอะไรหยิบใส่รถเข็นมาเร็ว”
“อะไรก็ได้
รีบซื้อเถอะจะได้รีบกลับ”
“งั้นเอานี่นะ
มะเขือเทศไงดีไหม? เอย์กินเป็นหรือเปล่า?”
“ผมไม่ชอบกินมะเขือเทศ” พูดแล้วเดินหนีเลย
กัสรีบจับรถเข็นวิ่งตาม
“อ้าวเดี๋ยวสิ
จะรีบไปไหนเนี่ยยังซื้อของกันไม่เสร็จเลยนะ เอย์รอกัสก่อน เอย์ตั้นคร้าบบบบบ”
“เดี๋ยวผมไปรออยู่ที่รถ ซื้อเสร็จแล้วก็ตามออกมา นี่เงิน”
.....
“เอย์ช่วยกัสปอกแครอทหน่อยสิ
ข้าวผัดต้องใช้แครอทมันถึงจะน่ากิน เอย์หิวแล้วไม่ใช่เหรอ
ช่วยกัสล้างไข่ไก่ด้วยนะ”
“ผมไม่อยากกินข้าวผัด”
“ไม่ใช่ข้าวผัดกุ้งหรอก
กัสจำได้เอย์บอกว่าเอย์ไม่กินข้าวผัดกุ้ง นี่กัสทำข้าวผัดไข่ให้ไง
อร่อยนะเดี๋ยวจะใส่มะเขือเทศให้ด้วย”
“ไม่ใส่มะเขือเทศได้ไหม”
“ทำไมล่ะ เอย์ไม่กินมะเขือเทศเหรอ”
“ผมไม่อยากกิน มะเขือเทศที่คนอื่นทำ”
“อะไรนะ เอย์ว่าอะไรนะ ใครทำอะไรนะ”
“เปล่า เปลี่ยนเมนูเหอะ”
“อ้าว ๆ แล้วมาเอามะเขือเทศไปเททิ้งทำไมล่ะเนี่ย
หูยเอย์ตั้นนายนี่มันเอาแต่ใจจริง ๆ อุตส่าห์ฝ่าซะสวยเชียว”
......
“เอย์!!!!! เดี๋ยวก่อนรอกัสด้วย
อย่าเพิ่งไปสิ ขอติดรถไปด้วย แฮ่กๆๆๆ อะ แฮ่กๆๆ โอ๊ยเหนื่อยดีนะวิ่งตามมาทัน”
“นายจะไปไหน”
“ก็ไปมหาลัยไง เอย์จะเข้าไปมหาลัยไม่ใช่เหรอ”
“ผมจะเข้าหอสมุด ไม่ได้ไปส่งที่คณะนะ
ถ้าจะไปด้วยต้องเดินไปต่อเอง”
“ใจร้ายไรนักหนาเนี่ย คณะเราก็อยู่ใกล้หอสมุดแค่นิดเดียว
เอย์ก็เตลิดไปส่งกัสแปปเดียวก็ได้ เดี๋ยวกัสเรียนเสร็จจะเดินไปหาเอย์ที่หอสมุดเอง
เราจะได้กลับพร้อมกันไง นะๆ”
.............
“เอย์ กัสว่าอาจารย์ท่านนี้บรรยายเก่งจังอ่ะ
ดูดิ่พูดทีเดียวนักศึกษาส่วนใหญ่เข้าใจเลย
ส่วนไอ้วิชาโครงสร้างตึกอ่ะกัสต้องกลับไปงมดิกฯอีกจนดึกจนดื่น
เอย์รู้สึกอย่างนั้นไหม”
“เหมือนกัน”
“ว่าแล้ววววว”
“เอาปากกาเอย์มานี่ดิ๊เปลี่ยนกันเขียนเร็วของเอย์สีสวยดีเขียนลื่นมว๊ากกก”
“เรื่องมาก ทำไมไม่ใช้ของตัวเอง
แท่งไหนก็เหมือนกันทั้งนั้น”
“เถอะน่าเปลี่ยนกันๆ”
......
“เอย์ตั้น
นายเคยยิ้มบ้างรึเปล่า? ยิ้มแบบยิ้มกว้าง ๆ น่ะฉีกยิ้ม แบบนี้ๆ”
“ยุ่งอะไรด้วย”
“เอ๋าก็ถามดู
เห็นนายเงียบ ๆ ไม่ค่อยยิ้มนี่คือกัสชวนคุยตลอดเลยนะ
อยู่บ้านเดียวกันเรียนห้องเดียวกันไปกลับก็พร้อมกัน
กัสอยู่กับเอย์ตลอดแต่ไม่ค่อยเห็นเอย์ยิ้มเลย”
“ผมยิ้มทุกวัน”
“ยิ้มตอนไหน
ทำไมกัสไม่เห็น”
“นายไม่จำเป็นต้องเห็น
ไม่ใช่เรื่องของนาย”
“จ้าๆๆ
พ่อคนเย็นชา กัสไปนอนแล้วนะ อย่าลืมห่มผ้าหนา ๆ ด้วยอากาศเริ่มหนาวแล้ว”
.......
“เอย์เดี๋ยวๆๆๆๆจอดรถก่อน”
“มีอะไร”
รถถูกจอดลง
“ได้ยินมาแถวนี้เขาว่ามีร้านอาหารไทยอร่อยๆอยู่
เราลองขับหาดูไหม เอย์อยากกินรึเปล่า”
“ไม่อ่ะ จะรีบกลับ”
“โอ๊ะๆอย่าเพิ่งๆ เดี๋ยวนะรู้สึกว่าจะอยู่ถัดจากซอยนี้อีกแค่สองบล็อก
เอย์ลองขับไปดูนิดนึงสิ เผื่อวันหลังวันหน้าเราจะได้มากินกันบ้าง”
“ไม่เอา” ว่าแล้วก็จะออกรถ
“นิดเดียวนะครับนะเอย์ตั้น นะๆๆ”
“ให้เวลากินไม่เกินสิบห้านาทีไม่งั้นไม่รอ”
“คึคึ เอย์ใจดีจัง”
............
