# 9 เสน่ห์ของพี่เอย์
RRRR
RRRRRRRRRRR
เสียงโทรศัพท์มือถือปลุกผมให้รู้สึกตัวขึ้นอีกครั้ง
คุณชายเอย์ตั้นยังคงนอนสบายอยู่ในท่วงท่าเดิม
ขณะที่ผมคนนี้แทบจะกลายเป็นรูปปั้นหินสลักอยู่แล้ว คือผมตัวแข็งมากกกก ก็คุณชายเล่นนอนกอดผมแข้งขาพันกันไปหมดแบบนี้
ตะคริวไม่เรียกแดกผมก็บุญหัวมึงแล้วไอ้ปิง
เสียงมือถือยังคงดังอยู่ไม่หยุด
ผมกลอกตามองไปทางต้นเสียง มันไม่ใช่ของผมนั่นแน่อยู่แล้ว เพราะไอ้เสียงเรียกเข้าเพลงการ์ตูนแปลก
ๆ แบบนี้ผมไม่มีทางตั้งไว้ให้โดนไอ้หมาบาสมันล้อหรอก
บ๊ะ! ทำไมพี่เอย์รู้สึกตัวยากจังวะให้ตายเหอะ ไอ้ถูกคนนอนกอดมันก็ดีอยู่แล้วเป็นคนที่เราชอบอยู่แล้วมันก็ยิ่งดีใหญ่
แต่ผมไม่กล้าเรียกมันนะครับ
ก็เราอยู่กันในสภาพนี้คุณต้องคิดนะว่าถ้าพี่เอย์ตื่นมาแล้วมันเห็นว่าตัวเองอยู่ในสภาพแบบนี้กับผมมันจะโวยวายแค่ไหน
เผลอๆคนที่จะโดนตีนคุณพี่แบบเต็ม ๆ รับอรุณก็คือผมคนนี้ ผมเลยเลือกที่จะนอนนิ่งสงบเงียบอยู่ในท่าเดิม
รอให้มันได้ยินเองว่ามีโทรศัพท์เข้า คิดๆไปแล้ว
อยากรู้เหมือนกันว่ามันจะทำหน้าแบบไหนวะ ถ้ารู้ว่าตัวเองเป็นฝ่ายรุ่มร่ามนอนกอดผมอยู่แบบนี้
คึคึคึ โอ๊ยยยย บ้าแม่ง ผมทั้งเมื่อยทั้งต้องกลั้นขำ ลมหายใจร้อน
ๆ ของพี่เอย์ก็น้อ รินรดอยู่แถวซอกคอผมนี่แหละ จั๊กจี๋เป็นบ้าเลย คุณอาจจะคิดว่าผมวาสนาดีใช่ไหม? คึคึ จะใช่เร้อออ คิดแล้วก็ตื่นเต้นอยากรู้ตื่นมาพี่ท่านจะทำไงวะ
RRRRRRR
RRRRRRRRRRR
โทรศัพท์เจ้ากรรมนี่ก็
ยังแผดลั่นอยู่ไม่หยุด ขณะที่ผมเริ่มรู้สึกพี่เอย์ขยับตัวนิด ๆ แล้ว
ผมรีบหลับตาสิครับจะลืมให้มันจับได้เหรอว่าผมตื่นก่อนมันนานแล้ว
พรึ่บ!!
เสียงพี่เอย์สะบัดผ้าห่มออกจากร่างเราทั้งคู่
แล้วลุกพรวดพราดขึ้นไปรับโทรศัพท์
“ฮัลโหลครับ.....อือ.....อือ......อือ......เดี๋ยวจะรีบกลับ
ไม่รู้ดิไม่เกินเที่ยงหรอก อือก็ได้ แล้วจะรีบให้”
ผมนอนหลับตาฟังเสียง
คือพี่เอย์ลุกพรวดขึ้นไปแบบรวดเร็วมาก ขณะที่ผมยังแกล้งทำเป็นนอนหลับ
ได้ยินเสียงก๊อกๆแก๊กๆนะไม่รู้คุณชายทำอะไรไม่กล้าลืมตาดูจริง ๆ ครับ
จนเสียงมันเหมือนจะเงียบหายไปนั่นแหละผมถึงได้พยายามหรี่ตาขึ้นมอง เป็นเวลาเดียวกับเสียงประตูห้องน้ำปิดลงดังโครม! พี่เอย์เข้าไปอาบน้ำ?
คืออะไรของมันวะ มันไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยหรือไงที่ตื่นมาในสภาพนอนกอดผมไว้แบบนั้น
ไอ้คุณชายบ้าเอ๊ย ผมน่ะนอนทนให้ตะคริวแดกแม่งอยู่ทั้งคืนเพื่อหวังจะดูหน้าคนเขินอาย
แล้วนี่อะไรเดินคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าไปอาบน้ำเฉยเลย
เอาล่ะวะเดี๋ยวขอดูต่ออีกสักหน่อยบางทีออกมาจากห้องน้ำแล้วอาจจะนึกได้
ออกมาวีนแว๊ดๆใส่ผม ผมเลยนอนหลับตารอ คึคึ
ความจริงก็อยากมโนไปเหมือนกันนะว่าถ้าออกมาแล้วเห็นว่าผมยังไม่ตื่นเนี่ยคุณชายเขาจะปลุกผมยังไงแบบไหน อาจจะ....
“ปิงครับ ตื่นเถอะสายแล้วนะเดี๋ยวพี่เอย์ต้องรีบกลับนะครับคนดี”
คึคึคึ แบบนี้ดีไหมวะกร๊ากกกก
ถ้าไอ้พี่เอย์มันปากได้ใจผมแบบนี้นะผมจะเทใจให้มันเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเปอร์เซนต์เลยเอาดิ่
“ปิงครับ
เด็กดีจะนอนไปถึงไหน สายแล้วนะหื้มม”
โอ๊ยยยยยกูจี้ ถ้าเป็นแบบนี้จะเพิ่มให้สูงขึ้นไปอีกเป็นสองเปอร์เซ็นต์
เอาอีกๆ หรือว่าจะเป็น....
“ปิงครับพี่เอย์........
“ไอ้หมาปิง! ไอ้ขี้เซา
ตื่นได้แล้วกูจะรีบกลับ”
นี่ต่างหากคือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นครับ
ไม่ได้ใกล้เคียงกับมโนใดๆทั้งสิ้น ผมลืมตาขึ้นทันทีทั้งที่เมื่อกี้ยังหลับตาพริ้มเพรากับจินตนาการอันแสนล้ำเลิศของตัวเอง
จ้องหน้ามันดี ๆ อีกครั้ง
ผมไม่เข้าใจว่ะ ทำไมพี่เอย์ไม่พูดถึงเรื่องนอนกอดผมเลยวะ หืมม
มากอดคนอื่นแล้วทำตีเนียนคิดว่าผมจะไม่รู้อ่ะดิ หึหึ ดีนะถ่ายรูปเก็บหลักฐานไว้แล้ว
แต่เดี๋ยววันหลังก็ได้ค่อยใช้ไว้ล้อมัน ตอนนี้เออๆออๆห่อหมกไปก่อน
ท่าทางน่าจะรีบจริง ๆ แหละ รับโทรศัพท์แล้วพุ่งเข้าไปอาบน้ำเลยแบบนั้น
“มองเหี้ยไรอีก
ลุกขึ้นแล้วรีบถอดเสื้อกูออกมาได้แล้ว”
“พี่ตื่นนานแล้วเหรอครับ”
ผมแสร้งขยี้ตาทำทีเป็นเพิ่งตื่น ลองแย็บๆถามดู ลุกขึ้นนั่งบีบเนื้อบีบตัวด้วยความเมื่อย
ก็แหม่เมื่อคืนนอนนิ่งทั้งคืนเลยนี่ โดนยักษ์บล็อคไว้ซะขนาดนั้น
“เป็นอะไรของมึง”
พี่เอย์ยื่นมือมารับเสื้อจากผมไป ทำท่าว่าจะสวม เอ๊ะจำกันได้เนาะเมื่อคืนพี่เอย์ให้ผมสวมเสื้อมันไว้เพราะเสื้อผมส่งซักนั่นไง
ส่วนตัวคุณชายนึกว่าจะใส่เสื้อกล้ามนอนที่ไหนได้ถอดพาดไว้ซะนี่
“เฮ้ยพี่!”
