Monday, March 31, 2014

..พี่เลี้ยง..THE DAY' I was your man(Yaoi-drama) บทที่ 22


บทที่22



“ไง...ธาร”

ทันทีที่เห็นเขา ชนาธิปก็ทักขึ้นด้วยน้ำเสียงร่าเริง  ธาราธารอึ้งไปหลายวินาทีส่ายหัวปิดหนังสือแล้วทำท่าจะลุกเดินออกไป ชนาธิปรีบเข้ามาคว้าเขาไว้เสียก่อน

“เดี๋ยวสิ ธิปหาตั้งนานนะกว่าจะเจอธารแล้วยังจะหนีกันแบบนี้อีกเหรอ?”

“มีอะไร”  

เขาถามขึ้นห้วนๆขณะเลื่อนเก้าอี้เข้าชิด กระชับสายกระเป๋าสะพายสีดำแนบบ่า  พลางคิดในใจว่าวันนี้คงจะไม่ได้อ่านหนังสือแล้วอุตส่าห์หาเวลาว่างจากแลปเข้าห้องสมุดทั้งที

“ก็เปล่า แค่ตั้งใจมาหา ขับรถมาตั้งไกลพูดให้กำลังใจกันหน่อยดิ ธิปแค่อยากมาคุยด้วย คิดถึงธารนะ”

เด็กหนุ่มตัวเล็กยังไม่ยอมปล่อยมือจากเขาซ้ำยังออกแรงโยกไปมาจนแขนเสื้อเชิ้ตนักศึกษายับยู่ยี่ ธาราธารชักสีหน้ารำคาญถึงที่สุดเขาเบี่ยงตัวชักแขนหลบแล้วรีบก้าวออกมา ชนาธิปยังวิ่งตามมาอีก

“ศาลายาห้องสมุดก็ใหญ่โตดี จะมาที่นี่ทำไมกัน” เขาบ่นพึมพำอย่างรำคาญ แต่ชนาธิปหาได้สนใจไม่

“ธาร! ธารเป็นอะไรทำไมหน้าตาดูเครียดๆ ร้อนเหรอ หรือว่ามีเรื่องไม่สบายใจ”

ถึงแม้ว่าเขาจะสวมแว่นสายตาแต่ชนาธิปกลับสังเกตได้ถึงความเครียดขึงจากหัวคิ้วนั่น แล้วยังสีหน้าแววตาที่แสดงออกมาอีก

“มีอะไรรึเปล่า ธารเล่าให้ธิปฟังได้นะ”

ขณะที่เขาก้าวเดินไปเรื่อย ๆ อีกฝ่ายที่เดินตามกลับพูดจ้อไม่หยุด ธาราธารชะงักเท้าครู่หนึ่งแล้วหันกลับมามองคนที่เดินตามเขาต้อย ๆ

“เหนื่อยไหม?”

จู่ๆ เขาถามขึ้น  ชนาธิปเลิกคิ้วอย่างแปลกใจไม่รู้ถึงความหมายของเขา  “เหนื่อยไหมที่คอยตามฉันอยู่แบบนี้ นายต้องการอะไร?”

“ป...เปล่า ไม่ได้ต้องการอะไรสักหน่อยเคยบอกไปแล้วนี่ว่าธิปแค่ปลื้มธาร ธารเป็นไอดอลของธิป ธิปก็ไม่รู้เหมือนกันมันเกิดขึ้นเองการที่เราจะชอบใครสักคนมันเลือกไม่ได้หรอกว่าจะให้ชอบคนนั้นได้คนนี้ไม่ได้ ถ้าชอบไปแล้วก็คือชอบนั่นแหละ”

“แต่นายไม่ได้ชอบเฉย ๆ นี่นายเล่นตามฉันแบบนี้มันแย่นะ” เขาหันมาพูดอย่างหัวเสียถอดแว่นสายตาพับใส่กระเป๋าเสื้อ

“ฉันจะกลับไปนอนห้ามตามมาเด็ดขาดไม่อย่างนั้นจะหาว่าฉันไม่เตือนไม่ได้!” แต่มีหรือที่คนดื้อรั้นอย่างชนาธิปจะฟัง ทันทีที่เขาก้าวขึ้นที่นั่งฝั่งคนขับอีกฝ่ายก็เปิดไปนั่งเบาะข้าง ๆ ทันทียักไหล่แสร้งทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้

“ฉันเตือนนายแล้วนะ มีอะไรเกิดขึ้นโทษตัวเองก็แล้วกัน”

ทันที่ที่พูดจบรถสปอร์ตคันเดิมกลับมาโฉบเฉี่ยวบนท้องถนน แต่ทว่าใช้เวลาแค่ไม่กี่นาทีรถหรูก็เลี้ยวเข้ามาจอดลงที่ลานจอดรถส่วนตัวของคอนโดหรูใกล้ที่เรียน

“สวยจังเลย ไม่รู้เลยนะว่าธารพักอยู่ที่นี่” ชนาธิปเปิดรถเดินตามเขาลงไป ธาราธารสูงมากเดินจ้ำพรวดๆทีเดียวก็ไปถึงหน้าลิฟต์ไม่สนใจคนที่เดินตามหลังแม้แต่น้อย

“เพิ่งย้ายมารึเปล่าเมื่อก่อนธารไม่น่าจะอยู่แถวนี้นะมันไกลจากศาลายานี่” ชนาธิปลองถามขึ้นเพราะเห็นว่าที่นี่ไกลจากศาลายามากธาราธารไม่น่าจะอยู่ที่นี่มาตั้งแต่แรก ดวงตาคมกริบหันมองคนตัวเล็กครู่หนึ่งก่อนทาบคีย์การ์ดแล้วผลักบานประตูเข้าไป

“ไม่กลัวรึไง ” เสียงทุ้มถามขึ้น เขาโยนกระเป๋าสะพายโครมลงที่โซฟา ถอดเนคไท ปลดกระดุมที่ปลายแขนเสื้อและปลดกระดุมที่ตัวเสื้อลง 

