# 23 ก็ยังห่วงว่ารักจริง..อาจจะแพ้ใกล้ชิดกัน
เพราะว่าห่างเหลือเกิน
เพราะฉันอยู่แสนไกล
บอกตรงๆหัวใจฉันยังหวั่น
ก็ยังห่วงว่ารักจริงอาจจะแพ้ใกล้ชิดกัน
อาจจะทำทุกอย่าง.........เปลี่ยนไป
“ปิงครับอย่าลืมเก็บจานโต๊ะสองให้แม่นะลูก”
“ครับแม่”
ในทุกๆวันชีวิตผมก็ยังคงดำเนินไปในแบบเดิม
ตอนเช้าเข้ามาช่วยแม่เปิดร้านบางวันของหมดเยอะผมต้องไปช่วยคุณนายกับพี่ขมหิ้วของที่ตลาด
อยู่ช่วยงานไปจนถึงช่วงเย็น หลังจากนั้นผมจะออกไปเตะบอลกับพวกไอ้บาสไอ้วุฒิ กินข้าวที่ร้านข้างทางก่อนจะแวะเข้าห้องเช่าเล็กๆแล้วคลุกตัวอยู่ที่หน้าจอเขียนโปรแกรมต่อเนื่องจนดึกดื่น
แต่ช่วงนี้ไม่ค่อยมีงานหรอกนักศึกษาปิดเทอมกันหมดผมเลยค่อนข้างว่าง
คืนนี้ดึกมากแล้วผมเอนตัวลงที่ฟูกนอนอันเก่าของผม ดึงผ้าห่มโดเรมอนสีฟ้าตุ่นๆขึ้นมาแล้วใช้ขากอดมันไว้ต่างหมอนข้างขณะที่ในมือกำลังกดโทรศัพท์มือถือยิกๆ อีกแค่อาทิตย์เดียวผมจะเปิดเรียนแล้ว ผมกับวุฒิและบาส เราไปสมัครเรียนระดับปริญญาตรีสองปีสำหรับนักเรียนที่จบสายอาชีพมาเมื่อวันก่อน เป็นมหาวิทยาลัยเอกชนไม่ใหญ่นักแต่ก็พอมีชื่อเสียง ค่าเทอมแพงหน่อยแต่ผมพอมีเงินเก็บสำรองไว้แล้ว แม่โวยวายใหญ่พอรู้ว่าผมไม่ยอมให้เธอจ่าย ผมเลยบอกให้แม่เก็บไว้ให้ผมแทน เธอถึงได้เย็นลง
มือผมเลื่อนไปที่ไอจีเช็คข่าวใครคนนั้นที่ผมฟอลไว้ เมื่อไม่เห็นว่ามีความเคลื่อนไหวผมเลยเปิดเช็คไลน์ดูอีกทาง ไม่มีข้อความอะไรส่งมาเลยจริง ๆ คือผมก็รู้ว่าไม่มีแต่แรกแล้วล่ะ แต่ด้วยความเคยชินผมกดเช็คข้อมูลของพี่เอย์ทุกอย่างทุกคืน พี่เอย์ไม่เล่นเฟสและไม่เล่นโซเชี่ยลแคม ทวิตก็ไม่เล่นมันเคยบอกของพวกนี้ไร้สาระ ผมส่งเมลไปหาเป็นสิบๆรอบแต่ทุกอย่างก็คือเงียบ มือถือโทรเข้าทีไรสายก็ตัดไปทุกครั้ง ผมไม่รู้พี่เอย์เป็นอะไร อาจจะเครื่องจะเสียหรือเบอร์ผมจะมีปัญหา แต่ตลอดสามอาทิตย์ที่ผ่านมาไม่ว่าผมจะพยายามติดต่อพี่เขายังไงก็ติดต่อไม่ได้เลย
“มึงก็ลองโทรไปถามพี่ซีซ่าร์เขาดูดิ่วะ ถามดูอยากรู้อะไรก็ถาม มานั่งคิดไปคนเดียวแบบนี้ทุกวันเดี๋ยวได้เป็นบ้าตาย กูกับไอ้บาสมีแต่จะกระทืบซ้ำนะบอกไว้ก่อน”
ผมตัดสินใจต่อสายหาพี่ซีซ่าร์ตามที่ไอ้วุฒิมันเคยแนะนำไว้ทันที คือผมมีเบอร์พี่เขาตั้งแต่เขาชวนผมให้ไปทำงานด้วยคราวนั้น ผมอยากจะถามเรื่องพี่เอย์ เอาจริง ๆ เลยนะผมคิดมาตลอดพี่เอย์คงกำลังปรับตัว กำลังยุ่งอยู่กับที่ทางใหม่ ๆ ผมไม่อยากจะรบกวนพี่เขา แต่นี่มันสามอาทิตย์มาแล้วที่ไร้การติดต่อใดๆทั้งสิ้น ผมคงต้องถามดูแล้วล่ะว่าเกิดอะไรกับพี่เอย์ไหมยังไง? หรือว่าพี่เอย์ไม่สบาย หรือว่าจะมีอะไร ผมก็คิดไปสารพัด
“ครับสวัสดีครับพี่ซ่าร์
ผมปิงนะครับ” พอพี่เขารับสายผมเลยบอกไป กลั้นใจรอฟังว่าพี่เขาจะจำผมได้รึเปล่า แล้วในที่สุดพี่ซ่าร์ก็ตอบกลับมา
“อ้าวว่าไงปิง
โทรหาพี่ดึกเชียวนะมีอะไรรึเปล่า”
“เอ่อครับ
ใช่ครับผมมีธุระ คือผมอยากจะถามเรื่องพี่เอย์น่ะครับ คือผม....”
“อ๋อไอ้เอย์เหรอ
เมื่อกี้มันก็เพิ่งโทรมา มันสบายดีปิงไม่ต้องห่วงหรอกตอนนี้เห็นว่าลงเรียนภาษาอยู่
อีกสักเดือนสองเดือนก็คงจะเปิดเรียนแล้วล่ะ ปิงคิดถึงมันเหรอ”
ผมคว้างไปทันทีที่ได้ยินพี่ซ่าร์บอกว่าพี่เอย์เพิ่งจะโทรมาหา
มันคืออะไร? โทรหาพี่ชายได้ขณะที่ไม่เคยมีสักครั้งเดียวที่จะโทรมาหาผม นี่ผมน้อยใจเลยนะ
ความคิดต่าง ๆ สารพัดตีตื้นขึ้นมาในหัว จุกมากกับคำพูดของพี่เขา
“ปิง! มีอะไรรึเปล่า ทำไมจู่ ๆ เงียบไป” พี่ซ่าร์เรียกเสียงดัง
ผมสะดุ้งนิดๆ
“อ้อขอโทษครับ พี่ซ่าร์ครับผมขอถามอะไรอีกอย่างได้ไหม
พี่เอย์ไปเรียนที่ไหนเหรอครับ”
“อ้าว มันไม่ได้บอกปิงหรอกเหรอ” เสียงพี่เขาแปลกใจเล็กน้อย
“.......เปล่าครับ”
“มันอยู่ที่นิวยอร์ก เรียนที่นั่นแหละ”
“แล้วพี่เอย์จะกลับมาเมื่อไหร่ พี่ซ่าร์รู้ไหมครับ” พี่ซ่าร์เงียบไปทันที
ได้ยินเสียงจอแจมาจากทางฝั่งนั้น พี่เขาคงกำลังทำงานอยู่
อาชีพดารานักร้องงานไม่เป็นเวลาเลยจริง ๆ
“อันนี้พี่ยังบอกเราไม่ได้นะปิง
แต่สิ่งที่พี่อยากจะพูดกับเรามากที่สุดตอนนี้ก็คือ พี่ขอให้ปิงอดทนแค่นั้นพอ
รู้ไว้ว่าเอย์มันก็กำลังพยายามของมันอยู่ อดทนไว้นะไอ้น้อง
เดี๋ยวพี่ต้องวางแล้วเขามาตามเข้าคิวถ่ายแล้ว ไว้คุยกันนะ”
“อ้อเดี๋ยวครับ ผมขอถามอย่างสุดท้ายพี่”
“ว่าไงครับ”
“พี่เอย์ยังใช้เบอร์เดิมอยู่ไหมครับ หรือว่าพี่เขาเปลี่ยนเบอร์ไปแล้ว”
“เบอร์เดิมสิ เอย์มันไม่เคยเปลี่ยนเบอร์มือถือหรอกใช้อยู่เบอร์เดียวนั่นแหละ”
แล้วสายก็ตัดไป
ความรู้สึกน้อยใจเสียใจห่าไรก็ไม่รู้ตีตื้นขึ้นมาเต็มไปหมด ปกติผมไม่เป็นคนขี้ใจน้อยน้อยใจเก่งแบบนี้นะ
แต่ช่วงนี้แม่งหัวใจมันอ่อนไหวอ่อนแอมากจริง ๆ แค่โดนสะกิดเรื่องพี่เอย์นิดเดียวผมไปเลยอ่ะ
ถึงขนาดอิจฉาพี่ซ่าร์ที่ได้คุยกับพี่เอย์ แม่งบ้าอะไรวะทำไมถึงโทรหาพี่ชายได้แต่โทรมาหาผมสักนิดไม่ได้เลยหรือ
ผมคนนี้ไม่ได้มีความหมายอะไรกับมันเลยรึไง ทั้ง ๆ
ที่เราสองคนทำเรื่องนั้นกันไปแล้วแท้ ๆ
แบบนี้มันก็เหมือนกับผมโดนฟันแล้วทิ้งเลยนี่หว่าแม่ง
พูดแล้วน้ำตาแม่งพาลจะไหล
ผมลองเปิดดูรูปสุดท้ายของมันในไอจีอีกครั้ง
เป็นรูปที่มันกับผมถ่ายด้วยกันที่เขาใหญ่
เรานอนเล่นกันอยู่ที่เตียงพี่เอย์กอดคอผมไว้กดถ่ายแบบไม่รู้ตัวเลยหน้าตาผมตลกมากขณะที่มันน่ะหล่อเชียว
ผมมองดูแล้วอดที่จะคิดถึงคืนวันเก่า ๆ ของเราไม่ได้ เมื่อห้าวันก่อนผมลงเป็นคอมเม้นต์ทิ้งไว้
แต่ถึงจะกลับมาเปิดเช็คทุกคืน ทุกอย่างกลับหยุดนิ่งอยู่แค่นั้น
ไม่มีการอัพเดทหรือตอบกลับอะไรอีก ทุกอย่างหยุดนิ่งมากจริง ๆ
ผมคิดว่าผมจะลองทิ้งข้อความไว้อีก คือผมไม่เข้าใจว่ะ ตลอดสามสัปดาห์ที่ผ่านมาผมไลน์ไปหาพี่เอย์ทุกวันเลยนะ
แต่ทำไมไม่เคยขึ้นว่าถูกอ่านแล้วเลยสักครั้ง หน้าไทม์ไลน์ก็ไม่เคยอัพเดท
ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้หรอก ผมคิดจนได้คำตอบให้ตัวเองแล้วว่าจริง ๆเป็นผมต่างหากที่ไม่สามารถมองเห็นหน้าไทม์ไลน์ของพี่เขาได้ ไม่ว่ามันจะโพสต์อะไรผมก็จะไม่สามารถมองเห็น ไม่สามรถรับรู้
ผมหลับตาลงแน่นกำโทรศัพท์จนมือผมสั่น เจ็บปวดหัวใจมาก คือทุกๆอย่างแสดงให้เห็นชัดๆแล้วว่าพี่เอย์บล็อคไลน์ผม แล้วที่สำคัญยิ่งกว่านั้นแม้แต่เบอร์โทรผม.....ก็ถูกบล็อคไว้ไม่ต่างกันเลย
....เพราะอะไร??....
แต่ผมไม่ท้อหรอก....ผมก็ยังเป็นผม...ยังเพียรส่งข้อความถึงพี่เขาทุกวัน
แม้ว่าจะไร้การตอบกลับผมก็ยังดึงดันที่จะส่ง
แม้ว่าทุกอย่างของเราจะค่อยห่างกันไปเรื่อย ๆ แล้ว
....หนึ่งเดือนผ่านไป....
“พี่เอย์ครับ อยู่ทางนั้นเป็นยังไงบ้าง พี่ปรับตัวได้หรือยัง
ทานข้าวได้ไหมครับ วันนี้พี่กินข้าวกินกับอะไรเหรอ เล่าให้ผมฟังบ้างสิ พี่น่ะอย่ากินแต่อาหารแบบเดิม ๆ นะ
ลองกินอะไรใหม่ ๆ ดูบ้าง ที่นั่นมีอะไรอร่อยเหรอครับ พี่ยังชอบกินข้าวผัดกุ้งอยู่เหมือนเดิมไหม”
....สองเดือนผ่านไป....
“พี่เอย์ครับ เมื่อวานผมไปตลาดกับแม่กับพี่ขม เจอมะเขือเทศลูกใหญ่ๆตั้งเยอะแน่ะ ผมคิดถึงพี่มากเลยนะเดี๋ยวนี้พี่ได้กินมะเขือเทศบ้างหรือเปล่า ที่นั่นมีขายไหม ผมไม่ได้ล้างแช่ตู้เย็นไว้ให้พี่แล้ว พี่ล้างเองต้องล้างให้สะอาดนะครับ”
....สามเดือนผ่านไป....
“พี่เอย์ครับ วันนี้ผมแวะไปที่ห้องพี่มาด้วย ทำความสะอาดไว้ให้เรียบร้อย ปฏิทินที่พี่ขีดฆ่าทุกวัน ตอนนี้ผมทำต่อให้แล้วนะผมจะเป็นคนขีดฆ่ามันเอง ผมจะขีดจนกว่าจะถึงวันที่พี่กลับมาเลยนะครับ”
....ห้าเดือนผ่านไป....
“พี่เอย์ครับ คืนนี้ฝนก็ตกอีกแล้ว
ลมพายุจากที่ไหนนะเข้ามาถล่มเมืองไทย พี่อยู่ที่นั่นเจอฝนบ้างหรือเปล่า
ถ้ายังไงออกไปข้างนอกอย่าลืมพกร่มไปด้วยนะครับพี่”
....เจ็ดเดือนผ่านไป....
