# 21 ฆาตกร / ปิดคดีคำให้การจากศพเกย์
เขาเกลียดผู้หญิง
ไม่เคยไว้ใจหรือชื่นชมต่อเพศหญิง ในความคิดของเขาร่างกายผู้หญิงมีค่าเฉพาะเพื่อใช้ระบายความใคร่ในรูปแบบที่เหล่าผู้ชายต้องการก็เท่านั้น
ตั้งแต่เด็กเขามักเป็นที่ระบายอารมณ์ของผู้หญิงที่เรียกตัวเองว่า ‘แม่’ ไม่ว่าเขาจะทำอะไรจะหยิบจับสิ่งไหนก็ผิดอยู่เสมอ แม่ไม่เคยให้กำลังใจ ไม่เคยปกป้อง ไม่เคยชื่นชมเขา แม้แต่ตอนที่เขาดีใจที่สุดเมื่อตอนสอบเข้าชั้น ม.1 ได้ แม่ก็ด่าว่าทุบตีเขาสารพัด
“ไอ้เด็กเวร แกมันตัวซวยเกิดมาก็ทำให้กูตกอับเลิกกับผัวแล้วยังจะมาสอบได้ที่นั่นที่นี่ จะให้กูหาที่ไหนให้มึงเรียน ทำไมมึงไม่ตก ๆ ไปซะ ไอ้เด็กเปรต!!”
เขามีปัญหาแต่เล็ก พ่อกับแม่หย่ากันตั้งแต่เขาอายุได้ 5 ขวบ ลือกันว่าแม่ของเขาใช้นาผืนน้อยของเธอทำมาหาเลี้ยงตัวเองและเขาจนเติบโต บ่อยครั้งที่เขาต้องทนได้ยินเสียงกระเส่าของเธอกับคนแปลกหน้าที่เธอพามาค้างขณะนั่งอ่านหนังสืออยู่ภายในห้อง เขาเคยโดนทำโทษให้ยืนอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องนานถึงสองวันสองคืนโดยไม่ให้นั่งไม่ให้นอนไม่ให้แม้กระทั่งน้ำสักหยดจากผู้ชายคนที่แม่พามาค้างด้วยนานกว่าทุกคน เมื่อเขาล้มลงไปก็จะถูกหิ้วขึ้นมาแล้วถูกโบยซ้ำแล้วซ้ำอีก จากไอ้คนโรคจิตที่มันชื่นชอบการทรมานเด็กเป็นชีวิตจิตใจ
เขาเคยโดนหนึ่งในบรรดาชายของแม่ใช้มีดขู่บังคับให้ใช้ปากทำรักให้มันจนสำเร็จ มิเช่นนั้นแล้วมันจะตัดจู๋เขาทิ้ง นั่นทำให้ประสบการณ์ในเรื่องเพศของเขายิ่งน่าตื่นกลัว
สายเข็มขัดหนังเส้นโตฟาดลงที่ศีรษะเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากชายอีกคนที่แม่พามาค้างในอีกสัปดาห์ต่อมาเหตุผลเพียงเพราะเขาเดินผ่านแล้วบังหน้าจอโทรทัศน์ก็เท่านั้น
แม่ไม่เคยต่อว่าผู้ชายเหล่านั้น แม่ไม่เคยพาเขาไปหาหมอ
ไม่เคยมีคำพูดปลอบใจใด ๆ
น้ำตาเขาเหือดแห้งไปเองเสมอ พร้อมกับรอยแผลเป็นในใจที่ขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
มันผิดที่เขามักเรียนเก่ง เด็กฉลาดมักชอบถาม แต่ถามทีไรเขาโดนเธอตบปากจนเลือดกลบทุกครั้ง
แต่เขาก็ยังอยากจะถาม
เพราะนั่นหมายถึงเขาจะได้คุยกับแม่....
เป็นแบบนั้นตั้งแต่เล็กจนโต
ในที่สุดเขาสอบเรียนต่อได้ที่มหาวิทยาลัยเล็ก ๆ แห่งหนึ่งทางภาคตะวันออก ความฝันของเขาเป็นจริงเขาไม่ต้องทนอยู่กับหล่อนอีกต่อไปงั้นหรือ หรือจริง ๆ แล้วเขาไม่อยากจากแม่ไปไหนเลยต่างหาก
ความคิดเขาเริ่มสับสน
ไม่มีความยี่หระอะไรที่แม่แสดงออกมาตอนที่รู้ว่าเขาต้องไปเรียนต่างถิ่น
แม่ลูกเหมือนดั่งคนแปลกหน้า
“มึงจะไปไหนก็ไป ไปแล้วไม่ต้องมายุ่งกับกูอีก ภาระกูจะได้หมดเสียทีสวรรค์โปรดกูจริง ๆ รีบไปเร็ว ๆ เลยยิ่งดี ”
เสียใจงั้นหรือ ????
ไม่หรอก เขาจะได้ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่สักที
จะไม่มีใครที่รู้ว่าเขาเคยเป็นยังไง
ทุกอย่างจะใสสะอาด
ในที่สุดเขาได้ไปเป็นผู้ช่วยหยิบจับทำความสะอาดเครื่องมือแพทย์อยู่ที่คลินิกเล็ก ๆ ประจำจังหวัด อาศัยหัวดีครูพักลักจำจึงพอจะมีวิชาความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ ติดตัวมาบ้าง
และเหมือนดั่งฟ้าเป็นใจ โสเภณีคนหนึ่งสอบถามเขาเกี่ยวกับเรื่องทำแท้งเถื่อนนอกสถานที่
นั่นทำให้เขาเห็นช่องทางทำมาหากินที่เป็นรายได้ก้อนโต
เขารู้สึกเป็นสุขใจทุกครั้งที่ได้กดกรีดมีดลงไปที่เนื้อหนังของคน เวลาที่เขาใช้เครื่องมือล้วงคว้านเข้าไปภายในอวัยวะเพศ เขาจะเห็นสีหน้าเจ็บปวดทรมานของคนเหล่านั้น เขามีความสุขทางกามารมณ์เหลือหลายบางครั้งถึงกับต้านทานไว้ไม่อยู่หลั่งออกมาจนสุขสมเลยก็มี
ความรู้สึกรักร่วมเพศของเขาเริ่มฉายชัดภายในจิตใจ เมื่อเกิดภาพซ้อนระหว่างที่ทำแท้งเถื่อนให้กับพวกโสเภณีเหล่านั้น เขาเห็นเป็นใบหน้านายแบบชายที่เขาหลงรักกำลังออดอ้อนด้วยความเจ็บปวด
เขาเริ่มมีจินตนาการเรื่องการตัดอวัยวะเพศ และเริ่มหลอกตัวเองว่านั่นเป็นผลจากการถูกคุกคามทางเพศจากเหล่าผู้ชายของแม่ตั้งแต่เด็ก เขารู้ว่าตัวเขาเริ่มมีพฤติกรรมแปลกแยก เข้ากับคนอื่นไม่ได้ แต่เขาก็เรียนรู้ได้ว่าเมื่ออยู่ร่วมกับคนอื่นๆบุคลิกภายนอกต้องดูดีเสมอ เขาพยายามเป็นอย่างมากเพื่อให้เหมือนคนปกติธรรมดาในสังคม แต่พอกลับมาถึงห้องเขาแทบขาดใจ
ระหว่างนั้นเขาไปพบจิตแพทย์สองสามครั้ง แต่หมอก็ชอบถามซอกแซกอยากรู้โน่นนี่ เขาเลยหยุดไปเสียดื้อ ๆ
จู่ ๆ ก็มีความคิดจะลาออกจากมหาวิทยาลัย ในขณะที่งานหมอเถื่อนกระเป๋าหิ้วเริ่มมีลูกค้ามากขึ้นเป็นลำดับ
โสเภณีพัทยากินเท่าไหร่ก็ไม่หมด แหล่งขุมเงินขุมทองของเขา
ตราบใดที่เขาไม่พลาด
รายได้เริ่มเป็นกอบเป็นกำ เขาย้ายตัวเองมาเช่าบ้านเล็ก ๆ อยู่ที่พัทยาเพื่อทำงานเต็มตัว ดาวน์รถมือสองสักคันมาไว้ขับเพื่อความสะดวกสะบาย
เขาตัดสินใจสมัครเป็นบาร์เทนเดอร์ที่บาร์แห่งหนึ่ง
แน่นอน....นั่นคือฉากหน้า
กลางวันทำงานหมอเถื่อนทำแท้ง กลางคืนเป็นนักชงเหล้าชั้นยอด
เมื่อเหนื่อยก็อยากพักผ่อน
วันนั้นเป็นวันหยุดยาว ซื้อหานักเต้นชายคนหนึ่งกะจะไปเอาที่โรงแรมแถวชานเมือง ด้วยความปรารถนาเหลือหลายมิอาจห้ามตัวเองได้ พวกเขาจอดรถแวะข้างทาง
จู่ ๆ มันถามถึงแม่เขา บอกเขาใจดีท่าทางคงเป็นคนรักแม่มาก
มันบอกแม่เขาคงเลี้ยงเขามาอย่างดี เขาถึงอ่อนโยนกับมันขนาดนี้
มือหนาลูบที่ต่างหูเพชรข้างเดียวของมัน
มันใส่เสื้อกล้ามรัดรูปสีขาว
หน้าตาบวกคำพูดฉอเลาะ น้ำเสียงออดอ้อนพาลให้นึกไปถึงเสียงของแม่กับชายแปลกหน้าคนแล้วคนเล่ายามที่เขาได้ยินเมื่อยังเล็ก
ยังไม่ทันได้ร่วมรัก ยังไม่ทันได้ทำอะไร
เขาก็เผลอใช้เนคไทด์เส้นเรียวรัดคอมัน แถมยังจับหัวมันโขกคอนโซนหน้ารถจนหมดสติไปตอนไหนก็ไม่รู้
แต่มันยังไม่ตายสักหน่อย ยังหายใจอยู่ แม้จะเบามากไปหน่อยก็เถอะ
เขาเริ่มพิจารณาร่างกายของมันช้า ๆ มันเป็นผู้ชาย มีอวัยวะเพศนูนเด่นชัด
ไม่ได้
เดี๋ยวแม่จะรู้เรื่องรสนิยมของเขา มันไม่ถูกต้อง
เขาจะตัดเฉือนอวัยวะส่วนนี้ของมันทิ้ง....ถ้ามันหายไป มันก็กลายเป็นผู้หญิงแล้ว
ผู้หญิงร่าน ๆ สมควรโดนลงโทษ
จะทำยังไง....คิด ๆ ๆ
มีกระเป๋าเครื่องมือสำหรับทำแท้งอยู่หลังรถ
มีมีด มีไซริงค์ มี....