“ไม่กลัวฉันปล้ำนายเหรอ”

“ไม่กลัวหรอกธารไม่รังแกธิปอยู่แล้ว”  

ชนาธิปตอบพลางยืนอึ้งอยู่สองสามวินาทีกวาดสายตาดูข้าวของรอบห้อง ผ้าม่านสีน้ำตาลถูกดึงทึ้งขาดร่วงระเนระนาดหมอนอิงสีเดียวกับม่านกระจัดกระจายเต็มพื้นห้อง

“รกไปหน่อยโทษที”

เขาก้มลงเก็บหมอนสามสี่ใบขึ้นมาเรียงไว้ที่โซฟาสีน้ำตาลนุ่มเหมือนเดิมก่อนเดินไปหยิบกระป๋องเบียร์โยนส่งให้อีกคน ชนาธิปชักสีหน้าแปลกใจทันที

“ธารไม่ค่อยได้อยู่ที่ห้องเหรอ”   เพราะเบียร์กระป๋องไม่มีความเย็นเลยแม้แต่น้อย ทั้งที่เจ้าของห้องเพิ่งคว้ามันออกมาจากตู้เย็นแท้ ๆ แสดงว่าห้องนี้ไม่ได้ถูกใช้งานนานแล้ว

“ไม่เคยมาอยู่เลยต่างหาก”

เขาตอบกลับมาเรียบๆแล้วตรงเข้าห้องทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำ ถอดเสื้อผ้าออกจนหมดก้าวขึ้นเตียงสอดตัวลงใต้ผ้าห่ม ชนาธิปเห็นว่าเขาหายไปนานจึงลุกขึ้นมาเคาะห้องดู ทว่าไม่มีเสียงตอบรับกลับมาคนตัวเล็กจึงถือวิสาสะเปิดเข้าไปดู พบว่าคนที่เพิ่งคุยกันอยู่เมื่อสักครู่นอนคว่ำหน้าหลับตาอยู่บนเตียงผ้าห่มนวมสีขาวสนิทคลุมอยู่แค่ช่วงเอวเผยให้เห็นแผ่นหลังกว้างเปลือยเปล่า  

ร่างเล็กค่อยก้าวเดินเข้าไปใกล้ เสียงลมหายใจที่พรูสม่ำเสมอบอกให้รู้ได้ว่าเขานั้นหลับไปแล้วจริง ๆ เด็กหนุ่มหย่อนตัวนั่งลงข้าง ๆ กวาดตามองไปทั่วทั้งร่าง หลังมือเล็กยกขึ้นไล้โครงหน้าได้รูปของเขาเบา ๆ อย่างชื่นชม

ธาราธารเหมือนใครสักคนหนึ่งที่เขารู้จัก ทั้งหน้าตา ผิวพรรณและรูปร่าง ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นเสมอทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้ชิด  ชนาธิปถูกชะตาตั้งแต่ครั้งแรกที่พบถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะเว้นระยะห่างไม่เคยให้ได้ชิดใกล้ไปมากกว่านี้แต่ชนาธิปก็ไม่ท้อใจ


“นายเหมือนใครกันนะ เราเคยรู้จักกันมาก่อนใช่ไหม??”


ริมฝีปากเล็กเฝ้าพึมพำขณะที่มือยังไล้โครงหน้าเขาไม่ห่าง  แต่แล้วชนาธิปต้องเบิกตากว้างเมื่อนึกถึงคนๆนั้นได้


คุณพ่อของเขาเอง!  


ทัตพลทำไมเขาถึงเพิ่งนึกออกกันนะ เขามองจ้องใบหน้าหล่อเหลานั่นดี ๆ อีกครั้ง พิจารณาทุกๆจุดอย่างละเอียด ทั้งโครงหน้า คิ้ว ดวงตา จมูก ริมฝีปาก รวมทั้งรูปร่างและส่วนสูงที่แม้จะอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนหนา


..ธาราธารเหมือนทัตพลมากจริง ๆ นี่ถ้าบอกว่าเป็นพี่น้องหรือพ่อลูกเขายังต้องเชื่อ..


“มองพอรึยัง?”

จู่ๆเสียงทุ้มพูดขึ้น ทำเอาเขาที่กำลังจ้องอยู่ใจหายวาบ รีบถอยกรูออกมาแทบไม่ทันใบหน้าเล็กขึ้นสีแดงระเรื่อหลบสายตาเขาทันที  

“นี่ถ้าขายเป็นนาที ฉันคงรวยไปแล้ว”

ดวงตาคมกริบจ้องมองมาที่เขาทั้งที่ยังนอนคว่ำหน้าอยู่แบบนั้น  เขาแขวะต่อทำให้ชนาธิปที่หน้าแดงอยู่แล้วยิ่งแดงแป๊ดเข้าไปใหญ่

“ออกไปให้พ้น ฉันจะนอน”

ธาราธารบอกเรียบ ๆ เป็นคำสั่ง แล้วยกศีรษะหันไปอีกด้านหลับตาลงทันที ชนาธิปนั่งมองแผ่นหลังกว้างของเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจทิ้งตัวนอนลงข้างเขา ขยับไปเบียดเขาไว้เนื่องจากแอร์มันหนาวมาก ร่างสูงใหญ่ขยับออกนิดหน่อยอย่างหัวเสีย

“ธาร  คนที่ธารรักน่ะ....เอ่อ  แฟนของธารเขาเป็นคนแบบไหนเหรอ”  

ชนาธิปกระซิบถามเสียงเบามากแต่เขาก็ยังได้ยิน ในห้องที่ปิดไฟจนมืดมีแต่ความเย็นเฉียบจากเครื่องปรับอากาศเท่านั้น ธาราธารรู้สึกได้ว่าวงแขนเล็กที่พาดเกี่ยวเอวเขาไว้ นั้นสั่นนิดๆเหมือนกำลังรอให้เขาตอบอย่างใจจดจ่อ

“คงจะน่ารักมากเลยใช่ไหม?”

