Saturday, June 14, 2014

ดอกฟ้ากับหมาวัด (Out Of Reach) # 6 ผมเอย์ตั้น คุณชายของไอ้หมาปิง




# 6  ผมเอย์ตั้น คุณชายของไอ้หมาปิง



“เต็มถัง”

“ชำระเป็นเงินสดหรือบัตรครับ”

“เงินสด”

1700 บาทครับพี่”

“ที่เหลือเก็บเอาไว้” ผมยื่นจ่ายใบพันไปสองใบ เด็กปั๊มโค้งคำนับให้แล้วรีบวิ่งมาโบกให้รถออกได้อย่างสวยงาม

“ไอ้เอย์แม่งนิสัยป๋าแก้ไม่หายสักทีว่ะ มึงทิปหนักเกินไปหน่อยไหม” ไอ้ฟิวส์เพื่อนสนิทที่ตอนนี้มันชิงตำแหน่งตุ๊กตาหน้ารถผมมาจากไอ้พวกห้าคนที่เหลือได้สำเร็จ ยักษ์พวกนั้นจึงต้องอัดกันนั่งอยู่ที่เบาะหลัง

“กระเป๋ากูไม่มีใบร้อยกับใบห้าร้อยเลย”

“สัส  กูไม่ได้หมายความถึงแบบนั้น อย่ามาเฉเรื่อง”

“ช่างดิ่แม่ง กูอยากให้อ่ะ กูรวยทำไม”

“ถุยไอ้คุณชาย มึงนี่มันใช้เงินจนเคยตัวสักวันไม่มีขึ้นมาจะรู้สึก”

“แล้วมันจะมีวันนั้นเหรอวะ” เสียงไอ้บีมและพรรคพวกคนอื่น ๆ ที่ด้านหลังดังขึ้นพร้อมกัน  พวกเพื่อน ๆ เป่าปากพากันวี๊ดวิ๊ว

“คุณเอย์ตั้นทายาทเจ้าของบริษัทรถยุโรปนำเข้าสุดหรูชื่อดังทั้งยังเป็นทายาทเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อีกไม่รู้กี่สิบที่ ต่อให้มันผลาญเก่งขนาดไหน ใช้ให้ตายก็ไม่มีวันหมดหรอกสมบัติของย่ามันน่ะ”


ผั๊วะ!!


ผมจัดการเบิร์ดกระโหลกมันไปที โทษฐานพูดมาก ถึงจะเป็นความจริงผมก็ไม่อยากโดนล้อนี่  แต่ก็นะพวกเราก็ขำกันไปทั้งรถนั่นแหละ


ผมเอย์ตั้นวิศวฯโยธา ปีสี่ มหาลัยเหรอครับ? มอรัฐฯแถวสยามนั่นแหละ ช่วงนี้ออกพื้นที่บ่อยมาก มีสอบนอกพื้นที่อยู่ตลอดเพราะเราต้องลงไปดูสถานที่จริง ทั้งการออกแบบตึกสูง ถนน รวมถึงสะพานและเขื่อน โครงสร้างจริงที่ไม่ใช่เฉพาะทฤษฎีเหมือนที่เรียนกันเมื่อปีก่อน ๆ อีกแล้ว วันนี้ก็ถือว่าจบไปอีกหนึ่งควิส ผมและพรรคพวกเลยออกมาหาอะไรดี ๆ กินหลังสอบเสร็จ


“ไอ้เอย์ เดี๋ยวกูพามึงไปดูอะไรดี ๆ เผื่อว่าไอ้นิสัยคุณช้ายคุณชายป๋าจ๋าของมึงจะลดๆดีกรีลงได้บ้าง”

“อะไร” ผมถาม ไอ้ฟิวส์หันไปกำลังหันไปซุบซิบอะไรสักอย่างกับไอ้พวกข้างหลัง เห็นหัวเราะกันใหญ่

“ขับไปตามที่กูบอก”

“เหี้ยเหอะ กูต้องเชื่อมึง?”

“เออน่า วันเดียว”


ความจริงผมไม่ได้ถนัดเรื่องหาของแปลกๆกินหรอกนะ แต่วันนี้พิเศษนิดหน่อยเลยได้รับหน้าที่เป็นสารถีให้พวกมันหนึ่งวัน  จริง ๆ แล้วกลุ่มพวกผมมีรถกันทุกคนนะ แต่วันนี้เราสอบนอกพื้นที่ใช่ไหมเพราะงั้นมันเลยลงเสียงกันว่าให้เอารถผมมา เพราะถนนมันค่อนข้างทุรกันดารเผื่อรถพังขึ้นมา ผมที่บ้านทำธุรกิจนำเข้ารถอยู่แล้วถอยใหม่ได้เรื่อย ๆ ไม่มีปัญหา

เจริญเนาะ เพื่อนใครกันวะ ตรรกะไหนของมัน


“ที่นี่เหรอวะ” ผมก้าวลงจากรถแล้วถามอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา ร้านส้มตำอาหารอีสานเล็ก ๆ คือถือว่าเล็กมากเมื่อเทียบกับร้านอาหารตามโรงแรมที่ผมชอบไปนั่งบ่อย ๆ  มีโต๊ะนั่งแปลก ๆ ที่ปูผ้ายางราคาถูกอยู่ห้าหกโต๊ะ กับหลังคาร้านที่มีสังกะสียื่นออกมาเพื่อกันฝน คือมันจะรันทดไปไหน ผมเห็นนี่ยังตกใจเลยนะถ้าฝนตกขึ้นมานี่มันจะรั่วไหมอ่ะ

“น้อง ๆ ออเดอร์หน่อย” เสียงไอ้ฟิวส์เรียกเด็กนักเรียนในชุดเทคนิคเทคโนอะไรสักอย่าง ให้เข้ามารับออเดอร์ ปลุกผมที่กำลังมองสำรวจสภาพร้านอย่างอึ้ง ๆ  เราหกคนต่อโต๊ะแล้วนั่งลง

“ได้เลยครับพี่”

“ตำลาวปูปลาร้า จัดเต็มเผ็ดสลบ.........

เสียงไอ้ฟิวส์สั่ง ๆๆ อาหารที่มันชอบ  ผมเริ่มคิ้วกระตุกเพราะอาหารที่มันกำลังออเดอร์กับน้องเขาอยู่ผมกินไม่ได้เลยสักอย่าง ขณะที่เจ้าเด็กรับออเดอร์นั่นกำลังจะเดินออกไป ผมเลยเรียกมันไว้

“มีข้าวผัดกุ้งหรือเปล่า” ผมถามมัน

ผมรู้หรอก ดูมันมองหน้าผมสิ แค่ผมถามถึงข้าวผัดกุ้งในร้านที่ขายส้มตำอีสาน ถ้ามันไม่มีก็แค่บอกกันดี ๆ สิวะ ชักสีหน้าใส่ผมทำไมแถมทำหน้าตาประหลาดๆ  มันนิ่งไปสักพักก่อนพูดว่า เดี๋ยวมันสั่งผัดไทยจากร้านข้าง ๆ มาให้แต่ขอคิดค่าข้ามร้านนิดหน่อย

ผมเริ่มใจชื้นขึ้นหน่อยดีใจที่อย่างน้อยก็น่าจะมีสิ่งที่ผมกินได้แม้จะไม่ค่อยชอบ หรือเป็นอาหารถูก ๆ แต่ผัดไทยก็โอเคนะสำหรับผม  ทว่าพอน้องมันบอกราคาว่าจานละสี่ร้อยหกสิบเท่านั้นแหละ อารมณ์ผมนี่ดิ่งวูบลงเหวเลยนะครับ หนอยยย หน้าตาก็น่ารักดีอยู่หรอก อุตส่าห์นึกชมอยู่ในใจเห็นวิ่งเสิร์ฟอาหารช่วยแม่ เด็กดี ๆ ขยันขันแข็งแบบนี้หายากส่วนใหญ่จะอายไม่ค่อยกล้ามาอยู่ช่วยงาน  แต่ตอนนี้ความรู้สึกที่ผมมองมันเหรอครับ หึหึ

ในเมื่ออยากได้มากใช่ไหม สี่ร้อยกว่าบาท ผมจัดให้เลย!

“เอาดิ แค่สี่ร้อยกว่าบาท เศษตังค์! ผมเน้นให้มันได้ยินชัด ๆ กันไปเลย

คุณเชื่อไหมตอนเจ้าเด็กมหาโหดนั่นเข้ามาเก็บเงินผมนั่งเฉยเลยนะ ปกติไปไหนผมจ่ายตลอด ผมนิ่งจนไอ้ฟิวส์ควักจ่ายเองนั่นแหละ แล้วคุณอย่าคิดว่าจะได้ทิปจากมันนะ ไอ้ฟิวส์รวยก็จริงครับแต่ไม่เคยจ่ายทิปให้ใครหน้าไหนทั้งสิ้น

“พันสองร้อยยี่สิบบาทครับพี่ ผมลดให้ยี่สิบบาทละกันถือว่าขอโทษที่ทำเสื้อเพื่อนพี่เปื้อน”

หึหึหึ มันว่ามันลดให้พวกผม?? แล้วกำไรค่าผัดไทยกุ้งตัวกระจิ๋วโคตรธรรมดาที่มันบวกเพิ่มไว้แล้วไม่รู้กี่ร้อยเปอร์เซนต์นั่นล่ะวะ  ถ้าผมจ่ายเองนะผมให้ใบพันสองใบแน่นอนอยู่แล้วเงินทอนผมไม่เอาเพราะกะว่าจะทิปหลังจากที่ไอ้ฟิวส์มันเฉลยว่าพาผมมาที่ร้านนี้ทำไม

“ไอ้เอย์ มึงดูไว้นะคนที่เขาลำบาก คนที่เขาเด็กกว่ามึงวิ่งทำงานสายตัวแทบขาดหาเงินช่วยแม่ มึงว่าไอ้เด็กนี่มันน่ารักไหมวะ กูโคตรจะนับถือมันอ่ะ วัยนี้มันต้องเที่ยวดื่มกินใช่ไหม แต่กูมาร้านนี้กับพี่สาวกูทีไรแม่งอยู่เสิร์ฟอาหารช่วยแม่ตลอด”

แล้วเป็นไงล่ะ เจ้าเด็กบ้าแทนที่มันจะได้ทิปหนัก ๆ ตั้งแปดร้อยเลย สมน้ำหน้าอยากได้เงินสี่ร้อยดีนัก เพราะงั้นแปดร้อยอดไปก่อนนะไอ้น้อง หึหึ







ติ๊ดดดดดดดด ติ๊ดดดดดดดดดดดดดดด

“เอย์ มีคนกดเรียกแหน่ะ”

“หือ? ใช่เหรอ หยีหูดีจังครับ เอย์ไม่เห็นได้ยินเลย”

ผมพูดงัวเงีย นอนกอดยาหยีสาวน้อยหน้ารัก เด็กบัญชีมหาลัยเดียวกันนั่นแหละครับ พูดง่าย ๆ หยีก็หนึ่งในกิ๊กผมคนหนึ่งเหมือนกัน เจอกันไม่บ่อยหยีเองก็มีแฟนแล้ว ช่วยไม่ได้เมื่อคืนผู้หญิงเขาว้อนท์ผมเลยจัดเต็มให้อย่างไม่มีปัญหา ลากยาวกันมาจนถึงเย็นของอีกวัน

ติ๊ดดดดดดดด ติ๊ดดดดดดดดดดดดดดด

“จิ๊!  งั้นหยีลุกไปอาบน้ำนะครับ เดี๋ยวเอย์ออกไปจัดการเอง” ผมจิ๊ปากอย่างหัวเสียก่อนลุกจากเตียงคว้าเอาผ้าเช็ดตัวที่ตกเรี่ยราดอยู่ที่พื้นขึ้นมาพันเอวไว้ เดินออกไปกดถามว่าใครกันที่มากดเรียก พออีกฝ่ายบอกมาว่าเป็นคนทำความสะอาดที่ผมเคยไปติดต่อคุณป้าที่เป็นแม่บ้านประจำของที่นี่ไว้ ผมเลยบอกให้เขารอสักครู่ จำได้ลาง ๆ ว่าเมื่อเช้าเจอป้าแกเอาข้าวขึ้นมาส่ง แกบอกผมไว้แล้วว่าวันนี้จะมีคนมาให้ผมพิจารณา

