Thursday, June 25, 2015

กวน T-E-E-N รัก (II Bad boys) # 20






[XX]


หลังจากวันที่ไปเดทกันที่สนามมวย แคปก็แขนเขียวอื๋อกลับมา ช้ำลงไปเป็นทางตั้งแต่หัวไหล่ยาวลงไปถึงใต้ท้องแขน

“อู๊ยยยยยเจ็บ มาซ้ำแผลกูได้นะไอ้สัส!” เขาโวยวายขึ้นเมื่อตอนที่อาจารย์เลิกคลาสแล้วไอ้เพื่อนด้านหลังมันแกล้งดึงสายกระเป๋า แคปเลยเสียหลักเซเอาแขนไปชนพนักเก้าอี้เลคเชอร์เกือบล้มดีที่ไอ้คนทำแม่งคว้าเอาไว้ก่อน

“โทษๆ” เพื่อนยกมือบอกโทษที เห็นท่าทางแคปเบ้หน้าแล้วก็นึกขำ หนึ่งในบรรดาพวกนั้นทำท่าจะเข้าปลอบเจอแคปชี้หน้าไล่ถีบไปรอบห้อง เดือดร้อนอาร์ต้องเข้ามาลากคอเสื้อเพื่อนสนิทตัวเองไว้บอกให้หยุด คนเริ่มทยอยออกจาห้องกันไป ปอยืนคุยงานกิจกรรมอยู่กับกลุ่มพวกผู้หญิงสี่ห้าคนที่ท้ายห้อง

“ยังไม่หายอีกเหรอวะไอ้แคป กูเห็นแขนมึงช้ำมาตั้งแต่วันจันทร์แล้วนี่มันพฤหัสแล้วนะเว้ย เขียวเหี้ยไรนักหนาผิวมึงนี่บอบบางจริงๆเลยเหอะ..” อาร์มองคนที่นั่งนวดแขนที่เขียวช้ำของตัวเองแล้วส่ายหัวเซ็ง แคปบอกไม่เจ็บหรอกแต่แกล้งไอ้พวกนั้นให้มันตกใจเล่นๆว่าทำเขาเจ็บ

“ไอ้สัส กูกะนึกว่ามึงเจ็บปวดจริง ๆ ทำหน้าทำตาซะเหมือนเชียว”

“เรื่องแค่นี้ใครจะไปเจ็บวะ คันเหมือนมดกัด..” แคปแกล้งหยิกแขนอาร์ บอกเจ็บนิดเดียวแบบเนี๊ยะ อาร์เลยเขกมะเหงกลางหัว เขาทำตาเขียวๆแยกเขี้ยวใส่

“พวกมึงสองตัวแม่งเดทกันแปลกประหลาดเป็นบ้าเลย ใครเขาเคยชวนกันไปสวีทที่ค่ายมวยเฮ้อออ..” อาร์ดึงขวดยาหม่องในมือมาแล้วจิ้มทาให้

“สวีทเหี้ยมึงสิ กูเขียวแบบนี้มึงยังกล้าพูดว่าสวีทอีกเรอะ? นี่มึงต้องด่ามันให้กูสิวะ บ้าอะไรชกเข้ามาได้วันนั้นเกิดกูไม่หันตัวหนีแล้วเอาแขนรับมึงคิดว่าหน้ากูจะเหลืออะไรไหมถาม สันดั้งกูหักหมดแน่ๆอ่ะ” แคปเอามือลูบสันจมูกตัวเองยิกๆ คิดดูแล้วยังเสียวไม่หาย

“มึงก็พูดไปเรื่อย ไอ้เอสมันจะไปทำอย่างนั้นได้ยังไงวะ มึงเขียวแค่นี้ทำเป็นโวยวายไอ้สัส แฟนมึงเขียวไปทั้งตัวปากก็ช้ำกูไม่เห็นมันจะร้องโวยวายแบบมึงเล๊ย..”

“ไอ้หมาอาร์มึงจะพูดเสียงดังไปหาพ่องมึงเหรอเดี๋ยวใครมาได้ยินหรอกห๊ะ!” แคปรีบเอามืออุดปากอาร์แทบไม่ทัน เขามองซ้ายมองขวาไอ้สัสอาร์แม่งปากไม่มีหูรูดเกิดใครมาได้ยินตายห่าเลย เพื่อนฝูงยังออกจากห้องไปไม่หมดด้วย ไอ้ปอก็คุยนานฉิบหายเมื่อไหร่จะเสร็จก็ไม่รู้ แคปเริ่มลนลาน

“อื้อออไอ้แคปมึงจะฆาตกรรมกูเรอะ กูพูดเรื่องจริงถ้ามันไม่ยอมให้มึงตีมันจะช้ำไปทั้งตัวแบบนั้นกลับมาได้ยังไงวะ กูเห็นตอนมันถอดสื้อวันนั้นตัวเขียวไปหมดเลย”

“ตายๆไปเหอะมึง ปากไม่ดีดีนัก มันไม่เก่งเองสู้กูไม่ได้ขนาดมีนวมการ์ดกันไว้มันจะเซ่อยืนเฉยๆให้กูชก สมน้ำหน้ามันแล้ว..” แคปทำหน้าตาน่ากลัวเดินหน้าเข้าหาอาร์ที่ร้องโวยวายบอกไม่เอากลัวแล้ว จากนั้นเขาก็หัวเราะออกมา สองคนเล่นกันจนพอใจแคปหอบแห่กๆยกข้อมือดูเวลามองไปทางปอเป็นรอบที่สาม เขาลุกขึ้นอย่างเซ็ง ๆ

“ออกไปรอข้างนอกเหอะว่ะ” แคปชวนอาร์ อีกคนก็แค่พยักหน้าตกลง แล้วเดินตามกันมายืนอยู่ที่ระเบียงทางเดินด้านหน้า แคปมองลงไปที่ชั้นล่างเห็นเพื่อนรุ่นน้องรุ่นพี่คณะเดียวกันกำลังทะยออออกมาจากใต้ตึก เที่ยงกว่าๆแล้วแน่นอนว่าต้องแยกย้ายกันไปหาอะไรกิน เขาพลันคิดถึงเหตุการณ์วันนั้นขึ้นมาอีกครั้ง


ผั๊วะ!!

