Aeton's Part
# 22 I miss you.....
สูทสีเข้มถูกพาดลงที่เบาะหรูของเก้าอี้โดยสารชั้นเฟิร์สคลาส
บรรยากาศบนเครื่องเที่ยวบินหกโมงเช้าเงียบเหงาและวังเวง
ผมเอนตัวลงที่พนักพิง
ถอนใจยาวด้วยความเหนื่อยล้า แว่วเสียงประกาศบอกให้รู้ว่าเครื่องบินไต่ระดับได้ที่แล้ว เปลือกตาหนักอึ้งถูกปิดลงอย่างเชื่องช้า
พร้อมๆกับเสียงเปียโนนุ่มถูกถักทอร้อยเรียงออกมาเป็นเสียงดนตรีหวานซึ้ง เศร้าสร้อย
ทว่าแผ่วเบา
.....จุดมุ่งหมายที่แสนไกล.......
แต่หัวใจผมยังคงวางอยู่ที่นี่.........ข้างๆมันเสมอ.........................................ปิง
“พี่เอย์ครับ ถ้าพี่ได้ผมแล้วพี่ยังจะเป็นพี่เอย์คนเดิมของผมอยู่ไหม”
“ไม่ว่าจะกี่ปีผ่านไป กูก็ยังจะเป็น ‘พี่เอย์’ คนเดิมของมึง กูสัญญา”
“น้องเอย์”
ซองสีน้ำตาลขนาด
6x8 ถูกเลื่อนส่งมาต่อหน้าผม
โต๊ะทำงานตัวใหญ่ของที่บ้าน ในห้องทำงานของคุณแม่ที่ผมคุ้นชินมาตั้งแต่เด็ก
ผู้หญิงทำงานที่สวยมากคนหนึ่งซอยผมทะมัดทะแมง
คุณแม่จะใส่สูทผ้าไหมอยู่เสมอ ชุดทำงานที่เป็นกางเกงเรียบหรู
คุณแม่ไม่ชอบใส่เครื่องประดับ เล็บมือขาวสะอาดไม่เคยแต่งแต้มสีสันจัดจ้าน
มีเพียงแหวนเพชรวงเล็กๆที่คุณพ่อเป็นคนให้สวมไว้ตั้งแต่ผมยังเด็ก
“มีอะไรจะพูดกับแม่ไหมลูก”
ผมหยิบซองขึ้นมาเปิดดู
แค่เห็นสิ่งที่อยู่ข้างในนั้น ผมถึงกับอึ้งไป
นึกได้ในทันทีว่าเพราะอะไรที่ทำให้คุณแม่ไปรับผมมาจากคอนโดวันนี้ทั้งที่ท่านไม่เคยไปที่ห้องผมเลยแม้แต่ครั้งเดียว
ผมเงยหน้าขึ้นสบสายที่รอผมอยู่นานแล้ว ความเงียบเข้าปกคลุมเราสองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ผมจะตัดสินใจเอ่ย
“ตามที่คุณแม่เห็นเลยครับ”
ภาพถ่ายผมกับปิงเมื่อตอนที่เรานั่งทานข้าวกันอยู่ที่ร้านกล้วยน้ำว้าเขาใหญ่
ในภาพผมซบไหล่มัน ต่อให้เป็นเด็กประถมก็ยังสามารถบ่งบอกความสัมพันธ์ของผู้ชายสองคนในรูปได้เลยว่าไม่ใช่แค่เพื่อนรุ่นพี่รุ่นน้องธรรมดาแน่นอน
“หมายความว่ายังไง”
เสียงเธอเครียดขึ้น สีหน้าและแววตาคือกำลังกดดันผมอยู่
“ผมกับปิงเราคบกันอยู่”
“เอย์ตั้น!” เธอลุกพรวดขึ้น พูดเสียงดังอย่างที่ไม่เคยทำ ผมรู้คุณแม่คงตกใจไม่น้อย ตาดวงเล็กจ้องผมเขม็งจนคุณพ่อที่นั่งอยู่ที่โซฟาด้วยนานแล้วเดินเข้ามาหาแล้วบีบลงที่บ่าผมเบา
ๆ
“รันใจเย็น ๆ
ค่อยพูดกับลูก” เสียงคุณพ่อปราม คุณแม่มองผมนิ่งสายตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความผิดหวัง เธอข่มลมหายใจก่อนนั่งลงที่เก้าอี้ใหญ่ตัวเดิม
คุณพ่อยังคงยืนนิ่งอยู่ข้างๆผมไม่ยอมห่าง ผมเงยหน้ามองท่าน ปกติคุณพ่อจะไม่ค่อยอยู่บ้านเดินทางไปมาต่างประเทศตลอด
บังเอิญมากจริง ๆ ที่วันนี้ท่านอยู่บ้านด้วย พ่อพยักหน้าเบา ๆ คล้ายให้กำลังใจ
ผมไม่รู้ว่าพ่อรู้สึกยังไง
แต่ไหนแต่ไรมาเรื่องภายในบ้านจะเป็นคุณแม่ที่เป็นคนตัดสินใจ คุณพ่อจะรับผิดชอบเรื่องเกี่ยวกับธุรกิจระหว่างประเทศ
ท่านสองคนจะแบ่งหน้าที่กันชัดเจน เพราะอย่างนั้นเรื่องผมวันนี้คุณแม่จึงรับหน้าที่เป็นคนคุย
“รู้จักกันนานหรือยัง”
คุณแม่ถาม
“สักพักแล้วครับ”
“พักนึงของลูก
กี่เดือน? กี่ปี? หรือกี่วัน?”
“หกเดือนกับอีกสิบสี่วันครับ”
ผมตอบโดยที่ไม่ต้องคิดเลย คืนวันที่ผมกับมันใช้ร่วมกันมา ไม่เคยมีวันไหนที่ผมไม่ได้นับแล้วกาลงไปที่ปฏิทิน
“......................”
เธอนิ่งไปกับคำตอบของผม เบือนหน้าไปอีกทาง ในตาดวงสวยคล้ายมีน้ำรื้นขึ้นมานิด ๆ ผมเองก็เริ่มทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน
คือคุณเข้าใจไหมผมไม่เคยทำให้คุณแม่ร้องไห้เลยแม้แต่ครั้งเดียว
“แม่ครับ” ผมตั้งท่าจะลุกขึ้นอยากเข้าไปกอดเธอเพื่อปลอบใจ
แต่คุณพ่อกดบ่าผมไว้ พยักหน้าให้ผมอีกทีสายตาคือบอกให้ผมรู้ว่าตอนนี้อย่าเพิ่งทำอะไรทั้งนั้น
ผมมองดูคุณแม่อย่างร้อนรนทำอะไรไม่ถูก ผมไม่อยากทำให้เธอร้องไห้
“คุณก็อย่าเคร่งครัดกับลูกนักเลยน่า
อะไรปล่อยวางได้ก็ดีนะรัน ความสุขของลูกคุณน่าจะมองมันก่อนเรื่องอื่นไม่ใช่เหรอ” ถ้อยคำของคุณพ่อทำผมซึ้งใจจนน้ำตาคลอ
อย่างน้อยมีคุณพ่อที่ยังเข้าใจผม คุณแม่หันมามองผมอีกครั้ง
ก่อนถอนใจยาวคล้ายคนตั้งสติ
“ขึ้นไปอาบน้ำแล้วนอนซะ
พรุ่งนี้เช้าเอย์ต้องไปธุระให้แม่ที่ปราณบุรี ดึกแล้วเข้านอนเร็วหน่อยก็ดี”
คุณแม่พูดแล้วลุกเดินออกไปเลย แม้แต่คุณพ่อเธอก็ไม่หันมอง
“พ่อครับ.....”
“เอย์ตั้น
ความสุขของลูกคือลมหายใจของพ่อกับแม่ บางครั้งแม่รันเขาก็ลืมบ้าง
เอย์อย่าโกรธคุณแม่นะลูก ลองนึกดูดี ๆ เรื่องราวของลูกกับเด็กคนนั้น ความรัก
ความใคร่ หรือว่าเป็นความชอบฉาบฉวย ลูกเพิ่งรู้จักน้องเขาแค่หกเจ็ดเดือน
สิ่งเหล่านี้ลูกต้องเป็นคนที่ตัดสินใจเอง พ่อจะคอยมองดูอยู่ห่าง ๆ
ไม่ต้องกลัวถ้าเอย์คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างจริงจังและเป็นของแท้
สักวันนึงความมั่นคงของลูกและเด็กนั่นจะแสดงให้ทุกคนรู้ได้เอง”
คืนนั้นผมเข้านอนไปพร้อมกับคำพูดของคุณพ่อ
ผมคิดแล้วคิดอีกเรื่องราวของผมกับปิงมันคืออะไร ความรัก? ความใคร่? ความชอบฉาบฉวย?
ทำไมผู้ใหญ่ถึงได้มองดูแค่จุดนั้น เมื่อผมชอบมันผมไม่เคยคิดหาเหตุผลเลยว่านี่คือรักแบบไหน
รักแท้ รักปลอม ๆ หรือว่าแค่ชอบ ผมรู้แต่ว่า ผมรัก ผมรู้สึกดี ผมมีความสุขทุกครั้งที่ได้ใกล้ชิด
ผมอยากใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันกับมัน อยากตื่นขึ้นมาในตอนเช้าแล้วมีมันนอนอยู่ข้าง ๆ
ทั้งทุกข์ทั้งสุขเราจะแบ่งปันกันและกัน ผมไม่เคยคิดถึงเรื่องเงินทอง ฐานะหรือวงศ์ตระกูล
ผมรักปิงที่เป็นปิงจริง ๆ รักที่หัวใจของมันไม่เคยมองที่จุดอื่นนอกเหนือจากนั้นเลย
คุณเชื่อไหม....ผมสามารถทิ้งทุกอย่างได้นะ
ขอแค่ให้มันเอ่ยปากกับผมแค่นั้น
เช้าวันต่อมาผมกับเลขาของคุณแม่ไปปราณบุรีกันแต่เช้า
โครงการรีสอร์ทหรูริมทะเลสองแห่งอยู่ในลิสต์รายชื่อที่ต้องไปตามเก็บรายละเอียด
ปกติคุณแม่ยังไม่เคยให้ผมเก็บงานเอาท์ดอร์แบบนี้แต่วันนี้ท่านให้ผมเป็นคนทำ
และเลขาที่มาด้วยก็เป็นเลขาส่วนตัวของท่านที่เข้มงวดมากจนผมรำคาญ
คือเธอพูดๆๆๆแต่เรื่องงานกรอกหูผม แรกๆคือก็น่าสนใจนะแต่ทำไมดูเหมือนว่าเธอจะคอยขัดขวางทุกครั้งเวลาผมจับโทรศัพท์
รีบหาเรื่องงานมาคุยต่อกับผมอีก ดึงความสนใจผมทุกอย่าง พาผมทำโน่นนี่นั่นจนกระทั่งบ่ายแก่
ๆ เลยกว่าเราจะได้ออกจากปราณบุรีกัน
ผมส่งเธอลงที่บริษัทแล้วกดต่อสายหาหมาปิงทันทีเพราะเมื่อคืนผมไม่ได้โทรหาแล้ววันนี้ทั้งวันตั้งแต่เช้าผมก็ยังไม่มีโอกาสได้โทรอีก
มีแต่เสียงเรียกรอสาย
ผมโทรหามันตลอดทางที่จะเข้าคอนโดแวะเปลี่ยนชุดเพราะเหนียวตัวมาทั้งวัน
เห็นรถคันเล็กของผมจอดนิ่งที่ช่องจอดก็รู้แล้วว่าเมื่อคืนปิงตากฝนกลับแท็กซี่แน่ ๆ
ผมรู้สึกโมโหมันนะ ทำไมกันผมสั่งอะไรแล้วชอบขัดใจ
ผมกลัวว่ามันจะไม่สบายเลยบอกให้ใช้รถคันเล็กแทนเพราะกลัวมันจะเกรงใจหากจะบอกให้ใช้คันใหญ่ทั้งที่สองคันจอดอยู่ข้างๆกันเลย
ปิงเป็นคนแบบนี้เสมอ
ไม่เคยอยากได้อยากดีอะไรกับใครทั้งนั้น มันเป็นเด็กดีมากจริง ๆ
จนบางครั้งก็ทำให้ผมโมโห
คุณเชื่อไหมต่อให้ผมซื้อรถให้มันวันนี้เลยมันก็ไม่ยอมรับน้ำใจของผมหรอก
รถผมจอดลงแถว
ๆ สนามบอลที่ ๆ มันและเพื่อน ๆ จะชอบมารวมตัวกันเสมอในวันธรรมดากับเวลาเย็นย่ำแบบนี้
ความจริงคือผมเหนื่อยมากเลยนะขับรถทางไกกลไปกลับ แต่ในเมื่อต่อสายหาแล้วไม่รับแบบนี้มันคาใจกลัวว่ามันจะไม่สบายหรือมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
ผมเลยตัดสินใจออกมาหามัน
แต่ภาพที่ผมเห็นนี่ทำเอาผมโมโหมาก
มันนอนตักเพื่อนมันอยู่อ่ะ พวกหมาสามตัวผมรู้มันเพื่อนสนิทลุยไหนลุยกันแต่ไอ้ที่นอนเกลือกลิ้งกันอยู่ที่พื้นหญ้าแบบนี้มันใช่แล้วแน่เหรอ
แถมไอ้บาสยังจะนอนตักมันอีกทอดหนึ่ง พอผมเรียก มันสามตัวลุกขึ้นหน้าตาตื่นแตกกระเจิงกันไปคนละทิศทางเลย
“ทำไมไม่รับโทรศัพท์”
ผมนั่งลงบนหญ้านั่นแหละข้างๆมัน กางเกงแม่งฟิตนี่ขนาดสแลคนะแต่มันเป็นทรงเข้ารูปไง
เรื่องนั้นช่างมันก่อน ตอนนี้ผมอยากรู้ว่าทำไมมันถึงไม่รับสายผม
“ผมลืมมือถือไว้ที่ร้านน่ะพี่
ไม่ได้เอามาด้วยครับ”
“เมื่อคืนรอกูรึเปล่าโทษทีนะไม่ได้โทรหามึงเลยกูคุยธุระกับแม่จนดึกกลัวว่ามึงจะนอนแล้วเลยไม่อยากกวน วันนี้ก็ไปทำธุระให้ท่านเพิ่งจะกลับมาจากปราณบุรีเมื่อกี้นี้เอง”
“พี่เอย์ไปปราณบุรีมาเหรอครับ”
“ตั้งแต่เช้าเลย
แม่กูใช้ให้ไปดูโครงการก่อสร้างโรงแรมของบริษัท
นี่กูเหยียบสุดเลยเหอะ รีบมากทั้งขาไปขากลับไปกับเลขาคุณแม่อีกต่างหาก คุยแต่เรื่องงานกูนี่หูชาไปหมด
หาโอกาสโทรหามึงไม่ได้สักที
จนถึงเมื่อกี้นั่นแหละส่งเขาลงที่บริษัทค่อยได้โทร”
“พี่เอย์กินข้าวยังครับ”
มันถามเปลี่ยนเรื่องแล้วลุกขึ้นยืน ผมเองก็ลุกด้วยคิดว่าคงได้เวลากลับแล้วหรือต่อให้มันพาผมเดินเล่นแถว
ๆ นี้ผมก็จะทำ จู่ ๆ มือถือมันหล่นลงจากกระเป๋ากางเกงผมมองมันทันที
คือเมื่อกี้มันโกหกผม? ไหนว่าลืมโทรศัพท์ไว้ที่ร้าน? เพราะอะไร? ทำไม? คำถามมากมายในหัวเต็มไปหมด ผมสังเกตนะตั้งแต่ผมนั่งลงแล้วคุยกับมันแล้ว
ปิงหลบสายตาผมตลอดเหมือนคนไม่กล้าสู้หน้า ไม่อยากคุย พยายามหลีกเลี่ยง ผมเริ่มคิดหนักคือไม่รู้ว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้นกับมัน
“ไหนว่าลืมไว้ที่ร้าน?”
