[32]
“คุณหนูเติมกาแฟแก้วที่สองแล้วนะคะ”
“ขอบคุณครับป้าจันทร์ แก้วนี้เติมนมเยอะหน่อยก็ได้”
“ค่ะ”
ป้าจันทร์ยิ้มอ่อนโยน เธอเป็นแม่บ้านเก่าแก่ของคฤหาสน์รัชชา
มือที่เต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่นจากประสบการณ์แห่งวัยหากแต่อ่อนโยนเสมอในสายตาของผู้เป็นนาย
กำลังเทนมสดจากเหยือกเล็กๆผสมลงในถ้วยกระเบื้องเคลือบชั้นดีให้กับคุณชายคนเดียวของที่นี่
นึกสงสัยไปพลางแอบมองคนที่นั่งจิบกาแฟยามเช้าอยู่ที่โต๊ะหน้าระเบียงบ้านเคล้ากับการอ่านหนังสือพิมพ์ด้วยท่าทีสบายๆ
ปกติเจ้านายของเธอไม่เคยรับกาแฟเช้าเกินหนึ่งถ้วย
ซ้ำยังทำหน้ารื่นรมย์สมประดี ค่อยๆละเลียดจิบไปพลางพลิกหน้าหนังสือพิมพ์อ่านไปพลาง
ทอดอารมณ์สบายอกสบายใจ
“เช้านี้ป้าจันทร์ทำขนมถั่วแปบตักบาตร
อยากให้คุณหนูได้ลองทานดู ลองชิมให้ป้าสักหน่อยนะคะพ่อคุณอุตส่าห์ตื่นแต่เช้าเลย”
“มาสิครับ”
ตกใจอยู่นิดหน่อยเพราะคุณชายของเธอไม่เคยชอบทานของหวาน
แค่ลองเลียบเคียงถามดู
ไม่น่าเชื่อแต่ก็ได้ยินเต็มสองหูไปแล้วว่าอนุญาตให้วางจานลงได้ เธอยิ้มอีกครั้งเมื่อเห็นสายตาคู่คมของคนที่เธอเลี้ยงดูมาแต่อ้อนแต่ออกทอดมองไปที่สนามหญ้า
เป็นครั้งแรกที่คุณเอสพาเพื่อนมาค้างอ้างแรมที่บ้าน ได้ยินเจ้าแมนบอกว่าเมื่อคืนถึงขนาดออกไปรับเข้ามาด้วยตัวเอง
เป็นครั้งแรกที่ยอมให้คูเปอร์เล่นกับคนแปลกหน้าใกล้ชิดได้ขนาดนี้
แถมเจ้าหมาอ้วนสุดที่รักของคุณหนูยังทำท่าทางดีอกดีใจราวกับเจอครอบครัวที่พัดพรากจากกันมานานก็ไม่ปาน
ไม่ใช่แค่นั้น คุณอุ้มน้องสาวคนสวยของบ้านยังร่วมวงหัวเราะอะไรกันดังลั่น
ป้าจันทร์ยิ้มเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้แล้วในรอบเช้านี้
“ท่านเจ้าสัวกับนายหญิงไปพักผ่อนคราวนี้เห็นทีกลับมาป้าจันทร์ต้องรายงานแล้ว”
เอสละสายตาจากหนังสือพิมพ์แล้วเลิกคิ้วถามแบบกลายๆ
ป้าจันทร์ส่งยิ้มอย่างเอ็นดู
“ก็คุณหนูลงมานั่งดื่มกาแฟที่หน้าบ้านนี่คะ
ซ้ำยังอารมณ์ดีถึงขนาดยอมทานของหวานที่ป้าจันทร์ทำ
ที่สำคัญบอกป้ามาเดี๋ยวนี้เลยนะเจ้าคะ คุณหนูหล่อๆคนนั้นน่ะเป็นใครกัน
คุณเอสของป้าถึงยอมให้ทั้งคุณอุ้มทั้งคูเปอร์ไปเล่นด้วยได้ขนาดนั้น
ดูซินั่นน่าเอ็นดูเชียว กอดกันกลมกับเจ้าคูเปอร์ไม่ยอมปล่อยเลย”
ทุกคำถามไร้ซึ่งคำตอบ
เอสเพียงแค่ทอดสายตามองไปที่กลางสนามหญ้าเขียวชะอุ่ม
หนึ่งคนกับอีกหนึ่งหมากำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่โดยมีน้องสาวของเขายืนเท้าเอวหัวเราะคิกคัก
ก่อนหน้านั้นน้องอุ้มใส่ชุดออกกำลังจะลงมาวิ่งในสวนตอนเช้าเจอแคปกับคูเปอร์หยอกฟัดกันอยู่เธอจึงถามที่มาที่ไปจากเขาพอรู้ว่าแคปเป็นเพื่อนเขาแค่นั้นแหละ
น้องอุ้มโพล่งบอกออกมาว่าเธอเคยเจอแคปตอนไปประชุมที่ตึกใหญ่ด้วย
หลังจากนั้นเธอก็วิ่งถลาเข้าไปร่วมแจมด้วยในทันที
เสียงหัวเราะร่วนของแคปกับเสียงเห่าแบบอ้อนๆของคูเปอร์ทำเอาเขาหลุดออกจากภวังค์ความคิด
วางหนังสือพิมพ์ในมือลงแล้วเดินออกไปดู ป้าจันทร์รู้หน้าที่ดีเธอถอยออกมา
ปล่อยให้เจ้านายเก็บเกี่ยวสิ่งที่เรียกว่าความสุขซึ่งฉายชัดออกมาจากดวงตาเปี่ยมเสน่ห์คู่นี้
“พี่เอส” น้องอุ้มทั้งวิ่งทั้งยิ้มเข้ามาหา
เธอชี้ไปทางแคปกับคูเปอร์ที่ฟัดกันต่อเนื่องแบบไม่รู้เหนื่อย
จากนั้นจึงส่ายหัวบอกเขาว่าเธอยอมแพ้แล้ว ไม่ไหวแล้ว
“ทำไมถึงถอยออกมาซะล่ะ กำลังสนุกกันอยู่ไม่ใช่หรือ?”
“สนุกก็สนุกอยู่หรอกค่ะ แต่น้องอุ้มไม่ไหวแล้ว
เล่นจนเหนื่อยดูเหงื่อสิ ปล่อยให้พี่แคปกับคูเปอร์เล่นกันไปเถอะ”
“ไปสนิทสนมกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ไหนว่าเคยเจอกันแค่ครั้งเดียว”
พอได้ยินน้องสาวเรียกว่า ‘พี่แคป’ เต็มปาก
เอสกดเสียงต่ำถามสวนขึ้นทันที
อย่าคิดว่าน้องอุ้มจะไม่สังเกตเห็น
เคยได้ยินเรื่องของแคปมาจากพี่สาวคนโตก่อนหน้านี้แล้ว
อันที่จริงพี่แอมป์เคยเล่าให้เธอฟังตั้งแต่เรียนอยู่ไฮสคูลเลยด้วยซ้ำ ทว่าเรื่องราวกลับหายไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง
จนกระทั่งไม่กี่วันก่อนพี่แอมป์บอกเล่าเรื่องคนสำคัญของพี่ชายให้ฟังอีกครั้งก่อนที่พี่สาวจะเดินทางไปทำธุระที่ต่างประเทศ
เธอไม่คาดคิดว่าเช้าวันนี้จะได้มาเจอคนสำคัญคนนั้นของพี่ชายเล่นอยู่ที่สวนหน้าบ้านกับคูเปอร์ในตอนที่เธอลงมาวิ่งจ๊อกกิ้งตอนเช้า
ไม่คาดคิด
จะได้เห็นสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและความห่วงใย
กับคนแสนเย็นชาอย่างพี่ชายคนเดียวของเธอ
น้องอุ้มอมยิ้มมุมปาก นึกอยากลองดี
“ก็สนิทกันเมื่อกี้นั่นแหละค่ะ พี่แคปใจดีพูดก็เพราะ
เพื่อนคนนี้ของพี่ใช้ได้เลยนะ ถ้าอุ้มจะให้พี่เอสติดต่อทาบทามให้ พี่จะว่ายังไงคะ
ไม่รู้ว่าพี่แคปมีคนรู้ใจแล้วหรือยัง”
คนฟังนิ่งงันไปชั่วขณะ
ความรู้สึกชาตั้งแต่ปลายเท้าลามขึ้นมาจนถึงสมองแสดงออกให้คนตัวเล็กนึกขัน
เธอกลั้นเสียงหัวเราะจนจุกในอกไปหมด กลั้นมากๆ กลั้นต่อไปไม่ไหว
ถึงกับโพล่งหลุดขำออกมา เอสหน้าเปลี่ยนสี
“โถพี่เอสคะน้องอุ้มพูดเล่น รู้น่าว่าเป็นคนสำคัญ
ไม่งั้นจะพามาค้างที่บ้านเราทำไมเนอะๆ”
เธอพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนวิ่งหายเข้าไปในบ้าน
เอสหันไปจะคว้าคนขี้แกล้งมารับโทษ หากแต่คว้าได้เพียงอากาศว่างเปล่าเท่านั้น
“ฝากไว้ก่อนยัยอุ้ม!” เอสตะโกนบอกไป เสียงเธอหัวเราะเยาะกลับมา
“อุ้มไม่เล่นแล้วค่ะพี่ เดี๋ยวไปทำงานสายวันนี้มีประชุมเช้า
ไม่ได้ว่างเหมือนคนบางคน”
คนฟังกัดฟันกรอด
โดนน้องสาวเล่นเข้าให้แต่เช้าเขาถึงกับส่วยหัว เมื่อสิ้นเสียงใสๆ
เอสจึงก้าวเดินออกไปด้านนอกอีกหน่อย ภาพของแคปกับคูเปอร์ยังคงหยอกล้อกอดรัดกัน
ใบหน้าแบบนั้น
รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ
นึกอยากให้เป็นแบบนี้ คงอยู่แบบนี้ ด้วยกันที่นี่ตลอดไป
“คูเปอร์!”
เสียงทุ้มเรียกขึ้นอย่างทรงพลัง
ถ้าเป็นเหมือนทุกๆวันที่แล้วมาคูเปอร์ต้องหยุดทุกอย่างแล้ววิ่งเข้าหาเจ้าของเสียงในทันที
หากแต่วันนี้มันทำสิ่งที่เอสหมั่นไส้หลายอย่างเสียเหลือเกิน
หนึ่งในนั้นคือมันเพียงแค่เหลือบตามองมาที่เขา จากนั้นเมินไม่สนใจ
“คูเปอร์!”
เรียกครั้งที่สองก็ยังเมินอยู่อีก
เพียงแต่คนที่เป็นคู่เล่นกับมันลุกขึ้นมานั่งพลางลูบหลังมันเบา ๆ
แคปตบสะโพกเจ้าหมายักษ์แล้วกระซิบอะไรมันสักอย่างคูเปอร์ถึงได้วิ่งหูลู่เข้ามาหาเขา
“เดี๋ยวนี้คูเปอร์ดื้อกับพี่แล้วหรือไง” เอสทำหน้าดุ
“โฮ่ง!”
คูเปอร์ไม่ชอบให้เอสทำหน้าตาซีเรียส
มันเห่ายอมแพ้ไม่อยากถูกดุด่า
กระดิกหางนิดๆแล้วคาบมือหนาของเอส ลากให้เดินเข้าไปที่กลางสนามพร้อม ๆ
กับมัน
“ชักเอาใหญ่แล้วนะคูเปอร์”
เอสหน้าตึง
เสียงทุ้มค่อนขอดดังขึ้นขณะที่แคปกำลังยืนจ้องมาทางนี้แล้วปัดก้นที่เปื้อนหญ้าเปียกชื้นอยู่
“โฮ่ง!” คูเปอร์เห่าอีกครั้ง
ปล่อยปากออกจากมือใหญ่แล้วหันไปเลียมือแคปแทน
คนถูกอ้อนด้วยลิ้นสีแดงสดย่อตัวนั่งลง แคปกอดคอคูเปอร์ไว้
“ถึงเวลาต้องไปแล้ว ไว้วันหลังพี่จะมาใหม่นะ” รู้ว่าคิดถึง
รู้มาตลอด
“โฮ่ง” คูเปอร์เห่ารับอีกครั้ง คราวนี้ทำเสียงเล็กเสียงน้อย
แล้วใช้ลิ้นของมันเลียเข้าที่ใบหน้าแคปเป็นการบอกให้รักษาสัญญา
คนถูกทำหัวเราะจนตัวงอก่อนตบหลังมันเบาๆแล้วบอกให้พอ คูเปอร์ดูท่าจะไม่ยอมจบลงง่าย ๆ มันอยากจะเล่นกับแคปต่ออีกหน่อย
รู้สึกว่าเล่นเท่าไหร่ก็ยังไม่อิ่ม
ช่วงเวลาหลายปีที่ห่างหายไปคูเปอร์มีความสุขเหลือเกินที่ได้กลับมาเจอกัน
มันคิดได้แค่นั้นเพราะว่ามันเป็นหมา ซื่อตรงต่อความรู้สึก มันกระโจนเข้าใส่
หมายมาดกักตัวแคปเอาไว้อีกครั้งนึกอยากให้เล่นกันอีกนาน ๆ เล่นต่อไปเรื่อย ๆ
ถ้าเป็นไปได้ขอให้มาอยู่ด้วยกันเหมือนเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก
แต่คราวนี้ไม่พ้นฝ่ามือแข็งแกร่งของเจ้านายมันที่รั้งเอาปลอกคอหนังแท้ตอกหมุดดึงขึ้นมาแล้วกอดมันเอาไว้
“คูเปอร์ฟังพี่!”
เอสกดเสียงดุออกคำสั่งชิดริมหู คูเปอร์ได้ยินถึงกับต้องนิ่ง เขาจึงปล่อยมันลง
“ไปหานายแมนแล้วเล่นอยู่แถวนั้น พี่ต้องไปทำงานแล้ว
ไม่กวนรู้ไหม”
“............” คูเปอร์เงยหน้ามอง
ทำลิ้นห้อยๆจากนั้นหันไปหาแคปแต่เสียงทุ้มดุเอสสั่งเข้ามาอีก “วันหลังค่อยเล่นกันใหม่ นี่คือคำสั่ง”
“โฮ่ง!”
สัญชาตญาณสุนัขที่ถูกฝึก สิ้นเสียงค่ำสั่งของเจ้านายคูเปอร์เห่ารับก่อนควบตะบึงไปที่โรงจอดรถในทันที
แคปลุกขึ้นมองตามหลังมันไป เขาตบมือสองทีคูเปอร์เบรกตัวเองแล้วหันหลังกลับมา
“วันหลังพี่จะมาหาใหม่ รักคูเปอร์นะ!!”