“อ้อ รอสักครู่”

ผมใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวหลังจากหยีอาบเสร็จไม่นาน คือรีบที่สุดแล้วนะปกติผมจะนานกว่านี้นิดหน่อย เห็นใจเหมือนกันเพราะผมปล่อยให้ใครสักคนที่มาติดต่อธุระกับผมต้องคอย  แต่ทำไงได้ล่ะครับ คือผมเองก็แต่งตัวไม่เรียบร้อยเหมือนกัน จะให้เข้ามาในสภาพที่พวกผมสองคนเป็นแบบนี้ก็คงไม่ได้

“เดี๋ยวหยีออกไปเปิดให้เขาเข้ามาละกันนะเอย์” ผมติดตะขอสร้อยเส้นเล็ก ๆ ที่ทำของเธอหลุดไปเมื่อคืนให้ที่ลำคอขาวเรียว  เธอหันมาจูบที่แก้มผมหนึ่งทีก่อนเดินออกไปจากห้อง  ผมเองกำลังจะเดินตามออกมา

“เข้ามาสิคะ” เสียงหยีดังขึ้น ผมที่เดินตามกันไปติด ๆ ถึงกับชะงักเมื่อได้เห็นว่าใครที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องตัวเอง

“ยืนงงอยู่ทำไม รีบเข้ามาเร็วเข้า” เรียกเข้ามาก่อนละกัน  แล้วค่อยว่ากันอีกที  เดี๋ยวขอดูหน้ามันดี ๆ อีกครั้งซิ ทำไมมันคุ้นหน้าจังวะ คล้ายไอ้เด็กมหาโหดร้านตำไทยตำลาววันที่ไอ้ฟิวส์มันพาไปกินเลย

พอมันเดินเข้ามาเท่านั้นแหละ  หึหึ 

มันใช่! มันนั่นแหละ ไอ้เด็กคนนั้น!

ผมบอกให้มันนั่งรอเพราะจะเดินลงไปส่งหยีด้านล่าง  พอผมขึ้นมาเห็นมันนั่งหัวยุ่งทำหน้าทำตากวนประสาทคล้ายคนเสียเส้น ผมเลยจัดการสั่งๆๆแล้วก็สั่ง  ยื่นการ์ดสำรองของห้องนี้ให้มัน ไม่ใช่ว่าไว้ใจอะไรหรอกครับผมเชื่อในตัวของป้าพนักงานคนนั้นมากกว่าเคยจ้างแกมาทำพิเศษอยู่หลายครั้งเหมือนกัน แต่พักหลัง ๆ พอติดต่อไปแกชอบให้ผู้หญิงสาว ๆ มาทำแทน แล้วคนพวกนั้นชอบมาให้ท่าให้ทางคือผมก็พอจะดูออกอ่ะนะ ไม่ชอบผู้หญิงแบบนั้นเท่าไหร่ ผู้หญิงที่เหมือนให้ท่าและจ้องจะจับผมอยู่ตลอด

คืนนั้นผมมีงานการกุศลที่ต้องไปกับคุณย่า ผมออกมาตั้งแต่ตอนนั้นปล่อยห้องของตัวเองไว้กับไอ้เด็กประหลาด โดยไม่ลืมที่จะวางเงินค่าจ้างไว้ให้ห้าใบ

นั่นผมตั้งใจนะ ไม่ใช่ว่าตั้งใจจะให้หมดทั้งห้าใบที่วางไว้หรอก แต่ตั้งใจจะดูว่าคนแบบเจ้าเด็กนั่นมันจะหยิบเอาไปกี่ใบกัน

ผมกลับมาถึงห้องราว ๆ ห้าหกทุ่ม คุณเชื่อไหมห้องผมสะอาดและเรียบร้อยมาก ตอนแรกคิดไว้ว่าหากใช้ให้เด็กผู้ชายมาทำความสะอาดดูแลให้ ผมคงต้องทำใจว่ามันคงจะไม่ค่อยสะอาดหรือเป็นระเบียบมากมายอะไรแต่คงจะดีกว่าถ้าต้องปวดหัวกับเรื่องผู้หญิงที่จะตามจิกตามผมอ่อยผมอยู่ตลอด

“หยิบไปแค่ใบเดียวเหรอเนี่ย ฮึ เป็นเด็กดีเหมือนกันนี่หว่า” ผมพูดพึมพำกับตัวเองทันทีที่เข้ามาถึงห้องอาบน้ำแต่งตัวแล้วนั่งลงที่โต๊ะเพื่อเคลียร์รายงานต่าง ๆ  ไม่มีอะไรที่ถูกรื้อ ข้าวของทุกอย่างของผมยังอยู่ในสภาพเดิม มีแต่ความสะอาดสะอ้านเท่านั้นที่เพิ่มขึ้นมา








“อืมม ~ ~ ~

ผมนอนหลับตาอมยิ้มซุกหน้าลงที่หมอนสีขาวนุ่มนิ่มใบโปรด ไม่รู้เมื่อกี้ฝันอะไรเหมือนกัน  เหมือนได้ยินเสียงใครสักคนร้องเพลง อากาศเย็น ๆ จากแอร์ทำเอาผมไม่อยากตื่นเลยจริง ๆ นะ

ป๊อกๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

หืม?

ป๊อกๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

หืม? เสียงอะไรวะ

ป๊อกๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

เฮ้ย! คราวนี้ผมลุกเลย ลองเงี่ยหูฟังเสียงที่ดังลอดออกมาจากด้านนอกดี ๆ อีกครั้ง พอมั่นใจว่าเสียงแปลกประหลาดนี้น่าจะมาจากใครสักคนที่อยู่ด้านนอกแน่นอน

“เสียงอะไรวะแม่ง!!!

แค่นั้นแหละครับที่ผมสบถและหัวเสียอยู่ได้ เพราะทันทีที่ผมเห็นบุคคลที่ยืนอยู่หลังเคาเตอร์อาหารในครัว ทุกสิ่งทุกอย่างของผมเหมือนหยุดลงชั่วขณะ คุณรู้ไหมผมเพิ่งค้นพบว่าผมจ้างคนเสียเส้นมาทำงานบ้านให้  มันคืออะไรกันวะกับไอ้ชุดหลุดโลกแบบนั้น คือเห็นผมเป็นแบบนี้แต่ผมก็พอจะรู้นะว่าไอ้ชุดกันเปื้อนมันต้องคู่กับหมวกผ้าคลุมผมใช่ไหม แต่นี่มันเพี้ยนถึงขนาดเอาหมวดพลาสติกใส่อาบน้ำมาจัดเข้าชุดกันกับผ้ากันเปื้อน มันช่างคิดได้ โอ๊ยยยย พิโถ่พิถังกะละมังแตกหม้อไหทองคำ  ไอ้ปิงมันบ้า มันบ๊อง มันเสียเส้น

“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆกร๊ากกกก โอ๊ยยยยยย กูขำ  ไอ้ปึงมึงแต่งตัวอะไรของมึงเนี่ยบ้ารึเปล่า โอ๊ยยยยยย กูตลก โอ๊ยยช่วยกูด้วย อย่างฮา มึงๆ โอ๊ยยยยย กูขำมาก”

ผมหัวเราะจนตัวงอเลยนั่นแหละตาย ๆ เกิดจากท้องพ่อท้องแม่ยังไม่เคยเห็นใครบ้าแล้วก็บ๊องได้เท่าไอ้เด็กนี่เลย ผมขำจนแทบจะร่วงกองลงที่พื้นถ้าไม่ติดว่า กำลังเอะใจว่ามันกำลังทำอะไรบางอย่างอยู่ ผมเลยเดินเข้าไปชะเง้อดูใกล้ ๆ  

“นี่มึงกำลังทำอะไรเนี่ย”

“ผมกำลังทำอาหารให้พี่ทานไง ตอบแทนน่ะตอบแทน แล้วก็ไถ่โทษเรื่องที่ผมแกล้งพี่ตอนนั้นด้วย”

พอผมถามว่ามันกำลังทำอะไรก็ไม่ยอมบอก บอกมาแต่ว่ารับรองอร่อยเด็ดสุดอะไรของมัน ผมเลยเดินเลี่ยงว่าจะเข้าไปอาบน้ำ พอนึกขึ้นได้เรื่องเงินค่าจ้างเลยถามดูว่าทำไมถึงหยิบไปแค่นั้น ปรากฏว่าคำตอบที่หมาปิงมันตอบมานี่ทำเอาผมแทบสำลัก

“เปล่า แต่ผมคิดค่าจ้างแค่ใบเดียวนั่นแหละ นี่ผมยังเจียดเอามาทำอาหารให้พี่ทานได้ด้วยนะ เห็นไหมว่าผมเป็นเด็กดีช่วยนายจ้างประหยัดเงินมากขนาดไหน พี่น่ะก็ประหยัด ๆ ไว้บ้างเถอะยังเรียนอยู่เลยไม่ใช่เหรอทำไมใช้เงินเกินตัวนักล่ะ”


คือผมก็รู้ล่ะนะว่าตัวเองเป็นยังไงแบบไหน แต่มันคืออะไรเหรอวะที่เด็กน้อยอย่างมันมีหน้ามาสอนผมเรื่องการใช้เงินใช้ทองเนี่ย บ้านผมรวยทำไมอ่ะ ผมใช้เท่าที่ผมอยากใช้แหละ ของใช้เสื้อผ้าอะไร ๆ ผมก็มีครบ หันมองไปทางไหนทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวก็เตรียมพร้อมไว้ให้หมด แต่บางครั้งนะผมรู้สึกเหมือนกันว่าผมขาดอะไรบางอย่างไป แต่ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไรที่ผมมีไม่พอ สิ่งที่ผมรู้สึกได้ว่ามันยังไม่เติมเต็ม สิ่งที่ผมรู้สึกอยู่เสมอว่ามันขาดหายไป


ผมนั่งมองอาหารสองอย่างที่เจ้าเด็กบ๊องมันตั้งใจทำให้ผม มีข้าวเปล่าร้อน ๆ เพิ่งคดออกจากหม้ออีกหนึ่งจาน ข้าวน่ะหอมมากเลย แต่ไอ้กับสองอย่างนี่ผมสาบานผมไม่เคยกินเลยจริง ๆ มันคืออะไรเหรอครับ เจ้าปิงมันบอกว่าลาบกับเอ็นไก่ชุปแป้งทอด

ผมเงยหน้ามองใบหน้าที่กำลังจดจ้องผมราวกับกำลังลุ้นว่าผมจะตักอาหารจานไหนของมันก่อน รู้สึกผิดหน่อย ๆ เหมือนกันนะ เพราะผมคิดว่าตัวเองไม่สามารถกินลงไปได้เลยสักจาน

จะทำยังไงดี จะทำยังไงดี ผมเฝ้านึกอยู่ในใจ  เจ้าเด็กนี่อาจจะต้องเสียใจแน่ ๆ ความจริงปิงมันก็ทำให้ผมหัวเราะได้ มีความสุขได้ในเวลาที่ผมเครียด บางครั้งผมยังแอบสงสัยตัวเองเหมือนกัน แค่นึกถึงหน้าตากับท่าทางของมันผมถึงอมยิ้มได้ขนาดนั้นเลย

“วันนี้มึงต้องรีบกลับรึเปล่า”

“ก็ไม่ได้ไปไหนนะครับ นอกจากไปช่วยแม่ที่ร้าน”

“ไปซื้อของกับกูหน่อย เดี๋ยวจ่ายค่าล่วงเวลาเพิ่ม”