“เอย์วันนี้ลอนดรี้ต้องเอาโค๊ดมาส่งเรานี่
พรุ่งนี้เราต้องใช้ออกพื้นที่นะ ทำไมค่ำแล้วเขายังไม่เอามาให้อีกอ่ะ”
“ลองโทรไปถามดูสิ”
(กัสต่อสาย คุยเสร็จแล้วก็วาง)
“เขาบอกว่าวันนี้ไม่มีพนักงานมาส่งเลยให้เราแวะไปรับเองได้ไหม”
“งั้นเดี๋ยวผมขับรถออกไปเอา”
“กัสไปด้วยๆ เอย์รอด้วยดิ เดี๋ยวล็อคบ้านก่อน”
............
“เอย์วันนี้สอบวันสุดท้ายแล้ว สู้ๆด้วยกันนะ”
“นายจะออกไปด้วยกันเหรอ”
“ถามอะไรน่ะ ก็ออกจากบ้านด้วยกันทุกเช้าอยู่แล้ว อ่ะนี่โค๊ตตัวเดียวไม่พอหรอก
เอย์ต้องสวมผ้าพันคอไว้ด้วยเดี๋ยวจะได้ไม่หนาว กัสพันให้นะ”
“ไม่เป็นไรเดี๋ยวผมจัดการเอง” ก้าวถอยออกมา
“อยู่เฉย ๆ น่า เดี๋ยวกัสพันให้แปปเดียว
อากาศหนาวจะตายชัก ไม่รู้คืนนี้หิมะยังจะตกต่ออีกไหม อ่ะเสร็จเรียบร้อยเนี๊ยบแล้ว
พร้อมออกไปลุยข้อสอบกันแล้วเนอะ”
.........
“กลับมาแล้วเหรอเอย์”
“อือ”
“เอาโค๊ดมานี่เดี๋ยวกัสเอาไปแขวนไว้ให้
เป็นไงหนาวไหมทำไมวันนี้ถึงใช้ซับเวย์ล่ะ”
“นายกลับมาถึงนานยัง”
“นานแล้ว อุ๊กก! อย่าโยนดิ เสื้อตัวใหญ่มันหนักเหมือนกันนะ”
“ช่วยไม่ได้นายมันตัวเล็กเองทำไม”
“เล็กที่ไหน กัสสูงตั้งร้อยเจ็ดสิบนะ”
“นั่นแหละที่เรียกว่าเล็ก
เดี๋ยวต่อไปจะเรียกเตี้ยแบบนั้นดีไหม”
“เฮ้ยไม่อ้าววว กัสเตี้ยกว่าเอย์นิดเดียวเองเหอะ”
“เตี้ย!”
“ชิชิ นิสัยไม่ดี”
“หึหึหึ”
“หัวเราะแล้วววว”
“ประสาท”
...................
ก๊อกๆ แกร๊กก~
“เอย์นอนยัง?”
“กำลัง มีอะไร?”
“เปล่าหรอกเห็นดึกแล้วไฟห้องเอย์ยังเปิดอยู่เลยลองมาถามดู
เอย์นอนเถอะกัสมากวนจริงๆเลยเนอะ เดี๋ยวกัสปิดไฟให้ละกัน กู๊ดไนท์นะเอย์ตั้น”
“............”
แล้วในที่สุดวันที่ผมเรียนจบหลักสูตรก็มาถึง สองปีเต็ม ๆ
กับความอดทนและเพียรพยายามทุกอย่างทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องเรียนได้แต่เฝ้ารอคอยและภาวนาในใจอย่างเงียบ
ๆ เวลาสองปีไม่สั้นเลยถือว่ายาวนานมากสำหรับคนที่นั่งนับวันนับคืนแบบผม
ทุกคืนหลังจากทานข้าวเสร็จผมจะเข้าประจำที่โต๊ะเพื่ออ่านหนังสือ ปฏิทินตั้งโต๊ะเป็นสิ่งแรกที่ผมหยิบขึ้นมาแล้วขีดฆ่า
คำว่า ผ่านไปแล้วอีกวัน เป็นสิ่งที่ทำให้หัวใจผมยิ้มได้
รูปถ่ายของใครบางคนที่ผมปริ๊นออกมาใส่กรอบวางไว้ที่โต๊ะ ทำให้แต่ละวันของผมมีรอยยิ้มเล็กๆเกิดขึ้นได้
ตอนนี้เมืองไทยคงจะห้าโมงเช้าของวันใหม่แล้ว
ไม่ว่าคนที่ผมเฝ้าคิดถึงทางนั้นกำลังทำอะไรอยู่แต่ขอให้รับรู้ไว้เสมอว่าผมคนนี้ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ไม่มีใครเข้ามาแทนที่หมาน้อยของผมได้......คนรักของผมมีเพียงแค่คนเดียว คือปิง
“หมาปิง มึงน่ะมันจอมขี้เหร่เลย ป่านนี้ที่ว่างข้าง ๆ
กายมึงจะมีใครคนอื่นมาแทนที่กูคนนี้ไหม สัญญาของเรามึงยังคงจำมันได้หรือเปล่า คืนวันที่น่าจดจำ เราหยอกกัน มึงเถียงกู กูด่ามึง แล้วสุดท้ายก็จบลงที่เราปาข้าวของใส่กัน
เมื่อไหร่ที่กูทำหน้างอมึงก็จะคอยมาง้อมายิ้มมาล้อเลียนกู ช่วงเวลาที่กูถูกมึงจีบ
มึงร้องเพลงรักให้กูฟังจับมือกูไว้ซุกหน้าเข้าที่อก
ไม่เคยมีสักวันที่กูคนนี้จะลืม
เหลืออีกแค่ปีเดียว
แม้ว่ามึงจะไม่ได้รับรู้เลยว่าเมื่อไหร่เวลาไหนที่กูจะได้กลับไปหามึงอีกครั้ง
กูจะพยายามอยู่ทางนี้ให้ดีที่สุดเพื่อให้กำหนดการสามปีไม่มีการเลื่อนออกไปอีก
มึงทรมานแค่ไหนกูรู้ดี เพราะกูเองก็ทรมานไม่ต่างไปจากมึง แต่ในเมื่อมึงยังทนได้กูคนนี้ก็จะขอทนไม่มีการขอร้องให้ใครตามดูมึงอีก
ให้ตัวเราห่างกันจนถึงที่สุด ให้ความเหงาเข้ามาครอบครองจิตใจเราสองคน
ที่สุดแล้วเราจะรู้ได้เองว่าเราควรจะขอบคุณความห่างไกลที่ทำให้เราตระหนักได้และรู้ตัวว่า
ใครอีกคนของเรานั้นสำคัญมากมายจริง ๆ
หลังจากนั้นหนึ่งเดือนผมเริ่มได้คิวฝึกงาน
“ไม่น่าเชื่อเลยนะเอย์ เราสองคนได้ฝึกงานที่เดียวกันเหรอเนี่ย ตอนทำเรื่องขอไปไม่คิดว่าเขาจะรับเราทั้งคู่ด้วยซ้ำ”
“กัสจะออกไปพร้อมผมใช่ไหม”
“ก็แน่นอนสิ เราฝึกงานที่เดียวกันอย่าบอกว่าเอย์จะใจดำให้กัสขึ้นรถเมย์ไปเองง่ะ”
ผมเดินไปคว้าเอากุญแจรถแล้วหยิบโค๊ดยาวตัวที่ใส่เมื่อคืนมาสวมกระเป๋าสะพายพร้อมทุกอย่างพร้อม
“งั้นก็ไปกัน”
“อ๊ะเดี๋ยว เนคไทเบี้ยวแน่ะเอย์ผูกแบบไหนเนี่ย
เดี๋ยวกัสจัดการให้ใหม่” มือเล็กยื่นเข้ามาจัดเนคไทของผมอย่างถือวิสาสะ ผมตกใจนิดหน่อยถอยหลังไปอีกสองก้าวกัสก้าวเข้ามาประชิดจัดการผูกให้ใหม่แบบมืออาชีพมาก
“เสร็จเรียบร้อย หล่อแล้ว” ตบลงที่หน้าอกผมสองสามที
“ไปกันเถอะเอย์ตั้น”
........