แคปตะโกน คูเปอร์เอียงหัวฟัง
อยากบอกเหลือเกินว่ามันเองก็รักพี่แคป รักอยู่เสมอ คิดถึงตลอดเวลา
รอคอยวันนี้มาตลอด มันยืนแน่นิ่งจ้องมาที่พวกเขา
เจ้านายที่รักยิ่งกว่าชีวิตสองคนยืนอยู่คู่กัน คูเปอร์ร้องหงิงในลำคอ
“วันหลังพี่จะมาหาอีกนะ คูเปอร์”
“โฮ่ง!” มันเห่ารับเสียงดังก้องกังวาล
ถ้าเป็นคำพูดของคนน่าจะหมายถึง ‘สัญญากับผมนะ’ แต่คูเปอร์พูดไม่ได้จึงทำพียงแค่ยืนมองแน่นิ่งไม่ขยับไปไหน
...รอคำสัญญา...
“พี่สัญญา!”
ราวกับล่วงรู้ความหมายในใจของมัน แคปร้องบอกคำสัญญาให้คูเปอร์ได้ยิน
หมาตัวโตเห่าอีกครั้งก่อนหันกลับไปควบฝีเท้าวิ่งสู่โรงรถตามคำสั่งแรกของเจ้านาย
มันยิ้มพลางวิ่งไปอย่างสบายอกสบายใจเพราะคิดว่าอีกไม่นานพี่แคปจะมาหามันอีก
คล้อยหลังสุนัขลาบราดอร์สีครีมตัวโต แคปก้าวเข้ามาหาเจ้าของเสียงดุ
แล้วพูดออกมาหงอยๆ
“น่าจะให้น้องเล่นกับกูต่ออีกสักหน่อย”
“แค่นี้กูใจดีกับมึงมากพอแล้ว” เอสตอบหน้าตึง
เขาดึงร่างคนที่เดินช้า ๆ ให้ตามเข้ามาในบ้าน
ขณะที่แคปแอบเบะปากทำท่าก้าวอืดๆแบบไม่เต็มใจ
เอสจึงหันกลับมาทำหน้าถมึงทึงใส่
แคปหัวเราะแหะๆตบลงไปที่หน้าอกหนานั้นสองสามที
“โกรธอะไรเล่าเมื่อคืนยังสารภาพรักกับกูอยู่เลยเหอะ
จู่ๆเช้านี้เป็นอะไรขึ้นมาอีกฮึ”
“หยุดพูดนะแคป ใครสารภาพรักกับมึงกัน” เอสปัดมือเล็กออก
ขณะที่อีกคนยกมุมปากขึ้นยิ้มๆ “ตัวเองพูดเองแท้ๆ”
“เมามากจนหูเพี้ยนหรือไง”
“ไม่รู้อ่ะ กูว่ากูได้ยิน” ชัดด้วย
เอสหยุดอยู่หน้าห้องจ้องหน้าคนพูดตาเขม็ง
ก่อนที่เขาจะเปิดประตูแล้วผลักร่างเล็กกว่าเข้าไปลง
ปัง!
“ไปหาหมอให้ดูหูหน่อยไหม เดี๋ยวเกิดวันหลังได้ยินเรื่องเพี้ยนๆขึ้นมาอีก
คนที่ลำบากคือกูนี่แหละ”
แคปหายใจหนักๆพลางคิด อะไรของมันวะ ตัวเองพูดเองแท้ ๆ
เมื่อคืนบอกให้เขาก้มหน้าลงไปจากนั้นมันก็พูดคำแปลกๆนั่น
เขาทั้งตกตะลึงทั้งดีใจทั้งรู้สึกผิด ความรู้สึกตีกันมั่วไปหมด
กำลังจะเอ่ยปากพูดอะไรตอบไปสักอย่างก็โดนมันดึงเข้ามานอนกอด
ด้วยความเหนื่อยปนเมาเขาหลับไปตั้งแต่ตอนไหนตัวเองยังไม่รู้ตัว
ตื่นมาอีกทีอิคุณชายนั่งหน้ายู่แต่งตัวเสร็จแล้วไล่เขาเข้าไปล้างหน้าล้างตาจากนั้นพาลงไปข้างล้างเพื่อพบกับคูเปอร์
แคปยืนกอดอกทำหน้ายุ่งคิดเรื่องเมื่อคืนย้อนกลับมาเป็นฉากๆ ขณะที่สะดุ้งโหยงอีกครั้งเมื่อพบว่าเสื้อทีเชิ้ตสีฟ้าขาวตัวหอมๆลอยลงมาใส่หัวโดยที่เขาหลบไม่ทันแม้แต่นิด
“เข้าไปอาบน้ำไป มอมแมมสกปรกไม่มีใครเกิน”
“ก็เล่นกับหมานี่หว่า แค่นี้ไม่เห็นจะเป็นไร”
แคปทำท่ายกรักแร้ขึ้นดมแล้วทำจมูกฟึดฟัด เห็นเอสจ้องเขม็งเขาจึงยิ่งอยากแกล้งเดินไปจะยกรักแร้ใส่
เจอชี้หน้าเบรกขาไว้แทบไม่ทัน
“อย่ามัวแต่เล่น เข้าไปอาบน้ำ”
“ดุชะมัด”
“มึงมันตัวยุ่ง”
หลังจากทำสงครามทางสายตากันไม่กี่วินาที
แคปก็แพ้...เขาเดินดุ่มๆก้มหน้าเข้าไปนอนแช่น้ำที่คงมีใครสักคนรองใส่อ่างไว้ให้
จะว่าไปไอ้ห้องน้ำหรูหรานี่มันก็ดูวังเวงน่ากลัวพิลึกอยู่เหมือนกัน
กว้างกว่าห้องนอนของเขาที่ไร่ประมาณสองเท่า อืม
เลิศหรูสะแมนแตนสมเป็นห้องอาบน้ำของท่านชายแห่งรัชชา
รวยเกินไปจริงๆอ่ะแหละ
เสียงรัวเคาะที่ประตูทำเอาแคปสะดุ้งพรวดขึ้นจากน้ำ
เกือบๆจะนอนจมจ่อมตกลงไปใต้ท้องอ่างแล้ว แคปปาดน้ำออกจากใบหน้าพอเงี่ยหูฟังดีๆกลายเป็นเสียงเจ้าคนโหดร้ายซะงั้น “จะแช่ให้ตัวเปื่อยเลยใช่ไหมน้ำน่ะ
เสร็จแล้วก็ออกมาสักที”
“อะไรกันเล่า ยังไม่สายหรอกน่า” แคปตะโกนกลับไป
แต่ดูเหมือนเสียงึนโต้กลัมาจะใกล้เข้าทุกที
จนกระจกห้องอาบน้ำถูกเคาะรัวๆแล้วเปิดพรวดเข้ามา
“กูไม่ได้ว่างเหมือนมึง” เอสทำหน้าดุสุดๆ ยื่นเข้ามา
แคปถึงกับผงะ
“เออๆๆเสร็จแล้วๆ”
“เสร็จแล้วก็ลุก”
“มึงก็ออกไปก่อนสิ”
“ห้านาที แค่นั้น!”
ปัง!
สัสเอส!!!!
แคปกัดฟันกรอดเมื่อเสียงประตูด้านนอกปิดลงดังโครม สิบนาทีหลังจากนั้นเขาก็วิ่งหน้าตั้งหัวตั้งลงมาที่หน้าบ้าน
รถยุโรปสีดำคันใหญ่หรูหราถูกติดเครื่องรอไว้อยู่ก่อนแล้ว
ที่ด้านหน้ามีคุณชายในชุดเชิ้ตทำงานแบบง่ายๆหากแต่ดูสุภาพนั่งหน้าหงิกรออยู่หลังพวงมาลัย
“เชิญเลยครับ” นายแมนผายมือเรียกแคปให้ขึ้นประจำที่ข้างคนขับ
เขางงอยู่เล็กน้อยแต่ก็ยอมก้าวขึ้นไป ขายังขึ้นไม่เสร็จดี ประตูรถยังไม่ทันได้ปิด รถพุ่งออกไปไวยิ่งกว่าจรวด
แคปแหกปากร้องลั่นขึ้นมา เหวออออ
“มึงมาสาย”
“รู้แล้วน่า” บ้าๆๆๆกูใจหายใจคว่ำหมด
ขับรถไม่เป็นแล้วเสือกขึ้นไปนั่งขับเองใครจะอยากนั่งไปด้วย
“แค่นั้น?”เอสหันมาตวัดสายตาใส่แบบดุๆ จากนั้นเขาก็หันกลับไปเหยียบรถให้เร็วขึ้นอีก
“แล้วจะดุทำไมล่ะวะ ห้านาทีใครมันจะไปแต่งทัน
แค่ใส่กางเกงในก็เกินแล้ว” แคปโหนจับรถไว้อย่างแน่น
หน้าเขาคงซีดเพราะไอ้ตัวดีมันหันมามองอีกที
แคปสาบานเลยได้ว่ายินเสียงทุ้มต่ำๆขำอยู่ในลำคอ
ทว่าพอหันขวับไปดูเอสยังคงทำหน้าเฉยๆ พูดเสียงตาย
“อันเล็กนิดเดียวยัดเข้าแปปเดียวก็เสร็จ พูดอย่างกับของตัวเองใหญ่โตอะไรนักหนา”
“เออแดกดันเข้าไป
ตัวเองยาวกว่ากูแค่นิ้วเดียวแม่งพูดเบ่งอยู่ได้ ขนาดก็พอๆกันล่ะวะ” แคปกลอกตาอย่างเซ็งๆ
“รู้ได้ยังไงว่ามึงสั้นกว่ากูแค่นิ้วเดียว”
“กูจำดะ........
“จำอะไรได้”
รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดพรายอยู่ที่ริมฝีปาก
แคปที่กำลังจะตอบว่าตัวเองจำได้ดีจนติดตาเลยล่ะก็เมื่อห้าปีก่อนเขาเห็นอยู่ตลอดทว่าหุบปากไว้ได้ทัน
อึกอักหันมองสองข้างทางกลบเกลื่อน
“มึงมาที่นี่ทำไมวะ”
“ลงมาได้แล้ว”
สองคนพูดขึ้นพร้อมกันในตอนที่รถจอดลงที่บริเวณลานจอดของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง
แล้วแคปก็ถูกดึงให้เดินตามร่างสูงใหญ่เข้าไป
“เชิญนั่งรอตรงนี้ก่อนนะคะ คุณหมอบอกให้รอสักครู่ค่ะ”
“นี่มึงไม่สบาย? เป็นอะไรมากหรือเปล่า”
แคปถามเสียงห่วงเต็มที่ขณะที่เอสก็แค่เอนตัวนั่งไขว่ห้างแล้วกอดอกด้วยท่าทีสบายๆ
ออกจะติดรำคาญที่โดนถามเสียด้วยซ้ำ
เขาไม่ได้ตอบ
“แล้วมึงไม่เข้างานสายหรือไง”
โดนเหลือบตาใส่อีก คนถามเลยต้องหุบปากกลอกตามองเพดาน
ลืมไปว่ามันเป็นผู้บริหาร ผู้บริหารมักว่างงานใช่ไหม บริษัทใหญ่ ๆ
ผู้บริหารมักจะเข้างานสายออกงานเร็ว ทำงานนิดเดียวแต่เงินเดือนสูงเสียดฟ้า
ขณะที่ลูกน้องทำงานแทบตายแต่ได้เงินเดือนเท่าหางอึ่งอะไรแบบนั้นใช่รึเปล่า
“วันนี้จะเข้าตึกสายหน่อย”
พูดดีๆก็เป็นนี่หว่า
ทำตัวแบบนี้น่ารักกว่ายียวนกวนไปกวนมาตั้งเยอะแคปแอบอมยิ้ม
เจอสายตาดุๆตวัดมาใส่อีกรอบเขารีบหุบปากฉับ
“แล้วตกลงมึงเป็นอะไรล่ะ ปวดหัวเหรอ”
“............”
“ปวดท้อง?”
“............”
“หรือว่ามาตรวจประจำปี”
“เปล่า
คนที่จะต้องตรวจ ก็คือมึง”
“หา!?” แคปอุทานหน้าตื่น
ไม่เข้าใจว่าเขาจะต้องตรวจทำไม ตรวจอะไร
“ตื่นเต้นทำไม”
“กะ...กะ...ก็แล้วกูจะต้องตรวจอะไรอ่ะ” กูไม่ได้เป็นอะไรนะ
“แล้วนั่งอยู่หน้าห้องอะไรล่ะ” สีหน้าคนตอบฉาบความยียวน
ตากลมโตจึงมองไปตรงป้ายที่ติดไว้หน้าคลีนิคย่อยทันที
“ตรวจหูไง”
“ตรวจหู?” แคปทวนคำ
“ใช่ ตรวจหู”
“ทะ..ทะ....ทำ...ไมวะ”
“คนหูเพี้ยนไม่พามาตรวจหูให้กูพามาตรวจอะไร”
“จะเจ็ดสิบหรือยี่สิบ
ก็รักมึงเหมือนเดิม.....ไม่เปลี่ยนแปลง”
ไม่จริ๊ง!! กูไม่ได้หูเพี้ยน
มึงพูดแบบนั้นจริงๆนี่หว่าหูกูจะฟังเพี้ยนได้ยังไง แคปแทบจะร้องไห้อยู่รอมร่อ
ทั้งเจ็บใจทั้งไม่เข้าใจ อยากจะนั่งพับเพียบก้มหน้าทุบพื้น
สุดท้ายเขาก็ต้องปลงเมื่ออีกคนยังมีทีท่าเฉยเมย
แคปเลยต้องนั่งจมจ่อมรอคุณหมอหูคอจมูกเรียกเข้าไปตรวจ
ก็ดีเหมือนกันล่ะวะ จะได้รู้ๆกันไปเลยว่าหูเขามันไม่ได้ฝาด
หูดีได้ยินชัดเจนแจ่มแจ้งว่าใครมันกระซิบคำรักหวานเลี่ยนขนาดนั้น
เห็นเมาๆแต่ยังรู้ตัวตลอดนะครับนะ
เสียงเพลงบรรเลงแผ่วเบาจากดนตรีคลาสสิคชโลมหัวใจดังแว่วมาจากลำโพงชั้นดีบุผนัง
ดนตรีสำหรับปลอบประโลมผู้ป่วยให้ผ่อนคลาย
แคปฟังแล้วยังต้องหาวหวอดยกมือขึ้นปิดปากก่อนจะนึกอะไรดีๆได้
หงึก!
เขาแกล้งทำท่าหลับแล้วค่อยๆเอนตัวไปซบไหล่หนาของคนที่นั่งทำหน้าระรื่นหลังจากเห็นเขาหงอยเหงาลง
พอซบไปทีก็โดนฝ่ามือใหญ่ๆผลักหัวให้เงิบกลับออกไปที แคปซบอีกก็โดนผลักออกมาอีก
กำลังจะซบรอบสามคราวนี้ไม่ใช่แค่มือแล้ว
สายตาเขียวปั๊ดหันมาตวัดใส่พร้อมฝ่ามือที่ผลักหัวเขาหงายเงิบอย่างแรงจากนั้นขยับห่างออกไปอีกหนึ่งที่อย่างรังเกียจ
“โหอะไรวะพิงนิดพิงหน่อยทำเป็น
เมื่อคืนยังนอนกอดกูอยู่เลยเหอะ”
ฉึกกก
เอสตวัดสายตาที่คมยิ่งกว่าธนูปลายแหลมพุ่งมาที่เขาจนเลือดซิบๆเลยล่ะถ้าหากมันจะไม่ใช่แค่การอนุมานน่ะนะ
แคปเบะปากแล้วยักไหล่ลุกขึ้นจะขยับตามเข้าไปเสียทีพยาบาลสาวคนสวยเดินเข้ามาเชิญเขาเสียก่อน
“คอยดูเหอะ เดี๋ยวก็รู้หูกูดีจนน่าอิจฉาเชียวล่ะ”
แคปเชิดหน้าตาวาว พูดไว้แค่นั้นก่อนจะเดินมาดมั่นตามคุณพยาบาลคนสวยเข้าไป
ตรวจโน่นนี่นั่นอยู่สักพัก
ไอ้คุณชายตัวดีก็เดินตามเข้ามาพูดคุยทักทายกับคุณหมอคนตรวจอย่างสนิทสนมเสียจนเขานึกหมั่น
ที่แท้ก็เพื่อนกันเหรอวะปัดโถ่!