ไวอากร้า....ฉีดให้มันตั้งขึ้น...จะได้เฉือนออกง่าย ๆ แล้วยังทำให้มันแสดงสีหน้ามีความสุขพร้อมความเจ็บปวดให้เขาได้เห็น
หน้าตาแบบผู้หญิงแสดงความเจ็บปวด เขาเกลียดผู้หญิง โดยเฉพาะพวกร่าน ๆ ต้องโดนลงโทษแบบนี้
แต่เขาทำกับผู้หญิงจริง ๆ ไม่ได้ เดี๋ยวแม่รู้ แม่ก็เป็นผู้หญิง
เอาถุงเท้ายัดปากมันไว้ก่อน เนคไทด์เส้นนั้นก็มัดมือมันไว้
แยกขามันออกแล้วค่อย ๆ กดปลายเข็มลงไปที่โคนขา เล็งที่หลอดเลือดดำจะได้ออกฤทธิ์เร็ว ๆ
สำเร็จ
ดวงตามันเบิกโพลง มันตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
หึหึ
อวัยวะเพศมันค่อย ๆ ตั้งชันขึ้นจากฤทธิ์ของยา ท่าทางมันจะเจ็บปวดมาก
เขายกมีดขึ้น บางเฉียบ คมกริบ
มันร้องไม่ออก มันยิ่งดิ้น สีหน้าหวาดกลัวแบบนั้นคือสิ่งที่ทำให้หัวใจเขาพองโต
มือหนาปลดเข็มขัดตัวเองออกพร้อมกำรูดอวัยวะเพศของตนอย่างสุขใจ
น้ำตามันไหลแล้วไหลอีก ขณะที่จุดสุดยอดของเขากำลังจะมาถึงในไม่ช้า
เขาจับหัวมันโขกแรง ๆสองสามครั้ง เพื่อสนองตัณหาขั้นสุดยอดของตัวเองเมื่อทุกอย่างพุ่งปรี๊ดสู่จุดสูงสุด
มันหมดสติไป คราวนี้ไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย
มีดบางเฉียบถูกปาดลงไปดั่งใจที่เขาต้องการ
เห็นไหม??? คน ๆ นี้เป็นผู้หญิงไม่ใช่ผู้ชายสักหน่อย
นี่คือการลงโทษสำหรับพวกร่าน ยั่ว แรด
มันตายแล้ว เลือดเต็มรถ
ไม่เป็นไร เดี๋ยวเช็ดถูหน่อยก็ออก
โยนศพทิ้งไว้แถวนี้ก็แล้วกัน
โสเภณีชาย นักเต้นชั้นต่ำ จะมีใครถามหา
ไม่มีแม้กระทั่งข่าว ที่บาร์นั่นก็ยังเปิดกิจการต่อไป ทุกอย่างเงียบเชียบ
ตัวเขาเริ่มติดใจ
การฆ่าเป็นอะไรที่สนุกสนาน มันยอดมาก
ทุกครั้งที่มีอารมณ์ทางเพศรุนแรง ตอนกลางคืนเขาก็หิ้วไปเงียบ ๆ แล้วทุกอย่างก็หายไปในเช้ามืดของวันใหม่
บางรายก็เอาใส่ถุงขยะดำมัดปาก บางรายก็โยนทิ้งไว้ข้างทางเสียดื้อ ๆ เป็นแบบนี้มาสาม สี่ ครั้ง
จนกระทั่ง ‘หนึ่ง’ เด็กคนนั้น
ไอ้เด็กบ้า! ชอบมาคุยกับเขา ทำตัวสนิทสนม มาทำใจเขาหวั่นไหว เกือบลืมเป้าหมายสำคัญไปซะแล้ว
การฆ่าในวันนั้นจึงไม่สมบูรณ์แบบ เขาใจเสาะเองไม่กล้าพอที่จะกดมีดลงไปบนร่างกายที่งดงามนั่น ‘หนึ่ง’ ทำให้เขาเกิดอยากร่วมเพศขึ้นมาจริง ๆ จัง ๆ ทั้งที่เหยื่อรายก่อน ๆ เขาแค่สำเร็จความใคร่ด้วยตนเองเท่านั้น
ต้องฆ่ามันก่อนที่ตัวเขาจะแปลกมากไปกว่านี้
ในที่สุดมันก็ตาย
หึหึ เสียใจนิดหน่อยถึงขนาดต้องมายืนแอบดูตอนที่เจ้าหน้าที่มาเก็บศพเพียงเพราะอยากเห็นเด็กนั่นเป็นครั้งสุดท้าย
ในที่สุดร่างที่ถูกห่อด้วยผ้าสีขาวก็ถูกหามใส่เปลออกมาจากทางเดินแคบ ๆ ของตึกนั่น
จู่ ๆ รู้สึกเจ็บปวดที่หัวใจ แต่ช่างมัน!!
เขาจะไม่คิดอะไรมากหรอก กะอีแค่เด็กร่าน ๆ คนหนึ่ง มันสมควรตายแล้ว
เหยื่อรายใหม่ที่เขาจะได้ จะต้องไม่สร้างความผูกพันเด็ดขาด มิเช่นนั้นแล้วเดี๋ยวใจเขาจะเจ็บปวดแบบหาสาเหตุไม่ได้อีก
และในที่สุดการฆ่า ก็เริ่มต้นอีกครั้ง
เด็กใหม่ จากบาร์เดิม
โดนเขาหิ้วกลับไปแบบเงียบ ๆ อีกแล้ว
แต่ครั้งนี้.....
ทุกอย่าง....จบสิ้น
.
.
‘รายงานข่าวด่วน นายวรเดช รายากร หรือ เม่น ฆาตกรต่อเนื่องคดีฆาตกรรมนักเต้นชายบาร์เกย์ที่ถูกจับกุมตัวได้เมื่อเช้าวานนี้ได้พยายามทำการฆ่าตัวตายขณะอยู่ในห้องฝากขังของสถานีตำรวจประจำเมืองฯ โดยใบมีดโกนเล็ก ๆ ที่ถูกซุกซ่อนไว้ในกระเป๋ากางเกงยีนส์ ยังโชคดีที่เจ้าหน้าที่ประจำสถานีพบเห็นก่อนแล้วช่วยเหลือไว้ได้ จากการสอบสวนพบว่าคนร้ายเคยมีประวัติพบจิตแพทย์ในระหว่างศึกษาอยู่ระดับมหาวิทยาลัย แม้ว่า.........’
