Thursday, August 21, 2014

ดอกฟ้ากับหมาวัด (Out Of Reach) # 28 ....ผ่านพ้น....




# 28 ....ผ่านพ้น.....




ไม่มีรักไหน ที่ดีทุกวัน.....ยิ่งนานยิ่งผ่านเรื่องราวมากมาย

เข้ามาทดสอบ เข้ามาลองใจ....ว่าความรักของใครแกร่งจริง

หากเราเรียนรู้วิชาอดทน.....หากเราผ่านพ้นย่อมได้ทุกสิ่ง

หากเรามั่นใจว่ารักเราจริง......ทุกสิ่งมันก็มั่นคง






หมาปิง

“.........”

“ปิงครับ”

“......อืออ.....”

หมาปิงกูหิวแล้ว ลุกขึ้นมาปาดมะเขือเทศให้กินหน่อยเร็วเข้า

“อื้ออครับ”

“ปิง”

“พี่เอย์รอแปปนะผมตื่นแล้ว”

“ตื่นแล้วอะไรของมึงดูตาดิ๊ยังหลับอยู่เลย  เอาล่ะ ถ้าไม่ตื่นจะกอดจริงนะ ลุกไม่ลุกหืมม”

“ลุกแล้วๆ ฮ่าๆๆๆโอ๊ยยยอย่ามาจี้เอวกันดิ่พี่ ผมยังไม่อยากลืมตานี่”

“มึงนี่น๊าาา”

“พี่เอย์ครับกี่โมงแล้ว”

“หกโมงเช้าแล้ว ตื่นได้แล้วใช่ไหม มึงต้องไปทำงานไม่ใช่เหรอ?”

ผมค่อยกระพริบตาไล่แสงสว่างจากภายนอก สติสะตังกลับมาสมองรีบูตช้าไปนิดแต่ผมก็พอจะจำได้เมื่อคืนนั่งเขียนโปรแกรมจนดึกง่วงมากๆไถลตัวลงนอนข้างโต๊ะเลยหลังจากนั้นคือไร้สติ ไม่รู้เรื่องอะไรอีกเลย

“ไงตื่นแล้วดิ่” เสียงทุ้มดังข้างตัว

“เย้ยยยยยยย!!! ผมสะดุ้งอุทานอย่างดัง รีบลุกขึ้นนั่งอย่างเร็วเมื่อเห็นเป็นใครที่กำลังก้มปลุกผมอยู่

“ทะ....ทะ...ทำไมเป็นพี่อ่ะครับ” ผมรีบถาม มองหมอนมองผ้าห่มรอบตัว ผมยังนอนอยู่ข้างโต๊ะเหมือนเดิมแต่เครื่องนอนมาจากไหนเมื่อไหร่ แล้วที่สำคัญคือคนที่นั่งอยู่ข้างผมตอนนี้คือพี่เชน

“ก็เป็นกูดิ่ จะเป็นใครได้ ไม่ใช่คนที่มึงล่ะเมอเรียกชื่อเขาหรอกนะ ทั้งยิ้มทั้งเรียก ถุย! กูจะอ้วก”

“พี่อ่ะอย่าล้อดิ ผมแค่ฝันหรอก” ผมโกหกคำโต รีบเบือนหน้าหนีก้ม ๆ ทำท่าเก็บผ้าห่ม ตรงๆนะคืออายมาก อะไรวะผมลืมไปได้ยังไงว่าตอนนี้ผมทำอะไรอยู่ที่ไหนกับใคร พี่เอย์จะมาปลุกผมแบบนี้ได้ยังไง

“ลุกไปอาบน้ำไป เดี๋ยวกูเก็บที่นอนให้ สายแล้วนะ” ผมขยี้ตาลุกขึ้นแล้วช่วยพี่เชนหอบหมอนหนุน หมอนข้างและผ้าห่มขึ้นไปกองไว้ข้างบน พี่เชนเข้าห้องของตัวเองอาบน้ำเหมือนกัน ผมเองก็อาบน้ำแต่งตัว เราสองคนใช้เวลาไม่นานก่อนลงมากินกาแฟด้วยกันข้างล่าง ครัวของออฟฟิศ

“วันจันทร์เราจะเข้าไปติดตั้งเครื่องแล้วก็เชื่อมต่อระบบที่อัศวออโต้แล้วนะปิง มึงเอาไงวันนั้นจะลาหรือจะโดดงานขึ้นมาช่วยกู” พี่เชนตักเค้กเนยสดที่พี่แกซื้อมาแช่ตู้เย็นไว้เมื่อวานส่งให้ ส่วนผมเทน้ำเชื่อมสำเร็จใส่ในกาแฟดำของพี่เขาแล้วคนๆ เลื่อนแก้ววางลงให้ พี่เชนไม่กินครีมเทียม กาแฟที่กินคือกาแฟดำไม่ใส่น้ำตาลเด็ดขาด เป็นน้ำเชื่อมที่เป็นขวดสำเร็จไม่ก็คาราเมลบีบลงไปแทน

“ผมจะบอกคุณภีมไว้ครับ”

“งั้นก็ดี ลองถามเขาดูด้วยละกันเผื่อบางทีวันเดียวไม่เสร็จอาจจะต้องเลื่อนเป็นสองหรือสามวัน”

“ครับพี่เชน”

ผมกินเสร็จล้างแก้วล้างจานเค้กเรียบร้อย คว้าหยิบกระเป๋าขึ้นมาคาดใส่บ่า พี่เชนเดินตามออกมาด้วยเจอพี่ๆพนักงานหลายคนเริ่มทยอยกันเข้ามาทำงานกันแล้ว ผมก้มหัวทักทายส่งยิ้ม เขายกมือขึ้นไหว้พี่เชน บางคนแก่กว่าผมแต่ก็ยังยกมือขึ้นไหว้ผมเลยต้องไหว้รับแทบจะไม่ทัน

“ไปนั่งฝั่งโน้นไป”

“หือ?”

“ไปดิ่วะ”

“พี่เชนจะไปไหนครับ จะไปส่งผมเหรอพี่”

“เดี๋ยวกูจะแวะไปที่บ้านสักหน่อย ผ่านที่นั่นพอดีกูไปส่งมึงเลยก็แล้วกัน”

“เฮ้ยจริงป่ะพี่” ผมดีใจสิ รีบวิ่งปรู๊ดขึ้นรถเลยปิดประตูปัง  พี่เชนขับรถไม่เร็ว สบาย ๆ เพราะออฟฟิศเราไม่ไกลจากบริษัทที่ผมทำงานมากเท่าไหร่

รถจอดลงที่ด้านหน้า  “มึงจะกลับมากินข้าวเย็นด้วยกันไหม หรือจะแวะบ้านไปกินข้าวกับแม่กับพี่ขมไม่ได้กลับมาหลายวันแล้วนี่”

“ไม่แวะครับวันนี้จะกลับเลยโทรบอกแม่ไว้แล้ว พี่เชนจะรอผมกินข้าวเหรอ”

“มึงจะให้กูรอไหมล่ะ”

“ครับงั้นเดี๋ยวผมรีบกลับ”

“จะกลับยังไง ให้แฟนมึงมาส่งเหรอ”

“เฮ้ยพี่! พูดอะไรน่ะครับ แฟนมีที่ไหน ผมไม่มีหรอก” ผมรีบปฏิเสธดิ่ พี่เชนหมายถึงพี่เอย์แหงๆ

“อะไรของมึงวะ ดีกันแล้วไม่ใช่หรือไงวันนั้นยังเห็นยืนให้เขากอดอยู่เลย”

“พี่เชนอย่ามาแซวผมเหอะ นั่นน่ะทางนั้นเขากอดผมเองนี่”