ผมอุทานขึ้นทันที “นี่พี่จะใส่ต่อเลย?” คือผมก็เพิ่งจะถอดนะ
มันจะไม่เหม็นเหงื่อผมเหรออะไรแบบนั้น
“รีบเข้าไปอาบน้ำ
เดี๋ยวไปกินข้าวจะได้รีบกลับ”
พี่เอย์พูดแล้วแต่งตัวต่อทันทีผมเห็นมันท่าทางรีบร้อนเลยไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อ
เดินคว้าเอาผ้าเช็ดตัวแล้วเข้าห้องน้ำไป พอออกมาคุณชายอยู่ในชุดพร้อมเดินทางเรียบร้อย
คือนี่มันเสื้อตัวที่ผมใส่นอนเมื่อคืนจริงเหรอวะ ทำไมพอมาอยู่ในร่างกายพี่เอย์แล้วมันดูคนละมาดกับผมเลย
“ปิงมึงไปกดน้ำส้มมาให้กูที”
ระหว่างที่เรากินบุฟเฟ่ต์เช้าของโรงแรม
อาหารในจานพี่เอย์มีแค่ขนมปังขณะที่ผมทั้งข้าวผัดทั้งผัดอะไรต่อมิอะไร
ถึงจะไม่ได้ตักจนพูนจานแต่ผมก็คิดว่าตัวเองทานหลากหลายอยู่นะ
“พี่เอาข้าวไหมเดี๋ยวผมไปตักให้ก็ได้มีข้าวผัดด้วยนะครับ”
ผมวางแก้วน้ำส้มลงให้มัน
“ไม่เอา
รีบกินเหอะจะได้รีบออกกัน กูมีธุระจะต้องรีบกลับ” พี่เอย์กัดขนมปังแล้วทำหน้าตาประหลาดนิด
ๆ คิดว่าคงไม่ปลื้มแหละ ก็บุฟเฟต์ของรีสอร์ตเล็กๆชานเมืองจะเอาอะไรมากเนาะ ขนมปังมีให้เลือกมากมายซะที่ไหน
“แต่มีข้าวผัดกุ้งนะครับ
พี่ชอบไม่ใช่เหรอ”
“ไม่อยากกิน”
มันตอบมาทั้งที่คิ้วยังขมวดผมทายว่ามันกำลังโมโหขนมปังก้อนนั้น แล้วก็ใช่จริง ๆ
ครับ ในที่สุดขนมปังก้อนนั้นก็ถูกวางลงแล้ว
ผมรู้เลยพี่เอย์กินไม่ได้ ผมเลยตัดสินใจลุกขึ้น เดินไปตักข้าวผัดกุ้งใส่จานโดยที่ด้านบนโปะไข่ดาวมาด้วยหนึ่งชิ้น
“เอามาทำไม
กูสั่ง?” พี่เอย์เงยหน้าถามผมทันทีที่วางจานๆนั้นลงต่อหน้ามัน
ผมเลื่อนจานขนมปังออก
“ผมฝากหน่อยพี่ เดี๋ยวจะกิน ตักมาหลายจานพนักงานเขาเล็งแล้วเนี่ย ผมฝากวางไว้กับพี่เอย์ก่อนนะครับ”
พี่เอย์มองหน้าผมนิ่ง
ผมนั่งลงแล้วหยิบขวดซอสมะเขือเทศยื่นมือไปบีบลงที่ไข่ดาวตั้งใจทำเป็นรูปหัวใจ
กวนมัน แอบเห็นมันมอง แต่ผมทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ แล้วก็ก้มกินอาหารในจานของผมต่อ
กลิ่นซอสมะเขือเทศลอยมาติดถึงปลายจมูกผม ไม่ต้องคิดเลยไอ้พี่เอย์มันจะหอมขนาดไหน
ผมเลือกใช้ซอสนี้เพราะคุณชายชอบกินซอสมะเขือเทศมาก รวมถึงมะเขือเทศธรรมดามันก็ชอบนะ
เพราะฉะนั้นคราวนี้ผมจะใช้ซอสนี้ล่อมัน
“พี่เอย์รีบเหรอครับ”
ผมชวนคุย
“อือ”
“เสียดายจังเนาะ
นี่เป็นครั้งแรกเลยครับที่ผมเคยมาเที่ยวที่อัมพวา เคยคิดเล่น ๆ อยู่เหมือนกันนะว่าสักครั้งหนึ่งในชีวิตต้องมาเที่ยวตลาดน้ำที่อัมพวาให้ได้สักครั้ง
วันก่อนตอนที่พี่โทรมาผมดีใจมากเลยนะที่ได้ยินพี่บอกว่าจะมาที่นี่แล้วให้ผมขับรถให้
ผมเลยนึกว่าตัวเองจะได้เห็นตลาดน้ำเสียอีก”
“.............”
พี่เอย์เงียบ มองหน้าผมนิ่งพอผมมองไปที่มันเราทั้งคู่สบตากันแวบนึง
แปลกแต่จริงครับเป็นพี่เอย์ที่หลบสายตาผมก่อน
“พี่อย่าทำไข่ดาวผมพังนะ
ห้ามให้ซอสเปื้อนด้วย” นี่คุณรู้ไหมผมโคตรพยายามเลยนะ
ยิ่งกว่าล่อเด็กกินข้าวอ่ะแม่ง
“ทำไม
มึงหวงไข่ขนาดนั้น” มันยิ้มมุมปากเหมือนคนกำลังนึกอะไรดี ๆ ออก เข้าแผนเลยครับ
ผมก็เลย....
“หวงดิ ห้ามให้เปื้อนนะครับพี่
เดี๋ยวผมจะกินจานนี้น่ะผมตั้งใจตักมากินเองเลย
จ้างให้ก็ไม่ยกให้ใครหรอกห้ามให้ไข่ดาวผมเปื้อนด้วย ไม่งั้นผมขาดใจแน่”
“ขนาดนั้นเลย”
“ใช่ครับ”
เรียบร้อยครับแผนการล่อเด็กกินข้าวเสร็จไปเรียบร้อย
เมื่อพี่เอย์ใช้ช้อนเจาะลงไปที่ไข่แดงจนมันไหลเยิ้มออกมาไปทาง ราดเลอะลงที่ข้าว
มองหน้าผมแล้วยักคิ้วให้พร้อมจ้วงข้าวผัดกุ้งยัดใส่ปากตัวเอง
“พี่กินของผมทำไมอ่ะ”
“ช่างหัวมึงดิ
มีตรงไหนบอกว่าเป็นของๆมึงอ่ะ
มันวางอยู่ต่อหน้ากูไม่ใช่หรือไง”
ผมแกล้งทำหน้างอเหมือนคนไม่พอใจ
ขณะพี่เอย์ตักข้าวอีกคำใส่ปาก ผมก็มองดูมันนะพี่เอย์กินไปเรื่อย ๆ
กินจนหมดจานอ่ะพอเห็นมันยกน้ำส้มขึ้นกินอีกแก้วนั่นแหละ ผมก็เลย....