คริสตินนั่งตาลอยรับฟังรายงานข่าวช่วงเย็นอยู่ที่โซฟาตัวยาว
ไม่ว่าข้อแก้ตัวของคุณจะคืออะไร ไม่ว่าประวัติปูมหลังของคุณจะน้ำเน่าแค่ไหน แต่คนผิดก็คือผิด คนผิดต้องถูกลงโทษและดำเนินคดีตามกฎหมาย จะหนักจะเบาขึ้นอยู่กับโทษที่คุณทำ
กลิ่นอาหารโชยมาแตะจมูกเขาหน่อย ๆ ชายหนุ่มเริ่มลูบท้องแล้วเหลือบมองไปที่ห้องครัวเป็นพัก ๆ ‘ปลาหมึกผัดไข่เค็มแน่เลย’
นาฬิกาข้อมือบอกเวลา 18.30 น.
เสียงเครื่องยนต์ดับลงที่หน้าบ้าน เคนยะในชุดผ้ากันเปื้อนลายหัวกะโหลกถือตะหลิวเดินจ้ำอ้าวออกมาจากห้องครัวพร้อมกับใบหน้าเปื้อนยิ้มและน้ำเสียงหวาน ๆ
“มากันแล้วมั้ง คริสออกไปเปิดประตูหน่อย”
วันนี้ไม่รู้พี่เคนนึกครึ้มอกครึ้มใจอะไรบอกจะฉลองปิดคดีให้เขากับซาโต้ ทั้งยังจะเลี้ยงขอบคุณเจ้าสารวัตรเดฟนั่นอีก ถึงขนาดไปดักรอรับเขาที่ห้องทำงานตั้งแต่บ่ายสี่เพื่อชวนไปซื้อของสดกลับมาทำอาหารด้วยกัน
แล้วนี่อะไร!! ทั้งสามคนมารถคันเดียวกันหมดเลย ไอ้พี่ฟ็อกซ์เป็นสารถีเองซะด้วย
คริสตินกำลังยืนจ้องแขกผู้มาเยือน ขณะมือก็ไขกุญแจรั้วไม้เตี้ย ๆ ไปด้วย วันนี้อากาศเย็นขึ้นกว่าเมื่อวานมาก สายลมโชยกระทบใบหน้าขาวจนแก้มเริ่มแดง
น่าโมโห รบกวนความสุขของเขากับพี่ โดยเฉพาะไอ้เจ้าคนด้านหลังสุด มันแยกตัวไปยืนดูดบุหรี่อยู่ที่ริมฟุตบาทใกล้ ๆ ตู้ไปรษณีย์หน้าบ้าน ทำตัวแปลกแยกชอบกล
“เร็วหน่อย กูจะเข้าไปหาเคน”
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าประโยคนี้ใครเป็นคนพูด ขณะที่ซาโต้ยืนหัวเราะขำกับคำพูดและท่าทางเอาแต่ใจของฟ็อกซ์อยู่ข้าง ๆ วันนี้เขาไม่ได้สวมแว่นจึงมองเห็นดวงตาสีสวยได้ชัดเจนมาก
“หนีกลับก่อน ขี้โกงนี่ครับ” พอเข้ามาได้ซาโต้ก็คล้องเขาคอขาว ๆ ของคู่หูเข้ามาหนีบไว้ทันที “หนาวเหรอ”
“เปล่า พี่เคนไปรับออกมาน่ะ รีบ ๆ เลยไม่ได้โทรบอก” ฟ็อกซ์เดินเข้าบ้านไปแล้ว คริสเอี้ยวคอไปมองที่หน้าบ้านอีกครั้ง เดฟสูบบุหรี่เสร็จพอดี เขาไม่ยอมเดินเข้าทางประตูแต่กระโดดข้ามรั้วเตี้ยเดินตัดสนามหญ้าตามเข้ามาเงียบ ๆ
สายตาสบเข้ากับคริสแว้บหนึ่ง
มุมปากยิ้มเยาะฉายขึ้นมาจากใบหน้าคมนั่น
รอยยิ้มเดียวกับที่เคยยิ้มให้เขาเมื่อวันนั้น ที่หน้าสถานี
มันตั้งใจยิ้มยั่วโมโหกันชัด ๆ!!
ไอ้สารวัตรบ้า!! เขาไปทำอะไรให้มัน
เรื่องราวบนโต๊ะกินข้าวไม่พ้นคดีฆาตกรรมที่เขากับซาโต้เพิ่งจะเคลียร์จบไปเมื่อวาน เคนยะขอบคุณเดฟเป็นครั้งที่สิบแล้วมั้งเท่าที่เขาจำได้ หลังอาหารค่ำจบลงทุกคนช่วยกันเคลียร์โต๊ะอาหาร ฟ็อกซ์ไล่ตะเพิด คริส ซาโต้และเดฟออกมาจากห้องครัว บอกตัวเองจะช่วยเคนล้างจานไม่ให้คนอื่นเข้าไปกวน คำสั่งเด็ดขาดของหัวหน้ามีหรือพวกเขาจะกล้าขัด สามหนุ่มมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ก่อนจะแยกไปนั่งดูโทรทัศน์กันแบบเงียบ ๆ
ซาโต้และเดฟไม่รู้คุยอะไรกันท่าทางถูกคอจนคริสที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เริ่มเซ็งเพราะหาที่แทรกคุยด้วยไม่ได้ เรื่องราวที่เขาไม่เคยรู้มาก่อนของซาโต้ถูกเจ้าเดฟเอามาพูดเรื่องแล้วเรื่องเล่า ทั้งหัวเราะกันสนุกสนาน ใบหน้าน่ารักของคริสเริ่มงอนง้ำเมื่อเดฟหันมาปรายตามองที่เขาแบบเย้ย ๆ ประมาณว่า กูรู้เรื่องของซาโต้มากกว่า อะไรประมาณนี้ เกิดสงครามทางจิตวิทยาเล็ก ๆ ระหว่างคนทั้งคู่ โดยที่คนกลางอย่างซาโต้ไม่ได้รู้เรื่องราวอะไรด้วยเลยแต่กลับเป็นตัวแปรสำคัญ
“อะไร” ซาโต้หันมาถามคริส เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทำหน้าตาพิลึกพิลั่น เดี๋ยวก็เหล่ตา เดี๋ยวก็ขมวดคิ้ว เดี๋ยวก็เลิกคิ้ว สักพักก็หรี่ตาเม้มปากแล้วยังมีรอยยิ้มพิลึกโผล่ขึ้นมาเป็นบางครั้ง คริสตินได้แต่ส่ายหน้าไม่รู้ไม่ชี้ สักพักเสียงข้อความเข้าของเดฟก็ดังขึ้น ชายหนุ่มจึงล้วงโทรศัพท์ที่หน้าจอร้าวไปบางส่วนขึ้นมากดดู เขาลุกเดินไปที่ห้องครัวบอกลาเคนยะกับฟ็อกซ์เบา ๆ แล้วเดินมาตบลงที่ไหล่ซาโต้เบา ๆ เป็นการให้สัญญาณบอกลาก่อนจะเดินเลี่ยงออกไป
เคนยะจึงบอกให้คริสเดินออกไปส่งชายหนุ่มที่หน้าบ้าน
คริสตินยังงงอยู่ว่าอีกฝ่ายจะกลับยังไง เพราะขามานั้นเดฟมาด้วยรถของฟ็อกซ์ เขาเดินตามแผ่นหลังกว้างนั้นออกไปแล้วนั่งลงที่ชิงช้าใกล้ ๆ กับรั้ว ขณะที่สารวัตรหนุ่มเดินออกไปรอใครบางคนอยู่ที่รั้วหน้าบ้าน บุหรี่ถูกจุดขึ้นมาอีกครั้ง
อากาศด้านนอกเริ่มเย็นขึ้นมาก คริสตินเพ่งมองใบหน้าคมเข้มภายใต้แสงไฟสีส้มของโคมถนนยามค่ำคืน ‘หน้าตาก็หล่อดีอยู่หรอก แต่ชอบทำหน้าซีเรียสกับเขาอยู่เรื่อย ’ ควันขาว ๆ ถูกพ่นออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า
แล้วเขาก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ จึงเดินเข้าไปหาเดฟใกล้ ๆ “เอามาสิ” คริสแบมือยื่นออกไป
“อะไร” เดฟหรี่ตา
“โทรศัพท์นายน่ะ มันแตกอยู่ไม่ใช่รึไง เดี๋ยวผมจะรับผิดชอบเองจะเอาใหม่หรือจะให้ผมเอาไปซ่อมให้ล่ะ”
สายลมเย็นกรรโชกเข้ามาอีกครั้ง คริสกระชับปกเสื้อให้แน่นขึ้นขณะที่เขาสังเกตได้ว่าเดฟเองใส่แต่เสื้อเชิ้ตสีดำตัวบางเท่านั้น ควันบุหรี่สีขาวถูกพ่นออกไปอีกด้านหนึ่งโดยที่คนสูบหาได้ใส่ใจกับคำถามของคนตรงหน้าเลยสักนิด
“แล้วนายจะเอายังไง จะมาทำท่าไม่ชอบหน้ากันแบบนี้อยู่ตลอดไม่ได้หรอกนะ ยังไงซะเราก็อยู่หน่วยเดียวกัน บางทีอาจจะต้องได้ร่วมงานกันก็ได้” ความอดทนของคริสตินเริ่มจะหมด ใครจะรู้ว่าเขาต้องใช้พลังงานมากมายแค่ไหนในการพูดกับเจ้านี่แต่ละครั้ง
เดฟทิ้งบุหรี่ลง พร้อมใช้เท้าบี้มันจนแบน สายตามองไปที่ต้นซอย ฮอนด้าแจสสีขาวกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้
“ไม่จำเป็น”
“ก็แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ โว๊ะ! ถามอะไรก็ไม่ตอบ ผมผิดอะไรมากนักหนารึไงถึงได้ทำท่าไม่ชอบหน้าผมซะขนาดนั้น ”
เมื่อรถคันเล็กจอดลงกระจกฟิมล์ดำถูกลดให้ต่ำจนมองเห็นหนุ่มหล่อหน้าตาน่ารักยื่นหน้าออกมายิ้มโชว์เขี้ยวพร้อมโบกมือให้เดฟเบา ๆ
“อยู่เฉย ๆ ไปเหอะ”
สั้น ๆ ง่าย ๆ ก่อนเดินไปที่รถคันเล็กนั่น ใบหน้าคมโน้มลงไปแตะที่ริมฝีปากนุ่มของคนในรถพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนที่คริสตินไม่เคยเห็นมาก่อน เดฟปรายสายตากลับมาพร้อมส่งรอยยิ้มชั่วร้ายมาให้อีกครั้ง ก่อนเดินอ้อมไปอีกฝั่งเพื่อขึ้นรถ
คริสได้แต่ยืนอึ้ง !
