บทที่23
ท้องถนนที่ทอดยาว
แสงจากเสาไฟสีส้มเรียงรายทอดยาวโค้งไปตลอดทั้งแนว
คืนนั้นเขาขับรถกลับบ้านทั้งที่ยังอยู่ในอารมณ์ขุ่นมัว
คำพูดของทัตพลยังกึกก้องสะท้อนซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในห้วงความคิด
“ธารกำลังเข้าใจผิดนะ
เรื่องราวมันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความเต็มใจ ระหว่างพ่อกับทราย....”
“พ่อกับทรายเราโดนวางยา”
“พ่อรู้ว่ามันอาจจะเชื่อยาก
แต่พ่อพาทรายเขาไปทำธุระที่พังงา
เราค้างที่นั่นกันสองคืนแล้วคืนที่สองมันก็เกิดเรื่องขึ้นมา นี่คือเรื่องจริง ๆ ที่เกิดขึ้นธารจะเชื่อหรือไม่พ่อคงไปห้ามความคิดลูกไม่ได้แต่ขอให้ลูกรู้ไว้ว่าพ่อกับทรายเราไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกันแบบนั้น”
เขาสะบัดศีรษะไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไปอีกครั้งตั้งสติกับถนนหนทางข้างหน้า
เบนซ์สีขาวคันเดิมจอดรออยู่ไม่นานประตูรั้วแบบอัตโนมัติก็เปิดกว้างรอให้รถหรูขับเคลื่อนเข้าไปจอดตัวลงที่ด้านใน
“วันนี้ไม่กลับหรือทินกร”
เขาเอ่ยถามคนที่วิ่งมารับกุญแจรถ ปกติพอค่ำหน่อยทินกรจะกลับไปค้างที่บ้านกับภรรยา เช้ามืดวันใหม่จึงจะมาทำงานแต่เช้า
น้อยครั้งนักที่จะเห็นเขาอยู่ค้างคืนที่นี่
“วันนี้เมียผมเขาไปเที่ยวกาญจนบุรีกับพวกเพื่อนๆน่ะครับ
กลับไปก็ไม่รู้จะคุยกับใครอยู่ดีเลยอยู่นอนมันเสียที่นี่เลยดีกว่าเผื่อตอนเช้าคุณธารมีอะไรเรียกใช้”
ทินกรตอบตรงไปตรงมาธาราธารจึงพยักหน้าให้เบา ๆ จากนั้นเขาจึงเดินเข้าไปด้านใน
“ดาว
อีกสักครึ่งชั่วโมงให้พี่ทรายเอากาแฟขึ้นไปให้ฉันที่ห้องหนังสือด้วยนะ”
เมื่อร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาในบ้านเขาเรียกนับดาวมาสั่งความ
“เอ่อ..พี่ทรายนอนแล้วค่ะ
เดี๋ยวดาวเอาขึ้นไปให้แทนนะคะของคุณธารกาแฟดำใส่น้ำตาลก้อนเดียว”
ชายหนุ่มยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู เวลาเพิ่งจะสามทุ่มกว่า ๆ
วารินไม่น่าจะนอนเร็วได้ปกติเห็นชอบนั่งคุยเล่นกับนับดาวจนดึกดื่น
“พี่ทรายไม่ค่อยสบายน่ะค่ะ
ตัวรุม ๆ ตั้งแต่เช้าดาวไล่ไปพักก็ไม่เชื่อ นี่ก็เพิ่งจะเข้าไปนอนเอง
ดาวเลยไม่อยากรบกวน เดี๋ยวดาวชงกาแฟให้คุณธารเองนะคะคุณธารขึ้นไปรอข้างบนเถอะค่ะเดี๋ยวพี่เตตรวจรอบบ้านเสร็จก็คงจะมาปิดบ้านแล้ว”
นับดาวเห็นธาราธารชักสีหน้าสงสัยจึงไขความข้องใจของเขาทั้งหมด
ชายหนุ่มชั่งใจนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อแล้วเขาก็เดินเลี่ยงขึ้นบ้านไป ทุกวันหลังกลับจากเรียนหากไม่ดึกมากเขาจะเข้าไปทักทายคุณแม่เสมอและวันนี้เขาก็ยังทำเหมือนเดิมเช่นทุกวัน
“คุณแม่หลับไปแล้วหรือครับป้าวัน”
“หลับตั้งแต่สองทุ่มแล้วค่ะ
คุณธารเพิ่งกลับมาถึงหรือค่ะทานอะไรมาหรือยัง”ปกติเธอเป็นคนจัดเตรียมเรื่องอาหารการกิน
แต่หลังจากต้องมาดูแลภัครจิราก็กลายเป็นนับดาวที่เข้ามาเตรียมเรื่องอาหารแทน
“เรียบร้อยมาแล้วครับ
ป้าวันนอนเถอะนะดูแลคุณแม่มาทั้งวันคงจะเหนื่อย” เขาเดินเข้าไปจับมือภัครจิราเบา ๆ
กระชับผ้าห่มให้
“ผมกลับมาแล้วนะครับคุณแม่ พักผ่อนให้สบายนะครับ” เขาพูดกับเธอเบา ๆ ก่อนเดินไปปิดไฟดวงใหญ่แล้วเปิดเป็นไฟหรี่สีส้มอ่อนๆให้แทน
สายน้ำเย็น ๆ
จากฝักบัวช่วยชะล้างสิ่งสกปรกจากร่างกายได้ก็จริงแต่ทว่ากลับไม่สามารถสลัดความคิดที่ฝังติดอยู่ในจิตใจคนเราได้เลย