“...........”
มันเงียบไม่ตอบ เบนสายตาไปทางอื่นแล้วเริ่มเดิน
“กลับห้องด้วยกัน
วันนี้ค้างกับกู” ผมตัดสินใจดึงแขนมันแล้วพาเดิน คือผมต้องรู้ว่า ปิงเป็นอะไร??
ต้องมีเรื่องอะไรสักอย่าง? ผมต้องพามันกลับไปคุยให้รู้เรื่อง
“วันนี้ผมจะกลับห้องครับ
ไม่ได้ไปห้องพี่เอย์นะ”
“เป็นอะไร
นี่สายกูมิสคอลเป็นสิบอย่าบอกนะว่ามึงไม่ได้ยิน” ผมเลื่อนแล้วจิ้มมือถือมันดู
“ผมจะกลับแล้วพี่
ฝนจะตกแล้ว” คิดผมจะยอมง่าย ๆ เหรอ มันพูดแบบนี้คือจะหนีผมชัด ๆ ผมดึงแขนมันแล้วลากมาที่รถเลย
“พี่เอย์เดี๋ยวครับเดี๋ยว
ผมเอารถมา พี่กลับเลยก็ได้เดี๋ยววันหลังผม....
“กูต้องรู้นะว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น
หรือว่าโกรธที่กูไม่ได้โทรหาเมื่อคืน” ผมคาดคั้น
“เปล่าครับไม่ใช่แบบนั้น”
ปิงหลบสายตาผม
ลมพัดมาแรงมากผมจ้องหน้ามันนิ่ง รู้แล้วแน่ ๆ ว่ามันผิดปกติแต่ยังไม่ยอมพูดออกมาแค่นั้น
มันเดินไปจับมอไซด์แล้วขับออกไป ผมรีบขึ้นรถแล้วขับตามคือเส้นทางจากที่นี่ถึงหอพักมันใกล้มากแค่มันเลี้ยวทางฝั่งนี้ผมก็รู้แล้วว่ามันจะกลับห้อง ผมขับเข้าไปจอดไว้ด้านในไม่สนแม่งหรอกจะขวางทางตีนใคร
มันเดินถือขวดน้ำออกมาจากมินิมาร์ทพอดีผมเลยเดินเข้าไปหามันถามมันเรื่องที่จอดรถ มันดูลังเลแต่ก็ยังยืนรอผม
พอเลื่อนรถเรียบร้อยผมเดินตามมันขึ้นไปบนห้อง ห้องปิงคือรกมาก ครั้งหลังสุดเมื่อวานนี้น่าจะเป็นไอ้วุฒิกับไอ้บาสมานอนดูวีดีโอบ้าบออะไรของพวกมันแหละจนผมมาลากหมาปิงมันไปเขาใหญ่กับผม
“ห้องผมไม่มีข้าวให้พี่กินหรอกนะครับ
พี่ก็เห็นนี่แม้แต่ตู้เย็นยังไม่มีเลย พี่คิดว่าจะทนอยู่กับผมได้เหรอ” มันว่าขึ้นพร้อมนั่งลงรวบๆเก็บข้าวของที่เพื่อนๆตัวดีของมันรื้อไว้
“ก็มึงไม่ยอมกลับไปกับกูงั้นก็นอนนี่แหละ
ข้าวก็ไม่ต้องกิน กูนอนเลยละกัน มีห้องน้ำใช่ไหม หรือว่าเป็นห้องน้ำรวมอีก” ผมว่าประชดจริง
ๆ คือปวดนิดๆด้วยเลยเดินไปเข้าห้องน้ำเล็กๆด้านหลังแล้วออกมานั่งอยู่ที่ฟูกบาง ๆ
ที่ๆมันใช้แทนที่นอน ผ้าห่มโดเรมอนของมันเป็นสีฟ้าไม่หนาเหมือนผ้าห่มนวมสวย ๆ
แต่ก็ไม่ได้บางจนเกินไปนัก ปิงมองผมทั้งที่มือมันกำลังจัดเก็บข้าวของอยู่
สุดท้ายมันหยิบผ้าห่มแล้วลุกขึ้นยืนพับ ผมก็เงียบนะไม่พูดอะไรหรอกกะว่าวันนี้นอนนี่ก็ได้
ผมนอนได้หมดอ่ะขอแค่มีมันนอนอยู่ข้าง ๆ แค่นั้นผมพอใจ
“ไปกันเถอะครับ”
เสียงมันพูดขึ้นผมเงยหน้ามอง คืออยากถามว่ามันจะชวนผมไปไหน
“ไปที่ห้องพี่ไง
วันนี้นอนที่นั่นก็ได้ สงสารคนบางคนหรอกห้องผมไม่มีผ้าห่มผืนโตๆหมอนใบนุ่ม ๆ
แล้วที่สำคัญไม่มีอาหารอร่อย ๆ ให้กินด้วยนี่” ผมอมยิ้มเลย ปิงก้มลงหยิบกระเป๋าขึ้นมาคาดใส่ไหล่
กระเป๋าแบบเป้ใบยาว ๆ ที่มันชอบคาดสะพายแล้วทำท่าเดินแบบเท่ ๆ
อ้อยสาวตามแบบของมันน่ะแหละ
ในที่สุดเราก็มาถึงรังรักของผมและมัน
หึหึ ห้องผมสบายกว่านะที่นอนนุ่มกว่า
ห้องครัวกว้างกว่า ผ้าห่มก็ผืนหนากว่าด้วย แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่าที่ไหน ๆ
ที่ต้องมีมันและผมอยู่ด้วยกัน ห้องจะกว้างจะแคบแค่ไหนมันไม่สำคัญอีกแล้ว
“หิวข้าว”
ผมรีบดึงมันมานั่งลงที่โซฟาแล้วเอาหัวนอนลงที่ตัก จับมือมันมางับเล่น เอาจริง ๆ
เลยนะผมโคตรหึงอ่ะตอนที่เห็นมันนอนหนุนตักเพื่อนมันแบบนั้นทั้งที่ก็รู้นะว่าสองคนนี้มันไม่มีอะไรเกินกว่าคำว่าเพื่อนเลย
แต่ผมก็ห้ามความรู้สึกตัวเองไม่ได้จริง ๆ
“เมื่อกี้มึงนอนตักไอ้วุฒิที่สนามบอลกูโคตรไม่ชอบเลย
อย่าทำอีกได้ไหม”
“หมาวุฒิมันเพื่อนผมหรอก”
“ก็รู้
แต่คือไม่ชอบ”
“พี่หวงผมเหรอ”
“นิดๆ” ฝันดิ่ ใครจะไปบอกมันกันล่ะว่าผมโคตรหวงมันน่ะ
ผมงับๆๆนิ้วมันเอาแม่งให้ครบทั้งสิบนิ้วเลยเหอะ ตามซอกของนิ้วนี่คือเลียหมดอ่ะ
เปียกก็ช่าง น้ำลายผมหอม
“พี่จะกินข้าวกับอะไรครับ
ข้าวผัดอีกเหรอเบื่อไหม” มันก้มลงมาถามผมเลยเงยหน้าขึ้นมอง เราสองคนสบสายตากันอีกแล้ว
ผมอยากอ้อนมันให้เยอะๆ ปิงให้ผมนอนตักให้ดูดนิ้วให้หม่ำแขน
คือมันไม่ว่าผมเลยผมทำได้ทุกอย่างตามใจ ผมมีความสุขมากมายจริง ๆ มันสอดมือเข้ามาลูบหัวผมเล่น ผมรู้สึกดี
เราสองคนทานข้าวด้วยกันผมกลัวมันเหนื่อยเลยบอกให้สั่งขึ้นมาทาน
พอดึกๆผมกับมันแยกกันอาบน้ำทั้งที่วันนี้คิดว่าจะได้ฟัดมันที่อ่างเสียอีก แต่ทุกอย่างผิดพลาดไปหมดเมื่อมันแจกมุข
‘ปวดขี้’ ของมัน
ผมเลยยอมๆไป กะว่าเดี๋ยวจะกอดให้แน่น ๆ เลยตอนนอน
หมาปิงมันหยุดอยู่ที่ประตูแล้วทำท่าหนาวสั่นอยู่นั่นแหละก่อนที่มันจะปิดไฟนีออนลงผมกระตุกเชือกโคมไฟพร้อมกับวางหนังสือในมือไว้ที่โต๊ะหัวเตียง
ช่วงนี้ไม่ได้ใส่แว่นให้มันเห็นเลย พอเรียนจบแล้วหนังสือเรียนนี่คือถูกทิ้งมาก
อ่านพวกนิตยสารอะไรเล่น ๆ ผมก็ไม่ได้ใช้แว่นสายตาหรอกนะ
กลัวหมามันไม่ชินขนาดตัวผมเองถ้าเผลอใส่แว่นแล้วเดินผ่านกระจกนี่คือยังตกใจเลย คือใครวะอย่ในห้องกู
บรึ๋ยยย
“ทำไรของมึงขยับมานี่ดิ่”
ผมเริ่มคิ้วกระตุก หมาปิงแม่งทำไมปีนขึ้นมาบนเตียงแล้วไปนอนชิดๆริม ๆ
อยู่ฝั่งนั้นวะ มันตั้งใจจะทำอะไร
“ไม่เอา
วันนี้จะนอนตรงนี้ พี่เหอะอย่าเข้ามาใกล้ผมนะ”
“เย้ยยยยยยยยยยยยยยยย” ผมลากมันเข้ามาซุกอกไว้เลย
ใช้ขาเกี่ยวล็อคตัวมันไว้ ปิงมันดิ้นนะแต่ผมไม่สนผมจะกอดจะกกของผมอยู่แบบนี้แหละ
“ชู่ว์~ เงียบก่อนเดี๋ยวเล่าอะไรให้ฟัง”
ผมตะล่อมเพราะอยากให้มันเลิกดิ้น คือจริงๆมีเรื่องบางอย่างจะเล่าให้มันฟัง
มันหยุดนิ่งทันที ผมเลยจับมันนอนตะแคงแล้วซ้อนตัวเข้าด้านหลังกอดมันแล้วจูบลงที่หลังหู
หอมว่ะ!
“มึงรู้ไหมเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกับกูบ้าง”
ผมก้มหน้าลงมองกระซิบเสียงเบา
ปิงคงกำลังรอฟังหน้าตามันนี่คือจดจ่ออยู่กับถ้อยคำต่อไปของผมมาก
“ตอนเราไปเขาใหญ่กัน
คนสนิทแม่กูเขาพาลูกค้าต่างชาติไปเลี้ยงรับรองแล้วบังเอิญเจอกูกับมึงที่ร้านกล้วยน้ำว้านั่น
มีถ่ายรูปเราสองคนมาด้วยนะ กูนี่โดนซักใหญ่เลย
ทำไงได้หลักฐานทุกอย่างมีครบแถมเป็นรูปที่กูซบไหล่มึงอีกต่างหาก
ยอมจำนนสิครับ ผู้ต้องหาจอมจำนนต่อหลักฐาน หึหึ ถามว่ากูอายไหม ไม่เลย
แต่กูกลัวคุณแม่เขารับเรื่องของเราไม่ได้แค่นั้นเอง”
“แล้วพี่ว่ายังไงล่ะครับ
บอกท่านไปว่าไง” มันพยายามหันมาถามคงอยากจะเห็นสีหน้าผมด้วยแต่ผมจูบคอจูบหูจูบท้ายทอยมันไว้มันเลยหันมาไม่ได้
ผมก็งับเล่นของผมไปเรื่อย ช่วยไม่ได้มันเพิ่งอาบน้ำเสร็จตัวหอมมาก
“ก็บอกตามความจริง”
“ความจริงคือ?”
