บทที่22
“ไง...ธาร”
ทันทีที่เห็นเขา ชนาธิปก็ทักขึ้นด้วยน้ำเสียงร่าเริง ธาราธารอึ้งไปหลายวินาทีส่ายหัวปิดหนังสือแล้วทำท่าจะลุกเดินออกไป
ชนาธิปรีบเข้ามาคว้าเขาไว้เสียก่อน
“เดี๋ยวสิ
ธิปหาตั้งนานนะกว่าจะเจอธารแล้วยังจะหนีกันแบบนี้อีกเหรอ?”
“มีอะไร”
เขาถามขึ้นห้วนๆขณะเลื่อนเก้าอี้เข้าชิด
กระชับสายกระเป๋าสะพายสีดำแนบบ่า พลางคิดในใจว่าวันนี้คงจะไม่ได้อ่านหนังสือแล้วอุตส่าห์หาเวลาว่างจากแลปเข้าห้องสมุดทั้งที
“ก็เปล่า
แค่ตั้งใจมาหา ขับรถมาตั้งไกลพูดให้กำลังใจกันหน่อยดิ ธิปแค่อยากมาคุยด้วย
คิดถึงธารนะ”
เด็กหนุ่มตัวเล็กยังไม่ยอมปล่อยมือจากเขาซ้ำยังออกแรงโยกไปมาจนแขนเสื้อเชิ้ตนักศึกษายับยู่ยี่
ธาราธารชักสีหน้ารำคาญถึงที่สุดเขาเบี่ยงตัวชักแขนหลบแล้วรีบก้าวออกมา ชนาธิปยังวิ่งตามมาอีก
“ศาลายาห้องสมุดก็ใหญ่โตดี
จะมาที่นี่ทำไมกัน” เขาบ่นพึมพำอย่างรำคาญ แต่ชนาธิปหาได้สนใจไม่
“ธาร! ธารเป็นอะไรทำไมหน้าตาดูเครียดๆ
ร้อนเหรอ หรือว่ามีเรื่องไม่สบายใจ”
ถึงแม้ว่าเขาจะสวมแว่นสายตาแต่ชนาธิปกลับสังเกตได้ถึงความเครียดขึงจากหัวคิ้วนั่น
แล้วยังสีหน้าแววตาที่แสดงออกมาอีก
“มีอะไรรึเปล่า
ธารเล่าให้ธิปฟังได้นะ”
ขณะที่เขาก้าวเดินไปเรื่อย
ๆ อีกฝ่ายที่เดินตามกลับพูดจ้อไม่หยุด
ธาราธารชะงักเท้าครู่หนึ่งแล้วหันกลับมามองคนที่เดินตามเขาต้อย ๆ
“เหนื่อยไหม?”
จู่ๆ เขาถามขึ้น ชนาธิปเลิกคิ้วอย่างแปลกใจไม่รู้ถึงความหมายของเขา
“เหนื่อยไหมที่คอยตามฉันอยู่แบบนี้
นายต้องการอะไร?”
“ป...เปล่า
ไม่ได้ต้องการอะไรสักหน่อยเคยบอกไปแล้วนี่ว่าธิปแค่ปลื้มธาร ธารเป็นไอดอลของธิป
ธิปก็ไม่รู้เหมือนกันมันเกิดขึ้นเองการที่เราจะชอบใครสักคนมันเลือกไม่ได้หรอกว่าจะให้ชอบคนนั้นได้คนนี้ไม่ได้
ถ้าชอบไปแล้วก็คือชอบนั่นแหละ”
“แต่นายไม่ได้ชอบเฉย
ๆ นี่นายเล่นตามฉันแบบนี้มันแย่นะ”
เขาหันมาพูดอย่างหัวเสียถอดแว่นสายตาพับใส่กระเป๋าเสื้อ
“ฉันจะกลับไปนอนห้ามตามมาเด็ดขาดไม่อย่างนั้นจะหาว่าฉันไม่เตือนไม่ได้!” แต่มีหรือที่คนดื้อรั้นอย่างชนาธิปจะฟัง
ทันทีที่เขาก้าวขึ้นที่นั่งฝั่งคนขับอีกฝ่ายก็เปิดไปนั่งเบาะข้าง ๆ ทันทียักไหล่แสร้งทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“ฉันเตือนนายแล้วนะ
มีอะไรเกิดขึ้นโทษตัวเองก็แล้วกัน”
ทันที่ที่พูดจบรถสปอร์ตคันเดิมกลับมาโฉบเฉี่ยวบนท้องถนน
แต่ทว่าใช้เวลาแค่ไม่กี่นาทีรถหรูก็เลี้ยวเข้ามาจอดลงที่ลานจอดรถส่วนตัวของคอนโดหรูใกล้ที่เรียน
“สวยจังเลย ไม่รู้เลยนะว่าธารพักอยู่ที่นี่”
ชนาธิปเปิดรถเดินตามเขาลงไป ธาราธารสูงมากเดินจ้ำพรวดๆทีเดียวก็ไปถึงหน้าลิฟต์ไม่สนใจคนที่เดินตามหลังแม้แต่น้อย
“เพิ่งย้ายมารึเปล่าเมื่อก่อนธารไม่น่าจะอยู่แถวนี้นะมันไกลจากศาลายานี่”
ชนาธิปลองถามขึ้นเพราะเห็นว่าที่นี่ไกลจากศาลายามากธาราธารไม่น่าจะอยู่ที่นี่มาตั้งแต่แรก
ดวงตาคมกริบหันมองคนตัวเล็กครู่หนึ่งก่อนทาบคีย์การ์ดแล้วผลักบานประตูเข้าไป
“ไม่กลัวรึไง
” เสียงทุ้มถามขึ้น เขาโยนกระเป๋าสะพายโครมลงที่โซฟา ถอดเนคไท ปลดกระดุมที่ปลายแขนเสื้อและปลดกระดุมที่ตัวเสื้อลง
“ไม่กลัวฉันปล้ำนายเหรอ”
“ไม่กลัวหรอกธารไม่รังแกธิปอยู่แล้ว”
ชนาธิปตอบพลางยืนอึ้งอยู่สองสามวินาทีกวาดสายตาดูข้าวของรอบห้อง