“เออเรื่องของมึงเหอะลงไปได้แล้ว ตอนเย็นกลับเองนะหรือจะให้กูมารับอีก”

“กลับเองครับพี่ เดี๋ยวซื้อขนมเข้าไปฝากนะ ขอบคุณคร้าบบพี่เชนรูปหล่อ”

“กวนนักนะมึง รีบลงไปดิ่”

วันนั้นผมถึงบริษัทสายไปสิบนาทีแต่ก็ยังเช้ากว่าไอ้หมาบาสกับไอ้วุฒิที่ซ้อนรถกันมาเห็นว่าวันนี้รถฝั่งนั้นติดมาก งานที่หน่วยซ่อมของเรายังคงเยอะอยู่เหมือนเดิม ผมเข้าไปเปลี่ยนเป็นชุดหมีเดินออกมาเห็นรถมาจอดรออยู่ที่หน่วยเป็นแถวยาวแล้ว

“ปิงมาดิ๊” เสียงตะโกนเรียกมาอย่างดัง พี่ปอนด์กวักมือเรียกผมรัวๆ ผมเลยรีบวิ่งเข้าไปหา

“สายนะเรา”

“พี่มาเช้าอ่ะดิ่ นี่ยังไม่ถึงเวลาเข้างานเลยเหอะ”

“มาจัดการกันเลยไอ้น้อง วันนี้มึงส่งเครื่องมือนะวุฒิกับบาสมันไปช่วยอยู่ทางโน้นแล้ว”

“ครับ” ผมเป็นลูกมือพี่ปอนด์พี่เขาสอนงานผมดีมาก รถคันแล้วคันเล่าที่สำเร็จเสร็จออกไป มีพนักงานมาขับเอาไปรอล้างที่หน่วยคาร์แคร์ต่อ

“ปิง” เสียงเรียกดังมาจากออฟฟิศย่อย ผมลุกขึ้นไปตามเสียง พี่เขาทำไม้ทำมือให้รู้ว่ามีโทรศัพท์ถึงผม

“พิชยครับ” ผมกรอกเสียงลงไป ในใจนึกหวั่นว่าไอ้คนโทรมาตามจะเป็นใครคนนั้นบนชั้นสูงสุดอีกหรือเปล่า ซึ่งก็ใช่จริง ๆ

“หมาปิงไม่รู้กูเป็นอะไร ทำไมปวดท้องแปลกๆปวดมากๆเลยเนี่ย”

“อ้าวเฮ้ย!” ผมอุทาน เพราะน้ำเสียงที่มันพูดนี่คือท่าทางเจ็บปวดมากจริงนะ

อ้าวเฮ้ย!ตายห่าผมอุทานหลุดปาก เพราะน้ำเสียงที่มันพูดนี่คือท่าทางเจ็บปวดมากจริงนะ

"ยัง ยังไม่ตาย" มันรีบตอบ

“ปิงครับขึ้นมาดูกูดิ๊ มาดูท้องให้หน่อย” ผมเริ่มทำอะไรไม่ถูก ซอกนึงในความคิดคือนึกอยู่นะว่ามันโกหกผมไหม เที่ยงแล้วหรือว่าอยากให้ขึ้นไปกินข้าวด้วย แต่อีกใจนึงก็ถ้าหากว่าเป็นจริง ๆ ขึ้นมาจะทำยังไง

“คุณให้เลขาพาไปหาหมอสิครับ มาเรียกผมไปดูให้ก็ไม่ดีขึ้นหรอกผมไม่ใช่หมอนะ”

“โอ๊ยยยยปิงกูปวด”

“นี่คุณ”

“ปิงครับ ปวดดดดด ปวดมากก”

“ผมจะขึ้นไปเดี๋ยวนี้ ถ้าทนไม่ไหวคุณออกมาบอกคุณภีมเลขาคุณเลยนะอย่าทนจนทนไม่ไหวนะครับ” ผมรีบวางแล้ววิ่งไปบอกพี่ปอนด์พักเที่ยงพอดีไอ้วุฒิไอ้บาสก็งงว่าผมจะไปไหน ผมบอกจะขึ้นไปหาพี่เอย์มันล้อผมใหญ่หาว่าคืนดีกันแล้วดิ่ ผมเลยแจกนิ้วกลางพวกมันไปคนละที  ในใจผมนี่กลัวว่าพี่เขาจะเป็นไส้ติ่งอ่ะ ถ้าปวดมากๆแล้วทนนะไส้ติ่งแตกขึ้นมาอันตราย

“สวัสดีครับคุณภีม” ผมพูดปนหอบ คือวิ่งมา อยู่ในลิฟต์ก็ร้อนใจ เออแล้วทำไมหน้าตาคุณภีมนี่คือเฉยมากชิลมาก พี่เขาเงยหน้าจากกองงานมองผม

“คุณเอย์รอนานแล้วครับออกมาตามสองทีแล้ว  เปิดเข้าไปได้เลยครับ”  ผมก็เปิดเข้าไปเลยดิ ห้องกว้าง ๆ ห้องเดิม มีอาหารจัดวางไว้ที่โต๊ะรับรองสองที่ แต่ไม่เห็นท่านประธานเจ้าของห้อง ผมเลยเดินเข้ามาส่องหา อะไรวะทำไมไม่เห็นมีใครเลย มีห้องเล็กอยู่ด้านในสุดเปิดประตูทิ้งไว้ผมเลยเดินไปส่อง

“นี่คุณ!

ผมตกใจรีบวิ่งเข้าไปหา พี่เอย์นอนนิ่งอยู่ที่โซฟาแขนข้างนึงห้อยตกลงมาระถึงพื้นพรหม ผมรีบเดินเข้าไปใกล้วันนี้พี่เอย์สวมแว่นด้วย คือหล่อคือดูดี แต่ทำไมหน้าซีดๆไม่ขยับตัวเลยหลับตานิ่ง ผมเริ่มใจเสียก้มลงไปมองมันใกล้ ๆ เขย่าเรียก

“คุณเป็นอะไรน่ะครับ ทำไมไม่ออกไปบอกคุณภีม ไปหาหมอไหม คุณเป็นอะไรไหนบอกว่าปวดท้อง คุณปวดมากเหรอคุณเย้ยยยยยยย!!!

“ชู่ว  เงียบก่อน” พี่เอย์ดึงแขนผมรั้งเอวลงมานั่งลงที่ตักมันพอดี มันตื่นขึ้นแล้วซ้ำยังแรงเยอะเหมือนเดิม แล้วไอ้ท่าทางสีหน้าอ่อนระโหยเมื่อกี้มันคืออะไร ผมจะลุกขึ้นแต่มันกอดเอวผมไว้แน่น

“คุณโกหกเหรอครับ ไหนบอกว่าปวดท้องไง”

“เปล่านะกูไม่ได้โกหกปวดท้องจริง ๆ”

“ไม่เชื่อหรอกท่าทางคุณไม่ใช่เลยนี่ ปล่อยสักทีเถอะครับ” ผมพยายามแกะมือมันออกจากเอว อิพี่เอย์แย่มากมือปลาหมึกมือตุ๊กแกคือเหนียวมากแกะไม่ออกเลย มันรัดแน่นมากจริง ๆ

แล้วคือชุดผมมันเปื้อนนะชุดหมีเปื้อนพวกน้ำมันเครื่องซ่อมรถอ่ะ ขณะที่ชุดเสื้อผ้าของพี่เขานี่คือดูหรูหราไปหมดแค่เสื้อเชิ้ตสีเข้มๆผ้าลื่น ๆ กับกางเกงสแลคเข้ารูปเน้นหุ่นมันนั่นอีก

“ไม่ปล่อย”

“คุณเอย์ครับ” ผมหันไปทำหน้าดุมัน

“ถอดแว่นให้หน่อยดิ่ ปวดตาใส่ตั้งแต่เช้าแล้วเนี่ย”  ผมชั่งใจนิดนึงคิดว่าจะทำให้ดีหรือไม่ดี แต่ในที่สุดผมก็ทำ เอื้อมมือวางแว่นสายตาใสของมันลงที่โต๊ะ

“ปล่อยผมสักทีครับ” ผมขยับ

“เรียกกูพี่เอย์ก่อนแล้วเดี๋ยวปล่อย”

“........”