“คนธรรมดา หน้าตาก็งั้น ๆ”

“แล้วทำไมธารถึงชอบเขาล่ะ เขาดีกว่าคนอื่น ๆ ตรงไหน”

“เขาไม่ได้ดีไปกว่าคนอื่น ๆ เลย” 

เขาทั้งไม่ซื่อสัตย์ ทั้งหักหลัง โกหก  บดขยี้ความรักที่ให้ไปอย่างไม่เห็นค่ามันด้วยซ้ำ แต่ทำไมถึงยังรักอยู่??  แม้แต่ตัวเองก็ไม่เข้าใจ  แววตาคมที่ทอดออกมาแฝงไปด้วยความเจ็บปวด ซึ่งชนาธิปไม่มีวันจะได้เห็น

“น่าอิจฉาจังนะ ธิปอยากเห็นจัง คนนั้นของธาร”

“ไม่ต้องไปอิจฉาเขาหรอก นายโชคดีแล้วที่ไม่ได้เป็นคนนั้นของฉัน”

“โชคดีตรงไหนกัน ถ้าหาก..ถ้าหากว่าใจของธารพอจะเหลือพื้นที่ว่างแม้แต่ซอกเล็กๆ ให้ธิปได้เข้าไปอยู่ในนั้นบ้างจะได้ไหม นั่นสิถึงจะเรียกว่าโชคดี”

“ทำไม? นายถามแบบนี้ทำไม” ในที่สุดเขาหันหน้ามา เอ่ยถามเสียงเข้มเพราะทนคนข้าง ๆ ไม่ไหวแล้วจริง ๆ  

“นายนี่มันยั่วฉันจริง ๆ นะ อยากได้ฉันมากนักหรือไงฮึ” เขาเท้าแขนขึ้นกับที่นอนจ้องมองใบหน้าคนตัวเล็กใกล้ ๆ ร่างกายเปลือยเปล่าสัมผัสเข้ากับร่างกายของอีกคน ชนาธิปถึงกับขนลุกเกรียวไปทั้งตัว

“...เซ็กส์เฟรน...ธารเคยบอกธิปไม่ใช่เหรอ” ชนาธิปยกสองมือขึ้นคล้องคอเขาโน้มคอเขาลงมาแต่ธาราธารยังฝืนไว้จ้องมองในตาคนตัวเล็กนิ่งอย่างที่ชนาธิปไม่มีวันเข้าใจสายตาเขาได้เลย

“เป็นผู้ชาย อย่าง่ายให้มันมากนัก นายรู้ไหมคนที่ฉันรักเขาไม่เคยเต็มใจนอนกับฉันเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทุกครั้งที่มีอะไรกันมีแต่ฉันเท่านั้นที่เหมือนคลั่งจนแทบจะบ้า ถ้านายอยากจะมีค่าในสายตาคนอื่นก็หัดเล่นตัวไว้ท่าเสียบ้าง ฉันจะถือว่าที่นายพูดเมื่อตะกี้ฉันไม่ได้ยิน นอนซะฉันง่วงแล้ว”

เขาว่าจบคว้าเอาหมอนข้างมากั้นระหว่างกลางไว้แล้วหันหน้าหนีไปอีกทางหลับตาลงแน่น ชนาธิปถูกต่อว่าจนหน้าชาไปหมดนอนนิ่งงันอยู่อย่างนั้น พวกเขาสองคนอยู่ท่ามกลางความเงียบจนสักพักหลับกันไปทั้งคู่จริง ๆ


.
.


“สวัสดีครับคุณทัตพล ทำไมวันนี้ถึงแวะมาได้ล่ะครับ” ภูวดลยกมือขึ้นไหว้ เมื่อเห็นทัตพลเดินเข้ามาภายในร้าน

“ฉันว่างน่ะ ถูกไล่ออกจากบริษัทแล้ว”

เขาพูดยิ้ม ๆ ท่าทางทีเล่นทีจริงจนภูวดลต้องเผลอมองอย่างแปลกใจ ทัตพลเดินดูภาพวาดที่เขาสนใจช้า ๆ ขณะที่ฝ่ายเจ้าของบ้านเข้าไปจัดเตรียมน้ำท่าและผลไม้ออกมาให้

“ภาพนี้สวยนะ มาครั้งที่แล้วฉันยังไม่เห็นเลย”

ภาพหมู่เกาะของท้องทะเลแห่งหนึ่ง ทัตพลมองแวบเดียวก็สงสัยว่าน่าจะเป็นเกาะเล็ก ๆ ที่เขาเคยพาวารินขับเรือไปชมเล่น

“ครับ เพิ่งวาดเสร็จสองวันที่แล้วเลยลองเอาใส่กรอบขึ้นโชว์  เป็นภาพที่ทรายส่งรูปมาให้เห็นบอกว่าชอบรูปนี้ผมเลยลองวาดดูครับ”

ภูวดลกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ แต่ในแววตาแฝงความภาคภูมิใจเต็มเปี่ยมเมื่อเอ่ยถึงน้องชายคนเดียวของเขา ทัตพลพยักหน้ารับเบา ๆ เขาคาดเดาไม่ผิดจริง ๆ

“เธอคงจะรักทรายมากสินะซี  เขาเป็นยังไงบ้างไปดูแลเจ้านายอยู่ที่โน่น กลับมาบ้างรึเปล่า”

ทัตพลเดินมานั่งลงที่โต๊ะกระจกเล็กสำหรับรับรองแขก ภูวดลที่เพิ่งวางจานผลไม้ลงถึงกับหันมองมองคนถามทันที  พลางคิดว่าทัตพลรู้ได้อย่างไรเรื่องที่วารินไปดูอยู่ดูแลภัครจิราที่บ้าน