เรือนกายสูงใหญ่ยันมือข้างหนึ่งกับผนังกระเบื้องปล่อยให้สายน้ำเย็น ๆ ราดรดตั้งแต่ศีรษะไหลผ่านร่างกายแข็งแรงกำยำผ่านลงมาจนถึงปลายเท้า
เขาสะบัดศีรษะไล่ความเบียกชื้นจากสายน้ำ
ใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมที่เปียกจนแห้งหมาดเมื่อทำธุระส่วนตัวเรียบร้อยจึงเข้าไปที่ห้องหนังสือ
กาแฟดำร้อน ๆ จากนับดาวส่งกลิ่นหอมโชยมาจากโต๊ะทำงาน เขาใช้เวลากับหนังสือตรงหน้าไปได้แค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น
จิตใจดันไม่อยู่กับเนื้อกับตัวคิดถึงเรื่องของวารินขึ้นมาอีก
“พี่ทรายไม่ค่อยสบายน่ะค่ะ ตัวรุม ๆ
ตั้งแต่เช้าดาวไล่ไปพักก็ไม่เชื่อ นี่ก็เพิ่งจะเข้าไปนอนเอง ดาวเลยไม่อยากรบกวน”
ไม่รู้อะไรดลใจ..ตอนนี้เขาดันมายืนอยู่ที่หน้าประตูเล็กๆที่เขาเคยเรียกมันว่าห้องคนใช้
มือใหญ่ไขกุญแจเปิดเข้าไปอย่างเบามือและถือวิสาสะ
ถึงไฟในห้องจะถูกปิดลงแล้วแต่เขาก็ยังสามารถเห็นคนที่นอนหลับใหลอยู่บนเตียง
ธาราธารเดินเข้าไปใกล้ ๆ จ้องมองดวงหน้าที่อ่อนระโหยนั่น วารินดูผอมลงกว่าเดิมนิดหน่อยใบหน้าที่เคยมีแต่แววสดใสร่าเริงอยู่เสมอกลับกลายเป็นใบหน้าที่คล้ายกับคนจมอยู่ในความทุกข์
เขาเลื่อนมือไปขยับผ้าห่มให้ขึ้นมาชิดหน้าอกของคนตัวเล็กเผลอโน้มตัวลงไปหวังเพื่อจะแตะริมฝีปากที่แก้มนิ่มนั่นแต่เขาต้องหยุดชะงักอยู่แค่นั้น
ทั้งที่ห่างเพียงไม่ถึงนิ้วด้วยซ้ำ ใบหน้าและดวงตาที่มองคนตัวเล็กด้วยความอบอุ่นนั้นแปรเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวขึ้นทันทีที่นึกไปถึงภาพบาดหัวใจในวีดีโอนั่น
เขาค่อยยันตัวขึ้นขณะริมฝีปากเหยียดยิ้มอย่างขมขื่น
แววตาที่มองลงไปมีแต่แววตัดพ้อเต็มไปหมด
“พ่อกับทรายเราโดนวางยา”
“ธารกำลังเข้าใจผิดนะ
เรื่องราวมันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความเต็มใจ
ระหว่างพ่อกับทราย....”
คำพูดของทัตพลเหมือนแผ่นที่ถูกรีเพลซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ในหัวสมองของเขา
ถึงแม้คนทั้งคู่จะถูกวางยาจริง
แต่มันก็เปลี่ยนความเป็นจริงไปไม่ได้ ในเมื่อทั้งคุณพ่อของเขาและวารินมีความสัมพันธ์ที่เกินเลยกันไปแล้ว
และที่สำคัญที่สุดคือคุณแม่ของเขา ภัครจิราต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้เพราะคนทั้งคู่นั่น
ร่างสูงใหญ่หมุนตัวเดินกลับออกไปทันที
นิ้วมือเรียวยาวบดเบียดเข้าหากัน สันกรามได้รูปถูกบดจนนูน
นึกโมโหตัวเองที่เดินลงมาทำไมถึงห้องหลังบ้านแบบนี้
...จำเป็นอะไรที่เขาต้องดีกับวาริน...
...จำเป็นอะไรที่ต้องเป็นห่วง..
...ก็แค่ที่ระบาย
เวลาเขา ‘อยาก’ ก็แค่นั้น!....
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาธาราธารใช้เวลาหมดไปกับการเรียนตั้งแต่เช้าจรดเย็นแทบทุกวัน
บางวันมีสอบกลางคืนและมีเรียนต่อในเช้าวันถัดมา
ทำให้เขาไม่สะดวกในการเทียวไปเทียวมาระหว่างที่บ้านและโรงพยาบาลเขาจึงเลือกที่จะค้างที่คอนโดมากกว่า
“สวัสดีค่ะคุณธาร
เย็นนี้ก็โทรมาถามอาการคุณผู้หญิงอีกหรือคะ” นับดาวรับโทรศัพท์แล้วแกล้งพูดดักคอ
เพราะพักหลังธาราธารไม่ค่อยได้กลับบ้านจะใช้วิธีการโทรมาสอบถามอาการแม่ของเขาทุกๆวันทั้งเช้าทั้งเย็น
“รู้แล้วก็รีบรายงานมาเร็วเข้า”
นับดาวจึงพูดบอกเขาไปตามสภาพที่เห็นตั้งแต่เช้าจนถึงเย็นโดยละเอียดเมื่อไม่มีอะไรที่น่าห่วงก็ถึงเวลาที่เขาจะต้องวางสาย
แต่ฉุกใจนึกบางอย่างขึ้นมาได้ ก็เลย...
“พี่ทรายเขาอยู่แถวนั้นหรือเปล่า”
“อยู่ค่ะคุณธารจะคุยด้วยหรือคะเดี๋ยวดาวไปเรียก....