ผ้าม่านสีน้ำตาลถูกดึงทึ้งขาดร่วงระเนระนาดหมอนอิงสีเดียวกับม่านกระจัดกระจายเต็มพื้นห้อง
“รกไปหน่อยโทษที”
เขาก้มลงเก็บหมอนสามสี่ใบขึ้นมาเรียงไว้ที่โซฟาสีน้ำตาลนุ่มเหมือนเดิมก่อนเดินไปหยิบกระป๋องเบียร์โยนส่งให้อีกคน
ชนาธิปชักสีหน้าแปลกใจทันที
“ธารไม่ค่อยได้อยู่ที่ห้องเหรอ” เพราะเบียร์กระป๋องไม่มีความเย็นเลยแม้แต่น้อย
ทั้งที่เจ้าของห้องเพิ่งคว้ามันออกมาจากตู้เย็นแท้ ๆ แสดงว่าห้องนี้ไม่ได้ถูกใช้งานนานแล้ว
“ไม่เคยมาอยู่เลยต่างหาก”
เขาตอบกลับมาเรียบๆแล้วตรงเข้าห้องทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำ ถอดเสื้อผ้าออกจนหมดก้าวขึ้นเตียงสอดตัวลงใต้ผ้าห่ม
ชนาธิปเห็นว่าเขาหายไปนานจึงลุกขึ้นมาเคาะห้องดู ทว่าไม่มีเสียงตอบรับกลับมาคนตัวเล็กจึงถือวิสาสะเปิดเข้าไปดู
พบว่าคนที่เพิ่งคุยกันอยู่เมื่อสักครู่นอนคว่ำหน้าหลับตาอยู่บนเตียงผ้าห่มนวมสีขาวสนิทคลุมอยู่แค่ช่วงเอวเผยให้เห็นแผ่นหลังกว้างเปลือยเปล่า
ร่างเล็กค่อยก้าวเดินเข้าไปใกล้
เสียงลมหายใจที่พรูสม่ำเสมอบอกให้รู้ได้ว่าเขานั้นหลับไปแล้วจริง ๆ เด็กหนุ่มหย่อนตัวนั่งลงข้าง
ๆ กวาดตามองไปทั่วทั้งร่าง หลังมือเล็กยกขึ้นไล้โครงหน้าได้รูปของเขาเบา ๆ
อย่างชื่นชม
ธาราธารเหมือนใครสักคนหนึ่งที่เขารู้จัก
ทั้งหน้าตา ผิวพรรณและรูปร่าง ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นเสมอทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้ชิด
ชนาธิปถูกชะตาตั้งแต่ครั้งแรกที่พบถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะเว้นระยะห่างไม่เคยให้ได้ชิดใกล้ไปมากกว่านี้แต่ชนาธิปก็ไม่ท้อใจ
“นายเหมือนใครกันนะ
เราเคยรู้จักกันมาก่อนใช่ไหม??”
ริมฝีปากเล็กเฝ้าพึมพำขณะที่มือยังไล้โครงหน้าเขาไม่ห่าง แต่แล้วชนาธิปต้องเบิกตากว้างเมื่อนึกถึงคนๆนั้นได้
คุณพ่อของเขาเอง!
‘ทัตพล’ ทำไมเขาถึงเพิ่งนึกออกกันนะ เขามองจ้องใบหน้าหล่อเหลานั่นดี ๆ อีกครั้ง
พิจารณาทุกๆจุดอย่างละเอียด ทั้งโครงหน้า คิ้ว ดวงตา จมูก ริมฝีปาก รวมทั้งรูปร่างและส่วนสูงที่แม้จะอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนหนา
..ธาราธารเหมือนทัตพลมากจริง ๆ
นี่ถ้าบอกว่าเป็นพี่น้องหรือพ่อลูกเขายังต้องเชื่อ..
“มองพอรึยัง?”
จู่ๆเสียงทุ้มพูดขึ้น ทำเอาเขาที่กำลังจ้องอยู่ใจหายวาบ
รีบถอยกรูออกมาแทบไม่ทันใบหน้าเล็กขึ้นสีแดงระเรื่อหลบสายตาเขาทันที
“นี่ถ้าขายเป็นนาที
ฉันคงรวยไปแล้ว”
ดวงตาคมกริบจ้องมองมาที่เขาทั้งที่ยังนอนคว่ำหน้าอยู่แบบนั้น เขาแขวะต่อทำให้ชนาธิปที่หน้าแดงอยู่แล้วยิ่งแดงแป๊ดเข้าไปใหญ่
“ออกไปให้พ้น ฉันจะนอน”
ธาราธารบอกเรียบ ๆ เป็นคำสั่ง แล้วยกศีรษะหันไปอีกด้านหลับตาลงทันที
ชนาธิปนั่งมองแผ่นหลังกว้างของเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจทิ้งตัวนอนลงข้างเขา ขยับไปเบียดเขาไว้เนื่องจากแอร์มันหนาวมาก
ร่างสูงใหญ่ขยับออกนิดหน่อยอย่างหัวเสีย
“ธาร คนที่ธารรักน่ะ....เอ่อ แฟนของธารเขาเป็นคนแบบไหนเหรอ”
ชนาธิปกระซิบถามเสียงเบามากแต่เขาก็ยังได้ยิน
ในห้องที่ปิดไฟจนมืดมีแต่ความเย็นเฉียบจากเครื่องปรับอากาศเท่านั้น ธาราธารรู้สึกได้ว่าวงแขนเล็กที่พาดเกี่ยวเอวเขาไว้
นั้นสั่นนิดๆเหมือนกำลังรอให้เขาตอบอย่างใจจดจ่อ
“คงจะน่ารักมากเลยใช่ไหม?”