“ได้เลยครับผม” มันตอบรับด้วยใบหน้าทะเล้น ๆ ที่แสนจะเบิกบาน แน่นอนสิผมใช้เรื่องค่าแรงมาล่อมันนี่ จริง ๆ ปิงเป็นเด็กดีนะครับ เขาแค่ต้องการเงินค่าแรงของเขาไม่เคยคิดอยากได้อะไรที่ไม่ใช่ของ ๆ ตัวเองเลยนะ ในห้องนอนผมจะมีพวกแบงค์ปลีกย่อยต่าง ๆ ที่ผมมักไม่ชอบใช้ ยกตัวอย่างเช่นเวลาไปซื้อของที่เซเว่นหรือร้านสะดวกซื้ออื่น ๆ  จะมีเงินทอนใบร้อยใบยี่สิบห้าสิบหรือใบห้าร้อยรวมถึงเศษตังค์เหรียญ ซึ่งเงินพวกนี้ผมมักจะวางไว้บนโต๊ะไม่ก็ในลิ้นชักที่ไม่ได้ล็อค 

ปิงทำความสะอาดให้ผมก็จริงแต่ไม่เคยหยิบอะไร ๆ ที่ไม่ใช่ของตัวเองออกไปเลยแม้แต่ครั้งเดียว จริง ๆ ถ้าหยิบนี่ผมไม่รู้เลยนะ คิดไปคิดมาโชคดีมากที่ได้ปิงมาทำงานด้วย วันนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองใจร้ายมากไปหน่อยเดี๋ยวจะพาเจ้าติงต๊องนี่ออกไปเลี้ยงข้าวสักมื้อละกัน และที่สำคัญเพื่อไม่ให้เป็นการหักหาญน้ำใจ  ต่อไปถ้ามันอยากจะทำอาหารให้ผมทานอีก จะได้ไม่ต้องมานั่งรู้สึกผิดกันทั้งคู่ มันเองก็คงรู้สึกผิดที่ทำในสิ่งที่ผมกินไม่ได้ ส่วนผมเองก็รู้สึกผิดที่ไม่สามารถกินในสิ่งที่มันอุตส่าห์ตั้งใจทำ เพราะอย่างนั้นผมตั้งใจจะซื้อตำราอาหารดี ๆ สักเล่มสองเล่ม เอาไว้ให้มันทำให้ผมกิน

ตอนที่เราอยู่กันในลิฟต์มีคำพูดนึงที่ผมฟังสะดุดกึก ถึงกับต้องหันมองมันดี ๆ

“ผมใส่ชุดนี้ไปกับพี่ได้เหรอ”

ปิงไม่ได้ใส่เสื้อผ้าหรูหราราคาสูง วันนี้มันใส่แค่เสื้อยืดคอกลมกับกางเกงกีฬาห้าส่วนจั๊มขาตัวเก่งแบบที่มาห้องผมทีไรผมเห็นมันใส่แต่แบบนี้ คือดูรู้ว่าเป็นเสื้อผ้าที่มีขายกันทั่วไปตามตลาดไม่ได้มียี่ห้อหรูหราเลย แต่ปิงเป็นคนสะอาด แน่นนอนว่าผ่านเกณฑ์ที่ผมตั้งไว้ไม่อย่างนั้นผมจะไว้ใจให้มันทำอาหารให้กินได้ไงกันล่ะ

“เอาไป”

“อะไรอ่ะ”

ผมยัดตำราอาหารที่เลือกหยิบมาจากชั้นส่งให้มันหน้าตามันเหรอหราแปลก ๆ คงคิดว่าอ่านยากล่ะมั้งนะ ก็แน่นอนสิอาหารดี ๆ ก็ต้องอยู่ในตำราดี ๆ มีระดับ ผมซื้อคู่มืออาหารที่เป็นภาษาฝรั่งเล่มนึงกับตำราอาหารแบบไทย ๆ อีกเล่มนึง จริง ๆ จะหยิบแบบภาษาไทยทั้งหมดผมก็ไม่มีปัญหาหรอกแต่เห็นหน้าตาเอ๋อ ๆ ของมันแล้วก็อยากแกล้งขึ้นมา ซึ่งมันก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ ยิ่งเอ๋อหนักกว่าเก่าตอนที่รู้ว่าไอ้ภาษาในตำรามันเป็นภาษาอังกฤษล้วน ๆ เลย(นี่ผมใจดีเลือกที่มีแบบรูปภาพส่วนผสมไว้ชัดเจนเลยนะ)

“เดี๋ยวแวะซื้อข้าว......

พอออกจากร้านหนังสือ กำลังจะบอกว่าเดี๋ยวเราแวะซื้อข้าวและของสดไปใส่ตู้ไว้กะจะให้เจ้าปิงทำอาหารให้กินเพื่อให้มันแก้มือใหม่ แต่ดันมีโทรศัพท์เข้าเสียก่อนผมเลยต้องกดรับ เป็นสายของแพรที่โทรเข้ามา

แพรก็คือหนึ่งในบรรดกิ๊กที่นาน ๆ ทีผมจะเรียกหาเธอ แต่ในเมื่อวันนี้เธอว้อนท์ประกอบกับไหน ๆ ก็พาปิงออกมาแล้วให้มันอยู่ช่วยแพรถือของเลยก็ดีเหมือนกัน

ผมกับปิงไปรับแพรที่คอนโดของเธอ แปปเดียวครับไม่นานเราทั้งสามคนก็กลับมาเดินอยู่ในห้างที่เดิมที่ผมเพิ่งจะขับรถออกมาเมื่อสักครู่

ผมรู้สึกหิวนะและคิดว่าปิงมันก็คงจะหิวด้วยเมื่อเช้ามันมาที่ห้องผมแต่เช้าและเราก็ยังไม่ได้ทานอะไรกันเลย กับข้าวที่มันทำให้ผมกินไม่ได้ และตัวมันเองก็ยังไม่ได้กิน เพราะฉะนั้นผมจึงมุ่งไปยังร้านอาหารที่ผมชอบ

“เอย์    เอย์ให้เด็กเขารอเราอยู่ด้านนอกสิคะ  แพรอยากนั่งกับเอย์แค่สองคนนะ  บอกน้องเขาไปหาอะไรกินที่ศูนย์อาหารโน่นไป๊”

นั่นคือครั้งที่หนึ่งที่แพรพูดในลักษณะนี้กับผม ผมสะกิจใจนะเพราะหน้าตาและท่าทางเธอเวลามองมาที่ปิงมันไม่ใช่ คือคล้ายกับว่าเธออายเหรอที่เจ้าปิงมันจะเข้าไปกับเราด้วยอะไรแบบนั้น แต่ในที่สุดเราสามคนก็เข้าไปนั่งข้างในด้วยกันเพราะการตัดสินใจของผม  ปิงมากับผมเพราะงั้นผมจะไม่ทิ้งนะเราจะต้องกลับด้วยกันและไปด้วยกัน นิสัยผมเป็นแบบนั้นไม่ว่ากับใคร

“ตาย ๆๆ เสื้อผ้าฉันเปื้อนหมดแล้ว เอาของดี ๆ ราคาแพง ๆ ไปวางกองไว้บนพื้นได้ยังไง นายรู้ไหมกระเป๋าฉันเสื้อผ้าฉันราคาเท่าไหร่ เอย์ดูสิคะเด็กคนนี้ใช้ไม่ได้เลย เอย์กลับไปไล่มันออกเลยนะ แพรไม่ชอบหน้าเลย บอกตรง ๆ”

อีกครั้งที่ผมสะกิดใจ คือมันจะอะไรนักหนาเหรอครับแพรทำไมถึงต้องดีดดิ้นโวยวายขนาดนั้นและที่สำคัญ พื้น ที่เจ้าปิงมันวางถุงกระดาษต่าง ๆ ลงสะอาดดีมากไม่สกปรกเลยสักนิด

เราเดินกันต่อก่อนที่จะมาถึงชั้นล่าง แพรอยากได้อะไรอยากกินอะไรผมจัดให้เต็มที่เลยครับนิสัยเสีย ๆ เธอออกมาให้เห็นขนาดนี้แล้วผู้หญิง เยอะ แบบนี้ผมไม่ปลื้มนะ วันนี้อาจจะเป็นวันสุดท้ายของเธอที่จะได้มาเดินอยู่กับผมแบบนี้แล้วล่ะ

ที่ลานชั้นล่างเขาจัดงานโชว์ตัวอะไรสักอย่าง คงมีดารานักร้องมาร่วมงานเพราะคนเยอะมาก แล้วเจ้าปิงมันก็เป็นหนึ่งในติ่งพวกนั้น

“มึงกำลังดูบ้าอะไรอยู่ นี่กูต้องเดินกลับมาเรียกทั้งที่เดินจะถึงลิฟต์อยู่แล้ว มึงสติดีอยู่รึเปล่า เดี๋ยวกูหักเงินซะเลยนี่”

“เย้ย! ไปแล้วครับ ไปๆไปเดี๋ยวนี้เลยครับ ไม่เอา ๆ อย่าทำหน้าแบบนั้นดิ ” 

มันรีบซุกหลังผมแล้วดัน ๆ ออกมา ปิงไม่ใช่คนตัวเตี้ยนะ ถึงมันจะตัวเล็กกว่าผมแต่ก็แค่หน่อยเดียวเท่านั้น เพราะงั้นผมที่มองดูสองไม้สองมือของมันที่เต็มไปด้วยถุงช็อปปิ้งของแพรจึงวางใจในระดับหนึ่งว่ามันคงจะอดทนได้ ไม่บ่นออกมาเพิ่มความรำคาญให้ผมอีก

ขณะที่เราสองคนกำลังเดินมุ่งหน้าไปที่รถโดยที่ผมทิ้งกุญแจไว้ให้แพรไปนั่งรออยู่ก่อนแล้ว โทรศัพท์ผมก็ดังขึ้น

ซีซ่าร์พี่ชายของผมเอง มันมาทำงานอยู่แถวนี้เห็นว่ามีเรื่องสำคัญอยากให้ผมแวะเข้าไปหา ผมรู้เลยมันมาไอ้งานโชว์ตัวที่คนเยอะ ๆ นี่แน่ ๆ ที่สำคัญกว่าอะไรทั้งหมด ผมไม่อยากย้อนกลับเข้าไปเลยผมไม่ชอบคนเยอะไม่ชอบความวุ่นวาย แต่ก็จำเป็นต้องเข้าไป

“พี่จะเข้าไปไหนอ่ะ นี่มันหลังเวทีนะ พี่จะเข้าไปทำไม”  เสียงไอ้ปิงร้องทักไว้เมื่อเห็นผมกำลังเดินมุ่งจะเข้าไปโซนหลังเวทีของที่จัดงาน จริงสิมันคงยังไม่รู้ว่าผมเป็นน้องชายของซีซ่าร์ดารานายแบบและไอดอลคนดังของยุค

ผมคุยธุระกับซ่าร์พักเดียวก็ขอแยกออกมา มองดูหน้าคนที่มาด้วยกันนิดหน่อยเพราะดูเหมือนมันเอ๋อไปตั้งแต่รู้ว่าผมกำลังคุยอยู่กับซีซ่าร์ไอดอลที่มันปลาบปลื้ม  ผมนึกสนุกเลยลองถามมันดูว่าผมกับไอ้ซ่าร์ใครจะหล่อกว่ากันซึ่งดูมันตอบกลับมานะ เข้าเป้าที่ผมตั้งไว้เป๊ะเลย

 “คนเป็นถึงดารานายแบบก็ต้องหล่อดิ  กับคนที่ไม่มีใครเขาจ้างไปเดินแบบถ่ายหนังนี่ก็ควรจะรู้ตัวแล้วนะครับ”

ผมหัวเราะหึหึ ก่อนจะตอกกลับไปสักดอกเอาให้มันหน้าแตกไปเลย

“มึงรู้อะไรไหม คนที่ถูกทาบทามจากพี่บี้ผู้จัดการส่วนตัวของไอ้ซ่าร์เป็นคนแรกน่ะ มันกู! พอกูไม่เล่นด้วยเขาเลยไปขอร้องไอ้ซ่าร์ เป็นไง แบบนี้แสดงว่ากูก็ต้องหล่อกว่าเพราะกูโดนพี่เขาทาบทามก่อน”

ได้ผลครับมันเบะปากใหญ่เลย คงคิดว่าผมโม้ แต่นี่คือเรื่องจริงนะทำไมผมต้องโม้ล่ะ ผมรักความเป็นส่วนตัวรักอิสระผมไม่สามารถเสียสละความสุขความเป็นตัวเองให้กับใคร ๆ ได้เพราะฉะนั้นผมจึงไม่เลือกที่จะทำอาชีพคนของประชาชนแบบนั้น ซึ่งซีซ่าร์มันแตกต่าง มันคิดตรงข้ามกับผมทุกอย่าง ซ่าร์มันชอบงานในวงการมาก ชอบเข้าสังคม ยิ่งทำก็ยิ่งก้าวหน้าซึ่งผมเองก็ดีใจกับมันด้วยได้ทำงานที่ตัวเองรัก ขอให้มันมีความสุขก็พอแล้วจะเป็นงานอะไรขอให้สุจริตแค่นั้นพอ

“เอย์ใจร้าย เอย์ไม่รักแพรแล้ว”

ใช่ครับ  เอย์ใจร้าย

“เอย์อ่ะ เอย์ไม่รักแพรแล้ว”

“เอย์จำได้ว่า เอย์ไม่เคยพูดเลยนะว่าเอย์รักแพร” 

“เอย์!”