มันจะมองมาเพื่อ ?? ว่ากันตามเหตุผลแล้วสาเหตุที่ทำให้เจ้านี่มันไม่ชอบหน้าเขาน่าจะมาจากเรื่องโทรศัพท์มือถือแน่ ๆ แต่ดู ๆ ไปแล้วมันชอบทำหน้ายั่วโมโหเขาซะเหลือเกิน ไม่เคยพูดดีด้วยหรือยิ้มให้อย่างจริงใจเลยสักครั้ง แถมเวลาคุยเฮฮากับซาโต้ก็ชอบพูดเหน็บเขาตลอดแล้วยังหันมามองเขาเป็นระยะ ๆ คล้าย ๆ จะคอยสังเกตพฤติกรรม ยิ่งเขาทำหน้าโกรธมันยิ่งยิ้ม
โห....ไอ้สองมาตรฐาน!!
ชายหนุ่มหรี่ตาเม้มริมฝีปากแน่น มองตามรถยนต์สีขาวนั้นไป เนื่องจากยังคุยกันไม่จบ ไม่เคลียร์อีกฝ่ายก็ชิ่งหนีไปเสียดื้อ ๆ แล้วที่สำคัญเขาก็ไม่เคยรู้มาก่อนด้วยว่าเดฟจะมีรสนิยมอะไรแบบนั้น ประเจิดประเจ้อไม่มีอายเขาสักนิด
คิด ๆ ไปก็นำให้นึกถึงตอนที่จูบกับผู้ชายครั้งแรก จูบเหรอ? ใช่แล้วเขาเคยจูบกับเจ้าซาโต้!
“แปลกใจเหรอครับ หน้าแดงหมดแล้วนั่นน่ะ” จู่ ๆ คนที่เขากำลังนึกถึงก็มายืนอยู่ต่อหน้า คริสตกใจนิดหน่อยเขาจึงใช้สองมือลูบแก้มร้อนผ่าวของตัวเองเบา ๆ เรียกสติจากความคิดฟุ้งซ่านทั้งหลายของเขา
“หนาว” บอกไปแก้เขิน
“เข้าไปข้างในเถอะ อากาศเย็น” ซาโต้พยักหน้าให้พร้อมคว้าเอามืออีกฝ่ายมากุมไว้แบบเนียน ๆ
“ซาโต้ปล่อยเลย กูไม่ใช่เด็ก ๆ นะไม่ต้องมาจูงหรอก” คริสตินชักมือกลับเบา ๆ พร้อมเดินนำอีกฝ่ายขึ้นไป
“ไม่เห็นเป็นไรเลย เห็นไหมเมื่อกี้เจ้าเดฟยังจูบกับเด็กมันอยู่หน้าบ้าน ไม่เห็นมันอายสักนิด เรื่องธรรมดาจะตายไป” เขาคว้าเอามือนุ่ม ๆ ของคริสมาจับไว้อีกครั้ง
“แล้วมันเหมือนกันซะที่ไหนเล่า นั่นมันสถานะแฟน แต่มึงกับกูอ่ะ......”
เงียบ
เงียบกันไปทั้งคู่
“......พะ....เพื่อนกัน” คริสตินส่งเสียงเบา ๆ ออกมาทำลายความเงียบ พร้อมกับเลี่ยงสายตาคมที่กำลังจ้องเขาแบบจะกินเลือดกินเนื้ออยู่ในตอนนี้
หืมม~
ซาโต้ปล่อยมือคริสตินออกอย่างว่าง่าย ถ้าหากคริสจะมองมาที่ดวงตาเขาตอนนี้ อะไร ๆ อาจจะชัดเจนขึ้นมาบ้างก็ได้
แต่คริสก็เลี่ยงที่จะสบ
ชายหนุ่มถอนใจยาวก่อนจะตัดสินใจเดินอ้อมไปข้างหลังคู่หูแล้วใช้แขนล็อคคอเอาไว้จนแน่น
“พูดใหม่” เสียงโกรธ ๆ กระซิบลงที่ข้างหู
“ซ....ซาโต้กูเจ็บนะเว้ยมึงทำไรเนี่ย!” คริสตินเริ่มดิ้น
“พูดใหม่สิครับ”
“ซาโต้!!”
“พูด! ไม่งั้นผมไม่ปล่อย”
“ก็แล้วจะให้กูพูดว่าอะไรล่ะ ก็มึงกับกูเป็นเพื่อนกันจริง ๆ นี่”
“ก็แล้วถ้าไม่อยากเป็นแค่เพื่อนผมจะต้องทำยังไงล่ะครับ” ซาโต้สวนมาขึ้นทันที เขาเองก็ตกใจที่คำพูดนี้หลุดออกมาจากปาก
คริสพยายามจะหันหน้าไปมองน้ำเสียงจริงจังของอีกฝ่ายว่าพูดจริงหรือพูดเล่นแค่ไหน แต่ก็ติดที่ท่อนแขนนั่นยังล็อคเขาไว้จนขยับเขยื้อนคอไม่ได้เลย
“เล่นแรงไปหน่อยนะซาโต้” จู่ ๆ น้ำเสียงหวานคุ้นหูดังขึ้นที่ประตูทางเข้า เคนยะยืนกอดอกอวดอมยิ้มหวานเชื่อม โดยมีฟ็อกซ์ยืนพิงประตูอยู่ด้านหลัง
เล่นเอาซาโต้ใจหายว้าบ!
เขาคนเดียวสู้สองคนนี้ไม่ได้แน่ ท่อนแขนแกร่งจึงรีบปล่อยออกจากลำคอขาวทันที พร้อม ๆ กับมือเรียวยาวของคริสโบกลงที่หัวคู่หูตัวเองอย่างเร็วทันทีที่เป็นอิสระ ซาโต้จึงได้แต่หันมองคนโบกตาเขียวปั้ด!