“คนธรรมดา
หน้าตาก็งั้น ๆ”
“แล้วทำไมธารถึงชอบเขาล่ะ
เขาดีกว่าคนอื่น ๆ ตรงไหน”
“เขาไม่ได้ดีไปกว่าคนอื่น
ๆ เลย”
เขาทั้งไม่ซื่อสัตย์
ทั้งหักหลัง โกหก บดขยี้ความรักที่ให้ไปอย่างไม่เห็นค่ามันด้วยซ้ำ
แต่ทำไมถึงยังรักอยู่?? แม้แต่ตัวเองก็ไม่เข้าใจ แววตาคมที่ทอดออกมาแฝงไปด้วยความเจ็บปวด
ซึ่งชนาธิปไม่มีวันจะได้เห็น
“น่าอิจฉาจังนะ
ธิปอยากเห็นจัง คนนั้นของธาร”
“ไม่ต้องไปอิจฉาเขาหรอก
นายโชคดีแล้วที่ไม่ได้เป็นคนนั้นของฉัน”
“โชคดีตรงไหนกัน
ถ้าหาก..ถ้าหากว่าใจของธารพอจะเหลือพื้นที่ว่างแม้แต่ซอกเล็กๆ
ให้ธิปได้เข้าไปอยู่ในนั้นบ้างจะได้ไหม นั่นสิถึงจะเรียกว่าโชคดี”
“ทำไม?
นายถามแบบนี้ทำไม” ในที่สุดเขาหันหน้ามา เอ่ยถามเสียงเข้มเพราะทนคนข้าง ๆ ไม่ไหวแล้วจริง ๆ
“นายนี่มันยั่วฉันจริง
ๆ นะ อยากได้ฉันมากนักหรือไงฮึ”
เขาเท้าแขนขึ้นกับที่นอนจ้องมองใบหน้าคนตัวเล็กใกล้ ๆ ร่างกายเปลือยเปล่าสัมผัสเข้ากับร่างกายของอีกคน
ชนาธิปถึงกับขนลุกเกรียวไปทั้งตัว
“...เซ็กส์เฟรน...ธารเคยบอกธิปไม่ใช่เหรอ”
ชนาธิปยกสองมือขึ้นคล้องคอเขาโน้มคอเขาลงมาแต่ธาราธารยังฝืนไว้จ้องมองในตาคนตัวเล็กนิ่งอย่างที่ชนาธิปไม่มีวันเข้าใจสายตาเขาได้เลย
“เป็นผู้ชาย อย่าง่ายให้มันมากนัก
นายรู้ไหมคนที่ฉันรักเขาไม่เคยเต็มใจนอนกับฉันเลยแม้แต่ครั้งเดียว
ทุกครั้งที่มีอะไรกันมีแต่ฉันเท่านั้นที่เหมือนคลั่งจนแทบจะบ้า
ถ้านายอยากจะมีค่าในสายตาคนอื่นก็หัดเล่นตัวไว้ท่าเสียบ้าง
ฉันจะถือว่าที่นายพูดเมื่อตะกี้ฉันไม่ได้ยิน นอนซะฉันง่วงแล้ว”
เขาว่าจบคว้าเอาหมอนข้างมากั้นระหว่างกลางไว้แล้วหันหน้าหนีไปอีกทางหลับตาลงแน่น
ชนาธิปถูกต่อว่าจนหน้าชาไปหมดนอนนิ่งงันอยู่อย่างนั้น
พวกเขาสองคนอยู่ท่ามกลางความเงียบจนสักพักหลับกันไปทั้งคู่จริง ๆ
.
.
“สวัสดีครับคุณทัตพล
ทำไมวันนี้ถึงแวะมาได้ล่ะครับ” ภูวดลยกมือขึ้นไหว้
เมื่อเห็นทัตพลเดินเข้ามาภายในร้าน
“ฉันว่างน่ะ
ถูกไล่ออกจากบริษัทแล้ว”
เขาพูดยิ้ม ๆ
ท่าทางทีเล่นทีจริงจนภูวดลต้องเผลอมองอย่างแปลกใจ ทัตพลเดินดูภาพวาดที่เขาสนใจช้า
ๆ ขณะที่ฝ่ายเจ้าของบ้านเข้าไปจัดเตรียมน้ำท่าและผลไม้ออกมาให้
“ภาพนี้สวยนะ
มาครั้งที่แล้วฉันยังไม่เห็นเลย”
ภาพหมู่เกาะของท้องทะเลแห่งหนึ่ง
ทัตพลมองแวบเดียวก็สงสัยว่าน่าจะเป็นเกาะเล็ก ๆ ที่เขาเคยพาวารินขับเรือไปชมเล่น
“ครับ เพิ่งวาดเสร็จสองวันที่แล้วเลยลองเอาใส่กรอบขึ้นโชว์ เป็นภาพที่ทรายส่งรูปมาให้เห็นบอกว่าชอบรูปนี้ผมเลยลองวาดดูครับ”
ภูวดลกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ
ๆ แต่ในแววตาแฝงความภาคภูมิใจเต็มเปี่ยมเมื่อเอ่ยถึงน้องชายคนเดียวของเขา ทัตพลพยักหน้ารับเบา
ๆ เขาคาดเดาไม่ผิดจริง ๆ
“เธอคงจะรักทรายมากสินะซี เขาเป็นยังไงบ้างไปดูแลเจ้านายอยู่ที่โน่น กลับมาบ้างรึเปล่า”
ทัตพลเดินมานั่งลงที่โต๊ะกระจกเล็กสำหรับรับรองแขก
ภูวดลที่เพิ่งวางจานผลไม้ลงถึงกับหันมองมองคนถามทันที พลางคิดว่าทัตพลรู้ได้อย่างไรเรื่องที่วารินไปดูอยู่ดูแลภัครจิราที่บ้าน
“ครับก็เขาเป็นน้องชายคนเดียวของผม
แล้ว..ทรายเพิ่งกลับมาเมื่อวานแต่ก็กลับไปเมื่อวานอีกเหมือนกันครับ”
ชายหนุ่มตอบได้ไม่เต็มเสียงนัก
เขาคงไม่เล่าเรื่องที่ธาราธารมาตามวารินดึกดื่นถึงที่นี่แน่ ๆ
“เขาต้องลำบากเพราะฉัน”
ทัตพลพึมพำในลำคอเบา ๆ รู้สึกผิดทั้งต่อทั้งสองคนพี่น้อง แต่ภูวดลได้ยินไม่ค่อยชัดจึงจับใจความไม่ได้ว่าทัตพลพูดถึงเรื่องอะไร
“คุณทัตพลมีเรื่องอะไรไม่สบายใจเล่าให้ผมฟังได้นะครับ”
ภูวดลนั่งลงข้าง ๆ เมื่อเห็นอีกคนมีสีหน้าลำบากใจภูวดลก็แค่อยากจะปลอบ
เขาไม่เคยรู้เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างวารินกับทัตพล และเขาไม่เคยรู้ด้วยว่าทัตพลเป็นพ่อแท้
ๆ ของธาราธาร
“นี่ฉันดูออกง่ายขนาดนั้นเลยสินะ”
เขาหันมายิ้มบางทว่าแฝงไปด้วยความอบอุ่นส่งให้
“เรียกฉันว่า
‘พี่ทัต’สิ
เธอเป็นรุ่นน้องฉันไม่ใช่หรือซี”
“ผ...ผมไม่กล้าหรอกครับคุณทัตพลเป็นถึงคุณพ่อของชนาธิปแล้วยัง....”