“หมาปิงใจร้าย” พี่เอย์ทำเสียงกระเง้ากระงอด ก่อนจะยื่นมือสอดผ่านมาจากเอวผมทางด้านหลัง มันกำบางอย่างเอาไว้แน่นเอียงหน้ามาถาม

“มึงลองทายดูว่าในนี้มีอะไร ถ้าทายถูกกูจะปล่อยออกไปเลย”

“เรื่องเหอะ ใครจะไปรู้กับคุณล่ะครับว่าคุณกำอะไรไว้”

“งั้นกูพูดใหม่ ถ้ามึงทายไม่ถูกว่าในนี้มีอะไร มึงจะต้องยอมรับของสิ่งนี้เอาไว้นะ”

“คุณมันเจ้าเล่ห์ คุณอยากให้ของสิ่งนี้กับผมถึงกับต้องมีลูกล่อลูกชนมากขนาดนี้เลยเหรอครับ พูดออกมาตรง ๆ สิ”

“กูบอกเหรอว่ากูจะให้ของสิ่งนี้กับมึง” ผมดันตัวมันออกลุกขึ้นทันที แต่ลุกไม่ได้สู้แรงคนรั้งไม่ไหว ยังไม่อยากกระทืบเท้าใครบางคนที่เป็นถึงท่านประธาน

“คุณไม่เหม็นเหงื่อผมหรือไงนะ ผมทำงานมานะครับเสื้อผ้าก็เปื้อนมันจะเลอะชุดคุณนะ ปล่อยผมเถอะครับ”

“ปิง” มันซบคางลงที่บ่าผม

“เลิกเรียกกูว่าคุณได้แล้วนะขอเถอะ คำนั้นกูขอซื้อแล้วขว้างทิ้งไปเลยได้ไหม มึงจะขายเท่าไหร่เหรอ”

“ไม่ขายหรอกครับ ผมรวยแล้วไม่เหมือนเมื่อก่อน” ผมประชดนิดๆ

“เรียกกูว่าพี่เอย์นะ เร็ว”

“ไม่ครับ”

“ทำยังไงดี กูต้องทำยังไงเหรอ”

“.......”

“หมาปิง”

“งั้นเรียกท่านประธาน”

“โคตรแก่”

“เรียกป๋า”

“เออเข้าท่าว่ะ”

“ฝันเหอะครับ” จู่ ๆ พี่เอย์เอามือข้างนึงสอดเข้ามาปิดดวงตาผมไว้ “อย่าเพิ่งขยับนะ” มันห้ามก่อนที่ผมจะเอ่ยปากขัดแล้วเริ่มดิ้น

มีบางอย่างยุกยิกอยู่ที่ข้อมือ ผมยังมองไม่เห็น


“ทุกอย่างที่ผิดพลาด ที่กูทำให้มึงเสียใจ หวาดกลัว และเสียความรู้สึกรวมถึงเสียศรัทธาในรัก  สิ่งดี ๆ ต่อจากนี้ไป ได้โปรดจงกลับมาอยู่กับหัวใจของเราสองคน” ริมฝีปากเย็นเฉียบจูบลงที่แก้มผมเบา ๆ ก่อนที่เสียงกระซิบทุ้มต่ำจะตามมาอีก

“เปิดหัวใจให้กูอีกสักครั้ง”

สร้อยข้อมือเส้นเล็กๆเป็นทองคำขาวถูกร้อยเข้าใส่ที่ข้อมือของผม พี่เอย์กำรอบมือผมไว้แน่นผมรู้ว่ามันกลัวผมจะปลดถอดออกมา

“ถ้ากูเห็นมึงถอดออกวันไหนกูจะไปสู่ขอมึงกับแม่มึงเลย คอยดูสิ”

พี่เอย์ก็ยังเป็นพี่เอย์คนเดิมไม่เปลี่ยน ผมจำได้ดีครั้งแรกที่มันสวมเชือกใส่ข้อมือให้ผมมันทำแรงมากทั้งปาทั้งกระชากแขนไม่มีความโรแมนติกเลยสักนิด



“ไอ้เชือกบ้านั่น ไม่รู้ใส่ยังไงกูลองดึง ๆ อยู่ตั้งนานแม่งใส่ยากฉิบหาย มึงใส่เอาเองก็แล้วกัน”

“ถ้ากูเห็นมึงถอดออกนะ กูจะเลิกจ้างมึงเลยสัส!



สี่ปีมานี่คือพี่พัฒนาขึ้นมานิดๆแล้วนะ ผมแอบยิ้มกว้างในหัวใจ แต่มันไม่มีทางที่จะได้เห็นหรอก

“กินข้าวกัน” มันจับเอวผมลุกขึ้นแล้วตัวมันลุกตาม เราสองคนเดินออกมาด้านนอกแล้วนั่งทานข้าวอยู่ในห้องทำงานของมัน

“อาทิตย์หน้ากูว่าจะให้คุณพิมกับคเชนทร์เข้ามาหาที่นี่หน่อย”

ผมเงยหน้ามองมันทันที พี่เอย์กำลังพูดถึงพี่พิมกับพี่เชน

“ที่อัศวคอนสตรัคชั่นจะทำการว่าจ้างยูเซย์ไปดำเนินการพัฒนาและวางระบบคอมพิวเตอร์ให้ใหม่ทั้งหมด”

“หมายความว่ายังไงครับ ทำไมทางนั้นถึง.....”

ผมค่อนข้างตกใจ คือไม่คิดว่าบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างอัศวคอนฯจะมาสนใจบริษัทเล็กๆที่เพิ่งจะก้าวขึ้นมาอย่างยูเซย์

เพราะอะไร??

“สงสัยใช่ไหมว่าเพราะอะไร” พี่เอย์ตักมะเขือเทศในจานแบ่งมาให้ผม

“ครับใช่”

“กูคุยกับคุณแม่เรื่องของเรา ท่านรู้ตั้งแต่กูให้ยูเซย์เข้ามาวางระบบของที่นี่ กูคุยกับท่านแล้วปิง เรื่องของเรา ทุกอย่าง คุณแม่ท่านคงอยากจะดูความสามารถของมึงแน่ๆถึงได้มีนโยบายตามออกมาแบบนั้น ถ้ามึงคิดว่างานนี้หนักหนาเกินไปกูจะคุยให้เอง ไม่ต้องรับทำงานนี้”

ผมนิ่งทันที ครุ่นคิดให้รอบคอบทุกอย่าง นี่เป็นโอกาสที่ไม่ได้มีได้บ่อย ๆ ของยูเซย์ ถ้าพี่พิมกับพี่เชนรู้ว่าบริษัทใหญ่อย่างอัศวคอนฯเข้ามาว่าจ้างงาน พี่เขาต้องตอบตกลงโดยไม่มีข้อแม้หรือลังเลอะไรเลย อัศวมีสาขามากมายทั้งมาเลเซียเวียดนามสิงคโปร์เมียนม่าหรือแม้แต่ในประเทศไทยเองยังมีสาขาเล็กอยู่เกือบทุกภูมิภาค โอกาสที่จะได้สร้างชื่อเสียง เปิดตัวยูเซย์อย่างเป็นทางการเข้ามาอยู่ในมือแล้ว

ผมจะยอมให้ความฝันของพี่ๆสองคนที่ผมรักต้องมาพังลงต่อหน้าต่อตา??