“หูยพี่กินของผมหมดเลยอ่ะ
แย่ว่ะทีถามว่าอยากกินไหมบอกไม่ ทีผมตักมาทำเป็นมาแย่ง ผมงอนอ่ะ พี่ไปตักมาให้ผมใหม่ดิ”
“ฝันอยู่รึไงอยากกินอะไรไปตักเองดิ”
“ใครจะกล้าล่ะ
ผมลุกหลายรอบแล้วอายคนเขาอ่ะ”
“เรื่องของมึง”
“พี่แหละเอาของผมไปกิน”
“เอ๊ะ
กูบอกว่าไม่ใช่ของมึง นี่มันวางอยู่ต่อหน้ากูก็เป็นของกูดิ”
“ของผมนะ”
“หมาปิง”
“.....” จบครับ
ล่อคุณชายกินอาหารสำเร็จลุล่วง
“ไม่มีอะไรบ่งบอกว่าเป็นของมึงสักหน่อย
มึงจะมาทำหน้างอแบบนั้นทำไม ไร้สาระว่ะแม่ง”
“ก็ผมวาดหัวใจผมไว้บนไข่ดาวอ่ะ
พี่แหละกินหัวใจผมไปแล้ว”
โอ๊ยยยยยยยยยอ้วกกกกกกกกกกกกกกกก
กูพูดเองอยากจะอ้วกเองอะไรผมจะน้ำเน่าเงาจันทร์ได้ขนาดนั้นครับ
คือผมก็แค่ต่อปากต่อคำคุณชายไม่คิดเลยว่าจะพามันมาเข้าเรื่องแบบนี้ได้
แล้วดูหน้ามันตอนนี้สิ ตาเขียวปั๊ด จ้องผมอย่างกับจะกินเลือดกันอย่างงั้นแหละ
“กลับได้แล้วกูรีบ”
มันว่าแล้วลุกเลยครับ ผมรีบลุกสิจะนั่งอยู่ให้โดนทิ้งเหรอ คุณชายแม่งเดินไว้ไว พอออกมาที่ลานจอดรถถึงรู้ว่ารถถูกเปลี่ยนคันให้เรียบร้อย
ว๊าวววว วาสนาหมาปิงคราวนี้ได้ขับเบนซ์โว๊ยย
ดีใจ คึคึ
“พี่เอย์กุญแจครับ”
ผมรีบวิ่งไปดักหน้ามันขอกุญแจรถ แปลกใจเล็ก ๆ พี่เอย์เดินไปฝั่งคนขับ
ไหนบอกขากลับให้ผมขับให้ไง
“เดี๋ยวกูขับเอง”
“อ้าว
คือ....”
“เงียบอย่าถาม
ไปขึ้นรถ” คุณชายว่าแล้วเปิดรถขึ้นไปผมเลยวิ่งอ้อมมาอีกทางรีบขึ้นไปนั่งคู่กับมัน รถเคลื่อนตัวไปเรื่อย
ๆ แต่ผมรู้สึกไปเองรึเปล่านะว่าพี่เอย์ขับรถช้าลง มองเห็นป้ายบอกทางเข้ากรุงเทพมหานครผมใจแป้วนิดนึง
“เสียดายจังนะครับ
วันหลังผมจะชวนเพื่อนมาเที่ยวที่นี่บ้างดีกว่า อยากเห็นตลาดน้ำยังไม่เคยเห็นเลย
พี่เอย์เคยไปไหมครับ พี่เคยไปหรือยัง”
ผมพูดโน่นพูดนี่ไปเรื่อย
บางทีก็ฮัมเพลงไปตามซีดีที่เปิดอยู่ ขณะที่พี่เอย์เงียบตลอดทางไม่ได้พูดอะไรตอบผม
พี่เขาคงจะรีบกลับเข้ากรุงเทพแหละผมเองก็พอจะเข้าใจ ถึงจะเสียดายแต่ทำไงได้ไว้วันไหนหยุดยาวว่าง
ๆ จะชวนพวกไอ้บาสไอ้วุฒิมาเที่ยวกัน ไม่ไกลเลยครับ
เลยกรุงเทพมานิดเดียวเอง
ผมนั่งนิ่ง ๆ
มองข้างทาง ขณะกำลังคิดว่า นี่มันคืออะไรกันวะ
พี่เอย์บอกให้ผมมาขับรถให้คือมาทำหน้าที่เป็นคนขับ แต่ไหงไปๆมา ๆ คุณชายเล่นขับทั้งไปทั้งกลับเองหมด
เอ๊ะหรือว่ากลัวผมขับแล้วรถจะเสียเหมือนเมื่อคืน ไม่หรอกมั้ง
มันคงไม่ใจร้ายคิดติดลบกับผมแบบนั้นหรอกน่า
“ทำหน้าอะไรของมึง”
มันถามขึ้นหลังจากเห็นผมทำหน้าแปลก ๆ แอบมองมัน ก็คนกำลังคิดมากนี่
“เปล่าครับ”
“จิ๊! น่ารำคาญ”
โว๊ะ มาว่ากันทำไมวะเนี่ย แต่เดี๋ยวก่อน
ผมเพิ่งสังเกตนะเวลาผมทำหน้าสงสัยแบบงงๆหน่อย ทำไมวะ
ทำไมมันต้องบอกว่าน่ารำคาญทุกครั้งเลย หน้าตาผมขัดใจมันมากขนาดนั้น? เห้ยๆๆๆๆ
เดี๋ยว ๆๆๆๆ ไม่ใช่ว่าคิดว่ามันตลกแล้วชอบหน้าตาตลกแบบนั้นของผมนะ ‘ผู้หญิงชอบคนตลก’ ผมกับไอ้บาสเคยลงมติกันว่าอย่างนั้น
แสดงว่าพี่เอย์ก็ คึคึคึ
“พะ...พี่เอย์จะซื้ออะไรเหรอครับ”
คือขณะที่ผมกำลังคิดโน่นนี่นั่นเพลิน
ๆ รถกลับจอดลงซะงั้น แล้วนี่มันคืออะไร นี่มันตลาดชัด ๆ เลย คนเยอะมากด้วย
ผมมองซ้ายมองขวามีป้ายติดไว้ด้วยนี่หว่า กรี๊ดดดดด ‘ตลาดน้ำอัมพวา’ ไอ้ปิงโห่ร้องอยู่ในใจเลยครับ
คุณพี่เอย์พาผมมาเหรอเนี่ย! อะไรของมันวะไหนว่ารีบจะกลับกรุงเทพ มีธุระ ลองถามดูดีกว่า
“พี่เอย์
พี่พาผมมาเที่ยวเหรอพี่”
ผมถามด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นชะเง้อมองซ้ายมองขวาอยากเดินเข้าไปแล้วอ่ะ คนเยอะน่าดูสงสัยเพราะเสาร์อาทิตย์
พี่เอย์หันมามองผมแต่ไม่ได้พูดอะไรเดินล้วงกระเป๋าแล้วพาเดินตัดเข้าไปด้านใน
เราสองคนเข้ามาจนถึงทางที่มีร้านขายของและอีกฝั่งข้าง ๆ ก็เป็นแม่น้ำ
คนเยอะของกินก็เยอะมาก ๆ ผมงี้ตื่นตาตื่นใจสุด ๆ
“ขอบคุณนะครับพี่เอย์ใจดีจริง
ๆ เลย”
“พูดมากน่ารำคาญจริง มึงเดินขึ้นไปดิ เดินขึ้นไปก่อน” จากตอนแรกที่ผมเดินตามหลังคุณชาย
ตอนนี้ผมกลับมาเดินอยู่ข้างหน้ามัน พี่เอย์เดินตามหลังผม
คุณเชื่อไหมที่นี่สวยมากเลยผมแอบเสียดายหน่อย ๆ
นะถ้ามาตอนกลางคืนคงจะต้องสวยเหมือนในรูปแน่ ๆ ผมเคยเสิร์ชดู แห่ะๆ
ได้แค่นี้ก็ดีแล้วครับ เช้าหรือเย็นก็สถานที่เดียวกันต่างไปแค่บรรยากาศเนาะๆ
“พี่เอย์หิวไหมครับ
ผมเลี้ยงไอติมนะ” ผมหันกลับมาบอก คุณชายเดินล้วงกระเป๋าตามผมมาติด ๆ ท่าทางมันสบาย
ๆ ผมบอกแล้วนั่งยอง ๆ
ลงไปสั่งไอติมกับแม่ค้าที่อยู่ในเรือ ป้าแกยิ้มให้ผมด้วยนะ
มีพี่สาวสองสามคนที่มาสั่งนั่งรออยู่ที่โต๊ะเตี้ย ๆ ผมก็เลยลุกขึ้นถามพี่เอย์ดูว่าอยากจะนั่งไหม
ปรากฏว่าคุณชายส่ายหน้าไม่สนใจ ผมจ่ายตังค์แล้วยื่นถ้วยไอศกรีมกะทิโบราณให้มัน มันมีการแอบมองที่ถ้วยผมด้วยนะ
“พี่อยากได้ถ้วยนี้เหรอ”
ถมถาม
“กูไม่กินถั่ว”
เพราะแก้วของผมไม่ใส่ถั่วนี่เอง ผมเลยยื่นส่งแก้วของตัวเองไปให้มัน
“มึงก็ไม่กินถั่วเหรอ”
มันมองหน้าผม
“เปล่าครับ
ผมสั่งสองแบบเพราะไม่รู้ว่าพี่กินแบบไหน เผื่อไว้ให้พี่เลือกไง”
แค่นั้นแหละครับ
ผมคิดว่าคำพูดของผมจุดรอยยิ้มแรกของมันได้เลยนะตั้งแต่ตื่นมาจนกระทั่งถึงตอนนี้เนี่ย
คือแบบไม่ใช่ยิ้มแกล้งหรือยิ้มเย้ย ๆ แต่เป็นรอยยิ้มที่แบบ
คือผมชอบพี่เอย์ยิ้มจังวะ น่าร๊อกอ๊ะ
~ (คือออกเสียงดัดจริตนิดนะ)
“อร่อยไหมพี่”
ผมหันไปถาม ตอนนี้เราสองคนเดินคู่กันอยู่
“ไอติมถูกๆ”
“ครับใช่ไอติมถูก
ๆ แล้วพี่อร่อยไหมล่ะ”
“ก็ใช้ได้นี่”
แค่ใช้ได้อะไรของมัน กินจนจะหมดถ้วยก่อนผมอีก
ถึงขนาดตะแคงถ้วยแล้วกวาดเนี่ยไม่แค่ใช้ได้แล้วครับ
“พี่ไม่เคยกินเหรอ
ไอติมกะทิสด”
“เคยครั้งเดียว
คุณย่าพาไปกินที่หัวหินตอนเป็นเด็ก รสชาดแบบนี้เลยกูยังจำได้”
“เห้ยจริงป่ะเนี่ย?”