“เฮ้อได้พักสักที
นี่นิวยอร์กจริงเหรอเนี่ยกลางวันทำไมร้อนอบอ้าวส่วนกลางคืนนี่หนาวบรื๋อเลย”
กัสยื่นน้ำในมือให้ผม เราสองคนออกมาดูไซด์งานกันที่สถานที่ก่อสร้างใหญ่ในเขตเมืองเก่า
วิศวกรคนไทยคนเดียวที่ทำงานในบริษัทเทคแคร์พวกเราดีมาก คอยแนะนำให้คำสอน
เราคุยเรื่องานกันทุกวัน ผมชอบติดรถพี่เขามาดูงานตามสถานที่ต่าง ๆ ข้างนอก
พี่เขายังชวนผมกับกัสให้มาทำงานด้วยกันที่นี่เลยผมขอบคุณพี่เขาแล้วอธิบายไป
เราคุยกันถูกคอ
“เดี๋ยวเดือนสุดท้ายที่พวกเราฝึกงานพี่จะพาไปดูแปลนของตึกเอ็มไพร์สเตท เอาแบบของแท้ออริจินัลเลย
ที่เราดูๆกันอยู่นี่คือมันเป็นตัวก๊อปปี้ทั้งนั้น
“จริงเหรอครับ พวกเราจะได้ไปดูแปลนของตึกนั้นจริงนะครับ”
กัสท่าทางดีใจใหญ่
“จริงสิ มาเรียนวิศวถึงที่นี่ถ้าไม่เคยได้ไปดูโครงสร้างเอ็มไพน์เลยนี่ถือว่ายังเรียนไม่จบหลักสูตรหรอกนะ”
“ขอบคุณครับพี่เดนิส” ผมบอก
“เอ้าตั้งใจทำงานกันต่อเถอะ”
“ครับผม”
..........
ก๊อกๆ
“เอย์ คืนนี้เราไปบอรดเวย์กันไหม อุตส่าห์มาอยู่นิวยอร์กตั้งสองปีถ้าหากไม่เคยไปดูละครเวทีเลยสักครั้งนี่คือเชยเลยนะ”
“ทำไมล่ะ นายอยากจะไปเหรอ”
“อื้อๆ
พอเราดูละครเสร็จเราก็ไปเดินเล่นต่อที่ไทม์สแควร์ด้วยไง
ตอนนี้เราฝึกงานแล้วนี่การบ้านก็ไม่มีเหมือนแต่ก่อนแล้ว
กัสว่าเราสองคนเที่ยวกันได้แล้วนะ”
“กุญแจรถวางอยู่ที่โต๊ะข้างเตียงน่ะ
ถ้าอยากไปก็ขับรถผมไปก็ได้ไม่ว่าหรอก”
“อ้าวแล้วเอย์ไม่ไปเหรอ”
“ไม่อ่ะ ขี้เกียจ”
“โหยยนิดเดียวน่า เห็นแก่ความเป็นเพื่อนของเรา กัสติวหนังสือให้เอย์ตั้งหลายวิชานะ
กัสเคยทำการบ้านให้เอย์ด้วย ภาษาอังกฤษก็เคยสอนแล้วกัสน่ะก็ยังทำอาหารทิ้งขยะถูบ้านแล้วก็........
“พอๆๆๆ โอเคเดี๋ยวไปแต่งตัวก่อนถ้านายจะไปด้วยกันก็ไปแต่งตัวแล้วออกไปรอผมที่รถ”
“เอย์ใจดีจัง ขอบคุณนะครับ จุ๊บ”
“!!!!!!!!!”
“เดี๋ยวก่อนอย่าเพิ่งไป ทำอะไรของนาย” ผมตกใจมากนะ
พอตั้งสติได้เลยรีบดึงแขนไว้แล้วถาม
“ก็จูบขอบคุณไง เอย์ถือเหรอ โทษทีนะ กัสติดมาจากที่เรียนกับพวกฝรั่งมาแต่เด็กนี่”
“อย่าทำอีกถ้ายังอยากเป็นเพื่อนกันต่อไป”
“คร้าบๆไม่ทำคร้าบ กัสล้อเล่นเอย์เป็นเพื่อนกัสนะ”
................