“ตกลงหูผมปกติใช่ไหมครับคุณหมอ”
แคปถามขึ้นมาหลังจากเห็นทั้งสองคนทักทายกันพอสมควรแล้ว คุณหมอหนุ่มทำหน้างงๆ
แคปเองก็พลอยงงไปด้วย แต่ไอ้ตัวส่วนเกินนี่กลับยืนหัวเราะคิกคักอยู่ในคอ
แคปชักเริ่มสงสัย เขาเอ่ยปากตะกุกตะกัก
“เอ่อผม หะ..หูผม”
“หูคุณเป็นอะไรหรือครับ ปวดเหรอ หรือว่ามีเจ็บที่ตรงไหน”
“อ้าวก็...
“หูไม่ดีน่ะไอ้หมอ มึงช่วยตรวจดูดีๆให้ทีสิ
กูว่าพักนี้มันชอบฟังอะไรผิดพลาดอยู่เรื่อย
ไม่รู้ว่าจะเป็นโรคหูเพี้ยนที่คนเขากำลังฮิตกันอยู่ไหม”
หูเพี้ยนอะไรเล่า เดี๋ยวนี้มันมีโรคแบบนี้ด้วยเหรอวะ??
“หูเพี้ยนมันเป็นโรคซะที่ไหนล่ะวะไอ้เอสมึงก็”
คุณหมอหันไปท้วงแล้วทำหนาระอาใจ เขารู้จักกับเอสมาตั้งแต่เด็กแล้ว
นี่เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่เห็นมันทำท่าทางน้ำเสียงได้เฟคขนาดนี้
เขาถึงกับต้องส่ายหัวไม่รู้สองคนนี้เล่นอะไรกันอยู่แล้วนึกยังไงเอาเขามาเป็นตัวกลาง
“จะไปรู้ได้ไง เห็นชอบคิดเองเออเอง ฟังอะไรผิดๆถูกๆ”
“เอาเถอะๆ เดี๋ยวผมขอดูอีกทีแล้วกันนะครับ”
ในที่สุดคุณหมอก็ใช้เครื่องมือส่องหูแคปแบบละเอียดอีกครั้งทั้งสองข้างก่อนที่จะส่งยิ้มให้แล้วหันไปเขียนใบสั่งอะไรสักอย่าง
เอสที่กอดอกยืนจ้องอยู่ด้านหลังขยับเข้ามาบอกให้แคปออกไปรอที่ด้านนอกได้แล้ว
พยาบาลสาวเองก็ยิ้มแล้วผายมือเชิญ แคปจำใจเดินออกมานั่งหงุดหงิดรออยู่ที่ด้านนอก
สักพักคุณชายรัชชาถึงได้เดินออกมาโดยมีหมอหนุ่มรูปหล่อเดินตามมาส่ง
“ขอบใจมากกูกลับล่ะ”
“อืม หมดธุระมึงแล้วก็จะกลับ ดีจริงๆ เห็นกูสำคัญก็แค่เนี๊ยะ”
“เอาจริงๆเลยนะไอ้หมอ
ถ้าไม่มีอะไรสำคัญใครเขาจะอยากมาหาคนอาชีพหมออย่างมึงกันล่ะหื้ม”
“อย่าพูดเลยว่ะ แค่บ้านกูมึงยังไม่เห็นจะเข้าไป
น้องแซนกลับมาแล้วนะ คุณแม่เองก็ถามหามึงบ่อย ๆ ว่างเมื่อไหร่ก็เข้าไปสิวะ”
“เจอกันแล้ว
วันก่อนน้องมาหากูเห็นป๊าบอกอยู่เหมือนกันว่าจะให้มาฝึกงานด้วย”
“หึหึ งั้นกูก็ฝากเลย ต่อไปมึงได้ปวดหัวไม่หยุดหย่อนแน่”
“คงไม่เท่าไหร่หรอกมั้ง”
“กับเด็กผู้ชายที่ติดมึงยิ่งกว่าพี่ชายตัวเองน่ะเหรอ”
ไม่มีเสียงตอบรับจากประธานหนุ่ม
เอสเดินออกมาแคปก็รับยาเสร็จแล้วพอดี
เขาจึงหันไปถามเพื่อนผู้ที่เป็นญาติผู้พี่ของตัวเอง
“มึงจัดยาอะไรให้มันล่ะนั่น”
“ก็ยาบำรุงหูอย่างที่มึงบอกไง”
เอสขำไร้เสียง นึกขอบคุณคนตรงหน้าขณะที่โดนคุณหมอหนุ่มชี้หน้าคาดโทษบอกให้ระวังตัวเอาไว้
คิดจะแกล้งก็ต้องให้มันมีเหตุมีผลกว่านี้
อย่าให้เขาต้องมาใช้วิชาชีพในทางที่ผิดๆช่วยกันโกหก
“จะบ่นทำไมเล่า”
แคปเดินออกมายกมือไหว้ลาเอสรีบดึงเขาบอกให้เดินออกไปกันทันที
บันไดเลื่อนนำพวกเขาสองคนลงมาสู่ชั้นล่าง ไม่นานนักก็เดินกลับกันมาถึงรถ คราวนี้เอสให้แคปทำหน้าที่เป็นคนขับ
“เพื่อนมึงล่ะสิ คุณหมอนั่นน่ะ”
“เปล่า เป็นญาติ” เอสตอบเรียบๆ แคปพยักหน้ารับรู้
เขามองที่กระจกหลังเห็นใบหน้าคมเรียบเฉยพลันนึกบางอย่างออกก่อนจะยกมุมปากขึ้นแวบเดียวจนดูแทบไม่ออก
“จะให้ขับไปที่ไหนล่ะ”
“ถามทำไม ก็ตึกรัชชานั่นไง”
“โอเค จะไปสวนจตุจักร” แคปตีมึน ขณะที่คนฟังเลิกคิ้ว “ห๊ะ?”
“ก็สวนจตุจักรไง”
“สวนจตุจักรอะไรกูบอกว่าจะเข้าตึก อาคารรัชชามึงอย่ามาบ้า”
“อืมว่ะ
จตุจักรความจริงมันไกลจากตรงนี้มากอยู่นะ แต่ในเมื่อเป็นคำสั่งของมึงต่อให้ต้องอ้อมรถสองชั่วโมงสามชั่วโมงกูก็คงต้องไป
อย่ามาร้องไห้ว่าเข้าทำงานสายโด่งก็แล้วกัน”
“แคป ตึกรัชชา” เสียงทุ้มลอดไรฟันข่มต่ำ
ฟังแค่หูเดียวยังรู้เลยว่าอดทนข่มกลั้นแค่ไหน ทว่าแคปยิ่งรู้สึกสนุก
“โอเคครับเอส สวนจตุจักรนะ”
พูดจบรถพุงฉิวเลี้ยวออกจากโรงพยาบาลจนไม่เห็นแม้แต่ผงฝุ่น
เอสนั่งกอดอกกัดฟันกรอดๆ
..เล่นกูแล้วไง..
“เฮ้อร้อน ร้อนจริงๆร้อนจังๆ”
กว่ารถจะมาจอดลงใต้ตึกใหญ่ของรัชชาได้
แคปก็พาเจ้านายแสนงามที่นั่งหน้าหงิกอ้อมไปจนเกือบจะแตะเสี้ยวหนึ่งของสวนจตุจักร
เสียงคนข้างหลังข่มกรามกรอดๆจนคนขับรู้สึกเสียววาบๆต้องรีบเลี้ยวเปลี่ยนเส้นทางอย่างไว
แกล้งมากๆเดี๋ยวจะพาลจีบไม่ติดเสียอีกเขาก็ดั๊นลืมข้อนี้ไป ลงจากรถมารับอากาศร้อนอบอ้าวที่ด้านนอกไม่รู้เลยนะเนี่ยว่าตอนนี้เป็นฤดูหนาวของไทย
“ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันบนรถนานหน่อยก็ดีเหมือนกันนะ มึงว่าไหม”
แคปเปรยพลางเหล่มองสายตาเขียวปั๊ดของคนที่ก้าวเข้าไปในลิฟต์ทำเอาคนมองใจสั่น
หมู่นี้ไม่รู้เป็นไรได้จีบคนด้วยวิธีการเย้าแหย่ให้โกรธนี่มันรู้สึกดีเป็นบ้าเลย
เขาก้าวเข้ามายืนอยู่มุมหนึ่งของลิฟต์คิดแล้วนึกขำ
พอลอบมองไปที่อีกฝ่ายก็เห็นสายตาดุๆจ้องเขาอยู่อีกแล้วแคปรีบหันมองโน่นนี่นั่งไปทางอื่น
ทั้งๆที่ในลิฟต์เล็กๆนี่ก็นะ
มันเป็นลิฟต์ส่วนตัวสำหรับผู้บริหารของห้องนี้เท่านั้นแหละเพราะงั้นมันจึงมีขนาดเล็กว่าลิฟต์ที่ด้านนอก
ทั้งๆอย่างนั้นแคปก็ยังเลี่ยงที่จะมองผนังของมันซึ่งทำด้วยกระจกเงแล้วเผลอไปสบตาเข้ากับไอ้คนที่ยืนจ้องเขาเขม็งผ่านกระจกบานนั้น
โหดไปไอซิส
“อะ...อะไรเล่า” แคปเริ่มหน้าจ๋อย
นึกหวาดกลัวขึ้นมาด้วยความคับแคป ซ้ำตึกนี่ยังสูงมาก สูงลิ่วจนยอดเสียดฟ้า
ซ้ำลิฟต์บ้าก็วิ่งตั้งนานยังไม่ยอมจอด
“มึงมองกูทำไมอ่ะ” แคปถามหลบสายตา ถึงกระนั้นยังแอบๆเหล่มองอยู่
“ไม่-ได้-มอง” เอสตอบเสียงแข็ง หน้าตึงเปรี๊ยะ
“ไม่ได้มองได้ไง ก็เห็นอยู่”
“นั่นแสดงว่ามึงก็มองกู”
“กะ...ก็แล้วทำไมอ่ะ” กูมองไม่ได้หรือไง
ไม่เข้าใจมันเลยให้ตาย ตาเขียวมาตั้งแต่นั่งอยู่บนรถแล้ว ลงมานึกว่าจะอารมณ์ดี
แค้นฝังหุ่นเรื่องโดนเขาก่อกวนขับรถอ้อมหรือไง ไหนว่าวันนี้เข้างานสายได้แค่อยากใช้เวลาอยู่ด้วยกันให้มากหน่อยไม่เข้าใจกันเลยแย่จริงๆ
“กูก็แค่มองคนที่มองกูอยู่ แล้วมึงจะมีปัญหาอะไร”
“หา?”
“ไม่ต้องมาหลงตัวเอง ไม่มีใครเขาอยากมองมึง”
“ไม่อยากมองจริงดิ”
“ไม่อยู่ในสายตา”
“ใจร้าย”
ติ๊ง~
“ใครสน”
เอสพูดอย่างไม่แคร์ในตอนที่บานประตูลิฟต์เปิดออก
เขาก้าวออกมาขณะที่แคปเดินตามหลัง
ห้องทำงานหรูหราโอ่อ่าถูกเตรียมบรรยากาศให้พร้อมสำหรับการทำงานรออยู่แล้ว
เอสเอาเสื้อนอกโยนแบบลวกๆไว้ที่โซฟารับแขกก่อนที่เขาจะเดินไปนั่งลงที่โต๊ะทำงานกดอินเตอร์โฟนเรียกเลขาส่วนตัวเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าเขาเข้าห้องเรียบร้อย
“จะไปไหน” แคปที่กำลังจะเปิดประตูออกไปชะงักนิดหน่อย
หันกลับมามองคนที่นั่งจ้องหน้าเขาอยู่ ในมือมันถือปากกาด้ามสีทองไว้
“ไปหาคุณปรเมทครับ” แคปทำเสียงแสนสุภาพใส่
ดวงตาคมกริบหลังโต๊ะทำงานเขียวขึ้นนิดๆ เขาจึงยักไหล่แล้วทำหน้าน่าสงสารประมาณขอความเห็นใจแบบอ้อนๆ
“ได้ไหม~”
คำตอบแบบไร้เสียงมาพร้อมกับเจ้าของห้องที่นั่งก้มหน้าลงไปอ่านงานต่อ
แคปค่อยเดินออกมาได้เห็นปอกำลังง่วนอยู่กับการพิมพ์เอกสารอะไรของมันสักอย่าง
“ไงวะ”
ทักทายพลางกดโทรศัพท์มือถือของตัวเองเพื่อเปิดเครื่องเช็คข้อความ เขาปิดมันเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืน
จะเปิดตอนเช้าก็อยู่บนรถกับคุณชาย หาโอกาสเหมาะๆไม่ได้สักที
เอาเป็นว่าเวลานี้น่าจะโอเคและปลอดภัยที่สุด
“แดกอะไรมาหรือยังมึงน่ะ”
“ยังเลยว่ะหิวฉิบหาย มีแต่กาแฟกับขนมปังเล็กๆชิ้นเดียว”
คาบออกไปกินตอนจะไปเล่นกับเจ้าคูเปอร์นั่นแหละ
ดีหน่อยแม่บ้านตระกูลนั้นเตรียมอาหารได้เช้ามาก อร่อยเหาะ
“อืม เดี๋ยวกูสั่งให้”
ปอว่าแล้วกดโทรศัพท์สายภายในคุยอะไรของมันพอเสร็จก็บอกเขาว่าให้นั่งรอเงียบ ๆ
วันนี้มีงานต้องเคลียร์ห้ามกวน แคปก้มหน้าเช็คข้อความทั้งหลายแหล่ที่ส่งเข้ามา
สิบกว่าสายจากไอ้แบงค์สามครั้งจากไอ้อาร์และอีกหนึ่งครั้งจากใครสักคนที่ไม่รู้จัก
ที่เหลือทั้งไลน์ทั้งวอทแอพห่าอะไรเยอะแยะไปหมด แคปเลือกที่จะไม่เปิดดู
กำลังจะโทรออกหาแบงค์โทรศัพท์ในมือสั่นครืดๆขึ้นมาเขาตกใจจนเกือบทำหล่น
“ไอ้สัสกูตกใจ”
เสียงจากปลายสายหัวเราะร่วน ก็แคปเล่นทักไปแรงขนาดนั้น
(โทรหาไม่ติดนะครับ ปิดเครื่องทำไม แล้วเมื่อคืนนอนไหนเนี่ย)
“จะให้กูตอบข้อไหนก่อนล่ะครับหื้อ แน่ใจว่าอยากฟัง”
(อย่ากวนน่าแคป
ถ้าคิดว่ามันไม่โอเคสำหรับกูอย่าตอบออกมาเลยนะ)
“ซีเรียสแต่เช้า โทรมามีไร”
(เปล่าหรอก เมื่อคืนเสร็จงานเลยโทร จะถามว่าไปเมาที่ไหนไหมจะได้ไปรับ
มึงโอเคป่ะเนี่ย อยู่กับเพื่อนมึงเหรอ)
“อืม”
(กินข้าวหรือยัง)
“ยัง กำลัง
ถ้าไม่มีไรแล้วกูวางเลยะ คืนนี้เจอกันเดี๋ยวจะกลับไร่เลย”
(ไหนว่าจะกลับพรุ่งนี้ไง)
“นึกขึ้นได้ว่าพรุ่งนี้นัดส่งผลไม้เข้าโรงงานใหม่ล็อตแรก
ทางผู้ผลิตเขาจะมาเจรจาด้วยตัวเองกูคงต้องกลับไปช่วยเฮียโก้ดูเรื่องเอกสาร
มึงโอเคไหมล่ะ จะไปไหนรึเปล่างานเสร็จจะกลับพร้อมกับกูเลยไหม”
(กลับพร้อมดิ ที่จะรอเนี่ยเพราะคิดว่ามึงจะกลับพรุ่งนี้ไง
ถ้ากลับคืนนี้ก็โอเคเลย เหมือนเดิมของพวกเรา)
“เออ แล้วเจอกัน”
(เดี๋ยว แล้วจะเจอกันที่ไหน กูไปรับมึงไหมหรือไง)
“รออยู่ที่ตึกไพร์มนั่นล่ะ เดี๋ยวกูเข้าไปหา”
แคปพูดจบไว้ที่แค่นั้น
เขากดวางสายไปก่อนจะหันมองหาอาหารเช้าที่ปอสั่งขึ้นมาให้แล้ว แต่ทำไมไม่เห็นถาด
“อ้าวเมื่อกี้ กูเห็นแม่บ้านขึ้นมาแล้วนี่” รถเข็นอาหารผ่านหน้าเขาไปตอนที่กำลังคุย
“ใช่ ขึ้นมาแล้ว”
“แล้วอาหารกูล่ะ”
“สองที่นะ ทานกับเจ้านายกู
สำรับเตรียมไว้ข้างในเรียบร้อยแล้ว”
“อ้อ..”