ชีวิตพี่แม่งรันทดว่ะ คือผมหมายความอย่างนั้นจริงนะ
ของอร่อยมันไม่จำเป็นต้องแพงนี่ แล้วชีวิตที่ผ่าน ๆ มาคุณชายกินไอติมแบบไหนวะ
“หลังจากนั้นพอโตแม่กูก็พากินแต่ไอศกรีมของพวกฝรั่ง
โตขึ้นมาอีกหน่อยก็เข้าร้านไอศกรีมตามที่สาว ๆ เขาเลือกนั่นแหละ
ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกร้านแบบที่มึงไม่ชอบไปแล้วก็ตามโรงแรม”
“ร้านแบบที่ผมไม่ชอบไป?”
ผมทวนคำ ขมวดคิ้วนิดๆ ทำหน้าสงสัย
“ก็มึงไม่ชอบไปร้านที่หรู
ๆ นี่ เดี๋ยวนี้กูเลยพลอยกินแต่ของถูกๆไปด้วย เงินแม่งก็ไม่ค่อยได้ใช้จนแม่กูโทรถามแล้วทำไมเงินในบัตรไม่เดินเลย”
แบบนี้ก็มีด้วยเหรอวะ
แม่แบบไหนกันเนี่ยน่ากลัวฉิบหาย ผมยิ้มแห้ง ๆ ส่งไป แล้วรีบเปลี่ยนเรื่อง เพราะรู้สึกสงสารคุณชายบอกไม่ถูกเลย
คือยังไงดีวะแต่ผมรู้สึกตอนที่มันพูดมันไม่มีความสุขอ่ะ
มีครบพร้อมทุกอย่างแต่รู้สึกว่ามันยังไม่เต็มอะไรแบบนี้รึเปล่า
“พี่เอย์หิวอะไรอีกไหมพี่
วันนี้ผมจะเลี้ยงเอง นี่ผมรวยนะ ไหน ๆ
ดูซิไอ้ปิงเหลือตังค์กี่บาทว๊าววเหลือตั้งสี่ร้อย กินขนมถ้วยไหม
คนเยอะเลยอ่ะท่าทางอร่อยนะ” ผมเอากระเป๋าตังค์ขึ้นมาเปิดดูทำหน้าทะเล้น พี่เอย์ยิ้มอีกแล้ว
ผมเลยเข้าไปต่อแถวซื้อกับเขาด้วย ได้มากล่องนึงหมดไปสี่สิบบาท
“อร่อยไหมครับ”
“อร่อย”
“พี่อยากกินอะไรอีกอ่ะ”
“หาที่นั่งไหม
กินข้าวเที่ยงด้วยเลย”
เราสองคนเลือกร้านอาหาร
ที่มีระเบียงยื่นออกไปที่ริมน้ำ มีที่ว่างตรงมุมพอดีผมรีบวิ่งปรู๊ดเข้าไปจับจอง
“รับเป็นอะไรดีคะ”
พนักงานเข้ามารับออเดอร์
“มีกระเพราไก่ไข่ดาวไหมครับ”
“มีค่ะ
ไม่เลือกอาหารตามเมนูเหรอคะ อร่อยนะคะมี.........” เธอก็บรรยายไปบลาๆๆ
“พี่กินอะไรอ่ะครับ”
ผมหันไปถามพี่เอย์ มันนั่งมองดูแม่ค้าพายเรือขายของ มีการยกโทรศัพท์ขึ้นมากดถ่ายด้วยนะ
ผมเลยเรียกอีกที
“พี่เอย์
กินอะไรพี่” มันสะดุ้งนิดหน่อย คงกำลังเพลิน
“ผัดไทยกุ้งสด”
“ขอเป็นน้ำเปล่าสองแก้วนะครับ”
ผมบอกเสริมไปเพราะคิดว่าเธอกำลังจะถาม เธอยิ้มให้นิดๆด้วยนะ
“ผมขออะไรพี่อย่างดิ
ได้ไหมครับ”
“อะไร”
“มื้อนี้ผมจ่ายนะ
พี่ห้ามจ่ายขอผมเลี้ยงขอบคุณพี่บ้าง”
“รวยนักหรือไง
มีตังค์แค่สี่ร้อยนี่นะ”
“ใครบอกว่าสี่ร้อย
ตอนนี้เหลือสามร้อยหกสิบแล้วก็ซื้อขนมถ้วยให้พี่เมื่อกี้ไง”
“แล้วถ้าผัดไทยเขาจานละสี่ร้อยหกสิบล่ะ”
ผมแทบสำลักน้ำทันทีที่คุณชายพูดจบ ถึงกับไอค่อกๆแค่กๆกันเลย คุณยังจำได้ใช่ไหมครั้งแรกที่เราสองคนเจอกันผมซัดค่าผัดไทยมันไปจานละสี่ร้อยหกสิบบาท
“นี่พี่ยังจำได้เหรอเนี่ย”
พี่เอย์ยิ้มอีกแล้วก่อนจะหันมองไปทางอื่น
แปลกจริง ๆ วันนี้คุณชายจะยิ้มบ่อยเกินไปไหม
หว๋ายยยอย่าบอกว่าอยู่กับผมแล้วมันมีความสุขถึงได้ระเบิดรอยยิ้มออกมาบ่อยขนาดนี้นะ
คึคึ
เราสองคนเดินต่อไปอีกตามทางที่เขาให้เดินดูร้านค้าโน่นนี่
อีกฝั่งก็เป็นแม่น้ำที่มีแม่ค้าพ่อค้าพายเรือขายของเต็มไปหมดเลยครับ
เสียดายมากที่เป็นช่วงบ่ายอากาสเลยร้อน ถ้าเป็นตอนเย็นต้องสวยมากแน่ ๆ
“พี่เอย์ผมว่าถ้าเรามาที่นี่ตอนค่ำๆหน่อยเขาเปิดไฟแล้วนี่ต้องสวยแน่เลยนะครับ
วันหลังเรามากันอีกไหม”
คุณชายมองผมตาเขียวปั๊ดเลยผลักหัวผมแล้วบอกให้เดินต่อไป
คนเยอะครับพี่เขาให้ผมเดินก่อนส่วนมันเดินตามอยู่ด้านหลัง ผมแอบคิดเข้าข้างตัวเองด้วยนะว่ามันกลัวผมจะหลง
ผมเดินยิ้มตลอดทางเห็นร้านไหนน่าสนใจผมก็แวะดิ แต่ก็แค่ดูแหละครับเพราะเงินในกระเป๋าตอนนี้เหลืออยู่แค่ร้อยกว่าบาทหลังจ่ายค่าข้าวที่กินกันไปเมื่อตะกี้
“เส้นแบบนี้เท่าไหร่ครับ”
ผมแวะร้านที่เขานั่งทำเชือกข้อมือที่มันมีเม็ดข้าวสารเขียนชื่อใส่ไว้ข้างในหลอดแก้วน่ะ
มันน่ารักมากเลยครับเป็นงานแฮนด์เมด แล้วคือผมอยากได้
คิดว่าคงจะไม่แพงเลยลองถามดู
“สองร้อยห้าสิบค่ะ
จะให้เขียนชื่อว่าอะไรคะ” แม่ค้าเขาถาม
เธอน่ารักดีจังยังเด็กอยู่เลยวัยพอๆกับผมเลยมั้ง เห้ย! แต่เดี๋ยวก่อนกำลังจะขยับปากบอกแล้วไหมล่ะ
นึกได้ว่าเงินตัวเองเหลืออยู่แค่ไม่ถึงสองร้อยเลย
“เอ่อลดหน่อยได้ไหมครับ