“เอย์วันนี้กินเกี๊ยวกุ้งนะกัสไปได้มาจากมินิมาร์ทเปิดใหม่ถัดออกไปแค่สองบล็อกเนี่ย
ยี่ห้อนี่น่าจะอร่อยเดี๋ยวจะลองเติมไข่ลงไปดู
เอย์เอาด้วยไหมหรือจะให้กัสทำอะไรให้กิน”
“เอามาเหอะ กินได้หมด”
“แน่เร้อออ
ไอ้กินได้หมดเนี่ยกัสเห็นเอย์กินเป็นอยู่ไม่กี่อย่างเองนะ”
“พูดมาก เมื่อไหร่จะได้กิน”
“จ้าๆ”
......
“เอย์พรุ่งนี้เราต้องรับประกาศนียบัตรจบหลักสูตรฝึกงานกันแล้ว
เอย์ใส่ชุดนี้นะกัสเอาไปซักแห้งให้แล้วสูทตัวนี้เอย์ใส่แล้วดูดีแล้วก็หล่อมากส่วนเนคไทก็เป็นเส้นนี้เข้ากันกับสีเสื้อของกัส
เราใส่เป็นแพ็คคู่ไง”
“ตัวไหนก็ได้นี่ ทำไมต้องเรื่องมากด้วย”
“ไม่ได้หรอกเราเป็นคนไทยแค่สองคนเพราะฉะนั้นต้องใส่เป็นดูโอ้”
“บีหนึ่งกับบีสองน่ะเหรอ”
“บ้าา เดี๋ยวนี้เล่นมุขนะ”
“เตี้ยเอ้ย”
“กล้าว่ากัสเหรอ”
“มีตรงไหนที่ไม่กล้าล่ะ”
“นี่แน่ะ” กัสขว้างหมอนใส่ผมแบบเต็ม ๆ
“ไม่โดนนะ ใสเจีย หึหึหึ”
ผมเย้ยแล้วรีบไล่เจ้าเตี้ยให้กลับห้องตัวเองไป
................
ในที่สุดวันที่ผมฝึกงานจบก็มาถึง
มีพิธีรับประกาศนียบัตรจากท่านประธานของบริษัทโดยมีพี่วิศวกรที่เป็นคนไทยพาพวกเราประมาณสิบกกว่าคนรวมนักศึกษาจากชาติอื่น
ๆ ไปทำการรับมอบที่ห้องประชุมเล็ก
“ดีใจด้วยนะเอย์ ดีใจด้วยกัส ดีใจด้วยบลาๆๆๆๆๆ” พวกเรายืนล้อมรอบพี่เดนิสอยู่
“ขอบคุณครับพี่เดนิส” ผมกับกัสพูดออกมาพร้อมกัน พี่เดนิส
วิศวกรพี่เลี้ยงที่ดูแลผมกับกัสมาตลอดสิบสองเดือนที่ฝึกงานเป็นคนไทยแท้ ๆ
บ้านอยู่ที่ชลบุรีแต่พี่เขามาทำงานที่นี่ได้สิบกว่าปีแล้ว
“แล้วจะกลับไทยกันวันไหนล่ะเนี่ย”
“อาทิตย์หน้าครับ
ผมต้องทำเรื่องส่งใบปริญญากับที่มหาวิทยาลัยก่อน”
“งั้นก็คงต้องบอกลากันแค่นี้ล่ะนะ
พี่ดีใจที่ได้รู้จักเราสองคนถ้าหากมีโอกาสมาที่นิวยอร์กอีกอย่าลืมแวะมาทักทายกันบ้างเบอร์โทรก็มีกันแล้วนี่”
“ครับพี่เดนิส/ขอบคุณครับพี่”
เย็นวันนั้นเราออกไปเลี้ยงฉลองกับกลุ่มเพื่อน ผมเมานิดๆเพราะดื่มไม่เยอะกัสเองก็ดื่มเข้าไปนิดหน่อยเหมือนกันกว่าจะกลับมาถึงที่พักเกือบจะหกทุ่มแล้ว
“เอย์กัสหนาวอ่ะ ขอไม่อาบน้ำนะเข้านอนเลยได้ไหม”
กัสว่าแล้วทิ้งตัวลงที่โซฟายาวของห้องรับแขกผมแทรกตัวเดินผ่านเข้าไป กัสฉุดคว้าข้อมือผมไว้
“เอย์” เสียงเล็กๆเรียกแล้วเงียบไปผมเลยหยุดยืนมอง
“มีอะไร”
“เอย์จะกลับไทยวันไหน”
“ศุกร์หน้า”
“กัสกลับด้วยสิ เราไปเที่ยวบินเดียวกันเลยดีไหม” เขาขยับตัวลุกขึ้นนั่งดี
ๆ ผมนั่งลงข้าง ๆ
“ไหนเคยบอกว่าฝึกงานจบแล้วจะอยู่เที่ยวต่ออีกสักเดือนสองเดือนไง”
“ก็อยากอยู่อยู่หรอกแต่เอย์ไม่ยอมอยู่ด้วยนี่
ไม่รู้จะรีบกลับไปทำไมนักหนาหรือว่าคิดถึงคนในรูปกันนะ”
“นายว่าอะไรนะ”
เพราะที่ท้ายประโยคกัสพูดเบามากผมเลยหันไปถามดูอีกครั้ง หันไปรินชาร้อนที่โต๊ะเล็กข้างโซฟาขึ้นมาจิบ
“เปล่าสักหน่อย กัสกำลังคิดว่าจะกลับพร้อมกันกับเอย์ด้วยเลยดีกว่า
เอย์ซื้อตั๋วไว้หรือยัง”
“ยังเลยจะจัดการคืนนี้แหละ”
“โอเคเดี๋ยวกัสเปลี่ยนชุดแล้วจะตามไปที่ห้องเอย์นะ
เอย์ทำธุระส่วนตัวไปก่อนเลย” กัสว่าแล้วรีบลุกขึ้นวิ่งหายขึ้นไปบนห้องทันที ผมเดินเอาแก้วชาไปล้างจากนั้นขึ้นไปอาบน้ำอาบท่าของผมบ้างไม่นานก็มานั่งพร้อมอยู่ที่โต๊ะหนังสือ
ปฏิทินถูกขีดออกอีกหนึ่งวัน
ผมอมยิ้ม
อีกแค่อาทิตย์เดียว....อีกแค่อาทิตย์เดียวเท่านั้น
ก๊อกๆ
“มาแล้วคร้าบบบ” ผมหันไปดู กัสไม่ได้มาแต่ตัว หอบหมอนหอบผ้าห่มมาเต็มสองมือแล้วทิ้งลงไปที่เตียงผม