“จะเกรงใจอะไรล่ะ
ไหนบอกฉันมีเรื่องอะไรไม่สบายใจให้เล่าให้เธอฟังได้ แต่เธอเรียกฉันเสียห่างเหินแบบนี้
ฉันยังจะกล้าเล่าเรื่องอะไรต่อมิอะไรให้เธอฟังได้หรือ”
ภูวดลอึกอักไม่รู้จะต่อบทสนทนาไปในทางไหน
เมื่อทัตพลเห็นสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนั้นของอีกฝ่ายก็อดจะขำพรืดออกมาไม่ได้
ทำเอาเขานึกไปถึงหน้าตาตลกๆของวาริน และคิดไปว่าพี่น้องสองคนนี้ช่างเหมือนกันจริง
ๆ เวลาทำสีหน้าลำบากใจหน้าจะมู่ทู่แปลกๆ
“เอาล่ะๆ
ถ้าไม่อยากเรียก ‘พี่ทัต’ ก็เรียกฉัน ‘คุณทัต’ เหมือนที่ทรายเขาเรียกได้ไหม อย่าเรียกชื่อเต็มเลยมันดูห่างเหินยังไงไม่รู้น่ะ”
ภูวดลค่อยโล่งอกส่งยิ้มให้เขา
ทัตพลชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยกมือขึ้นดูเวลาและเอ่ยปากขออยู่ทานขาวเย็นที่นี่ด้วย
ภูวดลถึงกับแสดงสีหน้าแปลกใจ
“บอกแล้วไงฉันถูกไล่ออกจากที่ทำงานแล้ว
แม้แต่บ้านก็ไม่มีให้กลับ ขอฝากท้องกับเธอสักมื้อเถอะนะ ฉันทานอะไรก็ได้ไม่เรื่องมากหรอก”
ภูวดลงงไปนิดหน่อยพูดไม่ออกแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร แต่แล้วจู่ ๆ เขาพูดสิ่งไม่คาดฝันขึ้นอีกภูวดลถึงกับอึ้งไป
“ถ้าฉันจะขอค้างที่นี่สักคืนจะได้รึเปล่า”
“ ถ้ากลับตอนนี้ฉันก็มีแต่ต้องอยู่คนเดียว
มันเหงาน่ะ เธอก็รู้ใช่ไหมเวลาคนเหงามันก็คิดฟุ้งซ่านไปเรื่อย
ฉันรบกวนเธอมากไปใช่ไหม...ฉัน....”