“ก็เราคบกันอยู่ไง”
“แล้วแม่พี่ว่าไงบ้าง”
แล้วผมก็เล่าเรื่องราวคร่าว
ๆ ให้มันฟัง สีหน้าปิงไม่ค่อยดีนักหรอกผมมองแค่เสี้ยวหน้ามันก็รู้แล้ว
“อย่าคิดมากนะกูก็แค่เล่าให้มึงฟัง
บอกๆเขาไปก็ดีต่อไปจะได้ไม่ต้องปิด” ผมลูบท้องมันเล่น
ปิงตัวเริ่มอุ่นแล้วขณะที่ผมทำไมเริ่มหนาว ๆ วะ เลยกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นอีกนิด
“โกรธไหมที่กูบอกแม่กูไปแบบนั้น”
ผมจูบลงที่ผมนุ่มนิ่งของมัน มันหันหน้ามาหาผม คราวนี้คือพลิกตัวมาหาเลย
ในแววตามันแสดงความจริงจังมองผม ผมเลยตั้งใจฟังว่ามันจะพูดเรื่องอะไร
“พี่เอย์ครับ
วันนี้คุณแม่พี่มาหาผมที่ร้านด้วยนะ” คือผมชะงักเลยนะ เท้าแขนขึ้นมองหน้ามันดี ๆ
ปิงพูดอะไร?? มันพูดจริงหรือพูดเล่น ยอมรับว่าตกใจระคนแปลกใจด้วย
“ที่ร้านน่ะนะ
ร้านตำส้มมะละกอนั่นน่ะเหรอ”
“ครับใช่ที่ร้านนั่นแหละ”
“แล้วเขาไปทำไม
เขาพูดอะไรกับมึง ว่ามึงรึเปล่า” ผมรีบซักมันเลย คือกลัวว่าคุณแม่จะมาอะไรกับปิง
คุณแม่ผมไม่ด่าหรอกนะครับ แม่ไม่เคยด่าว่าหรือตะคอกด่าใครแรง ๆแบบหยาบคาย แต่แม่จะชอบพูดแบบยิ้ม
ๆ และสุภาพ หาเหตุผลมาพูดจนผมจนมุมเป็นแบบนี้มาตลอดตั้งแต่เด็กแล้ว
แม่จะยิ้มให้ผมเสมอแม้กระทั่งตอนที่อบรมผมกับไอ้ซ่าร์ ซ่าร์มันกลัวแม่มากเลยนะ
คือคุณพ่อของเรานี่เป็นนางฟ้าเลยเอาแค่นั้น แม่จะมีอำนาจตัดสินใจเรื่องภายในบ้าน
ตอนผมเป็นเด็กนี่เรียบร้อยไม่เคยมีเรื่อง ผิดกับซ่าร์ที่มีเรื่องมีราวมาตลอดแม่ตามเคลียร์จนอ่อนใจ
แม่เลยไม่ค่อยคาดหวังอะไรกับมันมากนัก ผิดกับผมที่เป็นทั้งความหวังของคุณย่าและครอบครัว
“เปล่าครับคุณแม่พี่ไม่ได้ว่าอะไรผมหรอก
ท่านพาผมเอ่อ....” แล้วปิงก็เล่าเรื่องที่แม่พามันไปที่บริษัทสองแห่ง
ผมนี่เครียดเลย รู้และเข้าใจแล้วว่าแม่จะสื่ออะไรกับมัน ไม่คิดว่าแม่ผมจะมาอะไรกับปิงมากขนาดนี้คือแกจัดการเรื่องเร็วมาก
รู้เรื่องผมกับมันเมื่อวานเรียกผมคุยตอนกลางคืนเช้ามาให้ผมไปปราณบุรีกับเลขาเพื่อที่ตัวเองจะได้มาหาปิงจัดการเก็บเรื่องราวทุกอย่างให้เรียบร้อยและลงตัว
แต่แม่คงจะลืมไปว่าความรู้สึกของคนเราไม่ใช่ธุรกิจ
จะจัดการและปิดการขายไม่ได้ง่าย ๆ ทั้งที่ปัจจัยแวดล้อมมีเพียงแค่ความรู้สึกและหัวใจดวงเดียวเท่านั้น
“อย่าโกรธแม่กูได้ไหม
อย่าถือท่านเลยนะ ท่านอยากจะพูดอะไรก็ปล่อยให้พูดไปเถอะท่านแก่แล้ว
กูเคยสัญญาไปแล้วว่ากูจะเป็นพี่เอย์คนเดิมคนนี้ของมึงตลอดไป ไม่ว่าจะกี่ปีผ่านไป
ไม่ว่าเราสองคนจะเจอปัญหายุ่งยากมากแค่ไหน สัญญากับกูได้ไหม
ว่ามึงเองก็จะไม่เปลี่ยนไปเหมือนกัน”
ผมคว้ามือมันขึ้นมาจูบทันทีที่มันเล่าว่า
แม่พูดอะไรกับมันบ้างตอนที่ส่งมันลงรถ ผมไม่อยากให้ปิงคิดมาก กลัวมันจะโกรธแล้วพาลจะเกลียดคุณแม่ของผม
แม่ผมเป็นคนดีนะเพียงแต่ตอนนี้คือท่านยังไม่เข้าใจพวกเรา
เพราะว่ารักผมมากท่านจึงทำได้ทุกอย่างยอมเป็นตัวร้ายในสายตาของผมและปิง แต่ในใจส่วนลึกแล้วผมรู้ว่าท่านรักและหวังดีกับผมจริง
ๆ ผมสอดมือเข้าประสานมือมันไว้แน่นจ้องตามันก่อนเอ่ยคำสัญญาที่ผมคิดจะขอจากมัน
ปิงเป็นเด็กดีมาก ผมกลัวใจมัน กลัวว่ามันจะยอมเป็นฝ่ายเดินจากผมไป ปัญหาของเราสองคนนับจากนี้ผมรู้ว่ามันจะต้องหนัก
ในเมื่อคุณแม่เริ่มลุกล้ำพวกเราขนาดนี้ คุณแม่ผมไม่ปล่อยเราสองคนง่าย ๆ แน่
“สัญญากับกูว่าจะไม่ปล่อยมือนี้
เราจะจับกันไว้จนถึงที่สุด........สัญญาได้ไหม”
มันจ้องหน้าผมแน่นิ่งก่อนดึงมือที่เราประสานกันไว้ขึ้นไปจูบที่หลังมือผมเบา
ๆ แล้วแช่ไว้อยู่แบบนั้น ก่อนที่มันจะขยับตัวขึ้นมากระซิบถ้อยคำสำคัญที่ผมคนนี้จะไม่ขอลืม
“ผมสัญญา”
ผมก้มลงไปมอบจูบให้มันทันที
จุมพิตหวานซึ้งแผ่วเบาและนุ่มนวลที่ผมบรรจงมอบให้คนที่ผมรัก
ปิงคือคนที่มีค่ามากที่สุดแล้วกับจูบนี้ของผม...............สัญญาที่ผมกับมันจะจดจำเอาไว้ร่วมกัน
ไม่ว่าเราสองจะเจอปัญหาหรืออุปสรรคแค่ไหนผมและมันจะไม่ยอมปล่อยมือนี้
มือที่เราสองคนประสานกันไว้.....ลึกซึ้ง
“จูบนี้แทนคำสัญญาของกูกับมึง อย่าปล่อยมือกูนะปิง” ผมถอนริมฝีปากออกมาจากปากนิ่มของมันอย่างอ้อยอิ่ง
กดจูบเบา ๆ ไล่ลงเรื่อยตามซอกคอหอมกรุ่น เนื้อตัวนุ่มนิ่มสั่นเทิ้มแต่ก็ยังตะแคงคอรับรอยจูบและเรียวลิ้นร้อนจากผม
“อืออ...”
มันครางเสียงแผ่วเมื่อผมตวัดปลายลิ้นขึ้นไปครอบครองที่ใบหูก่อนไล้เรื่อยลงมาที่ลำคออีกครั้ง
ขบเม้มจนทั่วสร้างรอยประทับที่บอกให้รู้ว่ามันคนนี้เป็นของผม แค่ผมเท่านั้น แก้มมัน จมูกมัน เปลือกตามัน ไรผม คิ้ว คาง ผมจูบผ่านไปทุกส่วนทุกจุด
จนในที่สุดกลับมาจบลงที่ริมฝีปากมันอีกครั้ง
ผมจูบซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างที่ใจผมต้องการ แค่อยากให้มันรับรู้
ให้ตอกย้ำสัญญารักของเรา....ว่าเราจะจับมือกันและกันไว้ตลอดไป
“เชื่อใจกูนะ
ปล่อยเรื่องของที่บ้านให้กูจัดการเอง เราสองคนไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
มึงกับกูเราก็ยังคงเป็นเราแบบนี้ไม่ต้องไปคิดเรื่องฐานะหรืออะไร
ทำตัวกับกูให้เหมือนเมื่อวานเหมือนทุกๆวันที่มึงเคยทำ”
นับตั้งแต่วันนั้น
ผมโดนตามตัวกลับบ้านทุกวัน มีนัดทานข้าวกับคุณแม่โดยที่เลขาท่านโทรมาตามบ้างล่ะ
คุยงานเรื่องโครงการก่อสร้างที่ผมไปดูมาบ้างล่ะ เดี๋ยวพาผมไปหาคุณย่าบ้างล่ะ พาไปดูโน่นนี่นั่นที่บริษัทบ้างล่ะ
โรงงาน อู่รถ คือคุณแม่ทำทุกอย่างทำทั้งหมดนี่ก็เพื่อกันผมให้ห่างจากปิงผมรู้ เพราะพอผมจะกลับห้องแม่ก็บอกวันนี้ดึกแล้วให้ค้างที่บ้าน
วันสองวันแรกไม่อยากขัดใจเลยเออออไปแต่นั่นยิ่งทำให้แม่เริ่มล้ำเส้นผมหนักขึ้น
ผมกับมันไม่ได้กินข้าวด้วยกันนานเป็นอาทิตย์แล้วเราเจอกันครั้งหลังสุดวันไหนผมเองยังไม่อยากจะคิดเลยได้แต่อาศัยโทรหาช่วงดึกคุยกันก่อนนอน
ผมไม่ยอมให้มันวางจนมันหลับคาโทรศัพท์ไปนั่นแหละ แค่ได้ยินเสียงลมหายใจมันก็ยังดี
“น้องเอย์ทานเยอะๆนะลูก
ไข่เจียวปูแม่สั่งป้านอมทำไว้ให้ลูกเลยนะครับ
อ่ะนี่แกงจืดเต้าหู้เอย์ชอบทานใช่ไหมลูก แล้วพรุ่งนี้เราจะทานอะไรกันดี
อาหารฝรั่งดีไหม
พาสต้าเป็นไงครับหรือว่าจะออกไปกินข้างนอกแม่จะได้ให้เด็กโทรจองโรงแรมไว้
ไปกินอาหารอิตาเลี่ยนดีไหม หรือเอย์อยากทานอาหารฝรั่งเศสมากกว่า”
“แม่ครับวันนี้ผมจะกลับห้อง”
ผมไม่อยากกินบรรดาอาหารฝรั่งที่คุณแม่พูดหรอก ผมอยากกินข้าวผัดกุ้งตัวเล็กๆธรรมดาที่ปิงเป็นคนทำ
“ดึกแล้วลูก เอย์ขับรถดึกๆไม่ดีนะ”
“ไม่เป็นไรครับเดี๋ยวผม.....
“น้องเอย์ วันนี้คุณพ่อไม่อยู่ลูกก็รู้
คุณพ่อไปต่างประเทศเป็นอาทิตย์ ซีซ่าร์เองช่วงนี้ก็ถ่ายหนังถ่ายละครออกต่างจังหวัดตลอด
แม่อยากให้เอย์อยู่เป็นเพื่อนแม่นะลูก รู้สึกปวดที่หัวใจบ่อยๆ ด้วยไม่รู้ว่าเป็นอะไรเหมือนกัน
ถ้าเอย์อยู่เผื่อมีเรื่องด่วนขึ้นมาเอย์จะได้ช่วยแม่ทัน”
ผมยืนอย่างคนหมดหวังมองหน้าคุณแม่ผู้มีพระคุณ
ผมรู้ว่าแม่รักผมมาก รู้ว่าหวังดี
แต่ถ้าหากว่าแม่ไม่ได้เป็นอะไรได้โปรดอย่าบอกว่าตัวเองเป็นเลย
ผมรู้สึกแย่มากจริงเพราะไม่สามารถรู้ได้เลยว่าแม่พูดจริงหรือแค่คำโกหกที่อยากให้ผมอยู่บ้าน
“วันนี้ค้างไหม?”
นี่เป็นวันแรกในรอบสัปดาห์ที่ผมกับมันมีเวลาอยู่ด้วยกัน
ผมได้แต่หวังว่าเราสองคนจะสามารถใช้เวลาร่วมกันจนถึงช่วงเช้าของอีกวันได้
เราไปเดินซื้อของที่ซุปเปอร์ปิงชวนผมขึ้นมาเดินเล่นข้างบนต่อเราสองคนแวะที่ร้านหนังสือด้วยนะ
ปิงมันได้หนังสือทำอาหารเล่มใหม่มาด้วย ผมว่าก็ดีเหมือนกัน มันน่ะชอบบ่นเรื่องตำราเล่มเก่าที่เป็นภาษาอังกฤษหาว่าผมแกล้งซื้อมาให้มันอ่านแล้วปวดหัวทุกที
คือคุณคงนึกไม่ออกหรอกว่าเวลามันทำอาหารไปด้วยแล้วเปิดดิกฯจิ้มกูเกิ้ลไปด้วยมันตลกแค่ไหน
“...ได้เหรอพี่”
มันหันมาถาม ผมสะกิดใจขึ้นทันทีความรู้สึกผิดตีตื้นขึ้นมา ตลอดสัปดาห์คือผมไม่มีเวลาให้กับมันเลย
ปิงมันคงจะทั้งน้อยใจและเสียใจแต่คือมันไม่พูดออกมาก็แค่นั่น ผมทำผิดกับมันมากมายจริง
ๆ
เรื่องราวที่เกิดขึ้นที่บ้านผมไม่อยากจะเล่าให้มันฟังกลัวมันเครียดคือจะให้ผมบอกมันว่าคุณแม่กันผมออกจากมันแล้วปิงจะทำยังไงต่อไป
จะให้ผมบอกว่าผมลำบากใจยุ่งยากเครียดมาก แล้วปิงจะตัดสินใจยังไง คุณก็รู้ว่าปิงเป็นคนดีแค่ไหน
บอกไปแล้วนี่สิ่งที่ผมกลัวที่สุดคือกลัวว่าปิงมันจะปล่อยมือไปจากผม
ผมรู้สึกว่าตัวเองแย่มากจริง ๆ ที่ละเลยความรู้สึกของมันมากขนาดนี้
“ครับ
วันนี้ผมจะค้าง” มันพูดเสียงอ่อนคลี่รอยยิ้มส่งมาให้ผม แค่ผมทำหน้าไม่สบายใจแม้ว่าตัวมันทุกข์ใจแค่ไหน
มันจะเลือกทางที่ผมคนนี้สบายใจ พูดจาและทำตัวร่าเริงทำให้ผมยิ้มได้และกลับมาเป็นผมคนเก่าคนนี้ทุกครั้งที่ใช้เวลาอยู่กับมัน
หมาปิงจอมขี้เหร่ บ๊องและเวิ่นเว้อไม่มีใครเกินดูซิดูมันกำลังทำท่าทางล้อเลียนอะไรผมอยู่
ผมนี่กะจะโดดเข้าใส่แล้วนะถ้าหากไม่มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดจังหวะทุกอย่าง
ผมหน้าเสียคิดออกได้ในทันทีว่าเป็นใครที่โทรมา ปิงเองหน้าก็เจื่อนลงเช่นกัน ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูแล้วเดินไปคว้าเอาหัวมันมาซุกอกไว้
ผมรู้ว่าผมปลอบใจใครไม่เก่งแต่ผมอยากให้มันรู้ว่าผมเองก็รู้นะว่ามันรู้สึกยังไง
“....ครับแม่”
ผมกดรับสาย ปิงมุดออกจากแขนผม
มันเดินไปถอดผ้ากันเปื้อนออกขณะที่ผมเดินเลี่ยงออกมานั่งที่โซฟา
“เอย์อยู่ไหนลูก
ทานข้าวหรือยัง”
“ทานแล้วครับ”
ผมโกหก
“ลูกอยู่ที่ไหน”
“ห้องครับ ที่คอนโด”
“เดี๋ยวแม่แวะเข้าไปรับแล้วเรากลับบ้านพร้อมกัน
น้องเอย์ขับรถให้แม่นะลูก”
“แม่ครับวันนี้ผม......