“ครับก็เขาเป็นน้องชายคนเดียวของผม  แล้ว..ทรายเพิ่งกลับมาเมื่อวานแต่ก็กลับไปเมื่อวานอีกเหมือนกันครับ”  ชายหนุ่มตอบได้ไม่เต็มเสียงนัก เขาคงไม่เล่าเรื่องที่ธาราธารมาตามวารินดึกดื่นถึงที่นี่แน่ ๆ

“เขาต้องลำบากเพราะฉัน” ทัตพลพึมพำในลำคอเบา ๆ รู้สึกผิดทั้งต่อทั้งสองคนพี่น้อง  แต่ภูวดลได้ยินไม่ค่อยชัดจึงจับใจความไม่ได้ว่าทัตพลพูดถึงเรื่องอะไร

“คุณทัตพลมีเรื่องอะไรไม่สบายใจเล่าให้ผมฟังได้นะครับ” ภูวดลนั่งลงข้าง ๆ  เมื่อเห็นอีกคนมีสีหน้าลำบากใจภูวดลก็แค่อยากจะปลอบ เขาไม่เคยรู้เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างวารินกับทัตพล และเขาไม่เคยรู้ด้วยว่าทัตพลเป็นพ่อแท้ ๆ ของธาราธาร

“นี่ฉันดูออกง่ายขนาดนั้นเลยสินะ” เขาหันมายิ้มบางทว่าแฝงไปด้วยความอบอุ่นส่งให้

“เรียกฉันว่า พี่ทัตสิ เธอเป็นรุ่นน้องฉันไม่ใช่หรือซี”

“ผ...ผมไม่กล้าหรอกครับคุณทัตพลเป็นถึงคุณพ่อของชนาธิปแล้วยัง....”

“จะเกรงใจอะไรล่ะ ไหนบอกฉันมีเรื่องอะไรไม่สบายใจให้เล่าให้เธอฟังได้ แต่เธอเรียกฉันเสียห่างเหินแบบนี้ ฉันยังจะกล้าเล่าเรื่องอะไรต่อมิอะไรให้เธอฟังได้หรือ”

ภูวดลอึกอักไม่รู้จะต่อบทสนทนาไปในทางไหน เมื่อทัตพลเห็นสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนั้นของอีกฝ่ายก็อดจะขำพรืดออกมาไม่ได้ ทำเอาเขานึกไปถึงหน้าตาตลกๆของวาริน และคิดไปว่าพี่น้องสองคนนี้ช่างเหมือนกันจริง ๆ เวลาทำสีหน้าลำบากใจหน้าจะมู่ทู่แปลกๆ

“เอาล่ะๆ ถ้าไม่อยากเรียก พี่ทัตก็เรียกฉัน คุณทัต เหมือนที่ทรายเขาเรียกได้ไหม อย่าเรียกชื่อเต็มเลยมันดูห่างเหินยังไงไม่รู้น่ะ”

ภูวดลค่อยโล่งอกส่งยิ้มให้เขา ทัตพลชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยกมือขึ้นดูเวลาและเอ่ยปากขออยู่ทานขาวเย็นที่นี่ด้วย ภูวดลถึงกับแสดงสีหน้าแปลกใจ

“บอกแล้วไงฉันถูกไล่ออกจากที่ทำงานแล้ว แม้แต่บ้านก็ไม่มีให้กลับ ขอฝากท้องกับเธอสักมื้อเถอะนะ ฉันทานอะไรก็ได้ไม่เรื่องมากหรอก”

ภูวดลงงไปนิดหน่อยพูดไม่ออกแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร แต่แล้วจู่ ๆ เขาพูดสิ่งไม่คาดฝันขึ้นอีกภูวดลถึงกับอึ้งไป

“ถ้าฉันจะขอค้างที่นี่สักคืนจะได้รึเปล่า”

“ ถ้ากลับตอนนี้ฉันก็มีแต่ต้องอยู่คนเดียว มันเหงาน่ะ เธอก็รู้ใช่ไหมเวลาคนเหงามันก็คิดฟุ้งซ่านไปเรื่อย ฉันรบกวนเธอมากไปใช่ไหม...ฉัน....”

ดวงตาคมกริบของเขาเหม่อมองไปอย่างไม่มีจุดหมายขณะพูดถึงเรื่องความเหงา ภูวดลนึกสงสารเขาขึ้นมาเพราะตัวเองก็รู้ดีว่าความเหงามันกัดกินใจใจแค่ไหนและคิดว่าเขาคงจะมีเรื่องไม่สบายใจมากมายจริง ๆ

“ไม่รบกวนหรอกครับ คุณทัตค้างที่นี่สักคืน มีอะไรไม่สบายใจถ้าอยากระบายค่อยๆเล่าให้ผมฟังได้ ผมอาจไม่ใช่นักแก้ปัญหาที่เก่งนัก ขนาดเรื่องตัวเองยังเอาไม่รอดแต่ผมก็เป็นนักฟังที่ดีนะครับ”

“ขอบใจนะซีเธอกับทรายเป็นเด็กดีมากจริงๆ”

ครั้งหนึ่งวารินเองก็เคยพูดประโยคทำนองเดียวกันนี้กับเขา ทัตพลได้แต่คิดเรื่องราวในใจถ้าหากไม่เกิดเรื่องคืนนั้นระหว่างเขากับวาริน วารินคงจะกลายเป็นน้องชายคนสำคัญของเขาไปแล้วเพราะเขารู้สึกถูกชะตามากแต่พอเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นจะมีหน้าให้เขาไปใกล้ชิดสนิทสนมกับวารินมันยิ่งจะดูไม่เข้าท่า ซ้ำร้ายธาราธารลูกชายของเขาท่าทางจะคิดกับวารินมากกว่าคำว่าพี่แล้วแน่ ๆ   เพราะอย่างนั้นรึเปล่าที่เขาอยากมาที่นี่อยากใกล้ชิดภูวดลเพราะมันเหมือนกับว่าเขาได้ทำอะไรไถ่โทษให้กับวารินบ้าง เพราะว่าเขาเองที่ทำให้วารินต้องระหกระเหินไปอยู่ที่บ้านหลังนั้นแล้วปล่อยให้ภูวดลต้องเหงาอยู่ที่นี่คนเดียว