แต่โอกาสครั้งนี้กลับเต็มไปด้วยความเสี่ยงที่สูงมากจริงๆ  ในเกมส์ครั้งนี้ถ้าหากผมพายูเซย์ก้าวผ่านมันไปได้ทุกอย่างระหว่างผมกับพี่เอย์ก็จะดีขึ้นด้วย ยูเซย์จะเติบโตระดับของงานจะก้าวกระโดดสูงขึ้นไปอีกหลายสิบขั้น

ขณะเดียวกันถ้าหากว่าเกมส์นี้ผมพ่ายแพ้และล้มลง ผมจะพายูเซย์ล้มลงไปกับผมด้วย.......แล้วผมจะยอมเสี่ยงไหม

“ปิง?”

“แม่คุณกำลังดึงผมเข้าไปในเกมส์” ซ้ำยังเอายูเซย์เข้าไปเป็นเครื่องมือ ร้ายจริงๆผู้หญิงคนนี้

“ถูกต้อง มึงพูดถูกที่สุด กูไม่อยากให้มึงทำแต่ไม่ว่ายังไงทางนั้นจะต้องติดต่อไป”

“ผมจะปรึกษากับพี่เชนและพี่พิมก่อนครับ แต่คิดว่าโอกาสที่ยูเซย์จะปฏิเสธมีน้อยมาก เพราะพวกเราเก่งและไม่เคยพลาดเลยแม้แต่ครั้งเดียว”

“ตอนที่กูรู้ว่ามึงเป็นหนึ่งในหุ้นส่วนและเป็นโปรแกรมเมอร์มือสองของที่นี่กูโคตรทึ่งเลยปิง ยูเซย์ไม่ใหญ่มากก็จริงแต่ชื่อเสียงของคเชนทร์นั้นดังมากอยู่แล้วถ้าพูดถึงโปรแกรมเมอร์มือทองไม่มีใครในแวดวงไอทีที่ไม่รู้จัก แต่พอกูได้รู้ว่ามึงเป็นถึงมือสองของที่นี่กูแทบไม่อยากจะเชื่อ ไม่ได้ดูถูกแต่กูอยู่กับมึงมานานเกือบปีกลับไม่เคยรู้เลยว่ามึงทำงานแบบนี้อยู่  มึงสร้างตัวจนประสบความสำเร็จมากมายกูภูมิใจมากนะ”

“พี่เชนเป็นอาจารย์ผม เพราะพวกพี่เขาให้โอกาสผม ทั้งสองคนมีพระคุณกับผมมากครับ ตอนนั้นที่คุณไม่อยู่ผมได้พี่ๆเขาช่วยไว้เยอะมากเลย ให้ตอบแทนทั้งชีวิตก็ไม่หมดหรอกครับ”

“กูต้องดีกับเขาให้มากๆด้วยงั้นสิ” พี่เอย์ยิ้มบางตักไข่ในจานส่งมาให้ผมอีก ดูเหมือนมันสบายใจขึ้นที่ได้พูดหลายๆเรื่องออกมา ผมก็ตักข้าวกินของผมต่อ

“กินเยอะๆหน่อยนะ แก้มมึงหายไปไหนหมดแล้ว” มันเอื้อมมือเข้ามาลูบผมรีบหลบ ก้มหน้าตักอาหารทานต่อ รู้สึกเขินอายนิดๆ เป็นครั้งแรกตั้งแต่พี่เอย์กลับมาแล้วเราพูดคุยกันมากขนาดนี้ บางครั้งการเปิดใจขึ้นมาอีกหน่อยก็ทำอะไรๆดีขึ้นมากเหมือนกัน เราสองคนได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น

“กูรู้ว่าทุกอย่างต่อจากนี้อาจจะหนักหนามากสำหรับมึง ที่คอนสตรัคชั่นไม่เหมือนที่นี่  ตำแหน่งของกูคือรองประธาน ถ้าหากมึงตัดสินใจจะเข้าไปดูแลระบบให้ที่นั่น กูจะขอยืนอยู่ข้างมึงเสมอไม่มีทางทอดทิ้ง กูคนนี้จะขอร่วมทุกข์ร่วมสุขไปกับมึงไม่หนีหายไปไหนอีกแล้ว ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาในรูปแบบไหนสุดท้ายแล้วคนที่กูจะเลือก ก็คือมึง รู้ไว้แค่นั้น”

“ผมคิดว่าผมจะทำครับ ผมจะสู้”

“คุณแม่กูเก่งมาก มึงต้องรู้ไว้”

“ผมว่าผมเก่งกว่านะ”

“หืออ?” พี่เอย์เงยหน้าจากอาหารขึ้นมองผมทันที หน้าตาคือสงสัยเพราะมันอุตส่าห์บอกให้ผมได้เตรียมตัวไว้ ผมรู้คุณแม่พี่เอย์เก่ง แต่ท่านไม่เก่งเท่าผมหรอก

ก็เพราะว่าผมสามารถชิงเอาดวงใจของท่านมาไว้กับตัวผมได้นานหลายปี แบบนี้ไม่เก่งกว่าให้เรียกว่าไรเนอะ ผมอมยิ้มนิดๆ

พี่เอย์มองผมแล้วยกมือขึ้นมาลูบหัว ส่งรอยยิ้มอ่อนโยน “ใช่ มึงเก่งกว่า ถ้าคุณแม่รู้ว่ามึงเก่งและใจดีขนาดนี้แม่ต้องรักมึงมากแน่ ๆ”

RRRRRR
RRRRRRRRRRRRRR

เสียงมือถือมันดัง พี่เอย์หยิบออกมากดรับ ผมไม่ได้แอบฟังนะแต่คือได้ยินทุกอย่างเพราะพี่เขาก็นั่งคุยอยู่ข้าง ๆ คุยเรื่องงานโครงการก่อสร้างอะไรนั่นแหละคงจะมีเลขาโทรมารายงานมั้ง เพราะตัวพี่เอย์ประจำอยู่ที่นี่ ผมเองก็ไม่รู้ว่าวันไหนบ้างที่พี่เขาจะเข้าไปทำงานที่บริษัทคอนสตรัคชั่นนั่น

 “ไม่เป็นไรเจอกันที่บริษัทเลย กัสรอผมอยู่ที่นั่นเดี๋ยวผมแวะเข้าไปรับแล้วเราออกไปด้วยกัน สักบ่ายสามโมงนะ”

เลขาพี่เอย์ที่อัศวคอนฯ ชื่อกัส มันเคยบอกผมวันนั้นที่ผมถามหาผู้ชายตัวเล็กๆน่ารักคนที่ยืนจัดเนคไทกับจัดทรงผมให้มัน วันที่เราเจอกันครั้งแรกในรอบสามปี

พี่เอย์คุยเสร็จแล้วก็วางมันมองหน้าผมแล้วยิ้มให้

“อิ่มไหม เอาเพิ่มไหมเดี๋ยวโทรลงไปสั่งอีก” ผมส่ายหัวบอกไม่เอา พยายามสลัดความคิดฟุ้งซ่านให้หลุด ผมเป็นคนคิดไปเองเก่งนะบอกเลย วันนั้นอยากมาทำท่าทางแปลกๆระหว่างเลขากับเจ้านายให้ผมเห็นทำไมผมก็คิดสิเออ