“น้องเอย์
วันนี้แม่มีเรื่องสำคัญจะคุยกับเรา เอาเป็นว่าเดี๋ยวแม่เข้าไปรับตอนนี้เลย
ดึกแล้วกว่าจะกลับถึงบ้านแล้วคุยกันอีก”
“งั้นก็ไม่เป็นไรครับเดี๋ยวเราเจอกันที่บ้านเลย
ผมเองก็มีเรื่องสำคัญจะคุยกับคุณแม่เหมือนกัน”
“ดีเลยจ๊ะ งั้นเดี๋ยวเจอกันนะ
เอย์รีบมานะลูก”
สายถูกตัดไปแล้ว
ผมทิ้งแผ่นหลังพิงเข้ากับพนักโซฟาอย่างหมดแรง
มองไปที่ห้องครัวปิงยังยืนอยู่ที่นั่นมันกำลังจัดเก็บข้าวของเข้าตู้ ผ้ากันเปื้อนถูกถอดออกแล้ว
ขณะที่ผมตัดสินใจแน่นอนแล้วว่าวันนี้ผมคงต้องคุยเรื่องของเราสองคนกับคุณแม่ให้รู้เรื่อง
ไม่อยากปล่อยให้คาราคาซังต่อไปแบบนี้ ผมตัดสินใจลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปหามันกอดเอวมันเอาไว้
ความรู้สึกผิดอยู่ในใจท่วมท้น ก่อนหยิบเอาผ้ากันเปื้อนมาสวมให้มันใหม่อีกครั้ง
“ทำต่อสิ
ไหนให้กูช่วยล้างอะไรบ้าง” มันหันกลับมามอง
ผมหยิบมะเขือเทศยื่นส่งให้พร้อมรอยยิ้มบาง อยากให้มันรู้ว่า
ใช่แล้วมันเข้าใจไม่ผิดหรอกผมถูกตามตัวกลับบ้านอีกแล้วแต่อย่างไรก็ตามผมก็ยังอยากทานข้าวกับมันก่อน
เราสองคนมีความสุขเล็กๆกันตอนนี้ก็ยังได้ มันมองผมแน่นิ่ง ก่อนที่ริมฝีปากนั้นจะคลี่ออกแล้วส่งยิ้มกว้างมาให้ผมอย่างเคย
“งั้นเดี๋ยวผมรีบทำเลยเราจะได้รีบทานแล้วพี่จะได้รีบออกไปนะครับ”
ปิงน่ารักเสมอ
ผมพยักหน้าให้มันเบา ๆ คืนนั้นเราสองคนนั่งทานข้าวด้วยกันเป็นครั้งแรกในรอบสัปดาห์ผมปิดมือถือไว้แล้วใช้เวลาทั้งหมดที่เหลือของวันนี้เต็มที่ไปกับมัน
เราคุยกันหัวเราะกัน ปิงเล่าโน่นเล่านี่ให้ผมฟังเยอะแยะมากมายไปหมด
“เอารถจอดไว้ที่นี่ดีไหม
เดี๋ยวกูไปส่งมึงก่อน” เราสองคนเดินลงมาที่ชั้นล่าง ผมเดินไปส่งมันที่รถ
“ไม่เป็นไรพี่เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมต้องไปช่วยแม่กับพี่ขมเปิดร้าน
แล้วพรุ่งนี้พี่เอย์จะเข้ามาตอนไหนครับ”
“ยังไม่รู้เลย
ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดน่าจะเป็นช่วงเช้า”
“อะไรคือถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด”
มันหันมาถามทำหน้าสงสัย ผมจึงตัดสินใจพูด
“ปิง
คืนนี้กูกะว่าจะเคลียร์กับคุณแม่ให้รู้เรื่อง เรื่องของเราคงปล่อยผ่านไปไม่ได้แล้วคุณแม่เริ่มล้ำเส้นกูมากเกินไป”
“พี่เอย์ครับ”
หน้าตามันคือตกใจมากพอสมควร แต่คือวันนี้ผมตัดสินใจแล้วจริง ๆ
“ไม่เป็นไร
กูโอเค”
คืนนั้นผมกลับบ้านทั้งที่ในหัวนี่เต็มไปด้วยคำพูดมากมาย
แน่นอนว่าเป็นเรื่องผมกับมันผมไม่รู้คุณแม่จะยอมรับได้มากน้อยแค่ไหนแต่ยังไงผมก็ต้องคุย
อย่างน้อยท่านต้องรู้ว่าผมคิดยังไงกับปิง ทำยังไงท่านถึงจะเข้าใจผมและยอมรับปิงได้
ผมคิดจนสมองแทบระเบิดปวดหัวไปหมด
“อะไรครับแม่”
คุณแม่ยื่นกระดาษเล็กๆใบหนึ่งส่งให้ ผมมองดูก็รู้ในทันทีมันคือ ตั๋วเครื่องบิน มีเอกสารอีกปึกนึงถูกเลื่อนเข้ามาหาพร้อมกัน
“แม่ให้คุณสุเขาจัดการให้แล้ว
เอย์ต้องไปเรียนต่อที่นิวยอร์ก สัปดาห์หน้าเดินทางได้เลยเอกสารทุกอย่างพร้อมเรียบร้อย
ไปลงเรียนภาษาเพิ่มเติมที่โน่นก่อนสักเดือนสองเดือนมหาลัยคงจะเปิดพอดี
ช่วงนี้อเมริกาเข้าหน้าร้อนอากาศกำลังสบาย หรือลูกอยากจะไปพักผ่อนที่ฮาวายก่อนแม่ก็ไม่ว่า”
หัวผมเหมือนโดนค้อนหนักๆฟาดลงมากลางกระบาล
ก้าวเซถอยหลังแบบไม่รู้ตัวเลย คือผมไม่คิดว่าคุณแม่จะใช้วิธีการนี้กับผม
เรามีปัญหากันเรื่องปิงคุณแม่กันผมออกจากมันตลอด แต่ยังไงผมกับมันก็ได้เจอกันบ้างแม้ไม่บ่อยอย่างเคย และถึงแม้เวลาที่ใช้ด้วยกันจะน้อยลงแต่คืออย่างน้อยเรายังอยู่ใกล้กัน
แต่นี่คือมาบอกให้ผมไปเรียนต่อ มันคืออะไร?
“แม่ครับผมเคยบอกแล้วนี่ว่าผมจะเรียนต่อที่เมืองไทย
ผมสมัครไว้แล้วเหลือแค่รอไปสอบ คุณแม่ทำแบบนี้ทำไมครับ ทำไมไม่ถามผมก่อนสักคำจู่ ๆ
ยื่นตั๋วเครื่องบินมาให้กันแบบนี้ ผมไม่ไปนะครับแม่” ผมหยิบเอาตั๋วขึ้นมาดู
โคตรของความตกใจเมื่อเห็นว่าในวันที่ลงไว้ว่าเดินทางวันไหน
นั่นมันคือหนึ่งวันหลังจากวันครบกำหนดสัญญาของผมกับปิง
“ไม่ไปไม่ได้” แม่ใช้น้ำเสียงจริงจังสวนขึ้น
“ผมไม่ไปครับ
ถ้าธุระของคุณแม่คือเรียกผมมาคุยเรื่องนี้
ผมขอตัว” ผมลุกขึ้นอย่างหัวเสีย ผมยอมท่านทุกอย่างเพราะเห็นว่าท่านเป็นแม่
ผมเคยทำให้ท่านเสียใจเหรอ ผมเป็นเด็กดี ไม่เคยทำตัวเกเร ผมตั้งใจเรียนทำทุกอย่างให้สมกับเป็นความหวังของท่าน
ผมสอบเข้ามหาวิทยาลัยดี ๆได้ ให้ท่านมีหน้ามีตา ผมยอมท่านมาตลอด
ยอมเรียนวิศวกรรมโยธาเหตุผลก็เพราะบ้านเราทำบริษัทเกี่ยวกับโครงการก่อสร้าง
คือผมยอมทำให้หมด ผมตามใจคุณแม่ตั้งแต่เด็ก แต่ทำไมครับ ทำไมเมื่อถึงวันที่ผมจะเรียกร้องทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการบ้าง
ทำไมคุณแม่ถึงตามใจผมไม่ได้ ผมไม่เห็นว่ามันจะเป็นความผิดอะไรเลยแค่ผมรักผู้ชายคนนึงแค่นั้น
“น้องเอย์!” เธอเดินมาดึงแขนผม ผมที่กำลังจะก้าวออกไปจากห้อง
“ผมอยากให้คุณแม่ช่วยเข้าใจผมด้วย”
“ลูกต้องไปเรียน
แม่หวังดี กลับมาลูกจะมีประสบการณ์ มีคอนเน็กชั่นกับเพื่อนต่างชาติทั่วโลก
รู้จักทักษะการใช้ภาษางานบริหารไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เอย์เรียนที่นั่นสักสองปีจบแล้วฝึกงานอีกสักปี ถึงวันนั้นลูกจะกลับมาเมืองไทยพร้อมกับผงาดขึ้นในวงการธุรกิจได้เลย
น้องเอย์ทำได้นะลูก”
“ไม่ใช่เรื่องนั้นครับแม่
ผมอยู่ที่นี่ก็มีคอนเน็กชั่นกับเพื่อน ๆผมได้
ผมยังไม่อยากเสียตรงนี้ไปเพื่อนที่เมืองไทยผมก็เยอะ คุณแม่ครับ ผมไม่ไป
ผมเคยบอกไปหลายครั้งแล้วคุณแม่เองก็ไม่เห็นเคยว่า
ผมบอกอยู่เสมอใช่ไหมครับว่าผมจะเรียนต่อที่นี่เลย ผมถึงขนาดสมัครไปแล้วแม่ก็เห็นนี่”
“เพราะอะไร?” เธอเดินเข้ามาหาแล้วจ้องหน้าผม
“....................”
ผมไม่ได้พูดตอบไปเพราะผมบอกไปแล้วทั้งเรื่องปิง เรื่องเพื่อน รวมทั้งความต้องการของผมเอง
ผมไม่เคยคิดจะไปเรียนต่อที่ไหนถ้าไม่ใช่ที่นี่ ผมคิดของผมมานานแล้วไม่ใช่เพิ่งมาคิดตอนที่มีปิงเข้ามา
“เพราะเด็กคนนั้น?” ในที่สุดคุณแม่ก็เข้าเรื่องจนได้
นี่คงเป็นสิ่งที่ทำให้เราได้มาคุยกันในวันนี้ ผมมองท่านอย่างผิดหวังเหมือนกันนะ
ไม่คิดเลยว่าท่านจะโยงเข้าเรื่องของปิงจนเป็นเรื่องราวใหญ่โตแบบนี้
“แม่ครับ
นี่ใช่ไหมคือสิ่งที่แม่คิดจะทำ แค่แม่อยากกันผมออกจากปิงต้องทำขนาดนี้
คุณแม่ดูหน้าผมสิครับอาทิตย์ที่ผ่านมานี่คุณแม่เห็นรอยยิ้มจากผมบ้างไหม
ไหนคุณแม่เคยบอกไงว่าความสุขของผมก็คือความสุขของแม่ แล้วในวันที่ผมทุกข์ใจอยู่แบบนี้คุณแม่มีความสุขงั้นหรือครับ”
“เอย์ตั้น!!” คุณแม่ตะคอกลั่นเสียงสั่นคล้ายคนจะขาดใจ
นี่คือครั้งแรกที่แม่เป็นแบบนี้ ผมไม่เคยเถียงท่านหรือขัดใจท่านเลย
แต่ครั้งนี้ผมยอมไม่ได้จริง ๆ
“เดี๋ยวนี้ถึงขนาดเถียงแม่
แค่แม่พูดถึงเด็กคนนั้นเอย์กล้าขึ้นเสียงกับแม่เลยเหรอลูก”
“ผมขอโทษถ้าทำให้คุณแม่ผิดหวังหรือเสียใจ
แต่เรื่องความรู้สึกผมเองก็ควบคุมไม่ได้จริง ๆ ผมรักปิง เราสองคนรักกัน
ผมจะเรียนต่อที่นี่และจะคบกับปิงต่อด้วยผมไม่สนใจอะไรใครทั้งนั้น
ถ้าคุณแม่ไม่พอใจผมจะไม่กลับมาให้คุณแม่เห็นหน้าสักพัก
เอาไว้จนกว่าคุณแม่จะใจเย็นลงก่อน”
“ลูกจะเอาแบบนั้นใช่ไหม” เธอสวนขึ้น ก้าวเข้ามายืนขวางหน้าผมไว้ ผมมองดูท่านอย่างพิจารณาอีกครั้งคุณแม่ตัวสูงแค่ไหล่ผมเท่านั้นผู้หญิงทำงานที่เก่งแสนเก่งทุกอย่าง
ผมไม่อยากเชื่อว่าวันนี้คุณแม่เลือกจะทำในสิ่งที่รู้ทั้งรู้ว่าลูกคนนี้ไม่สบายใจ
ผมไม่เชื่อว่าคุณแม่อ่านไม่ออกว่าผมคิดและรู้สึกอย่างไร ท่านไม่เคยมองอะไรผิดพลาดเลย
แล้วยิ่งได้รู้มาจากปิงว่าท่านไปหาปิงถึงที่ร้านได้คุยได้รู้จักกับมันผมยิ่งงงว่าทำไมคุณแม่ดูไม่ออกเหรอว่าปิงเป็นเด็กดี
กตัญญูและน่ารักแค่ไหน
“ที่ลูกบอกว่าไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งสิ้นนี่คือลูกจะเอาแบบนั้นใช่ไหม! ไม่ว่ายังไงลูกก็จะไม่ไปงั้นใช่ไหม!จะยืนยันว่าจะคบกันต่อใช่ไหม!” เธอจ้องหน้าผม
“ใช่ครับ” ผมตอบหนักแน่น
“พูดแล้วอย่าคืนคำ
แม่เคยสอนใช่ไหมลูกผู้ชายพูดคำไหนคำนั้น ห้ามเปลี่ยนใจเด็ดขาด
เอย์ยืนยันแบบนั้นใช่ไหมลูก”
“ครับ
ผมมั่นใจ ผมตัดสินใจแล้วทุกอย่างที่พูดไปก่อนหน้านั้น”
“งั้นก็ดี” คุณแม่ปล่อยมือออกจากแขนผม ผมรู้สึกแปลกใจคือกำลังนึกว่าทำไมจู่
ๆ คุณแม่ถึงยอม ทำไมอะไรๆถึงดูง่าย คุณแม่ไม่น่าจะยอมรับได้ง่ายและเร็วแบบนี้
เมื่อกี้ผมเพิ่งจะสารภาพว่าผมรู้สึกยังไงกับปิงและผมเพิ่งจะปฏิเสธเรื่องไปเรียน
ทำไมคุณแม่จู่ๆถึง....