“ทานข้าวเถอะครับ มีแค่แกงจืดไข่เจียวกับผัดเห็ดโคนญี่ปุ่นไม่รู้ว่าคุณจะทานได้รึเปล่า” ภูวดลตักข้าวสวยร้อนๆแล้ววางลงที่โต๊ะ ทัตพลมองอาหารแล้วก็ยิ้มกว้างออกมาทันที ผัดเห็ดโคนญี่ปุ่นเป็นอาหารที่เขาโปรดปรานมากช่างบังเอิญจริง ๆ ที่ภูวดลทำให้ทานในวันนี้

“ทานล่ะนะไม่ต้องเกรงใจใช่ไหม” เขาเงยหน้าขึ้นมาถามคนตรงข้ามยิ้ม ๆ ภูวดลพยักหน้าหงึกๆส่งไป ทั้งสองคนต่างนั่งทานข้าวกันเงียบๆ

“ซีกับทรายนี่ไม่เหมือนกันเลยนะ ถึงจะนิสัยคล้ายกันแต่หน้าตาออกไปคนละแนวเลย ตั้งแต่เด็กเลยนี่” ทัตพลมองเห็นกรอบรูปที่ใสภาพครอบครัวตั้งอยู่ที่ชั้นใกล้ ๆ จึงพูดขึ้นอย่างไม่คิดอะไร ภูวดลให้ความรู้สึกเหมือนทั้งคุณพ่อและคุณแม่ในขณะที่วารินดูเป็นเด็กที่แตกต่างออกไปคล้ายเด็กญี่ปุ่นมาก 

“โทษทีนะ ฉันคงพูดเรื่องไม่เข้าท่าออกไป ทานกันต่อดีกว่า” เมื่อภูวดลหน้าเจื่อนลง ทัตพลที่สังเกตเห็นได้จึงรีบขอโทษขอโพยเพราะดูท่าว่าตัวเขาพูดเรื่องไม่สมควรออกมาเสียแล้ว

“เปล่าครับ ไม่มีเรื่องอะไรต้องปิดบังหรอกครับ ความจริงแล้วผมกับทรายไม่ใช่พี่น้องกันแท้หรอก เราโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กถึงทรายจะไม่ใช่ลูกที่แท้จริงของคุณพ่อกับคุณแม่แต่ท่านสองคนก็รักทรายไม่ต่างไปจากผมเลย เรามีกันแค่สองคนพี่น้องทรายคือคนสำคัญที่สุดของผมครับ

ทัตพลพยักหน้ารับเบา ๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายแสดงความจริงใจเล่าเรื่องครอบครัวให้ฟังอย่างไม่ปิดบัง เขาเองก็ไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องปิดอีก

“ความจริงฉันกับภรรยา เรามีปัญหากันไม่ใช่น้อยเลย ฉันตัดสินใจจะหยุดทุกอย่างไว้แค่นั้นแล้วเดินออกมา ความผิดบางอย่างมันก็เกินจะให้อภัยกันได้ คนรอบข้างเดือดร้อนกันไปหมด ต้นเหตุมาจากฉันทั้งนั้น”

ภูวดลเงยหน้ามองเขาทันที ทัตพลรวบช้อนเข้าด้วยกันแล้วพูดต่อ

“ถ้าเป็นเธอจะรู้สึกยังไง??..... ยี่สิบปีที่แล้วมีผู้ชายคนหนึ่งต้องทอดทิ้งลูกเมียที่ตัวเองรักออกมาใช้ชีวิตอยู่กับผู้หญิงอีกคน  เฝ้าเลี้ยงดูเด็กที่ไม่ใช่สายเลือดแท้ๆมาโดยตลอด  จะป้อนขนมจะอุ้มเขาแต่ละทีก็คิดถึงแต่ลูกตัวเองที่ไม่มีแม้แต่สิทธิที่จะได้บอกว่าตัวเองคือคุณพ่อ”

น้ำเสียงน้อยเนื้อต่ำใจพล่างพรูออกมา ดวงตาคมแฝงไว้ด้วยความเศร้าภูวดลพอได้ฟังเรื่องของเขาแล้วพลันสงสารขึ้นมาจับใจ เขาคงมีเหตุผลสำคัญจริงๆ ไม่เช่นนั้นใครกันจะทิ้งคนที่ตนเองรักได้ลงคอทั้งภรรยาทั้งลูก  เรื่องราวของเขามันหนักหนาขนาดนี้?

“ฉันจมอยู่กับความรู้สึกนี้มาตลอด....ทุกข์...” 