จากนั้นเขาก็รีบถลาเข้ามาหาผมที่โต๊ะหนังสือย่อตัวนั่งลงข้าง ๆ
“ทำอะไรของนายเอาของพวกนั้นเข้ามาทำไม” ผมมองไปที่กองหมอนกองผ้าห่มที่ถูกโยนลงบนเตียง
“ก็เหลือเวลาอีกแค่อาทิตย์เดียวเอง
กัสอยากใช้เวลาอยู่กับเอย์ให้เยอะที่สุดนี่ หกเจ็ดวันนี้ให้กัสนอนกับเอย์ที่ห้องนี้นะ
กัสรับรองกัสไม่ดิ้นกัสเรียบร้อย” เขาทำสัญลักษณ์ชูสองนิ้วอย่างสัญญาของลูกเสือ ผมมองดูกัสอย่างพิจารณาพร้อมกับคิดว่าควรจะต้องพูดในสิ่งที่ค้างคาใจผมมานานแล้ว
เรื่องความรู้สึกของกัสที่มีต่อผม
“กัส”
“ครับ” กัสนั่งยอง
ๆ อยู่ข้าง ๆ ใช้คางตั้งลงที่โต๊ะมองหน้าจอแม็คบุคของผมอยู่
หน้าตาเขาน่ารักคล้ายผู้หญิงผมซอยไล่ระดับจนถึงลำคอ ถ้ามองผิวเผินจะเหมือนเด็กผู้หญิงห้าว
ๆ คนนึง
“ดูนี่สิ” ผมเอื้อมมือไปหยิบกรอบรูปของปิงแล้วยื่นให้เขาดู
กัสมองผมนิ่งก่อนรับเอาไป
“นายเคยถามผมตอนที่ย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ใหม่ ๆ ใช่ไหม
เคยถามผมว่าคนในรูปนี้คือใคร เคยถามว่าผมยิ้มให้กับอะไรทุกครั้งที่จ้องมองโทรศัพท์
และเคยถามว่าผมว่าทำไมผมถึงต้องหวงโทรศัพท์มือถือขนาดนั้น”
“เอย์?”
“น้องที่อยู่ในรูปนี้เขาชื่อปิง เป็นคนรักของผมเอง
และทุกครั้งที่กัสเห็นว่าผมยิ้มให้กับโทรศัพท์นั่นก็เพราะผมดูรูปของน้องเขา
ส่วนเหตุผลที่ผมไม่ยอมให้กัสแตะต้องมือถือผมเลยก็เพราะว่าภายในนั้นมีข้อมูลที่เกี่ยวกับปิงอยู่เยอะมาก
ทั้งรูปภาพทั้งข้อความ
ผมไม่อยากต้องมานั่งเสียใจถ้าหากบางทีเกิดเรื่องผิดพลาดเผลอไปแตะลบข้อความต่าง ๆ
ที่ผมเซฟเก็บไว้”
“เอย์?”
“กัสเคยถามผมใช่ไหม อาหารที่ผมไม่ชอบกินเลยคืออะไร
แล้วผมก็ตอบว่าข้าวผัดกุ้ง เพราะอะไรกัสรู้ไหมครับ เพราะว่าข้าวผัดกุ้งเป็นเมนูที่ปิงทำให้ผมกินได้แค่คนเดียว
เป็นอาหารที่ผมชอบทานที่สุด ผมไม่เคยคิดจะอนุญาตให้ใครคนอื่นมาทำเมนูนี้ให้ผมกินแทนปิงเลย
ไม่ว่าผมจะหิวแค่ไหน ไม่ว่าอาหารตรงหน้าจะล่อตาเพียงใด แต่ผมจะไม่คิดจะกินถ้าไม่ใช่ข้าวผัดกุ้งที่ปิงเป็นคนทำ”
“เอย์” กัสพึมพำเรียกผมอีกครั้ง ผมรู้ว่าผมอาจจะใจร้าย
แต่ผมคิดดีแล้วถึงได้พูด
ผมไม่อยากปล่อยไว้ให้นานกว่านี้เพราะคนที่จะเสียใจที่สุดก็คือเพื่อนคนนี้ของผม
กัสเป็นคนดีนะ เป็นเพื่อนที่ดีมาก ถ้ากำจัดความรู้สึกตรงนี้ออกไปได้
เราสองคนจะเป็นมิตรที่ดีต่อกันมากๆเลย
“ที่ผมพูดให้ฟังทั้งหมดนี้ก็เพราะอยากจะให้กัสรู้ไว้ว่า ผมมีคนที่ผมรักอยู่แล้ว
กัสเข้าใจผมใช่ไหมครับ”
กัสจ้องหน้าผมนิ่ง สายตาที่มองมาดูเศร้าลงไป ผมเอื้อมมือไปลูบแผ่นหลังเล็กอย่างปลอบโยน
พยักหน้าเบา ๆ
อยากให้กัสรู้ว่าระหว่างเราสองคนผมให้กัสได้มากที่สุดคือความรู้สึกของเพื่อนเท่านั้น
“กัสเป็นเพื่อนผม เราสองคนเป็นเพื่อนกัน” ผมย้ำลงไปอีก
กัสนิ่งไปครู่ใหญ่ ๆ จ้องหน้าผมนิ่งเหมือนกับลำคิดตรึกตรองอะไรบางอย่างผมปล่อยให้เขาจัดการกับความรู้สึกของตัวเองจนในที่สุด
“เอย์ตั้น” ริมฝีปากเล็กค่อยคลี่ยิ้มออกมาอย่างช้า ๆ กัสเรียกชื่อผมพร้อมกับยื่นมือออกมาขอเช็คแฮนด์
“เราสองคนเป็นเพื่อนกัน กัสจะจำไว้ครับเอย์”
ผมเอื้อมมือออกมารับมือเล็กของกัส
แม้จะไม่สามารถรู้ได้ว่าความรู้สึกของกัสที่มีต่อผมหมดไปแล้วหรือยังเขาจำกัดขอบเขตมันได้มากน้อยแค่ไหน
แต่ผมสบายใจแล้วที่ได้บอกออกมา อย่างน้อยให้เขาได้รู้ว่าถ้าหากเราจะคบหากันต่อก็อย่าได้คิดกับผมมากเกินกว่าคำว่าเพื่อนเลย