แต่ก็เอาเถอะคงไม่มีอะไรมากไปกว่านี้หรอก เลขาต้องใส่ใจดูแลเจ้านายเป็นธรรมดาอยู่แล้ว อาจจะมากเกินไปบ้างสกินชิพอะไรแบบนั้น บางทีคนที่ไปเรียนเมืองนอกเมืองนามาก็อาจจะไม่ได้คิดอะไร


เออ...จะว่าไปเลขาพี่เอย์ดูสนิทกันจังวะ เพิ่งเข้ามาทำงานหรือทำก่อนหน้านี้นานแล้ว อายุดูรุ่นเดียวกันด้วย

อย่าบอกนะว่าเป็นเพื่อนที่รู้จักกันที่นิวยอร์กแล้วพากลับมาทำงานด้วย....ไอ้ปิงเอ๊ยยย มโนมึงนี่จะเจ็บปวดไปไหมสัส  มันไม่มีทางเป็นแบบนั้นหรอกน่า มึงจะคิดมากเกินไปแล้ว

ผมสลัดความคิดทิ้งไปทันที

หลังทานอาหารเสร็จมันเดินตามผมมาที่ประตู ดึงแขนผมไว้

“อะไรครับ มีอะไรอีก” ผมถาม พี่เอย์ดันตัวผมจนหลังชิดบานประตูกักตัวผมไว้ในอ้อมแขนมัน

“พรุ่งนี้ขึ้นมากินที่นี่อีกนะ กินด้วยกัน”

“ไม่ครับ พรุ่งนี้และวันต่อๆไปผมจะกินข้างล่าง เพื่อนฝูงผมมี ขืนมากินแต่กับคุณผมไม่ต้องมีสังคมที่ไหนหรอกครับ”

เสียงถอนหายใจดังยาวมาก มันจ้องหน้าผมนิ่ง    แกร๊ก!

“ล๊อคทำไมครับ” ผมตกใจ พี่เอย์กดบิดล๊อคที่ประตู

“เรียกกูพี่เอย์”

“.........” ผมนิ่ง

“ปิง กูจริงจังนะ รู้สึกขัดหูมากจริง ๆ เรียกสิ เรียกกูว่าพี่เอย์เหมือนที่มึงเคยเรียกไง เมื่อก่อน”

“ไม่ครับ ผมยังไม่อยากเรียกตอนนี้”

“แล้วเมื่อไหร่ กูต้องคอยนานแค่ไหน”

“ผมไม่รู้ บอกไม่ได้เหมือนกัน คุณคอยไปเรื่อย ๆ สิไม่จุดหมายหรอก ลองรอคอยแบบผมดูบ้าง” ผมพูดแล้วมองหน้าท้าทายตีคิ้วใส่มัน พี่เอย์กัดปากหรี่ตาอย่างขัดใจเลย

“จะเอาคืนกูหรือไง”

“มั้ง” ตั้งใจยั่วโมโห

มันยกมือขึ้นมาบิดจมูกผม จากนั้นเลื่อนฝ่ามือลูบเข้าที่แก้มแล้วสอดไปจนถึงท้ายทอยประคองแก้มผมไว้

“โคตรคิดถึงมึงเลย” พี่เอย์โน้มใบหน้าเข้ามาทำท่าเหมือนจะจูบผมรีบเบี่ยงหนี ปัดแขนมันออก

“อย่าครับ”

“หึหึ มึงอายกูเหรอ”

“ไม่ได้อายแต่คุณไม่สมควรทำ” ผมปัดมันออกอีก คือเรายังไม่ดีกันร้อยเปอร์เซ็นต์สักหน่อย ผมยอมลงให้มันมากขนาดนี้มาทำเป็นดีใจ จิ๊! มันยกยิ้มนิดๆ

“ติดกระดุมให้หน่อย มันหลุด” พี่เอย์มองต่ำลงที่หน้าอกเสื้อตัวเอง กระดุมเสื้อมันหลุดออกจริง ๆ สองเม็ดช่วยไม่ได้อยากใส่เสื้อฟิตเองแล้วกล้ามหน้าอกคือมีไงมันเลยปริออกดิ่กระดุมอ่ะ

“หนาวว่ะปวดท้อง กระดุมเสื้อมันหลุดนี่แหละเลยปวดท้อง ติดเร็วๆดิ่”

ผมถอนใจส่ายหน้าให้กับความช่างคิดของมัน กระดุมเสื้อหลุดทำให้ปวดท้อง? เออคิดได้ไงวะ ผมยกมือขึ้นค่อยติดกระดุมเสื้อเชิ้ตให้มันดี ๆ  วันนี้พี่เอย์ใส่สีเทาเข้มอีกแล้วผ้านิ่ม ๆ ลื่นมากรัดรูปถ้าสวมสูททับลงไปคือเพอร์เฟคเลย

“เดี๋ยวเย็นนี้กูไปรับ”

ผมมอง คือไม่เข้าใจมันพูดว่าจะไปรับคืออะไร ผมเข้าบริษัทแล้วทำงานต่อจนดึกดื่นคืนนี้เวรผมนอนเฝ้าออฟฟิศด้วย

“รับอะไรครับ”

“สักสองทุ่ม มึงเลิกงานยัง”

“งานผมไม่มีกำหนดเวลาหรอกครับ ทำไปเรื่อย ๆ ง่วงเมื่อไหร่ก็นอน วันนี้ผมค้างที่ออฟฟิศนั่นแหละ”

“ปิง ไอ้เรื่องเนี๊ยะกูขอได้ป่ะวะ”

“เรื่องอะไรครับ”

“ทำงานเสร็จแล้วกลับบ้าน ไม่ว่าจะเลิกดึกแค่ไหนมึงโทรมาเดี๋ยวกูออกไปรับก็ได้”

“ไม่ได้หรอกครับ งานผมไม่เหมือนกับคุณ เวลาของคุณกับผมไม่เหมือนกันหรอก” งานของโปรแกรมเมอร์เวลาตอนดึกๆกลางคืนเงียบ ๆ เป็นเวลานาทีทองมากจริง

“แต่กูไม่อยากให้มึงนอนค้างที่นั่นอีก มึงใกล้ชิดกับเขาเกินไปนะ คนที่มึงเรียกเขาว่าพี่เชนนั่นน่ะ”

“คุณทำใจเถอะครับ ผมทำแบบนี้มาหลายปีแล้ว พี่เชนเป็นพี่ชายผม เรานอนหมอนเดียวกันก็ยังเคย พี่เชนห่มผ้าให้ผม เก็บที่นอนให้ผม ดูแลผม สองปีที่ผ่านมาพี่เขาทำให้ผมตลอด”

“.........” พี่เอย์เงียบเลย มันข่มกรามแน่น สายตาจ้องผมจริงจัง หายใจฟึดฟัดเหมือนคนโดนขัดใจ ช่างดิ่ ผมสนอ่อ?