“ปิง  เอาของที่มึงถืออยู่ทั้งหมดนั่นให้คุณแพร  เอย์ไม่เดินขึ้นไปส่งนะระหว่างเราจบไว้แค่วันนี้ก็แล้วกัน แพรไม่ต้องโทรหาเอย์อีกแล้วนะครับ  ขอโทษด้วยจริง ๆ เอย์ว่าแพรควรลงไปได้แล้วล่ะครับ เอย์จะรีบกลับ”

นั่นล่ะครับผมเลิกไปแล้วอีกคน แต่ผมเฉย ๆ นะหลังจากเธอเดินสะบัดก้นออกไปแล้วพร้อมกับข้าวของที่ผมซื้อให้ผมก็เรียกเจ้าปิงให้มานั่งแทนที่ กะว่าจะแวะซื้ออะไรบางอย่างไปที่ห้องให้มันทำไว้ให้ผมกินก่อนค่อยปล่อยให้กลับไป

จริง ๆ ผมไม่ใช่ว่าจะหิวมากมายอะไรนะครับ แต่ผมมีความรู้สึกผิดมาตั้งแต่เช้าเลยเรื่องที่ไม่ยอมกินอาหารที่มันอุตส่าห์ทำให้ ผมเลยอยากให้มันได้แก้ตัวสักหน่อย  ปิงเลือกซื้อโน่นนี่หยิบใส่รถเอาเท่าที่จำเป็น เขาเป็นคนที่ไม่ฟุ่มเฟือยเลยนะทั้งที่ผมอนุญาตให้หยิบอะไรมากแค่ไหนก็ได้ แต่ปิงก็เลือกที่จะหยิบเฉพาะสิ่งที่ตัวเองจะต้องใช้ในครัว แต่สิ่งที่ทำให้ผมเริ่มประทับใจมาก ๆ ก็คือตอนที่ปิงมันไปเลือกซื้อกล้วยหอม ขณะที่ผมเดินไปเลือกขนมปังที่ผมชอบ พอเดินกลับมาผมเลยถามไปว่า จะซื้อกล้วยไปทำไม แล้วดูมันตอบ

“เผื่อพี่หิวตอนกลางคืนไง กินขนมปังกับกล้วยแล้วก็นม มันจะดีกว่านะ กล้วยหอมมีประโยชน์ ผมรู้ว่าพี่ต้องกินเป็นแน่”

ปิงไม่น่าจะรู้นี่ ว่ากล้วยหอมเป็นผลไม้เพียงอย่างเดียวที่ผมกินเป็น!








“อาหารพี่เสร็จแล้วนะผมวางไว้บนโต๊ะนะครับ”

พอกลับมาถึงห้องผมตรงเข้าไปอาบน้ำจัดการตัวเอง พอออกมาปิงก็ทำอาหารให้ผมเสร็จเรียบร้อยพอดี ผมดูท้องฟ้าผ่านทางกระจกผนังบานใหญ่ เป็นมุมที่ผมชอบมานั่งที่สุดในตอนกลางคืน ฝนทำท่าจะตกลงมาแล้ว

“แล้วมึงไม่กินด้วยกันรึไง”

“ไม่อ่ะพี่  ฝนเหมือนจะตกแล้วผมรีบกลับก่อนดีกว่า”

เห็นมันกำลังเดินไปหยิบกระเป๋าที่ห้องเล็กเลยเรียกให้มาเอาตังค์ ผมวางไว้ให้ห้าใบ แต่วันนี้คือกะให้ทั้งหมดจริง ๆ ไม่ได้ลองใจอะไรเหมือนวันแรกเลยนะครับ แต่ปิงก็เลือกที่จะหยิบไปใบเดียวเหมือนเดิม ผมเลยแกล้งทำหน้าดุแล้วบังคับให้มันหยิบเพิ่มไปอีก ซึ่งปิงก็เลือกที่จะหยิบเพิ่มอีกแค่ใบเดียว

ทำไมมันเป็นคนแบบนั้น? ผมนึกสงสัยอยู่เหมือนกัน ปิงเป็นเด็กดีมากจริง ๆ

“กลับยังไง รถเมล์ แท็กซี่” ผมถามขณะที่มองไปที่กระจกอีกครั้ง เห็นฟ้าแลบเป็นระยะแล้วแต่ฝนก็ยังไม่ตกลงมา

“มอไซด์ครับผม พี่ถามทำไมจะไปส่งผมเหรอ”

คุณเชื่อไหมถ้ามันไม่ทำหน้าทำตาทะเล้นกวนตีนแล้วบอกผมว่าพี่ไปส่งผมหน่อยสิฝนจะตกแน่ ๆ เลยนี่ ผมลุกเลยนะ แต่มันดันทำหน้าตากวนประสาทดีนักผมก็เลย

“กูเพิ่งรู้นะเนี่ย ว่าคนยืนอยู่เฉย ๆ ก็ฝันได้  ปิงมึงนี่มหัศจรรย์จริง ๆ ”


ในที่สุดปิงมันก็เดินออกไปจากห้อง ผมลุกขึ้นไปดูที่โต๊ะอาหาร ข้าวผัดกุ้งวางไว้ให้บนโต๊ะแล้วเรียบร้อย มีการทอดไข่ดาวสองฟองโป๊ะหน้ามาด้วย อย่าคิดว่ามันจะสวยหรูหราอะไรนะครับ หน้าตาข้าวผัดไม่น่ากินเลยสักนิด ข้าวผัดเป็นสีเข้ม ๆ ไม่ขาวเหมือนเลาจน์ของที่นี่ทำ ไข่ดาวไม่ต้องพูดถึงติดกระทะจนจะกลายเป็นไข่หยิกแล้วมากกว่าไข่แดงนี่แตกสะเปะสะปะไปหมด ผมยืนหัวเราะสมเพชอาหารของตัวเองสุด ๆ ทั้งที่ผมยกหูกริ๊งเดียว อาหารสวยงามพร้อมเสิร์ฟจากเลาจน์ของคอนโดก็จะมาวางจนถึงที่ แต่ผมก็เลือกที่จะนั่งลงไป แล้วกิน


อืม...มันก็อร่อยใช้ได้เลยนี่ ผมคิดว่าตัวเองคงจะหิวเพราะตอนนี้ก็สี่ทุ่มกว่าแล้ว มองดูอีก ที่ด้านนอกฝนตกลงมาแล้วครับ หนักมาก ๆ เลยด้วยฟ้าแล็บมาเป็นระยะแต่ห้องผมเก็บเสียงจะไม่ได้ยินเสียงจากภายนอกเลย ผมนึกถึงเจ้าปิงขึ้นมาทันที คิดว่าป่านนี้คงยังออกไปไม่ได้ ฝนเทลงมาหนักมากผมคิดว่าถ้าหากกลับไม่ได้จริง ๆ ปิงคงจะขึ้นมาหาผมขอพักค้างคืนที่นี่ไม่ก็ต้องบอกให้ผมไปส่งมัน


ผมนั่งรออยู่นานมากดูทีวีดูการ์ตูนรอไปเรื่อยสักพักจึงเดินเข้าไปหยิบหนังสือมานอนอ่านไหนๆก็ไหน ๆ แล้วแต่คุณก็รู้ใช่ไหมคนเราพอจับหนังสือเรียนปุ๊บทำไมมันหลับไปไม่รู้ตัวเลยวะ ผมเผลอหลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้  รู้สึกตัวอีกทีเกือบจะตีสองแล้ว ผมลุกขึ้นนั่งทันทีมองไปรอบ ๆ ห้องคือไม่เห็นเจ้าปิงนี่แสดงว่ามันไม่ได้ขึ้นมา  ผมเลยลุกขึ้นมองออกไปที่นอกน้าต่างฝั่งตรงข้ามกับกระจกฝั่งนี้คิดว่าน่าจะเป็นจุดที่สามารถมองเห็นทางเข้าของคอนโดได้แต่ผมก็มองไม่เห็น เพราะว่าจุดที่ผมอยู่นี่มันสูงมาก และที่สำคัญผมไม่รู้ตัวเองเดินมามองดูอะไรรู้แต่กำลังคิดว่าเจ้าปิงมันจะกลับไปถึงบ้านรึยัง ผมเดินไปหยิบมือถือขึ้นมากดดูเบอร์ที่เพิ่งจะได้มาก่อนมันออกจากห้องไป แต่ผมหยุดทุกอย่างไว้แค่นั้นเมื่อคิดได้ว่าช่างมันสิ มันก็เป็นผู้ชายนี่หว่าผมจะต้องไปห่วงมากมายทำไม ป่านนี้หาทางกลับไปถึงบ้านแล้วแน่ ๆ เผลอ ๆนอนหลับปุ๋ยไม่รู้เรื่องอยู่บนที่นอนนิ่ม ๆ สบายตัวไปแล้ว









~ ~      ก่อนจะนอนอยากเจอเธอเป็นคนสุดท้าย

คนแรกของเช้าถัดไป ฉันก็อยากเห็นเธอ   ~ ~

~ ~      เช้าก็มีแต่เธอ ค่ำก็มีแต่เธอคนเดียวเท่านั้น

อยากทำตัวติดเธอไม่ต้องห่างไปไหน
   

~ ~      ไม่ว่าจะทำอะไรก็อยากทำด้วยกัน

ทุกลมหายใจเข้าออก ทุกเวลาของฉัน ~

~ ~      โว้ โอ โอ อยากจะใช้กับเธอ……..