สุวรรณภูมิ, 2014
“โหยยยเมื่อยมากๆเลย นั่งยาวแบบนี้กัสไม่ค่อยชอบเลยอ่ะ เอย์แหละบอกให้เลือกทรานซิทก็ไม่เชื่อจะบินตรงอย่างเดียว”
ผมหันมองคนที่บ่นอุบอิบทั้งทุบหลังทุบขาทุบเอว
นวดให้ตัวเอง ขณะที่เรากำลังเดินออกมาจากด้านในเพื่อไปต่อแถวที่ด่านตรวจขาเข้าคิวไม่ยาวนะและไม่มีอะไรยุ่งยากเหมือนขาเข้าของนิวยอร์กอาจเพราะเราเป็นคนไทยอยู่แล้ว
“เอย์นัดที่บ้านให้มารับหรือเปล่า”
“คนรถที่บ้านจะมารับน่ะ” เรากำลังยืนคอยกระเป๋าที่สายพาน
ผมกับกัสเอารถมาเตรียมไว้คนละหนึ่งคันคือของเราสองคนเยอะพอกัน
ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเพราะเครื่องดีเลย์นิดหน่อย
เราสองคนจัดการกระเป๋าและสำภาระของตัวเอง
“นี่ไงเหตุผลที่ผมไม่ชอบทรานซิทเครื่องเลย”
เราสองคนเข็นรถออกมา กัสหันมามองประมาณว่าถามว่าผมจะพูดอะไร
“ก็เพราะถึงแม้ว่าเราจะได้แวะพักผ่อนในระหว่างเดินทาง
เรายังต้องมาเอากระเป๋าไปตรวจใหม่ทั้ง ๆ ที่ก็ไปเครื่องลำเดิม
ผมเข้าใจนะมันเป็นขั้นตอนของความปลอดภัยที่ถูกต้องแต่คือผมขี้เกียจต้องมายกกระเป๋าขึ้น
ๆ ลง ๆ ของเยอะด้วยเนี่ยสิ”
“ก็เลยต้องทนเมื่อยบินยาวสิบแปดสิเก้าชั่วโมง เจ็ทแล็คกันเป็นแถว”
“ก็ลุกเดินบ้างสิครับ ใครจะนั่ง ๆ นอน ๆ
ตลอดเหมือนคุณกันล่ะ เตี้ยไม่พอยังจะอ้วนลงพุงแล้วนะ
สิเก้าชั่วโมงที่อยู่บนเครื่องกินๆๆแล้วก็นั่งๆนอนๆดูแต่หนังอย่างเดียว
เดี๋ยวได้เป็นหมูตอนแน่”
“บ้าๆๆเอย์ตั้นนายพูดอะไรน่ะ” มือเล้กฟาดตันแขนผมเพี๊ยะๆๆเอาซะจนผมหลบแทบไม่ทันเลยผมเลยชี้หน้าคาดโทษไปกัสสะบัดหน้าทำงอนทันที
ผมไม่สนเหอะ
“นี่เราจะแยกกันตรงนี้เลยใช่ไหม”
“อือ ก็ใช่ดิ่”
“ใจร้าย เอย์ใจร้ายมาก”
“อะไรอีกอ่ะ”
“นี่จะไม่ถามกัสสักคำเหรอว่ากัสจะไปที่ไหนอะไรยังไงต่อ”
“ก็ไหนว่าจะกลับบ้าน ที่เชียงใหม่”
“ก็นั่นแหละ แต่กว่าเครื่องจะออกก็พรุ่งนี้เช้าไง
คืนนี้กัสจะไปนอนที่ไหนอ่ะ”
“...........”
“เอย์ตั้นสุดหล่อ”
“เรื่องของนายสิ”
“จิ๊ ไม่ถามเรื่องนี้ก็ได้ งั้นกัสถามอีกเรื่องได้ไหม”
“อะไร”
“ถ้ากัสไปสมัครงานที่
‘อัศวคอนสตรัคชั่น’ เอย์จะว่ายังไง”
ผมชะงักไปนิดหน่อยไม่คิดว่ากัสจะรู้ว่าผมเป็นคนของที่นั่น
“รู้เหรอว่าผมเป็นคนของที่นั่น” ผมหยุดเดินแล้วหันไปถาม
คือไม่เคยรู้เลยว่ากัสจะรู้เรื่องครอบครัวของผม
“ก็เพิ่งรู้ตอนคุณพ่อคุณแม่เอย์แวะไปหาเมื่อต้นปี
กัสเคยเห็นท่านในนิตยสารเกี่ยวกับงานเอ็นจิเนียริ่ง พอดูที่นามสกุลเอย์ก็เลยรู้”
“แล้วจะไปสมัครตำแหน่งอะไร”
“เลขาของรองประธานคนใหม่ดีไหมนะ”
“ล้อเล่นหรือไง”
“พูดจริงสิ
เดี๋ยวขอพักสักอาทิตย์แล้วจะขึ้นมาสมัครเลย
วิศวกรจบโทจากนิวยอร์กเหมือนกับท่านประธานเปี๊ยบแบบนี้
กัสว่าเอย์ต้องรีบรับแล้วล่ะนะ”
ผมหันมองคนพูดทันที ยกยิ้มส่งให้ “นี่รู้อะไรไหม
ผมไม่ได้จะไปทำงานที่นั่นหรอกนะ งานของผมอยู่ที่ อัศวออโต้อิมพอร์ต
ต่างหาก”
“อ้าวทำไมอ่ะ
เอย์เรียนจบวิศวโยธามาทำไมถึงจะไปทำงานอยู่ในศูนย์รถนำเข้าแบบนั้น”
“ก็เพราะว่าชอบไง”
“จ้าพ่อคนรวยเลือกได้นี่เนอะ”
“พูดเล่นน่า
ความจริงก็ต้องทำทั้งสองที่แหละ แล้วเอาไงนายจะไปสมัครจริงเหรอ”
“ก็น่าจะอ่ะนะ
ถึงตอนนั้นขอใช้เส้นรองประธานคนนี้ด้วยละกัน
ช่วยเห็นใจเพื่อนสนิทคนนี้ด้วยนะคร้าบบบ”
“หึหึ
ไม่รู้นะอันนี้ต้องขอดูความสามารถก่อน”
“กวนนักนะ”
“ธรรมดา