“พี่เอย์ครับคืนนี้ท้องฟ้ามีดาวเต็มไปหมดเลย อยู่ทางนั้นพี่ได้ออกมามามองดาวบ้างไหมครับ หรือว่าตอนนี้เราอาจจะกำลังมองดาวดวงเดียวกันอยู่ พี่คิดถึงผมบ้างไหม ผมอยู่ที่นี่คิดถึงพี่มาก พี่คงจะเปิดเรียนแล้วใช่ไหมครับ มีเพื่อนเยอะไหม มีคนไทยเหมือนกันหรือเปล่า ผมเข้าเรียนมหาลัยแล้วนะ แค่สองปีก็จบแล้ว พี่ล่ะครับ สองปีจบไหม ถ้าจบแล้วพี่จะกลับมาเลยหรือว่าจะทำงานอยู่ที่โน่นก่อน”
....เก้าเดือนผ่านไป....
“พี่เอย์ครับที่นี่จวนจะเข้าหน้าหนาวแล้วนะ ที่นั่นเป็นยังไงบ้างหนาวหรือยัง พี่ต้องห่มผ้าหนาๆนะเวลานอนจะออกจากบ้านก็ต้องใส่เสื้อโค๊ดตัวใหญ่ๆด้วย ผมเคยดูในทีวีบางทีหนาวจนหิมะตกเลยพี่ต้องรักษาสุขภาพนะครับ”
....สิบเอ็ดเดือนผ่านไป....
“พี่เอย์ครับ วันนี้ผมสอบเสร็จแล้วนะทำได้เฉยเลย คึคึ พี่ล่ะครับจะสอบรึยัง อ่านหนังสือหนักเลยใช่ไหม พยายามเข้านะ จบไวๆล่ะ จบแล้วจะกลับมาเลยรึเปล่า วันนี้ผมก็แวะไปที่ห้องพี่อีกนะ เมื่ออาทิตย์ที่แล้วไม่ได้แวะเข้าไปเลยแต่วันนี้ผมเข้าไปเก็บกวาดไว้เรียบร้อย เผื่อพี่กลับมาวันไหนจะได้เข้าอยู่ได้เลยทันทีไง”
.....ในที่สุด.......หนึ่งปีผ่านไป....
“พี่เอย์ครับ ผมปิดเทอมแล้วนะหมาบาสมันชวนผมไปปีนภูด้วยล่ะ วันหยุดยาวแบบนี้พี่จะได้กลับมาบ้านเราไหมครับ”
“พี่เอย์ครับ ผมรอเก่งนะ พี่รู้ยัง??”
และสุดท้าย.....
“ถ้าไม่รบกวนพี่จนเกินไป ติดต่อกลับมาหาผมบ้างนะ...................โคตรคิดถึงพี่เลยว่ะ”
.
.
“ลูกพี่ปิ๊ง~!” เสียงที่ดังขึ้นจากด้านหลังดึงความสนใจผมได้ทันที
กำลังยืนรื้อสายลำโพงที่พันกันยุ่งเหยิงเลยต้องวาง เป็นหมาบาสมันมาหาผมที่ร้าน
“แม่หวัดดีคร้าบ พี่ขมหวัดดีคร้าบ”
มันยกมือขึ้นไหว้ในแบบของมัน
“จ้า
ไหว้พระเถอะลูก บาสมาหาปิงเหรอครับ” แม่รับไหว้หมามันแล้วหันมายิ้มให้ผม
ไอ้บาสมันเรียนปอตรีต่อที่เดียวกับผมนั่นแหละครับ พวกเราจบปีหนึ่งกันแล้วเหลืออีกแค่ปีเดียว
นี่ก็ใกล้จะเปิดเทอมมันเพิ่งกลับมาจากบ้านที่ประจวบฯ
ส่วนไอ้วุฒิเห็นว่าอีกสองสามวันมันถึงจะกลับมา
“หมาบาสมึงมาทำไมวะ”
ผมถามมันพร้อมพันๆสายลำโพงเก็บ คือวันนี้คงจะรื้อไม่เสร็จแล้วแน่ ๆ หมามันมากวน
“ก็จะมาชวนพี่ปิงไปซื้อของเป็นเพื่อนอ่ะดิ่
บาสขออนุญาตินะครับแม่นะครับพี่ขม” มันทำหน้าอ้อน ๆ ไปไหว้ปรกๆขอแม่อยู่ข้าง ๆ
ครกส้มตำ คุณนายยิ้มใหญ่เลย สงสัยจะขำท่าทางทะเล้นๆของมัน
ความจริงบาสมันอายุเท่าผมเลยนะแต่มันเรียกผมว่าพี่จนชินติดปาก แผลงมาจากคำว่า ‘ลูกพี่’ ของมันน่ะแหละ
ผมกับมันเลยจับรถมอไซด์แล้วขับออกมา รถมันนะแต่ผมนี่แหละเป็นคนขับ
โถถถถถกูเป็นลูกพี่แต่เสือกขับรถให้มันนั่ง เจริญเหอะ
“มึงจะซื้ออะไรที่ไหน”
ผมถามโต้ลม ขับซิกแซกเข้าซอยโน้นออกซอยนี้คือไม่ได้ใส่หมวกกันน็อค อิอิ
“สยามพี่
ซื้อรองเท้า กระเป๋า กางเกงใน”
“หึหึ
ไอ้เหี้ย!” ผมด่ามัน ถองศอกกลับไปที มันซุกหลังผมกอดแน่นเลย
ไอ้หมานี่มันน่ะจอมกวนตีนเลย ใครเขาให้พูดล่ะจะซื้อกางเกงในมันมาบอกผมเพื่อ??
แล้วผมก็พามันไปแปปเดียวครับผมชินทางแล้ว
สยามเที่ยวบ่อย ก็แค่เดินนะ ไม่ได้ซื้อหรอก วินโดว์ชอปปิ้งไง
“รถเยอะเหี้ยเลยว่ะ”
ผมบ่น เออวันนี้รถแถวนี้แม่งติดบรมเลย
คือไรวะ เลือกวันผิดมาจริง ๆ รู้งี้นั่งบีทีเอสมาดีกว่า
“อ๋อวันนี้จุฬาเขารับปริญญาไง
เราเลี่ยงไปเส้นนั้นดิ่พี่” มันชี้ๆ “อะไรเนี่ยลูกพี่อยู่กรุงเทพแต่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลยอ่อ”
ผมค่อยชะลอรถขับให้ช้าลงแล้วเปลี่ยนเส้นทางนิดหน่อยมองไปด้านที่รถติดหนักๆ
จริงสินะ...นี่ก็ครบปีแล้วที่พี่เอย์ไป
ถ้าตอนนี้พี่เขาอยู่คงจะได้มารับปริญญาในวันนี้ด้วย
แล้วผมคนนี้ก็อาจจะได้เอาดอกไม้มาแสดงความยินดีกับพี่เขาด้วย......มั้งนะ
ผมสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกไปตั้งใจขับรถพาไอ้บาสมันเดินช้อปจนขาลาก
เข้าร้านโน้นออกร้านนี้วันนี้คือคนเยอะมากมันก็ได้ของมาเยอะเหมือนกันนะแต่ผมไม่ช่วยมันถือหรอกแกล้งมัน
ขับรถให้นั่งก็ดีแค่ไหนแล้วเนี่ย ปกติต้องเป็นไอ้วุฒิไม่ใช่ไงที่ต้องพามันมา
อยู่ๆอะไรไม่รู้เสือกอยากมาซื้อของวันนี้ได้
อย่าถามนะว่าผมได้อะไรบ้าง
เพราะผมไม่ได้ซื้ออะไรหรอกครับ ช่วงปิดเทอมหรือเปิดเทอมใหม่ๆเนี่ยงานเขียนโปรแกรมไม่ค่อยมีผมเลยต้องประหยัดไว้ก่อน
คุณอาจจะคิดว่าอ้าวแล้วเงินที่พี่เอย์ให้ผมไว้ล่ะ?
คือผมไม่เคยมีความคิดว่าจะใช้เลยนะเอาจริง ๆ ผมจะรอจนถึงวันที่พี่เขากลับมาแล้วจะเอาไปคืน
ผมรู้สึกว่ามันมากเกินไป
แต่ที่สำคัญคือเมื่อวันนั้นมาถึงผมจะได้มีข้ออ้างไปขอพบพี่เขาได้
ถึงตอนนั้นพี่เอย์คงจะเป็นผู้บริหารใหญ่โตนั่งเก้าอี้ประธาน
พี่เขายังจะจำหมาวัดตัวนี้ได้อยู่ไหมนะ เพราะผมไม่รู้เลยจริงๆว่าตอนนี้ทุกๆอย่างของเรายังเหมือนเดิมอยู่ไหม
พี่เอย์ไม่ติดต่อกลับมาเลย ผมไม่รู้ข่าว
ไม่อะไรเชื่อมโยงเรื่องพี่เขาเลยสักอย่าง
“กลับมาแล้วครับแม่”
เรากลับมาถึงกันเกือบทุ่ม
ดีนะวันนี้แม่ปิดร้านช้าคุณนายกับพี่ขมเคลียร์ทุกอย่างกำลังจะออกไปกันแล้ว
“บาสล่ะลูก”
“มันไปแล้วฮะ
ฝากมาสวัสดีแม่ด้วย สงสัยดีใจได้ของเต็มมือ ปิงน่ะสิเดินจนปวดขาแล้วเนี่ย”
ผมแกล้งบ่น ฟ้องแล้วโผเข้าซุกเอวแม่ เพราะแม่ใจดีเอาน้ำเย็น ๆ ใส่แก้วยื่นส่งมาให้ผม
ผมจัดการซดอึกๆๆๆจนหมดเกลี้ยง
“เออปิงแม่เพิ่งนึกออก”
แม่ทำหน้าตาตื่น ๆ ผมเลยเลิกคิ้วถามไป
“เมื่อกี้แม่เห็นเหมือนรถคุณเอย์เจ้านายเก่าลูกเลยนะ
มาจอดรออยู่ตรงโน้นแน่ะที่เดิมที่พี่เขาเคยจอดนั่นแหล่ะ”
ผมชะงักทันทีแก้วในมือแทบร่วง
พอตั้งสติได้ผมรีบวิ่งออกไปดู มองหาจนลูกตาจะทะลักแต่ก็ไม่เห็นมีรถคันที่แม่ว่าเลย
ไม่มีรถอะไรจอดอยู่แถวนั้น ที่ๆพี่เอย์ใช้จอดรถไว้เสมอเวลามาหาผมที่นี่
แม่เองก็ออกมายืนอยู่ข้าง ๆ
“อ้าวไม่เห็นแล้ว
เมื่อกี้ยังอยู่เลยนะปิง แม่ว่าแม่จำไม่ผิดเมื่อวานก็ทีนึงแล้ว พอจะเดินออกไปดูลูกค้าก็เข้ามาก่อนทุกที”
ผมกวาดตามองจนทั่วอีกครั้ง
ความรู้สึกคิดถึงท่วมท้นตีตื้นขึ้นมาในอก หัวใจผมเจ็บขึ้นมาอีกแล้วผมต้องข่มทุกความรู้สึกเอาไว้
“เป็นไปไม่ได้หรอกครับแม่
พี่เอย์เขาอยู่ไกลๆโน่นนนนนแน่ะ อเมริกาโน่นจะมาอยู่แถวนี้ได้ยังไงกัน”
แม่คงรู้ว่ารอยยิ้มของผมขมขื่นเพียงใด
มือเล็กของแม่ยังลูบหัวผมปลอบใจอย่างเคย ช่วงที่พี่เอย์ไปแรก ๆ
แม่ดูออกว่าผมเหงามากก็ได้คุณนายกับพี่ขมนี่แหละที่ช่วยให้กำลังใจรวมถึงหมาบาสกับหมาวุฒิไอ้สองตัวนั่นก็เป็นแรงกระตุ้นชั้นดีให้ผมกลับมาเป็นหมาปิงที่ร่าเริงคนเดิมได้
ไม่เป็นหมาหงอยเหมือนช่วงแรก ผมไม่รู้ว่าแม่รู้เรื่องผมกับพี่เอย์ไหมแต่สายตาคุณนายคือให้กำลังใจผมมาก
ผมคิดนะ เรื่องบางอย่างแม่คงรู้แต่อาจจะไม่พูด รอดูอยู่ห่าง ๆ แค่วันไหนที่ผมเสียหลักจะล้มลงแม่จะคอยเข้ามาประคองเพื่อให้ผมกลับมายืนได้เข้มแข็งเหมือนเดิมได้
แม่ผม....เป็นแบบนี้เสมอ
ผมคว้าเอามือแม่มาจับไว้
ล้วงโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดโทรออกหาเบอร์ที่ผมเฝ้าโทรหาอยู่ทุกๆคืน แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานจนเป็นปีแล้วก็ตาม
.....สัญญาณถูกตัดไปอีกแล้ว....