“เอ้าโช้นนนนนน” ทั้งเสียงผมทั้งเสียงพวกเพื่อน ๆ ทั้งเสียงเพลงดังคละเคล้ากันไปหมด ตอนนี้เรานั่งดื่มกันอยู่ที่เลาจน์ของโรงแรมหรูหรา ที่ ๆ ผมไอ้บีมไอ้ฟิวส์และอีกสองสามคนชอบมานั่งดื่มกัน

“ไอ้ไอย์มึงอย่า มึงแพ้อีกแล้วมึงต้องดื่ม ยกแล้วซดรวดเดียวเลยเพื่อนรัก”

“กูแม่งเมาว่ะ ไอ้พวกเหี้ยมึงแกล้งมอมเหล้ากูใช่ไหม ทำไมวันนี้กูแพ้ตลอดเลย” ผมว่าผมกำลังเมาเอามาก ๆ เล่นเกมส์เป่ายิ้งชุปปัญญาอ่อนกันในวงเหล้า ทำม้ายยยทำไมต้องเป็นผมที่แพ้ตลอดวะ

“โหลปิงมึงมารับกูซิ”

ผมกดโทรออกหาไอ้ปิงทันทีที่พวกเพื่อน ๆ กำลังตกลงกันว่าเราจะเล่นกันต่ออีกรอบ วันนี้ไม่ไหวแล้วจริง ๆครับ พรุ่งนี้ผมมีเรียนแต่เช้า ไอ้บีมกับไอ้ฟิวส์นั่นก็ด้วยแต่พวกมันเหรอจะสน

“แล้วพี่อยู่ไหนอ่ะ” เสียงในสายถามมาแบบนั้น แล้วผมจะตอบว่ายังไงคือตอนนี้ผมเบลอมากคือไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองต้องกดออกโทรหามัน ทั้งที่จะทิ้งรถไว้ที่นี่แล้วให้ไอ้ฟิวส์มันไปส่งผมที่ห้องก็ยังได้

ไม่รู้ผมพูดตอบอะไรออกไปตอนนี้จำไม่ได้ รู้แต่ว่าไอ้ฟิวส์มันแย่งมือถือผมไปแล้วพูดอะไรกับปลายสาย จากนั้นพวกมันทั้งกลุ่มก็หัวเราะลั่นแล้วแซวกันขึ้นมา

ผมนั่งดื่มรอมันนานมาก อยากกลับแล้วด้วยเหนียวตัวอยากจะอาบน้ำ ผมเป็นประเภทตัวแดงง่ายมากเวลาที่ดื่มเหล้า หน้าคอเนื้อตัวผมจะแดงไปหมด ครั้งนึงไอ้ซ่าร์มันเคยบอกผมว่าเวลาผมเมาตัวผมจะแดงเหมือนปูนึ่ง

“คุณเอย์ครับ เด็กมารับแล้วครับ” พนักงานเข้ามากระซิบลงที่ข้างหู ผมมองออกไปทันที เจอไอ้ตัวดีที่ปล่อยให้ผมนั่งรอเป็นชั่วโมง  มันยืนทำหน้าตาปัญญาอ่อนในแบบของมันอยู่ ผมเลยรีบลุกขึ้น เซมากไปหน่อยแต่มันก็ถลาเข้ามาประคองทัน ไอ้พวกเพื่อน ๆ แม่งก็แซวกันใหญ่พูดอะไรโน่นนี่มั่วกันไปหมด ผมได้ยินบ้างไม่ได้ยินบ้าง

“อย่าเพิ่งครับพี่อย่าเพิ่ง กลืนมันลงไปก่อน เดี๋ยวเข้าห้องเราแล้วพี่จะอ้วกผมไม่ว่าเลย”

มันเอามือขึ้นมาอุดปากผมไว้ขณะที่เราอยู่ในลิฟต์ผมเวียนหัวจนแทบจะบ้า ทำไมรู้สึกเค็ม ๆ ประแล่ม ๆ ผมปัดๆมือมันออกคิดไปถึงว่ามันอาจจะไปตำส้มตำมารึเปล่าทำไมมันถึงเค็ม คือผมเมาก็คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ความคิดสับสนไม่เป็นระเบียบ ผมรู้สึกตัวอีกทีคือผมร้อนและกำลังพยายามถอดเสื้อผ้าอยู่บนเตียง

“ปิงมึงดึงกางเกงออกให้กูทีซิ”

“พี่ยกขาดี ๆ ดิ”

แบบนี้ค่อยสบายตัวหน่อย ถอดๆๆแล้วก็ถอดออกไปให้หมด แต่ความรู้สึกตอนนี้คือเหนียวตัวมากผมอยากอาบน้ำแต่คิดว่าน่าจะลุกเดินไม่ไหว เพราะลุกทีไรเหมือนจะอ้วกทุกที เลยบอกปิงมันไปเรื่องเช็ดตัว มันก็ดีนะเอาผ้าชุบน้ำมาจัดการเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ผม ผมก็สบายสิครับหลับตานอนให้มันเช็ดมันลูบผ้าไปเรื่อย จนกระทั่ง ผมรู้สึกว่ามันจะเช็ดวนอยู่แถวหน้าท้องไม่ไปไหนต่อสักที เลยปรือตาขึ้นดู มันนั่งอมยิ้มบ้าบออะไรของมันอยู่

“แล้วเมื่อไหร่จะเปลี่ยนที่ มึงเช็ดหน้าท้องกูวนอยู่จนจะห้านาทีแล้ว จะเอาจนกูสร่างเมาเลยใช่ไหม”

พอผมทักไปแค่นั้นมันเปลี่ยนตำแหน่งเช็ดทันทีเลย แสดงว่าเมื่อกี้ทำผิดอะไรสักอย่างแหง ๆ ทำตัวเหมือนเด็กเป็นบ้าพอผู้ใหญ่จับได้แล้วรีบทำสีหน้าเอ๋อ ๆ กลบเกลื่อน ผมมองหน้ามันไปเรื่อย ๆ บ้าไปไหมครับผมดันคิดว่ามันหน้าตาน่ารักขึ้นมาซะงั้น ผมรีบหลับตาลงใหม่จ้องมันดี ๆ อีกครั้ง เออมันก็เหมือนเดิมนี่หว่า แสดงว่าเมื่อกี้เหล้าตีขึ้นสมองกระทันหัน  เลยเผลอคิดอะไรแปลก ๆ ขึ้นมา

เจ้าหน้าเอ๋อนั่งเช็ดตัวให้ผมไปเรื่อย ๆ ผมเลยลองถามดูว่าวันนั้นกลับยังไง เราคุยกันจนผมแทบจะสร่างเมา มันจับผมนั่งใส่เสื้อผ้า แค่นั้นแหละครับผมนี่แทบทรุดถ้าได้นั่งแล้วจะเวียนหัวมาก ผมหงายหลังตึงเลยคว้าเอาคอมันลงมาด้วย ตอนนี้ใบหน้าเราเลยชิดกันมาก

ดูซิ ทำไมหน้ามันตอนนี้ถึงตลกขนาดนี้นะ เพราะอยู่ใกล้กับผมงั้นเหรอ เพราะผมแกล้งมันงั้นเหรอ ผมจ้องหน้ามันดี ๆ อีกครั้งขณะที่มันก็หลบสายตาผมอีกเหมือนกัน หน้าเราอยู่ห่างกันนิดเดียว

น่ารัก  ไม่มีทาง! คำ ๆ นี้ผมจะไม่ใช้กับเด็กผู้ชายจอมกวนตีนอย่างมันหรอก อยากลีลาท่ามากดีนักผมหมั่นเขี้ยวเลยแกล้งกดคอมันลงมาอีกหน่อยจนจมูกเราเฉียดกัน คงเพราะผมทิ้งน้ำหนักมือมากเกินไปแต่ช่างเหอะตอนนี้ผมกำลังสนุกกับการได้แกล้งคน

“นี่พี่ปล่อยผมสักทีดิ่ จมูกเรามันจะชนกันอยู่แล้วนะ พี่ไม่อึดอัดหรือไง”

“ก็เห็นมึงชอบมองหน้ากู ก็ปล่อยให้มองจนพอใจไง มึงนี่ประหลาดเนาะ เห็นหน้ากูเป็นไอ้ซ่าร์เหรอถึงได้มองกูตาหวานฉ่ำแบบนั้น”

“โอ๊ยยยปล่อย พี่พูดไรเนี่ย เมาแล้วพูดจาไม่รู้เรื่องเลย ผมไปมองพี่ตาหวานตาเชื่อมอะไรตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วขอโทษเหอะถ้าผมจะมองพี่ซีซ่าร์น่ะนะ ผมมองที่โปสเตอร์ห้องผมยังจะดีกว่า ไม่มามองหน้าพี่ให้เสียอารมณ์หรอก”

“ปากดี เดี๋ยวจะโดนกัดปากเข้าสักวัน”

“โอ๊ยพี่ไม่เอา ไม่เล่นแล้ว เอาออกไป!”

หึหึ เอาล่ะแกล้งคนจนพอใจผมที่ไม่ไหวแล้วเลยต้องขอนอนก่อนจะดีกว่า ผมเห็นมันนั่งนวด ๆ คอที่โดนผมล็อคไว้แน่นแล้วสงสาร

“คืนนี้มึงนอนที่นี่แหละมันดึกแล้วกลับคนเดียวอันตราย อย่าหนีกลับเชียวนะตื่นมากูต้องเห็นมึง ไม่งั้น  กูหักเงินให้เหลือร้อยเดียวเลย

ผมพูดได้แค่นั้นนั่นแหละครับ แล้วผมก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลยยาวจนถึงเช้า ตื่นขึ้นมาในสภาพเสื้อนอนไม่ได้ติดกระดุมเลยสักเม็ดนี่ถ้าคุณย่าผมรู้ว่าผมนอนทั้ง ๆ แต่งตัวแบบนี้นะพวกแม่นมพี่เลี้ยงผมโดนด่าเปิงแน่นอน

ผมอาบน้ำแต่งตัวมั่นใจว่าสะอาดและเรียบร้อยดีเลยเดินออกมาที่ด้านนอก เห็นปิงนอนมือไม้สะเปะสะปะขาข้างหนึ่งก่ายไว้บนพนักโซฟาอ้าปากนิด ๆ นึกได้ทันทีว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น ผมมองดูนาฬิกาที่ข้อมือคือมันสายแน่แล้วเลยเขย่าตัวมันหวังจะปลุกให้ตื่น รู้สึกได้เลยนะว่าตัวมันอุ่น ๆ เรื่องที่มันตากฝนกลับบ้านวันนั้นแว๊บขึ้นมาในหัวผมทันที ผมชั่งใจอยู่สักพักก่อนเดินไปหยิบยาพาราออกมาวางไว้ให้พร้อมกับน้ำเปล่าหนึ่งแก้ว เดินเข้าไปเอาโพสอิทในห้องผ่านเสื้อนอกที่แขวนไว้อยู่แถว ๆ หน้าตู้เสื้อผ้าผมเลยคว้าติดมือออกมาด้วย 

ผมเขียนโน๊ตย่อแล้ววางไว้ให้มันข้าง ๆ แก้วน้ำและยา ว่าจะเดินออกไปแล้วหันมามองดูอีกที หน้าตาตอนหลับของไอ้เจ้าเด็กบ้านี่ทำไมมันถึงดูเหมือนพวกเด็กๆน่ารัก ๆ เลยวะ คือมันดูไร้เดียงสาเอามาก ๆ หน้าตาโคตรเบบี้อ่ะ ผมโมโหที่ตัวเองดันคิดว่ามัน น่ารักขึ้นมาอีกแล้วเลยโยนเสื้อนอกตัวนั้นใส่มัน คล้ายมันจะรู้สึกตัวมันรีบคว้าเอาเสื้อที่ผมโยนให้ห่ม ๆ ลงไปที่หน้าอกแล้วเปลี่ยนท่าทางการนอนทั้ง ๆ ที่ยังหลับตา ผมยืนมองมันนิ่งถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเดินเข้าไปดึงเสื้อนอกตัวนั้นชิดอกมันไว้ดี ๆ ก่อนดึงผ้าม่านให้ทับกันให้สนิท  กันไม่ให้แสงแดดส่องเข้ามาแยงตาตอนมันตื่นนอนแล้วผมก็ออกจากห้องไปมหาลัย








RRR

RRRRRRRR

“โหลครับแม่” ผมกดลิฟต์ขึ้นห้อง เพิ่งกลับมาจากมหาลัย วันนี้เหนื่อยมากออกพื้นที่ไปดูโครงสร้างอาคารแนวใหม่แถว ๆ เมืองนนท์โน่น

“น้องเอย์ลูก เย็นวันเสาร์เอย์อย่าลืมนะลูกนะ วันเกิดคุณย่าปีนี้คุณพ่อท่านจัดให้ใหญ่โต แม่อยากให้น้องเอย์มาก่อนเวลาสักหน่อยเพราะว่าช่วงดึกคุณย่าต้องรับรองแขกผู้ใหญ่”