ยี่สิบปี...คงจะทดแทนกันหมดแล้วสำหรับบุญคุณที่ติดค้างกันไว้  ถึงเวลาที่เขาจะเดินออกมาจากกรงนั้นได้เสียที เขามองหน้าภูวดลนิ่งไม่รู้ทำไมถึงได้พรั่งพลูเรื่องราวเหล่านี้ออกมาให้กับคนที่เพิ่งรู้จักกันไม่นานฟังอย่างหมดเปลือกแบบนี้ 

“ฉันพูดอย่างไม่อายเลยว่า คนที่ทำให้ภัครจิราเจ้านายของทรายต้องนอนป่วยอยู่แบบนี้ก็คือภรรยาของฉัน เพราะความเข้าใจผิด หึงหวงหน้ามืด ทำอะไรเลวร้ายโดยไม่ไตร่ตรองเรื่องราวให้ดี กลับทำให้หลายคนต้องจมอยู่ในห้วงทุกข์”

ใบหน้าคนฟังแปะไปด้วยเครื่องหมายคำถามเต็มไปหมด แต่ภูวดลไม่ได้เอ่ยปากถามออกมาสักคำ เขาช่างเป็นผู้ฟังที่ดีมาก ในเมื่ออีกฝ่ายอยากระบายเขาก็ปล่อยให้ระบายออกมาได้เต็มที่ แต่มันติดอยู่ที่ว่า...ทำไมทัตพลคนนี้จึงเกี่ยวข้องกับภัครจิราเจ้านายของวารินได้

“ใช่แล้ว เรื่องจริงก็คือชนาธิปไม่ใช่ลูกของฉันหรอก ลูกชายคนเดียวของฉันก็คือธาราธาร เด็กคนที่วารินน้องชายของเธอดูแลอยู่”

!!!!!!! 

ภูวดลเบิกตาขึ้นทันที ความรู้สึกคือตกใจคาดไม่ถึง ถ้าทัตพลเป็นคุณพ่อของธาราธาร อย่างนั้นก็เท่ากับว่าเขาเป็นสามีเก่าของภัครจิราคนที่วารินเคยพูดถึงมาตลอด ผู้ชายคนที่ทอดทิ้งครอบครัว เพื่อไปแต่งงานอยู่กินกับลูกคนใหม่และผู้หญิงอีกคน

“คนที่เลวแสนเลวก็คือฉัน ฉันคนนี้”

มือเรียวยาวเลื่อนเข้าไปเกาะกุมที่หลังมือของทัตพลไว้อย่างปลอบใจ ภูวดลไม่รู้ว่าทำไมร่างกายเขาทำไปเองโดยอัตโนมัติ เขารู้แต่ว่าไม่อยากเห็นคนตรงหน้าโทษตัวเองและจมอยู่ในความเศร้านานเกินไป เขาไม่รู้เรื่องราวลึกๆแต่เท่าที่อีกฝ่ายเล่ามา ยี่สิบปีมันนานเกินไปจริง ๆ ที่คนๆหนึ่งจะจมอยู่กับความทุกข์ทรมานขนาดนั้น

.

.


“นายนี่มันตัวเรื่องมากจริง ๆ ทำไมถึงต้องเป็นที่นี่ด้วยนะ”

ธาราธารถอนใจเฮือกใหญ่ เขากำลังหัวเสียอย่างที่สุด หลังจากตื่นขึ้นมาชนาธิปดันนอนขดตัวอยู่ข้าง ๆ พอรู้สึกตัวได้แทนที่จะรีบกลับไป ดันรบเร้าให้เขาพามาทำธุระกว่าเขาจะรู้ว่าธุระเรื่องอะไรรถก็มาจอดลงที่หน้าบ้านหลังคุ้นเคยซึ่งเขาเพิ่งมาล่าสุดก็เมื่อคืนนี้เอง

แกลลอรี่หลังเล็กที่มีลั่นทมต้นใหญ่เป็นเอกลักษณ์.... บ้านของวารินและภูวดล

“ก็พี่ซีเขาวาดรูปสวยนี่ ธิปชอบสะสมภาพวาดเลยใช้บริการเขาอยู่บ่อย ๆ ธารลงไปด้วยกันไหม” ชนาธิปไม่รู้เรื่องที่ว่าธาราธารรู้จักทั้งภูวดลทั้งวาริน

“อ้าวรถคุณพ่อนี่นา” คนตัวเล็กเอ่ยเมื่อเปิดประตูลงไป ธาราธารยังนั่งเฉยมีหรือที่เขาจะลงแค่พามานี่ก็เหนือความคาดหมายแล้ว แต่ทว่าชนาธิปเดินมาเคาะกระจกเรียก

“ธาร คุณพ่อธิปท่านมาที่นี่ด้วย ธารลงไปไหว้ท่านหน่อยนะ” ชนาธิปทำสีหน้าขอร้องธาราธารจึงตัดสินใจเดินตามเข้าไปด้วยอย่างจำใจ

“ธาร!” 

ทัตพลอุทานขึ้นทันทีที่เห็นผู้ที่ก้าวเข้ามา เขากำลังช่วยภูวดลเลื่อนกระถางต้นไม้อยู่ที่หน้าบ้าน หลังทานอาหารเย็นกันเสร็จทัตพลอาสารดน้ำต้นไม้พร้อมทั้งเคลื่อนย้ายกระถางนิดหน่อยเพื่อตอบแทนน้ำใจของภูวดล เนื้อตัวเหนียวเหนอะมอมแมมไปหมด

ธาราธารชะงักเท้าสีหน้าเขาเครียดขึงอย่างเห็นได้ชัดแต่ชนาธิปที่ไม่ได้รู้เรื่องเพราะเดินนำอยู่ด้านหน้าตรงดิ่งเข้าหาทัตพลด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“คุณพ่อมาทำอะไรที่นี่ครับ” สิ้นคำพูดของชนาธิปเท่านั้นธาราธารที่เดินตามมาด้านหลังถึงกับหยุดชะงักจ้องหน้าเขานิ่ง และในที่สุดเขาเหยียดริมฝีปากอย่างขมขื่น

“..หึ..”


...คุณพ่ออย่างนั้นหรือ...คนที่มีสิทธิ์จะเรียก คุณพ่อ ได้เต็มปากสินะ...