“มีอะไรอีกไหมครับ ถ้าไม่มีผมจะได้ลงไปข้างล่างเสียที บ่ายแล้ว” พี่เอย์เงียบไปกับคำตอบของผม ผมเลยพูดตัดบทเปลี่ยนเรื่อง แต่มันก็ยังไม่ยอมปล่อย กักตัวผมไว้ในอ้อมแขนมันจนหลังผมชิดบานประตูอยู่อย่างนั้นแหละ

“ปิง เราดีกันแล้วใช่ไหม”

“ไม่รู้สิครับ”

“คืนนี้รอกูนะ กินข้าวพร้อมกันเดี๋ยวจะเข้าไปรับ”

“ผมไม่รอหรอก”

“ต้องรอดิ่ ค่ำๆเดี๋ยวเข้าไปหาสักสองทุ่มน่าจะได้”

“ไม่ครับ ผมไม่รอ” ผมเกลียดคำว่ารอ

พี่เอย์ยื่นจมูกโด่ง ๆเข้ามาอีกแล้ว มันชอบทำท่าเหมือนจะเข้ามาหอมแก้ม ผมรีบผลักมันออกคราวนี้สำเร็จ ผมรีบเปิดประตูแล้ววิ่งออกไปเลย เจอคุณภีมยิ้มให้ ผมก็ส่งยิ้มแห้ง ๆ กลับไป ผมเกรงใจนะไม่รู้เขาจะคิดยังไงแต่เรื่องนั้นช่างมันก่อนตอนนี้บ่ายโมงเกือบจะครึ่งแล้ว วันนี้ผมเป็นลูกมือพี่ปอนด์ด้วย ผู้ช่วยส่งเครื่องมือไม่อยู่บ่นตายไปแล้วแหงๆ




.

.

“ปิง กินข้าวเร็ว” เสียงตะโกนเรียกดังมาจากในครัว ตอนนี้ทุ่มกว่าแล้ว ปกติพี่เชนเคยลุกไปทำอาหารที่ไหน วันนี้ไม่รู้คิดไงคุณพี่ลุกไปต้มมาม่าซะงั้น แถมยังทำเผื่อผมอีก

“ผมไม่หิวพี่  พี่เชนกินเลยครับ”

“แต่กูทำเผื่อมึงด้วยนี่ มาม่าหมูสับใส่แครอทชิ้นใหญ่ให้มึงด้วยนะ”

“พี่เชนผมอิ่มจริงครับ พี่กินเลยนะของผมเอาวางไว้ตรงนั้นก็ได้เดี๋ยวดึกๆผมหิวแล้วจะไปกิน”

ผมตอบแล้วนั่งทำงานต่อขณะที่พี่เชนถือถ้วยมาม่าออกมานั่งกินอยู่ข้าง ๆ โต๊ะผม

“ไปกินอะไรมาวะ อิ่มเหี้ยไรกินข้าวก่อนกลับมาเหรอ”

“เปล่าครับกินขนม เออวันนี้พี่ไม่กลับบ้านเหรอ”

“ไม่อ่ะ ขี้เกียจ อยู่เป็นเพื่อนหมา”

“อย่ามาพูดเหอะ อยู่เป็นเพื่อนอะไร ผมเห็นถ้าเสร็จงานแล้วครอบหูฟังแล้วพี่ก็หลับ”

พี่เชนอมยิ้ม ผลักหัวผมหาว่าผมรู้ทัน กลิ่นมาม่าลอยมาหอมไปทั่วทั้งห้องผมหิวนะไม่ใช่ไม่หิว แต่คนบ้าบางคนบอกจะเข้ามารับไปกินข้าว นี่เกือบจะสองทุ่มแล้วผมเลยหิ้วท้องรออ่ะดิ ถึงปากผมจะบอกว่าไม่รอๆ แต่ผมรอนะ

ผมนั่งทำงานไปเรื่อย ๆ รู้สึกตัวอีกทีคือหิวมาก มองไปที่พี่เชนกำลังตั้งหน้าตั้งตารันโปรแกรมอะไรบางอย่างปากคาบอมยิ้มเหมือนของเด็ก ๆ ที่ผมซื้อมาใส่ลิ้นชักไว้ให้  ผมมองดูเวลา เฮ้ยจะสามทุ่มแล้วนี่หว่า ผมนึกไปถึงอีกคนทันที

อะไรวะไหนว่าจะมารับไปกินข้าวไง ข้าวเย็นบ้านไหนกินกันสามสี่ทุ่ม ผมเริ่มอารมณ์เสีย นึกแล้วโมโหตัวเอง ไม่รู้จะไปรอทำไม ก็รอจนแห้งเหี่ยวตายมาแล้วสามปีนี่คือยังโดนเขาหลอกให้รอก็ยังจะโง่รออยู่อีก  ผมพลิกเปิดหน้าหนังสือดูตัวอย่างโปรแกรมที่ติดขัด เสียงข้อความทางไลน์เด้งขึ้นมา หยิบมือถือมาเปิดดู


“ติดงานด่วนจริง ๆ กินข้าวซะนะ”


ผมมองดูข้อความสั้น ๆ ของมัน ไม่รู้อารมณ์ความรู้สึกอะไรตีขึ้นมา ผมเข้าใจนะบางทีคนเราก็มีงานสำคัญแทรกเข้ามาจริง ๆ พี่เอย์อาจจะติดลูกค้าหรือไปดูงานต่อที่ไหน งานก่อสร้างที่พี่เขารับผิดชอบอยู่ก็มีหลายแห่ง แต่นี่คือมันดึกแล้วใช่ไหม ที่สำคัญคือนี่จะเป็นการนัดออกไปทานข้าวครั้งแรกของเราในรอบสามปี หลังจากที่เราห่างกันมานาน

ผมมองดูสร้อยข้อมือที่สวมอยู่ด้วยความน้อยใจ ความรู้สึกโกรธและโมโหตัวเองที่ดันไปรับของมันมา ทำเอาผมแทบอยากจะถอดแล้วเขวี้ยงมันทิ้งซะเดี๋ยวนี้เลยแต่ผมก็ไม่ทำหรอก ผมจะไปทำแบบนั้นได้ยังไง ตั้งแต่พี่เอย์กลับมาผมอ่อนไหวกับคำว่ารอคอยเอามากๆ มองดูข้อความอีกที อะไรวะ แวบนึงในหัวผมนึกถึงสายที่มันกดรับเมื่อตอนเที่ยง คุณเลขาของมันที่คอนสตรัคชั่น   เขาสองคนคงจะทำธุระอยู่ด้วยกันแน่ ๆ

นี่ผมกำลังหึง??

ผมหน้ายุ่งทันทีลุกเดินเข้าไปในครัว เปิดฝาชีออกดูมาม่าที่พี่เชนต้มไว้ให้ตั้งแต่สองทุ่มครึ่งคืออืดมาก แต่ช่างหัวมันผมจะกิน ดีกว่าทนหิวแล้วก็ขี้เกียจต้มใหม่ ไม่มีอารมณ์แล้ว กินเสร็จจะอาบน้ำเข้านอนเลยงานผมเสร็จแล้วล่ะ


พรึ่บ!!


ผมตกใจเงยหน้ามอง พี่เชนเลื่อนชามมาม่าผมออกแล้วยังแย่งตะเกียบในมือผมไปอีกด้วย

“มึงเป็นไร” พี่เขาถาม

“เปล่าพี่” ผมโกหกนิดๆ

“มึงโกหก”

“.........”

“ใครส่งข้อความอะไรมาเมื่อกี้” เสียงพี่เชนคือดุมากนะ จ้องผมเขม็งเลย

“เปล่าพี่” ผมยังจะปฏิเสธไปอีก ดึงตะเกียบของผมคืนมาเลื่อนชามมาม่ากลับมาคืนแล้วนั่งลงเตรียมกิน พี่เชนหยิบมือถือผมขึ้นมากดอะไรสักอย่างดูจากนั้นกระชากแขนผมขึ้นเลย แรงมาก

“ไม่ต้องกินแล้ว ออกไปกับกู” พี่เชนหน้าเครียด

“ไปไหนพี่” ผมเดินมาตามแรงลาก พี่เขาเทิร์นออฟทุกสิ่งทุกอย่างจากนั้นดึงผมให้เดินตามออกไป

“พี่จะไปไหนครับ” ผมร้องถามเมื่อเรามายืนอยู่ข้างรถ

“กินเหล้า”

“กินเหล้า??” ผมทวนคำด้วยความสงสัย

“มึงกับกูไม่ได้กินเหล้าด้วยกันนานแล้วนี่ ดวลกันสักหน่อยเป็นไงคืนนี้”

ผมยืนเงียบคือผมไม่เข้าใจว่ะ อะไรทำไมจู่ๆพี่เชนถึง..