ในใจคิดคำนวณการเอาคืนอย่างรวดเร็ว ‘ทำยังไงคืนนี้จะได้นอนค้างที่นี่??’ ตั้งแต่จบภารกิจไป ก่อนนอนเขาก็ไม่มีใครให้คอยแกล้ง
ไม่มีคริสให้นอนกอดเหมือนทุกครั้ง
นอนคนเดียวไม่ไหวเลยจริง ๆ
ไม่เคยไว้ใจหรือชื่นชมต่อเพศหญิง ในความคิดของเขาร่างกายผู้หญิงมีค่าเฉพาะเพื่อใช้ระบายความใคร่ในรูปแบบที่เหล่าผู้ชายต้องการก็เท่านั้น
ตั้งแต่เด็กเขามักเป็นที่ระบายอารมณ์ของผู้หญิงที่เรียกตัวเองว่า ‘แม่’ ไม่ว่าเขาจะทำอะไรจะหยิบจับสิ่งไหนก็ผิดอยู่เสมอ แม่ไม่เคยให้กำลังใจ ไม่เคยปกป้อง ไม่เคยชื่นชมเขา แม้แต่ตอนที่เขาดีใจที่สุดเมื่อตอนสอบเข้าชั้น ม.1 ได้ แม่ก็ด่าว่าทุบตีเขาสารพัด
“ไอ้เด็กเวร แกมันตัวซวยเกิดมาก็ทำให้กูตกอับเลิกกับผัวแล้วยังจะมาสอบได้ที่นั่นที่นี่ จะให้กูหาที่ไหนให้มึงเรียน ทำไมมึงไม่ตก ๆ ไปซะ ไอ้เด็กเปรต!!”
เขามีปัญหาแต่เล็ก พ่อกับแม่หย่ากันตั้งแต่เขาอายุได้ 5 ขวบ ลือกันว่าแม่ของเขาใช้นาผืนน้อยของเธอทำมาหาเลี้ยงตัวเองและเขาจนเติบโต บ่อยครั้งที่เขาต้องทนได้ยินเสียงกระเส่าของเธอกับคนแปลกหน้าที่เธอพามาค้างขณะนั่งอ่านหนังสืออยู่ภายในห้อง เขาเคยโดนทำโทษให้ยืนอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องนานถึงสองวันสองคืนโดยไม่ให้นั่งไม่ให้นอนไม่ให้แม้กระทั่งน้ำสักหยดจากผู้ชายคนที่แม่พามาค้างด้วยนานกว่าทุกคน เมื่อเขาล้มลงไปก็จะถูกหิ้วขึ้นมาแล้วถูกโบยซ้ำแล้วซ้ำอีก จากไอ้คนโรคจิตที่มันชื่นชอบการทรมานเด็กเป็นชีวิตจิตใจ
เขาเคยโดนหนึ่งในบรรดาชายของแม่ใช้มีดขู่บังคับให้ใช้ปากทำรักให้มันจนสำเร็จ มิเช่นนั้นแล้วมันจะตัดจู๋เขาทิ้ง นั่นทำให้ประสบการณ์ในเรื่องเพศของเขายิ่งน่าตื่นกลัว
สายเข็มขัดหนังเส้นโตฟาดลงที่ศีรษะเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากชายอีกคนที่แม่พามาค้างในอีกสัปดาห์ต่อมาเหตุผลเพียงเพราะเขาเดินผ่านแล้วบังหน้าจอโทรทัศน์ก็เท่านั้น
แม่ไม่เคยต่อว่าผู้ชายเหล่านั้น แม่ไม่เคยพาเขาไปหาหมอ
ไม่เคยมีคำพูดปลอบใจใด ๆ
น้ำตาเขาเหือดแห้งไปเองเสมอ พร้อมกับรอยแผลเป็นในใจที่ขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
มันผิดที่เขามักเรียนเก่ง เด็กฉลาดมักชอบถาม แต่ถามทีไรเขาโดนเธอตบปากจนเลือดกลบทุกครั้ง
แต่เขาก็ยังอยากจะถาม
เพราะนั่นหมายถึงเขาจะได้คุยกับแม่....
เป็นแบบนั้นตั้งแต่เล็กจนโต
ในที่สุดเขาสอบเรียนต่อได้ที่มหาวิทยาลัยเล็ก ๆ แห่งหนึ่งทางภาคตะวันออก ความฝันของเขาเป็นจริงเขาไม่ต้องทนอยู่กับหล่อนอีกต่อไปงั้นหรือ หรือจริง ๆ แล้วเขาไม่อยากจากแม่ไปไหนเลยต่างหาก
ความคิดเขาเริ่มสับสน
ไม่มีความยี่หระอะไรที่แม่แสดงออกมาตอนที่รู้ว่าเขาต้องไปเรียนต่างถิ่น
แม่ลูกเหมือนดั่งคนแปลกหน้า
“มึงจะไปไหนก็ไป ไปแล้วไม่ต้องมายุ่งกับกูอีก ภาระกูจะได้หมดเสียทีสวรรค์โปรดกูจริง ๆ รีบไปเร็ว ๆ เลยยิ่งดี ”
เสียใจงั้นหรือ ????
ไม่หรอก เขาจะได้ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่สักที
จะไม่มีใครที่รู้ว่าเขาเคยเป็นยังไง
ทุกอย่างจะใสสะอาด
ในที่สุดเขาได้ไปเป็นผู้ช่วยหยิบจับทำความสะอาดเครื่องมือแพทย์อยู่ที่คลินิกเล็ก ๆ ประจำจังหวัด อาศัยหัวดีครูพักลักจำจึงพอจะมีวิชาความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ ติดตัวมาบ้าง
และเหมือนดั่งฟ้าเป็นใจ โสเภณีคนหนึ่งสอบถามเขาเกี่ยวกับเรื่องทำแท้งเถื่อนนอกสถานที่
นั่นทำให้เขาเห็นช่องทางทำมาหากินที่เป็นรายได้ก้อนโต
เขารู้สึกเป็นสุขใจทุกครั้งที่ได้กดกรีดมีดลงไปที่เนื้อหนังของคน เวลาที่เขาใช้เครื่องมือล้วงคว้านเข้าไปภายในอวัยวะเพศ เขาจะเห็นสีหน้าเจ็บปวดทรมานของคนเหล่านั้น เขามีความสุขทางกามารมณ์เหลือหลายบางครั้งถึงกับต้านทานไว้ไม่อยู่หลั่งออกมาจนสุขสมเลยก็มี
ความรู้สึกรักร่วมเพศของเขาเริ่มฉายชัดภายในจิตใจ เมื่อเกิดภาพซ้อนระหว่างที่ทำแท้งเถื่อนให้กับพวกโสเภณีเหล่านั้น เขาเห็นเป็นใบหน้านายแบบชายที่เขาหลงรักกำลังออดอ้อนด้วยความเจ็บปวด
เขาเริ่มมีจินตนาการเรื่องการตัดอวัยวะเพศ และเริ่มหลอกตัวเองว่านั่นเป็นผลจากการถูกคุกคามทางเพศจากเหล่าผู้ชายของแม่ตั้งแต่เด็ก เขารู้ว่าตัวเขาเริ่มมีพฤติกรรมแปลกแยก เข้ากับคนอื่นไม่ได้ แต่เขาก็เรียนรู้ได้ว่าเมื่ออยู่ร่วมกับคนอื่นๆบุคลิกภายนอกต้องดูดีเสมอ เขาพยายามเป็นอย่างมากเพื่อให้เหมือนคนปกติธรรมดาในสังคม แต่พอกลับมาถึงห้องเขาแทบขาดใจ
ระหว่างนั้นเขาไปพบจิตแพทย์สองสามครั้ง แต่หมอก็ชอบถามซอกแซกอยากรู้โน่นนี่ เขาเลยหยุดไปเสียดื้อ ๆ
จู่ ๆ ก็มีความคิดจะลาออกจากมหาวิทยาลัย ในขณะที่งานหมอเถื่อนกระเป๋าหิ้วเริ่มมีลูกค้ามากขึ้นเป็นลำดับ
โสเภณีพัทยากินเท่าไหร่ก็ไม่หมด แหล่งขุมเงินขุมทองของเขา
ตราบใดที่เขาไม่พลาด
รายได้เริ่มเป็นกอบเป็นกำ เขาย้ายตัวเองมาเช่าบ้านเล็ก ๆ อยู่ที่พัทยาเพื่อทำงานเต็มตัว ดาวน์รถมือสองสักคันมาไว้ขับเพื่อความสะดวกสะบาย
เขาตัดสินใจสมัครเป็นบาร์เทนเดอร์ที่บาร์แห่งหนึ่ง
แน่นอน....นั่นคือฉากหน้า
กลางวันทำงานหมอเถื่อนทำแท้ง กลางคืนเป็นนักชงเหล้าชั้นยอด
เมื่อเหนื่อยก็อยากพักผ่อน
วันนั้นเป็นวันหยุดยาว ซื้อหานักเต้นชายคนหนึ่งกะจะไปเอาที่โรงแรมแถวชานเมือง ด้วยความปรารถนาเหลือหลายมิอาจห้ามตัวเองได้ พวกเขาจอดรถแวะข้างทาง
จู่ ๆ มันถามถึงแม่เขา บอกเขาใจดีท่าทางคงเป็นคนรักแม่มาก
มันบอกแม่เขาคงเลี้ยงเขามาอย่างดี เขาถึงอ่อนโยนกับมันขนาดนี้
มือหนาลูบที่ต่างหูเพชรข้างเดียวของมัน
มันใส่เสื้อกล้ามรัดรูปสีขาว
หน้าตาบวกคำพูดฉอเลาะ น้ำเสียงออดอ้อนพาลให้นึกไปถึงเสียงของแม่กับชายแปลกหน้าคนแล้วคนเล่ายามที่เขาได้ยินเมื่อยังเล็ก
ยังไม่ทันได้ร่วมรัก ยังไม่ทันได้ทำอะไร
เขาก็เผลอใช้เนคไทด์เส้นเรียวรัดคอมัน แถมยังจับหัวมันโขกคอนโซนหน้ารถจนหมดสติไปตอนไหนก็ไม่รู้
แต่มันยังไม่ตายสักหน่อย ยังหายใจอยู่ แม้จะเบามากไปหน่อยก็เถอะ
เขาเริ่มพิจารณาร่างกายของมันช้า ๆ มันเป็นผู้ชาย มีอวัยวะเพศนูนเด่นชัด
ไม่ได้
เดี๋ยวแม่จะรู้เรื่องรสนิยมของเขา มันไม่ถูกต้อง
เขาจะตัดเฉือนอวัยวะส่วนนี้ของมันทิ้ง....ถ้ามันหายไป มันก็กลายเป็นผู้หญิงแล้ว
ผู้หญิงร่าน ๆ สมควรโดนลงโทษ
จะทำยังไง....คิด ๆ ๆ
มีกระเป๋าเครื่องมือสำหรับทำแท้งอยู่หลังรถ
มีมีด มีไซริงค์ มี....