แคปงงไปนิดหน่อยที่ไอ้หมาปอมันช่างตระเตรียมอะไรเพื่อเขาและนายมันได้ซะขนาดนั้น
เหล่มองมันด้วยสายตาวาววับคาดโทษนิดๆพลางลุกขึ้นยัดมือถือเข้ากระเป๋ากางเกง แคปกำลังจะเดินเข้าไป
ปอรีบดึงแขนเพื่อนตัวเองไว้
“มึงรู้ไหมคุณเอสไม่เคยให้ผู้หญิงคนไหนนั่งทานข้าวพร้อมกันในห้องนี้เลยนะเว้ย”
“แล้วไง”
“ก็มึงโชคดีไง มึงเป็นคนแรก เป็นคนพิเศษ”
เป็นคนที่เจ้านายกูรัก
“กูไม่ดีใจหรอกนะถึงมึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ”
“ไม่ดีใจแล้วยิ้มทำไมล่ะว๊า”
“เดี๋ยวๆ
เดี๋ยวมึงกลับไปที่ไร่เมื่อไหร่กูจะบอกให้ไอ้อาร์จัดการมึง”
“โหยไอ้เตี้ยนั่นกูกลัวมันหรอก ตัวเล็กจิ๊ดเดียว”
“หึหึหึ เดี๋ยวนี้หัดเรียกมันว่าเตี้ยกะจิ๊ดริด
มึงมันทำความผิดมหันต์แล้วไอ้ปอ มึงเจอไอ้อาร์จัดการแน่ ๆ”
“แคปแม่ง” ปอที่ตอนแรกแซวเพื่อนซะดิบดี
พอโดนสวนกลับตัวเองหน้าจ๋อยลงเอง
แคปยื่นมือเข้าไปตบบ่าหนักๆสองทีก่อนยิ้มแย้มอย่างสะใจแล้วเดินหายลับเข้าห้องไป
ทิ้งให้ปอนั่งหน้าอึนอยู่ไม่รู้จะไปลงกับใครอย่างไร
บรั๊นช์แสนอร่อยจากครัวของรัชชาถูกปากแคปที่รวบมื้ออาหารทั้งเช้าทั้งเที่ยงจนอยากจะเดินออกไปบอกปอว่าขออีกจานจะได้หรือไม่ทว่าพอยกน้ำขึ้นดื่มทุกอย่างในท้องก็ฟูลแบบพอดิบพอดี
เขายกมือลูบท้องแอบมองคนที่เมื่อสักครู่มานั่งทานข้าง ๆ กันแต่กลับทานเสร็จก่อน
กินแบบไม่พูดไม่จา
แคปวางแตงกวาในจานส่งไปให้ก็แค่โดนจ้องแต่ไม่ยอมด่าอะไรกลับมาสักคำ ถึงอย่างนั้นก็ยังนั่งกินด้วยกันจนหมดจานแล้วเอสก็เดินกลับไปนั่งทำงานของตัวเอง
“โฮ้ย อิ่ม” แคปลุกขึ้นเดินไปเดินมาหาเรื่องให้อาหารย่อย ลูบพุงโตๆของเขาไปด้วย
เดินไปวนหน้าโต๊ะทำงานของเอส อีกฝ่ายเงยหน้ามอง
“เป็นอะไร ปวดท้องหรือไง”
“อิ่มว่ะ” อิ่มมากๆ อาหารที่นี่อร่อยจริงๆ
“หึ..”
“หัวเราะกูทำไมล่ะ”
“ไหนใครบอกว่าจะผอม พูดแต่ปาก แดกตลอด”
“นี่มึงว่ากูเหรอ”
“อ้วนเอ้ย”
“หา?”
“กูบอกว่าอืม หูมึงนี่เพี้ยนบ่อยจริงๆไปหยอดยาไป”
หนอยยยย แคปกัดฟันกรอดเม้มปากนิ่ง
หน้าตายุ่งจนหัวคิ้วพันกันไปหมด อย่าคิดว่าเขาไม่ได้ยินเชียว
รู้หมดแหละเพียงแต่ไม่อยากจะต่อปากต่อคำ
เห็นแก่อาหารอร่อยๆของที่นี่ทำให้เขาอารมณ์ดีไม่ชวนมันทะเลาะเด็ดขาด
เอสเลิกคิ้วมองหน้าอีกฝ่าย แคปก็แค่เดินกระแทกเท้าไปนั่งลงที่โซฟาอย่างเดิม
สักพักเดียวปอเอายาแก้ท้องอืดกับน้ำเข้ามาให้แคปถึงกับอึ้งไปเลย
“กินซะมึงน่ะ”
“กูไม่ได้เป็นอะไร มึงเอาเข้ามาให้ทำไมเนี่ย”
แคปกระซิบด่าเพื่อนสุดที่รักแทบจะไร้เสียง
ปอก็แค่มองไปทางเจ้านายตัวเองที่ก้มหน้าก้มตาอ่านรายงานไม่สนใจมองมา
แคปถึงกับต้องเอื้อมมือไปหยิกนมมันแรงๆหนึ่งที
โทษฐานทำตามคำสั่งประหลาดของเจ้านายดีนัก
“กูไม่กิน เอาออกไปเลยไป”
“ไม่กินไม่ได้ ทนๆกินเข้าไปเร็ว”
“นี่มันยานะ มึงจะบ้าหรือไงกูไม่ได้เป็นไรจะให้กูกิน”
“เอาเหอะน่า”
“ไม่กิน”
“แคป..”
“กูบอกว่ามะ...
“หรืออยากจะให้กูยัดให้ เอาแบบนั้นไหม” เสียงทุ้มดุ
ดังแทรกเข้ามา สองคนที่กำลังกระซิบทุ่มเถียงกันอยู่หันไปมองเป็นตาเดียว
เอสจ้องหน้าแคปนิ่งสายตาคมปลาบเหมือนจะบังคับแบบกลายๆ
“แต่กูไม่ได้...
“กินเข้าไปจะได้สบายท้อง”
ในที่สุดแคปก็ยอมจำนนหลับตาซดๆอึกๆๆๆยัดยาลงท้องไป
เขาคิดว่าไอ้ยาแก้ท้องอืดยิ่งกินยิ่งอืดล่ะสิไม่ว่า
หลังจากนั้นปอก็ขอตัวออกไปทำงาน ก่อนไปยังมีสะกิดแคปถามว่าลงไปกินเที่ยงด้วยกันอีกไหม
ห้องอาหารที่ชั้นล่างมีของน่ากินเยอะมากๆถ้าจะไปเขาจะรอ
แคปยักคิ้วหน้าระรื่นขึ้นมาทันทีกำลังจะลุกขึ้นเสียงปากกากระแทกโต๊ะอย่างดัง
สองคนชะงักขา ปอหน้าเจื่อนโดนไล่ให้ออกไปทำงานได้แล้วอย่าอู้
สุดท้ายแคปจึงนั่งแกร่วอยู่ที่เดิม
ช่วงบ่ายมีแขกเข้าพบเอสสามสี่คน
แทบทุกคนมองมาที่แคปด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม
กระทั่งหมาปอมันยังส่งข้อความเข้ามาว่าทุกคนที่เดินออกไปต้องถามมันว่าแคปเป็นใคร
ทำไมถึงมีสิทธิมานั่งฟังเรื่องงานภายในของบริษัท
คุยไปคุยมายังไม่รู้แน่ชัดด้วยซ้ำว่าปอมันตอบทุกคนที่ถามว่าอะไร
แคปถอนหายใจหนักหน่วงว่างมากถึงขนาดพอแขกออกไปหมดเขาก็ลุกขึ้นเดินสำรวจไปรอบๆ
ยืนเกาะบานกระจกผ่านมูลี่ขนาดใหญ่แล้วสอดนิ้วเข้าไปแหวกช่องหรี่ตาฝ่าแสงแดดยามบ่ายมองไปที่ทิวทัศน์ด้านนอก
“กูว่าแบบนี้ไม่ค่อยดี”
เอสเงยหน้ามองคนที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ แคปหันมาจ้องหน้าเขา
“มึงทำงานแต่กูไม่มีอะไรจะทำ
มานั่งติดแหงกอยู่แบบนี้กูรู้สึกไม่ค่อยดี
แล้วอีกอย่างแขกที่เข้ามาขอพบมึงคงมีคำถามแน่ ๆ
ว่ากูเป็นใครทำไมถึงได้มานั่งร่วมห้องฟังพวกมึงคุยกัน”
“แล้วยังไง”
“ก็ถ้าต่อไปมีแขกขอเข้าพบมึงอีก กูไม่อยากอยู่ฟังด้วยหรอกนะ”
“งั้นก็เข้าไปนอนรอในห้อง
ทีวีก็มีคอมก็มีเครื่องดื่มเย็นๆก็มี ไปนอนรอข้างในก็ได้ไป”
“ไม่เอาทำไมกูต้องทำแบบนั้นศักดิ์ศรีกูมี มึงจ่ายงานให้กูสิ”
“งานของมึงทำแค่ตอนเช้ากับตอนเย็นแคป” เสียงทุ้มแข็งขึ้นมา
เจ้าของเสียงเอนหลังพิงพนักในท่าทีอยากจะผ่อนคลายหากแต่ยังคุยกับอีกคนไม่รู้เรื่อง
“รู้..” แคปตอบเบาๆ เม้มปากเป็นเส้นตรง
“เวลานอกเหนือจากนั้นมึงไม่จำเป็นต้องทำอะไร”
...ดีจริงๆมีแฟนรวยนี่มันดีจริงๆ...
แต่กูไม่ชอบโว๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
“ออกไปเล่นกับไอ้ปอก็ได้ถ้ามึงเบื่อที่จะนั่งอยู่ในห้องนี้
กับ-กู”
“เปล่า ไม่ใช่แบบนั้น” ตายล่ะหวา
น้ำเสียงประชดประชันมาแบบเต็ม ๆแคปรีบแก้ตัวพัลวัลหน้าเจื่อนไปหมด
ขณะที่เอสพูดจบแล้วก้มลงไปอ่านงานที่โต๊ะต่อไม่สนใจรับฟังคำแก้ตัวใดๆของแคปทั้งสิ้น แคปมองริมฝีปากที่เชิดขึ้นอย่างงอนๆแบบนั้นแล้วนึกอยากจะกระชากมันเข้ามากัดทำโทษที่ปากดีช่างประชดสักทีแต่เขาก็แค่ยืนจ้องหน้ามันอยู่เฉย
ๆ สุดท้ายแคปคิดจนต้องกุมขมับ เดินไปเดินมาวนอยู่รอบๆโต๊ะมันนั่นแหละ
คนไฮเปอร์อย่างเขาทนได้นานซะที่ไหน ไม่มีอะไรทำจึงฟุ้งซ่านขึ้นอีก
“เอางี้ กูขอลงไปข้างล่างได้ไหมล่ะ”
“จะไปทำไม”
เห็นนั่งเฉย ๆ นึกว่าไม่สนกันแล้ว
ที่ไหนได้พอแคปพูดขึ้นมาปุ๊ปเอสละสายตาขึ้นจากงานทันที
“ไปดูต้นไม้”
คิ้วคมของคนฟังกดลึก
เขาเอนตัวพิงเก้าอี้แล้วถอนหายใจยาวหนึ่งที ก่อนทวนถามย้ำ “ไปดูต้นไม้?”