สักร้อยหกสิบได้ไหม นะนะ” คือผมก็อายนะแต่ผมอยากได้ง่ะ แล้วเงินมันมีเหลืออยู่แค่นั้นผมเลยฉีกยิ้มกว้างๆส่งไปเอาแบบให้เขาคิดว่าผมนี่หล่อสุดน่ารักสุดอะไรแบบนั้น
แค่นั้นแหละแม่ค้าคนสวยยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เลยครับ
เธอกำลังนั่งทำของลูกค้าคนอื่นอยู่ด้วย มือไม้นี่แบบ
เฮ้ยเธอเขินกูป่ะวะอะไรแบบนั้น
“ลดไม่ได้เลยค่ะ” แป่ววววว เมื่อเธอตอบกลับมาทำเอาผมหุบยิ้มแทบไม่ทัน คิดหนักเลยทีนี้
ทำไงดีๆผมนึกแล้วนึกอีก อยากได้มากเลยครับถามเธอออกไปแล้วด้วย
สาวสวยขนาดนี้ถามแล้วไม่เอาเสียฟอร์มแย่ นึกอะไรดี ๆ ได้ ผมเลยลองหันไปขอความช่วยเหลือจากคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง
ปรากฏว่าเจอมันยืนมองตาเขียวปั๊ดอยู่ ผมส่งสายตาขอความเห็นใจไป
ประมาณอยากให้รู้ว่าค่าแรงผมเมื่อวานนี้พี่ยังไม่ได้จ่ายนะ คือผมขอก่อนได้ไหมอ่ะ ผมอยากได้เชือกข้อมือเส้นนี้มาก
ๆ เลย
“พี่เอย์.....”
“ไม่”
ชัดเจน
จบเลยครับ แค่นั้นแหละผมเดินคอตกออกมา หน้าบูดไปนิดหน่อยขณะที่คุณชายเอย์ตั้นไม่สนใจอะไรเลยยังคงเดินล้วงกระเป๋าดูโน่นนี่นั่นไปเรื่อย
ๆ
พอเราเดินผ่านร้านที่ขายพวงกุญแจอันเล็กๆ
ผมเลยซื้อติดกระเป๋ามาสองอันไว้ให้แม่กับพี่ขม ส่วนพวกไอ้ตัวยุ่งบาสวุฒิไม่มีเหอะ
ผมยิ่งจนอยู่ไว้วันหลังค่อยชวนมันมาเที่ยวกันแล้วเดินเที่ยวตอนกลางคืนที่เขาเปิดไฟแล้วดีกว่า
พี่เอย์ยืนรอผมเงียบ ๆ ตอนที่เลือกพวงกุญแจ ผมเลยยื่นไปให้พี่เขาอันนึงเป็นรูปเสื้อหมีอันเล็กๆที่หน้าอกเขียนว่าอัมพวา
คุณชายส่ายหน้าแล้วทำเป็นเมิน ผมดูราคาแล้วอันละแค่สิบเก้าบาทเลยหยิบเพิ่มไปเลย
“พี่เอย์กินกาแฟไหมครับ
แวะร้านกาแฟก่อนนะ” ผมถามขึ้นหลังจากเราเดินมาแถว ๆ หน้าร้านกาแฟโบราณ
คนนั่งกันเยอะมาก แต่ก็พอจะมีที่นั่งเหลือ ผมเลยเดินนำเข้าไป คิดว่าเดี๋ยวต้องขับรถกลับไม่ผมก็คุณชายไม่รู้ใครจะเป็นคนขับผมขอโด๊ปไว้ก่อนละกัน
“กูเอาไอซ์แกรนเดลาเต้”
“ห๊ะ?” พี่เอย์พูดอะไรวะ
ผมขมวดคิ้วจ้องหน้ามันอย่างสงสัย พี่เอย์นิ่งมากเอาโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดซูมถ่ายรูปไปที่ตู้โชว์สินค้าโบราณภายในร้าน
“พี่เอาอะไรนะครับ”
ผมลองถามดูใหม่
“ไอซ์แกรนเดลาเต้”
มันบอกออกมาใหม่แต่ก็คือคำเดิมนะผมว่า ผมไม่เข้าใจอ่ะรู้จักแต่ลาเต้ รู้แต่ว่ามันก็คือกาแฟแบบนึง
ส่วนแกรนเดนี่มันอะไรกันวะ ช่างมันเหอะยังไงที่นี่ก็มีแค่ โอเลี้ยง ชา กาแฟ นมเย็น
ชาเขียว จบไหมครับ
“กาแฟนะครับ”
“อืม
ลาเต้นะ”
“ครับผม”
ผมก็เดินเข้าไปสั่งแค่กาแฟเย็นสองแก้วนั่นแหละ
ไม่ได้พูดเรื่องลาเต้แกรนเด้อะไรให้อายคนหรอก
แล้วตอนที่เดินเข้าไปเอาพี่เอย์ล้วงเงินจ่าย
พอคนขายบอกราคามาผมเห็นนะว่ามันดูตกใจนิด ๆ แต่ก็ล้วงจ่ายออกไป ก็สองแก้วแค่หกสิบบาท
เทียบไม่ได้หรอกกับกาแฟสัญชาติอเมริกันที่คุณชายเขาชอบกินแก้วละเกือบสองร้อยนั่น
“พี่เอย์ชอบถ่ายรูปเหรอครับ”
ผมชวนคุย เราสองคนนั่งดูดกาแฟกันอยู่ ผมเห็นมันทำหน้าตาประหลาดตอนดูดกาแฟเย็นคำแรก
หน้าตานี่แบบคงสงสัยว่าทำไมรสชาติเป็นแบบนี้แต่คุณชายก็ก้มลงดูดต่อนะ ไม่ถาม
“เปล่า ทำไม”
“ก็ผมเห็นพี่ถ่ายโน่นนี่
มาตลอดทางเลยนี่”
“กูเพิ่งถ่ายได้แค่สามรูปเหอะ คำว่าตลอดทางของมึงหมายความว่ายังไง” หูยก็แค่ชวนคุยหรอก
ชิอะไรวะไอ้คุณชายนี่หน้าบูดมาตั้งแต่ออกมาจากร้านขายเชือกรัดข้อมือโน่นแล้ว
“งั้นขอดูได้รึเปล่า
พี่ถ่ายรูปอะไรบ้างอ่ะ ไหน ๆขอผมดูบ้างดิ”
ผมทำท่าจะหยิบมือถือมันมาดูพี่เอย์รีบคว้าเอาไว้ก่อน
“ไม่ให้ดู” เหทำเสียงเขียวเชียว
“อะไรกัน
แค่นี้ก็ดูไม่ได้ ถ่ายรูปอะไรลึกลับหรือไงครับทำไมต้องหวงด้วย ถ่ายสาวเหรอ”
มันมองหน้าผมแล้วกระตุกยิ้มที่มุมปากแบบไม่รู้คิดอะไร
ผมเลยจ้องหน้ามันแล้วแลบลิ้นให้ไปทีเจอขาคุณชายเตะมาที่ใต้โต๊ะเบา ๆ
“เจ็บอ่ะ”
“เรื่องของมึง”มันว่าแล้วลุกขึ้นผมเงยหน้ามอง
“เดี๋ยวกูมา มึงรออยู่ที่นี่”
“อ่าว
พี่จะไปไหนอ่ะ เดี๋ยวออกไปด้วยกันเลยดิ” ผมทำท่าจะลุก แต่พี่เอย์โยนมือถือส่งให้ผมก่อน
ผมก็เลย...