ดวงตาคมกริบของเขาเหม่อมองไปอย่างไม่มีจุดหมายขณะพูดถึงเรื่องความเหงา
ภูวดลนึกสงสารเขาขึ้นมาเพราะตัวเองก็รู้ดีว่าความเหงามันกัดกินใจใจแค่ไหนและคิดว่าเขาคงจะมีเรื่องไม่สบายใจมากมายจริง
ๆ
“ไม่รบกวนหรอกครับ
คุณทัตค้างที่นี่สักคืน มีอะไรไม่สบายใจถ้าอยากระบายค่อยๆเล่าให้ผมฟังได้
ผมอาจไม่ใช่นักแก้ปัญหาที่เก่งนัก ขนาดเรื่องตัวเองยังเอาไม่รอดแต่ผมก็เป็นนักฟังที่ดีนะครับ”
“ขอบใจนะซีเธอกับทรายเป็นเด็กดีมากจริงๆ”
ครั้งหนึ่งวารินเองก็เคยพูดประโยคทำนองเดียวกันนี้กับเขา
ทัตพลได้แต่คิดเรื่องราวในใจถ้าหากไม่เกิดเรื่องคืนนั้นระหว่างเขากับวาริน
วารินคงจะกลายเป็นน้องชายคนสำคัญของเขาไปแล้วเพราะเขารู้สึกถูกชะตามากแต่พอเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นจะมีหน้าให้เขาไปใกล้ชิดสนิทสนมกับวารินมันยิ่งจะดูไม่เข้าท่า
ซ้ำร้ายธาราธารลูกชายของเขาท่าทางจะคิดกับวารินมากกว่าคำว่าพี่แล้วแน่ ๆ เพราะอย่างนั้นรึเปล่าที่เขาอยากมาที่นี่อยากใกล้ชิดภูวดลเพราะมันเหมือนกับว่าเขาได้ทำอะไรไถ่โทษให้กับวารินบ้าง
เพราะว่าเขาเองที่ทำให้วารินต้องระหกระเหินไปอยู่ที่บ้านหลังนั้นแล้วปล่อยให้ภูวดลต้องเหงาอยู่ที่นี่คนเดียว
“ทานข้าวเถอะครับ
มีแค่แกงจืดไข่เจียวกับผัดเห็ดโคนญี่ปุ่นไม่รู้ว่าคุณจะทานได้รึเปล่า”
ภูวดลตักข้าวสวยร้อนๆแล้ววางลงที่โต๊ะ ทัตพลมองอาหารแล้วก็ยิ้มกว้างออกมาทันที
ผัดเห็ดโคนญี่ปุ่นเป็นอาหารที่เขาโปรดปรานมากช่างบังเอิญจริง ๆ
ที่ภูวดลทำให้ทานในวันนี้
“ทานล่ะนะไม่ต้องเกรงใจใช่ไหม”
เขาเงยหน้าขึ้นมาถามคนตรงข้ามยิ้ม ๆ ภูวดลพยักหน้าหงึกๆส่งไป ทั้งสองคนต่างนั่งทานข้าวกันเงียบๆ
“ซีกับทรายนี่ไม่เหมือนกันเลยนะ
ถึงจะนิสัยคล้ายกันแต่หน้าตาออกไปคนละแนวเลย ตั้งแต่เด็กเลยนี่”
ทัตพลมองเห็นกรอบรูปที่ใสภาพครอบครัวตั้งอยู่ที่ชั้นใกล้ ๆ
จึงพูดขึ้นอย่างไม่คิดอะไร ภูวดลให้ความรู้สึกเหมือนทั้งคุณพ่อและคุณแม่ในขณะที่วารินดูเป็นเด็กที่แตกต่างออกไปคล้ายเด็กญี่ปุ่นมาก
“โทษทีนะ ฉันคงพูดเรื่องไม่เข้าท่าออกไป
ทานกันต่อดีกว่า” เมื่อภูวดลหน้าเจื่อนลง ทัตพลที่สังเกตเห็นได้จึงรีบขอโทษขอโพยเพราะดูท่าว่าตัวเขาพูดเรื่องไม่สมควรออกมาเสียแล้ว
“เปล่าครับ ไม่มีเรื่องอะไรต้องปิดบังหรอกครับ
ความจริงแล้วผมกับทรายไม่ใช่พี่น้องกันแท้หรอก
เราโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กถึงทรายจะไม่ใช่ลูกที่แท้จริงของคุณพ่อกับคุณแม่แต่ท่านสองคนก็รักทรายไม่ต่างไปจากผมเลย
เรามีกันแค่สองคนพี่น้องทรายคือคนสำคัญที่สุดของผมครับ
ทัตพลพยักหน้ารับเบา
ๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายแสดงความจริงใจเล่าเรื่องครอบครัวให้ฟังอย่างไม่ปิดบัง
เขาเองก็ไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องปิดอีก
“ความจริงฉันกับภรรยา
เรามีปัญหากันไม่ใช่น้อยเลย ฉันตัดสินใจจะหยุดทุกอย่างไว้แค่นั้นแล้วเดินออกมา
ความผิดบางอย่างมันก็เกินจะให้อภัยกันได้ คนรอบข้างเดือดร้อนกันไปหมด
ต้นเหตุมาจากฉันทั้งนั้น”
ภูวดลเงยหน้ามองเขาทันที
ทัตพลรวบช้อนเข้าด้วยกันแล้วพูดต่อ
“ถ้าเป็นเธอจะรู้สึกยังไง??.....
ยี่สิบปีที่แล้วมีผู้ชายคนหนึ่งต้องทอดทิ้งลูกเมียที่ตัวเองรักออกมาใช้ชีวิตอยู่กับผู้หญิงอีกคน เฝ้าเลี้ยงดูเด็กที่ไม่ใช่สายเลือดแท้ๆมาโดยตลอด จะป้อนขนมจะอุ้มเขาแต่ละทีก็คิดถึงแต่ลูกตัวเองที่ไม่มีแม้แต่สิทธิที่จะได้บอกว่าตัวเองคือคุณพ่อ”
น้ำเสียงน้อยเนื้อต่ำใจพล่างพรูออกมา
ดวงตาคมแฝงไว้ด้วยความเศร้าภูวดลพอได้ฟังเรื่องของเขาแล้วพลันสงสารขึ้นมาจับใจ
เขาคงมีเหตุผลสำคัญจริงๆ ไม่เช่นนั้นใครกันจะทิ้งคนที่ตนเองรักได้ลงคอทั้งภรรยาทั้งลูก
เรื่องราวของเขามันหนักหนาขนาดนี้?
“ฉันจมอยู่กับความรู้สึกนี้มาตลอด....ทุกข์...”