“ใช่ เห็นที่ป้ายทางเข้าด้านหน้ามีสวนหย่อมเล็กๆอยู่
กูอยากไปเดินดูแถวนั้น มึงก็รู้กูชอบอะไร”
เอสเบนสายตาผ่านมูลี่สองชั้นสีครีมเพื่อตรวจดูแสงแดดด้านนอกแวบหนึ่งก่อนหันมามองหน้าคนที่ยืนรอฟังคำตอบจากเขาอยู่
และแคปเองก็ดูเหมือนจะรู้เรื่องที่เขากำลังนึกกังวล
“กูชอบแดด ไม่ร้อนมากหรอก
จะอยู่แต่ในร่มก็ได้ถ้ามึงอยากจะให้สัญญา”
คนฟังส่ายหัวอย่างเอือมใจก่อนก่อนคว้าปากกาบนโต๊ะขึ้นมาถือไว้อีกรอบ
“ตามใจ แต่มึงต้องขึ้นมาก่อนบ่ายสามโมงตรง”
“โหบ่ายสาม?” แคปร้องประท้วงขึ้นมาเมื่อยกข้อมือดูเวลา “อีกแค่สามสิบนาทีเองเหอะ”
“ใช่ อีกแค่สามสิบนาทีแบบนั้นแล้วยังจะลงไปอีกไหม”
“ไปสิไป กูไปครับไป” ผลุนผลันออกจากห้องปิดโครมแทบไม่ทัน
วิ่งสิครับต้องใช้ลิฟต์ตัวนอกอีกต่างหาก
โต๊ะไอ้หมาปอว่างเปล่ามันคงจะเดินไปที่ไหนของมันสักแห่ง
แต่ตอนนี้ช่างมันก่อนแคปมุ่งลงไปที่ชั้นล่างเดินเล่นอยู่แถวสวนหย่อมที่เล็กราวกับแมวดิ้นตาย
“อะไรวะตึกใหญ่เท่าที่อยู่ยักษ์ สวนหย่อมเล็กจิ๊ดเดียวแบบนี้จะสูดอากาศดีๆได้ที่ไหนกั๊น”
เขาเดินไปแค่ไม่กี่ก้าวบนพื้นหญ้าก็เจอกับปูน
แคปถึงกับส่ายหัวแล้วนั่งแกร่วอยู่กับพื้น
คุณพี่รปภ.คนเก่าที่เคยเจอเดินเข้ามาโค้งทักทาย
พอรู้ว่าแคปกำลังเซ็งเรื่องดินเรื่องหญ้าเขาก็แนะนำว่าให้เดินไปฝั่งด้านหลังมีสวนหย่อมขนาดใหญ่อยู่ตรงนั้น
“มีจริงเหรอพี่”
“จริงครับ
เพิ่งสร้างขึ้นมาเมื่อตอนคุณเอสเธอร์เข้ามารับตำแหน่งเมื่อห้าปีก่อน
มีคำสั่งลงมาว่าพื้นที่ว่างด้านหลังตึกให้จัดเป็นสวนหย่อมทั้งหมด
เน้นปลูกบรรดาไม้ประดับ พวกผมยังรู้สึกขอบคุณมากๆเลยครับอยู่ในเมืองกรุงแบบนี้หาดินหาหญ้ายากมาก
มีต้นไม้ไว้พักผ่อนสายตากับผลิตอากาศบริสุทธ์ดีมากๆเลย”
แคปขอบคุณแล้วเดินลัดเลาะผ่านเข้าไปไม่นานก็ปรากฏสวนหย่อมขนาดปานกลาง
มีคนสวนกำลังดูแลรดน้ำต้นไม้พืชพรรณ แคปขออนุญาตก่อนจะเดินเข้าไปลุงใจดียิ้มให้
จากนั้นไม่นานสองคนก็คุยกันถูกคอ แคปขอต้นไม้ต้นเล็กๆที่เลี้ยงไว้กับละอองน้ำติดมือขึ้นไป
ดูเวลาบ่ายสามโมงเป๊ะเขายังยืนกดลิฟต์อยู่เฉยเลย
รีบปรับนาฬิกาถอยหลังไปสักสิบห้านาทีก่อนเป็นอย่างแรก
“ไปไหนมาวะมึง”
พอเดินผ่านโต๊ะปอนี่คือคำแรกที่มันเงยหน้ามาถาม แคปยกต้นไม้ในมือให้ดู
ก่อนโบ้ยบอกว่าจะรีบเข้าไปข้างใน ปอพยักหน้าแล้วโบกมือไล่ให้เข้าไปไวๆเลย
“อ่ะ เอามาฝาก” พอเปิดเข้ามาแคปก็ถลาตรงมาที่โต๊ะ
เอสไม่แม้แต่จะเงยหน้ามอง
แคปเริ่มนึกอิจฉาแผ่นกระดาษที่อัดแน่นไปด้วยตัวอักษรนั่นเสียแล้ว
เขาโน้มใบหน้าเข้าใกล้ยิ่งขึ้นไปอีก
“กูกลับมาแล้ว”
คนฟังเงยหน้ามองนิ่ง ๆ
จากนั้นเบนสายตาไปที่นาฬิกาไม้โบราณเรือนเล็กที่ตั้งอยู่มุมโต๊ะ
จับมาวางผั๊วะลงต่อหน้าแคป
เอาให้เห็นจะๆกันไปว่าตอนนี้เข็มยาวมันชี้อยู่ตรงเลขอะไร
“อ้าวตายจริง กูกะนึกว่าเพิ่งจะสามโมง
ดูนี่สินาฬิกากูเหลืออีกตั้งสองนาทีแหนะกว่าจะสามโมงตรง” แคปโกหกหน้าตาย ครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตจริง
ๆ ช่วยไม่ได้มันไม่ทันนี่หว่ามัวแต่ดึงไอ้ต้นไม้แปลกๆนี่แหละ
“จริงๆมึงดูสิ นาฬิกากูยังไม่บ่ายสามเลยเห็นไหมเนี่ย”
ยื่นข้อมือเข้าไปให้อีกคนดูเวลา เอสตวัดสายตาเหลือบขึ้นมามองเขียวปั๊ด
และก่อนที่แคปจะได้แก้ตัวว่าอะไรคนตัวโตกว่าก็ยืนขึ้นเต็มความสูงที่เกินเขาขึ้นไปเกือบๆจะคืบ
“กูไม่ได้โง่แคป”
“กะ....กะ.....กะ......” ก็ไม่ได้ว่ามึงโง่สักหน่อย
แคปชูต้นไม้ในมือให้ดูแล้วบอกกับเอสว่าจะเอาเสียบไว้ที่โถปากกานี้ได้ไหม
เจ้าของโต๊ะใช้สายตาดุคมถามขึ้นมาในที เพราะบนโต๊ะเขามันไม่มีโถปากกา
“ก็โถนี้อ่ะ” แคปชี้
“นี่ไม่ใช่โถปากกาแคป นี่มันคือแท่นเสียบปากกา
เสียบได้แค่ด้ามเดียว”
“อืมๆก็นั่นแหละ”
แคปมองปากกาสีทองหรูหราเรือนหมื่นเจ้าของที่ทาง
เขาค่อยๆเอาก้านต้นไม้ที่เด็ดมาด้วยเสียบแซมลงไป
มันทุกลักทุเลนิดหน่อยเอียงกะเท่เร่แต่ก็ดูแล้วแคปคิดว่ามันน่ารักดี พอทำเสร็จก็มองเจ้าของโต๊ะ
เอสมองตามแล้วส่ายหัวสุดจะมึนกับพฤติกรรม
“เข้าไปล้างหน้าล้างตาไป เนื้อตัวมอมตากแดดจนหัวเปียกโชก
หน้าดำไปหมดแล้ว”
“โหไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้นหรอกมึงก็พูดไป”
หน้ากูสีชมพูขาวบลิ๊งหล่อวิ๊งวับตามสไตล์ลูกทุ่งชาวสวนชวนฝันเหมือนเดิมเหอะ
เมื่อเจ้าของห้องใช้ความเงียบไล่ให้เข้าไปจัดการตัวเอง
แคปจึงป่วยการจะพูดต่อเขาใช้การ์ดสีดำของตัวเองทาบติ๊ดแล้วบานประตูห้องชั้นในก็ค่อยๆเปิดออก
รีบทำธุระตัวเองให้เสร็จๆ ห้องหรูๆใครจะอยากอยู่นาน กลิ่นที่หอมเกินไป
บรรยากาศแสงไฟที่น่านอนจนน่ากลัว ล้างหน้าล้างตัวเช็ดหัวแล้วเสยผมขึ้นเปิดหน้าผากใสเหน่งเอาให้เอสมันมองแล้วตกใจไปเลย
พอนึกได้แบบนั้นเขาค่อยๆเปิดบานประตูออกมา
สายตาที่หันมาเหลือบมองแวบนึงแต่แคปกลับเห็นว่ามันชะงักไปชั่วขณะน่าจะเป็นเพราะผมที่เปิดหน้าผากโชว์เหม่งของเขานันเอง
หล่อล่ะสิ
“ของานให้กูหน่อยดิ”แคปเดินเข้าไปหา
ย่อตัวนั่งลงเกาะขอบโต๊ะไว้
“เดี๋ยวจะเย็นแล้ว”
“นั่นแหละ ของานหน่อย” แคปแบมือหากแต่อีกฝ่ายไม่ได้สนใจ
“ไว้ก่อนแคป”
“แต่ว่า...”
“คืนนี้จะนอนที่ไหน”
“ห๊ะ?” เลิกคิ้วนิดๆ
ขณะที่คนถามๆออกมาแล้วก็หยิบใบงานอะไรสักอย่างขึ้นมากวาดตาดู ทำท่าไม่อินังขังขอบกับข้อความที่เขาจะตอบออกมาสักนิด
แคปจึงยกมุมปากขึ้นอย่างย่ามใจเมื่อนึกเรื่องอะไรดีๆออก
เขาโกหกคำโต
“นอนห้องไอ้แบงค์ไง”
กึกก
นั่นไงกูว่าแล้ว
ในใจแคปนี่ยิ้มร่าขณะที่ต้องบังคับหน้าตาให้เรียบและนิ่งเฉย
เอสยังคงเงียบอยู่แต่ทว่าสายตาคมกริบที่คมยิ่งกว่าหอกหลาวกลับทะยานพุ่งลงมาที่เขาแบบแทบจะเอาให้ตายไปไม่รู้กี่สิบรอบ
แคปกลอกตาหยิกตัวเองบอกตัวเองว่าให้ใจเย็นๆ
“กูให้โอกาสมึงตอบอีกรอบ ตอบใหม่คืนนี้จะนอนที่ไหน”
“ก็นอนห้องไอ้แบงค์นั่นแหละ”
“เออดีงั้นเดี๋ยวกูไปรับน้องโบว์มาค้างด้วยคืนนี้เลยก็ดี
รู้สึกคิดถึงขึ้นมาแล้ว”
ฉึกกก
คราวนี้แคปโดนไปแบบเต็มๆ
อยากไปยั่วเขาดีนักพอเขาใส่กลับมาล่ะพูดไม่ออก มีเสียใจกันเลยทีเดียว และใบหน้ามอมแมมที่เปื้อนดินเปื้อนฝุ่นนั่นคงจะแสดงออกแจ่มชัดเกินไป
หน้าผากเหม่ง ๆ ที่มีคิ้วคมเข้มเรียงตัวสวยขมวดกันจนแทบจะเป็นปม ทำเอาคนมองอย่างเอสต้องเบือนหน้าไปอีกทางเพราะกลัวว่าตัวเองจะใจอ่อน
เขาแสร้างก้มลงอ่านเอกสารในมือต่อพลันริมฝีปากก็ถามขึ้นมาอีกครั้ง
“ตอบมาดีๆว่าคืนนี้มึงจะนอนที่ไหน”
“ไม่ได้นอนที่ไหนหรอกน่า คืนนี้จะกลับ กลับระยอง”
“กลับกับใคร”
แหนะ คำถามมีมากจริง ๆ นี่แคปรู้สึกไปแล้วว่ากำลังถูกคุณภรรยาจับผิดอย่างไรอย่างนั้น
จะเถียงก็ไม่กล้าจะด่าก็ยิ่งไม่กล้าเข้าไปใหญ่ บ่นก็ไม่ได้
วู๊วววทำอะไรก็กลัวคุณเธอไม่พอใจ แบบนี้มันภรรยาชัดๆเลย ภรรยาหลวงมีจู๋
มันกลายร่างเป็นเมียหลวงไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันว๊ะ!!
“ก็กลับกับไอ้แบงค์นั่นแหละ” คราวนี้เป็นเรื่องจริงที่คนถามแทบไม่อยากจะได้ยิน
สองคนจ้องหน้ากันนิ่ง ปากกาในมือเอสไม่ขยับ ความเงียบแผ่ขยายออกเป็นวงกว้าง
บรรยากาศโดยรอบอึมครึมขึ้นมาจนน่ากลัว
แคปที่รู้สึกแบบนั้นจะยกมือขึ้นมาบีบจมูกโด่งๆนั่นหยอกเย้าสักหนึ่งทีหากแต่เอสไม่เล่นด้วย
เขาที่เร็วกว่าฉวยคว้าเอาข้อมือเล็กไว้แล้วบีบ
ใช้สายตาแสดงออกแทนคำพูดทุกอย่าง...สายตาที่เจ็บปวด
ทำเอาคนมองถึงกับใจหาย
“กูไม่ได้มีอะไรกับมัน
เราสองคนยังคงเป็นแค่เพื่อนรุ่นพี่รุ่นน้องเหมือนเดิม”
มือใหญ่ไม่ได้ผ่อนแรงลงเลย
แคปเบ้หน้าแล้วชี้บอกว่าให้ปล่อยออกก่อนเพราะเขารู้สึกเจ็บ
แต่ใครกันล่ะจะสน
“ถ้ากูจะมีอะไรกับมันนะกูมีมาหลายปีแล้ว
ไม่รอจนถึงวันนี้ค่อยมีหรอกมึงอย่าบ้าปล่อยมือกูได้แล้ว”
“.................”
“มันเจ็บ มึงเข้าใจไหม”
นั่นแหละเอสถึงได้ปล่อยมือเล็กออก
ผิวรอบข้อแขนขึ้นรอยแดงเร็วมาก แคปรีบเอามืออีกข้างนวดๆแล้วบังไว้แต่นั่นไม่รอดพ้นจากสายตาคนทำได้หรอก
แคปก้มหน้าเหมือนคิดอะไรสักอย่างพอเงยหน้าขึ้นมาอีกคนที่มองอยู่ก็รีบหลบ
“มึงหึงกูเหรอ?”
เอสถึงกับพ่นลมหายใจใส่ในตอนที่ได้ยินคำถาม
มุมปากแสยะรอยยิ้มแล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้บุนวมตัวสูงทั้งๆที่สายตายังมองที่ข้อมือแดงๆของแคปไม่ยอมห่าง
“มึงเอาอะไรคิดว่ากูหึง”
“ก็หึงอยู่ชัดๆ”
“ไม่ได้เป็นอะไรกันกูจะหึงมึงทำไม”
“อ้อเหรอ แล้วเมื่อคืนใครกันที่บอกรักกู ใครที่นอนกอดกู
แล้วก็ใครที่เกือบจะเผลอไผลจูบกูด้วยซ้ำ”
คนฟังถึงกับหรี่ตาหัวคิ้วกระตุก
ความเงียบลอยอวลขึ้นในอากาศนานพอสมควร
สองคนสู้กันด้วยสายตาคมกริบที่ไม่มีใครยอมใครก่อน
จนสุดท้ายแล้วเอสจึงเป็นฝ่ายทำลายห้วงเวลานั้นให้แตกกระจุยด้วยการเบือนใบหน้าออกไปอีกทางแล้วขยับยกมุมปากพูดคำที่แคปนี่แทบจะแยกเขี้ยวใส่แล้วกระโจนคว้ามันมาฉีกอกกินให้สาสมกับความตอแหล
“เหรอ...ก็แค่-จะ-อ่ะนะ แต่กูไม่ได้จูบมึงแน่นอน ”
เสียงทุ้มน่าหมั่นไส้มาพร้อมกับรอยยิ้มที่มันคงคิดว่าเจ้าเสน่ห์เสียเต็มประดา
ดวงตาเจ้าเล่ห์แพรวพราวขนาดนั้น แคปกัดฟันกรอดๆข่มความโกรธ
ขณะที่อีกคนยังมุ่งมั่นเติมเชื้อไฟราดรดลงบนกองเพลิง
“เพราะจูบน่ะต้องทำกับคนที่รักไง ไม่รักยังไงก็จูบไม่ลงหรอกแคป
กูรักมึงขึ้นมาเมื่อไหร่ก็คงจะเป็นฝ่ายเริ่มจูบจริงๆนั่นแหละ แต่เสียใจนะที่ตอนนี้ยังไม่ใช่”
...ตึกสูงเสียดฟ้าหากได้ลองปีนป่ายขึ้นมาแล้วต้องเหน็บหนาวฉันใด
ใฝ่รักกับคนต่างฐานะเจ้าทิฐิก็วุ่นวายหัวใจเจ็บปวดมิรู้คลายฉันนั้น..