“ไม่ต้องๆ”
เขารีบร้องปรามเมื่อได้ยินว่านับดาวทำเสียงตะกุกตะกักเหมือนกำลังจะแฮ้งกิ้งคอล
“อ้าวพี่ทรายเดินมาพอดีเลย
คุณธารจะคุยด้วยไหมคะดาวจะเรียกให้” นับดาวกวักมือเรียกวารินให้เดินเข้ามาใกล้
คนตัวเล็กจึงเลิกคิ้วถามอย่างสงสัยว่าใครกันที่อยู่ปลายสาย เด็กสาวจึงทำปากบุ้ยใบ้บอกว่าคุณธาร
วารินหน้าเจื่อนลงทันที
“ไม่ต้องอ่ะ
ฉันไม่อยากคุยกับเขา เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะกลับไปคงจะดึกไม่ต้องรอก็ได้”
เขาพูดไว้แค่นั้นแล้ววางสายตัดไปเลย
ทว่าความรู้สึกของคนที่ได้ยินประโยคสุดท้ายพอดีกลับวาบโหวงขึ้นในหัวใจอย่างไรบอกไม่ถูก
คนตัวเล็กยกมือขึ้นทาบอกสูดลมหายใจก่อนนับดาวจะเอื้อมมือมาเกาะบ่าเล็กนั้นไว้แกล้งทำท่าตลกๆให้วารินได้หัวเราะแล้วชวนไปรดน้ำต้นไม้ด้วยกัน
ช่วงบ่ายวันถัดมาที่ตึกเรียนของโรงพยาบาลที่ธาราธารเรียนอยู่เขาเดินสวนบัวชมพูตรงทางเดินพอดี
“ธาร”
เธอร้องเรียกขึ้นอย่างยินดี บอกเพื่อนที่เดินมาด้วยกันให้ไปก่อน “ไม่ได้เจอเลย โทรไปก็ไม่รับสาย
ธารโกรธบัวเรื่องอะไรหรือเปล่า” เธอดึงแขนเสื้อเขาให้เดินมาในจุดที่คนไม่พลุกพล่านมากนัก
“เปล่านี่ครับ”
“แต่ธารไม่เคยรับสายบัวเลย
ไม่เคยโทรหา แล้วก็..ถึงแม้เราจะเจอกันโดยบังเอิญธารก็ไม่เคยทักบัวก่อน”
เธอก้มหน้าเพราะตาเริ่มแดง ๆ ระบายทุกอย่างออกมาด้วยความน้อยใจ
“ธารน่ะไม่คิดถึงกันแล้ว”
“ไม่เอาน่าบัว
เราคุยเรื่องนี้กันแล้วนะบัวบอกเองใช่ไหมว่าเต็มใจและจะไม่มานั่งเสียใจทีหลัง
ผมเคยบอกไปแล้วว่าผมยังไม่คิดจะหยุดที่ใครทั้งนั้น วันนั้นบัวก็บอกว่าเข้าใจนี่”
“แต่บัวคิดถึงธาร
‘คิดถึง’ ”เธอย้ำคำว่าคิดถึงให้เขารู้ว่าเธอหมายถึงอะไร
“บัวรักธารนะ เรามาคบกันได้ไหม บัวไม่อยากอยู่ในสภาพแบบนี้แล้ว บัวอยากคบกับธารให้เป็นเรื่องเป็นราว
อยากยืดอกบอกใคร ๆ ว่าเราเป็นของกันและกันแล้ว” เสียงเธอสั่นเหมือนคนจะร้องไห้
ธาราธารกวาดตามองเธอแบบเต็ม ๆ ตัว เธอใส่เสื้อกาวด์แบบสั้นถือแฟ้มอยู่ในมือ
คงเพิ่งผ่านการทำแลปมาเหมือนกัน
“เย็นนี้บัวว่างไหม?
กินข้าวกับผมนะ”
เขาพูดสั้น ๆ
แค่นั้นแต่บัวชมพูยิ้มแก้มแทบปริ
เธอเกาะแขนเขาอย่างยินดีความรู้สึกตื้นตันเอ่อล้นเต็มไปหมดเหมือนรอคอยมานาน
ขณะที่ฝ่ายคนชวนยังตีสีหน้านิ่งเฉยไม่เปลี่ยน
...หากเธอรู้ว่าเขากำลังจะสลัดเธอทิ้งเธอจะร้องไห้หนักขนาดไหนกันนะ...