เขาหมุนตัวกลับแล้วรีบสาวเท้าออกทันที ทัตพลผลุนผลันหลีกจากชนาธิปเดินตามมาขวางเขาไว้

“เดี๋ยวธาร คุยกับ พ่....กับฉันก่อนได้ไหม”  อยากจะเอ่ยคำว่าพ่อแต่รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายจะอย่างไรคงไม่ยอมรับเขาจึงเปลี่ยนเป็นคำอื่นแทน

“หลีกไปผมไม่มีอะไรจะต้องคุยกับคุณ” เขาพูดห้วน ๆ โดยไม่หยุดก้าวเดิน ทัตพลที่ตัวสูงใหญ่พอๆกับเขาจึงเดินเข้าขวางหน้าแบบไม่ให้หนีไปไหนได้อีก

“ต้องการอะไร? อยากได้อะไรจากผมอีก สิ่งที่คุณพรากไปมันยังไม่พออีกหรือยังไง”

 แววตาของเขาจ้องมองคนที่ขึ้นชื่อว่าพ่ออย่างตัดพ้อจนถึงที่สุด ผู้ชายที่ไม่เคยเลี้ยงดู ผู้ชายที่นอกใจแม่เขา ทอดทิ้งแม่เขาไปอยู่กับผู้หญิงอีกคน และสุดท้ายยังมาพรากคุณแม่ของเขาให้ตายทั้งเป็น โดยการเป็นชู้กับคนที่คุณแม่เขาไว้ใจที่สุด และคนๆนั้นยังเป็นคนที่เขาเคยเอ่ยคำว่ารักให้อย่างสุดหัวใจอีกด้วย


...มีอะไรที่จะชอกช้ำไปมากกว่านี้อีกไหม..


“คุณพ่อ!” เสียงใสจากชนาธิปดังขึ้นจึงดึงให้เขาตื่นจากห้วงความคิดทั้งหมด

“คุณพ่อกับธารรู้จักกันด้วยหรือครับ”

ภูวดลเองก็เดินตามออกมาด้วยเขามองทัตพลด้วยสายตาเป็นห่วงเพราะดูท่าทางธาราธารหัวเสียอยู่มาก ทัตพลหันไปมองชนาธิป ก่อนจะบอกเขาว่าขอคุยธุระเป็นการส่วนตัวกับธาราธาร ภูวดลจึงพาชนาธิปเลี่ยงเข้าไปด้านใน ปล่อยให้สองคนคุยกัน

“ผมไม่มีอะไรต้องคุย”

“คนเราจะหนีกันไปตลอดไม่ได้หรอกนะธาร สักวันหนึ่งเรา.....”

“อย่ามาเรียกชื่อผม! คุณมีสิทธิ์?”  เขาสวนขึ้นทันที กัดฟันถามอย่างเครียดขึง

“ฉันเป็นคนตั้งชื่อนี้ด้วยตัวเอง แบบนี้มีสิทธิ์มากพอรึยัง” ทัตพลมองหน้าลูกชายที่ตอนนี้ดูเหมือนกำลังอดกลั้นจนถึงที่สุด สองมือนั้นกำแน่นกรามได้รูปถูกบดจนนูนเป็นสันไม่ยอมหันหน้ามามองเขาอีก

พอได้เห็นกันใกล้ขนาดนี้เขาถึงได้รู้ว่าธาราธารตัวสูงพอๆกับเขากระทั่งรูปร่างผิวพรรณและหน้าตา เหมือนกันมากจนน่าประหลาด

... ภัคร  คุณเลี้ยงดูลูกของเราได้เติบโตขนาดนี้เชียวหรือ...

“พ่ออยากคุยกับลูกเรื่องของแม่และวาริน”

“หยุดนะ! คุณไม่มีสิทธิ์เรียกผมว่า ลูก และยิ่งไม่มีสิทธิ์แทนตัวเองว่า พ่อ ไม่อายตัวเองก็อายผมบ้างเถอะ”

ธาราธารตวาดขึ้นเสียงดัง กัดฟันกรอดเมื่อได้ยินเขาเอ่ยชื่อทั้งภัครจิราทั้งวาริน ภาพในวีดีโอนั่นประดังประเดเข้ามาอีก ทัตพลที่ตัดสินใจแล้วว่าจะเดินหน้าเข้าหาความเป็นจริงเอ่ยเรียกธาราธารว่าลูกครั้งแรกและแทนตัวเองว่าพ่อเป็นครั้งแรกหลังจากที่ต้องแยกจากกันเกือบยี่สิบปี

“แล้วลูกจะหนีความจริงไปได้อย่างไร ในเมื่อลูกคือลูกของพ่อ ความจริงก็คือเราเป็นพ่อลูกกัน!

“ผมบอกให้หยุด! หุบปากของคุณเดี๋ยวนี้!” เขาเดินเข้าผลักไหล่ทัตพลอย่างขึงขัง

“จำเอาไว้นะ ความผิดที่คุณทำไม่ว่าจะลบล้างมันอย่างไรผมก็ไม่มีทางจะยกโทษให้คุณได้หรอก คนอย่างคุณมันมักมากเสียจนคว้าเอาแม้กระทั่ง.....” เขากลืนคำพูดที่เหลือลงคออย่างขมขื่น คำพูดที่อยากจะพูดต่อแต่ไม่ได้พูดไปก็คือ


...แม้กระทั่งคนรักของลูกตัวเอง..


ใบหน้าคมแหงนเงยมองท้องฟ้าที่ดำมืดเพื่อกลั้นหยาดหยดน้ำตาไม่ให้ไหลย้อนกลับออกมาจากจิตใจ


“ธาร  พ่อรู้ว่าลูกเสียใจ แต่ลูกกำลังเข้าใจผิด เรื่องราวมันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความเต็มใจ ระหว่างพ่อกับทราย....”