เห็นไหมล่ะว่าไม่ใช่ เป็นไปไม่ได้หรอกที่พี่เอย์จะมาอยู่แถว ๆ นี้
เพราะถ้าพี่เขามา พี่เอย์จะต้องแวะเข้ามาหาผมสิ พี่เอย์ไม่ทำอย่างนั้นหรอกจะไม่หนีไปโดยที่ไม่บอกอะไรผมเลย
พี่เอย์รักผมนะ...เราสองคนยังรักกันอยู่......ผมเชื่ออย่างนั้น
รอยยิ้มขมขื่นถูกจุดขึ้นมาอีกครั้ง
คืนนั้นส่งแม่กับพี่ขมเสร็จ
ผมกลับมาค้างที่ห้อง ไม่มีงานเขียนโปรแกรมตกค้างที่ต้องส่งแล้วนั่งเล่นเน็ตไปเรื่อย
ลองเสิร์ชหาจ็อบเล็กๆที่ผมถนัดดู
เวลาล่วงมาจวนจะตีหนึ่งผมเกือบจะปิดเครื่องอยู่แล้วแต่สายตาดันบังเอิญไปเห็นที่เวปไซต์นึงรับสมัครมือปืนรับจ้างเขียนโปรแกรมทุกภาษา
ในเงื่อนไขเขียนแค่ว่าถ้าสะดวกลองเขียนโค๊ดของโปรแกรมภาษาซีส่งมาให้ดู แต่มีข้อแม้ว่าต้องเป็นซีรุ่นเก่า
มีมาร์คไว้ชัดเจนว่ารายได้ขึ้นอยู่กับชิ้นงานแต่ละโปรเจคไม่เท่ากัน
ผมสะดุดตาทันที
คำว่า ‘รายได้ดี’ ไม่ได้มีระบุไว้ แสดงว่าค่อนข้างจริงใจเพราะไม่ได้เขียนคำโปรยที่มันดูเกินจริง
งานเขียนโปรแกรมเป็นอะไรที่ขึ้นอยู่กับขนาดของโปรเจคจริง ๆ ตามปกติผมจะรับทำแต่โปรเจคเล็กๆให้กับนักศึกษาเท่านั้นแต่นี่เป็นงานในรูปของบริษัทไม่รู้ว่ามันจะเกินกำลังผมไหม
แต่ยังไงผมก็จะลองเขียนโปรแกรมตัวอย่างตามที่เขารีเควสมาส่งไปให้ดู เอาแบบสั้น ๆ
แต่ยากๆ ผมถนัดอยู่แล้วภาษานี้
แล้วผมก็ลงมือเขียนโค๊ดโปรแกรม
แกร๊กกกกๆๆๆๆ แปปเดียวครับไม่ถึงชั่วโมงพอลองรันดูปรากฏโอเคผมพอใจผมส่งเมลหาทันทีปิดเครื่องแล้วเข้านอนเลย
เช้าวันต่อมาผมได้รับเมลตอบกลับว่างานผมโอเคดีมาก
จริง ๆ
คือเมลนั้นตอบกลับมาตั้งแต่ตีสามของเมื่อคืนแล้วแต่คือผมหลับไปแล้วไงกว่าจะรู้นี่คือวันใหม่แล้ว
ผมดูสถานที่ๆทางนั้นเขานัดให้ไปรับงานมาทำ ผมตัดสินใจออกไปช่วงบ่ายหลังจากอยู่ช่วยที่ร้านได้พักนึง
ผมไปถึงในที่ๆเขาส่งแผนที่แนบมาให้ในเมล
จอดรถไว้ด้านหน้าคือมันเป็นซอยเลี้ยวเข้าไป มีโฮมออฟฟิศมากมายเรียงตัวกันอยู่ที่นี่ผมก็นับหลังที่
หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า
โอเคหลังที่ห้า ผมกระชับกระเป๋าที่บ่าแล้วเดินเข้าไปที่ด้านหน้าประตูกระจกสีชามีป้ายติดไว้ว่า
‘พักกลางวัน’ ผมยกนาฬิกข้อมือขึ้นดูเห็นว่าบ่ายโมงครึ่งแล้วเลยคิดว่ารอแปปเดียวเดี๋ยวคงมีใครมาเปิด
มองซ้ายมองขวา
เออเพิ่งสังเกตว่ามีคนยืนอยู่ใกล้ๆผมด้วยคนนึง
พี่เขายืนพิงรั้วเตี้ยๆที่ผมเดินผ่านเข้ามากำลังสูบบุหรี่และมองผมอยู่
ผมเลยค้อมหัวให้นิดๆ คิดว่าคงเป็นพวกมือปืนรับจ้างเขียนโปรแกรมเหมือนกันเพราะพี่เขาเซอร์มากติสมากโคตรจะอินดี้
หนวดเครานี่คือบางครั้งพวกที่เป็นโปรแกรมเมอร์เก่ง ๆ มีแบบนี้เยอะนะ
“พี่มารอส่งงานเหมือนกันเหรอครับ”
ผมเดินเข้าไปทัก ส่งยิ้มให้พี่เขาด้วย สร้างมิตรไว้ดีกว่าไหนๆก็คนสายเดียวกัน เห็นพี่ท่านมองผมงงๆหันซ้ายหันขวาเหมือนจะดูว่าผมกำลังพูดอยู่กับใครผมเลยชี้ๆทำหน้าทำตาให้รู้ว่าผมกำลังพูดกับพี่น่ะแหละ
แค่นั้นแหละครับพี่ท่านกระตุกยิ้มร้ายที่มุมปากให้ก่อนเบนส่ายตาไปอีกทางทิ้งก้นบุหรี่ลงแล้วเดินตรงไปผลักบานประตูกระจกเข้าไปด้านใน
ผมยืนเอ๋อไปครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจเดินตามเข้าไปป้ายถูกกลับออกเป็นโอเพ่นปกติแล้ว
แต่พี่คนนั้นหายไปไหนวะออฟฟิศทำไมถึงไม่มีคนเลยเครื่องคอมห้าหกตัวมีเซอร์ฟเวอร์ใหญ่ตัวนึงห้องเย็นเฉียบมากคือคงจะเปิดให้เครื่อง
“นั่งดิ่”
ผมสะดุ้ง รีบหันไปตามเสียงเป็นพี่คนเมื่อกี้เดินออกมาจากด้านใน
หึยยยตายๆเมื่อกี้นี้เป็นเจ้าของเหรอวะทำไมดูไม่ออกเลยหน้าตาแบบ....อินดี้มาก คือแบบกูไม่แคร์หนวดจะเฟิ้มเคราจะรกหรือผมจะแค่เสยๆเอาไว้
“ชื่ออะไร
ล็อคอินที่ใช้” พี่เขาถามขึ้น เสียงคือห้วนมากนะหน้าตาก็ไม่ยิ้มเลย วางมือเตรีมพร้อมอยู่ที่แป้นคีย์บอร์ดแล้ว
เราสองคนนั่งตรงข้ามกัน มีโต๊ะทำงานตัวใหญ่ ๆ
ที่เต็มไปด้วยเอกสารและเครื่องคอมพิวเตอร์มากมายกั้นไว้ คือรกมากกกกกกกก
“ปิงครับ
พีไอเอ็นจี ปิงพิชย ที่ส่งเมลมาให้พี่ดูเมื่อคืน”
พี่เขากดๆๆๆอะไรไม่รู้ที่เครื่องดู คือรัวเลยเร็วมากมือติดจรวดและเครื่องที่ใช้ก็ประมวลผลเร็วมากเร็วมากๆๆๆๆๆจริงๆ
คงกำลังตรวจเช็คงานผมอีกครั้งนั่นแหละ พี่เขามองมาที่ผมอีกนิดแล้วมองที่เครื่องจากนั้นกดแกร๊กกกกๆๆต่อ
“ฝีมือดีนี่”
เป็นคำชมสั้น
ๆ แต่ผมแอบยิ้มอยู่ในใจ ถูกชมต่อหน้าแบบนี้ไม่ได้มีกันบ่อย
ๆ ยิ่งเรื่องเขียนโปรแกรมนี่เป็นครั้งแรกที่มีคนชมผมตรงๆ ที่สำคัญคนที่นั่งอยู่ต่อหน้าผมตอนนี้ท่าทางจะเป็นโปรแกรมเมอร์จริงน่ะแหละ
ผมมองพี่เขาอย่างพิจารณาอีกครั้งคือถ้าพี่โกนหนวดโกนเคราที่ขึ้นซะครึ้มออกบ้างเนี่ยพี่จะหล่อมากเลยนะหุ่นก็ออกจะเท่
สูงก็สูง ตัวใหญ่เหมือนพี่เอย์นั่นแหละครับ อายุคงพอๆกันเลยมั้ง
“ถนัดแนวไหน
ภาษาที่ใช้จนชิน”
“ทุกแบบครับ
ผมเขียนได้หมด” ผมตอบมั่นใจ คือผมเขียนโปรแกรมได้เกือบทุกภาษาที่เขาฮิตๆกันเลย
ไม่รู้เป็นไงแต่ผมว่าผมมีพรสวรรค์ด้านนี้อ่ะ เรียนรู้นิดหน่อยมือผมคือไปโลดเลยเร็วมากเกือบ
ๆ เท่าพี่ท่านคนนี้เลยนะ
“งานดาต้าเบส
ถนัดไหม SQL?”
“ถนัดครับ” ผมตอบแล้วหยิบงานที่เคยทำในกระเป๋าขึ้นมายื่นส่งให้พี่เขาดู
คือทุกอย่างในฮาร์ดดิสตัวนี้ จัดเก็บงานเกี่ยวกับการจัดการฐานข้อมูลทั้งหมดที่ผมเคยทำมา
พี่เขาจัดการเสียบสายดึงข้อมูลแปปเดียวก็พรืดเต็มหน้าจอ
“งานเวปดีไซน์ล่ะ?”
“พอได้ครับ คือจริง ๆ ผมถนัดหมดอ่ะพี่ ผมเขียนได้หมด
ซีชาร์ป จาวา ซีพลัสพลัส รวมถึงพวกโปรแกรมสามดีนี่ผมก็ใช้เป็นนะ”
ผมหยิบฮาร์ดดิสอีกตัวออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นส่งให้อีก คราวนี้ใช้อีกเครื่องดึงข้อมูลแล้วดูเทียบกัน
พี่ท่านมองผมนิ่งเลย
“แล้วงานซ่อมบำรุงล่ะ พวกเซิร์ฟเวอร์อะไรแบบนั้น”
“อันนั้นก็ได้ครับ ที่โรงเรียนผมช่วยอาจารย์ทำตลอดอ่ะ”
“นี่เราพูดจริงเหรอ”
“จริงสิครับ”
“แล้วงานธุรการล่ะ ถนัดไหม?”
“อ๋อ แบบนั้นไม่ถนัดครับ” ผมปฏิเสธ คือจริง ๆ
ผมก็สงสัยนะ รับสมัครมาเป็นมือปืนเขียนโปรแกรมให้ จะไปถามถึงเรื่องงานซ่อมบำรุงกับงานธุรการทำไมวะ
“โอเคเข้าใจแล้ว” พี่เขาว่าแล้วยื่นกระดาษเอสี่ปึกนึงมาให้ผม
ผมรับมาแล้วเปิดๆดู
“อาทิตย์นึง
งานพวกนี้นัดส่งสัปดาห์หน้าทั้งหมด คิดว่าทำไหวไหม”
ผมเงยหน้ามองพี่เขา สายตาของเขาคือกำลังรอคำตอบจากผมอยู่
ผมพิจารณางานในมือก่อนจะเงยหน้าตอบพี่เขาอย่างมั่นใจอีกครั้ง “ไหวครับ”
“ตรงเวลาด้วย”
นั่นคือทั้งหมดของวันนี้ที่ผมเจอมา
ผมตรงกลับมาที่ร้านช่วยแม่ต่ออีกหน่อยตกเย็นไม่ได้แวะไปที่ไหนรีบกลับห้องเลยใกล้จะเปิดเรียนแล้วผมต้องเคลียร์งานพวกนี้ให้เสร็จตรงตามเวลานัด
พี่เขาคงจะรับงานมาเยอะแล้วตัวเองทำไมไหวทั้งหมดกลัวจะเสร็จไม่ทันเลยจ้างให้ผมมาเป็นคนช่วยทำแทน
ผมรับผิดชอบงานดีนะบอกเลย ไม่เคยมีสักครั้งที่ผมจะส่งงานช้าหรือผิดนัด
ตอนนี้ตีสองแล้วผมก็ยังคงจะนั่งทำงานของผมอยู่ยังไม่ง่วงเลยสักนิด
คิดไปคิดมานี่ผมยังไม่รู้จักชื่อพี่เขาเลยนี่หว่า อะไรวะนายจ้างตัวเองแท้ ๆ
พี่แกก็ไม่ได้บอกแล้วผมก็เสือกไม่ถามด้วยนะแม้แต่เรื่องค่าจ้างผมเองก็ลืมมัวแต่ทึ่งกับความสามารถของพี่ท่านกับดีใจที่ได้งานใหม่
เออเรื่องนั้นช่างมันก่อนเดี๋ยวตอนเอางานไปส่งผมจะถามดูอีกทีก็แล้วกันว่าพี่เขาชื่ออะไร
ส่วนราคาพี่เขาคงจะให้เรททั่วไปเหมือนที่คนอื่น ๆ เขารับทำกันน่ะแหละ
แล้วคืออาทิตย์นั้นทั้งอาทิตย์ผมนอนเกือบจะเช้าทุกวันทำงานแก้งานทำแล้วแก้แก้แล้วทำเอาจนผมรู้สึกพอใจ
เพราะเป็นงานที่ค่อนข้างยากผมเลยต้องพิถีพิถันมากหน่อย จนในที่สุดวันที่ผมต้องเอางานมาส่งก็มาถึง
คราวนี้ผมจอดรถไว้ที่หน้าออฟฟิศเลย
วันนี้คือซอยเงียบมากผมค่อยผลักบานประตูเข้าไปตกใจนิดๆเห็นมีคนฟุบหลับอยู่ที่โต๊ะหลังเครื่องคอมและกองงานอีกเป็นตั้ง
ผมชะโงกหน้าเข้าไปดูใกล้ ๆ
พอเห็นว่าเป็นพี่ผู้ชายคนที่เอางานให้ผมไปทำเมื่อสัปดาห์ที่แล้วก็โล่งใจลองเอามืออังที่จมูก
ก็รู้นะว่าพี่เขาแค่หลับแต่มือผมมันไปเองว่ะครับ นั่งรอเฉย ๆ
อยู่ประมาณสิบนาทีเห็นว่ายังไม่มีทีท่าคุณพี่จะตื่นผมเลยลองเขย่าเรียกพี่เขาเบา ๆ
“พี่ครับ”
“............” เงียบไร้รีแอคชั่นใดๆทั้งสิ้น
ผมเลยเขย่าเรียกอีก
“พี่ครับ”
“อืออ...” อือแต่ยังไม่ยอมตื่นผมเลยเรียกอีกครั้ง เอาให้ดังและเขย่าให้แรงขึ้นอีก
“พี่ครับ!”
ในที่สุดพี่เขาลุกขึ้นแล้วหน้าตาเหรอมองผม
แก้มนี่เป็นรอยนาฬิกาอ่ะนอนทับหน้าเน่อแดงไปหมด หนวดเครายังเฟิ้มเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนคล้ายกับจะยาวขึ้นกว่าวันนั้นด้วยนะ
คือผมกำลังคิดว่าจากสัปดาห์ที่แล้วนี่พี่ท่านนั่งทำงานได้ลุกไปไหนยังวะ
น้ำท่าได้อาบบ้างไหม ยังไง
“อ้าวมึงเอง?” โหหหหเพิ่งจะนึกออก?