ยี่สิบปี...คงจะทดแทนกันหมดแล้วสำหรับบุญคุณที่ติดค้างกันไว้
ถึงเวลาที่เขาจะเดินออกมาจากกรงนั้นได้เสียที เขามองหน้าภูวดลนิ่งไม่รู้ทำไมถึงได้พรั่งพลูเรื่องราวเหล่านี้ออกมาให้กับคนที่เพิ่งรู้จักกันไม่นานฟังอย่างหมดเปลือกแบบนี้
“ฉันพูดอย่างไม่อายเลยว่า
คนที่ทำให้ภัครจิราเจ้านายของทรายต้องนอนป่วยอยู่แบบนี้ก็คือภรรยาของฉัน
เพราะความเข้าใจผิด หึงหวงหน้ามืด ทำอะไรเลวร้ายโดยไม่ไตร่ตรองเรื่องราวให้ดี
กลับทำให้หลายคนต้องจมอยู่ในห้วงทุกข์”
ใบหน้าคนฟังแปะไปด้วยเครื่องหมายคำถามเต็มไปหมด
แต่ภูวดลไม่ได้เอ่ยปากถามออกมาสักคำ
เขาช่างเป็นผู้ฟังที่ดีมาก ในเมื่ออีกฝ่ายอยากระบายเขาก็ปล่อยให้ระบายออกมาได้เต็มที่
แต่มันติดอยู่ที่ว่า...ทำไมทัตพลคนนี้จึงเกี่ยวข้องกับภัครจิราเจ้านายของวารินได้
“ใช่แล้ว เรื่องจริงก็คือชนาธิปไม่ใช่ลูกของฉันหรอก
ลูกชายคนเดียวของฉันก็คือธาราธาร เด็กคนที่วารินน้องชายของเธอดูแลอยู่”
!!!!!!!
ภูวดลเบิกตาขึ้นทันที ความรู้สึกคือตกใจคาดไม่ถึง ถ้าทัตพลเป็นคุณพ่อของธาราธาร อย่างนั้นก็เท่ากับว่าเขาเป็นสามีเก่าของภัครจิราคนที่วารินเคยพูดถึงมาตลอด
ผู้ชายคนที่ทอดทิ้งครอบครัว เพื่อไปแต่งงานอยู่กินกับลูกคนใหม่และผู้หญิงอีกคน
“คนที่เลวแสนเลวก็คือฉัน
ฉันคนนี้”
มือเรียวยาวเลื่อนเข้าไปเกาะกุมที่หลังมือของทัตพลไว้อย่างปลอบใจ
ภูวดลไม่รู้ว่าทำไมร่างกายเขาทำไปเองโดยอัตโนมัติ
เขารู้แต่ว่าไม่อยากเห็นคนตรงหน้าโทษตัวเองและจมอยู่ในความเศร้านานเกินไป
เขาไม่รู้เรื่องราวลึกๆแต่เท่าที่อีกฝ่ายเล่ามา ยี่สิบปีมันนานเกินไปจริง ๆ ที่คนๆหนึ่งจะจมอยู่กับความทุกข์ทรมานขนาดนั้น
.
.
“นายนี่มันตัวเรื่องมากจริง
ๆ ทำไมถึงต้องเป็นที่นี่ด้วยนะ”
ธาราธารถอนใจเฮือกใหญ่ เขากำลังหัวเสียอย่างที่สุด
หลังจากตื่นขึ้นมาชนาธิปดันนอนขดตัวอยู่ข้าง ๆ พอรู้สึกตัวได้แทนที่จะรีบกลับไป ดันรบเร้าให้เขาพามาทำธุระกว่าเขาจะรู้ว่าธุระเรื่องอะไรรถก็มาจอดลงที่หน้าบ้านหลังคุ้นเคยซึ่งเขาเพิ่งมาล่าสุดก็เมื่อคืนนี้เอง
แกลลอรี่หลังเล็กที่มีลั่นทมต้นใหญ่เป็นเอกลักษณ์....
บ้านของวารินและภูวดล
“ก็พี่ซีเขาวาดรูปสวยนี่
ธิปชอบสะสมภาพวาดเลยใช้บริการเขาอยู่บ่อย ๆ ธารลงไปด้วยกันไหม” ชนาธิปไม่รู้เรื่องที่ว่าธาราธารรู้จักทั้งภูวดลทั้งวาริน
“อ้าวรถคุณพ่อนี่นา”
คนตัวเล็กเอ่ยเมื่อเปิดประตูลงไป
ธาราธารยังนั่งเฉยมีหรือที่เขาจะลงแค่พามานี่ก็เหนือความคาดหมายแล้ว แต่ทว่าชนาธิปเดินมาเคาะกระจกเรียก
“ธาร
คุณพ่อธิปท่านมาที่นี่ด้วย ธารลงไปไหว้ท่านหน่อยนะ”
ชนาธิปทำสีหน้าขอร้องธาราธารจึงตัดสินใจเดินตามเข้าไปด้วยอย่างจำใจ
“ธาร!”
ทัตพลอุทานขึ้นทันทีที่เห็นผู้ที่ก้าวเข้ามา
เขากำลังช่วยภูวดลเลื่อนกระถางต้นไม้อยู่ที่หน้าบ้าน หลังทานอาหารเย็นกันเสร็จทัตพลอาสารดน้ำต้นไม้พร้อมทั้งเคลื่อนย้ายกระถางนิดหน่อยเพื่อตอบแทนน้ำใจของภูวดล
เนื้อตัวเหนียวเหนอะมอมแมมไปหมด
ธาราธารชะงักเท้าสีหน้าเขาเครียดขึงอย่างเห็นได้ชัดแต่ชนาธิปที่ไม่ได้รู้เรื่องเพราะเดินนำอยู่ด้านหน้าตรงดิ่งเข้าหาทัตพลด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“คุณพ่อมาทำอะไรที่นี่ครับ”
สิ้นคำพูดของชนาธิปเท่านั้นธาราธารที่เดินตามมาด้านหลังถึงกับหยุดชะงักจ้องหน้าเขานิ่ง และในที่สุดเขาเหยียดริมฝีปากอย่างขมขื่น
“..หึ..”
...คุณพ่ออย่างนั้นหรือ...คนที่มีสิทธิ์จะเรียก
‘คุณพ่อ’
ได้เต็มปากสินะ...
เขาหมุนตัวกลับแล้วรีบสาวเท้าออกทันที
ทัตพลผลุนผลันหลีกจากชนาธิปเดินตามมาขวางเขาไว้
“เดี๋ยวธาร
คุยกับ พ่....กับฉันก่อนได้ไหม” อยากจะเอ่ยคำว่าพ่อแต่รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายจะอย่างไรคงไม่ยอมรับเขาจึงเปลี่ยนเป็นคำอื่นแทน
“หลีกไปผมไม่มีอะไรจะต้องคุยกับคุณ”
เขาพูดห้วน ๆ โดยไม่หยุดก้าวเดิน ทัตพลที่ตัวสูงใหญ่พอๆกับเขาจึงเดินเข้าขวางหน้าแบบไม่ให้หนีไปไหนได้อีก
“ต้องการอะไร?