“ทำไมธารเลือกที่นี่”
พอมาถึงห้องอาหารบรรยากาศสุดแสนโรแมนติกภายในโรงแรมหรูมีระดับบัวชมพูก็ยิ้มหน้าบาน
“แสดงว่าธารจำได้ใช่ไหมคืนที่เราสองคน....” เธอพูดอย่างเอียงอายหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อที่นี่คือห้องอาหารที่เขากับบัวชมพูเคยมาทานข้าวด้วยกันพร้อม
ๆ พี่รหัสทั้งสาย
“เปล่า
เพราะที่นี่ใกล้บ้านบัวที่สุด”
เพราะเมื่อเขาขอเลิกเธออาจทำใจไม่ได้
เสียใจมากเขาจะได้พาเธอไปส่งในที่ใกล้ๆที่สุดและปลอดภัยนั่นก็คือบ้านของเธอเอง
“ใครบอกวันนี้บัวจะค้างที่บ้าน”
เธอเอียงหน้าเขินอายซบใบหน้าเข้ากับต้นแขนเขา “บัวจะไปค้างห้องธารต่างหาก” ริมฝีปากสีสดซุกไซ้จนแขนเสื้อเชิ้ตติดสีของลิปสติก
ยิ่งเธอได้กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆที่เขาชอบใช้เธอยิ่งต้องการเขาแทบคลั่ง
เธอกัดแขนเขาเล่นเบา ๆ
“ทานหอยเชลล์ราดซอสเปรี้ยวหวานละกันนะ
ไม่อ้วนดี”
เมื่อพนักงานเดินมารับออร์เดอร์เขาจึงสั่งให้เธอเสร็จสรรพ
อาหารชั้นเลิศถูกเสิร์ฟพร้อมกับไวน์ขาวชั้นดีมีพนักงานเข้ามารินให้ทั้งเธอและเขา
เธอหยิบก้านแก้วไวน์ขึ้นมาระดับสายตาแล้วแกว่งไปมาเบา ๆ เหมือนกำลังให้ท่าเขาอย่างไรอย่างนั้น
ธาราธารจึงยกแก้วของตนเองขึ้นเอียงแตะกันพอเป็นมารยาท ทั้งสองคนทานอาหารกันจนเสร็จเรียบร้อย
ธาราธารจึงชวนเธอลงไปที่โซนเอาท์ดอร์ของโรงแรมสถานที่ซึ่งเป็นระเบียงสวยยื่นลงไปที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาหญิงชายหลายคู่กำลังเก็บเกี่ยวบรรยากาศแสนโรแมนติก
ฝั่งตรงข้ามมองเห็นเจดีย์ประดับไฟสีส้มระยิบระยับสวยงามมาก ก่อนที่ใบหน้าหวานแต้มรอยยิ้มสวยซึ้งจะหันมามองเขาด้วยแววตาที่หวานฉ่ำ
“ขอบคุณมากนะธาร
วันนี้บัวมีความสุขมากๆเลย บัวรักธารที่สุด”
เธอโผเข้าไปซบเอวเขาไว้แบบไม่อายสายตาใคร ถึงแม้คนจะไม่เยอะแต่พนักงานที่ยืนตามจุดต่าง
ๆ ก็มี เขาดึงตัวเธอออกนิดหน่อยใช้สายตาบอกให้เธอรู้ว่ามีใครหลายคนมองอยู่ มันไม่ดีกับตัวเธอเอง
“ช่างสิก็บัวมีความสุขนี่
เรากลับกันเลยไหมไปห้องธารนะ พรุ่งนี้วันเสาร์บัวไม่มีเรียนธารเองก็ไม่มี บัวเช็คมาเรียบร้อยแล้ว”
ธาราธารพลูลมหายใจก่อนจับไหล่บางให้หันมาเผชิญหน้ากับเขาตรง
ๆ
“บัวครับ...ฟังผมให้ดีๆนะ ผมจะไม่ทำอย่างนั้นกับบัวอีกแล้ว” ดวงตาคมกริบจ้องเข้าไปในแววตาเธอเพื่อบอกให้รู้ว่าสิ่งที่เขากำลังพูดนั้นคือเรื่องจริงๆไม่ใช่พูดเล่น
ดวงตาสวยไหวระริกคล้ายคนกำลังหวาดกลัว
“บัวเก็บสิ่งที่บัวควรถนอม
รักษาไว้ให้กับผู้ชายดี ๆ ที่เขารักบัวและบัวก็รักเขาจากใจจริงจะดีกว่านะครับ คนอย่างผมไม่มีค่าพอสำหรับความรักของบัวหรอก
ลืมผมซะนะ”
“...ธาร....”
เธอจ้องเขานิ่ง
พึมพำเสียงอ่อนก้าวถอยหลังไม่รู้ตัว มีหยาดหยดน้ำตาที่ไหลตกลงมาบนผิวแก้มสวย
เขายกมือขึ้นปาดมันให้เธออย่างเบามือ
“อย่ามาเสียเวลากับคนอย่างผมเลย
คนเลว ๆ คนที่ไม่มีคุณค่าพอจะหยุดลงที่ใครสักคนได้”
‘ผมไม่รู้ว่าตัวเองจะทำได้ดีแค่ไหน
ผมไม่เคยคบใครจริงจังแต่ผมอยากหยุดอยู่ที่พี่เป็นคนสุดท้าย ต่อไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นขอให้พี่รู้ไว้ว่าคนที่ผมรักคือพี่คนเดียว’
นานมาแล้วที่เขาเคยพูดประโยคนี้กับคนๆหนึ่ง
แต่มันจะมีความหมายอะไรในเมื่อ
คนๆนั้นขยี้ความรักและความตั้งใจของเขาแหลกเละไม่มีชิ้นดี
“ทำไม!..ทำไมถึงเป็นบัวไม่ได้
ทำไมธารถึงหยุดที่บัวไม่ได้ ทำไมถึงเป็นบัวไม่ได้”
“ไม่ใช่แค่กับบัวหรอก กับทุกคนต่างหาก”
“ไม่จริง!
ธารมีคนที่ธารคิดจะหยุดด้วยอยู่แล้วบัวดูก็รู้ เพียงแต่บัวไม่รู้ว่าใครคือคน ๆ
นั้น ธารคงไม่รู้ตัวเวลาที่ธารพูดในแววตาของธารส่งผ่านไปถึงใครสักคน...คนที่โชคดีคนนั้น”
น้ำตาเธอไหลรินลงมาป็นทางเมื่อพูดถึงใครคนนั้นของเขา คนที่เธอคิดว่าโชคดี
...หากแต่
นั่นไม่ใช่ความโชคดีเลยสักนิด...