“ถ้างั้นเอย์ก็เรียนต่อที่เมืองไทยไป
ไม่ต้องสนใจเรื่องครอบครัวของเด็กคนนั้น เรื่องร้านเรื่องบ้านที่เช่าอยู่
ถ้าเอย์จะเรียนต่อที่นี่เอย์ไม่มีสิทธ์ที่จะมาขวางแม่
แม่สามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อกันเด็กนั่นออกจากเอย์”
คุณแม่เดินกลับไปที่โต๊ะหยิบเอกสารบางอย่างขึ้นมาแล้วยัดลงที่อกผม
ใบสัญญาเช่าที่ร้านอาหารเล็กๆนั่นรวมถึงใบสัญญาเช่าบ้านหลังเล็กๆในหมู่บ้านที่ปิงแม่ปิงและพี่ขมอาศัยอยู่ด้วยกัน
ผมเงยหน้ามองท่านอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าคุณแม่คิดจะทำกับปิงขนาดนี้
“น้องเอย์อย่าลืมนะลูกว่าเรามีบริษัทรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างเป็นของเราเอง
แค่แม่มีคำสั่งสั้น ๆ
ครั้งเดียวทั้งบ้านทั้งร้านของครอบครัวเด็กนั่นจะหายวับไปกับตา
เอย์รู้ใช่ไหมแม่พูดแล้วทำได้จริง”
“แม่...ครับ...” ผมเสียงสั่น
จ้องมองคนที่ผมเรียกว่าแม่อย่างไม่อยากเชื่อ น้ำนัยน์ตารื้นขึ้นมาแทบควบคุมไม่อยู่
“ก็ในเมื่อเอย์บอกเองว่าจะไม่ไปเรียนต่อเอย์ก็ต้องยอมรับเงื่อนไขนี้ได้
แล้วอย่าคิดว่าจะเอาเงินของตัวเองไปซื้อไปหาอะไรให้เด็กนั่นใหม่
เพราะถ้าแม่รู้ว่าครอบครัวนั้นรับความช่วยเหลือจากเงินของลูกชายแม่
แม่จะเอาให้บ้านมันล้มละลายหมดตัวไม่มีที่แม้แต่จะซุกหัวนอนเลยคอยดู”
“คุณแม่!” ผมอุทานขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าจะได้ยินแม่ตัวเองพูดถึงขนาดนั้น
คำพูดแบบนั้นออกมาจากปากคุณแม่ของผมได้ยังไง
คุณแม่ผมไม่เคยเป็นแบบนี้ แม่รันคนใจดีคนนั้นหายไปไหน
“แม่ทำได้ทุกอย่าง
เพื่อลูก!”
ผมเซถอยหลังทันทีที่คำว่า
‘เพื่อลูก’ หลุดออกมาจากริมฝีปากเธอ แค่นยิ้มขมขื่นสุดข่มกลั้น คุณแม่เบือนหน้าไปอีกทางน้ำตาคลอพยายามเงยหน้ากลืนเก็บหยาดหยดของน้ำตาแห่งความผิดหวังเสียใจกับผมคนนี้
เพื่อลูกงั้นเหรอ? อะไรคือเพื่อผมล่ะ
ความสุขของผมอยู่ที่ไหนกัน
“ขึ้นไปอาบน้ำได้แล้ว
เอาเป็นว่าเอย์จะไม่ไปเรียนแค่นั้นแม่เข้าใจแล้ว เพราะฉะนั้นเงื่อนไขของแม่เอย์ต้องเข้าใจด้วย
จะมาว่าแม่ใจร้ายที่หลังไม่ได้”
เธอพูดแล้วเดินไปนั่งลงที่โต๊ะก้มลงสนใจงานที่วางอยู่ต่อ
ผมคนนี้ยืนแน่นิ่งทำอะไรไม่ถูก ทบทวนสิ่งที่เธอพูดมาทั้งหมด ผมกำลังจะทำให้ปิงและครอบครัวมันเดือดร้อน
ทำไมกัน ผมจะรักใครสักคนทำไมถึงเป็นเรื่องราวใหญ่โตได้ขนาดนี้
“ไปได้แล้วยืนรีรออะไรอยู่”
“แม่ครับผมขอร้องอย่ารังแกบ้านปิง
ครอบครัวเขาเป็นคนดี ปิงเป็นเด็กดี ผมไม่อยากให้น้องเดือดร้อน”
“ช่วยไม่ได้นะ
ในเมื่อลูกเป็นคนตัดสินใจเอง แม่ก็แค่ยื่นเงื่อนไขของแม่ไป
ลูกผู้ชายพูดแล้วไม่คืนคำแม่เองก็ทวนกับเอย์แล้วนะลูก”
“แล้วผมต้องทำยังไง! ผมคนนี้ต้องทำยังไงถึงจะสมใจคุณแม่
คุณแม่จะให้ผมทำอะไรบ้างถึงจะยกเลิกเงื่อนไขบ้าๆนั่น ผมต้องทำยังไงครับแม่!” ผมตะโกนเสียงสั่นอย่างเหลืออด
แม่จ้องผมนิ่ง เธอค่อย ๆ ลุกขึ้นเพราะน้ำเสียงที่ผมใช้พูดกับเธอไม่ธรรมดาแล้วคุณแม่บีบผมมากเกินไป
นี่ไม่ใช่แค่การล้ำเส้นแต่คุณแม่กำลังเข้ามาควบคุมชีวิตผม
“เลิกกันซะ! จบกับเด็กนั่นแล้วไปเรียนต่อ ลูกยังเด็กอาจจะต้องใช้เวลาบ้างแต่ไม่นานลูกจะลืมได้
เพิ่งรู้จักกันแค่หกเจ็ดเดือน แม่รับรองได้ว่านั่นไม่ใช่ความรักแน่ ๆ
เคลียร์ตัวเองแล้วแม่จะลืมทุกอย่างที่ผิดพลาดของเอย์ เริ่มต้นใหม่
ลูกมีคู่หมั้นอยู่แล้วอย่าลืมความเป็นจริงตรงนั้น”
“ผมรักปิง
แม่จะพูดว่าผมยังไงก็ได้แต่อย่ามาบอกว่าความรักและความรู้สึกของผมไม่ใช่ของแท้”
“เอตั้น!!!”
เธอตะคอกขึ้นอีกครั้งแล้วเดินหน้าเข้าหา “ความรู้สึกจอมปลอมแบบนั้น
ความรักของผู้ชายกับผู้ชายมีใครบ้างที่ยอมรับว่ามันจะจีรังยั่งยืน
ตอนนี้ลูกคบกันแค่เจ็ดเดือนยังหลงจนหน้ามืดตามัวแบบนี้ ต่อไปถ้าหากว่าแม่ยอมรับ
ลูกจะไม่เอาเด็กนั่นขึ้นมาเหยียบหัวแม่เลยเหรอ”
“แม่ครับ
ปิงเป็นเด็กดี ผมขอโอกาสให้แม่ได้ลองรู้จักกับน้องก่อน”
“ไม่จำเป็น! ออกไปได้แล้ว ธุระของเราจบแล้วถ้าลูกยังขืนพูดต่ออีกแม่จะถือว่าลูกเลือกที่จะเรียนต่อที่เมืองไทย
พรุ่งนี้แม่จะได้สั่งให้เด็กไปเวนคืนที่ดินทั้งสองจุดที่ครอบครัวเด็กนั่นอยู่แล้วรื้อทุกอย่างออกให้หมดเลย”
“...คุณ-แม่...” ผมเสียงสั่นเข่าทรุดลงที่พื้น เงยหน้าขึ้นมองผู้หญิงคนที่ผมเรียกว่าแม่
น้ำตาผมไหลออกมาอย่างที่ไม่อาย คุณแม่ทำไมทำร้ายผมได้มากมายแบบนี้
ทำกับคนที่ผมรักก็เท่ากับทำกับผม แล้วผมคนนี้จะต้องทำยังไง
แม่หันหลังให้ทันทีไหล่เล็กๆสั่นเทิ้มผมรู้แม่ร้องไห้แล้วแน่
ๆ ผมทำให้แม่ร้องไห้แล้วแม่ก็ทำให้ผมร้องไห้ มันมีความสุขตรงไหนกันทำไมเราสองคนแม่ลูกถึงพูดจาไม่เข้าใจกันแบบนี้
หัวใจผมปวดแปลบก่อนพยุงตัวลุกขึ้นแล้วลากขาออกไปด้านนอก
นับจากวันนั้นมาแม่ไม่อยู่ให้ผมได้คุยสะดวกเลยสักครั้ง
ผมตื่นมาแต่เช้าเพื่อจะคุยกับท่าน แต่แม่ก็ออกไปทำงานแล้วพอผมตามไปที่ห้องทำงาน
มีการเรียกประชุมทั้งเลขาทั้งใครต่อใครมากมายเต็มห้องผมรอจนถึงเที่ยงแม่ต้องออกไปทานข้าวกับลูกค้าอีก
พอถึงช่วงเย็มมีไปดูไซด์งานตามสถานที่ต่าง ๆ
กว่าจะกลับมาถึงบ้านก็ค่ำมืดดึกดื่นผมรอจนผมหลับไปก็หลายครั้ง
ไม่เคยมีวันไหนที่เราสองคนจะได้คุยกันอีกเลยแม้แต่ครั้งเดียว
จนกระทั่ง....หนึ่งวันก่อนถึงวันครบกำหนดสัญญาของผมกับปิง
ผมเหลือโอกาสครั้งสุดท้าย
ที่หน้าประตูห้องทำงานของแม่
ผมที่กำลังจะเคาะเรียกอยู่แล้วต้องหยุดหันไปเพราะได้ยินเสียงเรียกขึ้นที่ด้านหลัง ซีซ่าร์มันกำลังจะออกไปทำงาน
มันรู้เรื่องผมกับปิงตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว แต่คือมันไม่ค่อยได้อยู่บ้าน ขนาดวันนี้ดึกแล้วก็ยังจะต้องออกไปอีก
“สู้นะเว้ย” มันตบบ่าให้กำลังใจ
แววตาคือเชียร์อัพผมเต็มที่ ผมมองมันแล้วแค่นยิ้ม
คือผมรู้สึกขอบคุณมันนะซ่าร์ก็เหมือนผม มันปลอบใจใครไม่ค่อยเก่ง เราสองพี่น้องเวลาให้กำลังใจกันปกติจะเหน็บกันเสียมากกว่า
คำพูดหวานๆนี่ไม่ค่อยมีเหมือนคนอื่นเขาหรอก แต่วันนี้ผมเจอปัญหามันเข้ามาปลอบผม แค่นี้ผมโอเคนะสำหรับพี่ชายคนเดียวของผม
ก๊อกๆ
“แม่ครับ ผมขอคุยด้วยสักครู่”
ผมเคาะประตูห้องทำงาน วันนี้คุณแม่กลับเร็วถึงบ้านสามทุ่ม ผมที่นั่งรออยู่จึงเดินเข้าไปหา
แม่เงยหน้าขึ้นจากกองเอกสาร ในมือยังถือปากกาคาไว้
“แม่ครับ
เอย์ขอร้อง ขอให้เอย์ได้เรียนอยู่ที่นี่ ขอให้เอย์ได้คบกับปิง ขอให้เอย์....
“ขึ้นนอนซะเอย์ตั้น
ดึกแล้วลูกเตรียมตัวเช็คเอกสารเรียบร้อยแล้วใช่ไหม เมื่อรืนนี้ลูกต้องเดินทางแล้ว
เป็นผู้ใหญ่แล้วนะกลับมาคราวนี้แม่เตรียมของขวัญสุดพิเศษไว้ให้ลูก
แค่เอย์ตั้งใจเรียนแค่นั้นพอ”
“แม่ครับ” คุณแม่ลุกขึ้นเดินมาหยิบแฟ้มบางอย่างที่ข้างโต๊ะตู้เหล็กเก็บเอกสารมากมายรวมกันอยู่ที่นี่
“จะไม่มีการติดต่อกันระหว่างน้องเอย์กับเด็กคนนั้น
ถ้าหากแม่รู้ว่าลูกผิดสัญญากับแม่ นับตั้งแต่วันที่ลูกออกจากประเทศไป
แม่จะจัดการครอบครัวนั้นให้เด็ดขาด แม่ไม่ได้ขู่ ลูกรู้ว่าแม่ทำได้จริงแน่
รักษาสัญญากับแม่ด้วย ออกไปได้แล้วแม่จะทำงาน”
ผมคุกเข่าลงทันที
เธอปรายสายตามา ผมเงยหน้ามองคุณแม่ของผมด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความอ้อนวอน
แม่รัน.....ผู้หญิงใจดีที่สุดในโลกของผม
ผู้หญิงที่โอบอุ้มผมเสมอเวลาที่ผมร้องไห้ ผู้หญิงที่ป้อนข้าว ป้อนนม ป้อนขนม
ป้อนยา อาบน้ำให้ผม แต่งตัวให้ผม อุ้มผมไปหาหมอ กางร่มให้ในวันที่ฝนตก
คุณแม่ดูแลผม ห่มผ้าให้ จับมือเขียนหนังสือ สอนการบ้าน พาบวกเลข เล่านิทาน กล่อมผมนอน
แม้กระทั่งสอนขับรถคุณแม่คนนี้ของผมก็เป็นคนทำ
คุณแม่ที่เคยเข้าใจผมเสมอและตลอดมา
แต่ทำไมตอนนี้.....
“คุณแม่ไม่สงสารน้องเอย์เหรอ
คุณแม่ไม่รักเอย์แล้วเหรอครับ” ผมหมดปัญญาที่จะพูดขอร้องต่อ ก้มหน้าร้องไห้อย่างหมดอาย
ผมไม่มีอะไรจะแลกแล้วจริง ๆ คุณแม่เองก็คงดูรู้เมื่อไหร่ก็ตามที่ผมแทนตัวเองว่า ‘น้องเอย์’ นั่นคือแม่ไม่เคยขัดใจผมเลยแม้แต่ครั้งเดียว เธอยืนจ้องผมนิ่งในมือเล็กสั่นสะท้านแฟ้มงานที่ถืออยู่ร่วงกรูตกลงที่พื้น
แม่รีบหันหลังให้คว้าเอาพนักเก้าอี้ไว้เป็นหลักยึดเพื่อทรงตัว ไหล่เล็ก ๆ ของเธอสั่นเทิ้ม เสียงสะอื้นไห้ดังลอดออกมา
....คุณแม่ร้องไห้.....