“เอย์ต้องไปด้วยเหรอครับแม่ เดี๋ยวเอย์แวะไปอวยพรคุณย่าก่อนก็ได้นี่ งานสังคมแบบนี้เอย์ไม่ค่อยอยากจะไปเลยครับ”

“ไม่ได้ครับน้องเอย์ ถ้าน้องเอย์ไม่มาแม่กับคุณพ่อโดนคุณย่าต่อว่าไม่ดีแน่ ๆ เอย์ก็รู้อยู่แล้วว่าคุณย่าท่านรักเอย์มากขนาดไหน ท่านก็อยากจะอวดหลานกับพวกเพื่อน ๆ ท่านนะ”

“ให้ไอ้ซ่าร์มันไปแทนเอย์ได้ไหมครับแม่ เดี๋ยวเอย์โทรบอกคุณย่าว่าเอย์จะไปพรุ่งนี้อวยพรล่วงหน้า วันเสาร์เอย์จะไม่เข้าไปนะ”

“พูดอะไรน่าตีนะเรา ก็รู้อยู่ว่าคุณย่ายังเคืองเรื่องที่เจ้าซ่าร์มันไปทำงานในวงการบันเทิงแบบนั้น คุณย่าไม่ชอบพวกเต้นกินรำกิน ตอนนี้อะไร ๆ ก็เอย์ทุกอย่างแล้ว เอาเป็นว่าอย่าทำให้คุณย่าผิดหวัง เจอกันเย็นวันเสาร์นะเอย์ตั้น”

คุณแม่พูดไว้แค่นั้นก่อนกดวางสายไปผมเดินถึงห้องพอดีทาบการ์ดแล้วเปิดประตูเข้าไป ตกใจนิดหน่อยเพราะเจอบางคนยืนทำหน้าเหรอหราจดจ้องผมอยู่ มันฉีกยิ้มกว้างราวกับกำลังดีใจนักหนาที่ผมกลับมาถึงห้องได้ ก่อนร้องทักขึ้น

“พะ....พี่เอย์ กลับมาแล้วเหรอครับ”

อะไรของมันมันทำทรงผมอะไรวะเห็นแล้วแม่งหงุดหงิด ผมอะไรของมันมัดผมขึ้นไป หัวอย่างกับแอปเปิ้ล หน้าตาก็ตลกแถมมันยังใส่ไอ้ชุดกันเปื้อนต๊อง ๆ นั่นอีก ผมรีบเดินเข้าห้องเพราะกลัวจะหลุดหัวเราะออกมา เจอไอ้นี่ทีไรผมหงุดหงิดทุกทีโดยเฉพาะหลัง ๆ มานี่แค่นึกถึงมันผมก็พาลอมยิ้ม ไม่ใช่ว่าดีนะ ผมกลัวว่าผมจะเสียเส้นไปกับมันมากกว่าน่ะสิครับ

“ปิง เสาร์นี้มึงจะมาที่นี่ป่ะ” ลองถามมันดูหน่อย นึกอะไรดี ๆ ขึ้นมาได้ถ้าเอามันไปด้วยอาจจะไม่ต้องซีเรียสกับงานไฮโซไฮคลาสอะไรแบบนั้นก็ได้ ปกติผมไม่ชอบเลยถึงจะโตมากับงานแบบนี้อยู่ตลอด แต่ผมไม่เหมือนซีซ่าร์ ซ่าร์เข้าสังคมเก่ง คบกับคนง่าย  แต่เพราะมันขัดใจคุณย่าเรื่องงานในวงการเพราะอย่างนั้นตอนนี้เลยเหมือนกับว่าคุณย่าจึงพิจารณามันจากกองมรดกแล้วเรียบร้อย เหลือแต่ผมคนนี้ที่ต้องรับกรรม ผมเรียกว่ากรรมแบบเต็มปากเลยครับ เพราถึงแม้จะมีมหาศาลแค่ไหนแต่ผมรู้สึกว่ามันมากไป มันเกินพอดี ถึงผมมีสิ่งนอกกายเหล่านั้นผมก็ไม่เห็นจะมีความสุข สู้เวลาผมแยกออกมาอยู่แล้วนั่งเถียงนั่งด่ากับเจ้าปิงก็ไม่ได้นั่นผมยังมีความสุขมากกว่าเสียอีก

เพราะอย่างนั้นผมจะชวนมันไป ให้มันขับรถให้ก็แล้วกัน


“ผมถามไรพี่อย่างดิ” ผมกำลังนั่งกินข้าวดูการ์ตูน   อยู่ดี ๆ มันก็ถลาเข้ามาคุกเข่าอยู่ใกล้ ๆ แล้วถาม ผมเลยรอฟังว่ามันจะพูดเรื่องอะไร

“วันก่อนที่ผมค้างที่นี่อ่ะ.......................................................... พี่เอาเสื้อพี่ห่มให้ผมเหรอ”

ผมแทบจะยันโครมเข้าให้พอได้ฟังประโยคสุดท้ายที่มันพูด แต่เห็นท่าทางมันหลับตาปี๋ยกมือไหว้ขอโทษขอโพยแบบตลก ๆ แบบนั้นแล้วผมขำล่ะมากกว่า

“เหี้ยเหอะ! มึงฝันกลางวันเหรอใครจะไปห่มผ้าให้มึงกัน อยากนอนหนาวยังไงกูก็ไม่สนใจหรอก จิ๊  เรื่องของมึงดิ่ จะตัวร้อนจะเป็นไข้ก็เรื่องของมึงเลย ”

ก็ใช่ไงผมโยนเสื้อให้มันจริงนี่ ไม่ได้ค่อย ๆ บรรจงห่มลงไปสักหน่อย แต่มันท่าทางไม่เชื่อ ถามอะไรปัญญาอ่อนต่ออีกนิดหน่อยผมก็ตอบไปเรื่อยเปื่อย ช่างหัวมันสิ! ผมอยากตอบแบบไหนก็เรื่องของผมอ่ะ







เย็นวันเสาร์ไอ้ปิงมาถึงห้องผมตอนสาย ๆ มันทำโน่นทำนี่ของมันไปขณะที่ผมนั่งทำงานส่งอาจารย์อยู่ในห้อง เราสองคนไม่ได้คุยอะไรกันเลย พอตอนเที่ยงมันโผล่หน้าเข้ามาถาม

“พี่เอย์เที่ยงแล้วครับจะหม่ำๆอะไรอ่ะ” ดู๊ดูมันถาม ผมเลยสมนาคุณมันเป็นปากกาที่อยู่ในมือฟาดไปตรงประตู กะให้โดนหัวมันเต็ม ๆ มันดันรับได้ซะอีก แถมยังมาทำหน้าทะเล้นเหน็บปากกาผมไว้ที่หู ผมขี้เกียจต่อปากกับมันเลยบอกมันไปขอเป็นอาหารง่าย ๆ แล้วบอกให้มันสั่งข้างล่างขึ้นมากิน ไม่อยากให้เหนื่อยมากเพราะยังไงตอนเย็นเดี๋ยวมันต้องเจออะไรที่ไม่ใช่ตัวมันอีก งานเลี้ยงแบบนั้นขนาดผมเจอมาแต่เด็กยังไม่ชินแล้วไอ้ปิงล่ะ มันคงประหม่าแทบตายเลยล่ะนี่ถ้าผมไม่เอาเงินค่าแรงมาล่อคุณคิดว่ามันจะยอมไปกับผมไหม

“มึงใส่ไอ้นี่ก่อน แล้วค่อยใส่นี่ๆๆแล้วก็ตามด้วยไอ้นี่” ผมโยนชุดสูทที่เพิ่งพามันไปซื้อลงให้แล้วชี้ ๆ บอกว่าอันไหนใส่ก่อนใส่หลัง ท่าทางมันแปลกประหลาดชะมัด ก็แค่ชุดทักสิโด้อะไรมันจะทำหน้าลำบากใจขนาดนั้น

“โอ้โหวววววว  พี่เอาเปรียบผมนี่ ทำไมผมต้องใส่ไอ้หูกระต่ายนี่ด้วย แล้วพี่อ่ะ ขนาดเนคไทพี่ยังไม่ใส่เลย”

มันโวยวายบ่นโน่นนี่นั่นของมันไปตามเรื่องขณะที่ตอนนี้เรากำลังออกจากห้องลงลิฟต์  ผมแอบ ๆ มองมันในลิฟต์นิดหน่อยเห็นมันเช็คความเรียบร้อยของตัวเองในกระจกแล้วตลกว่ะ มันคงกำลังคิดว่าตัวมันหล่อใช่เล่น  หึหึ แต่ความจริงดู ๆ ไปหน้าตามันก็ดีนะ ถ้ามันไม่ติดว่ากวนตีนผมมากไปหน่อยผมจะเอ็นดูมันมากกว่านี้อีก

ตอนที่เรามาถึงงานกันยังหัวค่ำอยู่มาก ผมเข้าไปสวัสดีคุณแม่ก่อนจะแวะไปกราบคุณย่า ผมให้เจ้าปิงมันยืนรออยู่แถว ๆ บริเวณนั้นไม่ไกลจากกระโจมคุณย่านัก เพราะแถวนั้นเป็นจุดที่มีเครื่องดื่มผ่านมาตลอดและมีพนักงานคอยบริการ ที่สำคัญจุดที่มันยืนต้องเป็นจุดที่ผมสามารถมองเห็นได้ คือต้องอยู่ในสายตาผม เพราะว่ากลัวมันจะไปทำอะไรแผลง ๆ เอ๋อ ๆให้ได้เรื่องกันอีก

คุณย่าถามเรื่องเรียนเรื่องทั่วไป เราคุยกันไปเรื่อยเปื่อยตามประสาย่าหลาน ส่วนซ่าร์มันขอตัวออกมาตั้งแต่ผมเดินเข้าไปนั่งแทนมันแล้ว คงจะเบื่อล่ะมั้งนะคุณย่าไม่ค่อยปลื้มมันเรื่องที่ผมเคยบอกไปนั่นแหละ ท่านไม่ชอบคนทำงานในวงการ คือคนรุ่นเก่าหัวโบราณอาจจะถือนิด ๆ หน่อย ๆ ไปตามเรื่องอันนี้ผมก็คาดเดาเหมือนกัน

“สวัสดีค่ะคุณย่า หนูเดียร์มาแล้วค่ะ”

“จ้า ไหว้พระเถอะลูก ทำไมไม่ให้เจ้าเอย์ไปรับล่ะ ลำบากลำบนขับรถมาเอง”

“เปล่าค่ะ เดียร์มากับคุณพ่อกับคุณพ่อคุณแม่ท่านคุยกับท่านทูตบวรอยู่ ฝากบอกมาว่าเดี๋ยวจะเข้ามากราบคุณย่า”

“เหรอจ๊ะ น่ารักกันทั้งครอบครัวจริง ๆ ”

“ไงเอย์มานานแล้ว?”