“ผมขอโทษ..ทุกอย่าง..ขอให้บัวโชคดีนะครับ”
เมื่อสายลมยามดึกพัดโกรก
พาเอาลมหายใจที่เจือไปด้วยความผิดหวังพัดหาย
ถึงแม้ว่าเธอจะรักเขามากมายแค่ไหนแต่ในเมื่อเขาตั้งใจปฏิเสธกันถึงขนาดนี้เธอเองก็มีคำว่าศักดิ์ศรีหลงเหลืออยู่ในตัว
“ธารยังเป็นน้องรหัสบัวเหมือนเดิม
และธารคือ..คนแรก..บัวไม่มีวันลืม”
เธอพูดแล้วส่งยิ้มบางให้เขาก่อนจะเดินหันหลังเข้าบ้านไป เขาใช้เวลาขับรถไม่นานก็มาถึงหน้าคฤหาสน์หลังงามที่เขาไม่ได้กลับมาเกือบๆสองสัปดาห์
คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเมื่อเห็นร่างคุ้นตาของใครบางคนก้มๆเงยๆอยู่แถวพุ่มไม้ประดับข้างโขดหินริมสระน้ำหน้าบ้าน
“ทำอะไรอยู่น่ะ”
เสียงทุ้มที่ดังขึ้นด้านหลังทำเอาวารินถึงกับสะดุ้งโหยง
เพราะมัวแต่สนใจกับสัตว์ตัวเล็กๆที่ติดอยู่ที่กิ่งไม้จนไม่ทันได้ยินว่ามีเสียงรถขับเข้ามาจอดด้านใน
“ธาร...นกมัน...”
สองมือเล็กของวารินโอบอุ้มลูกนกตัวน้อยไว้ในอุ้งมือ
เขาชูมันให้เด็กหนุ่มดูแล้วทำสีหน้าเหมือนกับจะร้องไห้
ธาราธารเดินเข้ามาหาคนตัวเล็กอย่างเร็ว
ใจเขาวูบโหวงไปหมดแค่เห็นวารินทำสีหน้าแบบนั้น เหมือนกับว่าเขาจะลืมเลือนความโกรธแค้นที่มีกับคนตัวเล็กทิ้งไว้ที่ไหนสักแห่ง
“มันคงตกลงมา
แต่ยังไม่ตายหรอก หาที่นอนอุ่น ๆ
มาไว้ให้มันกันไม่ให้มดแดงมาไต่เดี๋ยวพรุ่งนี้รับรองมันบินปร๋อแน่”
วารินรีบวางมันลงที่รังเล็กๆของมันทันที
ร่างเล็กวิ่งเข้าไปในบ้านดึงสำลีมาจากตู้ยาแล้วหยิบผ้าผืนเล็กๆชุบน้ำมาโอบรอบรังของมันไว้อย่างเบามือ
ธาราธารมองคนที่วิ่งไปวิ่งมาตกแต่งรังนอนให้กับนกด้วยสายตาที่เขาเองก็อธิบายไม่ถูก
...ทั้งๆที่รักแต่มันก็แสนจะแค้น..ทั้ง
ๆ ที่แค้นแต่มันก็สุดแสนจะรัก...
“ดาว!
ทำไมยังไม่นอน? มันดึกแล้วไม่ใช่หรือไง”
เขาเฉไฉหัวใจตัวเองตั้งคำถามกับนับดาวที่เดินออกมาพอดี
เด็กสาวถึงกับสะดุ้ง ปกติธาราธารเคยถามเรื่องแบบนี้กับเธอที่ไหน
นับดาวจึงมองไปที่วารินเพราะคิดว่าคนที่เจ้านายของเธอต้องการจะถามคงจะเป็นวารินมากกว่า
“เอ่อ..ดาวกับพี่ทรายรอเปิดบ้านให้คุณธารน่ะค่ะ”
นับดาวจำเป็นต้องตอบเพราะเห็นวารินยังเงียบ
“จำเป็นอะไร
นายเตก็อยู่
แยกย้ายกันไปนอนได้แล้วนี่มันจวนจะห้าทุ่มอยู่แล้วยังมาชมนกชมไม้กันอยู่ได้” เขากระแทกเสียงใส่ ใบหน้าคมเข้มแหงนเงยมองท้องฟ้ามืด
คืนนี้น้ำค้างค่อนข้างแรงเขาไม่อยากให้คนแถว ๆ นี้ต้องมาเจ็บป่วยตัวร้อนเพราะตากน้ำค้าง
เดี๋ยวจะเป็นภาระให้นับดาวต้องดูแลไปอีกคน
“เดี๋ยวก่อน!”