“น้องเอย์ แม่รักน้องเอย์ที่สุดในชีวิต ความสุขของลูกคือทุกๆอย่างของแม่
แม่ยังยืนยันคำนี้เสมอ เอย์ลองให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์หลายสิ่งหลายอย่างดู
อย่างน้อย ๆ
ใจของเราเองถ้าหากเอย์ยืนยันว่าความรู้สึกนั้นเป็นของแท้ไม่ว่าจะยาวนานแค่ไหน
กี่วัน กี่เดือน หรือกี่ปี ความรู้สึกของน้องเอย์ก็จะไม่เปลี่ยน รวมถึงความรู้สึกของเด็กคนนั้นก็ด้วย
แม่ขอแค่เวลาเท่านั้น ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าใครคนนั้นที่ลูกรัก
เขาเองก็รักลูกจริง ๆ เขาจะซื่อตรงและไม่ลืมน้องเอย์ ไม่ว่าเอย์จะไปนานแค่ไหน
ไม่ว่าพวกลูกต้องห่างไกลกันเพียงใด แม่รู้ สักวันหนึ่งหัวใจของลูกทั้งสองคนต้องเดินทางกลับมาพบเจอกันอีกครั้งแน่นอน
จนกว่าจะถึงวันนั้นน้องเอย์จะโตเป็นผู้ใหญ่กลับมารับตำแหน่งผู้บริหารมีอำนาจในการตัดสินใจ
แล้วเราสองคนจะกลับมาคุยเรื่องนี้กันอีกครั้ง ถ้าหากว่าเอย์ยังไม่ลืม”
ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง
ผมไม่มีวันลืมว่าวันนี้คือวันอะไร
วันสำคัญของผมกับมัน.....วันที่เราสองคนเฝ้ารอเสมอแต่ทว่า กลับต้องมาเป็นวันสุดท้ายก่อนที่มันและผมจะต้องห่างกันไกลแสนไกล
ผมต้องไป....แสนไกล......ในขณะที่ถึงสัญญานัดของเรา
แล้วผมคนนี้ยังจะกล้าทำอะไรมันงั้นหรือ?? ผมไม่คิดจะทำร้ายมันมากมายขนาดนั้นหรอก
แค่วันนี้ที่ผมจะต้องบอกกับมันผมก็ไม่รู้ว่ามันจะทำใจยอมรับได้มากน้อยแค่ไหนแล้ว
ผมโทรหาปิงขณะที่ขับรถออกจากบ้าน
ถามมันว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน
“กำลังจะถึงห้องพี่แล้วครับ
พี่เอย์อยู่ไหน”
“กำลังออกมาจากบ้านเดี๋ยวจะถึงห้องแล้วเหมือนกัน”
“คืนนี้พี่ค้างได้เหรอครับ” เสียงมันถามเบาหวิว
ผมถึงกับเงียบไป เสียงของมัน....
“พี่เอย์?”
“ค้างได้สิ”
ความร็สึกผิดในหัวใจผมท่วมท้น
ถ้าผมอยู่ข้างมันตอนนี้ผมคงจะคว้าเอาตัวมันเข้ามากอด ผมเอง ผมผิด ผมผิดทุกอย่าง
ผมทำไมต้องเป็นคนของอัศวเหมมินทร์ทำไมถึงต้องเป็นผม ถ้าหากว่าผมเป็นแค่คนธรรมดาบางทีเรื่องราวของเราอาจจะง่ายขึ้น
ทันทีที่ผมเปิดประตูเข้าไปในห้อง
แค่เห็นด้านหลังของคนที่นั่งรอผมอยู่แล้วผมลืมแทบทุกอย่าง ทิ้งกระเป๋าลงที่โซฟา พุ่งเข้าหามันจับตัวมันขึ้นมาแล้วจูบ
จูบให้สมกับที่ผมคิดถึง จูบให้สมกับที่ผมและมันไม่ได้เจอกันมานานมากเกือบอาทิตย์ และจูบให้สมกับที่ผมจะไม่ได้เจอมันอีกแสนนาน
ปิงเป็นของผม
ของผมแค่คนเดียวเท่านั้น ผมดันมันถอยหลังจนชิดผนังกระจกจูบซ้ำแล้วซ้ำอีกอยากจะย้ำให้มันไม่ลืมผมคนนี้
มันยังไม่รู้เรื่องที่ผมจะไปเรียนต่อ ถึงขนาดถามว่าผมหิวโหยอดอยากมากเหรอไม่เจอกันแค่สามสี่วัน
แต่ความรู้สึกของผมคือไม่ใช่เลย เราสองคนจะไม่ได้เจอกันอีกหลายๆปีนั่นต่างหากที่ผมกำลังคิด
ผมประคองสองแก้มมันพร้อมกับกดหน้าผากผมชนเข้ากับหน้าผากเล็กของมัน
“ปิง
ถ้ามึงไม่เจอกูนานๆมึงจะคิดถึงกูไหม” ผมรู้ว่าเสียงผมสั่น ผมควบคุมตัวเองไม่ได้
“พี่เอย์?” มันทำหน้าสงสัย
“ตอบดิ่ ตอบกูก่อน”
“คิดถึงสิครับ”
“จะคิดถึงกูจริงนะ
มึงจะลืมกูหรือเปล่า”
“เป็นไรอ่ะพี่
ทำไมถึงถามอะไรแบบนั้น”
“ตอบกูหน่อย
มึงจะไม่ลืมกูใช่ไหม” ผมลูบแก้มมัน ลูบแล้วก็ลูบอีก ผมอยากจะจดจำทุกๆอย่างของมัน
ไว้ในความทรงจำ
“พี่เอย์ครับ?” มันคงกำลังคิดว่าผมเป็นอะไร ผมจูบลงที่หน้าผากมันก่อนดึงแขนมันให้เดินตาม
“อาบน้ำด้วยกัน”
ผมบอก
ปิงขัดขืนนิดหน่อยผมจับมันยัดเข้าไปในห้องน้ำทันทีก่อนจะรั้งตัวมันเข้ามารับจูบ
ผมจูบอย่างโหยหากวาดต้อนเอาทุกสิ่งทุกอย่างจากมันจนหมดสิ้น ดันตัวมันให้เดินถอยหลังเข้าไปในห้องอาบน้ำที่เป็นกระจกใสแคบ
ๆ เปิดฝักบัวให้สายน้ำราดรดลงมาใส่ เนื้อตัวของเราสองกอดรัดกันอยู่ภายใต้สายน้ำเย็นฉ่ำ
เสื้อผ้าทั้งผมและมันเปียกโชก ปิงใส่เสื้อยืดสีขาวพอถูกน้ำแล้วแนบเนื้อไปทั้งตัว
ผมที่ดูดลิ้นมันไว้แทบทานทนต่อไปอีกไม่ไหวหอบหายใจหนักละริมฝีปากบอกมันให้ยกแขนขึ้นสูงเพื่อให้ผมได้ถอดเสื้อมันได้ถนัด
ผมไล่จูบลงมาตั้งแต่ลำคอ
หน้าอก ยันท้องขาวเนียน ปิงเป็นเด็กที่ผิวสวยมาก ผมไล้เลียขบดูดในทุกๆที่
ที่ผมจะไปได้ ขณะที่มันเองก็ไม่น้อยไปกว่ากัน เราสองคนโรมกันซึ่งกันและกันจนในที่สุดผมกับมันเปลือยเปล่า
สายน้ำเย็นเฉียบมิอาจต้านทานหรือลดทอนความร้อนแรงของอารมณ์เราสองลงได้แม้แต่น้อย
ผมลากมันออกมาต่อกันที่อ่างน้ำเราสองคนจูบกันมาตลอดทาง
เมื่อความอดทนถึงที่สุดผมทั้งขบทั้งกัดตีตราทุกตารางส่วนบนเนื้อตัวมัน ผมจูบมันแบบยาวนานมาก
น้ำในอ่างกระเพื่อมล้นขณะที่ผมรั้งเอวมันเข้ามานั่งซ้อนลงที่ตัก ต้นคอและแผ่นหลังรวมถึงสะโพกสวยของมัน
ผมจะทำทุกอย่างให้มันมีความสุข ผมจะปรนเปรอให้ ผมจะทำทุกจุดในทุกๆส่วน
ปิงร้องครางตัวเกร็งเมื่อผมลงลิ้นร้อนเข้าที่จุดนั้นซ้ำๆ
ผมทำจนผมพอใจขณะที่มันครางกระเส่าสองมือจิกขอบอ่างไว้แน่น ส่งเสียงครางเครือดังลั่น
เมื่อผมเห็นว่าถึงที่สุดของอดทนมันแล้ว ผมจับมันลุกขึ้นยืนเราสองคนกระโจนหากันเหมือนคนอดอยากและโหยหามาเนิ่นนาน
ความรู้สึกของผมคือผมจะกอดเกี่ยวมันไว้ให้นานที่สุดก่อนที่ผมจะไม่ได้เจอมันอีกไม่รู้ว่าจะนานแค่ไหนและผมจะมีโอกาสอีกหรือไม่ ผมจับมันนั่งลงที่ขอบอ่าง ส่วนตัวเองคุกเข่าลงที่หว่างขามัน
ก้มลงไปปรนเปรอให้อย่างที่ไม่เคยทำ มันจิกหัวผมแน่นร้องลั่นไม่เป็นภาษา ผมยิ่งย่ามใจจัดให้มันแบบเต็มที่ไม่มีกั๊ก
ในที่สุดผมยืนขึ้นจดจ่อลูกชายตัวดีเข้ากับริมฝีปากมัน
ปิงจัดการให้ผมแบบไม่ต้องขอ
มันทำเก่งมากไม่รู้ไปดูมาจากไหนคิดแล้วเครียดเหมือนกันทั้งที่ผมรู้นะว่าผมคนนี้คือผู้ชายคนแรกของมัน
ผมครางเสียงต่ำเพื่อระบายอารมณ์กระสัน จิกหัวมันแล้วโยกสะโพกสวนกระแทกเข้าที่ปาก เคยมีคนบอกว่าบทรักของผมรุนแรงและเร่าร้อนผมเทให้มันจนหมดหน้าตักในวันนี้
ทั้งที่ก็รู้ว่าเราสองคนจะทำได้แค่นี้แค่ภายนอก ผมจะไม่ทำกับมันถึงขั้นสุดท้าย
เหตุผลเพราะผมจะต้องไปผมไม่อยากให้มันมีรอยแผลเป็นเกิดขึ้นในชีวิต แค่หัวใจและความรู้สึกของมันก็โดนผมทำร้ายเพียงพอแล้วเพราะฉะนั้นเรื่องรักและสัญญาของเราครั้งนี้ผมจะฉีกมันทิ้งด้วยมือของผมเอง....เพื่อมัน
เรามาต่อกันที่เตียงผมซุกไซ้ซอกคอมันเล่น
ขบๆดูดๆอยู่อย่างนั้นขณะที่มันเอียงหัวนิดๆเพื่อเปิดพื้นที่ให้ผมไซ้ได้สะดวก
ปิงตัวหอมและนุ่มมากผมทั้งสูดทั้งดมเพื่อตอกย้ำลงในหัวใจถึงกลิ่นและร่างกายของมัน มีการบอกให้ผมปิดไฟก่อนด้วยนะ
มันน่ะพูดจาไม่รู้จักอายหรอกเมื่อกี้ยังล่อกันอยู่ในห้องน้ำที่สว่างโล่แท้ ๆ
ตอนนี้มากกกันอยู่บนเตียงดันบอกให้ผมปิดไฟ ผมที่ซุกซอกคอมันอยู่ถึงกับกลั้นหัวเราะไว้ไม่ไหว
“อายกูเหรอ”
ผมเงยหน้าขึ้นถามก่อนที่จะเอื้อมมือไปกดสวิทไฟนีออนที่หัวเตียงพร้อม ๆ
กับกระตุกเชือกโคมไฟผ้า ห้องทั้งห้องเปลี่ยนเป็นแสงสีส้มระเรื่อเข้ามาแทนที่
หน้ามันแดงจัดคงจะเขินอายและคิดว่าผมกำลังจะทำตามสัญญานัดสามเดือนของเรา ผมที่คร่อมตัวมันไว้ประคองสองแก้มนิ่มอย่างเบามือกดปลายจมูกโด่งหอมลงที่พวงแก้มสีสดอย่างตั้งใจ
หมาปิงมีลักยิ้มด้วยนะผมเคยบอกหรือยัง? แก้มมันกลมๆสีอมชมพูเห็นเส้นเลือดฝอยเล็กๆน่ารักมาก
ที่ผมชอบเรียกมันว่า ‘ขี้เหร่’ ก็เพราะเวลามันยิ้มแก้มมันจะยุ้ยๆ ป่องๆเหมือนเด็ก
“ปิง”
ผมเรียกมัน มองหน้ามันไว้ เก็บรายละเอียดจดจำทุกส่วนสัดบนใบหน้านี้ให้
เก็บและฝังลึกตอกลงในหัวใจ สองมือที่ประคองสองแก้มลูบแล้วลูบอีกด้วยความรู้สึกเอ่อล้น
ผมรักมัน........มากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
“มึงน่ะ
ชอบกินข้าวไม่ตรงเวลา บางวันเตะบอลจนเพลินทำให้เลยเวลากินข้าวเย็นไปมาก
ต่อไปรักษาเวลากินข้าวหน่อยนะ มึงจะได้ไม่ปวดท้อง” มันเลิกคิ้วขึ้นนิดๆคงกำลังฟังผมอยู่
“แล้วเรื่องที่ชอบขับรถตากทั้งแดดตากทั้งฝนไม่สนใจสุขภาพของตัวเองก็เหมือนกัน
เลิกซะนะต่อไปต้องดูแลตัวเองให้ดีรู้ไหม”
ผมรู้เลยว่าเสียงผมสั่นเครือมาก
มือไม้พลอยสั่นไปหมด ผมเริ่มทำอะไรไม่ถูกเมื่อเวลานี้มาถึงจริง ๆ
เมื่อคืนผมนอนคิดตลอดทั้งคืนผมจะบอกมันว่ายังไง จะบอกตอนไหน และเหตุผลคืออะไร
ปิงเริ่มทำหน้าสงสัย
“อีกอย่าง
มึงมันชอบวิ่งผ่านน้ำ อย่าอาบเร็วนักสิ หัดถูสบู่ขัดตัวบ้าง
กูรู้นะบางวันขี้เกียจถึงขนาดไม่อาบเลยก็มี ต่อไปห้ามทำแบบนั้นอีกนะ
ถ้าเป็นไปได้ก็ซื้อครีมอาบน้ำดี ๆ มาใช้สักขวดเอากลิ่นที่มึงชอบ
แบบนั้นมึงจะได้ขยันอาบมากหน่อยเนื้อตัวจะได้ไม่มอมแมม จะได้สะอาด”
ผมพยายามจะปรับเสียงให้เป็นปรกติ
ไม่อาจละสายตาจากใบหน้ามันได้เลย ใบหน้าที่ผมคนนี้จะไม่มีวันลืม ไม่ว่าเราสองคนจะห่างกันนานแค่ไหน
“พี่เอย์ครับ??”