คนมีความสุข”
“ได้กลับมาหาแฟนอ่ะดิ่”
“แน่นอน”
ผมยิ้ม
ในที่สุดเราก็แยกย้ายกันกลับ
ผมนั่งหน้าบานอมยิ้มมาตลอดทาง คิดวางแผนไว้หมดแล้วว่าวันพรุ่งนี้ปมจะไปที่ไหนบ้าง
ผมจะตื่นแต่เช้าจะไปดักรอปิงอยู่ที่ร้านส้มตำมะละกอเล็กๆนั่น
ปิงจะเข้าไปช่วยแม่กับพี่ขมจัดร้านทุกวันก่อนไปเรียน ตอนนี้ผ่านไปสามปีแล้วปิงคงจะทำงานแต่ถึงอย่างนั้นเด็กดีอย่างมันก็ต้องไปช่วยแม่เปิดร้านเหมือนเดิม
แต่ถ้าผมไม่เห็นมันผมก็จะไปรอมันที่หอตอนเย็นปิงจะต้องกลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนออกไปเตะบอล
แต่ถ้ายังไม่เห็นอีก ผมจะไปรอมันที่บ้านเช่าในหมู่บ้านจัดสรรนั่น
ที่ๆเมื่อก่อนนี้แม่ปิงชวนผมไปทานข้าวด้วยบ่อย ๆ
และเมื่อถึงที่สุดแล้วผมยังไม่เห็นมันอีก ผมจะรออยู่ที่ห้องที่คอนโดของเรา
ห้องที่ผมกับมันใช้เวลาทุกนาทีร่วมกันอย่างมีความหมาย
ผมเชื่อว่าปิงยังจะแวะมาที่ห้องนั้นเสมอ
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนเราสองคนจะไม่มีใครเปลี่ยน
เพราะความทรงจำเหล่านั้นเราใช้หัวใจจดจำมันเอาไว้ด้วยความรู้สึกทั้งหมด
ผมไม่เปลี่ยนและปิงจะไม่ลืมผมคนนี้
....ก็เพราะเราสองคนสัญญากันไว้แล้ว....
“คุณเอย์ตื่นแต่เช้าเลยนะครับ”
ลุงโชคคนขับรถของคุณแม่ที่ทำงานกับครอบครัวเรามาตั้งแต่ผมเป็นเด็กทักขึ้นเมื่อผมเดินมาเอารถที่แกกำลังเช็ดทำความสะอาด
ผมอารมณ์ดีถึงขนาดเดินฮัมเพลงเลยล่ะ
“ผมใช้คันนี้ได้เลยเหรอครับ”
ผมมองดูรถสปอตหรูสีขาวที่คุณแม่เพิ่งจะเอากุญแจส่งให้ผมเมื่อวานนี้เห็นว่าเป็นของขวัญต้อนรับกลับบ้าน
“คุณท่านให้ผมเตรียมตรวจเช็คทุกอย่างไว้ให้คุณหนูเอย์ตั้งแต่เมื่อสองสามวันที่แล้วแล้วล่ะครับ”
ลุงโชคยื่นกุญแจส่งให้ผมส่งยิ้มขอบคุณแกไป
ถนนหนทางรถลาที่กรุงเทพยังคงติดอยู่ไม่เปลี่ยนแม้ว่าวันนี้จะเป็นวันอาทิตย์
ผมรู้สึกได้เลยนะสามปีมานี่กรุงเทพทำไมมีรถใหม่ๆเยอะขึ้นมากเลย
ขับไปทางไหนป้ายแดงเต็มไปหมด คนรวยเยอะขึ้นหรือว่าหนี้สินเยอะขึ้นกันแน่ก็ไม่รู้
หึหึ
ผมจอดรถลงที่เดิม
หน้าร้านที่คิดว่าควรจะเป็นร้านส้มตำอีสานของแม่ปิง แต่เพ่งมองกี่ครั้งๆก็ไม่ใช่
มันกลายเป็นร้านสะดวกซื้อชื่อดังไปได้อย่างไรกัน
ผมเดินออกมาดูมองซ้ายมองขวาก็คิดว่าตัวเองเข้าซอยไม่ผิด แน่ ๆ ที่ตรงนี้คือที่ๆผมยังจอดรถแช่ไว้อยู่เลยเมื่อสองปีที่แล้วตอนมารับปริญญาแล้วมาแอบดูมัน
ใจผมเริ่มเสีย
คือไม่เคยคิดเลยว่าร้านจะถูกย้ายออกไปแล้ว ผมคิดไปถึงคุณแม่ผมทันที
คำพูดที่ท่านขู่ผมไว้เรื่องบ้านปิงยังคงดังก้องอยู่ในหัว ผมไม่ได้ผิดสัญญา
ผมไม่เคยได้ติดต่อมันเลย คุณแม่คงไม่ทำแบบนั้น ผมขึ้นรถแล้วขับออกไปที่หอพักปิงทันที
เดินขึ้นไปเคาะหาที่ห้องเลย ปรากฏว่าคนที่มาเปิดเป็นเด็กผู้ชายอายุน่าจะน้อยกว่าปิงสักสองสามปีได้
เขาถามผมว่ามาหาใครพอผมบอกชื่อมันเด็กนั่นบอกไม่รู้จัก
ผมมองเห็นสภาพการจัดข้าวของภายในห้องเลยรู้ว่าไม่ใช่ห้องที่ปิงอยู่แน่
ผมลองถามดูว่าน้องเขาย้ายมาอยู่นานยังเขาบอกย่ายมาได้ปีนึงแล้ว
ผมตัวชาไปหมด
รีบลงมาจับรถขับไปที่บ้านจัดสรรในหมู่บ้านเล็กๆของแม่ปิง
ทาวเฮาส์หลังที่แปดที่ผมเคยมานั่งกินข้าวตำน้ำพริกทอดไข่
เก็บข้าวของที่มาจากร้านช่วยปิงแม่ปิงและพี่ขม
ตอนนี้กลายเป็นบ้านของใครสักคนที่ไม่ใช่แม่ปิงแน่นอนแล้ว ผมคว้าเอารั้วเตี้ย ๆ
นั้นไว้เพื่อทรงตัวหลังป้าเจ้าของบ้านเขาบอกว่า