“ดูรูปรอไป
เดี๋ยวกูมา”
อะไรของเขาวะ
ผมกำลังคิดว่ามันอาจจะเดินไปหาห้องน้ำห้องท่าล่ะมั้ง
แต่ไม่ชวนผมนะไม่คิดบ้างหรือไงผมอาจจะปวดอยู่เหมือนกัน แต่ไม่เป็นไรเดี๋ยวจะแกล้งชวนไปอีกที
อยากเห็นคนหน้างออยู่เหมือนกัน ไหน ๆ ดูซิถ่ายรูปอะไรไว้มั่ง ผมก็กดๆเลื่อน ๆ
มือถือมันดู อิ๊! ยี่ห้อนี่แม่งใช้ยากไม่เหมือนของผมเลย
โอ๊ยยยคุณช๊ายยยไหนบอกถ่ายไว้แค่สามรูปนี่มันมีป็นสิบๆรูปแล้ว ห๊ะ
มีรูปตอนผมซื้อขนมถ้วยด้วยเหรอเนี่ย หุยหน้าตาผมแม่งโคตรทุเรศอ่ะแล้วนี่ตั้งใจถ่ายป้าแม่ค้าหรือตั้งใจถ่ายผมกันแน่ไหงมันติดแค่ผมกับคุณป้าคนนั้นวะเนี่ย
อ้าวแล้วรูปนี้คืออะไร คึคึ คุณชายถ่ายรูปลุงแก่ ๆ
ที่พายเรือขายขนมเบื้องด้วยหน้าตาแกโคตรจะมีความสุขแหละเห็นหลังผมไวๆอยู่ในเฟรมด้วยแฮะ
เออใช่ก็พี่เอย์มันเดินตามผมตลอดนี่เนอะถ่ายติดผมเกือบทุกรูปนี่ก็คงไม่แปลกหรอก
หว๋ายยยรูปนี่ยิ่งแล้วใหญ่ ตอนผมก้มกินผัดกระเพรานี่นา มันถ่ายอะไรของมัน โฟกัสไปที่จานกระเพราไข่ดาวโดยที่ตัวผมเป็นแค่ตัวประกอบงั้นเหรอ
บ้าๆๆ ไอ้คุณชายอยากถ่ายผมทำไมไม่บอกกันดี ๆ
วะดูซิแม่งแต่ละรูปมีแต่ตอนผมทำหน้าตาประหลาดแสนทุเรศทั้งนั้นเดี๋ยวถ้ามันมา อ้าวเย้ยยยย!!!!”
กำลังนั่งดูอยู่ดี
ๆกลับต้องชะงัก ก็มีมือของใครไม่รู้แย่งโทรศัพท์ไปจากมือผมซะงั้นขณะกำลังจะลุกขึ้นคิดว่าจะมีเรื่องแน่แล้วก็ต้องหยุดไว้แค่นั้นเมื่อมือปริศนานั่นคือมือของเจ้าของโทรศัพท์
พี่เอย์เดินกลับมาแล้ว
จะว่าไปหายไปนานเหมือนกันนี่หว่า
“ทำหน้าเหี้ยไรของมึง
บ้าไปแล้วเหรอ”
“พี่ไปนานนี่
ท้องเสียเหรอ” อย่าบอกนะว่ากินอาหารชาวบ้านแค่วันเดียวท้องเสียเลย
“พูดมาก ไปกันได้แล้ว
เราเดินมาจนสุดแล้วนะ จะเดินย้อนกลับไปหรือมึงอยากจะไปเดินฝั่งโน้นด้วย”
อะไรวะวันนี้คุณชายโคตรใจดีเลย
มีถามความเห็นกันด้วย
ถ้าผมตอบว่าอยากไปเดินตรงนั้นด้วยนี่มันจะชักหน้ารำคาญใส่ป่ะวะ
เอาเถอะสงสารหรอกสงสัยเมื่อกี้ท้องเสียเดินมากเดี๋ยวจะพาลเป็นลมขึ้นมาผมจะยุ่งยากอีก
อุ้มผู้ชายตัวใหญ่ ๆ ในท่าเจ้าสาวนี่มันคงทุเรศนัยน์ตาน่าดูเหมือนกัน
“กลับทางเดิมเลยครับ
ทางนั้นมีแต่พวกของกินเราเดินฝั่งนี้แหละ”
ผมกับมันเลยเดินย้อนกลับไปทางเดิม
โดยที่พี่เอย์ก็ยังคงคอนเซปเดินตามหลังผมอยู่เหมือนเดิม ขณะที่ผมยิ้มกว้างดูนั่นนี่เออผมก็ลืมคิดไปเลยนะ
คุณชายเดินตามผมตลอดทางเลยนี่หว่าแต่ไม่มีบ่นเลยผมแวะร้านไหนมันก็เข้าด้วย
ผมหยุดดูของมันก็ยืนรอเงียบ ๆ
นานแค่ไหนก็ยังไม่เห็นบ่นออกมาสักคำ ผมเลยหันไปมองเห็นมันกำลังถ่ายรูปอะไรไม่รู้ ไหนๆดูซิ ผมเดินเข้าไปชะเง้อคอมองมันรีบเก็บมือถือยัดเข้ากระเป๋าเลย
“อะไรพี่
แอบถ่ายผมเหรอ ถ้าอยากถ่ายก็บอกมาดีๆดิ๊ เดี๋ยวแอคชั่นให้หล่อ ๆ เลย โอ๊ยยย!!!”
“ประสาท!”
คุณชายผลักหัวผมแล้วด่าออกมาคำเดียวเน้น ๆ คราวนี้มันเดินลิ่ว ๆ นำหน้าผมไปเลย
เราสองคนออกจากอัมพวาประมาณบ่ายสี่โมงเย็นโดยพี่เอย์เป็นคนขับมาตลอดทาง
พี่เขาพาผมแวะทานข้าวเย็นที่ร้านอาหารแถวชานเมืองสมุทรสงคราม คือวิวดีมาก ๆ ครับมองไปเห็นนาเกลือเต็มไปหมดเลย
ผมได้กลิ่นเค็ม ๆ เหมือนกลิ่นของทะเลเลยนะ ผมเลยล้วงมือถือขึ้นมากดถ่ายวิวแบบเล่น
ๆ ส่วนคุณชายเหรอครับอย่าถามเลย นั่งรออาหารอยู่ที่โต๊ะโน่นแหน่ะ ผมแอบถ่ายมันตอนนั่งหน้างอรออาหารอยู่ที่โต๊ะด้วยนะ
คึคึ หน้าตาตลก พอเราทานกันเสร็จ ขากลับผมรีบวิ่งไปที่ฝั่งคนขับกะแสดงสปิริตแบบสุด
ๆ คือน่าจะเป็นผมขับได้แล้วเพราะพี่เอย์ขับมาตั้งแต่เช้าแล้ว ที่สำคัญคือ
ผมมากับมันเพราะมาขับรถให้ แล้วนี่มันคืออะไรกันเหรอครับ เออผมก็งงนะ
“พี่เอย์เดี๋ยวผมขับให้ครับ”
“ไม่เป็นไรเดี๋ยวกูขับเอง”
“เอ่อแต่........