แคปฟังคำตอบนั่นแล้วเหงาเลย
หัวใจพลันแห้งห่อเหี่ยวเหมือนกับผักสวนครัวที่ขาดน้ำสักสองอาทิตย์
กำลังว่าจะลุกขึ้นเดินไหล่ตกกลับไปนั่งที่อยู่แล้วหากแต่ดวงตากลมเบิกโพลงขึ้นมาเมื่อนึกบางอย่างขึ้นมาได้
เขาขยับตัวเองยื่นหน้าเข้าไปใกล้ เกาะโต๊ะมันแน่นๆแล้วส่งรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
แคปซะอย่างไม่มียอมแพ้หรอกเว้ย
“มันก็ใช่ที่ว่าจูบต้องทำกับคนที่รัก
แล้วรอยดูดแดงๆที่หลังคอกูสองสามรอยนี่อย่าบอกนะว่าคนที่ไม่รักมึงก็ยอมดูดให้เขาได้”
กึกกก
คราวนี้คนฟังชะงักไปชั่วขณะ
ชั่วขณะที่ความเงียบโฉบเข้ามาพร้อมกับแววตาที่เต็มไปด้วยลูกเล่นแพรวพราวนั่น ใบหน้าหล่อเหลาจึงปั้นเสียงหัวเราะสู้
“หึหึ จำไม่เห็นได้ว่ะ สงสัยกูเมา”
หนอยยยย “กูนี่คนสิเมา มึงจะไปเมาได้ไงล่ะห๊ะ!” แคปสวนใส่อย่างเร็วด้วยความลืมตัว
เอสหน้าผิดสีไปหน่อยหากแต่เขาเกลื่อนมันลงได้รวดเร็วมาก เมื่อสู้ไม่ได้แล้ว
เขาจะทำอย่างไรนอกจากลุกพรวดขึ้นยืนเต็มส่วนสูงแล้วดึงคนที่นั่งยองๆเกาะขอบโต๊ะทำหน้าตาไร้เดียงสาขึ้นมาเผชิญหน้ากัน
คำสั่งเฉียบขาดไม่มีทีท่าต่อปากต่อคำล้อเล่นกันอย่างเมื่อสักครู่อีกแล้ว
“ต่อไปให้มานอนค้างที่นี่
กูไม่อนุญาตให้มึงไปค้างคืนกับใครหน้าไหนอีกแล้ว”
“นอนที่นี่?” แคปทวนคำ
“ใช่ มีปัญหาอะไรล่ะ”
“แล้วทำไมต้องมานอนที่นี่”
“เพราะกูจะมาค้างที่นี่และมึงก็ต้องมาแต่งตัวให้กู ทุกวัน!”
“มึงเป็นเด็กหรือไงทำไมต้องให้คนแต่งตัวให้ ทำตัวยิ่งกว่าเด็ก
ปัญญาอ่อนจริงๆ”
“ว่าใคร”
ว่ามึงนั่นแหละ “เปล่า”
“งั้นก็ทำตามง่ายๆ อย่ามีปัญหา”
แคปจิ๊ปากขัดอกขัดใจ
วางคางลงที่โต๊ะตรงขอบที่ตัวเองใช้มือเกาะไว้
เขามองหน้าคนที่สั่งจบแล้วไล่สายตาอ่านเอกสารบางอย่างต่อ
จ้องอยู่แบบนั้นจนกระทั่ง...
เพี๊ยะ!
“โอ๊ย!”
เอสมองรอยแดงๆที่ขึ้นไวนักจากการที่เขาเอาปากกาเคาะลงที่หน้าผากโหนกอย่างนึกหมั่นเขี้ยวแกมสะใจ
ขณะที่คนถูกทำยกมือขึ้นลูบรอยนั้นไปพลางบ่นขมุบขมิบไปพลาง
“ไปนั่งที่เลยไป ถ้าเบื่อก็เปิดการ์ตูนดู”
“มึงทำร้ายร่างกายกู คนใจร้าย”
“อยากโดนอีกไหม แค่นี้ยังน้อยไปไม่ใช่เหรอ”
แคปเดินคอตกกลับไปนั่งจ๋องอยู่ที่โซฟา
หน้าผากเล็กแสบๆคันๆเขาเซ็งหนักเลยจับรีโมทขึ้นมากดดูทีวี
เปลี่ยนช่องไปมาไม่รู้จะดูอย่างไหนดี สุดท้ายลงตัวที่สารคดีสัตว์โลกแถบแอฟริกา
เอสแอบมองคนที่ตอนนี้อารมณ์ดีขึ้นแล้วเพราะท่าทางการเอนตัวนอนกอดหมอนใบใหญ่เอาไว้ที่ตักแล้วอมยิ้มดูลูกสิงโตตัวเล็กๆวิ่งตามหลังพ่อกับแม่อยู่ในทุ่งกว้าง
เขาไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่านั่งจ้องคนที่นอนยิ้มอยู่หน้าทีวีนั่นนานแค่ไหน
รู้แต่ว่าสะดุ้งขึ้นมาอีกทีก็ตอนที่เลขาส่วนตัวเข้ามาโบกมือเรียกไวๆอยู่ที่หน้าโต๊ะ
“ขอโทษครับนาย” เป็นปอเองที่ประดักประเดิด
คือถ้าไม่จำเป็นเขาไม่เข้ามาเด็ดขาด
แล้วก่อนจะเข้ามาเคาะประตูแล้วนะทว่าเงียบกริบไร้เสียงตอบรับเขาก็เปิดเลยสิ
“มีอะไร” เสียงดุถามออกไป ปอชี้ที่โทรศัพท์
“สายจากคุณโบว์ นายจะรับหรือเปล่าครับ”
คำตอบนั่นดูเหมือนทำเอาคนที่นั่งอยู่หน้าทีวีหันขวับมามอง
ปอเองก็หันมองแคปขณะที่เอสซึ่งจ้องฝ่ายนั้นอยู่ก่อนแล้วเบือนหน้ากลับมา
“นัดเธอไปว่าเย็นนี้ให้ไปเจอกูที่ร้านWWW”
“ครับนาย”
ปอโค้งแล้วจะเดินกลับออกไปทว่าเสียงทุ้มของเจ้านายดังขึ้นอีก
“สั่งดอกไม้ให้ด้วย ครั้งนี้เอาเป็นกุหลาบสีขาวช่อใหญ่
สีขาวเท่านั้น”
“.............”
“ออกไปได้แล้ว”
“ครับนาย”
ปอรับคำก่อนค้อมศีรษะลงอีกครั้งแล้วมองไปที่แคปในตอนที่เขาจะเปิดประตูออกไป
แคปลุกขึ้นเดินเข้ามา
“มึงจะไปหาน้องโบว์?”
เอสแค่พยักหน้าเบา ๆ แคปจึงก้าวเข้ามาอีก “แล้วใครขับรถให้
กูหรือว่าไอ้ปอ หรือมึงจะขับเอง”
“หน้าที่ใคร คนนั้นก็ทำสิ”
“กูไปแน่อยู่แล้วถ้ามึงอนุญาต”
“ดี”
แคปเข่นเขี้ยวทันทีที่ได้ฟังคำสั่งว่าให้ตัวเองเป็นคนขับรถให้
หัวใจเล็กๆดวงนึงจะทนทานไปได้นานสักเท่าไหร่ แต่ก็ช่างมัน
ต่างคนต่างเงียบกันไปสักพัก เอสเป็นฝ่ายละสายตาขึ้นมอง
“โน่นน่ะ ลูกสิงโตจะโดนเสือดาวฉีกกินแล้วมึงไม่ไปลุ้นน้องหน่อยล่ะ”
แคปหันขวับไปที่จอภาพทันที ทีวีกำลังฉายภาพน่ากลัวอย่างที่เอสว่าเขาใจหายวาบรีบถลาเข้าไปคว้าหมอนนั่งดูรายการสัตว์โลกสู้ชีวิตต่อ
ขณะที่เลขาอย่างเริ่มปอเดินเข้าเดินออกในมือมีแฟ้มรายงานมาสับเปลี่ยนให้ใหม่ตลอด
“เอ่อ..นายครับ”
เอสเงยหน้าแล้วเลิกคิ้ว ปอยืนอึกอักไม่ยอมพูดต่อ
เขาเหลือบมองแคปที่มัวแต่ดูทีวีไม่ได้รู้เรื่องจากนั้นมองหน้าเจ้านายตัวเองอีกครั้ง
“มีปัญหาอะไร เรื่องนัดหรือเปล่า” เอสถามเสียงเรียบ
ขณะที่ปอจ้องมองใบหน้าดุดันและเด็ดเดี่ยวที่ซ่อนเร้นอยู่ในแววตา
อำนาจความเป็นผู้นำที่ฉาบอยู่บนใบหน้าคม
รวมไปถึงท่าทีและน้ำเสียงนุ่มทุ้มหากแต่ทรงพลังพาให้คนฟังลุ่มหลงและคล้อยตาม
“เอ่อ เปล่าครับ คุณโบว์เธอตกลงทันที
ส่วนเรื่องช่อดอกไม้ผมจัดการตามคำสั่งเรียบร้อยครับ”
“อืม แล้วมึงจะมีปัญหาอะไรล่ะ”
“คือผม...”
ปอเว้นจังหวะนิดนึงเหลือบมองไปที่เพื่อนตัวเองอีกหน
“ผมจะถามนายว่าเย็นนี้ใครจะเป็นคนขับรถให้ครับ หรือว่าเจ้านายจะขับไปเอง”
“เพื่อนมึงขับ”
“แต่ว่า...”
ผิดจากที่นึกซะที่ไหน
ปอถึงได้กลัวใจเจ้านายตัวเองว่าจะพาแคปไปเจ็บ
ไปเห็นอะไรที่ไม่ควรจะได้เห็นเขาถึงได้เข้ามาเสนอตัว
แต่คนที่ตอบออกมาแบบไม่ยี่หระอะไรเลยดูเหมือนจะไม่สนใจใครด้วยซ้ำ
เป็นครั้งแรกที่ปอนึกหงุดหงิดใจนายของเขามากขนาดนี้
“กูสั่งไปแล้ว คำสั่งไม่มีเปลี่ยนแปลง”
“แต่ว่า คือพิจารณาใหม่เถอะครับ
ถ้าไงให้ผมขับแล้วให้แคปมัน...”
“ออกไปได้แล้วปรเมท..”
เสียงทุ้มสั่งเย็นเฉียบเล่นเอาคนฟังขนลุก
ปอหันไปสบตาเข้ากับคนที่นั่งมองมาที่พวกเขาสองคนตาแป๋ว
แคปมันจะรู้เรื่องหรือไม่ที่ว่าต้องไปทำอะไรเย็นนี้ ร่างสูงโปร่งครุ่นคิดไม่ตกยืนเครียดไม่ยอมขยับ
จนเอสต้องถอนหายใจหนักๆเอนตัวนั่งพิงพนักแล้วใช้สายตาไล่นั่นแหละอีกฝ่ายถึงได้อ้าปากพูดต่อ
ทว่าก็โดนแทรกขึ้นอีกเหมือนเดิม
“เพื่อนมึงโอเคแล้วไม่ต้องเป็นห่วง”
“แต่นายครับ” ปอขยับเข้าไปอีกนิด เขาพูดเสียงเบาเป็นประโยคที่คนฟังไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้ยิน
“แคปมันจะเสียใจ...”
นับเป็นฤดูหนาวที่อากาศไม่หนาวเลยสักนิด
หากแต่ช่วงเวลากลางวันกลับสั้นลง
ท้องฟ้ายามราตรีค่อยๆเข้าปกคลุมแสงตะวันทีล่ะนิดๆจนในที่สุดหมู่ดาวพราวระยับก็ปรากฏโดดเด่นแก่สายตา
ทั้งที่เข็มสั้นบนนาฬิกาชี้แค่เลขเจ็ดเท่านั้น
เมอเซเดสสีดำเงาสะท้อนทิวทัศน์ตึกรามรอบด้านเคลื่อนตัวเข้ามาจอดสนิทอยู่ข้างกระจกบานใหญ่ของร้านอาหารสไตล์บาหลีริมสวนสวยใจกลางกรุงเทพมหานคร
คุณชายแห่งรัชชานั่งหน้านิ่งอยู่ที่เบาะหลังก่อนขยับเนคไทให้เข้าที่แล้วหยิบช่อดอกกุหลาบสีขาวสดช่อใหญ่เปิดประตูหลังแล้วก้าวลงไป
โต๊ะอาหารสุดแสนโรแมนติกถูกจุดเทียนเล่มสวยรอคอยอยู่ก่อนแล้ว
เปลวของเทียนหยอกเย้ากับเงาของถ้วยแก้วขับให้ใบหน้าหวานสดใสขึ้นสีชมพูระเรื่อ
นวลแก้มสีแดงเปล่งปลั่งกับดวงตาที่เต็มไปด้วยความสุขมอบให้กับผู้ชายที่ค่อยประคองช่อดอกไม้ส่งให้เธอ
มันช่างเป็นภาพบาดใจเสียจนแคปแทบจะกระอักความขมปร่าของพิษรักนั้นออกมา
ยืนพิงกระโปรงรถเบือนหน้าหนีพลางจุดบุหรี่ขึ้นสูบรอคอยคนที่ได้ชื่อว่านายจ้างจำเป็น
เจ้านายชั่วคราว หรือเจ้านายห่าอะไรก็แล้วแต่ใครจะเรียก
ตอนนี้อารมณ์คนสูบมันกรุ่นเสียยิ่งกว่าสุมไฟในเตาผิงมากมายนัก
ก้นบุหรี่อันที่สามถูกทิ้งลงที่พื้น
ขณะเตรียมจะจุดมวนใหม่ขึ้นมาอีกรอบพลันสายตามองเข้าไปที่โต๊ะดินเนอร์ด้านในนั่น
ซ่าา!!