“โอ๊ยแคปกูเจ็บ เดี๋ยวๆๆหยุดก่อนพอก่อน”

ผั๊วะๆๆ ตุ่บๆๆ

เอสถึงกับหน้าเงิบนี่ขนาดมีการ์ดนวมปิดหน้าล๊อคคาง ยังไม่รวมที่การ์ดรัดตัวยังต้องใส่  เขาพาแคปมันมาเดทที่สนามมวยเสี่ยงตายมากจริง ๆ

“แคป พอก่อนเหอะ ลงนะ พอก่อนอย่าชกมาอีกหน้ากูเขียวหมดแล้ว เดี๋ยวหมดหล่อกันพอดี พอๆ”

ผั๊วะๆๆ

“กูไม่สนใจ มึงมันสู้ไม่ได้เองกูจะชกเอาให้หายเจ็บใจมึงไปเลย”

“มึงจะเจ็บใจอะไรกูนักหนาวะห๊ะ” เอสหลบซ้ายหลบขวาย่อตัวเบี่ยงหลบ เขาว่าตัวเองเร็วแล้วเจอแคปโหมดนี้ยิ่งต้องให้เร็วขึ้นไปอีก

“พอแล้วแคป” เอสร้องสั่ง ขนาดพี่พนักงานที่ยืนดูอยู่หน้าเวทียังต้องหัวเราะกับการซ้อมมวยของทั้งสองคน ด่าไปซ้อมไป ไม่เคยเห็น

“ไม่พอ!

ผั๊วะ!

“กูบอกว่าพอแล้ว ไปยกเวทกันดีกว่าห้องนั้นน่าเล่นกว่าตรงนี้ตั้งเยอะ” เอสพยายามเกลี้ยกล่อม

“ไม่เอา”

“แคปพอสิวะ” เอสหลบไม่ไหวแล้วเขาโดนชกจนเจ็บระบมไปหมด ปากนี่โดนไปหลายหมัดยังไม่นับลำตัวไม่รู้อีกกี่สิบ คิดว่าเดี๋ยวคงเขียวขึ้นรอยม่วงอื๋อแน่ ๆ

“กูไม่ใช่กระสอบทรายนะมึง”เอสว่าแล้วโยกหลบ

“ชั่งดิ กูกำลังสนุกเลย ฮะๆ”

“มึงสนุกงั้นสิ”

“อือ ทำไมมึงไม่ชกกลับมาบ้างวะ จะได้เล่นกันนาน ๆ มัวแต่หลบหมัดกูอยู่ได้ไม่มีน้ำยาซะเลย”

“มึงไม่ว่ากูใช่ไหม ถ้ากูจะชกตอบน่ะ”

“รีบๆชกมาเร็วเข้า”แคปเร่ง

“ไม่โกรธกูแน่นะ” เอสถามย้ำให้แน่ใจอีก

“พูดมากอยู่ได้มาเล่นกับกูเร็วเข้า”

ผั๊วะ!!!!!

ตึ่ง!!!!!

“........!!!!??!!!!!!..........”

เจ็บมากไหมมึงเอสหน้าจืดเมื่อชกเข้าไปที่แคปแล้วโดนต้นแขนมันเข้าไปแบบเต็ม ๆ ล้มทั้งยืน  ก็จู่ ๆ กระโจนเข้ามาหาเขาเอง ใครจะไปตั้งตัวทัน แคปล้มลงนั่งกลางเวทีจนได้ คิดว่าเฉียดปลายคางมันด้วยนะเขารู้สึก

“เลิกๆๆๆๆๆๆๆกูไม่เล่นแล้วแม่ง..” แคป ถอดนวมถอดการ์ดถอดทุกๆอย่างเหวี่ยงทิ้งไว้บนสนาม เขาลุกขึ้นหุนหันก่อนเดินตึงตังไปลอดเชือกมุดกระโดดลงมาด้านล่าง

“เจ็บมากหรือเปล่ามาให้กูดูดิ๊” เอสที่ตามเข้ามาถึงห้องแต่งตัวถามขึ้น

“มึงขี้โกงมึงชกกู” แคปหันไปแว๊ดต่อว่าขณะที่อีกคนไปต่อไม่ถูก

“............” เอสพูดไม่ออกจริง ๆ  เขาชกมันแค่หมัดเดียวแท้ๆ มันหลบไม่พ้นเลยโดนเข้าจนได้

“เดี๋ยวกลับไปกูนวดยาให้” ทั้งๆที่ตัวเองเขียวกว่าตังหลายเท่า

“กูโกรธมึงแล้ว” แคปว่า

“อะไรเล่า”

“มึงมันขี้โกง”

“อ่ะๆกูยอมแพ้ก็ได้”

“........”

“แคป”

“มึงต้องแพ้กูอยู่แล้วไอ้สัส!

“ก็เออ”




“ไอ้แคป!” เสียงอาร์ตะโกนเรียกอยู่ข้างหู ทำให้แคปถึงกับสะดุ้งโหยง เขาดึงสติตัวเองกลับมาที่ปัจจุบัน

“เออ”

“เหม่อเหี้ยไรของมึง” แคปชะเง้อคอมองดูว่าปอจวนจะเสร็จแล้วหรือยัง

“ไอ้ปอมันคุยเหี้ยไรนักหนาวะ” อาร์บ่นขึ้นมา มองไปด้านในปอมันยังทำการตกลงเรื่องงานกับพวกผู้หญิงไม่เสร็จอีก

“มึงไปสืบดิ๊ ใกล้เสร็จยังวะ” แคปว่ามาแบบนั้นอาร์จึงรีบวิ่งเข้าไปชะโงกคอแอบดูแบบด่วนๆ เสียงพวกเพื่อนๆโวยวายอะไรมาสักอย่างอาร์รีบเผ่นออกมาหาแคปแทบไม่ทัน

“หึ เกือบเสร็จพวกสาวๆแล้วนะมึง”