“ครับ ผมเอางานมาส่งพี่” ผมตอบรับแล้วหยิบเอางานทั้งหมดออกมาจากกระเป๋า
“มีบางส่วนที่ผมส่งมาทางเมลแล้วนะพี่” ผมมอง พี่เขาลุกขึ้นแล้วบิดขี้เกียจนิดๆแล้วอ้าปากหาว
“ฮ้าวววววว” โอ้โห หาวไม่เกรงใจผมเล้ยยยยย นี่คือนายจ้างผมจริงเหรอวะเนี่ย
จะมีตังค์จ่ายผมไหมน้อออ ผมก็คิดไป
ชุดเดิมของวันนั้นเลยนี่หว่าอาบน้ำอาบท่าป่าววะเนี่ย
“พี่ไม่เช็คดูงานเหรอครับ”
“ดูแล้ว ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ที่เหลือคงไม่ต้องดูแล้วมั้งฝีมือดีขนาดนี้”
ผมส่งยิ้มไปเลยสิครับโดนชมอีกแล้ว ผมปลื้มว่ะแม่ง ไอ้อาการหงุดหงิดเมื่อกี้นี่หายหมด
“รออยู่นี่ เดี๋ยวกูออกมาขอเวลาไปล้างหน้าล้างตาแปป แล้วเดี๋ยวเรามาตกลงเรื่องค่าจ้างกับงานชิ้นใหม่กัน”
“แล้วให้ผมไปรอด้านนอกไหมครับ”
“ไม่ต้อง นั่งรอที่โซฟานั่นก็ได้ เดี๋ยวกูลงมา ไม่นาน”
แล้วพี่เขาก็หายเข้าไปด้านใน
ผมถอยออกไปนั่งอยู่ที่โซฟาแถวๆประตูคือมันเป็นเก้าอี้สำหรับแขกหรือลูกค้าล่ะมั้งนะหยิบนิตยสารเกี่ยวกับพวกซอฟแวร์ต่าง ๆ มาอ่านรอ
พี่เขาหายเข้าไปนานเหมือนกันนะเนี่ยหรือว่าจะชิ่งหนีทางประตูหลังแล้ววะ
แต่เอ๊..งานผมก็ตั้งวางอยู่ที่โต๊ะนี่หว่า ผมก็นั่งคิดโน่นนี่ไปเรื่อย สักพักมีคนเดินออกมาจากด้านในผมเริ่มมองซ้ายมองขวาแล้วลุกขึ้น
คืออะไรวะทำไมมีคนอื่นอยู่ด้วยอีก หน้าตาท่าทางสุภาพเรียบร้อย
ที่สำคัญคือดูดีและหล่อมาก
“มานั่งนี่ดิ่” ผมตกใจระคนความงงงวยคือเสียงพี่คนนี้กับพี่อินดี้คนที่หายเข้าไป
คือมันเสียงเดียวกันนี่หว่า แต่คืออะไรวะ ตอนนี้คนที่เรียกผมให้ไปนั่งที่โต๊ะกลายเป็นผู้ชายที่ไร้หนวดเคราหน้าตาสะอาดสะอ้านผมเผ้าที่เคยยุ่งๆแบบไม่ใส่ใจจะหวี
กลายเป็นหวีออกมาเรียบร้อยเสื้อผ้าถูกเปลี่ยนเป็นชุดใหม่เนี๊ยบมาก
ความเซอร์หายไปแต่ยังคงความเท่ไว้เหมือนเดิม
"เอ้า
มาดิ่ นั่งนี่"
พี่เขาเรียกอีกครั้ง ผมเลยค่อยเดินเข้าไปนั่งลงตรงข้ามพี่เขาช้า
ๆ มองหน้าพี่เขานิ่งเลย คนอะไรทำไมโกนหนวดเคราแล้วดูเหมือนเป็นคนล่ะคนเลยวะ
“มึงชื่ออะไร”
“พิชย ครับ”
“ชื่อเล่น”
“ปิงครับ”
“อายุเท่าไหร่”
“ยี่สิบเอ็ด”
“เรียกกู ‘พี่เชน’ ”
คำพูดของพี่เชนทำให้ผมนึกไปถึงคำพูดของใครคนนึงทันที....คนที่ผมไม่ได้เจอไม่ได้ติดต่อมานานเป็นปีแล้ว
“มึงชื่ออะไร”
“ปิงครับ”
“อายุเท่าไหร่”
“19 ”
“เรียกกู ‘พี่เอย์’.....
“ปิง!!” เสียงพี่เขาค่อนข้างดังผมเลยสะดุ้งตกใจ
“เป็นอะไรทำไมจู่ ๆ เหม่อไป”
“อ๋อ ปะ..เปล่าครับ” ผมรีบแก้ตัว พี่เชนยื่นซองสีชมพูส่งมาให้
ปกติผมรับงานจะใช้วิธีการโอนเงินค่าจ้างผ่านบัญชีธนาคารแต่งานนี้รับเป็นเงินสด?? ผมเก็บซองมาเปิดดูค่าตอบแทน
คือผมใช้สายตานับแบบคร่าว ๆ เลยนะผมไม่อายหรอกเพราะเราไม่ได้คุยเรื่องเงินกันเลย
เพราะฉะนั้นตอนนี้ผมจึงต้องการรู้จำนวนที่แน่ชัด
“พอไหม” พี่เชนถาม
ผมหยิบออกมาห้าใบวางลงที่โต๊ะแล้วเลื่อนส่งคืนพี่เขาไป
คือมันรู้สึกว่าเกินเรทที่ผมควรจะได้ พี่เชนจ้องผมนิ่งเลย
“ผมรับแค่นี้พอครับพี่ นี่คือเรทของผม”
พี่เชนจ้องผมต่อครู่หนึ่งแล้วยกยิ้มมุมปากนิดๆปล่อยเงินวางไว้ที่โต๊ะเหมือนเดิม
แล้วนั่งพรมที่คีย์บอร์ดทำอะไรสักอย่างกับเครื่อง ผมมองซ้ายมองขวารู้สึกสงสัยบางอย่างเลยถามขึ้น
“พี่เชนครับ ทำไมที่นี่ถึงมีแต่พี่คนเดียว
คนอื่นๆล่ะครับ”
“ความจริงมีอีกคนนึงนะ เขาชื่อพี่พิมเดี๋ยววันนี้ก็เข้ามา
พิมเป็นคนหางานจากข้างนอกส่งมาให้กูกับมึงทำนี่แหละ”
“คือหมายความว่าพี่พิมทำงานเอกสารหางานเข้าออฟฟิศแล้วพี่เขียนโปรแกรมส่งงี้เหรอครับ”
“ใช่”
“แล้วพี่เชนทำไม่ทันเลยจ้างผมให้รับงานไปทำช่วยเหรอครับ”
“ใช่”
ผมมองคนที่นั่งอยู่หน้าเครื่องคอมอย่างไม่อยากจะเชื่อ
คือพี่เชนอายุยังไม่มากเลยเป็นโปรแกรมเมอร์มือหนึ่งและหนึ่งเดียวของที่นี่ มีพี่พิมรับงานเข้ามาให้พี่เชนทำๆๆ
เสร็จแล้วทำไม่ทันเพราะงานเยอะขึ้นเลยหาคนเข้ามาช่วย ซึ่งผมบังเอิญไปเห็นประกาศนั้นเข้าพอดี
ผมว่าคงมีหลายคนส่งงานมาให้ดูแต่พี่เขาไม่โอเคมาลงตัวที่ผมมั้งนะ
“จริงๆแล้วกูกับพิมเพิ่งจะตั้งบริษัทกันมาเมื่อปีที่แล้วเองนะ
เราเพิ่งจะเรียนจบกัน แล้วพอดีได้ออฟฟิศที่นี่เขาให้เช่าเราสองคนเลยร่วมหุ้นกันทำบริษัทเล็กๆขึ้นมา
ซื้อหาข้าวของเครื่องใช้รวมถึงสมุดหนังสือทุกอย่าง พิมเขาเก่งมากถึงจะเป็นผู้หญิงแต่ดิวงานแล้วก็หางานเข้าได้เยอะมากจนกูคนเดียวทำไม่ไหว
เลยต้องหาผู้ช่วยก็ได้มึงนี่แหละฝีมือพอจะสูสีกับกูได้”
“หูยพี่หลงตัวเองว่ะ ผมยังไม่เคยเห็นฝีมือพี่เลยเหอะ”
พี่เชนอมยิ้มนิดๆไม่ได้ตอบอะไรผม เพียงแต่หัวเราะเสียงเบาในลำคอ
แต่หน้าตานี่คือยิ้มร้ายให้ผมมากคงคิดว่าผมไม่เชื่อว่าพี่เขาจะเก่งอ่ะดิ ผมเลยเบะปากส่งไป
พี่เชนเตะขามาที่ใต้โต๊ะเจอขาผมแบบเต็ม ๆ ผมร้องโอดโอย กระดูกงี้แทบร้าวเลยคือเราเพิ่งเจอกันแค่สองครั้ง
ครั้งแรกยังเฉย ๆ กันอยู่เลย
พอมาเจอกันวันนี้เล่นแรงมากทำท่าเหมือนกับสนิทกันมานานงั้นแหละ
“มึงตลกดี”
“พี่ตลกกว่า”
“ยังไง”
“หน้าตาท่าทางของพี่ ก่อนโกนหนวดกับหลังโกนหนวด”
“แบบไหนหล่อกว่ากัน”
“แบบแรกดิ่ เท่ดีอินดี้ผมชอบ”
“งั้นต่อไปกูจะโกนหนวดทุกวัน กันมึงมาชอบกู”
“หูยยยพี่พูดไปเหอะ
ผมจะไปสนพี่ได้ไงผมมีคนที่ผมชอบอยู่แล้ว”
“จริงดิ่”
“จริงครับ”
“เอองั้นก็ดี กูขี้เกียจรำคาญ สมัยนี้ผู้หญิงผู้ชายวิ่งจับกูให้วุ่น
บางวันออกไปแม่งเซอๆนั่นแหละไม่มีใครมาสนใจดี แต่ถ้าออกไปลุคนี้ทีไรกูล่ะโคตรเซ็งเลย”
“อ้าวแล้ววันนี้อ่ะครับ?”