ภาพที่ไม่น่าเชื่อกับสายตา
เมื่อมือเล็กที่ประดับด้วยกำไลสีเงินพราวจับแก้วน้ำสาดใส่หน้าคนฝั่งตรงข้ามเต็มแรง
เอสเปียกโชกไปทั้งหน้าหากยังรักษามาดคุณชายผู้เงียบขรึมเอาไว้ได้ ในดวงตาเล็กจ้องเขาอย่างปวดร้าว
ริมฝีปากสีสวยขบแน่นหากแต่ไม่ได้เอ่ยถ้อยคำใดๆ
เอสลุกขึ้นช้าๆ
ขณะที่เธอง้างฝ่ามือขึ้นมาแล้วหากแต่โดนมือใหญ่คว้าจับเอาไว้ได้พร้อมกับคำพูดที่ใช้ฆ่าให้ตายในดาบเดียว
“คนที่จะมีสิทธิ์ตบฉันได้มีแค่คนเดียว ซึ่งคนๆนั้นไม่ใช่เธอ”
ทำนบน้ำตาทะลายร่วงหล่นลงมาอาบสองข้ามแก้ม
น้องโบว์วิ่งร้องไห้ออกจากร้านไปพร้อมกับสายตาและเสียงซุบซิบของใครอีกหลายคน
พนักงานกรูกันเข้ามาขอโทษขอโพยเอสเป็นการใหญ่
ก่อนที่ร่างสูงจะก้าวออกจากร้านมาด้วยหน้าตาเหวี่ยงสุดขีด
เขาถอดเสื้อนอกที่เปียกโชกปาส่งให้แคปอย่างหงุดหงิด
เปิดรถขึ้นไปนั่งด้านหลังแล้วปิดประตูลงดังโครม!
การจราจรช่วงหัวค่ำนับว่าวุ่นวาย
หากแต่คงไม่วุ่นวายเท่าหัวใจใครบางคน บทเพลงเบาๆในรถไม่ได้ช่วยให้บรรยากาศผ่อนคลาย
กลับกันคนขับกลับจดจ่ออยู่แต่ใบหน้าคมที่ปอยผมยังคงเปียกชื้นอยู่
คำถามมากมายเหลือเกินติดอยู่ในใจหากแต่แคปยังไม่ยอมถามไถ่ออกไป
สุดท้ายแล้วเอสบอกให้เขาจอดลงข้างทางเพื่อไปหยิบเอาผ้าขนหนูอยู่ที่กระเป๋ากีฬาท้ายรถออกมา
“มึงจะไปไหนต่อ” แคปถามในตอนที่ยื่นผ้าส่งให้แล้วออกรถ
ขณะที่เอสไล่ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตออกครบทุกเม็ดก่อนจะปลดที่ข้อมือต่อแล้วพับแขนเสื้อขึ้นไป
“กลับตึก คืนนี้กูจะนอนที่นั่น”
คนฟังมองเจ้านายจำเป็นผ่านกระจกมองหลัง
เมื่อสายตาสองคู่สบกันคำถามมากมายสื่ออกมาจากดวงตาของแคปทำไมเอสจะไม่รู้
เขาถอนหายใจแล้วเบือนหน้ามองนอกหน้าต่าง
ท้องฟ้ามืดลงทุกที
บางทีความเงียบช่างหนักอึ้งและน่ากลัว
เงียบงันราวกับทุกอย่างก่อตัวขึ้นเป็นก้อนทรงกลมที่อัดแน่นไปด้วยมวลความเงียบและความหนักใจ
ก่อนที่แคปจะทำมันแตกกระจุย
“มึงเลิกกับน้องโบว์แล้ว?”
ยานพาหนะสี่ล้อวิ่งสวนทางกับเงาดำของโคมไฟถนนต้นแล้วต้นเล่า ในความเย็นยะเยือกมีความเงียบ
และในความเงียบงันไม่มีเสียงโต้ตอบจากคนด้านหลัง
แคปถอนใจลึก
“รู้ตัวไหมว่าเลว”
“อืม”
คำพูดตอบรับง่ายๆแบบนั้นกับดวงตาที่ไร้วี่แววความอนาทรและเสียใจ
แคปอ่านไม่ออกเลยด้วยซ้ำว่าตอนนี้คนที่นั่งนิ่ง กำลังขบคิดเรื่องอะไร
นึกไปถึงช่อดอกไม้สีขาวนั่น
กุหลาบช่อใหญ่ที่เขายื่นส่งให้กับเธอ
กุหลาบสีขาว......แทนคำขอโทษจากหัวใจ
อย่าบอกนะว่าตระเตรียมคิดไว้ตั้งแต่เมื่อตอนกลางวัน......คิดเรื่องจะบอกเลิกกับโบว์???
ผู้ชายคนนี้อันตรายจริงๆ
“มึงกำลังคิดเรื่องอะไร” เสียงทุ้มดุดังแทรกเข้ามาในโสต
แคปที่ติดอยู่ห้วงภวังค์สะดุ้งขึ้นในทันที เกือบเตลิดทางที่จะต้องเลี้ยว
ไม่มีคำตอบหลุดออกมาจากริมฝีปากของคนขับ
รถโฉบเข้าไปใต้ตึกก่อนจอดตัวลงที่ช่องจอดประจำตำแหน่ง
เสื้อนอกที่เปียกไปด้วยน้ำถูกแคปถือขึ้นมาให้
ขณะที่ภายในลิฟต์ต่างคนต่างจับจองพื้นที่คนล่ะมุมแล้วจ้องหน้ากัน
“นี่ตกลงว่ามึงเลิกแล้วกับทั้งน้องโบว์ทั้งคุณมินตราแบบนั้นใช่ไหม”
“กูบอกตอนไหนว่ากูเลิกกับมินตราแล้ว”
ตายห่าแคปเผลอไป
เพราะเรื่องมินตราปอเป็นคนบอกกับเขาแถมกำชับดิบดีว่าห้ามบอกว่ารู้อยู่ก่อนแล้ว
เขาถึงกับผงะเมื่อเจออีกฝ่ายสาวเท้าเข้าใกล้แล้วจ้องหน้า
กลิ่นกายของคนที่กักกันตัวเขาไว้ในกรงอ้อมแขน หอมยั่งยวนทำเอาใจเต้าระส่ำ
“ใครบอกมึงว่ากูเลิกกับมินตราแล้ว”
“อะ...อะไรเล่า กูก็แค่เดาอ่ะ ก็ช่วงนี้ไม่เห็น
เมื่อคืนไปค้างบ้านมึงก็ไม่เห็นจะโทรคุยกันเลย
ที่สำคัญวันนี้ทั้งวันยังไม่เห็นเธอเลยไง”
“แก้ตัวเก่งจริงๆ”
“แก้ตัวที่ไหน กูเดาส่งทั้งนั้น” คนฟังหรี่ตาอย่างจับผิด
แคปส่งยิ้มแหย “แล้วตกลงเลิกหมดแล้วใช่ป่ะ”
“ถามทำไม”
อ้าวก็อยากรู้มั่งไรมั่ง
ถ้าเลิกหมดนั่นก็แปลว่าเอสมันเลือกเขาล่ะสิ
อะไรวะจีบแค่ไม่กี่อาทิตย์เองเคลียร์ได้หมดสองสาวสวย น่าดีใจอยู่นะ
“กะ...ก็ถามดู”
“หึ...เลิกได้ก็มีใหม่ได้คนสวยๆรอบตัวกูมีเยอะแยะ”
“ว่าไงนะ!”
แคปคิ้วกระตุกพลางสบสายตาคมแพรวพราว ใบหน้าหล่อเหลาฉาบรอยยิ้ม
ทว่าเป็นรอยยิ้มมุมปากประหนึ่งจิ้งจอกร้ายเจ้าเล่ห์ แคปผลักอกกว้างให้ถอยออก
หากแต่ถูกฝ่ามือใหญ่กระชากกลับมา
“ไม่ต้องมาดีใจจนออกนอกหน้า”
“หา?”
ติ๊ง~
ลิฟต์เปิดตัวออกพอดี เอสผละจากเขาไป แคปรีบก้าวตาม คว้าแขนคนที่ตัวเปียกหมาดไว้ “มึงว่าอะไรนะ
กูดีใจงั้นเหรอ”
“เดี๋ยวจะหาใหม่เอาให้สวยกว่าเก่าอีก”
“ดีจริงๆ ท้าทายกูมาก”
“ยอมให้หาไหมล่ะ”
คนฟังกัดฟันกรอด หึ....หึหึหึ แคปอยากจะขำแต่มันขำไม่ออกนี่สิ
มองคนที่กำลังปลดหัวเข็มขัดแล้วถอดเสื้อเชิ้ตตัวเปียกชุ่มออก
เขาอยากจะตอบเหลือเกิน..ถ้ามึงหากูเองก็จะหาด้วย
แต่แบบนั้นอาจจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการจะยั่ว
เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะล่อให้เขาเต้นเร่าๆติดกับ เพราะงั้นศึกวันนี้แคปจะเอาความดีเข้าสู้
เอ้ยไม่ใช่ เอาความสงบเข้าสู้
ทว่าปากพาซวยดั๊นพูดไปก่อนที่สมองเล็กๆจะร้องสั่ง “เอาสิ
อยากเห็นเหมือนกันคนที่สามที่สี่ของมึงจะสวยเด็ดสักแค่ไหน”
พรึ่บ!!
เสื้อเชิ้ตถูกปาเข้าใส่หน้าแบบเต็มๆไม่มียั้งมือ
พอคว้ามาได้กำลังจะแหกปากด่าเสี้ยงทุ้มดุสุดแสนหงุดหงิดก็ร้องสั่งขึ้นมา
“หาเสื้อผ้าเอาไว้ รอแต่งตัวให้กู”
..ไปแหย่เสือหลับเข้าให้อีกแล้ว..
อาหารเย็นง่ายๆถูกเสิร์ฟด้วยรถเข็นอาหารแบบของโรงแรม
แคปเหล่ตามองตามเหล่าแม่บ้านในชุดฟอร์มสีฟ้าอ่อนที่เดินเข็นรถออกไป
นึกถึงคำพูดของไอ้ปอที่ตอนนี้คงกลับไปนอนตีพุงอยู่ที่ห้องส่วนตัวของมัน
ปอมันเคยบอกเขาเอาไว้ว่าเจ้านายมันไม่เคยพาใครมาทานข้าวที่ห้องนี้แม้แต่คนเดียว
ผู้หญิงทุกคนจะถูกพาลงไปทานที่ห้องชั้นล่างทั้งหมด
ทำแบบนี้ราวกับว่าเขาเป็นคนพิเศษ
บางทีคนเรานะมันก็อดที่จะคิดไม่ได้ว่าตัวเองพิเศษ อยากให้คนตรงหน้าลดทิฐิลงสักนิด
ฟังเขาสักหน่อย ฟังในที่นี้หมายถึงฟังเรื่องราวที่ผ่านๆมา
ฟังในสิ่งที่เราสองคนกำลังจะก้าวผ่านมันไปด้วยกัน ถ้าเรายอมฟังกันและกัน
ยอมลงให้กันและกัน สลายทิฐิที่มีต่อกันและกัน
ทุกอย่างคงเป็นไปอย่างที่หัวใจเราสองคนต้องการ..
อาหารมื้อค่ำของรัชชายังคงอร่อยถูกปากไม่เปลี่ยน
ข้าวผัดกรุ่นร้อนส่งกลิ่นหอมฉุย ควันน้อยๆยังพวยพุ้ยออกมาจากในจาน
ทั้งต้นหอมแตงกวามะเขือเทศรวมไปถึงผักชีและมะนาวฝาน
เอสหยิบขวดซอสมะเขือเทศอันจิ๋วส่งให้
เมื่อแคปที่เพิ่งหลุดจากภวังค์ความคิดเลิกคิ้วถาม มือใหญ่ก็บีบมันลงมาในจานเป็นรูปตัวยูก่อนชี้บอกให้แคปรีบกิน
สองคนนั่งทานข้าวด้วยกัน...เงียบๆ
บรรยากาศที่ไม่ได้เห็นมานาน....นานมาแล้ว
กว่าจะทานข้าวกันเสร็จก็เกือบจะดึกแล้ว
พนักงานขึ้นมาเก็บจานให้เรียบร้อย
เจ้าของห้องหยิบรีโมทขึ้นมาเปิดรายการทีวีไว้ให้แคปดูก่อนที่ตัวเองจะเดินไปนั่งหลังโต๊ะทำงานตัวเดิม
แฟ้มเอกสารที่รอคำสั่งอนุมัติวางสูงขึ้นมาเกือบคืบหากแต่เอสเลือกที่จะมองไปยังคนที่นั่งหน้าทีวีอีกครั้ง
ท่าทีสบายๆของคนที่นั่งกอดหมอนอยู่บนโซฟาแล้วหัวเราะเบาๆกับการ์ตูนเรื่องโปรดของมันที่บังเอิญฉายขึ้นในเวลานี้ เขานั่งมองอยู่แบบนั้นครู่หนึ่งก่อนจะเปิดลิ้นชักส่วนตัวแล้วหยิบบางอย่างขึ้นมา
“อ่ะ!!”
แคปตกใจเมื่อจู่ๆบัญชีธนาคารเป็นสิบกว่าเล่มถูกโยนลงมาที่หน้าตักเขา
เงยหน้ามองคนที่ยืนทำหน้าตาถมึงทึงเจ้าของชื่อบัญชีพวกนั้น
“ต่อไปดูแลสมุดบัญชีให้กู นี่คืองานอีกอย่างของมึง”
“หา?”
“ตามนั้น”
“เดี๋ยวก่อน”
แคปรีบลุกขึ้นแล้วเรียกคนที่กำลังจะเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะอย่างเดิม
เขาวางของในมือลงแล้วเดินเข้าไปหา
“ทำไม...ทำไมกูต้องทำแล้วทำในฐานะอะไร กูทำสำเร็จแล้ว??”
นี่เขาจีบสำเร็จแล้วเหรอ? ได้รับความไว้วางใจแบบนี้มัน...
แต่ทว่าเอสกลับนิ่งไปแล้วกดเสียงถามกลับอย่างใจเย็น
“อยากฟังจริงหรือ?”