ไวอากร้า....ฉีดให้มันตั้งขึ้น...จะได้เฉือนออกง่าย ๆ แล้วยังทำให้มันแสดงสีหน้ามีความสุขพร้อมความเจ็บปวดให้เขาได้เห็น
หน้าตาแบบผู้หญิงแสดงความเจ็บปวด เขาเกลียดผู้หญิง โดยเฉพาะพวกร่าน ๆ ต้องโดนลงโทษแบบนี้
แต่เขาทำกับผู้หญิงจริง ๆ ไม่ได้ เดี๋ยวแม่รู้ แม่ก็เป็นผู้หญิง
เอาถุงเท้ายัดปากมันไว้ก่อน เนคไทด์เส้นนั้นก็มัดมือมันไว้
แยกขามันออกแล้วค่อย ๆ กดปลายเข็มลงไปที่โคนขา เล็งที่หลอดเลือดดำจะได้ออกฤทธิ์เร็ว ๆ
สำเร็จ
ดวงตามันเบิกโพลง มันตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
หึหึ
อวัยวะเพศมันค่อย ๆ ตั้งชันขึ้นจากฤทธิ์ของยา ท่าทางมันจะเจ็บปวดมาก
เขายกมีดขึ้น บางเฉียบ คมกริบ
มันร้องไม่ออก มันยิ่งดิ้น สีหน้าหวาดกลัวแบบนั้นคือสิ่งที่ทำให้หัวใจเขาพองโต
มือหนาปลดเข็มขัดตัวเองออกพร้อมกำรูดอวัยวะเพศของตนอย่างสุขใจ
น้ำตามันไหลแล้วไหลอีก ขณะที่จุดสุดยอดของเขากำลังจะมาถึงในไม่ช้า
เขาจับหัวมันโขกแรง ๆสองสามครั้ง เพื่อสนองตัณหาขั้นสุดยอดของตัวเองเมื่อทุกอย่างพุ่งปรี๊ดสู่จุดสูงสุด
มันหมดสติไป คราวนี้ไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย
มีดบางเฉียบถูกปาดลงไปดั่งใจที่เขาต้องการ
เห็นไหม??? คน ๆ นี้เป็นผู้หญิงไม่ใช่ผู้ชายสักหน่อย
นี่คือการลงโทษสำหรับพวกร่าน ยั่ว แรด
มันตายแล้ว เลือดเต็มรถ
ไม่เป็นไร เดี๋ยวเช็ดถูหน่อยก็ออก
โยนศพทิ้งไว้แถวนี้ก็แล้วกัน
โสเภณีชาย นักเต้นชั้นต่ำ จะมีใครถามหา
ไม่มีแม้กระทั่งข่าว ที่บาร์นั่นก็ยังเปิดกิจการต่อไป ทุกอย่างเงียบเชียบ
ตัวเขาเริ่มติดใจ
การฆ่าเป็นอะไรที่สนุกสนาน มันยอดมาก
ทุกครั้งที่มีอารมณ์ทางเพศรุนแรง ตอนกลางคืนเขาก็หิ้วไปเงียบ ๆ แล้วทุกอย่างก็หายไปในเช้ามืดของวันใหม่
บางรายก็เอาใส่ถุงขยะดำมัดปาก บางรายก็โยนทิ้งไว้ข้างทางเสียดื้อ ๆ เป็นแบบนี้มาสาม สี่ ครั้ง
จนกระทั่ง ‘หนึ่ง’ เด็กคนนั้น
ไอ้เด็กบ้า! ชอบมาคุยกับเขา ทำตัวสนิทสนม มาทำใจเขาหวั่นไหว เกือบลืมเป้าหมายสำคัญไปซะแล้ว
การฆ่าในวันนั้นจึงไม่สมบูรณ์แบบ เขาใจเสาะเองไม่กล้าพอที่จะกดมีดลงไปบนร่างกายที่งดงามนั่น ‘หนึ่ง’ ทำให้เขาเกิดอยากร่วมเพศขึ้นมาจริง ๆ จัง ๆ ทั้งที่เหยื่อรายก่อน ๆ เขาแค่สำเร็จความใคร่ด้วยตนเองเท่านั้น
ต้องฆ่ามันก่อนที่ตัวเขาจะแปลกมากไปกว่านี้
ในที่สุดมันก็ตาย
หึหึ เสียใจนิดหน่อยถึงขนาดต้องมายืนแอบดูตอนที่เจ้าหน้าที่มาเก็บศพเพียงเพราะอยากเห็นเด็กนั่นเป็นครั้งสุดท้าย
ในที่สุดร่างที่ถูกห่อด้วยผ้าสีขาวก็ถูกหามใส่เปลออกมาจากทางเดินแคบ ๆ ของตึกนั่น
จู่ ๆ รู้สึกเจ็บปวดที่หัวใจ แต่ช่างมัน!!
เขาจะไม่คิดอะไรมากหรอก กะอีแค่เด็กร่าน ๆ คนหนึ่ง มันสมควรตายแล้ว
เหยื่อรายใหม่ที่เขาจะได้ จะต้องไม่สร้างความผูกพันเด็ดขาด มิเช่นนั้นแล้วเดี๋ยวใจเขาจะเจ็บปวดแบบหาสาเหตุไม่ได้อีก
และในที่สุดการฆ่า ก็เริ่มต้นอีกครั้ง
เด็กใหม่ จากบาร์เดิม
โดนเขาหิ้วกลับไปแบบเงียบ ๆ อีกแล้ว
แต่ครั้งนี้.....
ทุกอย่าง....จบสิ้น
.
.
‘รายงานข่าวด่วน นายวรเดช รายากร หรือ เม่น ฆาตกรต่อเนื่องคดีฆาตกรรมนักเต้นชายบาร์เกย์ที่ถูกจับกุมตัวได้เมื่อเช้าวานนี้ได้พยายามทำการฆ่าตัวตายขณะอยู่ในห้องฝากขังของสถานีตำรวจประจำเมืองฯ โดยใบมีดโกนเล็ก ๆ ที่ถูกซุกซ่อนไว้ในกระเป๋ากางเกงยีนส์ ยังโชคดีที่เจ้าหน้าที่ประจำสถานีพบเห็นก่อนแล้วช่วยเหลือไว้ได้ จากการสอบสวนพบว่าคนร้ายเคยมีประวัติพบจิตแพทย์ในระหว่างศึกษาอยู่ระดับมหาวิทยาลัย แม้ว่า.........’