“วันนี้กูมีคุยเรื่องงานกับลูกค้าสำคัญเดี๋ยวพิมจะเข้ามาแล้ว
ต้องเนี๊ยบหน่อย”
“อ้อ” ผมพยักหน้าเข้าใจ
รู้แล้วว่าพี่เขาคงจะปล่อยตัวเวลานั่งทำงานไม่มีเวลามาดูแลตัวเองมั้งนะ
โปรแกรมเมอร์สไตล์แบบนั้นป่ะวะ
“โปรแกรมเมอร์สไตล์
มึงไม่เคยได้ยินเหรอ หึหึ” พี่เชนพูดยิ้ม ๆ รู้อีกว่าผมกำลังคิดอะไร
ผมว่าพี่เขากวนตีนผมดีว่ะผมเลยยักไหล่เบะปากไม่สนใจ
กริ๊งดังขึ้นประตูผมหันไปมอง ผู้หญิงสวยมากคนนึงก้าวเข้ามา
เธอสะบัดกระเป๋าลงที่โซฟาแล้วทิ้งตัวนั่งอย่างสุดแสนจะเหนื่อย
“เฮ้อออ เหนื่อยมาก ร้อน วันนี้โคตรจะที่สุดของความร้อน”
เธอทั้งบ่นทั้งลุกขึ้นแล้วเดินไปเปิดตู้เย็นที่ด้านหลัง หยิบน้ำออกมาดื่ม
จากนั้นเธอเดินเข้ามายืนอยู่ข้างหลังพี่เชน ซึ่งก็คือยืนอยู่ต่อหน้าผมนั่นเอง
“ปิง นี่ไงพิม ที่กูเล่าให้มึงฟังเมื่อกี้” เมื่อพี่เชนแนะนำผมเลยยกมือไหว้
ดูท่าเธอจะอายุมากกว่าผมแน่อยู่แล้วแหละไหว้ไปไม่เสียหาย แต่เออตอนผมเจอพี่เชนผมทำไมไม่ไหว้พี่เขาวะ
“นี่เหรอปิงเด็กที่เชนเล่าให้พิมฟัง ฝีมือดีจังเลยนะ”
“ขอบคุณครับ”
“หล่อด้วย”
“หือ??” เอิ่มผมหันซ้ายหันขวา รู้สึกเขินนิดๆ พี่พิมสวยนะ
โดนคนสวยชม หุหุ
“ว้าแบบนี้จะแย่ไหมเนี่ย
บริษัทเรามีแต่โปรแกรมเมอร์หน้าตาดี ๆ ทั้งนั้น ลูกค้าสาว ๆ เยอะแน่คราวนี้”
เพราะว่าชอบแกล้งเลยโดนพี่เชนผลักซะกระเด็นออกไปไกลเลย
คนตัวเล็กกว่าจะตั้งหลักได้ยู่หน้าใส่พี่เชน แล้วบ่นอุบอิบในคอ แต่พี่เชนไม่ได้สนใจจะง้อ
พี่พิมเลยหันมาที่ผม
“งั้นต่อไปปิงเรียกพี่ว่าพี่พิมนะ
ดีใจที่ได้ปิงมาทำงานด้วย”
“ครับพี่พิม”
หลังจากวันนั้นอีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมา ผมเอางานเข้าไปส่งให้พี่เชนที่ออฟฟิศอีก
พี่เขายังโทรมเหมือนวันแรกที่เห็นแสดงว่าหลายวันที่ผ่านมานี่คือไม่ค่อยได้นอน คือหมายถึงกินนอนอยู่ที่นี่เลยแน่ๆ
พี่เชนนั่งตรวจเช็คงานของผมอยู่
สายตานี่จรดอยู่ที่หน้าจอมาก เออว่ะ ทำไมผมรู้สึกคุ้น ๆ หน้าพี่เขาวะ
มุมนี้นี่คือใช่เลยนะ ผมก็มองไปลองเปลี่ยนอีกมุมดูก็ใช่อีก พี่เชนปรายสายตามาที่ผมสองสามครั้ง
ก่อนจะเอ่ยถาม
“มีอะไร”
“พี่เชนครับ ผมว่าพี่หน้าคุ้นๆ”
“กูหน้าโหลไง”
“เราเคยรู้จักกันมาก่อนไหมพี่”
แค่นั้นแหละครับพี่เชนหยุดชะงักมือที่กำลังคีย์กำลังกดทันที
ค่อย ๆ เลื่อนสายตามองมาที่ผมเหมือนคนกล้า ๆ กลัว ๆ
แต่คือยังเงียบอยู่ผมเลยถามขึ้นอีก หน้าพี่แกเครียดมากนะบอกเลย
“จริงนะครับพี่ ผมว่าเราสองคนรู้จักกันมาก่อนแน่ ๆ
ผมคุ้นหน้าพี่มากเลยนะ” ผมยกน้ำในแก้วขึ้นดื่ม
พี่เชนจ้องผมนิ่ง ก่อนจะเอ่ยคำพูดที่ทำให้ผมถึงกับสำลัก
“นี่มึงกำลังจีบกูเหรอปิง”
“พรวดดดดดดดด อะแค่กๆๆ แค่กกกๆๆๆ”
“บ้าเอ๊ยยย กินยังไงของมึงเนี่ย” พี่เขารีบลุกขึ้นมาตบหลังผมพร้อม
ๆ กับเลื่อน ๆ เอกสารที่กลัวว่าจะเปื้อนน้ำออก ดึงกระดาษทิชชู่ส่งให้
“ก็เพราะพี่แหละ” ผมรีบโวยวาย
พี่เชนแหละพูดเรื่องอะไรวะผมจะไปจีบพี่เขาทำไมผมมีคนที่ผมรักแล้วเหอะ คือผมคุ้นหน้าพี่เขาจริง ๆ
แต่จำไม่ได้ว่าเคยเจอที่ไหน พี่เชนยังทำหน้ามองผมแบบไม่อยากจะเชื่ออยู่ ผมรีบลุกขึ้นไปดึงกระดาษทิชชู่ออกมาอีกเช็ดๆน้ำที่ตัวเองทำเปื้อนโต๊ะเปื้อนสมุดหนังสือออกให้
“หนังสือกูเปื้อน กูจะฆ่ามึงเลย”
“อ้าว ๆ ผมตั้งใจที่ไหน พี่แหละจู่ ๆ พูดไรแปลกๆ”
“มึงดิ่แปลก พูดจาเหมือนผู้ชายจีบผู้หญิง”
“เอ๋า ผมคุ้นหน้าพี่จริงนี่ครับ ผมก็แค่ถามดูเหอะ”
“เออให้มันจริงอย่างที่มึงพูดเหอะ”
แล้วเราก็นั่งเถียงกันอยู่งั้นแหละครับพี่พิมเพิ่งกลับมาจากข้างนอกพอดีเลยมาร่วมแจมด้วย
เราคุยกันเรื่องงานบ้างส่วนใหญ่แล้วพี่พิมจะคุยเรื่องที่เจอลูกค้าตลกๆหรือแปลกๆมาเล่าให้ฟัง
พี่เชนไม่ค่อยพูดหรอกมีแต่ผมกับพี่พิมคุยกันแค่สองคน จนสักพักพี่เชนตรวจงานผมเสร็จส่งซองเงินยื่นให้
ผมรับมาเปิดดูก็เยอะอีกแล้ว ผมเลยดึงคืนพี่เขาไปห้าใบเหมือนเดิมเปี๊ยบ พี่เชนกับพี่พิมจ้องหน้าผมนิ่งเลย
ก่อนพี่เชนจะเอ่ยถามคำถามที่เปลี่ยนผมคนนี้ไปทั้งชีวิต
“มาอยู่กับกูไหม? มาทำงานด้วยกัน”
“ใช่จ๊ะปิง มาอยู่กับพวกพี่นะ มาทำงานด้วยกัน พี่อยากได้เรามาช่วยพี่นะ ปิงเป็นเด็กดีขยันแล้วก็เก่ง หาคนแบบนี้ยากเหลือเกินแล้วสมัยนี้” พี่พิมเดินเข้ามาหาผม บีบลงที่ไหล่เบา ๆ ผมเงยหน้ามองพี่เขาสลับกับมองพี่เชน
“แต่ผมยังเรียนอยู่ครับพี่ ผม....
“เอาแบบนี้ไหมปิง พี่จะให้ปิงเป็นหุ้นส่วนนึงของที่นี่
รายได้ต่อไปนี้ของพวกเราจะมาจากความขยันของเราทั้งสามคน พี่จะเป็นคนหางานเข้ามาให้
มีเชนกับปิงช่วยกันทำให้บริษัทนี้เติบโต จากนี้ไปมันจะกลายเป็นบริษัทของเราเอง
ปิงยังไม่ต้องลงเงินหรืออะไรทั้งนั้น ขอแค่ให้ช่วยแบ่งงานของเชนไปทำเท่านั้น
รายได้จะถูกแบ่งออกเป็นสามส่วนทุกเดือนขึ้นอยู่กับความขยันขันแข็งของพวกเรา
ถ้างานมันโตขึ้นอีกเราก็ค่อยหาคนฝีมือดีมาเขียนโปรแกรมช่วยอีกสักคนสองคน
ทีนี้ปิงกับเชนก็จะเป็นคนคุมน้องใหม่พวกนั้น ความจริงเรื่องนี้พวกพี่คุยกันตั้งแต่เมื่อวานแล้ว
เชนน่ะเขาไม่ค่อยชมใครง่ายๆหรอกนะมีปิงนี่แหละที่พี่เชนเขายอมรับ”
ผมมองไปที่พี่เชนทันที
“ตะ...แต่ว่าคือ....” ผมยังค่อนข้างลังเล
คือยังไม่แน่ใจข้อเสนอของพี่เขามีแต่สิ่งดีๆให้กับผมทั้งนั้น ทั้งที่เราเพิ่งรู้จักกันแค่ไม่กี่อาทิตย์
คือทำไมพี่สองคนนี้ดีถึงดีกับผม
“หรือมึงไม่ไว้ใจกูกับพิม คิดว่าพวกกูจะหลอกใช้มึงงั้นสิ”
“ปะ...เปล่าครับ ไม่ใช่แบบนั้น” ผมรีบยกมือปฏิเสธ
“ก็แล้วทำไมไม่ตอบข้อเสนอของพวกกู
ถ้าเป็นเด็กคนอื่นนี่รีบตะครุบเชียวนะ โอกาสทองแบบนี้มึงจะหาที่ไหนได้อีกกูถาม” พี่เชนท่าทางจริงจัง เวลาทำงานพี่เชนดุแบบนี้เสมอ
“ถ้างั้นเอาแบบนั้นก็ได้ครับ” ผมตอบเสียงอ่อนไม่ใช่ไม่อยากเป็นหุ้นส่วน
แต่คือมันจะยิ่งใหญ่เกินตัวผมไหม
“พี่ครับแต่ผมไม่มีเงินอะไรจะมาลงทุนกับพวกพี่หรอกนะครับ”
“ความสามารถของมึงมีราคามากกว่าเงินทั้งหมดของกูและของพิมรวมกันซะอีก
นี่คือเหตุผลว่าทำไมกูถึงชวนมึงมาอยู่ด้วย”
ผมเม้มปากแน่นเลยคือตื้นตันใจพี่เชนชมผม คือมันเป็นที่สุดของคำชมจริง
ๆ
“ดีเลยจ๊ะ พี่ดีใจมากเลยจริง ๆ
สงสารเชนน่ะอยู่เฝ้าที่นี่บ้านช่องก็ไม่ได้กลับ
ดีมากๆที่ปิงเดินเข้ามาในชีวิตของพวกเรา สมัยนี้จะหาคนซื่อสัตย์มักน้อยแล้วก็ไว้ใจได้นี่ยากมาก
เชนเขาชมว่าปิงเป็นเด็กดีให้พี่ฟังตั้งหลายรอบเลยนะรู้ไหม” พี่พิมพูดยิ้ม ๆ ผมเลยมองไปที่พี่เชนอีกครั้ง
พี่ท่านกำลังจดจ้องอยู่ที่หน้าจอทำท่าไม่รู้ไม่ชี้เหมือนไม่ได้ยินที่พี่พิมพูด
“ครับ แต่คือมีข้อนึงที่ผมเองก็อยากจะพูด” สองคนหันมองมาที่ผม
“ถึงผมจะไม่มีเงินแต่ผมจะขอลงทุนกับพวกพี่ด้วยก็แล้วกัน”
“ไม่เป็นไรถ้าปิงไม่มีพี่ไม่ว่าหรอก
แค่ลงแรงช่วยพี่ดีใจมากแล้ว”
“ไม่ได้หรอกครับไหนๆก็เรียกว่าหุ้นส่วนผมคงต้องออกเงินบ้าง”
“มึงจะลงเท่าไหร่ล่ะ” พี่เชนหันมาถาม
“แล้วพวกพี่ลงกันคนละเท่าไหร่ล่ะครับ”
“คนละหนึ่งล้าน ตั้งแต่ครั้งแรกโน่น”
ผมสตั๊นไปสามวิ หนึ่งล้าน?? ตาย ๆ ผมจะไปเอาที่ไหนมาให้
“ถ้างั้นผมขอลงหนึ่งหมื่นได้ไหมอ่ะพี่”
“…….??!!!?!!??........” พวกพี่เขาคงสตั๊นไปยาวกว่าผมหน่อยนึง
“แห่ะๆ” ผมหัวเราะกลบเกลื่อนแล้วยกมือเกาหัวแก้เขิน คือเอาจริง
ๆ เลยนะ หนึ่งหมื่นนี่คือเงินที่ผมรับจากพี่เขาวันนี้แหละ ถ้าโดนหลอกคือผมก็คิดว่าไม่ได้ไม่เสียอะไรแล้วกัน
เงินของพี่เขาอยู่แล้ว พี่เชนนี่ชี้หน้าผมแล้วชี้ซองเงินอย่างคนรู้ทัน
พี่พิมเลยหยิกต้นแขนแน่นๆนั้นไปทีแล้วบอก “อย่าไปว่าน้อง”
“เดี๋ยวผมจะช่วยล้างห้องน้ำ ชงกาแฟ ถูพื้น เช็ดกระจก ทำอาหาร
ทำความสะอาดออฟฟิศ ผมทำได้ทุกอย่างเหอะ”
นี่คือผมพยายามทำสถานการณ์ของผมให้ดีขึ้นนะ แต่เห็นพี่ๆสองคนเบะปาก
จากนั้นผม พี่เชนและพี่พิม
เราสามคนหัวเราะออกมาพร้อมๆกัน ผมดีใจมากเลยนะครับคือมันเป็นงานที่ผมถนัดแล้วก็รักที่จะได้ทำ
ตอนนี้โชคดีจริง ๆ มีพี่ๆให้โอกาสกับผมขนาดนี้ผมจะขอเต็มที่กับงานนี้ครับ
…….
…..
…
“ปิง เดี๋ยววันนี้ต้องออกไปดูงานวางระบบของบริษัท ABC นะ เรียนเสร็จแล้วรีบเข้ามากูรออยู่ที่ออฟฟิศ”
“ครับ
พี่เชน”
......
“ปิง
ลูกค้าโทรมาด่วน เซิร์ฟเวอร์ของบริษัท BQ ล่ม มึงอยู่แถวนั้นไหม? เตะบอลอยู่รึเปล่า? หรืออยู่ที่ร้าน
แวะไปดูให้เขาหน่อยละกันเดี๋ยวกูตามเข้าไป เคลียร์ที่นี่แปป อีกสักครึ่งชั่วโมงเจอกัน”
“ครับพี่เชน”
….
“ปิงอาทิตย์นี้งานเราสองคนเยอะหน่อยมึงต้องค้างที่ออฟฟิศกับกู ตอนกลางคืนเราจะได้ช่วยกันเคลียร์ กูจะสอนโปรแกรมใหม่มึงด้วย ดูแล้วจำไว้ให้ดี ๆ”
“ครับพี่เชน”
.......
“มึงนอนตรงนั้นละกัน เดี๋ยวกูจะแก้งานจุดนี้ต่ออีกหน่อย ตีสี่แล้วพรุ่งนี้มึงมีเรียนเช้าไม่ใช่เหรอ”
“ไม่เป็นไรพี่ ผมไม่นอนได้นะเดี๋ยวอยู่เป็นเพื่อน
พี่เหอะอดนอนได้เหรอ”
“ถามอะไร ดูด้วยกูใคร”
“คร้าบๆ พี่ไม่นอนผมก็ไม่นอนอ่ะ”
“ตามใจงั้นไปชงกาแฟมา”
“ครับพี่เชน”
......
“ปิง วันนี้มึงขับรถให้กู ชลบุรีมึงโอเคใช่ไหม เดี๋ยวทำงานเสร็จเราไปกินข้าวกันริมหาด มึงไม่ได้เห็นทะเลมากี่ปีแล้ว”
“โหพี่พูดซะผมบ้านนอกมากเลย”
“อ้าวเหรอ มึงเป็นเด็กกรุงเทพหรอกเหรอ”
“พี่แม่ง”
“แล้วจะไปป่ะ ตกลง”
“ไปครับพี่เชน”
......
“ปิงกาแฟดิ๊”
“โอเคครับ กาแฟดำ ไม่ใส่ครีมแต่ใส่คาราเมลแทน”
“รู้ใจกูดีมาก จัดมา”
.....
“ปิงมึงออกไปซื้อบุหรี่ให้กูทีหมดแม่งไม่รู้ตัวเลยว่ะ”
“หึ ผมไม่ว่างอ่ะ”
(โดนจ้องหน้า)
“ก็ถ้าพี่ใช้ไปซื้ออย่างอื่นผมซื้อให้อ่ะ
แต่บุหรี่นี่ผมไม่ว่างซื้อจริง”
“จิ๊ งั้นกูออกไปซื้อเองก็ได้”
"ตามสบายครับพี่เชน
อุ๊ก!" (โดนหมอนขว้าง)
"สมน้ำหน้ามึง"
......
“ปิงหิวข้าวว่ะ ออกไปซื้อแถวนี้มากินกันเหอะ”
“เดี๋ยวผมทำให้พี่กินดีไหมครับ”
“เออเอาแบบนั้นก็ได้ ให้ไวเลยมึง”
......