“พวกผู้หญิงรุ่นเราแม่งมีแต่ถึกๆ มึงต้องเรียกว่ากูเกือบเสร็จพวกคุณป้าไปแล้ว คำว่าสาวๆไว้ใช้กับคณะอื่นเหอะ”

“ปากดีแบบนี้ระวังตัวไว้เหอะมึง เกิดได้ยินขึ้นมากูล่ะไม่อยากจะคิด” แคปขำเบา ๆ มันก็จริงอย่างที่ไอ้อาร์มันว่า เพราะอย่างนั้นพวกเขาทุกคนจึงเป็นเพื่อนกันไปหมด หน้าตานิสัยใจคอเป็นอาวุธมากจริง ๆ ก็อย่างว่าเรียนเกษตรต้องถึกต้องทนแดดทนฝนได้ดี

“ลงไปรอข้างล่างไหมวะไอ้แคป ไปส่องพวกรุ่นน้องดีกว่า” อาร์เสนอความเห็นเมื่อเขามองลงมาด้านล่างเห็นมอไซด์รุ่นน้องหลายคนขับสวนกันอยู่

“เออ เข้าไปบอกไอ้ปอก่อนไป” แคปบ่ายหน้าไล่ให้อาร์ไปบอกกับปอไว้ก่อนแต่อาร์รีบเบะปากแล้วส่ายหัว

“ไม่เอาอ่ะ พวกผู้หญิงมันจะจับกูไปช่วยงาน กูไม่เข้าไปหรอกเมื่อกี้แอบได้ยินว่าบ่ายๆจะเข้าสวนกัน ไอ้ปอมันกำลังต่อรองแลกเวรกันอยู่”

“เอาจริงดิ่”

“มึงเข้าไปเองเหอะ”

“งั้นมึงรออยู่นี่” แคปเดินเข้าไปสะกิดเรียกปอทันที พวกผู้หญิงพอเห็นว่าแคปเดินเข้ามาเองก็ดีใจกันใหญ่ ปกติแคปไม่ค่อยเล่นกับพวกเธอมากนักยกเว้นชั่วโมงที่ต้องลงสวนที่เขาต้องมีอมยิ้มเข้าไปฝากประจำ วันนี้แคปเองก็ไม่พลาดหรอก เขาล้วงกระเป๋าเอาอมยิ้มออกมาห้าอัน

“แคปนายน่ารักที่สุด คึคึ..” นี่คือเสียงจากสาวร่างสูงใหญ่คนหนึ่ง เธอนิสัยดีเยี่ยมเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันที่ปอดิวเรื่องงานกลุ่มด้วยเสมอ สาวๆหยิบอมยิ้มแจกกันเองแล้วแกะอม ปอเงยหน้ามองแคปแล้วบอกขออันนึงแคปถลึงตาใส่ดุๆ เขาก้มลงกระซิบบอกว่าให้ไวๆ ถ้าอีกนานจะลงไปรอข้างล่างก่อน ปอลุกขึ้นเลย

“เสร็จแล้วเว้ย”

“อ้าว!” แคปทำหน้างง

“แหะๆ เสร็จพอดีไง๊”

“ไอ้สัส มึงดึงเวลาจะคุยกับพวกผู้หญิงสิท่า ไม่เห็นใจคนรอนะมึงไอ้อาร์มันหน้างอแล้วนั่น”

“จริงดิ่” ปอพยักหน้าบอกเพื่อนๆว่าพวกเขาจะออกไปกันแล้ว ตกลงแลกเวรกันได้เรียบร้อย เขาจับไหล่แคปแล้วดันๆให้เดินออกมา อาร์ที่ยืนหน้ายุ่งรออยู่ชี้หน้าปอตาเขียวเลย

“อะไรเล่า?” ปอเดินไปจับหัวเล็กขยี้ๆ  “โมโหหิวเหรอมึง ดูทำหน้าเข้า”

“มึงแม่งคุยนานเหี้ยๆเลย” อาร์ผลักปอให้ออกห่าง เขาเดินตามแคปลงบันไดไปบ่นไป

“ไปแดกเหี้ยไรกันดีวะ” แคปหันมาถาม

“ไม่รู้ดิ มึงอยากกินอะไรล่ะ” ปอหันไปตอบ

“อะไรก็ได้”

“เฮ้ย ไปร้านนั้นไหมล่ะ แอร์เย็นๆร้านกว้างๆที่เราไปกินกันเมื่อสองวันก่อนน่ะ” อาร์เสนอขึ้นมา ทั้งหมดตรงไปที่รถของปอ แคปเปิดเข้าไปนั่งที่ด้านหน้า เมื่อเช้านี้เอสมาส่งเขาที่มหาลัยอีกเช่นเคย เดือดร้อนไอ้ปอต้องเอาเขากลับด้วยเพราะเอสมันบอกปอไว้แล้วว่ามันเลิกเย็นมาก เวลาไม่ตรงกัน

“เออ มันชื่อร้านไรวะ” ปอหันไปถามแคปอีกครั้ง พอหันมามองอาร์ก็ยักไหล่บอกจำไม่ได้เหมือนกัน

“รู้แต่แอร์เย็นโคตรๆนะมึง”

“ไปเหอะ เอาร้านนั้นแหละ” แคปสรุปให้เองเสร็จสรรพ ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น รถของปอก็เลี้ยวเข้ามาจอดที่ช่องจอดด้านข้างของร้านอาหารหลังมอ ซอยเล็กๆที่เป็นบรรยากาศเรือนไม้ระเบียงกว้าง สามคนไม่ยอมชิลอยู่ด้านนอกแบบเอ้าท์ดอร์หรอก แดดร้อนเกิน

“โหยยยย เย็นสบายเลย” อาร์เดินนำเข้าไปหาที่นั่ง แคปกับปอเดินตามหลัง ที่นั่งภายในร้านค่อนข้างกว้างขวาง ตกแต่งแต่ละมุมโดยการเอาไม้กระถางประดับมากั้นทำเป็นสัดส่วน สีเขียวชวนให้รู้สึกสบายตาสบายใจมากอยู่แล้ว พวกเขาสามคนค่อนข้างชอบร้านนี้กันมาก 