“ถ้ามึงเมากูจะแบกมึงกลับเอง กูดูแลมึงได้ ไม่ต้องไปคอยหรอกกับคนที่เขาหลอกมึงแล้วหลอกมึงอีกแบบนั้น จะไปแคร์เหี้ยไรนักหนาวะ”  พี่เชนดึงผมขึ้นรถ ปิดประตูให้แล้วพี่เขาก็ขึ้นไปนั่งที่ฝั่งคนขับ

ซีอาร์วีสีดำเร่งตัวทะยานเลี้ยวออกถนนใหญ่ ดึกดื่นคืนนี้ไม่มีวี่แววว่าฝนจะตกเลยสักนิดท้องฟ้าไม่มีเมฆ หากแต่สายลมยังคงพัดเอากลิ่นหอมของดอกโมกสีขาวกระจายไปจนทั่ว












เสียงดนตรีจากบทเพลงเพื่อชีวิตดังลอดออกมาตั้งแต่พวกผมจอดรถกันแล้ว ร้านเหล้าเล็กๆเปิดเพลงช้าๆฟังสบาย ๆ กับทางเดินมืดๆมีแสงไฟสีระเรื่อจากโคมดวงเล็กส่องพอได้เห็นทางเดิน เก้าอี้ไม้เก่า ๆ เสริมบรรยากาศให้ดูลูกทุ่งได้อีก

พี่เชนเลือกที่นั่งไม่ห่างจากเวทีมากนัก นักร้องกำลังแสดงดนตรีสดมีเล่นกีตาร์โปร่งกับคล้องเม้าท์ออแกนไว้ที่คอ ออร์เดอร์โต๊ะเรามีแต่เหล้ากับของกินเล่นนิดหน่อย ปิดท้ายด้วยข้าวผัดวางลงตรงหน้าผม

บทเพลงที่กำลังถูกบรรเลงทำเอาผมนึกไปถึงบรรยากาศเมื่อนานมาแล้ว สามปีกว่าแล้ว ครั้งหนึ่งผมเคยร้องเพลงๆนี้ให้คนๆนึงฟัง ขอความรักจากมันที่สะพานพุทธ กระซิบถ้อยคำรักข้างหู เขาเขินจนตัวแดงผลักผมกระเด็นแทบตกราวสะพาน


...พี่เอย์น่ารักเสมอเวลาเขินอาย...


ข้าแต่งกับเอ็ง เอ็งเป็นของข้า  ใครเรียกภรรยา แต่ข้าเรียกเมีย.....



“กินข้าวก่อนนะมึง เดี๋ยวได้เมาหัวทิ่มแน่” เสียงพี่เชนปลุกผมออกจากภวังค์ความคิดเก่า ๆ ผมสะดุ้งนิดๆรีบดึงสติกลับคืนมา

“หึ ไหนว่าถ้าผมเมาพี่จะแบกผมกลับไง” มีเด็กสาวๆเดินเข้ามาชงเหล้าให้เราสองคนพี่เชนบอกแก้วเดียวพอเดี๋ยวต่อไปทำเอง น้องเขาเลยเดินเลี่ยงออกไป

ดนตรีสดบนเวทีเปลี่ยนบทเพลง...


....แสงจันทร์กระจ่าง ส่องนำทางสัญจร

คิดถึงนางฟ้าอรชร ป่านนี้นางนอนหลับแล้วหรือยัง

แสงจันทร์นวลใหญ่ ข้าจ่อมจมอยู่ในภวังค์

เรไรเสียงไพรแว่วดัง ยิ่งฟังยิ่งเหงาจับใจ........คิดถึง


“งั้นมึงก็เมาให้เต็มที่ เรื่องอะไรไม่สบายใจระบายออกมาเสร็จแล้วก็ทิ้งไปลืมมันซะ  มึงเคยเป็นปิงที่เป็นแบบไหนต่อจากนี้เอาตัวตนเดิมของมึงคืนมา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมึงต้องเข้มแข็ง กูอยู่ข้าง ๆตรงนี้ ไม่มีใครมารังแกมึงได้ จำไว้”

ผมฟังเพลงที่กำลังถูกขับกล่อมออกมาด้วยน้ำเสียงที่สบาย ๆ จำได้ในทันที เพราะเพลงนี้เป็นเพลงที่ผมฟังอยู่ที่ร้านกล้วยน้ำว้ากับพี่เอย์ที่เขาใหญ่แล้วมันซบลงที่บ่า จับมือผมขึ้นมาจูบ

วันนั้น...มันน่ะโคตรจะน่าไม่อายเลย
 
ผมยกขึ้นทีเดียวหมดแก้วหวนนึกไปถึงเรื่องราวเมื่อนานมาแล้วระหว่างผมกับคนที่ผมรักทุกเรื่องราว

สามปี.....นานมากแล้วจริง ๆ แต่ทุกอย่างระหว่างผมกับมันยังชัดเจนเสมอในใจของผม  ผมกระดกต่ออีกแก้วมองคนที่นั่งดื่มร่วมโต๊ะกันอยู่  พี่เชนเองก็ดื่มหนักแต่ท่าทางจะเมายากเราเป็นพวกคอแข็งกันทั้งคู่  เราสองคนกินไปคุยไปดวลกันบ้างมีหัวเราะ ส่วนใหญ่เป็นผมดิ่ที่เป็นคนคุย พี่เชนนั่งฟังเงียบ ๆ ก็นึกถึงเรื่องพี่เอย์อยู่ตลอดแหละนะแต่ทำไงได้ช่างหัวมัน อยากไม่มาหาเอง ผมออกมากินเหล้ากับเพื่อนฝูงผิดตรงไหน



สามชั่วโมงผ่านไป

“พี่เชนคราบปิงไม่มาววว ปิงง่วงนอน อึกก อยากกลับแล้วววว” ผมลุกขึ้นเดินโซเซจับโต๊ะไว้พยุงตัวพี่เชนคิดตังเสร็จแล้วเดินเข้ามารับเอาแขนผมไปพาดไหล่พี่เขาไว้

“แบกปิงดิ่พี่เชนแบกปิง เดินไม่ไหวหรอก ไหนพี่ว่าจะแบกปิงไง ไหนแบกอ่ะ ปิงเดินเองนี่นา” ผมรู้สึกว่าเสียงตัวเองคือยานมาก เวลาผมเมาไอ้วุฒิมันบอกว่าผมอ้อนเก่งนะ

“ปิงมึงเดินดีๆดิ่วะอย่าทำตัวรุ่มร่ามกูพี่มึงนะ มากอดกูทำไมเนี่ย”

“ปิงเดินไม่ไหว พี่เชนครับปิงร้อน” ผมทำท่าจะถอดเสื้อตั้งแต่ยังเดินออกมาไม่พ้นร้าน พี่เชนเองก็เซๆพยุงผมออกมากว่าจะถึงที่จอดรถ

“ร้อนๆ ง่วงนอนแล้ว” พี่เชนจับผมยัดขึ้นรถ ผมถกเสื้อขึ้นถอดออกทางหัวทันทีแล้วโยนเสื้อทิ้งไปแบบมั่ว ๆ เลย