อยากได้อะไรจากผมอีก สิ่งที่คุณพรากไปมันยังไม่พออีกหรือยังไง”
แววตาของเขาจ้องมองคนที่ขึ้นชื่อว่าพ่ออย่างตัดพ้อจนถึงที่สุด
ผู้ชายที่ไม่เคยเลี้ยงดู ผู้ชายที่นอกใจแม่เขา ทอดทิ้งแม่เขาไปอยู่กับผู้หญิงอีกคน
และสุดท้ายยังมาพรากคุณแม่ของเขาให้ตายทั้งเป็น
โดยการเป็นชู้กับคนที่คุณแม่เขาไว้ใจที่สุด และคนๆนั้นยังเป็นคนที่เขาเคยเอ่ยคำว่ารักให้อย่างสุดหัวใจอีกด้วย
...มีอะไรที่จะชอกช้ำไปมากกว่านี้อีกไหม..
“คุณพ่อ!” เสียงใสจากชนาธิปดังขึ้นจึงดึงให้เขาตื่นจากห้วงความคิดทั้งหมด
“คุณพ่อกับธารรู้จักกันด้วยหรือครับ”
ภูวดลเองก็เดินตามออกมาด้วยเขามองทัตพลด้วยสายตาเป็นห่วงเพราะดูท่าทางธาราธารหัวเสียอยู่มาก
ทัตพลหันไปมองชนาธิป ก่อนจะบอกเขาว่าขอคุยธุระเป็นการส่วนตัวกับธาราธาร ภูวดลจึงพาชนาธิปเลี่ยงเข้าไปด้านใน
ปล่อยให้สองคนคุยกัน
“ผมไม่มีอะไรต้องคุย”
“คนเราจะหนีกันไปตลอดไม่ได้หรอกนะธาร
สักวันหนึ่งเรา.....”
“อย่ามาเรียกชื่อผม!
คุณมีสิทธิ์?” เขาสวนขึ้นทันที กัดฟันถามอย่างเครียดขึง
“ฉันเป็นคนตั้งชื่อนี้ด้วยตัวเอง
แบบนี้มีสิทธิ์มากพอรึยัง”
ทัตพลมองหน้าลูกชายที่ตอนนี้ดูเหมือนกำลังอดกลั้นจนถึงที่สุด
สองมือนั้นกำแน่นกรามได้รูปถูกบดจนนูนเป็นสันไม่ยอมหันหน้ามามองเขาอีก
พอได้เห็นกันใกล้ขนาดนี้เขาถึงได้รู้ว่าธาราธารตัวสูงพอๆกับเขากระทั่งรูปร่างผิวพรรณและหน้าตา
เหมือนกันมากจนน่าประหลาด
... ‘ภัคร’ คุณเลี้ยงดูลูกของเราได้เติบโตขนาดนี้เชียวหรือ...
“พ่ออยากคุยกับลูกเรื่องของแม่และวาริน”
“หยุดนะ! คุณไม่มีสิทธิ์เรียกผมว่า ‘ลูก’ และยิ่งไม่มีสิทธิ์แทนตัวเองว่า ‘พ่อ’ ไม่อายตัวเองก็อายผมบ้างเถอะ”
ธาราธารตวาดขึ้นเสียงดัง
กัดฟันกรอดเมื่อได้ยินเขาเอ่ยชื่อทั้งภัครจิราทั้งวาริน
ภาพในวีดีโอนั่นประดังประเดเข้ามาอีก ทัตพลที่ตัดสินใจแล้วว่าจะเดินหน้าเข้าหาความเป็นจริงเอ่ยเรียกธาราธารว่าลูกครั้งแรกและแทนตัวเองว่าพ่อเป็นครั้งแรกหลังจากที่ต้องแยกจากกันเกือบยี่สิบปี
“แล้วลูกจะหนีความจริงไปได้อย่างไร
ในเมื่อลูกคือลูกของพ่อ ความจริงก็คือเราเป็นพ่อลูกกัน!”
“ผมบอกให้หยุด! หุบปากของคุณเดี๋ยวนี้!” เขาเดินเข้าผลักไหล่ทัตพลอย่างขึงขัง
“จำเอาไว้นะ
ความผิดที่คุณทำไม่ว่าจะลบล้างมันอย่างไรผมก็ไม่มีทางจะยกโทษให้คุณได้หรอก คนอย่างคุณมันมักมากเสียจนคว้าเอาแม้กระทั่ง.....”
เขากลืนคำพูดที่เหลือลงคออย่างขมขื่น คำพูดที่อยากจะพูดต่อแต่ไม่ได้พูดไปก็คือ
...แม้กระทั่งคนรักของลูกตัวเอง..
ใบหน้าคมแหงนเงยมองท้องฟ้าที่ดำมืดเพื่อกลั้นหยาดหยดน้ำตาไม่ให้ไหลย้อนกลับออกมาจากจิตใจ
“ธาร พ่อรู้ว่าลูกเสียใจ แต่ลูกกำลังเข้าใจผิด
เรื่องราวมันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความเต็มใจ ระหว่างพ่อกับทราย....”
“เงียบนะ! อย่าพูดอีกอย่าพูดชื่อนี้ให้ผมได้ยิน
ห้ามคุณเอ่ยชื่อนี้ออกมาเด็ดขาด ผมไม่มีอะไรต้องฟังอีกแล้ว”
เขารีบเดินหนีทันทีขณะที่ทัตพลรีบคว้าจับ ใช้สายตาจับใบหน้าของเขาไว้
“แต่ลูกต้องฟัง!