“นั่งโต๊ะนั้นไปไอ้อาร์ เข้ามุมหน่อยก็ดี ตรงนั้นแอร์ตกจะได้เย็นๆ” ปอชี้บอกอาร์ ขณะที่แคปกวาดตามองไปรอบๆร้านคนประปรายถือว่าเยอะอยู่เหมือนกัน มีช็อปสีกรมบางส่วนนั่งอยู่ที่มุมนึงของร้านด้วย ข้าง ๆ กันเป็นช็อปสีขาวไม่รู้ภาคไหน คนเริ่มทยอยกันเข้ามา โทรศัพท์แคปสั่นเรียก

“กินอะไรดีวะ” พอนั่งลงปุ๊ป ปอก็หันมาถาม ไอ้อาร์มันยึดเมนูไปแล้วเรียบร้อย แคปล้วงเอามือถือขึ้นมาดูชื่อสายที่กำลังสั่น พอเห็นว่าเป็นใครเขานี่ส่ายหัวเลย

“สั่งให้กูด้วย” แคปหันไปบอกปอก่อนยกมือถือให้ดูว่าจะคุยโทรศัพท์ ฝากปอให้จัดการข้าวกับกาแฟให้เขาด้วย ปอพยักหน้าอย่างรู้ใจ

“มีไรไอ้หนู” แคปกรอกคำพูดทักทายลงไป คนที่ปลายสายถึงกับขำเมื่อได้ยินสรรพนามที่แคปตั้งให้ใหม่ทุกๆวันแบบนี้

(วันนี้เรียกไอ้หนู? ไม่ใช่ไอ้เด็กนรกแบบทุกทีหรือไงวะแคป )

“อย่ามาพูดมาก มึงโทรมามีเหี้ยไรรีบพูด”

(มึงอยู่ไหน)

“อยู่ไหนไม่เกี่ยวกับมึง”

(โหหหหหใจร้าย บอกก่อนเร็วอยู่ไหนน่ะ)

“ไม่บอก”

(งั้นบอกมาว่าทำอะไรอยู่)

“เที่ยงแบบนี้กูนอนกลางวันมั้งไอ้เด็กสัส”

(จริงดิ นี่กำลังนอนอยู่จริงเหรอ)

“ไอ้เด็กบ้า! กูแดกข้าวอยู่มึงโทรมาเลยจะพาลกินไม่ลง โทรมาทำไมห๊ะ! เข้าเรื่อง!!

(มึงนี่ยั่วขึ้นจริงๆนะแคป  กูแค่จะโทรมาถามว่าบ่ายนี้มึงว่างไหม)

“ทำไม”

(พี่หนึ่งโทรมาบอกให้กูเอามึงเข้าไปอัดสปอร์ตให้ งานด่วนของพวกเราถ้ามึงว่างบ่ายเราไปบ่าย ถ้ามึงว่างเย็นงั้นค่ำๆค่อยเข้าไป พวกทีมงานเขารอตัดต่อให้ จะได้ใช้พรุ่งนี้เลย)

“อัดสปอร์ต?”

(ใช่ สคริปอยู่กับกู มึงอยู่ไหนบอกมาเลยเดี๋ยวเอาเข้าไปให้)

“แล้วมึงอ่ะอยู่ที่ไหน”

(อยู่คณะกูดิ)

“รออยู่นั่นได้ป่ะ เดี๋ยวกูกินเสร็จจะแวะเข้าไปเอาเอง”

(เรื่องดิ กูเองก็หิวเป็นนะมึงพูดอะไร)

“เอองั้นก็มา ร้านXXXมึงรู้จักป่ะ หลังมอ ซอย......”

(ไม่เกินสิบนาที)

“ช้าๆก็ได้ไอ้เด็กบ้า กูขี้เกียจไปตามเก็บศพมึงหรอกนะ”

(หึหึ ห่วงกูด้วยหรือไง)

“ห่วงพ่องสิ กูกลัวสคริปจะเปื้อนดินต่างหาก”

(ปากดีนัก เดี๋ยวเจอกัน)

แคปส่ายหัวอย่างระอาใจหลังจากกดตัดสายไปเรียบร้อย “รำคาญว่ะแม่ง” เขาบ่นออกมาทั้งปอทั้งอาร์จึงหันมามอง

“มันจะมาเหรอ?” ปอถาม แคปพยักหน้าบอกใช่ อาร์นี่นั่งหน้ายุ่งยากทันที มันสองตัวไม่ถูกกันอยู่แล้ว

“ก็เรื่องงานน่ะแหละ มันจะแวะเอาสคริปอัดสปอร์ตเข้ามาให้”

“แล้วมันรู้จักร้านนี้?”

“คงรู้จักล่ะมั้ง กูบอกมันก็ไม่เห็นซักไซ้อะไรแค่บอกว่าสิบนาทีจะมา”

“กูไม่อยากเห็นหน้ามันเลยว่ะให้ตายเหอะ” อาร์บ่นออกมาเบา ๆ ชะเง้อคอมองไปด้านในหลังเคาน์เตอร์ อาหารทำไมช้าจังวะ คนเริ่มเยอะขึ้น

“เห่อะ กูอยากเจอมันนักนี่ กวนตีนฉิบหายนิสัยแม่งเหมือนไอ้สัสเอสไม่มีผิด”

“จริงดิ?”