“เงียบนะ! อย่าพูดอีกอย่าพูดชื่อนี้ให้ผมได้ยิน ห้ามคุณเอ่ยชื่อนี้ออกมาเด็ดขาด ผมไม่มีอะไรต้องฟังอีกแล้ว” เขารีบเดินหนีทันทีขณะที่ทัตพลรีบคว้าจับ ใช้สายตาจับใบหน้าของเขาไว้

“แต่ลูกต้องฟัง! ลูกจะเข้าใจพ่อกับทรายผิดๆแบบนั้นไม่ได้”

“เข้าใจผิดอะไร?! มีอะไรไม่ถูกต้องบ้างล่ะ คุณกับเขานอนด้วยกันมาจริง ๆ หรือคุณจะปฏิเสธว่าไม่ได้ทำอะไรเขาเลย ไหนบอกผมมาสิ ดีใจมากไหมที่ได้นอนกับ...”

“เงียบนะธาร! ซีเขาไม่รู้เรื่องอย่าเสียงดังจนทำให้ทรายต้องเจ็บปวดไปมากกว่านี้”

เป็นครั้งแรกที่ทัตพลตะคอกเสียงใส่เขา ธาราธารหยุดนิ่งทันที รอยยิ้มขมขื่นปรากฏออกมาจากริมฝีปากเขาอีกครั้งเมื่อทัตพลปกป้องวารินจนออกหน้า

“ห่วงกันมากหรือไง? กลัวเขาเจ็บปวดมากหรือ? ผมจะบอกอะไรให้นะ ผมคนนี้แหละที่จะทำให้คนที่คุณห่วงนักห่วงหนาต้องเจ็บเป็นร้อยเท่าพันเท่าเลยคุณคอย......”

“พ่อกับทรายเราโดนวางยา ไม่มีใครอยากให้เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นเลย ลูกต้องฟัง!” ทัตพลโพล่งขึ้นก่อนที่เขาพูดจบ

“พ่อรู้ว่ามันอาจจะเชื่อยาก แต่พ่อพาทรายเขาไปทำธุระที่พังงา เราค้างที่นั่นกันสองคืนแล้วคืนที่สองมันก็เกิดเรื่องขึ้นมา นี่คือเรื่องจริง ๆ ที่เกิดขึ้นธารจะเชื่อหรือไม่พ่อคงไปห้ามความคิดลูกไม่ได้แต่ขอให้ลูกรู้ไว้ว่าพ่อกับทรายเราไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกันแบบนั้น”

“ธุระอะไรของพวกคุณกัน ถึงต้องถ่อไปกันไกลถึงพังงา แล้วใครหน้าไหนที่มันเป็นคนวางยาพวกคุณแบบนั้น” เขาถามเสียงเครียดจริงจังกว่าครั้งไหน ๆ  

“เรื่องนั้นพ่อคงบอกให้เรารู้ไม่ได้จริง ๆ แต่พ่อสัญญานะ เมื่อทุกอย่างลงตัวและถึงเวลาของมัน พ่อจะบอกเรื่องราวทุกๆอย่างให้ลูกได้ฟังเป็นคนแรกเลยธาร”

เป็นคำถามที่ทัตพลไม่สามารถให้รายละเอียดได้จริง ๆ แต่เขาสัญญากับตัวเองเอาไว้แล้วเมื่อเวลาที่รอคอยมาถึงเขาจะสารภาพและบอกเล่าเรื่องราวทุกๆอย่างให้กับลูกชายคนเดียวของเขาได้ฟัง ไม่ว่าเขาจะได้รับการให้อภัยหรือไม่ก็ตาม

“พ่อรู้ว่าลูกคงทำใจให้อภัยพ่อกับทรายไม่ได้ แม่ก็ต้องมาล้มป่วยลงแบบนั้น แต่ทรายไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้เลย เขาเป็นแค่เหยื่อที่โดนลากเข้ามา อย่าโกรธทราย อย่าแค้นเขา พ่อเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น คนผิดจะต้องได้รับผลกรรมที่เขาได้ทำเอาไว้แน่ สำหรับเรื่องภัครถ้าหากธารไม่ว่าอะไรพ่ออยากจะขอเข้าไปดู.....”

“ไม่จำเป็น! ไม่ต้องมายุ่ง คุณออกไปจากชีวิตพวกผมตั้งยี่สิบปีแล้วจำเป็นอะไรถึงอยากจะกลับเข้ามาตอนนี้ ถามตัวเองให้ดีที่หลงเหลืออยู่กับคุณแม่ของผมยังเรียกว่าเป็นความรักได้อยู่ไหม หรือคุณแค่รู้สึกผิดแค่อยากจะมาชดเชยให้ แม่ผมๆดูแลได้ ไม่รบกวนคุณหรอก”

“....ธาร....”


ท้องถนนที่ทอดยาว แสงจากเสาไฟสีส้มเรียงรายทอดยาวโค้งไปตลอดทั้งแนว คืนนั้นเขาขับรถกลับบ้านทั้งที่ยังอยู่ในอารมณ์ขุ่นมัว คำพูดของทัตพลยังกึกก้องสะท้อนซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในห้วงความคิด



“ธารกำลังเข้าใจผิดนะ เรื่องราวมันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความเต็มใจ  ระหว่างพ่อกับทราย....”

“พ่อกับทรายเราโดนวางยา”

“พ่อรู้ว่ามันอาจจะเชื่อยาก แต่พ่อพาทรายเขาไปทำธุระที่พังงา เราค้างที่นั่นกันสองคืนแล้วคืนที่สองมันก็เกิดเรื่องขึ้นมา นี่คือเรื่องจริง ๆ ที่เกิดขึ้นธารจะเชื่อหรือไม่พ่อคงไปห้ามความคิดลูกไม่ได้แต่ขอให้ลูกรู้ไว้ว่าพ่อกับทรายเราไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกันแบบนั้น”



เขาสะบัดศีรษะไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไปอีกครั้งตั้งสติกับถนนหนทางข้างหน้า เบนซ์สีขาวคันเดิมจอดรออยู่ไม่นานประตูรั้วแบบอัตโนมัติก็เปิดกว้างรอให้รถหรูขับเคลื่อนเข้าไปจอดตัวลงที่ด้านใน 



Tbc.