“ใช่” แคปพยักหน้า คำตอบแทบจะไม่ได้ยินเสียง
คนตัวโตเบนสายตามองไปที่บัญชีพวกนั้นอีกครั้งก่อนเลื่อนกลับมามองที่แคป
“ยังไม่ได้รู้สึกอะไรกับมึงหรอกนะ ก็แค่เพื่อน เพื่อน-เก่า” คำว่าเพื่อนเก่ามาพร้อมกับแววตาที่เจ็บปวดทว่าคนพูดเกลื่อนมันไว้ภายใต้ความรู้สึกมิดชิด
“มึงให้เพื่อนมึงดูแลสมุดบัญชีให้แบบนี้หรือไง”
“ไม่มีทาง”เอสสวนขึ้นทันที
นั่นทำเอาแคปถึงกับกัดปากกลั้นรอยยิ้ม
คนที่รู้ว่าตัวเองถูกหลอกให้พูดเดินหน้าบึ้งไปทิ้งตัวนั่งลงที่หลังโต๊ะ
แคปเดินกลับมานั่งลงหน้าทีวีหันไปแอบหรี่ตามองแล้วอดอมยิ้มออกมาไม่ได้
เขากลั้นไม่ไหวจึงหัวเราะออกมาอย่างสบายอกสบายใจ
ใครจะรู้ในตอนนั้นที่ทับกระดาษรูปช้างศึกลอยคว้างมาเกือบจะโดนเข้าที่หัวยังดีที่รับไว้ได้ทัน
คนปาชี้หน้าบอกให้หยุดหัวเราะเลย แคปรีบยกมือบอกยอมแพ้
ตกดึกของคืนนั้น ประธานหนุ่มของรัชชาวางแฟ้มเล่มสุดท้ายที่ต้องพิจารณาลง
จะเสียบปากกาสีทองหรูหราเข้าที่หากแต่มีก้านดอกอะไรสักอย่างเสียบไว้
เขาจึงวางปากกาลงที่โต๊ะแทน จากนั้นออกปากไล่แคปให้เข้าไปอาบน้ำ
แต่แคปเพียงแค่หันมาหา
“เดี๋ยวจะกลับแล้ว”
นั่นคือคำพูดที่ทำให้ห้องทั้งห้องเงียบกริบลงไปอีกครั้ง
บรรยากาศที่อวลด้วยไอ้อุ่นจางๆจากเหตุการณ์เมื่อสักครู่หายวับ แคปกดปิดทีวีก่อนเดินเอาสมุดบัญชีพวกนั้นกลับมาวางไว้ให้เจ้าของอย่างเดิม
“อาทิตย์หน้าจะมาใหม่ แล้วจะจัดการบัญชีให้”
เอสยังคงเงียบต่ออีก แคปจึงค่อยๆย่อตัวนั่งลงใกล้ๆ
ปกติเขาจะเกาะขอบโต๊ะไว้แต่คราวนี้ตั้งใจดึงเก้าอี้ตัวใหญ่ให้หมุนเข้ามาหาแล้ววางมือลงบนหน้าตักคนนั่ง
“กูมาหามึงได้แค่อาทิตย์ละสองวันเคยบอกไว้แล้ว
มันจำเป็นหวังว่ามึงคงจะเข้าใจ” เงยหน้ามองคนที่นั่งนิ่งๆด้านบน
แคปค่อยรวบเอาฝ่ามือใหญ่เข้ามากุมไว้ กำลังจะเอ่ยปากต่อหากแต่เป็นเสียงทุ้มที่แฝงลึกไปด้วยความรู้สึกพูดขึ้นมา
“ไม่กลับได้ไหม”
สิ่งที่ได้ยินทำเอาตกใจนิดๆ
ไม่เคยคิดว่าจะได้ยินสำเนียงติดอ้อนแบบนี้ของคนที่วันๆเอาแต่นั่งทำหน้าดุ
เอ่ยปากออกมาแต่ละคำมีแต่จะทำให้เขาเสียใจ สายตาลุ่มลึกที่อ่านยาก
บุคลิกที่ฉาบไว้ด้วยความเย็นยะเยือกและความเงียบ
บัดนี้ในถ้อยคำกลับแฝงไปด้วยไออุ่นอะไรสักอย่างที่ซ่านออกมา
“ไม่กลับไม่ได้” แคปตอบเสียงเบาๆทว่าหนักแน่นและชัดเจน
คนฟังเบือนหน้าหนีจับรีโมทขึ้นมากดเพียงครั้งเดียวม่านมู่ลี่ที่กินเนื้อที่กว่าครึ่งห้องเปิดโชว์ออก
เผยให้เห็นท้องฟ้ายามราตรีที่มีแต่หมู่ดวงดาราพร่างพราว
เขามองตรงไปที่ๆไกลแสนไกล
“มึงไม่ได้เลือกกูนี่” ไม่ได้เลือกกูอีกแล้ว
อันที่จริง..ทิวทัศน์ ณ จุดนี้ของมหานครก็สวยงามมากอยู่
ทั้งดวงไฟทั้งดวงดาวหลอกล่อสายตางดงามเป็นอย่างยิ่ง
หากแต่แคปไม่มีอารมณ์จะมานั่งโรแมนติกกับดวงดาวดวงไหนทั้งสิ้น เขารู้เพียงแค่ว่ากำลังทำให้คนๆหนึ่งเสียใจอีกครั้งแล้ว
แคปขยับตัวเข้าไปนั่งชิดอยู่กลางหน้าตักของคนตัวโตที่พยายามจะหันหนีกัน ล็อคเกาอี้ไว้ไม่ให้หมุน
เลื่อนตัวเข้าไปนั่งลงที่พื้นหันหลังให้กับหมู่ดวงดาว เลือกที่จะไม่สนใจความสวยงามของมัน
เพราะ ณ ตอนนี้ ใบหน้าคมที่เรียบนิ่งแอบซ่อนเร้นไว้ซึ่งนัยย์ตาคู่สวยที่แสนเศร้า
ดูมีเสน่ห์และน่าค้นหา น่ามองยิ่งกว่าดวงดาราพวกนั้นเยอะ
แคปรวบจับมือใหญ่ไว้อีกครั้งก่อนแนบริมฝีปากประทับจูบลงไปที่หลังมือนั้นอย่างอ่อนโยน
..นี่คือคำตอบทั้งหมดของหัวใจเขา..
“เราสองคนต่างมีความรับผิดชอบต่อเรื่องต่าง ๆ คล้ายกัน
ทั้งหน้าที่ต่อครอบครัว หน้าที่ต่อการงาน หน้าที่ต่อสังคม แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั้น
หน้าที่ต่อหัวใจจะเป็นตัวหล่อเลี้ยงควมรู้สึกทุกอย่างของเรา
กูอยากให้มึงเข้าใจในจุดที่เราสองคนยืนอยู่ด้วย จะเอาแต่ใจตัวเองไม่ได้
คิดเสียว่าบางทีความห่างไกลก็ทำให้หัวใจของเราใกล้ชิดและยิ่งเกิดความเชื่อใจ
มึงเชื่อกูไหม เชื่อใจกูหรือเปล่า”
มือเล็กกระชับบีบฝ่ามือใหญ่ให้แน่นขึ้น
ดวงตากลมแน่วแน่ในทุกสิ่งที่พูด ชัดเจนและหนักแน่นเสียจนคนฟังยอมจำนนหมดทั้งหัวใจ
“ไปหากูที่ไร่สิ ถ้ามึงคิดถึงจนทนแทบไม่ไหว”
ราวกับเป็นถ้อยคำที่เฝ้ารอคอยมาแสนนาน
เอสกระชากคนตัวเล็กดึงให้โน้มขึ้นมาคร่อมอยู่บนหน้าตักก่อนสอดฝ่ามือเข้าที่ท้ายทอยสวยแล้วกดใบหน้าลงมารับจูบ
ทั้งริมฝีปากร้อนแรง เรียวลิ้นร้ายกาจ
รวมถึงลมหายใจที่บ่งบอกถึงอารมณ์ที่โหมทะยานของคนเริ่มได้เป็นอย่างดี
เอสตะโบมจูบด้วยความรู้สึกที่ไม่มีอะไรจะมาต้านทานได้อีกต่อไปแล้ว
จุมพิตหวานล้ำต่างถูกมอบแก่กันและกัน ทั้งอ่อนโยน หนักหน่วง และเนิ่นนานในคราเดียว
แคปหอบจนตัวโยนโกยลมหายใจเข้าปอดในตอนที่ผละออกมา
ใบหน้าแดงซ่าน เนื้อตัวที่ถูกฝ่ามือใหญ่ฟอนเฟ้นปวดหนึบ หากแต่หัวใจกลับพองโต
กดหน้าผากเล็กแนบลงกับหน้าผากของคนที่เขานั่งซ้อนทับอยู่
“มึงบอกว่าต้องรักใช่ไหมถึงจะจูบได้
แต่สำหรับกูน่ะไม่ใช่แค่ต้องรักหรอกนะ ต้องรักมากๆด้วยถึงจะยอมให้จูบ..”
สิ่งที่โผเข้าหากันหลังจบคำพูดนั้นคือริมฝีปากที่แนบจูบหอมหวานปานน้ำผึ้งเดือนห้า
จุมพิตลึกล้ำที่ส่งผ่านปลายลิ้นแห่งความคิดถึง ห้าปี..ไม่มีคำว่าเพียงพอ
ห้าปี..ที่อยากทำแบบนี้มาตลอด ห้าปี..ที่ยังคงรักอยู่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ห้าปี..ไม่ว่าจะกับใครไม่เคยเต็มหัวใจเท่ากับจูบกับคนตรงหน้านี้ได้สักที
เพราะว่าพวกเขา...
ใช้หัวใจในการจูบ...มิใช่แค่ร่างกายที่สัมผัส
.
.
“ฮึกก..ช้าๆไอ้สัส กูเจ็บ!”
เพี๊ยะ!!
ฝ่ามือใหญ่ขยำแก้มก้นขาวเนียนที่ขย่มขึ้นลงอยู่บนหน้าตัก
สองร่างกายเชื่อมต่อแนบชิด ริมฝีปากที่เป็นเจ้าของฟันกระต่ายสวย
จูบซับหยาดเหงื่อไหลซึมที่หน้าผากเล็กแผ่วเบาก่อนฝังปลายจมูกซุกลงไปที่ซอกคอหอมกรุ่นแล้วดูดเบาๆ จังหวะถูกเร่งเร้าเมื่อสะโพกสวนขึ้นถี่ยิบ
ลึกล้ำและหนักหน่วงจนคนบนร่างร้องเสียงหลงระส่ำไม่เป็นภาษาซบหน้าลงที่บ่ากว้าง
“มองหน้ากู...แคป”
ใบหน้าเล็กส่ายปนหอบริมฝีปากสีกุหลาบที่ผ่านการจูบมายาวนานเผยอขึ้นรับจูบครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างลืมตัว
“ฮ.อึกก เอส กูเจ็บบ อ๊ะห์ ไอ้สัสเจ็บ จ..เจ็บ
กูบอกว่าเจ็บบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ”
“โทษทีแคป กูแม่งไม่ไหวแล้วจริง”
แคปส่ายหน้ารัวๆ ทั้งหน้าทั้งตัวแดงก่ำราวกับคนร่ำไห้
ไม่ใช่ว่าเจ็บปวด ไม่ใช่ว่าโกรธที่โดนดี
หากแต่เป็นเพราะเขาเสียววววววววววววววววววววววววววว..แทบขาดใจ”
ตายแน่ๆแล้วกู หนุ่มชาวไร่ตายคาอกมหาเศรษฐีทายาทตระกูลดัง
ได้เป็นข่าวใหญ่โตทั่วฟ้าเมืองไทยแน่ๆ
“อ่ะ อืออ ฮึกก..”
แคปตะโกนร้องอยู่ในใจเมื่อถูกคนไม่ได้ดั่งใจยกร่างกดลงที่โต๊ะ
แฟ้มรายงานต่างๆถูกปัดทิ้งร่วงกระจุยก่อนที่สองแขนแกร่งสอดรับเข้าที่ข้อพับอย่างรีบร้อน
โถปากกาที่เสียบก้านดอกไม้เอียงกระเท่เร่กลิ้งตกลงไปบนพื้นพรมหนานุ่ม
โต๊ะทำงานตัวใหญ่บัดนี้สั่นคลอนไปตามจังหวะการกดสะโพกโหมเข้าใส่
อือ โต๊ะจะพังไหมหว่า...
“อ่ะๆ ฮึกกก...ไม่-ไหว-แล้ว...อ.ฮึกก ” น้ำเสียงสั่นเครือขาดห้วงฟังไม่ได้ศัพท์
ปลายจมูกโด่งกดซุกลงตามแอ่งชีพจรและจุดกระสัน ขบเม้ม
ดูดดึงแล้วเลียเบาก่อนเลื่อนขึ้นไปจูบซับที่ไรผมหอมอีกครั้งอย่างอดทน
“แคป...”
เสียงพร่าทุ้มทรงเสน่ห์กระซิบอ่อนหวานเรียกชื่อเขาราวกับเป็นสิ่งมีค่า “แคป...” สะโพกสอบ สวนเข้าใส่ถี่ยิบหนักหน่วง
จุดเชื่อมต่อร้อนแรงดังไฟรน ห้องทั้งห้องโหมกระพือด้วยแรงแห่งเสน่ห์หาแสนรัญจวน
แม้จะโดนพิษรักเล่นงานหนักถึงห้าปีแต่มิอาจลดทอนหัวใจรักและความต้องการที่มีให้แก่กันลดลงได้เลย
แคปร้องหนักเสียงหลงเมื่อถูกดึงทุกความรู้สึกของห้วงอารมณ์ขึ้นไปแตะอยู่บนจุดสูงสุดของเส้นขอบฟ้าสีดำสนิท
“กูเกลียดมึงที่สุด!! อึกกก”
ทุบอึกลงที่หลังกว้างแบบเต็ม ๆ แถมลูกเตะปัดป่าย
ครั้นเจ้าของอ้อมกอดใหญ่เพียงแค่หอบหายใจอ่อนโยน
ยกมือขึ้นลูบศีรษะเล็กแผ่วเบาแล้วแนบจุมพิตหอมหวานลงอีกครั้งครา
ขณะที่แคปหน้ายู่งับเข้าที่ซอกคอฝากรอยฝังเขี้ยวจมลึกลงไปให้อีกฝ่ายได้เจ็บๆคันๆ
“รักกูหรือยังตอบออกมาก่อน กูจีบสำเร็จแล้วใช่ไหม” สองมือยกคล้องลำคอแข็งแกร่งเอาไว้ก่อนไล้ปลายนิ้วที่รอยเขี้ยวแล้วลากยาวลงมาตามลำคอ
กระดูกไหปลาร้า และร่องอก สายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความต้องการสบกันแน่นิ่ง
ก่อนที่เอสจะขโมยฉกกัดปลายจมูกรั้นหนึ่งทีแล้วกระซิบใส่เสียงแผ่ว
“ยัง...”
หนอยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
เสียงขำทุ้มต่ำในลำคอดังแว่วเข้ามาในหัวใจ
แคปทั้งทุบทั้งดิ้นเป็นจอมโวยวายคนเดิมที่กลับมาแล้ว
เช่นกันกับบุรุษผู้เงียบขรึมแห่งตระกูลรัชชา
เอสจอมเผด็จการคนเดิมเพิ่มเติมคือปากดี ก็คืนชีพแล้วเช่นกัน...
...เรียนรู้รักอย่างรู้คุณค่า ฝันไม่ไกล
บินไปตามทางหาดวงตะวัน ที่เธอต้องการ
ไม่มีฉุดรั้งไม่มีดึงดันเราเข้าใจ
รักจึงแสนหวานรักจึงไม่เปลี่ยน เคียงคู่กัน..
ก่อนเคย คิดว่ารักต้องอยู่ด้วยกันตลอด
เติบโตจึงได้รู้ความจริง
...หากเคียงชิดใกล้ แต่เธอต้องทิ้งทุกอย่างเพื่อฉัน
ประโยชน์ที่ใด หากรักทำร้ายตัวเอง
หากเดินแนบกาย มีพลันต้องล้มลงเจ็บด้วยกัน
ห่างเพียงนิดเดียว ให้รักเป็นสายลมผ่านระหว่างเรา
แบ่งที่ว่างตรงกลางไว้คอย เพื่อให้เราได้ถึงดั่งฝัน...ร่วมกัน
(Cr.เพลงที่ว่าง/พอร์ช)
Tbc.