“อือ” แคปส่ายหัวตอบคำถามปอที่นั่งขมวดคิ้วเหมือนกำลังคิดๆอะไรบางอย่างอยู่ น้องพนักงานเอาอาหารทยอยมาวางลง จู่ๆอาร์สะกิดแคปบอกให้มองไปที่หน้าร้าน วิศวะช็อปสีกรมกลุ่มใหญ่ ๆ กำลังเดินตามกันเข้ามาในร้าน หนึ่งในนั้นมีเฮียเต้รวมอยู่ด้วย เด่นมาก

“โลกกลมฉิบหาย..” แคปเอ่ยออกมา ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก

“เข้าไปทักดีป่ะวะ”

“เรื่องดิ”

“มึงกลัวเฮียเต้จับเอาไปนั่งด้วยเรอะ”

“กูกลัวที่ไหนไอ้สัสอาร์..” แคปเหลือบมองไปที่เต้นั่งรวมกลุ่มกันอยู่แวปนึง เขาขยับๆเก้าอี้เข้ามุมให้ต้นไม้บังได้พอดี ขี้เกียจให้พี่ชายเห็นมันยิ่งบ้าเกิดจับเขาไปนั่งกินด้วยกันกับมันจะซวยกันไปใหญ่

“กูว่ามึงออกไปรับมันไปไอ้แบงค์น่ะ นี่สิบนาทีแล้วนะเว้ยยังไม่มาอีกไม่ใช่ว่ามันไม่รู้จักร้านหรอกนะ” ปอเสนอขึ้น เขาดูนาฬิกาที่ข้อมือเพราะเห็นว่าทางนั้นจะเอางานมาให้เพื่อนกลัวจะหากันไม่เจอวุ่นวายเข้าไปอีก

“เรื่องดิ ร้อน..” อาร์พยักหน้าเห็นด้วย เรื่องอะไรต้องไปรับมันให้โง่

“เดี๋ยวมันมาแล้วไม่เห็นมันก็โทรเข้าหาแคปมันเองล่ะน่า มึงก็ห่วงมันนักนะไอ้ปอแดกข้าวของมึงไปเหอะ..” อาร์ว่าใส่ปอตาเขียว ตักต้นหอมในจานใส่ลงที่จานข้าวปอเป็นการทำโทษ ปอเลยผลักหัวเล็กไปเบา ๆ ก่อนหันซ้ายหันขวามองหาซอสมะเขือเทศ อาร์ชี้บอกว่ามันอยู่ที่เคาน์เตอร์

“มึงลุกไปเอาดิ๊ไอ้อาร์..” ปอสั่ง

“ใครกิน”

“หมามันไม่ลุกมึงก็รู้..” ปอหันไปค่อนขอด แคปเลยเอากำปั้นทุบใส่ท้องแบบหยอกแรงๆหนึ่งที

“มึงลุกไอ้อาร์อย่ามาเรื่องมาก..” แคปโบ้ยหน้าออกคำสั่ง อาร์มันกลัวแคปมากกว่าปอเพราะงั้นคนตัวเล็กยอมลุกขึ้นแต่โดยดี  แต่เจ้าอาร์ก็ไม่ได้หยิบแค่ขวดซอสมานะมันยังหยิบเมนูไอติมติดมือมาอีกสามเล่ม เดินผิวปากอารมณ์ดีกลับมาที่โต๊ะก่อนมองไปทางกลุ่มของเฮียเต้นิดหน่อยเห็นทางนั้นท่าทางเหมือนกำลังคุยหรือประชุมกลุ่มอะไรกันสักอย่าง แคปดึงขวดซอสออกจากมือเล็กอย่างไว

“ช้านะมึง ใกล้ๆแค่นี้เดินเป็นชั่วโมง สามก้าวก็เอื้อมถึงแล้ว”

“เกินไปๆ” อาร์ทุบลงที่ไหล่แคปเบา ๆ แคปเลยดึงมันบอกให้นั่งลง

แต่ทว่าเวลานั้นเอง...

“อะๆๆๆๆๆ.....!!

“อะไรของมึงวะ! มาดึงเสื้อกูทำไม” แคปหันไปดุอย่างรำคาญ เขากำลังบีบซอสทำเป็นรูปต่าง ๆ ที่ชอบ ราดบนไข่เจียว แต่อาร์กระตุกแขนเสื้อเขายิกๆแล้วทำท่าติดๆขัดๆอ้ำอึ้งอะไรของมัน

“มะๆๆๆๆๆๆ”

“อะไรของมึงวะไอ้อาร์แม่ง” คราวนี้แคปหันไปด่าใส่เลย อาร์ชี้นิ้วสั่นๆไปที่หน้าประตูทางเข้า แคปกับปอมองตามเห็นพวกวิศวะอีกกลุ่มเดินตามกันเข้ามา กลุ่มนี้ก็ใหญ่ไม่แพ้กลุ่มแรก พนักงานเข้ามาต่อโต๊ะกันจ้าละหวั่น

“ตื่นเต้นทำไมวะกะอิแค่พวกวิศวะ”แคปบ่นแล้วส่ายหัว ขณะที่อาร์ยังนั่งตาค้างอยู่ “ตะ...ตะ...แต่...”

Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr


“กินๆอย่าพูดมาก ไอ้เด็กนรกแม่งโทรเข้ามาแล้ว”

“มะ..มึงไม่สนจริงดิแคป”

“เออ” แคปเอามือเข้าไปตบๆหลังอาร์บอกให้กินข้าวอย่ามัวแต่มองไปที่บรรดาพวกนั้น ก่อนที่เขาจะหยิบโทรศัพท์ที่กำลังสั่นเรียกอยู่บนโต๊ะมากดรับ

“กูขี้เกียจคุยกับมึงฉิบหายเลยว่ะมึงรู้บ้างป่ะเนี่ย..” แคปกรอกคำทักทายลงไป คนฟังนี่ส่ายหัวเลย เขาเหยียดรอยยิ้มพออกพอใจมองดูที่รอบๆร้านก่อนเดินเข้าไปด้านใน

(กูอยู่หน้าร้านแล้ว มึงนั่งอยู่จุดไหน) เสียงทุ้มๆของแบงค์กรอกมาตามสาย

“เดินตรงเข้ามาเลยไม่ต้องเลี้ยว พวกกูนั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะที่มีต้นไม้กั้นเป็นพาร์ทิชั่นน่ะ”

(กูเข้ามาแล้ว ทุกโต๊ะก็มีต้นไม้ทั้งหมดอ่ะ) แบงค์มองซ้ายมองขวามองหาคนที่อยู่ปลายสาย ขณะที่แคปเห็นแล้วว่าแบงค์เดินเข้ามายืนอยู่ที่จุดไหน เขาจึงลุกเดินเข้าไปกระชากแขนมันแรง ๆ

“ไอ้เด็กไม่ดีกูอยู่นี่เหี้ย!