พอเดินกันเข้ามาที่ด้านใน
นับดาวกับวารินกำลังจะเดินไปที่ห้องด้านหลัง
ธาราธารจึงเรียกขึ้นเขาฉุดแขนเล็กรั้งไม่ให้เดินต่อ
“เดี๋ยวเอากาแฟขึ้นไปให้ผมที่ห้องหนังสือด้วย
แล้วรออยู่ที่นั่น มีธุระจะคุย”
วารินพยักหน้ารับคำหลังชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง
เขาไม่สามารถปฏิเสธคน ๆ นี้ได้อยู่แล้วถึงไม่เอาขึ้นไปให้
ธาราธารก็ต้องลงมาหาเรื่องเขาที่ห้องอยู่ดี
ไม่นานนักกาแฟร้อนหอมละมุนก็ถูกเสิร์ฟลงที่โต๊ะที่เต็มไปด้วยกองเอกสารสำคัญต่าง
ๆ เด็กหนุ่มขยับแว่นสายตาเล็กน้อยละสายตาจากเอกสารในมือ
ไม่รู้เป็นเพราะเขาอาบน้ำเร็วหรือวารินชงกาแฟช้ากันแน่
“นั่งสิ นั่นปากกา นี่แฟ้มงานของโรงแรมทั้งหมดตั้งแต่วันที่คุณแม่ไม่สบาย อ่านแล้วบรีฟออกมาให้ผมฟัง”
เขาเลื่อนแฟ้มกองใหญ่ส่งไปให้วาริน
คนตัวเล็กมองหน้าเขาอย่างแปลกใจไม่เข้าใจทำไมจู่ ๆ วันนี้เรียกมาทำงานช่วย วารินจำใจนั่งลงไปอย่างช่วยไม่ได้
เขาสองคนนั่งทำงานกันไปเงียบ
ๆ นานเป็นชั่วโมงโดยไม่มีใครพูดอะไร ดวงตาคมกริบมองคนตัวเล็กที่นั่งก้มหน้าก้มตาอ่านแล้วจด
อ่านแล้วจด จะว่าไปเรื่องราวที่เขาได้ฟังมาจากทัตพลพ่อของเขาก็มีส่วนทำให้เขาอ่อนลงกับวารินมาพอสมควร
แต่ถึงอย่างนั้นวันนี้ที่เรียกให้มาอ่านรายงานกองโตของทางโรงแรมช่วยจริง ๆ ก็เพราะอยากแกล้ง
แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือเขาไม่ได้เห็นหน้าวารินมาสองอาทิตย์แล้วแม้แต่เสียงก็ยังไม่ได้ยิน
...จะทำอย่างไรได้ในเมื่อหัวใจมันไม่เชื่อฟังเขาเลยจริง
ๆ ....
มือเล็กยกขึ้นปิดปากเมื่อหาวหวอดๆออกมาถึงสองสามรอบขณะที่อีกคนยังนั่งนิ่งไม่รู้สึกง่วงเลยสักนิด
“เดี๋ยวพี่จะสรุปเรื่องงบการเงินคร่าว
ๆ ให้ธารฟังก่อน ส่วนงานในแผนกอื่น ๆพี่เขียนสรุปไว้ให้ในนี้แล้วไว้ธารค่อยๆอ่านไปก็แล้วกันนะ”
แล้ววารินก็ค่อยๆบรีฟเรื่องราวของฝ่ายบัญชีการเงินให้ธาราธารฟัง
คำว่าคร่าว ๆ ของเขานั้นละเอียดมากพอตัว
“ธารอย่าดูเพียงแค่การรวบรวมตัวเลขทางการเงินอย่างเดียว แต่ธารต้องทำความเข้าใจและตีความให้ได้ว่าตัวเลขแบบไหนที่เป็นตัวชี้ว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้นตรงไหน
เราจะได้สามารถเข้าไปจัดการแก้ไขได้ทัน”
ธาราธารมองนาฬิกาโบราณเรือนเล็กที่ตั้งอยู่ไม่ไกล
เขาปิดแฟ้มลงแล้วถอดแว่นสายตาวางไว้
“วันนี้แค่นี้เถอะ
เดี๋ยวผมจะอ่านหนังสือเรียนต่อสักหน่อย พี่ทรายลงไปเลยก็ได้พรุ่งนี้ค่อยมาทำในส่วนที่เหลือต่อ”
นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดเรื่องที่ธาราธารเรียกเขาว่า
‘พี่ทราย’ ด้วยน้ำเสียงคงที่ไม่มีประชดประชัน
วารินน้ำตารื้นขึ้นมาทันที ไม่ได้หวังจะกลับไปดีกันเหมือนเดิมขอแค่อีกฝ่ายอภัยให้กับเขา เผื่อว่าจะมีโอกาสให้เขาได้เข้าไปดูแลภัครจิราชดเชยความผิดที่ได้ทำบ้างเท่านั้น
“เดี๋ยว!”
ขณะที่วารินกำลังจะเปิดบานประตู
ท่อนแขนแข็งแรงเอื้อมมาดึงแขนเล็กของเขาไว้ วารินเซถลาตามแรงดึงเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดใหญ่
เขาสอดมือเข้ามาที่ด้านหลังจุมพิตลงที่ต้นคอขาวนั่นเบา ๆ ปลายจมูกโด่งสูดเอากลิ่นหอมเฉพาะตัวของวารินไว้ในลมหายใจทั้งหมดโดยใช้เวลาแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้น
วารินรีบหันกลับมามองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยรอยสั่นไหว
...เขากลัว
กลัวความโหดร้ายป่าเถื่อนที่ธาราธารทำกับเขา....
...ทว่าอีกใจ..กลับโหยหาอ้อมกอดจากซาตานร้ายนั่น...
วารินไม่เข้าใจว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้นทำไมธาราธารถึงได้แสดงด้านอ่อนโยนกับเขานัก
“รีบลงไปสิ”
เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น
หันหลังแล้วเดินกลับมานั่งลงที่โต๊ะ
ดวงตาคมจดจ้องใบหน้าเล็กของวารินไม่ยอมให้หลุดลอดไปไหน
....สายตาทั้งคู่สบกัน...นานเป็นนาที...
ในที่สุดเป็นเขาเองที่ทนไม่ไหวลุกเดินไปกระชากคนตัวเล็กเข้ามากดจูบลงที่ริมฝีปากสวย
สองมือของเขาประคองศีรษะวารินไว้แน่นทั้งเดินทั้งจูบดันตัวอีกคนให้ถอยหลังร่นไปที่โต๊ะหนังสือ
จุมพิตที่ดูดดื่มหวานล้ำไม่เหมือนทุกครั้งที่เขาเคยทำ
วารินถึงกับกำชายเสื้อเขาไว้แน่น เขาดูดดุนปลายลิ้นเล็กๆดูดแล้วดูดอีกราวกับว่ามันเป็นของเล่นชิ้นเลิศที่เนิ่นนานใช่ว่าใครจะได้ลิ้มลอง
เขาสัมผัสจนพอใจจู่ ๆ ผลักคนตัวเล็กออกห่าง
วารินที่หน้าแดงซ่านเงยมองเขาอย่างไม่เข้าใจ
“ชอบไหม?