คริสตินนั่งตาลอยรับฟังรายงานข่าวช่วงเย็นอยู่ที่โซฟาตัวยาว
ไม่ว่าข้อแก้ตัวของคุณจะคืออะไร ไม่ว่าประวัติปูมหลังของคุณจะน้ำเน่าแค่ไหน แต่คนผิดก็คือผิด คนผิดต้องถูกลงโทษและดำเนินคดีตามกฎหมาย จะหนักจะเบาขึ้นอยู่กับโทษที่คุณทำ
กลิ่นอาหารโชยมาแตะจมูกเขาหน่อย ๆ ชายหนุ่มเริ่มลูบท้องแล้วเหลือบมองไปที่ห้องครัวเป็นพัก ๆ ‘ปลาหมึกผัดไข่เค็มแน่เลย’
นาฬิกาข้อมือบอกเวลา 18.30 น.
เสียงเครื่องยนต์ดับลงที่หน้าบ้าน เคนยะในชุดผ้ากันเปื้อนลายหัวกะโหลกถือตะหลิวเดินจ้ำอ้าวออกมาจากห้องครัวพร้อมกับใบหน้าเปื้อนยิ้มและน้ำเสียงหวาน ๆ
“มากันแล้วมั้ง คริสออกไปเปิดประตูหน่อย”
วันนี้ไม่รู้พี่เคนนึกครึ้มอกครึ้มใจอะไรบอกจะฉลองปิดคดีให้เขากับซาโต้ ทั้งยังจะเลี้ยงขอบคุณเจ้าสารวัตรเดฟนั่นอีก ถึงขนาดไปดักรอรับเขาที่ห้องทำงานตั้งแต่บ่ายสี่เพื่อชวนไปซื้อของสดกลับมาทำอาหารด้วยกัน
แล้วนี่อะไร!! ทั้งสามคนมารถคันเดียวกันหมดเลย ไอ้พี่ฟ็อกซ์เป็นสารถีเองซะด้วย
คริสตินกำลังยืนจ้องแขกผู้มาเยือน ขณะมือก็ไขกุญแจรั้วไม้เตี้ย ๆ ไปด้วย วันนี้อากาศเย็นขึ้นกว่าเมื่อวานมาก สายลมโชยกระทบใบหน้าขาวจนแก้มเริ่มแดง
น่าโมโห รบกวนความสุขของเขากับพี่ โดยเฉพาะไอ้เจ้าคนด้านหลังสุด มันแยกตัวไปยืนดูดบุหรี่อยู่ที่ริมฟุตบาทใกล้ ๆ ตู้ไปรษณีย์หน้าบ้าน ทำตัวแปลกแยกชอบกล
“เร็วหน่อย กูจะเข้าไปหาเคน”
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าประโยคนี้ใครเป็นคนพูด ขณะที่ซาโต้ยืนหัวเราะขำกับคำพูดและท่าทางเอาแต่ใจของฟ็อกซ์อยู่ข้าง ๆ วันนี้เขาไม่ได้สวมแว่นจึงมองเห็นดวงตาสีสวยได้ชัดเจนมาก
“หนีกลับก่อน ขี้โกงนี่ครับ” พอเข้ามาได้ซาโต้ก็คล้องเขาคอขาว ๆ ของคู่หูเข้ามาหนีบไว้ทันที “หนาวเหรอ”
“เปล่า พี่เคนไปรับออกมาน่ะ รีบ ๆ เลยไม่ได้โทรบอก” ฟ็อกซ์เดินเข้าบ้านไปแล้ว คริสเอี้ยวคอไปมองที่หน้าบ้านอีกครั้ง เดฟสูบบุหรี่เสร็จพอดี เขาไม่ยอมเดินเข้าทางประตูแต่กระโดดข้ามรั้วเตี้ยเดินตัดสนามหญ้าตามเข้ามาเงียบ ๆ
สายตาสบเข้ากับคริสแว้บหนึ่ง
มุมปากยิ้มเยาะฉายขึ้นมาจากใบหน้าคมนั่น
รอยยิ้มเดียวกับที่เคยยิ้มให้เขาเมื่อวันนั้น ที่หน้าสถานี
มันตั้งใจยิ้มยั่วโมโหกันชัด ๆ!!
ไอ้สารวัตรบ้า!! เขาไปทำอะไรให้มัน
เรื่องราวบนโต๊ะกินข้าวไม่พ้นคดีฆาตกรรมที่เขากับซาโต้เพิ่งจะเคลียร์จบไปเมื่อวาน เคนยะขอบคุณเดฟเป็นครั้งที่สิบแล้วมั้งเท่าที่เขาจำได้ หลังอาหารค่ำจบลงทุกคนช่วยกันเคลียร์โต๊ะอาหาร ฟ็อกซ์ไล่ตะเพิด คริส ซาโต้และเดฟออกมาจากห้องครัว บอกตัวเองจะช่วยเคนล้างจานไม่ให้คนอื่นเข้าไปกวน คำสั่งเด็ดขาดของหัวหน้ามีหรือพวกเขาจะกล้าขัด สามหนุ่มมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ก่อนจะแยกไปนั่งดูโทรทัศน์กันแบบเงียบ ๆ
ซาโต้และเดฟไม่รู้คุยอะไรกันท่าทางถูกคอจนคริสที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เริ่มเซ็งเพราะหาที่แทรกคุยด้วยไม่ได้ เรื่องราวที่เขาไม่เคยรู้มาก่อนของซาโต้ถูกเจ้าเดฟเอามาพูดเรื่องแล้วเรื่องเล่า ทั้งหัวเราะกันสนุกสนาน ใบหน้าน่ารักของคริสเริ่มงอนง้ำเมื่อเดฟหันมาปรายตามองที่เขาแบบเย้ย ๆ ประมาณว่า กูรู้เรื่องของซาโต้มากกว่า อะไรประมาณนี้ เกิดสงครามทางจิตวิทยาเล็ก ๆ ระหว่างคนทั้งคู่ โดยที่คนกลางอย่างซาโต้ไม่ได้รู้เรื่องราวอะไรด้วยเลยแต่กลับเป็นตัวแปรสำคัญ
“อะไร” ซาโต้หันมาถามคริส เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทำหน้าตาพิลึกพิลั่น เดี๋ยวก็เหล่ตา เดี๋ยวก็ขมวดคิ้ว เดี๋ยวก็เลิกคิ้ว สักพักก็หรี่ตาเม้มปากแล้วยังมีรอยยิ้มพิลึกโผล่ขึ้นมาเป็นบางครั้ง คริสตินได้แต่ส่ายหน้าไม่รู้ไม่ชี้ สักพักเสียงข้อความเข้าของเดฟก็ดังขึ้น ชายหนุ่มจึงล้วงโทรศัพท์ที่หน้าจอร้าวไปบางส่วนขึ้นมากดดู เขาลุกเดินไปที่ห้องครัวบอกลาเคนยะกับฟ็อกซ์เบา ๆ แล้วเดินมาตบลงที่ไหล่ซาโต้เบา ๆ เป็นการให้สัญญาณบอกลาก่อนจะเดินเลี่ยงออกไป
เคนยะจึงบอกให้คริสเดินออกไปส่งชายหนุ่มที่หน้าบ้าน
คริสตินยังงงอยู่ว่าอีกฝ่ายจะกลับยังไง เพราะขามานั้นเดฟมาด้วยรถของฟ็อกซ์ เขาเดินตามแผ่นหลังกว้างนั้นออกไปแล้วนั่งลงที่ชิงช้าใกล้ ๆ กับรั้ว ขณะที่สารวัตรหนุ่มเดินออกไปรอใครบางคนอยู่ที่รั้วหน้าบ้าน บุหรี่ถูกจุดขึ้นมาอีกครั้ง
อากาศด้านนอกเริ่มเย็นขึ้นมาก คริสตินเพ่งมองใบหน้าคมเข้มภายใต้แสงไฟสีส้มของโคมถนนยามค่ำคืน ‘หน้าตาก็หล่อดีอยู่หรอก แต่ชอบทำหน้าซีเรียสกับเขาอยู่เรื่อย ’ ควันขาว ๆ ถูกพ่นออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า
แล้วเขาก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ จึงเดินเข้าไปหาเดฟใกล้ ๆ “เอามาสิ” คริสแบมือยื่นออกไป
“อะไร” เดฟหรี่ตา
“โทรศัพท์นายน่ะ มันแตกอยู่ไม่ใช่รึไง เดี๋ยวผมจะรับผิดชอบเองจะเอาใหม่หรือจะให้ผมเอาไปซ่อมให้ล่ะ”
สายลมเย็นกรรโชกเข้ามาอีกครั้ง คริสกระชับปกเสื้อให้แน่นขึ้นขณะที่เขาสังเกตได้ว่าเดฟเองใส่แต่เสื้อเชิ้ตสีดำตัวบางเท่านั้น ควันบุหรี่สีขาวถูกพ่นออกไปอีกด้านหนึ่งโดยที่คนสูบหาได้ใส่ใจกับคำถามของคนตรงหน้าเลยสักนิด
“แล้วนายจะเอายังไง จะมาทำท่าไม่ชอบหน้ากันแบบนี้อยู่ตลอดไม่ได้หรอกนะ ยังไงซะเราก็อยู่หน่วยเดียวกัน บางทีอาจจะต้องได้ร่วมงานกันก็ได้” ความอดทนของคริสตินเริ่มจะหมด ใครจะรู้ว่าเขาต้องใช้พลังงานมากมายแค่ไหนในการพูดกับเจ้านี่แต่ละครั้ง
เดฟทิ้งบุหรี่ลง พร้อมใช้เท้าบี้มันจนแบน สายตามองไปที่ต้นซอย ฮอนด้าแจสสีขาวกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้
“ไม่จำเป็น”
“ก็แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ โว๊ะ! ถามอะไรก็ไม่ตอบ ผมผิดอะไรมากนักหนารึไงถึงได้ทำท่าไม่ชอบหน้าผมซะขนาดนั้น ”
เมื่อรถคันเล็กจอดลงกระจกฟิมล์ดำถูกลดให้ต่ำจนมองเห็นหนุ่มหล่อหน้าตาน่ารักยื่นหน้าออกมายิ้มโชว์เขี้ยวพร้อมโบกมือให้เดฟเบา ๆ
“อยู่เฉย ๆ ไปเหอะ”
สั้น ๆ ง่าย ๆ ก่อนเดินไปที่รถคันเล็กนั่น ใบหน้าคมโน้มลงไปแตะที่ริมฝีปากนุ่มของคนในรถพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนที่คริสตินไม่เคยเห็นมาก่อน เดฟปรายสายตากลับมาพร้อมส่งรอยยิ้มชั่วร้ายมาให้อีกครั้ง ก่อนเดินอ้อมไปอีกฝั่งเพื่อขึ้นรถ
คริสได้แต่ยืนอึ้ง !