“เฮ้ย! ตกใจ” แบงค์เอามือทาบอก แคปหันมองตาเขียวดึงให้มันเดินตามมา “ปัญญาอ่อน”

“ใจร้ายว่ะ พูดจา...”

“เรื่องของกูเหอะ เอางานมาให้กูดิ๊ แล้วมึงก็ออกไปได้แล้วไป” แคปแบมือบอกเอาสคริปส่งมาได้แล้ว เห็นมันถือเข้ามาด้วยรู้แน่นอนว่าเป็นงานที่จะเอาเข้ามาให้กับเขา จากนั้นโบ้ยหน้าบอกกลับไปได้แล้ว

“อะไรเนี่ยมาถึงก็ไล่กันเลยอ่อ?” แบงค์ส่งสคริปต์ให้กับแคป สองคนเดินมานั่งลงที่โต๊ะ แบงค์เลือกนั่งลงที่เก้าอี้ว่างฝั่งขวามือของแคป เขาชี้บอกว่าสคริปอันนี้ต้องใช้ด้วยกัน

“อะไรของมึงวะ ทำไมถึงไม่ถ่ายเอกสารมาล่ะ”

“อ่านด้วยกันดิ ทำไมต้องถ่ายด้วย ไม่กี่หน้าเอง..” แคปหันไปมองหน้าคนพูดแล้วส่ายหัวเซ็ง ๆ เขาถอนหายใจยาวเหยียดออกมาก่อนกวาดตามองสำรวจรายละเอียดของงานในมือ

“มึงกินข้าวมารึยังวะไอ้แบงค์” ปอถามขึ้น

“มึงไปถามมันทำไมวะไอ้ปอแม่ง” อาร์พึมพำออกมาอย่างหงุดหงิด ปอเลยเอามือไปขยี้หัวเล็กบอกให้ใจเย็น ๆ เขารู้ว่าอาร์มันไม่ถูกกับแบงค์เพราะเรื่องผู้หญิง แต่ตอนนี้อย่างน้อยแบงค์กับแคปมันก็กลายเป็นเพื่อนร่วมงานกันไปแล้ว เขาก็แค่ถามออกไปตามมารยาทเท่านั้น

“มีอะไรอร่อยวะร้านนี้..” แบงค์เอ่ยขึ้นก่อนยกมือเรียกพนักงานเข้ามารับออเดอร์ แคปไม่เข้าใจอะไรบางอย่างเขาเอียงตัวเข้าไปถาม แบงค์ก็ก้มเข้ามาอธิบาย สองคนนั่งคุยงานกัน ขณะที่อาร์กับปอเงียบไปนานแล้วเหมือนกับว่ากำลังชี้ให้กันมองอะไรบางอย่าง และก่อนที่อาร์จะทนไม่ไหวอีกต่อไป มือเล็กดึงแขนเสื้อแคปดึงๆๆๆ

“ไอ้แคป! ไอ้แคป!!” แคปเกือบทำข้าวหกออกจากช้อนหันไปจะดุใส่แต่เห็นสายตาที่อาร์มองไปที่ฝั่งของเฮียเต้แล้วเขาจึงมองตาม

“อะไรของมึงวะไอ้อาร์.. ” แคปมองไปก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไร แต่หน้าตาอาร์นี่คือไม่ใช่เลย

“มะ...มะ....มึงไม่เห็นเหรอ” อาร์ทำหน้าตกใจ

“เห็นอะไร” แคปวางสคริปลง เขาก้มลงกินต่ออีกคำ หยิบแก้วเอสเพรสโซ่เย็นๆขึ้นมาดูด จากนั้นเอาสคริปงานขึ้นมาสแกนต่ออีกรอบ

“ไอ้เหี้ย มึงดูให้ดี นั่นไอ้เอสไง นั่งอยู่ข้าง ๆผู้หญิงคนนั้นน่ะ อีกฝั่งนึงเป็นเฮียเต้แล้วตรงข้ามมันเป็นไอ้เตี้ยที่มีเรื่องกับกูนั่นไง มึงไม่เห็นเรอะ..” อาร์บอกทั้งที่ตายังจ้องอยู่ฝั่งทางนั้นไม่กระพริบ

“ตายห่า! จริงดิ่!?” แคปใจหายวาบแค่ได้ยินว่าไอ้เหี้ยเอสนั่งอยู่กับพี่เต้ เรื่องอื่นแทบไม่ต้องคิด คิดไม่ทัน ไม่ทันได้คิด

“ก็จริงสิวะ โน่นมึงดูอิน้องนั่นสวยหยดเลยดาววิศวะปีไหนวะกูคุ้นๆหน้า เพื่อนมันมั้ง มากับพวกเฮียเต้ได้ไงวะนั่น..” คราวนี้แคปชะเง้อชะแง้มองตามที่อาร์ชี้  เขาเพ่งมองอยู่ตั้งนานสองนาน เห็นเพื่อนมันครบทุกคนแล้ว พี่เต้พี่รัฐและกลุ่มเพื่อนพี่เต้เขาก็เห็นแล้ว แต่ไอ้ตัวมันนี่สิ ให้ตายเหอะ

...ฉิบหายแล้วกูจำผัวตัวเองไม่ได้ แคปจ้องจนตาจะหลุด ยังไม่เห็นมันจริง ๆ ต้นไม้แม่งก็บังเอามือแหวกๆค่อยดูชัดหน่อย

“ไอ้สัสเอส ผมสีนี้เท่ฉิบหายเลยแม่ง..” เสียงทุ้มของปอแทรกขึ้นมา แคปเพิ่งถึงบางอ้อ เขาจำได้แล้วไอ้ห่า  มันนั่งอยู่ตรงนั้นนี่เอง ไอ้คนที่อยู่ข้างๆเฮียเต้นั่นไง กูกะว่าใครหล่อฉิบหายที่แท้โฮ้ยยยยกูน๊อออออ

“ไอ้สัส! มันไปเปลี่ยนสีผมกูจะไปจำมันได้เรอะ!”แคปครางลอดไรฟันออกมา ตาจ้องอยู่ที่ตรงนั้นไม่ขยับ ไอ้เหี้ยเอสจริงๆ