มันเรียกผม ทำหน้าตาสงสัย ขณะที่ผมมองมันด้วยความรู้สึกท้วมท้นไปด้วยความเสียใจกับถ้อยคำที่จะต้องกล่าวลา
“และสุดท้าย
เวลามึงกินข้าวให้เลือกกินแต่อาหารดีๆแบบที่มึงทำให้กูกินนะ
อย่ามีแต่ซื้อกับข้าวถุงมึงบอกเองนี่ว่าแบบนั้นผงชูรสเยอะ
เพราะฉะนั้นถ้าเป็นไปได้ก็พยายามทำกินเอง”
“พี่เอย์
พี่เป็นอะไ-” ผมส่ายหัวเบา ๆ
ไล้ปลายนิ้วเข้าที่ริมฝีปากมันอย่างเชื่องช้าทอดสายตามองดวงหน้าเล็กอย่างอาลัย
ก่อนที่ผมคนนี้จะตัดสินใจเอ่ยถ้อยคำที่ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะได้พูดออกมากับมัน
“ปิงครับ......................... พรุ่งนี้กูจะไปเรียนต่อนะ”
ถ้อยคำแผ่วเบากลั่นออกมาจากหัวใจที่แตกสลาย ผมรู้....ผมรู้ว่ามันรู้สึกตกใจแค่ไหน
ผมรู้ว่าผมคนนี้ได้ทำลายหัวใจอันแสนบริสุทธิ์ของมันเข้าไปแล้ว ผมเคยบอกมันไว้เสมอไม่ว่าเมื่อไหร่เวลาที่มันถามผมจะบอกอยู่เสมอว่าผมจะเรียนต่อที่นี่ไม่ไปไหน
ผมสอดมือเข้าไปที่ท้ายทอยมันพร้อมกับกดหน้าผากตัวเองทาบลงไปแค่นรอยยิ้มสมเพชให้กับตัวผมเอง
ไม่น่าเชื่อว่าคนอย่างผมจะยอมปล่อยมือจากมันง่ายดายขนาดนี้
“เร็วไปหน่อยใช่ไหม....แต่ตั๋วเครื่องบินก็ตีวันที่ไว้เป็นวันพรุ่งนี้แล้ว”
ปิงนิ่งเงียบไปตาดวงเล็กกลมๆของมันรื้นขึ้นด้วยรอยน้ำตามันค่อยยกสองมือขึ้นมาลูบใบหน้าผมช้า
ๆ ขณะที่ผมคนนี้ลูบแก้มมันอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร ผมไม่รู้มันกำลังคิดอะไรแต่สายตาที่สื่อออกมาแสดงให้ผมเห็นว่ามันกำลังจดจำรายละเอียดทุกอย่างของผมไว้เช่นกัน
ปิงเป็นเด็กดี
ไม่ว่าเมื่อไหร่มันยังคงเป็นตัวของตัวเองและน่ารักเสมอ
ผมคนนี้เท่านั้นที่ไม่เหมาะไม่คู่ควรกับมัน ผมยอมทำตามใจคุณแม่ไม่ใช่เพราะผมเลือกแม่มากกว่าเลือกมัน
ผมเคยบอกไปแล้วผมสามารถทิ้งได้ทุกอย่างถ้ามีมัน แต่ตอนนี้คนที่ผมรักกำลังจะต้องเดือดร้อนเพราะผม
มีเพียงผมคนเดียวเท่านั้นที่จะแก้ปัญหานี้ได้
เวลาสามปีไม่เร็วเลยแต่มันก็ไม่ได้ช้าสำหรับคนที่รอคอย
ผมไม่อยากให้มันต้องรอคอย
ความรู้สึกของคนที่รอคอยเจ็บปวด ผมเข้าใจและรู้ดี ผมเพียงแค่หวังว่าปิงจะไม่ลืมผม
เรื่องราวของเราสองคนอาจจะจบลงในวันนี้ ผมจะให้มันเป็นคนตัดสินใจ
ปิงเป็นเด็กดีมันไม่สมควรต้องมาจดจ่อรอคอยแค่ผม
เวลาเจ็ดเดือนที่เราสองคนใช้ร่วมกันมาผมจะเก็บไว้เป็นความรู้สึกดี ๆ
ที่ผมคนนี้จะขอจดจำมันไว้จนชั่วชีวิต
ผมกลั้นหายใจก่อนเอ่ยถ้อยคำที่ยิ่งกว่าคมมีดกรีดลึก กดเข้าในหัวใจตัวเอง
“ไม่ต้องรอกู ถ้ามึงเจอใครที่ดีกว่าอย่าปิดโอกาสตัวเอง”
บาดแผลคราวนี้สาหัสมากจริง
ๆ คำว่ารักที่ยังไม่เคยได้เอ่ย มีเพียงคำบอกลาและถ้อยคำฝากฝัง จนสุดท้ายแล้วคำพูดที่ผมพูดออกมาคือถ้อยคำของคนที่ทำร้ายหัวใจของตนเอง
เป็นผมเองที่ฉีกสัญญาทุกอย่างระหว่างผมกับมันทิ้ง เสร็จแล้วไม่พอผมยังบดขยี้ให้หัวใจตัวเองแหลกลงไม่มีชิ้นดี
“คืนนี้ของเรา
ถ้ามึงไม่เต็มใจ.....กูจะไม่ทำ”
ปิงหลับตาลงทันที
ขณะที่ผมจ้องหน้ามันนิ่งงันจูบซ้ำๆที่ขมับเล็กสองข้างอย่างตั้งใจ ผมรักมัน ผมจูบมัน
ผมอยากจะเก็บและกอบโกยเอาความรู้สึกนี้เก็บไว้ ผมบอกกับตัวเองว่าผมจะไม่ลืม ไม่มีวันลืม
ผมจูบจนผมตื้อไปหมดไม่รู้จะทำอย่างไรจึงจะหยุดวันและเวลานี้ระหว่างเราไว้ได้
จนในที่สุดผมบอกกับตัวเอง
งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา กดจูบลงที่ขมับเล็กเป็นครั้งสุดท้ายสูดลมหายใจลึกก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นละลำตัวออกจากมัน
แต่ปิงก็ยังคงเป็นปิงมันยกสองมือขึ้นคล้องลำคอผมไว้ก่อนโน้มใบหน้าขึ้นมาเอียงศีรษะแล้วแตะจูบลงที่ริมฝีปากผม
ความร้อนของสองเราคล้ายดั่งคบเพลิงที่ถูกจุด ผมรู้ได้ในทันทีที่ริมฝีปากสองเราสัมผัสกัน
จูบที่ผมตอบรับมันในทันที ผมไม่มีสติจะควบคุมอะไรได้อีกต่อไปแล้วเมื่อใช้หัวใจนำทางร่างกาย
เราสองคนกอดเกี่ยว ทุกสัมผัสกอดรัดพื้นที่ทุกตารางนิ้วในตัวกันและกันทั้งผมทั้งมันต่างไม่มีใครยอมปล่อยให้หลุดลอดไปแม้สักหนึ่งส่วน
วันเวลานี้ทุกลมหายใจของผมและมันเราจะใช้ร่วมกัน
บทเพลงแห่งความรักและการจากลากำลังถูกบรรเลงและโลดแล่น
เตียงใหญ่ไหวเอนไปตามแรงกอดรัดของสองเรา
ผมจูบมันครั้งแล้วครั้งเล่าจูบย้ำซ้ำๆอยู่แบบนั้นกระทั่งสุดท้ายร่างกายที่ถูกเตรียมพร้อมของมันก็ถูกผมสอดแทรกเคลื่อนกายเข้าครอบครอง
ปิงครางฮือร้องเสียงหลงมันจิกแขนผมแน่นจนสั่น สุ้มเสียงกระเส่ารัญจวนแผดลั่น น้ำเสียงมัน ความรู้สึก หน้าตา ผมจะจดจำทุกอย่างระหว่างเราไว้ให้ดีที่สุด
ผมไม่มีวันลืมค่ำคืนนี้ของสองเราได้ไม่ว่าจะนานแค่ไหนต่อให้เป็นอีกสิบปี ยี่สิบปี
ความรู้สึกแบบนี้ของผมจะขอมอบให้คนที่ผมรักคนนี้แค่คนเดียวเท่านั้น..............ตลอดไป
“รักมึงนะ”
ถ้อยคำที่มันเคยขอให้ผมพูดมาตลอด
ถ้อยคำที่ผมคิดไว้นานแล้วว่าผมจะพูดกับมันในวันที่เราสองลึกซึ้งต่อกัน นัยน์ตาของมันมีแต่เงาสะท้อนของใบหน้าผม
เงาสะท้อนที่มีเพียงแต่ผม แค่ผมคนเดียวเท่านั้น
น้ำตาหยดหนึ่งไหลตกลงมาที่ข้างแก้ม
ริมฝีปากสั่นถูกกัดไว้จนแน่น ในที่สุดมันเอ่ยถ้อยคำสำคัญที่สุดของมันให้กับผม
“ผม...ฮึกก..ก็รัก..ฮอึกก...รักพี่...ฮืออ...” ถ้อยคำขาดๆหายๆเป็นเพราะเสียงสะอึกสะอื้นแทบขาดใจ
ผมลูบแก้มมันอีกครั้ง จูบซับรอยน้ำตาของคนที่ผมรักกดหน้าผากแนบชิดลงไป
ความรู้สึกตื้นตันเอ่อล้น
ปิงไม่เคยบอกรักผม
มันอาจจะเคยพูดคำว่าชอบ มันอาจจะทำท่าทะเล้นเหมือนคนมีใจ
แต่ไม่เคยเลยสักครั้งที่มันจะเอ่ยคำๆนี้ คุณคงไม่รู้หรอกว่าผมดีใจมากมายแค่ไหน
“อย่าร้องไห้” ผมปลอบมันทั้งที่ตัวเองนี่คือจะไม่ไหวแล้ว
มือของเราสอดประสานและจับกันไว้ ปิงกำมือผมแน่นมากราวกับว่าถ้ามือผมหลุดหายออกไปมันจะไม่สามารถคว้ากลับมาได้อีก
ซึ่งผมอยากจะบอกมันเหลือเกินถึงแม้ว่ามือของเราจะไม่ได้สัมผัสซึ่งกันและกันแต่ทว่าหัวใจที่มองไม่เห็นของสองเราจะยังเกี่ยวโยงและวางไว้ข้างๆกันเสมอ
ไม่ว่าผมจะยืนอยู่ ณ ที่แห่งใดในโลกแห่งนี้ ผมสัญญาผมจะไม่มีวันปล่อยมือนี้ของมัน
ไม่ว่าจะกี่ปีผ่านไป ไม่ว่าอะไรใดๆจะเปลี่ยนแปลง แต่ความรู้สึกทั้งหมดของผม ผมคนนี้จะยังคงเป็น
‘พี่เอย์’ คนเดิมของมันไม่มีวันเปลี่ยน
ผมกระชับกอดมันไว้แน่น
กอดให้แน่นที่สุด ให้ผมได้สัมผัสมันยาวนานยิ่งกว่านี้ ผมจะไม่ยอมหลับ จะมองหน้ามันไว้แบบนี้จนถึงเช้า
ผมจะจดจำรายละเอียดทุกๆอย่างบนดวงหน้านี้ ปิงเป็นคนของผมแล้ว
เป็นสิ่งวิเศษณ์ที่ผมโชคดีบังเอิญได้พบเจอ ผมจะขอจดจำค่ำคืนนี้ของเราให้ยาวนานปิงหลับไปแล้ว
ผมจูบมันที่แก้มก่อนตัดสินใจจะลุกขึ้นไปหยิบเสื้อมาสวมให้เมื่อเห็นว่ามันอาจจะรู้สึกหนาวเพราะร่างกายเราตอนนี้เปลือยเปล่า
ทว่าแค่เพียงผมขยับตัว มันคว้าเอาแขนผมไว้แน่นไม่ยอมปล่อยทั้งที่ตาหลับแต่ความรู้สึกของมันก็ยังคงจะไขว่คว้าผมไว้
ผมจึงดึงผ้าห่มขึ้นมากระชับโอบคลุมร่างเปลือยของสองเรา
คืนนี้ผมจะนั่งอยู่แบบนี้
ปล่อยให้มันหลับลงในอ้อมกอดของผม เราสองคนจะกอดกันจนถึงเช้า ผมจะกอดมัน ไม่มีอะไรจะมาแยกผมกับมันได้
เวลาไม่กี่ชั่วโมงนับต่อจากนี้จะเป็นของผมกับมันเท่านั้น ถึงแม้ว่าผมอยากจะขอยืดช่วงเวลาออกไปให้ยาวนานแค่ไหน
แต่ผมไม่มีความสามารถพอที่จะทำแบบนั้นได้ อ้อมแขนผมกระชับตัวมันให้แน่นขึ้นแล้วโยกตัวเบา
ๆ ห้องทั้งห้องเงียบเชียบผมจูบกลุ่มผมนุ่มซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่รู้ว่าเวลาเดินผ่านไปนานแค่ไหน
รู้แค่ว่าทุกวินาทีตอนนี้สำหรับผมแล้วมีค่าเหนือสิ่งใดๆในโลก
ม่านหน้าต่างสีครีมพลิ้วไสวเข็มนาฬิกาชี้บอกเวลาว่าจวนจะตีสี่แล้ว
อีกไม่นานพระอาทิตย์จะต้องขึ้น ผมหลับตาลงแน่นเปลือกตาสั่นไหวระริกเมื่อนึกถึงช่วงเวลาที่ระบุไว้บนตั๋วเครื่องบิน
เที่ยวบินคือหกโมงเช้า แน่นอนว่าผมต้องเผื่อเวลาสำหรับเช็คอิน
ผมแทบอยากหยุดหายใจกอดมันแน่นจนตัวผมสั่นเฝ้าจูบซ้ำๆอยู่แบบนั้น ผมไม่อยากจะไป ไม่อยากจะแยกจากคนที่ผมรัก
“มึงชื่ออะไร”
“ปิงครับ”
“อายุเท่าไหร่”
“19 ”
“เรียกกู ‘พี่เอย์’ เดี๋ยววันนี้กูต้องไปงานเลี้ยงสมาคมกับที่บ้าน
มึงทำอะไรเสร็จแล้วจะกลับเลยก็ได้ เงินวางอยู่ที่โต๊ะทำงานในห้อง
เอาไปทั้งหมดนั่นแหละ”
“บ้านมึงอยู่ไหน”
“บ้านไหนพี่”
“บ้านมึงไง ที่ๆมึงซุกหัวนอนน่ะ”
“บ้านน่ะอยู่ไกลโน้นแน่ะ
แต่ห้องที่ผมใช้ซุกหัวนอนน่ะ อยู่แถว ๆ นี้แหละครับ ไม่ไกลจากคอนโดพี่เท่าไหร่หรอก
พี่ถามทำไมอ่ะ”
......
“ลงไปดิ ถึงห้องมึงแล้วก็ลงไป”
“พี่ชอบผมเหรอ??”