“ขึ้นไปนั่งได้แล้ว”
คือคุณชายจะหน้านิ่งไปไหนผมถาม
บอกผมแบบชนิดที่ว่าผมไม่กล้าต่อรองอะไรเลย แล้วนี่จะพาผมมาทำไมเหอะ
มานั่งเป็นเพื่อนคุยแก้เหงาอะไรแบบนี้เหรอ
ไม่น่าใช่ก็ไม่ค่อยเห็นพูดตอบผมเท่าไหร่เลย แต่จะยังไงก็ช่างเถอะเอาเป็นว่าวันนี้ผมโคตรจะมีความสุข
นี่ถ้าได้เปลี่ยนเสื้อผ้าอีกหน่อยเป็นเสื้อยืดแล้วก็กางเกงจั๊มขาตัวโปรดเดินไปด้วยกันกับคุณชายขณะที่ในมือถือไอติมกินไปด้วยเนี่ย
ผมว่าวันนี้มันจะต้องเพอเฟคกว่านี้อีกร้อยเท่าเลยเอิ๊กกก
“ยิ้มเหี้ยไรอีก”
สุ้มเสียงทุ้มต่ำของพี่เอย์ ปลุกผมออกจากจินตนาการได้ดีมากจริง ๆ พอมองดูรอบข้างตอนนี้ถึงรู้ว่ามืดแล้วเหรอเนี่ย
เราออกมาจากโรงแรมกันสาย ๆ
เที่ยวตลาดน้ำเดินเพลินมากหลายชั่วโมงเลย แถมขากลับยังแวะทานข้าวกันอีก
เวลาตอนนี้จะสองทุ่มแล้ว
“ผมมีความสุขอ่ะพี่”
“สุขเหี้ยอะไรของมึงอีก
วันๆนี่กูเห็นมึงทำหน้ามีความสุขบ่อยจังเลยนะ หรือคิดถึงแม่ค้าคนน่ารักที่มึงป้อเขาไว้ที่ตลาดนั่น”
“เย้ยย!!! พี่พูดอะไรเนี่ย ผมจะไปคิดแบบนั้นได้ไงเล่า
เห็นผมแบบนี้นะเวลาผมคบใครคบทีละคนนะครับนะ ไม่มีคบซ้อนเหมือนบางคนหรอก” เอาจริง ๆ
คือลืมหน้าเธอไปแล้วด้วยนะ พี่เอย์หมายถึงคนไหนวะ น่าจะเป็นคนที่ผมแจกรอยยิ้มหวังส่วนลดที่ร้านเชือกรัดข้อมือแฮนเมดนั่น
“งั้นเหรอ
แล้วตอนนี้มึงคบกับใครอยู่ล่ะ เขาคนนั้นสวยน่ารักมากไหม”
“ก็...............”
ผมทำท่านึก เอ้..กูจะนึกถึงใครดีวะคือมันยังไม่มีเป็นตัวเป็นตนเลยสักคนไง บุ๋มเหรอ? นั่นไม่เรียกว่าคบหรอกมั้ง
เพราะเธอเองน่าจะไม่ได้มีผมแค่คนเดียวเหมือนกัน
“นึกนานไปหน่อยนะ
หลายคนขนาดนั้นเชียว” ทำเสียงประชดทำไม(วะ)ครับคุณชาย ผมก็กำลังจะบอกอยู่นี่ไง นึกอะไรดีๆออกแล้ว
แกล้งคนเล่นดีกว่าดูซิมันจะรู้ตัวไหม คึคึคึ
“ก็มีอยู่คนนึงอ่ะนะ”
เอาแล้วครับหันขวับเลย
รถเข้าเมืองแล้วติดไฟแดงพอดี
“เค้าตัวสูง
ๆ ขี้งอน ชอบทำตาเขียว ชอบโมโห เอะอะก็ด่า พูดกับผมก็ไม่ค่อยเพราะ
ชอบด่าผมว่าขี้เหร่ เวลาผมทำหน้าตาประหลาดเขาจะชอบพูดว่าหงุดหงิด
แล้วก็ชอบจิ๊ปากบอกว่ารำคาญผม”
“ถ้าเขาเป็นถึงขนาดนั้นกูว่ามึงทิ้งเหอะ”
ผมกลั้นขำจนไหล่สั่น
คือนี่มันไม่รู้ตัวเลยหรือไงว่าผมกำลังพูดถึงใคร
“ผู้หญิงเหี้ยไรวะ
ร้ายกาจฉิบหาย” โอ๊ยยยผมขำ อย่าด่าตัวเองแบบนั้นครับพี่
“ก็เด่ะ
ผมก็ว่าจะทิ้งอยู่เนี่ยแหละ แต่มีอีกข้อนะครับพี่เอย์ ค่อนข้างสำคัญเลย ผมปรึกษาพี่ทีสิ
ผมควรจะทิ้งเขาได้หรือยัง”
“อะไร”
“เขาเป็นคนปากไม่ตรงกับใจเลยพี่
ผมเคยถามเขาด้วยนะว่าชอบผมหรือเปล่า พี่รู้ไหมเขาตอบผมว่ายังไง เขาบอกว่า ไม่-ได้-ชอบ พี่ว่าแบบนี้เราทิ้งเขาไปเลยจะดีไหม
คือเขาก็บอกออกมาแล้วนี่เนาะว่าไม่ได้ชอบผมอ่ะ”
พี่เอย์เงียบไปนิดนึง แต่สักพักมันก็หัวเราะหึหึในลำคอออกมา
พอดีกับว่ารถจอดลงที่หน้าหอพักผมพอดี พี่เอย์ตั้งใจมาส่งผมลงถึงที่นี่เลย?
ผมเห็นแล้วยังตกใจเลยนะ
“กูว่าคนนี้มึงทิ้งไม่ได้หรอกว่ะปิง
เพราะกูคิดว่าเขาก็คงไม่ยอมปล่อยมึงไปเหมือนกัน”
คุณเชื่อไหม.....เขาว่ากันว่าสวรรค์มีอยู่จริงยามที่คนเรามีความสุขอิ่มเอมปลาบปลื้มกับอะไรสักอย่าง
แต่ทำไมวะ แค่คำพูดมันเมื่อกี้แค่นั้น
ผมนี่ชาวาบตั้งแต่หัวใจลามไปจนถึงปลายเท้าเลยนะ ใจของผมโคตรจะพองโตเลยอ่ะ
มันแบบเหมือนกับตอนนี้ขยายตัวจนผมแทบจะระเบิดอะไรบางอย่างออกมาจะแย่อยู่แล้ว
พี่เอย์บ้า ๆ พูดอะไรหน้าตายแบบนั้น อยากเห็นผมสำลักความสุขตายไปตรงนี้เลยหรือไง
“มึงจะนั่งอยู่อีกนานไหม
ถึงแล้วก็รีบๆลงไปดิ”
ยังปลื้มปริ่มได้ไม่ทันเท่าไหร่เลย
ไอ้คุณชายกลับมาเป็นคนเดิมอีกแล้ว
คุณเชื่อไหมถ้าถามมันก็ต้องบอกว่าเมื่อกี้มันได้ได้พูดเรื่องตัวเองแต่พูดเรื่องผู้หญิงที่ผมปรึกษา หน้าตาคุณชายแม่งเหมือนรำคาญผมอีกแล้วอ่ะ
แต่ไหน ๆ วันนี้ทั้งวันก็ใจดีกับผมแล้ว เห้ย ผมเพิ่งนึกบางอย่างออก
ไหนว่ามันรีบไงตั้งแต่เช้าบอกว่าจะรีบกลับไปทำธุระขนาดกินข้าวก็ยังเร่ง
แล้วตกลงนี่มันอะไรพาผมเที่ยวตลอดวันเพิ่งจะมาถึงกันก็สองทุ่มนิด ๆ แล้ว
“พี่เอย์
ไหนว่าวันนี้พี่ต้องรีบกลับมาทำธุระไงครับ คือผมลืมไปเลย คือผม......”
คือผมพูดไม่ออกเลยครับ มันอาจจะเห็นว่าผมบ่นๆว่าอยากมาดูตลาดน้ำเพราะไม่เคยมา
แล้วคือธุระคุณชายล่ะ ผมขอโทษจริง ๆ
“ขอโทษนะครับ ผม...”