เดียร์ เธอเป็นคู่หมั้นคู่หมายของผม คุณย่าเราสองคนเป็นเพื่อนร่วมรุ่นเดียวกัน แต่ตอนนี้คุณย่าเดียร์ไม่อยู่แล้วนะครับ  ถึงอย่างนั้นเราสองคนก็ยังอยู่ในสัญญาหมั้นหมาย ผมนั่งฟังเธอคุยโน่นนี่นั่นกับคุณย่าไปเรื่อย คอยมองดูเจ้าปิงเป็นระยะด้วยเพราะกลัวจะไปก่อเรื่องอะไรให้ปวดหัวอีก ก่อนออกมาท่าทางมันอึดอัดกับทักสิโด้ที่ใส่อยู่พอสมควร คิ้วผมกระตุกทันทีที่มองไปแล้วเห็นว่าเจ้าปิงมันกำลังทำท่าประหลาด ๆ นั่นกับใคร ไอ้ซ่าร์แม่งชอบแกล้งมันจริง ๆ ก็รู้อยู่ว่าเด็กมันปลื้มยังหาเรื่องทำให้มันเขินให้มันอายนี่ถ้าหากมันอายจนทำอะไรเปิ่น ๆ ออกมาขายหน้ามาถึงผมด้วยแน่ ๆ มันสองคนคุยอะไรกันไม่รู้ตอนนี้เดินเลี่ยงไปอีกทางแล้ว หนอยยย มากับผมแท้ ๆ พอเจอของถูกใจหน่อยล่ะก็ทิ้งกูเลยนะ ไปยืนอยู่ตรงนั้นผมจะเห็นมันได้ยังไงทีนี้

“เอย์เป็นอะไร มองไปอะไรทางนั้นบ่อยจัง นั่นคนรู้จักเอย์เหรอ” เสียงเดียร์ถามขึ้นคุณย่าเลยพลอยต้องหันไปดูด้วย

“คนขับรถใหม่น่ะ เอย์กลัวว่าจะหลง แต่ไม่เป็นไรตอนนี้ไปกับไอ้ซ่าร์มันแล้วล่ะ”

ผมมองไปอีกทีสองคนนั้นเดินกลับมายืนอยู่ที่เดิมแล้ว เจ้าปิงถือจานขนมอยู่ในมือด้วย ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แหมๆท่าทางมันยิ่งทำให้ผมโมโหขึ้นไปอีก มันจะเขินห่าอะไรนักหนาคุยกับผู้ชายด้วยกันแท้ ๆ

“กลับได้แล้วมั้ง แดกเยอะขนาดนี้ขับรถกลับให้กูไหวไหมเนี่ย”

ผมทนดูไม่ไหวแล้วครับ น่าตาท่าทางบ้าบอของมัน จะทำให้ผมประสาทเสียสิไม่ว่า ขอตัวจากคุณย่าแล้วเดินออกมาเลย งานเงินอะไรไม่อยากอยู่ร่วมแล้วแม่ง

“คุยเหี้ยไรกันอยู่” ผมกระแทกเสียงใส่  ท่าทางมีความสุขดีนี่หว่าไม่เห็นเหมือนตอนคุยกับผมเลย อะไรวะผมเป็นเจ้านายมันแท้ ๆ  เวลาคุยกับผมนี่ทำทะเล้นทะลึ่งไปเรื่อยพอคุยกับพี่ผมแม่ง ทำไมต้องทำท่าปลาบปลื้มปิติขนาดนั้นด้วยวะ

“คุยเรื่องมึงกับคู่หมั้นมึงไง ปิงเขาชมว่าเดียร์สวยด้วยนะ ใช่ไหมปิง”

เสียงไอ้ซ่าร์ตอบมา ผมตวัดสายตามองไอ้ตัวดีทันที มันมีสิทธิ์อะไรมาชมเดียร์ว่าสวย มึงคุยกับไอ้ซ่าร์ดูปริ่มขนาดนั้นมึงก็ชมของมึงไปอย่ามายุ่งอะไรกับเรื่องของกู ไม่ต้องมาคุยกันเรื่องกูสิ  นี่ผมไม่ได้พาลเลยนะ ปัดโถ่โว๊ย! คนยิ่งกำลังหัวเสีย พอดีกับที่มีพนักงานถือเครื่องดื่มผ่านมา มันคว้าเอาไวน์ออกมาแก้วหนึ่งแล้วมองหน้าผม จิ๊ นึกอยากจะเอามาเพื่อไถ่โทษหรือไง แต่ยังไงก็จะรับไว้ละกันไม่ให้เสียน้ำใจ ผมกำลังจะยื่นมืออกไปพอดีที่มือเราชนกันพอดี แรงไปหน่อยแก้วเลยตกตกที่พื้นแตกยับไม่มีชิ้นดี

“พี่เอย์!  /  ปิง!”  ผมกับมันอุทานขึ้นพร้อมกัน หน้ามันงี้ซีดยิ่งกว่ากระดาษอีก

“หกใส่เสื้อพี่รึเปล่า / แก้วบาดมือมึงไหม”  ให้ตายเหอะ ทำไมมันถึงได้ซุ่มซ่ามแบบนี้นะ นี่มันอะไรแดง ๆ ราดอยู่บนมือมันเนี่ย เลือดงั้นเหรอ อย่าสั่นไอ้เอย์มึงอย่าสั่น ดูให้มันแน่นอนซิมันใช่เลือดแน่เหรอ คือแก้วมันตกลงพื้นแล้วจะบาดมันได้ตอนไหน พอมันบอกผมว่าไวน์แดงเท่านั้นแหละแม่ง กูอยากถีบมึงสักที

“ซุ่มซ่ามไม่มีใครเกิน” ผมด่ามัน

“ขอโทษครับ”

มันว่าเสียงอ่อนพอดีกับที่คุณย่าเดินมาดู ผมกับไอ้ซ่าร์หน้าเสียสิครับคุณย่าเป็นคนที่ถือเรื่องพวกนี้มาก ท่านเคยบอกไว้ว่างานมงคลห้ามทำอะไรหล่นแตกเด็ดขาดโดนเฉพาะแก้วแล้วก็พวกถ้วยชาม

“เอย์ทำเองครับคุณย่า”

ไม่ใช่ว่าผมหวังจะเป็นพระเอกฮีโร่หรืออะไรหรอกนะ แต่เพราะเห็นว่าเจ้าปิงมันจะอ้าปากยอมรับผิดผมเลยออกรับแทน คุณย่ายังไงก็ไม่เคยดุผมอยู่แล้วแต่ถ้าเป็นเจ้าปิงล่ะก็ ตาย ๆ ผมว่ามันจะโดนไล่ตะเพิดออกจากงานซะเดี๋ยวนั้นเลยแน่ ๆ

เราออกจากงานกันหลังจากนั้น ผมรู้สึกว่าตัวเองอารมณ์หงุดหงิดง่ายไปหน่อยวันนี้ไม่รู้เป็นบ้าอะไร เลยหลับตาพยายามข่มใจให้สงบขณะที่ปิงมันกำลังทำหน้าที่คนขับ

“พี่เอย์หิวเหรอครับ” เสียงมันถามขึ้นแต่ผมไม่ตอบ ขี้เกียจ

“แวะทานข้าวที่ไหนก่อนไหมครับ” มันยังถามต่ออีก ผมก็เงียบอีก ไม่อยากจะตอบหรอกเฮ้ยทำเป็นมาถามกูเมื่อกี้ลั้นลาอยู่กับไอ้ซ่าร์นี่ผมยังฉุนมันไม่หาย

“พี่เอย์ พี่หลับเหรอ”  หึหึ ทำไมผมต้องตอบมันด้วยล่ะ ช่างสิ  ทีตอนนี้ล่ะทำเป็นมาถามโน่นนี่ผมทำเป็นมาพูดกับผม ตะกี้นี้ยังคุยร่าอยู่กับไอ้ซ่าร์ไม่ใช่หรือไง  ปล่อยมันคิดโน่นนี่ไปเองเถอะให้มันรู้ก็ดีว่าผมไม่พอใจมันอยู่ ก็มันมากับผมอ่ะ มันต้องคอยมองผมสิ เดินเลี่ยงไปคุยลับสายตาผม บ้าเหรอ ทำตัวแบบนั้น เออดี ถ้าคิดว่าดีอยากทำอะไรทำไป

จู่ ๆ รถจอดนิ่งลง ผมลืมตาขึ้นเห็นมันเปิดประตูแล้วเดินไปเปิดท้ายรถ กำลังนั่งนึกอยู่พอดีว่ามันจะเดินลงไปเอาอะไรประตูฝั่งผมก็ถูกเปิดออก ผมไม่รู้ตัวเองเป็นอะไรดันแกล้งหลับตาลงซะงั้น  แต่คุณเชื่อไหม....ผมหลับตาอยู่ได้ไม่นานหรอก เมื่อรู้สึกได้ถึงมืออุ่น ๆ ที่ตบลงเบา ๆ ที่หน้าอกผม ผมค่อยเปิดตาขึ้นดู ปิงมันห่มผ้าให้ผมกำลังจับผ้าห่มกระชับอยู่แถวหน้าอก  ใบหน้าเราสองคนตอนนี้อยู่ใกล้กันมาก ถึงแม้จะไม่ได้ปลายจมูกชนกันเหมือนตอนนั้นแต่ตอนนี้เราสองคนสบตากันอยู่ ผมไม่รู้ยาวนานแค่ไหนแต่ผมไม่เคยหลบสายตาผู้หญิงนะครับ และชั่ววินาทีเดียวนะ วินาทีเดียวจริง ๆ ผมแม่งคิดอยากคว้าคอมันเข้ามาจูบอ่ะ มองมันเป็นผู้หญิงคนนึงเลย ฮอร์โมนผมแม่ง ไม่คิดจะโกหกกันเลยให้ตายเหอะ!  ผมแม่งคิดบ้าอะไรออกไปวะเนี่ย?? บ้าบอ ประสาท  ผมหงุดหงิดตัวเอง กระพริบตาไล่ความรู้สึกอะไรบางอย่าง ก่อนที่ปิงเองมันก็จะเดินออกไปนั่งที่ตำแหน่งคนขับเหมือนเดิมเช่นกัน ผมเงียบและมันก็เงียบ จนกระทั่งผมเลือกที่พูดทำลายบรรยากาศทะแม่งทะแม่งนี้ให้พังทลายไป

“สนุกไหม” ว่าจะเหน็บมันสักหน่อย เห็นอยู่ในงานได้คุยกับไอ้ซ่าร์ท่าทางปลื้มปริ่มแบบนั้น แต่มันดันหูตึงไม่ได้ยินผมเลยไม่พูดต่อแล้วช่างแม่ง

“พี่เอย์  คุณเดียร์เธอน่ารักดีนะครับ”  มันนึกอะไรขึ้นมาไม่รู้อยู่ ๆ ถามขึ้น

“อือ” ผมตอบ ไปเรื่อยขณะมองที่ข้างทาง

“เหมาะสมกับพี่เลยนะ คุณชายกับคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ แล้วพี่จะแต่งงานตอนไหนอ่ะ”

นี่ถ้าผมดื่มน้ำอยู่นี่สำลักนะครับบอกเลย ให้ตายเหอะผมเนี่ยนะจะแต่งกับยัยเดียร์ทอมบอยนั่น เรารู้จักกันแต่เด็กเล่นหัวกันมาจนผมน่ะมองว่ามันเป็นผู้ชายเหมือนกับผมนี่แหละ ไม่ได้มีความรู้สึกทางชู้สาวแม้แต่นิด โอเคมันสวย โอเคมันนิสัยดี แต่จำเป็นเหรอผมต้องแต่งงานกับคนแบบนั้น ถ้าคุณกำลังสงสัยว่าก็เป็นคู่หมั้นนี่ต่อไปก็ต้องแต่งอยู่แล้ว ผมบอกเลยไว้เลยนะ เห็นผมเป็นคนแบบนี้แต่เวลาผมดื้อนี่ คุณย่าคุณแม่หรือป๊าก็ห้ามผมไม่ได้นะ ไม่งั้นผมจะสามรถแยกออกมาอยู่คอนโดแบบนี้ได้เหรอ ไอ้ซ่าร์มันอิจฉาผมจะตายที่ทำเรื่องที่ชอบได้ แล้วยังได้อิสระ ส่วนมันแค่ทำงานในวงการยังโดนตำหนิ ถึงจะอยู่บ้านไม่ได้แยกตัวออกมาก็เถอะ เรื่องหมั้นหมายถ้าผู้ใหญ่ยังไม่เรียกร้องอะไรผมจะปล่อยไว้แบบนี้ไปก่อน ผมกับเดียร์ตกลงกันแล้วถ้าผู้ใหญ่เริ่มจี้ขึ้นมาเราสองคนจะเดินเข้าไปสารภาพบาปด้วยกัน

“ห๋า ทอม!! เสียงมันร้องขึ้นอย่างดัง ดีนะไม่เหยียบเบรกพาผมหัวคะมำ

“เออทอม สวย ๆ นั่นแหละทอมบอยของแท้แน่นอนเลย ดีนะหมั้นกันไว้แต่เด็กกูเลยรู้ แม่งยังพาแฟนมันมาอวดกูที่โรงเรียนอยู่เลย มันเปลี่ยนผู้หญิงยิ่งกว่าเปลี่ยนเสื้ออีก หน้าตาภายนอกน่ะตัดสินคนไม่ได้หรอก มึงเองก็น่าจะรู้ดีนี่ ขนาดหน้าตาหน้ารักแบบมึงยังกวนตีนกูยิ่งกว่า........