“เฮ้ยๆๆๆๆๆ ไอ้ปิงมึงถอดเสื้อทำเห้ไร!!!” เสียงพี่เชนโวยใหญ่พอขึ้นมาได้  ผมหงุดหงิดคือร้อนอยากอาบน้ำอยากถอดอยากจะนอน

รถกำลังจะเลี้ยวออกจากหน้าร้าน

“ใส่เอาไว้คืนเลยมึง” พี่เชนเอื้อมมือโยนเสื้อมายัดให้ผม ผมไม่สนใจจะปลดหัวเข็มขัดต่อ ปลดกระดุมกางเกงยีนส์ต่อ

“ปิงอย่านะมึง หยุ๊ดหยุดดดๆๆ” พี่เชนจับมือผมไว้แน่น ไม่ให้ผมถอดเข็มขัดออกได้

“พี่เชนคร้าบปิงร้อนนนปิงคับ ปิงอ้วน พุงปิงใหญ่” ผมกินเหล้าแล้วเป็นงี้ทุกทีถ้าเกินลิมิตคือตัวผมจะร้อนเหมือนกับไฟลวกเลยนะ กางเกงก็คับผมอึดอัดมากจริง ๆ ผมจะถอดทุกอย่างแล้วนอนแผ่หลับตากแอร์สบายใจ

“ตัวมึงแดงไปหมดเลยนี่หว่า เหี้ยอะไรวะผิวมึงทำไมเป็นแบบนี้ปิง วันนั้นก็ไม่เห็นจะเป็นแบบนี้เลยนี่หว่า มึงจะอ้วกไหมเนี่ย ไอ้เหี้ยปิงสัสเอ๊ยผิวมึงเหมือนผู้หญิงเลย บลาๆๆๆ”

พี่เชนบ่นอะไรสักอย่างประมาณนี้ ผมคลายหัวเข็มขัดออกจากกางเกงยีนส์เรียบร้อยปลดกระดุมยีนส์ออกอีกเม็ด พี่เชนปัดแอร์มาตกลงที่ผม เสื้อไม่ได้ใส่หรอกนะครับง่วงมากคืออยากจะหลับแล้ว ผมนอนเลย

รู้สึกตัวอีกทีคือโดนปลุกเรียกบอกว่าถึงแล้วให้ลงได้

“ลงได้แล้วมึง ถึงแล้ว”

“....อือครับ....” ผมจับได้เสื้ออยู่ที่ตัก เปิดประตูจะเดินลงมาคือเซมาก พี่เชนเข้ามารับเอาแขนผมไว้พาดลงที่คอของพี่เขา พยุงกันเดินเซๆจะเข้าออฟฟิศ

อะไรวะผมว่าพี่เชนก็เมาเหอะ ผมคนเดียวที่ไหน เซเหมือนกันแหละ หึหึ ผมเอาแขนพี่เชนพาดใส่ไหล่ไว้เหมือนกัน

“พี่เชนปิงร้อน ปิงอยากอาบน้ำ” ผมบอกพี่เขา หัวเราใกล้กันมาก ชิดเลย

“ไอ้เหี้ยมึงกระซิบกูทำซากเหรอ ขนลุก แล้วไอ้คำพูดเวลาเมา ปิงอย่างนั้นปิงอย่างนี้นี่หยุดเลยนะมึงนะ  กูเองก็เมาไม่ได้สติดีนักหรอก  เดี๋ยวมึงขึ้นห้องจะอาบจะเหี้ยอะไรเรื่องของมึงเหอะ” เราสองคนเดินเซๆลากกันเข้าไป แขนพี่เชนอยู่บนบ่าผม แขนผมก็อยู่บนบ่าพี่เขา หัวเราคือชิดกัน ผมยิ้มเพราะตลกหน้าพี่เชน

“หึหึ พี่เป็นไรจั๊กจี๋อะดิ่ ฟู่ววว” ผมแกล้งเป่าลมใส่หูพี่เขา

“ไอ้เหี้ยเดี๊ยะกูตบปาก อย่ามาเล่นอะไรแผลง ๆ นะ”

“หึหึหึ ปิงเจ้าชู้นะพี่รู้ยัง”

“จะไปรู้กับหัวมึงเหรอกูไม่ใช่ผู้หญิง”

“ปิงเจ้าชู้มาก รักทู๊กคน ใครให้ปิง ปิงรักหมดแต่เดี๋ยวนี้เลิกหมดแล้วน๊าา รักพี่เอย์คนเดียวเลย”  โอยยยผมเวียนหัวพูดอะไรออกไปบ้างวะเนี่ย เมื่อไหร่จะถึงข้างในสักที เดินเอนซ้ายเอนขวายิ่งกว่าปู พี่เชนก็โอ๊ยยแขนหนักสัสๆอ่ะ

“มึงจะรักใครช่างหัวมึงเหอะ จะมาประกาศทำซากเหรอหรือจะให้กูไปแจ้งกรมการปกครองให้ไหม  ไอ้เหี้ยอย่าเอนมามากกูเองก็จะอ๊วก หนัก!

“คึคึคึ จะไปทำแบบนั้นได้ไงเล่า” ผมตั้งหน้าเดินต่อแต่แล้วก็ต้องหยุดเพราะคนข้าง ๆ จู่ ๆ ก็ไม่เดิน

“พี่เชน?”

คือพี่เขาหยุดชะงักนิ่งไม่ยอมเดินต่อ ผมก้าวไปยังไงก็ไปไม่ได้คือพี่เชนยืนจอดนิ่งตายเลย ผมเลยหันไปถาม พี่เขายืนจ้องอะไรสักอย่างหน้าตานี่คือเหมือนตระหนกสุดขีด

“พี่เชนเข้าไปกันครับ ปิงร้อนปิงง่วงนอน” เราจะเดินถึงบันไดหินอ่อนอยู่แล้วนะ

“........”

“พี่เชน??”

“ปิง มึงทำใจดี ๆ ไว้” เสียงพี่เชนคือสั่นนิดๆ ผมงงดิ่ ยิ่งมึนๆอยู่

“ไรอ่ะพี่”

“ตรงโน้น โน่นน่ะ โน่น”

ผมมองตามไปในทางที่พี่เขาชี้ ๆ ให้ดู เพ่งแล้วเพ่งอีก คือถ้ามองไม่ผิด ใครสักคนยืนจ้องพวกผมนิ่งเลยตานี่เขียวปั๊ด ชุดทำงานแบบนั้น รูปร่างแบบนั้น หน้าตาและสีหน้าแบบนั้น ค่อยย่างก้าวสามขุมเข้ามาใกล้พวกเราแล้วเรื่อย ๆ


ตายห่าแล้ว....ผมกับพี่เชนคงกำลังนึกคำๆเดียวกัน


ผั๊วะ!!


เสียงกระแทกดังอยู่ไม่ไกล ผมไม่รู้อะไรเลยทุกอย่างคือเร็วมากและเบลอไปหมด รู้แต่ว่าจู่ ๆ พี่เชนก็ทรุดกองลงที่พื้นผมที่กำลังจะล้มตามเพราะแขนเราพาดคอกันอยู่ถูกใครสักคนเอาไหล่แข็งแกร่งมารับแขนผมไว้แทน

“กูปล่อยไม่ได้เลยนะมึง”  ผมถูกจับยัดขึ้นรถอีกคัน คราวนี้รู้สึกว่าไม่ใช่ซีอาร์วีแล้วเพราะเตี้ยกว่ามาก เบาะแบบนี้บีเอ็มอ่ะดิ่ นั่งบ่อยที่ศูนย์ซ่อมนั่นไง





เออแล้วพี่เชนล่ะวะ??






Tbc.