ลูกจะเข้าใจพ่อกับทรายผิดๆแบบนั้นไม่ได้”
“เข้าใจผิดอะไร?!
มีอะไรไม่ถูกต้องบ้างล่ะ คุณกับเขานอนด้วยกันมาจริง ๆ
หรือคุณจะปฏิเสธว่าไม่ได้ทำอะไรเขาเลย ไหนบอกผมมาสิ ดีใจมากไหมที่ได้นอนกับ...”
“เงียบนะธาร! ซีเขาไม่รู้เรื่องอย่าเสียงดังจนทำให้ทรายต้องเจ็บปวดไปมากกว่านี้”
เป็นครั้งแรกที่ทัตพลตะคอกเสียงใส่เขา
ธาราธารหยุดนิ่งทันที
รอยยิ้มขมขื่นปรากฏออกมาจากริมฝีปากเขาอีกครั้งเมื่อทัตพลปกป้องวารินจนออกหน้า
“ห่วงกันมากหรือไง?
กลัวเขาเจ็บปวดมากหรือ? ผมจะบอกอะไรให้นะ
ผมคนนี้แหละที่จะทำให้คนที่คุณห่วงนักห่วงหนาต้องเจ็บเป็นร้อยเท่าพันเท่าเลยคุณคอย......”
“พ่อกับทรายเราโดนวางยา
ไม่มีใครอยากให้เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นเลย ลูกต้องฟัง!”
ทัตพลโพล่งขึ้นก่อนที่เขาพูดจบ
“พ่อรู้ว่ามันอาจจะเชื่อยาก
แต่พ่อพาทรายเขาไปทำธุระที่พังงา
เราค้างที่นั่นกันสองคืนแล้วคืนที่สองมันก็เกิดเรื่องขึ้นมา นี่คือเรื่องจริง ๆ
ที่เกิดขึ้นธารจะเชื่อหรือไม่พ่อคงไปห้ามความคิดลูกไม่ได้แต่ขอให้ลูกรู้ไว้ว่าพ่อกับทรายเราไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกันแบบนั้น”
“ธุระอะไรของพวกคุณกัน
ถึงต้องถ่อไปกันไกลถึงพังงา แล้วใครหน้าไหนที่มันเป็นคนวางยาพวกคุณแบบนั้น”
เขาถามเสียงเครียดจริงจังกว่าครั้งไหน ๆ
“เรื่องนั้นพ่อคงบอกให้เรารู้ไม่ได้จริง
ๆ แต่พ่อสัญญานะ เมื่อทุกอย่างลงตัวและถึงเวลาของมัน พ่อจะบอกเรื่องราวทุกๆอย่างให้ลูกได้ฟังเป็นคนแรกเลยธาร”
เป็นคำถามที่ทัตพลไม่สามารถให้รายละเอียดได้จริง
ๆ แต่เขาสัญญากับตัวเองเอาไว้แล้วเมื่อเวลาที่รอคอยมาถึงเขาจะสารภาพและบอกเล่าเรื่องราวทุกๆอย่างให้กับลูกชายคนเดียวของเขาได้ฟัง
ไม่ว่าเขาจะได้รับการให้อภัยหรือไม่ก็ตาม
“พ่อรู้ว่าลูกคงทำใจให้อภัยพ่อกับทรายไม่ได้
แม่ก็ต้องมาล้มป่วยลงแบบนั้น แต่ทรายไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้เลย
เขาเป็นแค่เหยื่อที่โดนลากเข้ามา อย่าโกรธทราย อย่าแค้นเขา พ่อเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น คนผิดจะต้องได้รับผลกรรมที่เขาได้ทำเอาไว้แน่ สำหรับเรื่องภัครถ้าหากธารไม่ว่าอะไรพ่ออยากจะขอเข้าไปดู.....”
“ไม่จำเป็น! ไม่ต้องมายุ่ง
คุณออกไปจากชีวิตพวกผมตั้งยี่สิบปีแล้วจำเป็นอะไรถึงอยากจะกลับเข้ามาตอนนี้
ถามตัวเองให้ดีที่หลงเหลืออยู่กับคุณแม่ของผมยังเรียกว่าเป็นความรักได้อยู่ไหม
หรือคุณแค่รู้สึกผิดแค่อยากจะมาชดเชยให้ แม่ผมๆดูแลได้ ไม่รบกวนคุณหรอก”
“....ธาร....”
ท้องถนนที่ทอดยาว
แสงจากเสาไฟสีส้มเรียงรายทอดยาวโค้งไปตลอดทั้งแนว
คืนนั้นเขาขับรถกลับบ้านทั้งที่ยังอยู่ในอารมณ์ขุ่นมัว
คำพูดของทัตพลยังกึกก้องสะท้อนซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในห้วงความคิด
“ธารกำลังเข้าใจผิดนะ
เรื่องราวมันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความเต็มใจ ระหว่างพ่อกับทราย....”
“พ่อกับทรายเราโดนวางยา”
“พ่อรู้ว่ามันอาจจะเชื่อยาก
แต่พ่อพาทรายเขาไปทำธุระที่พังงา
เราค้างที่นั่นกันสองคืนแล้วคืนที่สองมันก็เกิดเรื่องขึ้นมา นี่คือเรื่องจริง ๆ
ที่เกิดขึ้นธารจะเชื่อหรือไม่พ่อคงไปห้ามความคิดลูกไม่ได้แต่ขอให้ลูกรู้ไว้ว่าพ่อกับทรายเราไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกันแบบนั้น”
เขาสะบัดศีรษะไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไปอีกครั้งตั้งสติกับถนนหนทางข้างหน้า
เบนซ์สีขาวคันเดิมจอดรออยู่ไม่นานประตูรั้วแบบอัตโนมัติก็เปิดกว้างรอให้รถหรูขับเคลื่อนเข้าไปจอดตัวลงที่ด้านใน
Tbc.