“มึงอยากรู้คำตอบจริงเหรอ”
“ครับ”
“งั้นเข้ามานี่ ขยับมาใกล้ ๆ”
5
4
3
2
1
“ไม่-ได้-ชอบ”
“ทำไมวันนี้พี่ไม่ใส่แว่นล่ะครับ”
“รู้เหรอว่ากูใส่แว่นด้วย”
“ครับ
วันนั้นผมเห็นนะพี่หลับคาหนังสือคาแว่นนั่นแหละ ผมเลยสงสัยไงทำไมวันนี้พี่ไม่ใส่”
“กลัวหมาบางตัวไม่ชิน
เดี๋ยวจะตกใจหน้าตาตื่น กูเกียจรำคาญ”
“กูไม่ได้ต้องการอะไรเลย
ขอแค่ได้ใช้เวลาอยู่กับมึงในทุก ๆ วันก็พอ”
“ นี่พี่กำลังบอกรักผมอยู่เหรอ
ใช่ไหม”
“ใช้งานมึงได้ทั้งวัน มึงคิดเท่าไหร่”
“เฉพาะกู แค่กูคนเดียว
กับเวลาตลอดทั้งวันของมึง”
“พี่เอย์ครับ พี่รักผมใช่ไหม”
“กูคิดว่าสำหรับมึง
มันคงเกินคำว่ารักไปแล้ว กูเลยไม่รู้จะหาคำพูดไหนมาพูดกับมึงดี”
“หมาปิง มาอยู่ด้วยกันเลยดีไหม”
“อะไรกันยังไม่ไปสู่ขอกับแม่ผมเลย
จะชวนมาอยู่ด้วยแบบนี้ พี่เอย์แย่จริง ๆ นะครับ
เกิดผมท้องก่อนแต่งขึ้นมาเดี๋ยวคุณนายกับพี่ขมได้โวยวายลั่นบ้านแน่”
“พี่เอย์ พี่ทำไมไม่เคยบอกรักผมเลยอ่ะ”
“ทำไม มึงอยากฟังเหรอ”
“อื้อๆ”
“งั้นขยับมานี่ ใกล้ๆ”
“เอียงหูมา”
“ฟู่ววว~”
“สัญญากับกูว่าจะไม่ปล่อยมือนี้
เราจะจับกันไว้จนถึงที่สุด........สัญญาได้ไหม”
“ผมสัญญา”
“รักมึงนะ”
“ผม..ฮึกก..ก็รัก..ฮอึกก...รักพี่...ฮืออ...”
“....หมาปิง....”
เสียงผมเรียกชื่อมันขาดๆหายๆ น้ำตาผมไหลตกลงมาจนหน้าเปียกไปหมดเมื่อนึกถึงคืนวันเก่าๆของเรา
ทำยังไงดีตอนนี้ต้องได้เวลาลุกแล้ว ผมจะหยุดเวลาตอนนี้ไว้ได้ยังไงกัน
เวลาของผมกับมันกำลังจะหมดลงแล้ว ผมไม่อยากไป
ใครก็ได้ช่วยผมด้วย ได้โปรดช่วยผมที
จะทำยังไงผมถึงจะได้ใช้เวลาอยู่กับมันต่ออีกหน่อยแค่หนึ่งวัน สองวัน สามวัน หรืออีกแค่หนึ่งอาทิตย์จะได้ไหม
ได้โปรดขอเวลาให้ผมมากกว่านี้
ความจริงแล้วเรื่องไปเรียนต่อไม่ได้น่ากลัวเลย
แต่ที่ผมทำใจไม่ได้อยู่ตอนนี้คือคำสั่งที่ห้ามติดต่อกันอีกระหว่างผมกับมัน ข้อแลกเปลี่ยนที่น่ากลัวของคุณแม่
สามปี ปิงมันจะทนได้แค่ไหน ระยะทางจะพรากหัวใจของมันไปจากผมหรือเปล่า ผมบอกมันว่า ‘ไม่ต้องรอ’ บอกให้มันเปิดโอกาสให้กับตัวเองถ้าหากคิดว่าเจอใครสักคนที่ดีกว่าผม เพราะว่ารักมาก
เพราะว่าผมไม่อยากให้มันมายึดติด จดจ่อ และรอคอยอยู่กับผม ผมขออย่างเดียว ขอให้มันไม่ลืมผมคนนี้แค่นั้นพอ
ผมค่อยลุกออกมาเมื่อคิดว่าทุกอย่างคงจบสิ้นแล้ว
หยิบชุดนอนขึ้นมาสวมให้มันและตัวผมเอง ลากฝีเท้าที่หนักอึ้งตรงเข้าไปที่ห้องครัว เวลาของผมจวนจะหมดแล้วผมกำลังจะต้องไป
เปิดตู้เย็นกวาดตาดูข้าวของ ปิงจัดเรียงอาหารทุกอย่างไว้เป็นระเบียบดีมากผมหยิบก่องทัพเพอร์แวร์ที่ใส่กุ้งแกะสำเร็จ
มีข้าวสวยฟรีซแช่แข็งผมหยิบออกไปยัดเข้าไมโครเวฟ ไข่ไก่สองฟองกับมะเขือเทศ
นี่คือเครื่องปรุงทั้งหมดที่ผมเคยเห็นเวลาที่มันทำให้ผมทาน ‘ข้าวผัดกุ้ง’ เมนูอาหารที่ผมมักขอให้มันทำให้เสมอ
วันนี้เวลานี้ผมจะทำ ผมจะทำทิ้งไว้ให้มันเป็นครั้งสุดท้าย ผมจะตั้งใจทำอย่างสุดฝีมือ
ปิงต้องกินอาหารมื้อนี้ให้อร่อย
ผมจะทำ....แม้ว่าผมจะทำไม่เป็นผมคนนี้ก็จะทำ
ผมเททุกอย่างลงในกระทะแล้วคนๆๆ
ทำให้มันเข้ากัน ข้าวผัดทำไมทำยากผัดแบบไหนถึงจะสุก
เอ๊ะผมลืมใส่น้ำมันรึเปล่าถ้าเทไปตอนนี้มันจะเป็นยังไง
ไฟร้อนเกินไปแล้วหรี่ลงตรงไหนนะ ข้าวติดกระทะจนดำไปหมดแต่ผมไม่มีเวลามาทำใหม่แล้วท้องฟ้าจวนสว่างขึ้นทุกที
ผมทอดไข่ดาวเพิ่มให้อีกถือเป็นของแถมน้ำมันพืชกระเด็นแตกกระจายไปหมดคงเพราะผมล้างกระทะไม่สะอาด
มือผมแขนผมพองเพราะรอยน้ำมันที่กระเด็นมาถูกแต่ผมไม่สนใจจุดนั้นยังคงตั้งหน้าพลิกไข่ดาวให้ได้
ในที่สุดอาหารสำเร็จเรียบร้อย
ผมหยิบมะเขือเทศออกมาจากตู้เย็น ปิงล้างแล้วใส่กล่องพลาสติกปิดฝาไว้อย่างเคย ผมเลือกออกมาหนึ่งลูก
เอาลูกที่สวยที่สุดใหญ่ที่สุด นึกแล้วใจหายขึ้นมา ต่อไปใครจะปาดมะเขือเทศให้ผมกิน ต่อไปผมจะกินข้าวผัดกุ้งของใครกัน
ต่อไปใครจะคอยมาถามผมว่าวันนี้ผมจะกินข้าวกับอะไร
ผมปาดมะเขือเทศลงบนเขียง มีดแม่งไม่คมเลยทำไมผมถึงหยิบมีดอันนี้ออกมาใช้นะแล้วน้ำอะไรมันหยดตกลงมาที่เขียงกัน
ฝนจะมาตกลงที่นี่ได้ยังไงผมเงยหน้าขึ้นดูถึงได้รู้ว่ามันคือหยดน้ำตาของผมเอง
น้ำตาที่ผมกลั้นไว้ไม่อยู่อีกต่อไปแล้ว ทรุดตัวนั่งลงที่พื้นซบใบหน้าเข้ากับฝ่ามือร้องไห้โฮ
ผม-ไม่-อยาก-ไป
จะมีใครบ้างที่ได้ยินคำพูดในหัวใจที่กึกก้องนี้ของผม
ผมไม่อยากปล่อยมือออกจากมัน
แม้ว่าผมจะเชื่อใจและมั่นใจในตัวมัน แต่ผมกลัว กลัวความห่างไกล
กลัวความเหงาจะทำให้มันรับใครเข้ามาแทนที่ผม
....ผมกลัว....
ผมใช้หลังมือปาดน้ำตาพยุงตัวลุกขึ้นอีกครั้ง
มองดูอาหารที่ตัวเองทำ อาหารมื้อสุดท้ายที่ผมตั้งใจทำอย่างสุดฝีมือ ลากขาที่หนักอึ้งเดินไปหยิบยาพาราหนึ่งแผงรินน้ำเปล่าตั้งไว้ข้างกันปิงตัวอุ่นๆผมกลัวว่ามันจะไม่สบาย
ผมใช้เวลาแค่สิบห้านาทีแต่งตัวและทำทุกอย่างให้เรียบร้อย ก่อนเดินไปเปิดลิ้นชักโต๊ะทำงานหยิบสมุดบัญชีที่ผมเตรียมไว้ให้มันตั้งแต่สามวันที่แล้วขึ้นมาวางไว้
โพสอิทใบเล็กถูกผมเขียนข้อความสั้น
ๆ ไว้ว่า ‘ปิง’ ผมนึกนะ อยากจะเขียนข้อความอะไรที่มากมายกว่านั้น แต่ผมตัดสินใจไม่เขียน
ผมไม่อยากให้มันคิดถึงผม ผมกลัวว่ามันจะอาลัย ไม่อยากให้มันต้องทนรอ
ผมขอแค่เพียงมันจะไม่ลืมทุกอย่างของเรา ไม่อยากให้มันตามหา ปิงคงจะคิดได้ในที่สุดว่ามันจะต้องติดต่อผมผ่านเครื่องมือสื่อสาร
ผ่านทางอินเทอร์เน็ต ผ่านทุกๆอย่างที่มันจะคิดขึ้นมาได้ จนกว่ามันจะรับรู้ว่าผมตั้งใจที่จะตัดขาดจากมันคงกินเวลาไปหลายอาทิตย์
เงินก้อนนี้จะชดเชยค่าใช้จ่ายต่าง ๆ พวกนั้นที่มันอาจะใช้เพื่อตามหาผม
ค่าน้ำมันค่าโทรศัพท์ค่าลงทะเบียนเรียน ค่าช่วยเหลือทางบ้าน ค่าใช้จ่ายระหว่างเดือน
นี่เป็นเงินส่วนตัวของผมเอง แต่ผมตั้งใจที่จะให้มันไว้จริง ๆ
หวังว่ามันจะเอาออกมาใช้ สองล้านสำหรับสามปีไม่รู้ว่ามันจะน้อยไปไหม พวงกุญแจรูปปลาโลมาที่หมาปิงมันชอบดึงหางเล่นจนยืดถูกผมหยิบขึ้นมาวางทับไว้บนนั้น
หวังว่ามันคงจะเข้าใจความหมายของผม......สำหรับห้องนี้ของเรา
รังรักที่เราสองคนใช้เวลาและลมหายใจร่วมกันมา ผมหยอกมัน มันหยอกผม เราสองคนเถียงกัน
สุดท้ายทุกอย่างจบลงที่เตียงใหญ่หลังนี้ ในห้องๆนี้ เมื่อไหร่ก็ตามที่มันอยากจะมา
เมื่อไหร่ก็ตามที่มันคิดถึงวันเก่า ๆ ของเรา และเมื่อไหร่ก็ตามที่มันนึกถึงผม ทุกเมื่อทุกเวลา....ที่นี่ยังคงเป็นที่ๆต้อนรับมันเสมอ
ผมหยิบเสื้อสูทขึ้นพาดไว้ที่แขนก่อนเดินเข้าไปหาคนที่ผมรักเป็นครั้งสุดท้าย
ลูบหัวมันเบา ๆทอดสายตามองดวงหน้าที่หลับตาพริ้มอย่างอาลัย โน้มตัวลงกดปลายจมูกที่แก้มเนียนนั้นพร้อมกับน้ำตาที่ไหลตกลงมา กัดฟันไว้แน่นข่มทุกอารมณ์ความรู้สึก
ทุกอย่างของเราจบแล้วจริง ๆ ผมลูบแก้มมัน มองดูหน้ามันอีกครั้ง ชัดๆ แค่นรอยยิ้มขมขื่นที่ผมคนนี้อยากบอกกับมันอีกสักครั้ง
“ขี้เหร่เอ๊ยทำหน้าอะไรของมึง”
“พี่แม่ง ว่าผมขี้เหร่เรื่อยแหละ”
“ปิงกูโคตรรำคาญมึงเลย หน้าตามึงแม่ง!”
“พี่อ่ะ ผมไม่ได้ขี้เหร่ขนาดนั้นสักหน่อย
ปล่อยดิ ผมจะได้ลงไปนอน”
“รักมึงนะหมาปิง มึงน่ะมันที่สุดของความขี้เหร่เลย”
สูทสีเข้มถูกพาดลงที่เบาะหรูของเก้าอี้โดยสารชั้นเฟิร์สคลาส
บรรยากาศบนเครื่องเที่ยวบินหกโมงเช้าเงียบเหงาและวังเวง
ผมเอนตัวลงที่พนักพิง
ถอนใจยาวด้วยความเหนื่อยล้า แว่วเสียงประกาศบอกให้รู้ว่าเครื่องบินไต่ระดับได้ที่แล้ว เปลือกตาหนักอึ้งถูกปิดลงอย่างเชื่องช้า
พร้อมๆกับเสียงเปียโนนุ่มถูกถักทอร้อยเรียงออกมาเป็นเสียงดนตรีหวานซึ้ง เศร้าสร้อย
ทว่าแผ่วเบา
.....จุดมุ่งหมายที่แสนไกล.......
หากแต่หัวใจผมยังคงวางอยู่ที่นี่.........ข้างๆมันเสมอ....................................................ปิง
“พี่เอย์ครับ ถ้าพี่ได้ผมแล้วพี่ยังจะเป็นพี่เอย์คนเดิมของผมอยู่ไหม”
“ไม่ว่าจะกี่ปีผ่านไป กูก็ยังจะเป็น ‘พี่เอย์’ คนเดิมของมึง กูสัญญา”
....ว่าทุกเวลา ที่เราห่างกันแสนไกล
ยังมีอีกคำในหัวใจ ที่จะบอกเธอ
ให้เธอได้รู้และเข้าใจ
ว่าคิดถึงเธอ.......เมื่อเราห่างกันแสนไกล
มีคำหนึ่งคำจะพูดไป ให้เธอได้รู้
จะแทนความหมายความห่วงใย
.......ฉันคิดถึงเธอ........
Tbc.