“มึงบ้ามากป่ะแคป ก็ใครกันล่ะที่พามันไปทำมาเมื่อคืน มึงไม่ใช่รึไง๊ที่ไปนั่งเฝ้ามันทำห๊ะ!” ปอหันมาว่าใส่เสียงดุ

“หมามันลากกูไปเหอะ สองทุ่มแทนที่จะนอนดูการ์ตูนเสือกต้องลงไปนั่งเฝ้ามันอยู่ที่ร้านเสริมสวย เซ็งโคตร มันทำสีอะไรตอนเสร็จกูกะลืมดู ใครจะไปสนใจหัวมันวะ เซ็งฉิบเลยกู"

“หึหึ เซ็งแต่ก็ไปเนาะคนเรา..” ปอแซวต่อยิ้มๆ

“ปากมากนักไอ้ปอมึงแดกต่อไปเลยไป..” แคปหันไปทำตาเขียวใส่เตะขาที่ใต้โต๊ะยันโครมไปหนึ่งที ปอก็แค่ขำแล้วทำหน้าบอกยอมแล้ว

“ใครจะไปจำได้วะอยู่ดีไม่ว่าดีไปเปลี่ยนสีหัวมาทำไม แง่งๆๆๆๆ” แคปนั่งบ่นยุกยิกไปคนเดียว เหลือบมองไปอีกครั้งเอสกำลังหันไปคุยอะไรสักอย่างกับเฮียเต้ เขาหยิบแก้วกาแฟขึ้นมาดูดต่อ

“ไม่ใช่แค่เปลี่ยนสีด้วยนะ มันไถข้างมาด้วยนี่หว่า ดูเท่ชะมัด” เสียงทุ้มๆของแบงค์ดังขึ้นมาอีก แคปจึงตวัดสายตาหันไปด่ากราด  แบงค์ก็แค่ไหวไหล่

“แต่สีเข้มไปนิดกูไม่ชอบ”

“เงียบปากไปเลยมึงอ่ะ”

“อะไรล่ะ ดุทำไม”

“ไม่ต้องมามองในสิ่งที่กูกำลังมอง มึงกินข้าวของมึงไป”

“อาหารยังไม่มาสักหน่อย กินจานมึงได้ป่ะล่ะ เดี๋ยวอาหารกูมามึงค่อยมากินของกูแทน”

“เรื่องดิ!” แคปรีบดึงจานตัวเองไว้แล้วหันไปถลึงตาด่า แบงค์ที่เร็วกว่ามากคว้าเอาไว้ได้ก่อนแคปรีบคว้าเอามาคืนข้าวเกือบหกหมดจาน สองคนทะเลาะกันเสียงดังจนปอต้องบอกให้เบาปากลงหน่อยเพราะกลุ่มทางนั้นหันมองกันแล้ว

“ไอ้แคป เอานี่บังไว้มึง” อาร์หัวไวมากส่งเมนูไอติมยื่นให้ แคปรีบคว้าเอามากางบังหน้าตัวเองไว้ แอบๆส่องดู อาร์กับปอเองก็กางบังเหมือนกัน ทั้งโต๊ะมีแต่ไอ้แบงค์ที่มันยังนั่งลอยหน้าเฉยๆอยู่ได้ แถมยังเอาจานข้าวเขาไปนั่งกินต่ออีกด้วย

“มึงนะมึง” แคปหันไปกัดฟันด่า เขาขยับเมนูตามใบหน้าตัวเองกลัวเฮียเต้จะเห็นว่านั่งอยู่ตรงนี้ แต่ที่สำคัญคือไม่อยากจะมีเรื่องกลัวไอ้บ้าเอสมันเห็นว่าเขานั่งกินข้าวอยู่แถวนี้ด้วยแล้วจะเดินเข้ามาทัก

“มึงดูดิ๊ มันหันมาทางนี้รึเปล่าวะ จะได้เอาไอ้เมนูนี่ลงสักทีกูจะกินข้าวต่อ” แคปบอกอาร์ให้ดู เพราะมุมตรงนั้นน่าจะเห็นถนัดกว่ามุมที่แคปนั่งอยู่ ต้นไม้บังพอดี๊พอดี

“เปล่า มันไม่เห็นพวกเราหรอก”

“จริงดิ่” แคปถามย้ำอีกเพื่อความแน่ใจ คราวนี้ปอช่วยดูด้วยทุกอย่างปลอดภัยเขาจึงลดเมนูลงแล้วแอบๆหรี่ตามอง เห็นเอสนั่งคุยอยู่กับผู้หญิงสวยๆคนนั้น ข้าง ๆ มันอีกด้านก็เป็นพี่ชายเขาเองคุยกับเธออยู่เช่นกัน ส่วนไอ้เตี้ยเมี่ยงเพื่อนมันนั่งฝั่งตรงข้าม ข้างๆบุ้งและชิพกับเพื่อนคนอื่นอีกเป็นฝูง

“มันคุยกับผู้หญิง อินั่นยิ้มใหญ่เลยไม่รู้พูดเหี้ยไรกับมัน ใส่สั้นฉิบหายยืนขึ้นแล้วเว้ยมึง ตายๆๆๆเอื้อมมือไปหยิบอะไรไม่รู้นมเกือบถูกมือมันน่ะดีนะมันชักออกทัน..” นี่เสียงไอ้อาร์ผู้หวังดี มันสะกิดยิกๆทำเสียงกระซิบกระซาบประหนึ่งกำลังจับผิดผัวตัวเอง แคปมองตามไปอีกแวปนึง

“มึงหึงป่ะวะไอ้แคป”

“หึงหัวมึงสิ! กูจะไปหึงทำไม!!” แคปรีบตอบอย่างไว กลัวแบงค์จะได้ยิน เรื่องส่วนตัวลับสุดยอดแบบนี้ยังไม่อนุญาตให้ไอ้เด็กบ้านี่รู้เด็ดขาด แต่แบงค์หรือจะเซ่อ เขาคิดว่าเขารู้เรื่องแคปกับเอสตั้งแต่วันที่โดนซ้อมอยู่ที่สนามบอลแล้ว แบงค์หันมองคนข้าง ๆ ตัวที่กำลังเมียงๆมองๆไปที่โต๊ะไกลๆนั่น ท่าทางแบบนั้นของแคปไม่รู้ทำไมมันถึงน่ารัก บอกเลยว่าเขาไม่แปลกใจเลยที่เอสมันหวงของมันมาก