จบคำพูดไว้แค่นั้นเถอะครับ เหี้ยเถอะผมพูดบ้าอะไรออกไปไม่รู้ ไอ้คำว่า น่ารักแม่งหลุดออกจากปากผมอ่ะ  หน้าตาไอ้คนฟังตอนนี้ก็โอ๊ยน้อ  อ้าปากหวอเหมือนกับมันเพิ่งเจอเรื่องประหลาดอย่างไรอย่างนั้น กะอิแค่ผมเผลอชมว่ามันน่ารักไปหน่อยเดียวนี่เป็นเอามากถึงขนาดนี้เลยเหรอวะ

คราวนี้ผมกับมันต่างก็เงียบกันไปอีก แต่คราวนี้เป็นมันที่พูดขึ้นทำลายความเงียบ

“เอ่อ  พี่เอย์  พี่หิวไหมครับ”

“หิวสิวะ กูยังไม่ได้กินอะไรเลยนะ ไม่เหมือนคนบางคนหรอก ได้คุยกับไอดอลคนโปรด กินนั่นนี่ด้วยกัน มึงคงสนุกมากสินะ กูหันมาทีไรมึงนี่ยิ้มไม่หุบเลย” ทำไมผมถึงต้องต่อประโยคให้ยืดยาวด้วยวะ แล้วพูดเรื่องอะไรไม่เข้าท่าแบบนั้นออกไปได้ไง คล้ายตัวเองกำลังพูดกระแนะกระแหนเรื่องมันเรื่องไอ้ซ่าร์ ฮึ่ยย ผมเริ่มหงุดหงิดตัวเองฉิบหาย นี่ผมเป็นอะไร??

“เอ๋าธรรมดานะครับคุณพี่  พี่ซีซ่าร์เขาเป็นไอดอลในดวงใจของผม มีโอกาสได้คุยทั้งทีผมงี้ปลื้มสุดอ่ะ พี่ดูนี่ผมมีอะไรจะอวด” มันพูดแล้วควักโทรศัพท์ขึ้นมาอวดรูปที่มันตั้งเป็นวอลเปเปอร์ ผมรีบดึงเอามาดู

“ทุเรศว่ะแม่ง หัวชิดกันด้วย  รู้จักกันวันเดียวนี่ท่าทางสนิทกันเชียวนะ”

นี่คือผมพูดพึมพำออกมาเหรอวะ ผมแม่งไม่อยากจะเชื่อคำพูดพวกนี้จะออกมาจากปากผม เขาจะถ่ายรูปด้วยกันยังไงก็ช่างเขาสิ ไม่เกี่ยวกับผมไม่ใช่เหรอ แต่โอ๊ยยยโคตรหงุดหงิดเลยให้ตาย กดลบแม่งเลย ช่างดิ ผู้ชายที่ไหนเขาจะถ่ายรูปเอนหัวชนกันชิดกันบ้างวะ ผมอยากลบอ่ะผมไม่สนใจหรอก

“ก็พี่ซ่าร์เขาใจดีนี่ ใจดีมาก ๆ เลย”

“เออคนใจดีแบบนั้น มึงก็ระวังตัวไว้ให้ดีเหอะ

ไอ้ปิงมึงน่ะมันไม่รู้อะไรซะแล้ว ไอ้ซ่าเห็นมันดูใจดีอ่อนโยนแบบนั้น มันแม่งเสือซ่อนเล็บเหอะ ผู้หญิงของผมทุกคนไม่มีใครหน้าไหนรอดมือมันได้เลยสักคน(ยกเว้นแพร) มันจะให้ผมสแกนก่อนจากนั้นถ้าผมบอกว่าโอมันจะค่อย ๆ เข้ามาเขมือบกินทีละนิดๆ ก่อนจะเตะโด่งทิ้งไปถ้ามันเสพจนพอใจ แล้วไอ้ข่าวคาว ๆ ตามหน้าหนังสือพิมพ์บันเทิงนั่นน่ะ สาว ๆ ที่มีข่าวกับมัน มันฟาดเขามาจนหมดเกลี้ยงแล้วเผลอๆยกค่ายที่มันสังกัดอยู่นั่นแหละ  ผมเองก็แปลกใจนะมันไม่เคยแคร์อ่ะมันบอกว่าจะแคร์ทำไมคนไหน ๆ ก็ไม่เห็นจะซิง เพราะงั้นมันขอเป็นรองแค่ผม  แล้วดูซิตอนนี้มันกำลังทำอะไร ไอ้ปิงมันเป็นเด็กผู้ชาย เรื่องนั้นไม่ใช่ว่าผมจะวางใจได้ แม้ว่าผมจะไม่เคยกับผู้ชายแต่ไอ้ซ่ามันไม่ใช่ นั่นน่ะไบตัวจริงเลยนะครับ

“โกรธ?” ผมถามมันหลังจากเห็นใบหน้างอง้ำตลก ๆ ของมันพอมันรู้ว่าผมกดลบ แต่ก็แค่พักเดียวหรอกเจ้านี่โกรธใครได้นานที่ไหน ถึงผมจะรู้จักมันได้ไม่นานผมก็รู้ว่ามันเป็นคนแบบไหนละกัน

“พี่แม่ง” ช่างหัวมึงดิ่

“บ้านมึงอยู่ไหน” ผมถามมัน พร้อมยกนาฬิกาเรือนทองฝังเพชรที่คุณย่าให้เป็นของขวัญเมื่อปีที่แล้วขึ้นดู(อยากรู้ราคาเหรอ ไม่เท่าไหร่หรอกสองล้านกว่า ๆ)

“บ้านไหน” มันถามผมกลับท่าทางยังหัวเสียเรื่องรูปอยู่

“บ้านมึงไง ที่ๆมึงซุกหัวนอนน่ะ”

“บ้านน่ะอยู่ไกลโน้นแน่ะ แต่ห้องที่ผมใช้ซุกหัวนอนน่ะ อยู่แถว ๆ นี้แหละครับ ไม่ไกลจากคอนโดพี่เท่าไหร่หรอก พี่ถามทำไมอ่ะ

“ขับไป ขับไปที่ห้องมึง”

“หือ?” มันทำท่าสงสัย

“อย่ามาถามเรื่องมาก ขับตรงไปที่ห้องมึง ที่ ๆ มึงใช้ซุกหัวนอนนั่นแหละ”

“พี่จะไปทำมะ......

ผมเบรกคำพูดมันไว้แค่นั้นแหละ ทำไมต้องให้ผมตอบด้วยวะ เรื่องแค่นี้ดูไม่รู้อ่านเหตุการณ์ไม่เป็นหรือไงว่าผมตั้งใจจะไปส่ง ช่างมันดิ่ มันคงโง่แหละท่าทางต๊องๆแบบนั้น จิ๊จะให้พูดออกมาบ้าเหรอใครเขาจะพูดกันว่ากำลังจะไปส่งมึง ผมนี่นะ บ้าไปแล้ว

“ลงไปดิ” พอถึงผมก็ไล่มันลง มันหันมามองหน้าเอ๋อมาก

“แล้วพี่จะกลับยังไงครับ   คือผมไปส่งพี่ได้นะ แล้วเดี๋ยวขับมอไซด์กลับมาเอง”

“อย่าเรื่องมากลงไปได้แล้ว กูขับกลับเองได้  มอไซด์มึงพรุ่งนี้ค่อยไปเอา จอดทิ้งไว้ที่นั่นแหละเดี๋ยวบอกยามไว้ให้” ผมพูดแล้วเปิดรถเดินลงไป เราสวนกันตอนที่ผมจะแทรกตัวเข้าไปนั่งแทนตำแหน่งมัน

“แต่ว่า คือ....ผม...” มันยังคงทำหน้างง แล้วคือผมไม่รู้ว่ามันกำลังคิดบ้าอะไรของมันอยู่ ปิงเป็นคนที่คิดอะไรจะออกมาทางสีหน้าทั้งหมด คุณเชื่อไหมตอนนี้หน้ามันแดงมาก ยิ่งผิวมันขาวหน้ามันนี่ยิ่งเหมือนมะเขือเทศสุก โคตรตลกอ่ะ มันคงกำลังคิดเข้าข้างตัวเองว่าผมดีกับมันถึงขนาดแวะมาส่งมันที่นี่ก่อน

“นี่มึงกำลังคิดเหี้ยไรอยู่”

ถามไปก็ไม่ตอบยืนหน้าแดง ทำท่าทางแปลก ๆ ของมันอยู่นั่นแหละ ทำไม? มันแปลกรึไงผมไปส่งเพื่อนที่ห้องออกบ่อยไม่เห็นมีใครมันทำหน้าตาประหลาดแบบนี้เลยสักคน บ้าจริงไม่รู้ใจมันคิดอะไรอยู่ ผมเห็นฝนทำท่าจะตกเหอะเลยให้มันขับผ่านมาทางนี้ก่อนเกิดไม่สบายขึ้นมา มาทำความสะอาดห้องผมไม่ได้ห้องผมก็รกดิ

“มันดึกแล้วกูเลยให้มึงขับผ่านมาทางนี้ก่อน ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น อย่าคิดอะไรฟุ้งซ่าน”

ผมพูดทิ้งไว้แค่นั้นปิดประตูแล้วก็เลี้ยวกลับรถออกมา มองผ่านกระจกไปอีกทีตัวมันก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิม ไฟถนนสีส้ม ๆ ค่อยอ่อนจางลงไปขณะที่ตัวคนก็เล็กลงเรื่อย ๆ ในที่สุดปิงหายไปพร้อมกับที่รถของผมกลับมาโลดแล่นบนถนนสายหลักอีกครั้ง


ผมห่วงมันเหรอกลัวว่ามันจะต้องตากฝนกลับเหมือนวันนั้น


ผมรู้สึกอะไรกับมันเหรอทำไมผมต้องหงุดหงิดตอนที่เห็นมันคุยอยู่กับซ่าร์ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแบบนั้น


และผมแคร์มันมากเหรอตอนที่แก้วน้ำตกแตกไวน์สีแดงราดรดใส่มือมัน ใจผมนี่สั่นเลยนะคิดไปได้ไงว่านั่นคือเลือด


ทั้งหมดนั่นคืออะไร แน่นอนว่าผมได้คำตอบแล้ว


ช่างหัวมันสิ ผมก็แค่ เอ็นดู มันแค่นั้นล่ะ  อะไรนะ?  'ชอบ??'  ให้ตายเหอะ อย่างผมเนี่ยเหรอจะชอบมัน ไม่มีทางหรอกแค่ห่วงผมยังไม่เคยเหอะ มันจะเป็นไงก็ช่างสิ จะตากฝนก็ช่าง จะคุยกับใครหน้าไหนก็ช่าง จะทำหน้าปลื้มปริ่มน่าหมั่นไส้ยังไงก็ช่าง แล้วที่สำคัญมันจะถ่ายรูปคู่หัวชิดกับใครก็ช่าง


ผมไม่เห็นจะสนเลย! มันไม่เป็คผมหรอก เคมีไม่เห็นจะเข้ากันเลยสักนิด เอียงให้ตายก็ไม่ไหลมารวมกันได้อยู่แล้ว โถ่วววววว คุณชายเอย์ตั้นจะไปเข้ากับคนธรรมดาๆอย่าเจ้าปิง ๆ ได้ไงกันวะ


....หมาปิงเอ๊ย....



Tbc.