เวลาที่ผมทำดีด้วย”
“..ธาร...” เสียงเล็กพึมพำเรียกอย่างคนไม่เข้าใจในคำถามของเขา
“ผมให้พี่เลือก
จะทำให้ผมพอใจ หรือจะให้ผมทำจนพอใจ”
เขาเอ่ยขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์
วารินที่หน้าขึ้นสีอยู่แล้วยิ่งหนักเข้าไปใหญ่
ไม่รู้อะไรดลใจวันนี้ธาราธารแปลกไปมากจริง ๆ
“ต...แต่เมื่อกี้ธารจูบไปแล้ว”
“ผมจะนับถึงสาม
ถ้าพี่ยังไม่ยอมทำอะไรสักอย่างผมจะถือว่าพี่เลือกอย่างหลัง หนึ่ง.... สอง....
สะ”
ยังไม่ทันได้เอ่ยถึงสาม
วารินเดินเข้าไปเกาะบ่าเขาเขย่งปลายเท้าแล้วจูบลงที่แก้มเขาเบา ๆ ทั้งสองข้างอย่างรวดเร็ว
“แค่นี้พอใจรึยัง”
พอหอมเสร็จคนตัวเล็กถอยร่นมายืนชิดผนังห้อง
มองดูคนตรงหน้าอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
มือใหญ่ยื่นออกไปกวักเรียกให้เดินเข้ามาหาเขาใกล้ ๆ แต่วารินยังไม่ยอมขยับ จนเขาต้องเดินออกมาจากโต๊ะที่พิงอยู่ดึงแขนวารินให้เข้ามาใกล้
ตัวเขานั่งลงที่เก้าอี้
“คิดว่าผมจะพอใจไหม
ทำแค่นั้น??” เขามองดวงหน้าเล็กๆของคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“ต่อไปนี้
ถ้าไม่อยากให้ผมรุนแรงด้วย พี่ต้องเป็นคนทำให้ผมพอใจด้วยตัวของพี่เอง” เขาว่าจบกระชากแขนเล็กให้ล้มลงในอ้อมกอดของเขา
ริมฝีปากฉกเข้าจูบที่เรียวปากสวยทันที
“ปีนขึ้นมา”
เขาว่าทั้งที่ยังดูดดุนปลายลิ้นอีกคนอยู่ไม่หยุด
วารินขืนตัวไว้แต่ไหนเลยจะสู้แรงเขาได้ เสื้อนอนบาง ๆ
ที่สวมอยู่ถูกเขาปลดกระดุมออกไปตอนไหนแทบจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำเขาเลื่อนริมฝีปากลงมาครอบครองเข้าที่ยอดอกสีสวย
ลิ้นร้อนๆไล้เลียไปจนถ้วนทั่วเปียกชื้นไปหมดวารินที่ยืนอยู่แทบทรงกายไว้ไม่ได้ทั้งทรมานทั้งวาบหวามไปหมด
“อื้ออ...”
มือเล็กโอบกอดศีรษะเขาไว้บิดตัวด้วยความเสียวซ่าน
เมื่อรู้สึกตัวอีกทีกางเกงนอนขายาวก็ถูกเขาปลดร่นลงจนถึงปลายเท้า
วงแขนแกร่งโอบเอาเอวบอบบางแล้วดึงตัวอีกคนขึ้นมาอยู่บนตักของเขา กางเกงนอนของเขาถูกเลื่อนออกนิดหน่อยพอให้แก่นกายที่ชูชันของได้โผล่พ้นออกมา
“ธาร! อย่า...ไม่เอาพอเถอะ” วารินผลักหน้าอกเขาไว้
ความทรงจำเลวร้ายผุดขึ้นมา วารินทั้งกลัวเขาทั้งอยากให้เขาสัมผัส
“ผมหยุดไม่ได้แล้วล่ะ
เสียใจด้วย”
เขาเลื่อนริมฝีปากร้อนขึ้นมาครอบครองที่เรียวปากนุ่มนิ่มอีกครั้งก่อนจะบดเรียวปากหนักหน่วงเร่าร้อนและอ่อนหวาน
วารินที่นั่งคร่อมตักเขาอยู่ถูกเขาโอบรัดไว้แนบอกจนแน่น
เขาเอื้อมมือเปิดลิ้นชักหยิบเจลเย็นสีใสขึ้นมาป้ายที่ช่องทางด้านหลังของร่างที่เขาโอบอุ้มไว้
เรียวนิ้วร้ายสอดเข้าออกที่ช่องทางรักจนอีกคนต้องบิดแอ่นร่างกายเพราะความรัญจวนเมื่อเขากดเข้าที่ปุ่มกระสันแต่ละทีคนตัวเล็กถึงกับครางฮือลงที่ข้างหู
เขาค่อยขยับสอดกายร้อนขึ้นใส่สะโพกกลมกลึงขณะที่คนด้านบนพยายามกดสะโพกตัวเองลงด้วยอีกแรง
“อ๊าา..” ในที่สุดความลึกล้ำที่แนบสนิทยิ่งเติมไฟปรารถนาให้แผดเผารุนแรงขึ้น
ธาราธารกระแทกสะโพกสวนขึ้นรัวเร็วไม่มียั้ง
“ฮื้ออ...”