“ปิงวันนี้กินข้าวกับอะไร มึงมาช้ากูหิ้วท้องรอนานแล้วเนี่ย”
“หูยพี่ผมออกจากห้องสอบก็ดิ่งมาเลยนะ
ไม่ได้ซื้ออะไรเข้ามาเลยเหอะ”
“งั้นไปซื้อข้างนอกเข้ามากินดิ่”
“ออกไปนั่งกินหน้าปากซอยไหมพี่”
“งั้นไปกันเลย”
“เดินไปนะ ไม่นั่งรถ”
“ได้”
.....
“ปิง เดี๋ยววันเสาร์ที่จะถึงนี้มึงต้องออกไปรับงานกับกูและพิม
เราสามคนคงต้องออกไปด้วยกัน บริษัทนี้ค่อนข้างใหญ่ เขาอยากดูฝีมือของพวกเราสองคน
เตรียมตัวไว้ให้พร้อมด้วย โชว์ให้พวกเขาได้เห็น ว่าพวกเราเป็นคู่ที่เจ๋งแค่ไหน
เวลาที่เราทำงานด้วยกันโปรแกรมของพวกเราเจ๋งที่สุด”
“ได้เลยครับพี่เชน ปิงรับแซบ”
“หึหึหึ”
.....
“อ้าวโช้นนนนนนน”
“สำเร็จไปอีกงานแล้วนะมึง แต่ยังหลงตัวเองไม่ได้
ต่อไปเราต้องขยันยิ่งกว่านี้อีก”
“ครับพี่เชน”
“กินเข้าไปเยอะๆเลย ถ้าเมาเดี๋ยวกูจะแบกมึงกลับเอง”
“คึคึ พี่เชนแม่งตลกว่ะ ผมว่าผมจะได้แบกพี่กลับมากกว่าล่ะมั้ง”
“ไอ้เหี้ย กูเมาแล้วว่ะแม่ง”
......
และแล้วในที่สุด
“อ่ะนี่จ๊ะ เงินปันผลส่วนของปิงนะ พี่กับเชนจัดการไว้ให้เรียบร้อย” พี่พิมพ์ยื่นสมุดบัญชีส่งมาให้ผม
“โอ้โห!!!! ทำไมมันถึงเยอะแบบนี้ล่ะพี่
พี่โอนผิดรึเปล่าครับ” ผมตกใจเลยนะ คือตัวเลขเยอะมาจริง ๆ
ผมสั่นไปหมดทำอะไรไม่ถูกเลย ยื่นสมุดส่งไปให้พี่สองคนดูใหม่เผื่อบางทีโอนเงินผิด
พี่เชนกับพี่พิมส่งยิ้มให้แล้วเลื่อนสมุดส่งคืนมาให้ผมอีกครั้ง
“ไม่ผิดหรอกจ๊ะปิง นี่คือผลของความพยายาม ปีที่ผ่านมาเราสามคนทำงานกันมาหนักตลอด
ปิงสมควรได้รับสิ่งนี้แล้ว บอกให้รู้ นี่น่ะน้อยกว่าพวกพี่สองคนนิดนึงนะ
ก็อยากลงทุนแค่หมื่นเดียวทำไมเนอะเชนเนอะ คิคิคิ”
น้ำตาผมรื้นขึ้นมาทันที พี่พิมพูดแล้วยิ้มคือเธอหยอกผมเล่น
พี่เชนคว้าเอาคอผมเข้ามากอดไว้แล้วลูบหัวแล้วตบบ่าให้กำลังใจ คือผมอยากบอกว่าผมโชคดีมากจริง ๆ ที่ได้รู้จักพี่สองคนที่รักผมเหมือนกับน้องชายแท้
ๆ แบบนี้
โดยเฉพาะพี่เชน เวลาที่ผมอยู่ใกล้พี่เขาทีไร ผมอบอุ่นมากอาจเพราะผมเป็นลูกคนเดียวไม่เคยมีพี่ชายเลยสักครั้ง
ผมรักพี่เชนเหมือนกับพี่ชายผมเลยนะ บางครั้งเห็นแผ่นหลังกว้าง ๆ เวลาพี่เขานั่งทำงานอยู่ในออฟฟิศ
ทำให้ผมอดที่จะนึกไปถึงใครบางคนที่อยู่แสนไกล....
สองปีแล้วสินะที่เราไม่ได้พบเจอกันเลย.....ตอนนี้พี่จะเป็นยังไงบ้าง
เรียนจบแล้วหรือยัง ผมคนนี้เรียนจบปริญญาตรีแล้วนะครับ......พี่เอย์
“มีอีกเรื่องนึงนะที่ต้องบอกให้ปิงรู้
ตอนนี้บริษัทของเราโตขึ้นมาก และเราก็ยังจะต้องเติบโตต่อไปอีกพี่ปรึกษากับเชนแล้ว ว่าจะรับเด็กฝีมือดี
ๆ เข้ามาเป็นลูกมือปิงกับพี่เชนอีกสักสามสี่คน
งานของเราตอนนี้แต่ละวันเข้าเยอะมากพี่นี่แทบไม่ต้องเดินออกไปของานเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว
ลูกค้าเขาบอกกันปากต่อปากติดต่อมาเองทั้งนั้น ตอนนี้พี่เลยคิดว่าคงได้เวลาที่เราจะย้ายออฟฟิศได้แล้ว”
“ย้ายออฟฟิศเหรอครับ” ผมทวนคำ
“ใช่จ๊ะปิง พี่กับเชนไปดูสถานที่กันมาแล้วนะ
เดี๋ยววันนี้ขากลับให้เชนพาปิงแวะไปดู ถ้าปิงโอเคพี่จะทำสัญญาเช่าตึกตรงนั้นไว้เลย
ได้ชั้นล่างพอดีเหมาะมาก เป็นของลูกค้าเก่าพี่เองพอดีเจ้าของเขาย้ายไปคุมโรงงานอยู่อีกที่พี่เลยขอเขาไว้ว่าเดี๋ยวจะให้น้องเข้าไปดูก่อน
ถ้าปิงชอบพี่กับพี่เชนจะได้จัดการเช่าซื้อไปเลย ทำเลทองมากอยู่ใจกลางเมืองศูนย์กลางย่านธุรกิจ
ใกล้ศูนย์การค้า ใกล้มหาวิทยาลัย
ถึงค่าเช่าจะแพงไปหน่อยแต่พี่คิดว่าถ้าเรายังขยันและมีงานต่อเนื่องแบบนี้กันอยู่
เราพอจะสู้ไหว”
โทรศัพท์พี่พิมดังขึ้น เธอเลยแยกออกไปคุยที่โซฟา
พี่เชนมองมาที่ผม ผมเลยลองถามพี่เขาดูว่าออฟฟิศใหม่อยู่ไกลไหม
พี่เชนบอกอยู่ใกล้หอผมเลย พี่เขาเคยไปส่งผมที่หอหลายครั้งนะ เราเคยไปเตะบอลกันด้วย
ตอนนั้นเลยได้รู้จักหมาบาสกับหมาวุฒิ หลายครั้งเลยที่พวกเรามักไปนั่งกินเหล้ากันที่ร้านเล็กๆฟังเพลงเพื่อชีวิต
พี่เชนกับผมรสนิยมเดียวกันเพลงที่ฟังก็คล้าย ๆ กัน
จะว่าไปแต่ละวันเดี๋ยวนี้ผมเจอหน้าพี่เขาบ่อยกว่าแม่ผมอีกนะ
“พี่เชนครับ” ผมบุ้ยใบ้ไปทางพี่พิม คือเรียกให้พี่เชนดู
พี่พิมโคตรตลกนั่งคุยโทรศัพท์เฉย ๆ ไม่ได้อายอะไรนักหนาไม่รู้ คือเธอจับหนามของต้นตะบองเพชรที่ปลูกเอาไว้ที่หน้าประตูเล่นจนมันช้ำไปหมด
ผมไม่สงสัยเลยทำไมตะบองเพชรต้นนี้ไม่มีใบ
“ไม่ไปดูอ่ะพี่ พี่พิมคุยกับกิ๊กป่ะ
ดูดิ๊เขินขนาดนั้นพี่ไม่หึงอ่อ” ผมแซว
“ไอ้เหี้ย!” พี่เชนแจกคำหวานผมอย่างดัง พร้อมกับลงมะเหงกผมมาด้วยอีกต่างหาก
ผมก็หน้าตาเหรอหราเลยดิ่ อะไรวะคนหวังดีอุตส่าห์เรียกชี้ให้ดู
“พิมเขาคุยกับแฟนเขาดิ่ เขาจะเขินมันก็ธรรมดา กูจะไปหึงห่าไรของมึงก็คิดได้เนาะ”
“อ้าวพี่ พี่พิมไม่ใช่แฟนพี่เหรอครับ”
“ใช่ที่ไหนเล่า! กูกับพิมเป็นเพื่อนกันเว้ย เหมือนญาติพี่น้องนั่นแหละรู้จักกันตั้งแต่เด็กแล้ว
กูจะไปคิดเป็นอื่นแบบนั้นได้ไงมึงอย่าพูดไปนะเดี๋ยวพิมเอามึงตายแน่”
ผมรีบหุบงับปากเงียบทันที ทำสัญลักษณ์รูดซิบให้เงียบเชียบที่สุด
อะไรวะอยู่ด้วยกันมาเป็นปีนึกมาตลอดว่าพี่เชนกับพี่พิมเป็นแฟนกัน คือคิดแต่ว่าสองคนแค่ไม่ค่อยสวีทเหมือนคู่รักทั่วไปกัดกันซะมากกว่า
แต่ที่จริงคือ ไม่ใช่แฟนเหรอวะ
“อ้าวแล้วแฟนพี่อ่ะ” ผมบ้าอะไรไม่รู้ถามขึ้น พี่เชนหันขวับมองผมทันที
ตานี่เขียวเลยว่ะ สงสัยผมถามมากเกินไปหน่อย
กำลังจะอ้าปากขอโทษแต่ท่านพี่ชิงพูดขึ้นมาก่อน
“ไม่มีหรอก” ยังอุตส่าห์จะตอบ
“ไรอ่ะพี่ โตขนาดรี้ยังไม่มีแฟน ผมไม่เชื่อหรอก
พามาแนะนำให้น้องนุ่งรู้จักบ้างดิ๊~”
ผมเลยแซวต่อเลยไหนๆก็ไหนๆแล้ว วอนตีนนี่มันหน้าที่หลักผมล่ะ ผมเหล่ตามอง คงไม่โกรธหรอกมั้งนะคุยต่อแล้วนี่
“ผู้หญิงแม่งน่ารำคาญ
แค่พิมคนเดียวกูก็ขยาดแล้ว ขืนเอาอีกคนมาบ่นเพิ่มกูว่าขี้หูกูคงร่วงผุยๆๆโดยไม่ต้องแคะต้องล้างเลยอ่ะ”
“พี่แม่งพูดซะผู้หญิงเขาเสียหายอ่ะดิ่”
“กูพูดจริง”
พี่เชนเป็นแบบนี้เสมอ
ตรง ๆ เท่ ๆ วัน ๆ จ้องแต่หน้าจอ พิมพ์โค๊ดโปรแกรมเร็วกว่าผมนิสสสสนึง
นิดเดียวจริง ๆ นะก็พี่เขาอายุมากกว่าผมอ่ะประสบการณ์ก็ต้องสูงกว่าผมเป็นธรรมดา
เดี๋ยวเหอะผมจะลับฝีมือแล้วเอาให้เก่งเท่าพี่เชนเลย เวลาเราทำงานด้วยกันพี่เชนจะได้ไม่ต้องรอผมเราสองคนจะเดินหน้าไปพร้อม
ๆ กันได้
สัปดาห์ต่อมาเราก็ย้ายออฟฟิศกัน
ทุกคนวุ่นวายกันมาก หมาบาสกับไอ้วุฒิเข้ามาช่วยขนของ พี่พิมพ์เป็นคนจัดเลือกตำแหน่งว่าโต๊ะอะไรจะวางตรงไหน
ส่วนพี่เชนยุ่งวุ่นวายอยู่กับเซิร์ฟเวอร์ตัวใหญ่ของบริษัทที่เพิ่งจะถอยออกมาใหม่ต้อนรับออฟฟิศใหม่โดยเฉพาะ
คือพี่แกหวงไอ้ลูกชายตัวใหม่แกมาก
ถึงขนาดจะตั้งชื่อให้แต่โดนผมเบรกไว้ก่อนสรุปตอนนี้คือยังไม่มีชื่อเรียก
ผมเลยเรียกไอ้ละลายทรัพย์ไปก่อน เพราะราคามันที่สูงมาก คือมันมากจนผมตกใจจริงอ่ะ
“พวกมึงเรียนจบกันหมดทุกคนแล้วดิ่”
พี่เชนหันมาถามพวกเพื่อนผม ผมกำลังต่อสายเครื่องคอมพิวเตอร์ระโยงระยางเต็มพื้นเงยหน้าขึ้นไปมอง
“ถ้าจบแล้วแต่ยังไม่มีที่ไปก็มาทำงานกับกูได้
เงินเดือนไม่สูงบอกไว้ก่อนขอแค่พวกมึงมีใจจะช่วย”
“จริงเหรอครับพี่ พี่พูดจริง ๆ เหรอ”
ไอ้บาสท่าทางตื่นเต้นน่าดู ปกติพวกมันจะได้ค่าแรงเป็นงาน ๆ วัน ๆ
แต่นี่คือพี่เชนชวนมันมาทำเป็นพนักงานประจำ
“จริงดิ่”
“ขอบคุณครับพี่เชน / ขอบคุณครับพี่” หมาสองตัวพูดขึ้นพร้อมกัน
พวกมันก็ยังคงติดผมเสมอวันไหนที่ไม่ได้ทำอะไรมันก็จะมาขลุกตัวอยู่ที่นี่ ช่วยงานโน่นนี่พี่เชนชอบมันมากเลย
นับจากนั้นมางานเราก็เริ่มเดิน
ออฟฟิศเริ่มเข้าที่เข้าทาง ผมมีโต๊ะประจำตัวด้วยนะ ตัวใหญ่เลย พี่พิมเลือกให้ใหม่เธอบอกว่าต้องใช้ตัวใหญ่
ๆ เพราะผมต้องใช้คอมสามเครื่องขึ้นไปวางไว้คู่กัน ยังไม่รวมพวกแลปท็อปต่าง ๆ ส่วนของพี่เชนนี่อย่าถามเลยครับผมแอบอิจฉาเฮียนิดๆคือเครื่องคอมวางเรียงไว้เป็นแนวโค้งประมาณสี่ห้าเครื่องเห็นจะได้
ไม่อยากนับว่ะแม่งสะท้อนใจ
“ปิง
กูหิวกาแฟ” พี่เชนละสายตาจากหน้าจอมองมาที่ผม
ผมเองกำลังมีสมาธิกับงานตรงหน้ามองดูเวลา
ก็เออสมควรจะเบรกได้แล้วมั้งคือเราโต้รุ่งกันมาตั้งแต่เมื่อคืนหยุดกินข้าวตอนเช้าแค่สิบนาทีจากนั้นลุยงานต่อ
จนตอนนี้สี่ห้าโมงเช้าคงได้เวลาพี่เชนกินกาแฟแล้ว
คือเดี๋ยวนี้ผมรู้เวลาที่พี่เขาจะกินกาแฟอาบน้ำหรือทานข้าวผมจะเป็นคนเตรียมทุกอย่างไว้รอ
“พี่จะกินข้าวเลยไหมครับ
ลูกอมขนมหรือน้ำหวานอะไรแบบนั้น” ผมวางกาแฟลงที่โต๊ะให้ พี่เชนส่ายหัวปฏิเสธ
คือเอาจริง ๆ เลยนะผมถามเพราะรู้ว่าเดี๋ยวเฮียแกต้องจับบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบแน่
ผมอยากให้พี่เขากินอย่างอื่นแทนบุหรี่ เลยลองถามออกไป
“มีอะไร” เสียงทุ้มถามขึ้น เพราะผมนั่งจ้องพี่เขาอยู่ พี่เชนคาบบุหรี่ไว้ที่ปากมือพรมอยู่ที่แป้นคีย์บอร์ด
หันมามองเพราะเห็นว่าผมเงียบไปเราสองคนนั่งอยู่ข้าง ๆ กัน ผมเอียงหน้าเข้าไปมองดูพี่เขาใกล้ ๆ
ไม่เข้าใจทำไมถึงได้ติดบุหรี่นัก พี่เชนมองมาที่ผม ผมเลยเลื่อนเก้าอี้เข้าไปใกล้พี่เขาอีกนิดเอื้อมมือไปดึงบุหรี่ออกมาจากปากพี่เขาเลย
พี่เชนมองผมใหญ่ เราสองคนสบสายตากันพอดี
ผมบี้ก้นบุหรี่ที่เหลือกว่าครึ่งมวนลงที่จานเขี่ย หันไปมองดูพี่เชนอีกครั้ง
สายตาคมกริบยังคงจ้องผมนิ่ง แต่ผมไม่หลบเลยนะคือผมอยากให้พี่เขารู้ว่าผมหวังดีจริง
ๆ ผมไม่ได้ทำอะไรผิด
พี่เชนนิ่งไปครู่นึง
“ทำไม? มึงแพ้เหรอ”
“เปล่าครับผมไม่ได้แพ้หรอก”
แต่ผมไม่อยากให้พี่สูบอีกมันอันตราย อันนี้ผมคิดต่อแต่ไม่ได้พูดออกไป
ผมใช้สายตาสื่อสารอยากให้พี่เขารู้ ไม่รู้ว่าพี่เชนจะเข้าใจผมไหม
แต่คุณเชื่อไหม....