“ช่างเหอะ ไม่มีอะไรสำคัญหรอก”
“มะ....หมายความว่ายังไงครับ”
ก็เห็นรีบ บอกว่าเป็นธุระสำคัญไม่ใช่เหรอวะ
“จิ๊! มึงนี่มันถามเรื่องมากน่ารำคาญ
ก็แค่กินข้าวกับเดียร์บ้านคุณย่า ไม่ไปก็คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง”
ณ
ที่นั่นตอนนั้น ผมได้ตายไปแน่นอนแล้วครับ
คือคุณชายไม่ไปกินข้าวกับคู่หมั้นทั้งยังผิดนัดกับคุณหญิงย่าเพื่อพาผมคนนี้ไปเที่ยวกันตลอดทั้งวันนี่น่ะเหรอ
ไอ้ปิงมึงสติๆ มึงมีสติหน่อย ความหมายของคุณชายอาจไม่ได้ลึกซึ้งขนาดที่มึงกำลังคิด
ผมหยิกแขนตัวเองเรียกปลุกสติออกมาจากเพดานสวรรค์
“ยิ้มเหี้ยไรของมึงอีก
ลงไปได้แล้วกูจะได้รีบกลับ”
“อะไรล่ะ อย่าบอกว่าจะรีบกลับไปหาคู่หมั้นนะ
เที่ยวกับผมนี่ยังไม่พออีกรึไง” นี่ผมพูดอะไรออกไปวะ ปากแม่งไปเอง
ไปประชดประชันเขาทำม้ายยยยย
“ลงๆ ไปได้แล้วกูรำคาญอย่ามาทำหน้าตาแบบนั้น
มึงแม่ง! กูโคตรรำคาญหน้าตามึงเลยหยุดยิ้มนะไอ้ปิง”พี่เอย์โมโหอีกแล้ว
ผมเลยปลดเบลท์ออก แล้วส่งยิ้มให้มันไปอีกที
“ขอบคุณนะครับสำหรับวันนี้
ผมมีความสุขมากเลย พี่เอย์ใจดีกับผมมาก
แล้วพรุ่งนี้ผมจะเข้าไปรับค่าแรงพร้อมกับเอาเครื่องเสียงไปซ่อมให้นะ
จะได้รู้กันไปเลยว่าเครื่องเสียงพี่มันพังจริงหรือพังเล่น”
อีกครั้งแล้วที่ผมโดนมันผลักหัวแล้วยังชี้หน้าคาดโทษอีกต่างหาก
“ไปแล้วนะ”
ผมว่าแล้วทำท่าจะเปิดประตู อะไรบางอย่างถูกปาใส่หัวมาตกอยู่ที่ตัก ผมเลยหันไปมอง อะไรวะ?
พี่เอย์นั่งหน้านิ่งมองไปอีกด้าน ผมหยิบขึ้นมาดู มันอยู่ในถุงพลาสติกเล็ก ๆ ผมล้วงมันออกมาดู
คุณพระช่วย
ถ้าผมเป็นผู้หญิงจะเอาฝ่ามือทาบหน้าอกด้วย คุณจินตนาการเอานะ
เชือกร้อยข้อมือแฮนด์เมดอันที่ผมอยากได้ เมล็ดข้าวสารที่ลอยแช่อยู่ในน้ำภายในหลอดแก้วเล็ก
ๆ ที่ถูกร้อยอยู่ในตัวเชือกสีชมพูเขียนข้อความไว้ชัดเจน ‘ปิง’
ผมหลับตาลงแน่นเลยครับ
กัดฟันไม่ให้เผลอยิ้มกว้างออกมา พี่เอย์แม่งโคตรๆอ่ะ น้ำตาผมจะไหลเลยนะ คือปลื้มมาก
พี่แอบไปซื้อไว้ให้ผมเหรอวะอะไรแบบนั้น คือแม่งผมพูดไม่ออกอ่ะ
“ลงไปดิ่”
“ขอบคุณนะครับพี่”
ผมหันไปบอกมันอีกครั้ง อยากเอื้อมตัวไปจุ๊บแก้มสักทีตอบแทนแต่ท่าทางจะไม่เหมาะ ผมก็เลย....
“อ่ะ อันนี้ผมให้พี่”
ผมยื่นพวงกุญแจรูปเสื้อหมีตัวเล็ก ๆ ที่เขียนว่า อัมพวา อันละสิบเก้าบาทนั่นแหละครับ
ส่งให้ พี่เอย์มองผมอย่างชั่งใจ ผมงี้ลุ้นมากว่ามันจะยอมรับของกูป่ะวะ
แต่ผิดคาดครับมันดับเครื่องรถแล้วดึงกุญแจยื่นส่งมาให้ผม ผมอมยิ้มแล้วรับมาใส่ห้อยไว้ในพวงเดียวกัน
พอคุณชายรับไปคืนก็สตาร์เครื่องไว้เหมือนเดิม อย่าคิดว่าจะมีคำขอบคุณอะไรนะครับ
มีแต่เสียงจิ๊จ๊ะเหมือนคนหงุดหงิดนั่นแหละมากกว่า
“กูใส่ไม่เป็น”
“ห๊ะ
อะไรนะครับ”
จู่ๆพี่เอย์พูดอะไรวะ
ผมคิดว่าผมอาจฟังอะไรตกหล่นเลยลองถามมันดูใหม่
“ไอ้เชือกบ้านั่น
ไม่รู้ใส่ยังไงกูลองดึง ๆ อยู่ตั้งนานแม่งใส่ยากฉิบหาย มึงใส่เอาเองก็แล้วกัน
กร๊ากกกกกกก
ไอ้ปิ้งงงงงงง มึงน้อมึงวาสนาหมาปิงแล้ว คุณชายตั้งใจอยากจะใส่เชือกรัดข้อมือให้ด้วยโว้ยติดแต่ว่ามันใส่ไม่เป็นไม่งั้นผมคงได้รับของหมั้นหมายไปแล้ว
คึคึ
“ไม่เป็นไรครับ
เดี๋ยวผม......
“เหี้ย! แม่งน่ารำคาญ” มันแว๊ดขึ้นพร้อมกับทำหน้ายู่อย่างกับหมาตัวโต
ๆ ขณะที่มือใหญ่ ๆ เอื้อมมาดึงมือผมเข้าไปหาตัวมันแล้วจัดการสวมๆเชือกเส้นนั้นลงให้ผมโคตรแรงอ่ะ
ดึงๆรูดๆอยู่สักพักก็เข้าที่ ผมก็นั่งปล่อยให้มันทำนะ คือแสบที่ข้อมือเหมือนกันแต่คิดว่าคุณชายเขาอุตส่าห์ตั้งใจทำให้เลยยอม
ๆไป มันจะทำอะไรรุนแรงนักหนา แค่ใส่เชือกที่ข้อมือก็ต้องใช้อารมณ์ด้วยเหรอวะครับ
“ถ้ากูเห็นมึงถอดออกนะ
กูจะเลิกจ้างมึงเลยสัส!” มันเหวี่ยงมือผมกลับคืนมา เออดี ไหงใส่เสร็จแล้วพูดจาแบบนั้นอ่ะพูดไม่เพราะเลย
“ลงไปได้แล้ว
หงุดหงิดแม่ง! กูไม่ได้อยากซื้อให้มึงสักหน่อย
ห้ามยิ้มนะ ไอ้หมาปิง! ”
“ครับ ๆ ไม่ยิ้ม ๆ
ว่าแต่พี่ไปซื้อตอนไหนอ่ะ ใช่ตอนที่ทิ้งให้ผมนั่งรออยู่ร้านกาแฟป่ะ”
“ไม่มีทางหรอก”
“นั่นแน่จริงด้วยนี่นา”
“หมาปิง! จะลงดี ๆ หรือจะให้กูถีบลง”
“คร้าบบบบลงเดี๋ยวนี้แหละ
ปิงไปนะครับพี่เอย์”
“จิ๊! เรื่องของมึง”
ผมล้อคนปากแข็งด้วยน้ำเสียงทิ้งท้ายที่คิดว่าน่ารักและนุ่มนวลที่สุด
ก่อนจะรีบเปิดประตูแล้วกระโดดลงจากรถ
เห็นมันทำตาเขียวปั๊ดมองออกมาก่อนตีรถเลี้ยวกลับออกไป
ยืนอมยิ้มมองมองไฟท้ายรถที่วิ่งห่างออกไปเรื่อย
ๆ อ่าา
แบบนี้ก็โรแมนติกดีเหมือนกันนี่หว่า แปลกประหลาดเป็นบ้าเลย
ทำไมพี่เอย์ไม่เหมือนใครเลยวะ
คนแบบพี่แม่งขยี้ใจผมได้ดีจริง ๆ มีเสน่ห์โคตรๆอ่ะ
Tbc.