มันจะมองมาเพื่อ ?? ว่ากันตามเหตุผลแล้วสาเหตุที่ทำให้เจ้านี่มันไม่ชอบหน้าเขาน่าจะมาจากเรื่องโทรศัพท์มือถือแน่ ๆ แต่ดู ๆ ไปแล้วมันชอบทำหน้ายั่วโมโหเขาซะเหลือเกิน ไม่เคยพูดดีด้วยหรือยิ้มให้อย่างจริงใจเลยสักครั้ง แถมเวลาคุยเฮฮากับซาโต้ก็ชอบพูดเหน็บเขาตลอดแล้วยังหันมามองเขาเป็นระยะ ๆ คล้าย ๆ จะคอยสังเกตพฤติกรรม ยิ่งเขาทำหน้าโกรธมันยิ่งยิ้ม
โห....ไอ้สองมาตรฐาน!!
ชายหนุ่มหรี่ตาเม้มริมฝีปากแน่น มองตามรถยนต์สีขาวนั้นไป เนื่องจากยังคุยกันไม่จบ ไม่เคลียร์อีกฝ่ายก็ชิ่งหนีไปเสียดื้อ ๆ แล้วที่สำคัญเขาก็ไม่เคยรู้มาก่อนด้วยว่าเดฟจะมีรสนิยมอะไรแบบนั้น ประเจิดประเจ้อไม่มีอายเขาสักนิด
คิด ๆ ไปก็นำให้นึกถึงตอนที่จูบกับผู้ชายครั้งแรก จูบเหรอ? ใช่แล้วเขาเคยจูบกับเจ้าซาโต้!
“แปลกใจเหรอครับ หน้าแดงหมดแล้วนั่นน่ะ” จู่ ๆ คนที่เขากำลังนึกถึงก็มายืนอยู่ต่อหน้า คริสตกใจนิดหน่อยเขาจึงใช้สองมือลูบแก้มร้อนผ่าวของตัวเองเบา ๆ เรียกสติจากความคิดฟุ้งซ่านทั้งหลายของเขา
“หนาว” บอกไปแก้เขิน
“เข้าไปข้างในเถอะ อากาศเย็น” ซาโต้พยักหน้าให้พร้อมคว้าเอามืออีกฝ่ายมากุมไว้แบบเนียน ๆ
“ซาโต้ปล่อยเลย กูไม่ใช่เด็ก ๆ นะไม่ต้องมาจูงหรอก” คริสตินชักมือกลับเบา ๆ พร้อมเดินนำอีกฝ่ายขึ้นไป
“ไม่เห็นเป็นไรเลย เห็นไหมเมื่อกี้เจ้าเดฟยังจูบกับเด็กมันอยู่หน้าบ้าน ไม่เห็นมันอายสักนิด เรื่องธรรมดาจะตายไป” เขาคว้าเอามือนุ่ม ๆ ของคริสมาจับไว้อีกครั้ง
“แล้วมันเหมือนกันซะที่ไหนเล่า นั่นมันสถานะแฟน แต่มึงกับกูอ่ะ......”
เงียบ
เงียบกันไปทั้งคู่
“......พะ....เพื่อนกัน” คริสตินส่งเสียงเบา ๆ ออกมาทำลายความเงียบ พร้อมกับเลี่ยงสายตาคมที่กำลังจ้องเขาแบบจะกินเลือดกินเนื้ออยู่ในตอนนี้
หืมม~
ซาโต้ปล่อยมือคริสตินออกอย่างว่าง่าย ถ้าหากคริสจะมองมาที่ดวงตาเขาตอนนี้ อะไร ๆ อาจจะชัดเจนขึ้นมาบ้างก็ได้
แต่คริสก็เลี่ยงที่จะสบ
ชายหนุ่มถอนใจยาวก่อนจะตัดสินใจเดินอ้อมไปข้างหลังคู่หูแล้วใช้แขนล็อคคอเอาไว้จนแน่น
“พูดใหม่” เสียงโกรธ ๆ กระซิบลงที่ข้างหู
“ซ....ซาโต้กูเจ็บนะเว้ยมึงทำไรเนี่ย!” คริสตินเริ่มดิ้น
“พูดใหม่สิครับ”
“ซาโต้!!”
“พูด! ไม่งั้นผมไม่ปล่อย”
“ก็แล้วจะให้กูพูดว่าอะไรล่ะ ก็มึงกับกูเป็นเพื่อนกันจริง ๆ นี่”
“ก็แล้วถ้าไม่อยากเป็นแค่เพื่อนผมจะต้องทำยังไงล่ะครับ” ซาโต้สวนมาขึ้นทันที เขาเองก็ตกใจที่คำพูดนี้หลุดออกมาจากปาก
คริสพยายามจะหันหน้าไปมองน้ำเสียงจริงจังของอีกฝ่ายว่าพูดจริงหรือพูดเล่นแค่ไหน แต่ก็ติดที่ท่อนแขนนั่นยังล็อคเขาไว้จนขยับเขยื้อนคอไม่ได้เลย
“เล่นแรงไปหน่อยนะซาโต้” จู่ ๆ น้ำเสียงหวานคุ้นหูดังขึ้นที่ประตูทางเข้า เคนยะยืนกอดอกอวดอมยิ้มหวานเชื่อม โดยมีฟ็อกซ์ยืนพิงประตูอยู่ด้านหลัง
เล่นเอาซาโต้ใจหายว้าบ!
เขาคนเดียวสู้สองคนนี้ไม่ได้แน่ ท่อนแขนแกร่งจึงรีบปล่อยออกจากลำคอขาวทันที พร้อม ๆ กับมือเรียวยาวของคริสโบกลงที่หัวคู่หูตัวเองอย่างเร็วทันทีที่เป็นอิสระ ซาโต้จึงได้แต่หันมองคนโบกตาเขียวปั้ด!
ในใจคิดคำนวณการเอาคืนอย่างรวดเร็ว ‘ทำยังไงคืนนี้จะได้นอนค้างที่นี่??’ ตั้งแต่จบภารกิจไป ก่อนนอนเขาก็ไม่มีใครให้คอยแกล้ง
ไม่มีคริสให้นอนกอดเหมือนทุกครั้ง
นอนคนเดียวไม่ไหวเลยจริง ๆ
Tbc.