นับตั้งแต่วันนั้นมาผมไม่เคยเห็นพี่เชนสูบบุหรี่อีกเลย
ผมจะโดนใช้ไปซื้อลูกอมไม่ก็หมากฝรั่งตลอด ซึ่งผมก็เต็มใจนะ เดี๋ยวนี้ก่อนผมจะเข้าออฟฟิศผมจะต้องแวะเซเว่นซื้อลูกอมติดกระเป๋าไปฝากพี่เชนทุกครั้งเลย
ไม่ก็พี่เขาโทรมาบอกให้แวะซื้อเข้าไปด้วย
เลยกลายเป็นว่าหน้าที่ผมพกไอ้ของกินเล่นพวกนี้ให้พี่เขาไปแล้ว
เย็นวันนั้นผมกับหมาบาสและไอ้วุฒินัดไปเตะบอลกันอีก
ช่วงนี้ค่อนข้างห่างเพราะงานเยอะขึ้น บางวันต้องเฝ้าออฟฟิศแทนพวกพี่เขา มีพนักงานมาเพิ่มใหม่ด้วยนะสามคน
พี่พิมจ้างไว้แบบรายเดือนเลย เป็นพนักงานประจำ
ทำเกี่ยวกับเอกสารคนนึงที่เหลือก็ลูกมือผมกับพี่เชนเป็นเด็กช่างซ่อมบำรุง น้องเขาเก่งใช้ได้เลย
“หมาปิง
วันนี้พวกกูแวะเข้าไปที่ร้านเห็นคุณนายบอกว่ามึงจะเปิดร้านให้แม่ใหม่เหรอวะ”
ไอ้วุฒิมันกำลังใช้เคาเตอร์เพนนวดลงที่หน้าแข้ง
คือเมื่อกี้มันไปสับหน้าแข้งกับรุ่นพี่ในสนามเจ็บดิสัส
“เออใช่ กูก็ว่าจะบอกพวกมึงอยู่เนี่ย”
“ใช่ที่พี่พาพวกผมไปดูวันนั้นป่ะ”
ไอ้บาสมันถามล้มตัวลงนอนที่ตักผมอย่างเคย
“อือฮึ ที่นั่นแหละ
มันเป็นที่ดินของบ้านพี่พิมเขาคุณแม่พี่เขาใจดีมากขายให้กูในราคาที่กูสามารถจะจ่ายได้
พี่พิมช่วยพูดให้
มันไม่ใหญ่หรอกนะแต่คือมันเป็นบ้านสวนกูเลยว่าจะดัดแปลงด้านหน้าเป็นร้านส้มตำที่แม่กูชอบ
แล้วด้านหลังจะสร้างเป็นบ้านหลังเล็กๆชั้นเดียวสไตล์รีสอร์ทไว้ให้แม่กับพี่ขมอยู่
มีร้านก็ดีเหมือนกันแม่จะได้ไม่เหงา”
“มึงนี่มันโคตรของความกตัญญูเลยว่ะปิง เงินทุกบาททุกสตางค์ทำเพื่อครอบครัวจริง
ๆ คือกูภูมิใจมึงมากนะรู้ป่ะ”
ไอ้วุฒิหันมามองผมทำหน้าจริงจัง
มันสอดมือเข้ามาลูบหัวผมด้วยผมเลยผลักมือมันออกแล้วด่า
“ไอ้เหี้ย! กูรู้มึงหลอกเอายาทาขามาเช็ดหัวกู” มันหัวเราะหึหึ
ดีใจมากอ่ะดิที่แกล้งผมได้
“ใช่ ๆ
นี่ยังไม่นับเมื่อต้นปีลูกพี่เพิ่งจะซื้อรถให้คุณนายแม่อ่ะ”
“โอ๊ยก็แค่รถกระบะคันเล็กๆน่ะเผื่อไว้ให้แม่กับพี่ขมใช้
เกิดอยากไปไหนมาไหนกัน
แล้วพี่ขมก็ขับรถได้ที่สำคัญเวลาฝนตกจะได้ไม่ลำบากเหมือนแต่ก่อนด้วย”
“ผมโคตรนับถือพี่เลยนะรู้ป่ะ
พี่รวยแล้วนะพี่ปิงมีเงินซื้อที่ดินซื้อบ้านทำร้านที่กรุงเทพได้ไม่ธรรมดาแล้ว”
“กูรวยที่ไหนกูก็ยังเป็นหมาปิงเป็นไอ้ปิงเป็นพี่ปิงคนเดิมของพวกมึงนั่นแหละ
ดูดิ่กูยังขับรถมอไซด์คันเก่าของกูเลยมึงก็เห็น”
“แต่พี่ก็เป็นถึงหนึ่งในเจ้าของบริษัทอ่ะ”
“นั่นก็เพราะพี่ๆเขาเอ็นดู กูก็แค่โชคดีแล้วก็ขยันตั้งใจขยันทำงานช่วยพี่เขา
พี่เชนน่ะลำบากยิ่งกว่ากูอีกนะทำงานไม่ค่อยได้นอนหรอก”
“เดี๋ยวนี้อะไรก็พี่เชนนะพี่
เดี๋ยวก็แวะซื้อขนมให้พี่เชน เดี๋ยวก็แวะซื้อลูกอมให้พี่เชน
เดี๋ยวก็กาแฟยี่ห้อนี่พี่เชนชอบ ไม่ใช่ว่าลืมคุณพี่เอย์ไปแล้วหรอกนะพี่”
ผมตัวชาไปเลยกับคำแซวที่ไม่ได้ตั้งใจของหมาบาสมัน
ความรู้สึกจุกที่อกตีตื้นขึ้นมาอีกแล้ว ตรง ๆ เลยนะสองปีมาแล้วที่ผมกับพี่เอย์ไม่ได้ติดต่อกันเลย
ไม่ใช่ว่าผมลืมพี่เอย์ ไม่ใช่ว่าผมไม่คิดถึง ไม่ใช่ว่าผมท้อที่จะรอคอย
แต่คือทำไมถึงไม่มีอะไรตอบกลับมาให้ผมบ้างเลย
ผมไม่เข้าใจ พี่เอย์ยังเห็นผมมีตัวตนอยู่บ้างไหม? ผมก็คนนะมีความรู้สึกมีหัวใจ
ขอร้องเถอะถ้าพี่เอย์ยังคิดว่ารู้จักผมอยู่ช่วยติดต่อกลับมาบ้างสักครั้ง
.....ครั้งเดียวก็ยังดี....
“เออแล้วเรื่องงานที่พวกเราไปสมัครไว้ที่ศูนย์รถของฮอนด้าเป็นไงบ้างวะ
ผลจะออกพรุ่งนี้แล้วนะเว้ยวุฒิมึงต้องไปตามผลมาให้กูด้วย พรุ่งนี้กูกับพี่เชนมีติดต่อคุยงานกับลูกค้า
กว่าจะเข้าบริษัทคงเย็นรอบเดียวเลยถ้ามึงมาแล้วไปรอกูอยู่ที่นั่นก็ได้” ผมเปลี่ยนเรื่องพูด
ตรงๆเลยนะคือยิ่งพูดเรื่องพี่เอย์ยิ่งเจ็บหัวใจว่ะ
ทางที่ดีมุ่งเรื่องงานทำแม่งมันจนลืมนั่นแหละ
“มึงนี่มันก็แปลก
เป็นถึงเจ้าของบริษัทแทนที่จะแต่งตัวหล่อๆหรูๆดั๊นอยากจะมาใส่ชุดหมีเป็นช่างฟิตที่อู่รถ
หมาปิงมึงแม่งโคตรของความประหลาด พวกกูเลยพลอยประหลาดไปกับมึงด้วย สัส!”
ผมยันพุงมันไปที มันจับขาแล้วล็อคไว้เลย เดี๋ยวนี้สู้แรงมันไม่ค่อยได้แม่ง
ไอ้บาสมันบอกวุฒิมันแอบไปเล่นกล้ามมาผมแอบสังเกตนะไม่เห็นว่ามันจะกล้ามขึ้นตรงไหนยังก้างเหมือนเดิมเหอะ
“เท่ว่ะพี่ตอนเช้าไปทำงานที่อู่รถเป็นช่างฟิตใส่ชุดหมี
ตอนเย็นหิ้วกระเป๋าไปซ่อมบำรุงดูแลเครื่องตามบริษัทต่าง ๆทั้งที่เป็นถึงเจ้าของ
พี่ปิงแม่งสุดยอดเลยอ่ะเดี๋ยวนี้ได้ยินพี่เชนบอกว่าปล่อยพี่ลุยเดี่ยวได้แล้วนี่”
“ก็เฉพาะบริษัทเล็กๆหรอก งานใหญ่ ๆ
กูยังต้องคอยเป็นลูกมือฝึกกับพี่เชนอยู่อีกมากเลย นั่นน่ะอาจารย์กูเลยนะ”
“เหนื่อยไหมมึง” หมาวุฒิมันหันมาถามหน้าตาจริงจัง
“เหนื่อยดิ่ แต่กูชอบนะ” ทำงานเยอะๆๆๆ มันทำให้กูลืมๆอะไรบางอย่างไปได้มากอยู่เหมือนกัน
.
.