วารินครางดังลั่นสะโพกบางสวนเข้าหาอย่างร้อนแรงเช่นกันนั่นทำเอาอีกฝ่ายถึงกับเผลอยิ้มออกมาอย่างพอใจ
“เก่งมาก” เสียงทุ้มเอ่ยชม
เขาตวัดวงแขนแกร่งกระชับแนบชิดจนสองร่างไม่เหลือช่องว่างระหว่างกัน
วารินครางกระเส่าด้วยความรัญจวน
“เรียกชื่อผม”
“อื้ออ..ไม่
ธาร..พอแล้ว ไม่ไหว” เสียงหวานครางแผ่ว ส่ายหน้าร้องขอทั้งที่ยังโอบรอบคอเขาไว้
ยิ่งเพิ่มความกระสันให้เขาเป็นเท่าตัว
“เรียกใหม่
เรียกชื่อผม” เขาสั่งย้ำ
“..ธาร..” วารินครางกระเส่า
เขายิ้มน้อย
ๆ ขณะที่อารมณ์ปรารถนาทะยานขึ้นอย่างรวดเร็วฉุดคร่าสติสัมปชัญญะและความกระดากอายทั้งหมดให้เลือนหายไป
ในยามนี้มีแต่ความปรารถนาแรงกล้าที่สองคนมีต่อกันเท่านั้น
“..พี่..ทราย..”
เสียงทุ้มพร่าต่ำคำรามหนักเมื่อร่างกายช่วงล่างของอีกคนบีบรัดจนทำเอาเขาแทบระเบิด
ริมฝีปากร้อนเข้าดูดกลืนยอดอกที่ชูชันไล้เลียส่วนที่แข็งเป็นไตรอรับสัมผัสเสน่หาจากเขา
สะโพกทั้งสองสอบเข้าหากันกระชั้นถี่และเร่าร้อน เขาละมือข้างหนึ่งออกมารูดรั้งแก่นกายของอีกคนทั้งรัวและเร็ว
กระทั่งช่องทางแสนคับแคบบีบรัดหนักหน่วงรุนแรงเขากระแทกกระทั้นกายตอบรับอย่างไม่มีเหน็ดเหนื่อย
วารินครางฮือลั่นห้องก่อนสองร่างจะกระตุกปล่อยธารรักสีขาวเร่าร้อนเข้าใส่กันและกันทุกหยาดหยด
“เก่งนี่
ทำให้ผมพอใจอย่างนี้ให้ได้ตลอดล่ะ”
เขาพูดทั้งที่ยังหอบหนักขณะที่อีกคนแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงซบอกเขาไว้แน่น
ทว่าพอผ่านไปได้สักครู่เขาจึงเอ่ยถ้อยคำบางอย่างขึ้น “ลืมเสียให้หมด ใครหน้าไหนที่พี่เคยผ่านมา
จดจำแค่ผมคนนี้คนเดียว”
สิ้นคำพูดนั้นวารินละใบหน้าออกจากบ่าแกร่งจ้องมองเขาทันที
แววตาเขาเฉยชาราวกับคนไร้ความรู้สึก แตกต่างจากธาราธารคนเมื่อกี้ราวฟ้ากับเหว
เขาดันคนตัวเล็กออกเพื่อให้ถอนกายออกได้สะดวก วารินขาล้าและสั่นแทบจะยืนไม่อยู่ขณะที่เขาไม่ได้สนใจ
ยื่นแค่กระดาษชำระส่งให้
“เช็ดซะ
แล้วลงไปอาบน้ำข้างล่าง ดึกมากแล้ว ผมจะพักผ่อน”
ถ้อยคำเย็นชาพร่างพลูอออกมาจากริมฝีปากได้รูปของเขา วารินก้มลงหยิบกางเกงขึ้นมาสวม
มือเล็กทยอยติดกระดุม ขณะที่น้ำตารินตกในหัวใจนั้นร้าวรานยิ่งกว่าสิ่งไหนๆ
มองแผ่นหลังกว้างที่แสนเย็นชายืนนิ่งอยู่แบบนั้น
จะไปหวังอะไรกับอ้อมกอดปลอบประโลม
เขาตีค่าราคาแค่ที่ระบายในยาม ‘อยาก’ ก็แค่นั้น
เขามันโง่เข้าใจผิดคิดไปเองว่าอีกคนดีด้วยเพราะว่ารัก
เพราะว่าต้องการกันจริง ๆ นอนทอดกายให้คนตรงหน้าอย่างไร้ยางอายที่สุด
และสุดท้ายก็โดนเขาดูถูกกลับมาเหมือนเดิม
....เหมือนทุกๆครั้ง....
ขณะที่ร่างสูงใหญ่หันหลังให้อีกคน มองทอดออกไปที่ระเบียงด้านนอก รอยวูบไหวในดวงตาที่วารินไม่มีวันจะมองเห็น ทั้งที่รู้สึกเวทนาคนตัวเล็กแทบขาดใจ รู้ทั้งรู้ว่าสิ่งที่เขาทำมันแสนจะโหดร้าย ทั้งคำพูดทั้งการกระทำ แต่จะให้ทำดีด้วยด้วยความรู้สึกแสนบริสุทธิ์แบบเก่ามันเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว เมื่อความทรงจำมากมายไหลทะลักกลับมาตอกย้ำให้เขาได้เจ็บปวดยิ่งขึ้นไปอีก
Heart, my one weakness
Pretend to
be strong but I actually can’t bear it
I need both
love and someone to understand
I have to
keep them with myself it’s just only
I don’t want
anyone to know that deep down inside how much I love you with all my heart
(Cr.ที่ไหนสักแห่ง ลืม)
Tbc.