“เจ้าของเก่าเขาย้ายออกไปได้เกือบจะปีแล้ว” พอผมลองถามว่าย้ายไปอยู่ที่ไหนแกก็ตอบว่าไม่รู้
“พ่อหนุ่มลองถามบ้านหลังข้าง
ๆ ดูสิ เผื่อจะมีใครรู้บ้าง”
ผมลากขาที่หนักอึ้งไปกดกริ่งถามบ้านหลังที่อยู่ข้าง
ๆ กันหลังแล้วหลังเล่า แต่คำตอบที่ได้รับก็มีแต่คนบอกว่าไม่รู้
“เคยได้ยินน้าศรีแกบอกเหมือนกันว่าจะย้ายไปแต่พอถึงเวลาจริง
ๆ ย้ายไปแบบรวดเร็วมากเลย
เจ้าปิงลูกชายแกได้ดิบได้ดีถึงขนาดสร้างบ้านเปิดร้านใหม่ให้แกเลยนะ”
คุณน้าที่เดินผ่านมาแล้วได้ยินคุณป้าที่ผมเรียกถามเป็นหลังที่ห้าพูดขึ้น ผมรีบหันมอ
“แล้วคุณน้าพอจะทราบไหมครับว่าพวกเขาย้ายไปอยู่ที่ไหนกัน”
“เอออันนี้ก็ไม่รู้
เห็นขมเขาเคยบอกไว้ว่าไม่ไกลจากที่นี่นักหรอก
น้าจำชื่อไม่ได้แล้วขอโทษด้วยนะพ่อหนุ่ม”
คุณเชื่อไหมผมขับรถวนไปวนมาตามหามัน
แต่คือยังไงก็ไม่เจอไม่เห็นและไม่มี ผมนั่งคิดแล้วคิดอีกว่าปิงจะไปอยู่ที่ไหน
มีอะไรทำไมถึงต้องย้ายที่อยู่ย้ายร้านถึงขนาดนี้
เวลาแค่สองสามปี เปลี่ยนอะไรๆได้มากมายขนาดนั้น?
ผมไม่รู้รถมาจอดลงที่ลานจอดของคอนโดผมได้อย่างไร
รู้ตัวอีกทีคือผมก้าวลงมาแล้วเดินไปกดเรียกลิฟต์
ห้องของเรา
ห้องของผมกับมัน
ภาวนาขอให้มันนั่งอยู่ข้างในนั้น
ปิงมีกุญแจห้องผม
แกร๊กก กกก
ทุกอย่างมืดสนิท
ใจผมหายวาบ หน้าชาตัวชาไร้เรี่ยวแรง ลากขาที่หนักอึ้งและหัวใจที่อ่อนล้าเปิดเข้าไปภายในห้องนอนใหญ่
เมื่อกดสวิทไฟมองเห็นเตียงสีขาวสะอาดถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบ
ที่โต๊ะทำงานข้าวของที่วางอยู่ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมเหมือนกับเมื่อสามปีที่แล้ว ผมสะดุดตากับปฏิทินตั้งโต๊ะสีสันและรูปร่างแปลกตา
สามปีที่ผมไม่ได้อยู่
ปิงคงซื้อหาปฏิทินอันใหม่มาเปลี่ยนไว้ให้
แต่เมื่อสายตาผมโฟกัสไปที่หัวของเดือนในหน้าที่เปิดอยู่ใจผมแทบสลายเมื่อปรากฏว่ามันเป็นเมื่อสองเดือนที่แล้ว
รอยขีดฆ่าล่าสุดอยู่ที่วันสุดท้ายของเดือนพอดี
ตอนนั้นเองผมถึงได้ตระหนักแล้วว่า
ปิงรอผมจนกระทั่งถึงเมื่อสองเดือนก่อน มันไม่ได้แวะมาที่นี่อีกเลยนับจากวันนั้น
ผมกอดปฏิทินไว้แนบอกจนแน่นมือไม้สั่นไปหมด ประคองหัวใจที่หนักอึ้งออกมานั่งอยู่ที่โซฟาด้านนอก
วิวเจ้าพระยามองจากมุมนี้ยังคงสวยเหมือนเมื่อสามปีที่แล้วไม่เปลี่ยนตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ที่ผมชอบอุ้มแล้วปิงมันก็ชอบมาแย่ง
ยังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม ห้องทั้งห้องที่เปิดไฟจนสว่างจ้าแต่ทำไมผมถึงมองเห็นทุกอย่างพร่าเลือนลงมากเหลือเกิน หยาดน้ำใสที่คลอขึ้นมาจนในที่สุดก็ล้นรินตกออกมาเป็นสาย
ผมเหลือทางเลือกสุดท้าย ล้วงเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดเชื่อมต่อ
หมายเลขที่ผมไม่เคยโทรหาเลยตั้งแต่เมื่อสามปีก่อน ผมประหม่าที่จะพูดคุยกับมันไม่รู้ว่าจะเอ่ยคำพูดอะไรก่อนหรือหลัง
ผมรู้ทุกอย่างเป็นผมทั้งนั้นที่ผิด ผมทิ้งไป ผมไม่เคยติดต่อปิดกั้นมันทุกอย่าง ผมผิด
ผมผิดเอง หลับตาลงแน่น อธิฐานขอให้เป็นเสียงสดใสของมันที่ตอบรับผม....คนนี้
V
V
V
V
V
V
V
V
V
V
V
“หมายเลขที่ท่านเรียกยังไม่เปิดใช้บริการ”
เธอยังคิดถึงฉันทุกนาทีอยู่หรือเปล่า
เธอยังจำเรื่องเราในวันวานได้หรือไม่
เธอยังมีใจให้ฉันคนเดียว ยังรอฉันแค่คนเดียว
เธอยังรักกันเหมือนเดิมอยู่ใช่ไหม
ช่วยบอกให้รู้ที......
Tbc.