“ปิงครับลูก แม่ใช้เครื่องเก็บเงินแบบนี้ไม่ค่อยเป็นเลย
มาดูให้แม่ทีสิลูก”
“คร้าบผม”
ตอนนี้ผมเปิดร้านให้แม่กับพี่ขมใหม่แล้วนะ
เราย้ายออกมาไกลจากที่เดิมไม่มากนักหรอก อย่างที่เคยบอกไปว่าที่นี่เป็นบ้านสวนที่ผมขอซื้อต่อมาจากคุณแม่ของพี่พิม
คือเป็นที่ดินที่มีคนเอาไปจำนองไว้แล้วมันหลุดมานานหลายสิบปีแล้ว คุณป้าเขาเลยยอมขายให้ผมในราคาที่ถูกมากๆเพราะได้พี่พิมกับพี่เชนขอร้องช่วยด้วยอีกคน
คุณป้าแกเลยใจดียอมขายให้
ผมทำหน้าร้านให้แม่เป็นเรือนไม้เล็กๆ
มีบันไดสองสามขั้นเดินขึ้นมา
มีชานไม้ระแนงยื่นออกมาสำหรับลูกค้านั่งกินข้าวกินอาหารกินส้มตำได้
ผมลงต้นลีลาวดีต้นใหญ่ที่หน้าร้านด้วยนะ
กำลังออกดอกสวยเลยกลิ่นหอมมากถ้านั่งอยู่ที่ระเบียงนี่คือสามารถยื่นมือมาเด็ดดอกไม้ได้เลย แล้วถ้าเดินออกไปที่ด้านหลังก็จะเจอบ้านหลังเล็กๆของแม่ผม
บ้านชั้นเดียวมีสองห้องนอน ห้องแม่กับพี่ขมแล้วก็ห้องของผมเอง
แต่ผมไม่ค่อยได้กลับมานอนหรอกนะครับ
ตอนนี้หมกหัวหมกตัวอยู่ที่ออฟฟิศซะส่วนใหญ่กินนอนอยู่ที่นั่นเลย
พี่พิมซื้อชั้นสองเพิ่มไว้อีก ผมกับพี่เชนยึดกันคนละห้องเสื้อผ้าของใช้ที่หอผมก็ย้ายไปไว้ที่ออฟฟิศนั่นแหละ
“แม่อยากเก็บเงินใส่กระป๋องแบบเดิมมากกว่า เครื่องคิดเงินแบบนี้คิดยาก
แล้วเดี๋ยวนี้ไม่ได้ตำส้มเองแม่รู้สึกแปลกๆ ปิงแหละหาใครมาช่วยแบบนี้แม่เหงานะลูก”
“โถ่แม่ครับมีพี่ๆเขามาช่วยแม่แล้วตั้งสองคนความจริงแม่ไม่ต้องทำอะไรเลยก็ได้ปล่อยให้พี่ๆเขาทำแล้วแม่ก็นั่งรอเก็บเงิน
ลูกค้าเก่าก็ตามมาตั้งเยอะถ้าใครติดใจขอให้แม่ตำแม่ก็ค่อยลงมือแล้วกันนะครับนะ
ปิงไม่อยากให้แม่เหนื่อย พักบ้างดูแลต้นไม้ดูแลร้าน
แม่ดูพี่ขมสิครับหน้าตามีความสุขมากเลยคุมลูกจ้างเรื่องความสะอาดของอาหาร
แม่พักให้สบายเถอะนะครับ”
ผมพูดแล้วหยิบเงินจำนวนหนึ่งมากพอสมควรยื่นให้
แม่มองผมด้วยความตกใจอีกแล้ว
“ปิงลูก! ปิงไปเอาเงินมาจากไหนเยอะแยะ
ทั้งรถทั้งบ้านทั้งร้าน แค่สองสามปีมานี่ลูกแม่ทำงานหนักขนาดไหนกันลูก” ผมสวมกอดเอวแม่ไว้อย่างที่ชอบทำ
แม่โอบมือเอาตัวผมกระชับเข้าไว้แนบอก
“ปิงทำทุกอย่างเพื่อแม่ เพื่อครอบครัวของเรา
แม่ไว้ใจปิงได้ ปิงเป็นเด็กดี ปิงทำงานกับพี่เชนพี่พิม
ปิงโชคดีได้พี่ๆเขาเอ็นดูทำให้ปิงมีคืนวันดีๆแบบนี้กับแม่และพี่ขมได้
ทุกๆอย่างของพวกเราดีขึ้น ความจริงแม่ไม่จำเป็นต้องทำงานเลยก็ได้แต่ปิงกลัวแม่จะเหงาครับ
บางทีได้คุยได้เจอกับลูกค้าบ้าง
มีคนโน้นคนนี้เข้ามาชวนคุยทักทายกันบ้างแม่ก็จะมีความสุขและสบายใจ
ปิงทำงานหนักแค่ไหนปิงไม่เหนื่อย ปิงรักแม่ ปิงรักพี่ขม ปิงมีกำลังใจ”
น้ำตาแม่รื้นขึ้นมา
“.....เด็กดี ขอให้ลูกเจริญขึ้นนะลูกนะ
ทำอะไรก็ขอให้ก้าวหน้า มีแต่คนรักคนเอ็นดู เด็กดีของแม่” มือเล็กแต่อบอุ่นลูบหัวผมทั้งที่มีรอยน้ำตาจนคลอหน่วย
คำอวยพรของแม่ศักดิ์สิทธิ์เสมอ ผมขโมยหอมแก้มคุณนายไปทีมองเห็นพี่ขมยืนยิ้มอยู่ไม่ไกลเลยเดินไปหาแล้วแอบจุ๊บไปเบาๆเหมือนกัน
คืนนั้นผมแวะเข้าไปที่ห้องหรูคุ้นตา ห้องที่มีคนที่ผมรักเป็นเจ้าของ
ห้องที่ผมเคยมาทำอาหาร เก็บกวาดทำความสะอาด เช็ดกระจก ปัดโต๊ะ ล้างแก้ว ดูดฝุ่น ซึ่งแม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานมากเพียงใด
แต่ผมก็ยังจะแวะมาที่นี่ทุกครั้งที่ว่างเสมอ
ผมแหวกม่านออกนิดหน่อยให้พอได้มองเห็นวิวเจ้าพระยาจากมุมสูง
มุมที่ผมคนนี้เคยมายืนมองบ่อยๆ เมื่อก่อนโน้น ถึงแม้จะดึกดื่นแบบนี้แต่วิวที่ผมยืนมองอยู่
ณ จุดนี้สวยงามเสมอ
เหมือนเมื่อสามปีที่แล้วไม่มีผิด
อดคิดไม่ได้ว่าบางที...ถ้าพี่เขามายืนมองอยู่กับผมตอนนี้ได้
เราสองคนจะมีความสุขมากเพียงไหน ผมจะพิงไหล่พี่ จะส่งยิ้มให้ จะคว้าเอามือของพี่มาจับเอาไว้ให้แน่นๆ
และจะสวมกอดเข้าที่เอวแล้วซุกหน้าเข้าที่อกแล้วพี่ก็จะด่าผมว่า ‘ขี้เหร่เอ๊ย’
“จะสามปีแล้วนะพี่ พี่เอย์ยังไม่กลับมาอีกเหรอครับ
ผมแวะมาทำความสะอาดห้องให้พี่ทุกอาทิตย์เลยนะ ถึงงานผมจะยุ่งแค่ไหน แต่ผมไม่เคยลืมห้องๆนี้เลย
สถานที่ๆทำให้ผมได้พบเจอกับเจ้าของหัวใจ พี่ไม่ติดต่อมาเลยแม้ว่าผมจะพยายามสักเท่าไหร่
พี่ไม่เห็นข้อความของผมเหรอครับ หรือตั้งใจจะตัดผมออกไปจากชีวิตพี่แล้ว หรือเพราะว่าพี่ยุ่งมากจนไม่มีเวลาที่แม้แต่จะตอบกลับมาเป็นคำอะไรก็ได้แม้สักคำ
สั้นๆ พอให้ผมคนนี้ได้มีรอยยิ้มในหัวใจบ้าง”
เกือบสามปี...สามปีที่ผมเฝ้าขีดปฏิทินให้พี่วันแล้ววันเล่า
นาฬิกาที่หมดถ่านผมก็ซื้อถ่านมาเปลี่ยนให้แล้ว
ความจริงผมควรจะรู้ตัวตั้งแต่วันที่พี่ไม่ติดต่อกลับมาครบหนึ่งปีแล้วนะ
แต่ผมก็ยังดันทุรังจะรอ ผมรอจนครบสองปีนึกว่าพี่จบแล้วจะกลับมาซะอีกแต่ทุกอย่างคือยังเงียบ
พี่ยังไม่กลับมา....
....ผมเก่งนะ ผมรอเก่งใช่ไหม?? แม้ว่าผมจะรออย่างไม่มีจุดหมายไม่มีคำตอบอะไรเลย
แต่ผมก็ยังจะรอ....
ทุกอย่างตอนนี้สำหรับผมคือศูนย์มากมายจริง ๆ
ผมรู้สึกว่าผมไม่มีอะไรของพี่ที่ยึดเหนี่ยวผมไว้ได้เลย ระหว่างเราเชือกที่ผูกกันไว้มันบางเบาลงทุกที
ซึ่งผมไม่อยากให้ตัวเองรู้สึกแบบนั้น วันไหนที่ผมอ่อนแอหรืออ่อนไหวผมจะแวะมาที่ห้องนี้ของเรามองดูเตียงใหญ่หลังนั้นในห้องที่เราสองคนใช้ร่วมกันมา
วันสุดท้ายก่อนที่พี่จะไปพี่กอดผมไว้ ผมยังจำคำพูดของพี่ได้ทุกคำ แม้ว่าเวลาจะผ่านไป
แม้ว่าความรู้สึกจะเลือนรางลง แต่ถ้อยคำของพี่ในวันนั้นยังคงดังกึกก้องสะท้อนอยู่ในใจของผมเสมอ
“รักมึงนะ”
นั่นคือพี่โกหกผมใช่ไหม ไม่มีอะไรจริงจังเลยเหรอครับ พี่ได้ผมแล้วพี่ก็ไปผมไม่ว่า แต่พี่ไม่เคยติดต่อกลับมาหาผมอีกเลยแม้สักครั้งมันคือการฆ่าผมทั้งเป็นเลยไม่ใช่เหรอ
ผมคิด...ผมรอ...จนผมไม่รู้แล้วว่าผมควรจะทำอย่างไรยังไงต่อไป
ผมโกรธนะไม่ใช่ไม่โกรธ ความรู้สึกไม่เข้าใจเต็มตื้ออยู่ในอก
ถาโถมอยู่ในหัวใจดวงนี้
“พี่เอย์....พี่แม่งโคตรใจร้ายเลยว่ะ”
ผมเปิดเข้าไปที่ห้องนอนใหญ่ มองดูเตียงสีขาวที่เราสองคนเคยใช้ร่วมกันมา ที่นอนถูกเก็บไว้เป็นระเบียบตั้งแต่เมื่อสามปีที่แล้ว ไม่มีอะไรที่ผมต้องเก็บเพิ่มเติมอีกแล้ว ห้องน้ำที่พื้นหินขัดแห้งสนิท อ่างน้ำสีขาวที่เราสองคนเคยมีความสุขด้วยกัน
ผมไม่รู้...นับจากวันนี้เมื่อไหร่ถึงจะได้แวะมาอีก ตะกอนในใจขุ่นคลั่ก ความรู้สึกน้อยใจเอ่อล้น ท่วมท้น เมื่อผมรับรู้อยู่เสมอว่าพี่เอย์ยังติดต่อกับคนอื่น ๆ อยู่ตลอด มีแต่ผมคนนี้เท่านั้นที่พี่ไม่เคยได้ติดต่อกลับมาเลย....แม้แต่ครั้งเดียว
ทำไม?
เวลาสองปีกับอีกสิบเดือนมันยาวนานมากนะพี่รู้ไหม.....หนึ่งพันกับอีกสามสิบวัน สองหมื่นสี่พันเจ็ดร้อยยี่สิบชั่วโมง หนึ่งล้านสี่แสนแปดหมื่นสามพันสองร้อยนาที จนถึง แปดสิบแปดล้านเก้าแสนเก้าหมื่นสองพันวินาที
ทุกๆลมหายใจของผมคนนี้ ในหัวใจยังคงมีแต่คำว่า ‘พี่เอย์’
แต่ทว่า....
พี่ล่ะครับ....พี่นับวัน นับคืน ทุกเวลา ทุกนาที เหมือนผมคนนี้ไหม เมื่อไหร่เหรอ?? เมื่อไหร่ที่ผมจะได้เจอพี่อีกสักครั้ง...คำถามมากมายเกิดขึ้นในหัวเต็มไปหมด
ผมกลัวนะ...กลัวว่าระหว่างเราจะเปลี่ยนไปแล้ว? กลัวว่าพี่จะลืมทุกอย่างของเราไปแล้ว? กลัวว่า ที่เก่าที่ผมเคยยืนบัดนี้ จะมีใครบางคนมายืนแทนที่ผมแล้วหรือยัง? เวลาสามปีไม่สั้นเลยสำหรับคนที่รอคอยอย่างผม ผมเคยบอกตัวเองนะ อย่าคิดมาก! แต่มันช่วยไม่ได้จริง ๆ ช่วงเวลาที่ยาวนานเกินไปกับหัวใจที่อ่อนแอลงเรื่อย ๆ
โทรหาผมบ้าง....แม้ว่าพี่จะมีใครคนใหม่แล้ว
ตอบเมลผมบ้าง...แม้ว่าพี่จะต้องเสียเวลาบอกกับเขาคนนั้น ว่าพี่กำลังทำงานยุ่ง
อ่านไลน์ผมบ้าง...ถึงแม้ว่าพี่อาจจะต้องโกหกใครคนนั้นว่าผมเป็นแค่น้อง
ทำอะไรก็ได้ ให้ผมรู้ว่าพี่ยังรักผมอยู่บ้าง...และยังไม่มีใครคนอื่น
....ครั้งเดียว แค่ครั้งเดียวก็ได้....
ผมทิ้งตัวนั่งลงที่โซฟาอย่างหมดแรงเมื่อคิดได้ว่าวันนี้ ทุกอย่างของเราคงจะต้องจบลงแล้วจริง ๆ ผมคงต้องยอมรับความเป็นจริงได้แล้ว
ผมรอคอยมานานมากแล้ว นานมากๆสำหรับคนที่เฝ้านับทุกคืนวันโดยที่ไม่รู้จุดหมายเลยว่าต้องนับไปจนถึงเมื่อไหร่
แค่นยิ้มสมเพชให้กับตัวเอง ไม่น่าเชื่อว่าผมจะหลอกตัวเองมานานเกือบสามปีเต็ม
คำว่ารักของพี่.....กับการรอคอยของคนโง่อย่างผม
ผมยังจะรอพี่อยู่ไหม??
ผมถามตัวเองอีกครั้งขณะที่มือจับลูกบิดประตูไว้แน่น หันกลับมากวาดตามองรอบห้อง นึกถึงคืนวันเก่า ๆ
ของเราที่ดูเหมือนจะเลือนรางลงไปมาก
พี่ทำกับผมขนาดนี้...ผมเจ็บปวดเจียนตายขนาดนี้
ผมยังจะรอพี่อยู่อีกหรือไม่??
ใจผมคนนี้....จะทานทนได้อีกนานแค่ไหนกัน
“ไม่ต้องรอกู
ถ้ามึงเจอใครที่ดีกว่าอย่าปิดโอกาสตัวเอง”
......ผมยังไม่อยากทำอย่างนั้น........
เพราะว่าห่างเหลือเกิน
เพราะฉันอยู่แสนไกล
บอกตรงๆหัวใจฉันยังหวั่น
ก็ยังห่วงว่ารักจริงอาจจะแพ้ใกล้ชิดกัน
อาจจะทำทุกอย่าง.....เปลี่ยนไป
Tbc.