“มันไม่เห็นพวกเราหรอก” อาร์กระซิบบอกอีก

“เออมันไม่เห็นน่ะดีแล้ว อย่าให้มันเห็นก็แล้วกัน” ปอลากกระถางต้นไม้ให้ขยับๆเข้ามาอีกนิดบังพวกเขาได้พอดี เหลือช่องให้มองได้นิดหน่อย พนักงานถือจานอาหารเข้ามาส่งแบงค์จึงบอกให้แคปกินจานนี้แทนเพราะจานของแคป แบงค์มันกินจนหมดไปแล้ว

“ไอ้เด็กเวร มึงนี่มันสันดานเสียจริง ๆ กะมาแดกข้าวกูเลยใช่ไหมเนี่ยห๊ะ!

“ดุทำไมเล่าตอนกูกินมึงทำไมไม่ด่า มัวแต่แอบดูแฟนอยู่นั่นแหละ”

โครม!

“ไอ้สัส! ปากเสีย มึงพูดถึงใครห๊ะ! ไอ้เด็กนรก..” แคปยันโครมเข้าให้ วันนี้เขาหลุดมากไปหน่อยลืมไปว่าแบงค์มันนั่งอยู่ด้วย ปอกับอาร์แม่งก็ไม่เตือน หันไปมองปอที่นั่งขำกับอาร์อยู่สองคน  และแคปคงลืมตัวมากไปจริง ๆ เพราะทันทีที่ถีบโครมเข้าที่ขาโต๊ะ ก็เรียกความสนใจจากโต๊ะอื่นๆได้มากพอสมควรเลย หนึ่งในนั้นมีสายตาของเอสรวมอยู่ด้วย

“มันจ้องมาทางนี้ว่ะไอ้แคป แม่งมองใหญ่เลย..” น้ำเสียงอาร์ลุ้นสุดตัว

“จริงดิ่!”แคปตาโต

“ลุกขึ้นมาแล้วเหี้ย”

“มันจะลุกขึ้นมาทำม๊ายยยยยย พี่เต้ก็นั่งอยู่ด้วย ไอ้สัสแม่งเอ๊ยยยยย” แคปกัดฟันกรอดๆ หน้าตาเหมือนคนจะร้องไห้ เห็นเอสเดินเข้ามาแล้วจริง ๆ เขาเริ่มทำอะไรไม่ถูกหยิบโหย่งไปหมด แบงค์เหมือนรู้งานยัดสคริปต์ใส่มือ “อ่านไปมึง”

“กูไม่ขอบใจมึงหรอกไอ้เด็กเหี้ย..” แคปกระแทกเสียงใส่ ก้มหน้าทำเป็นอ่าน แบงค์หัวเราะหึหึ เขาแกล้งเลื่อนเก้าอี้ขยับเข้าหาอีกหน่อย แคปเตะโต๊ะมันแล้วบอกให้ขยับออกไปห่างๆแม่งเลย แต่แบงค์นั่งเฉยทำเป็นทองไม่รู้ร้อนแคปกำลังจะด่าให้อีก แต่ตอนนั้นเองที่เอสเดินเข้ามาถึงพอดี

“แคป มาตั้งแต่เมื่อไหร่..” คนทักเดินเข้าถึงด้านหลัง มือใหญ่ลากเก้าอี้จากโต๊ะข้าง ๆ เข้ามา

“ขยับออกไป” เสียงทุ้มต่ำสั่งแบงค์เรียบ ๆ หน้ามันไม่ยิ้มเลย  อาร์ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ รีบลากเก้าอี้ไอ้แบงค์ให้เลื่อนออกมา เอสจึงเข้าไปนั่งข้าง ๆแคปได้ แทบจะซ้อนทางด้านหลัง

“ไอ้สัสเอส มึงขยับห่างออกไปเลย พี่ชายกูดูอยู่เหี้ยหนิ..” แคปลุกขึ้นแทบจะทันทีเอสดึงเสื้อบอกให้นั่งลง อย่าทำตัวให้ผิดปกติ

“เฮียเต้ไม่เห็นหรอกต้นไม้บังอยู่”

“กูเชื่อมึงเหรอ ขนาดมึงยังเห็นกูเลย..” แคปใช้สายตาบอกปอว่าให้มาเปลี่ยนที่กัน แต่ปอส่ายหัวแล้วรีบหลบสายตา

“โอเค กูขยับเอง..”  เอสขยับออกมานั่งห่างขึ้นอีกนิด เดือดร้อนแบงค์ต้องเลื่อนเก้าอี้ตัวเองให้ห่างขึ้นด้วย แคปถึงค่อยนั่งลงได้

“กินข้าวหรือยัง..” เอสถาม

“กำลัง..” แคปตอบ เอสมองกระดาษสคริปในมือแต่เขาไม่ได้ถามอะไรมาก เห็นจานข้าวแคปไม่พร่องลงเท่าไหร่เขาจึงบอกให้แคปกินข้าวอย่ามัวแต่เล่น

“ยุ่ง  มันเรื่องของกูเหอะมึงกลับโต๊ะมึงไป..” แคปไล่แต่เอสไม่สน เขาก็แค่หันไปหาอีกคนกวาดตามองแบงค์ที่นั่งทำหน้าเฉยๆอยู่

“เข้าไปนั่งกับพวกกูไหม นั่งข้างๆพี่มึงก็ได้ ไปกันทั้งโต๊ะนี่แหละ”

“ไม่เอา มึงกลับไปโต๊ะมึงเลยไปพวกกูจะนั่งอยู่ที่นี่ ห้ามมากวน เดี๋ยวกินเสร็จกูจะออกไปแล้ว”

“จะไปไหนกันต่อ..” เอสรู้ว่าวันนี้แคปไม่มีเรียนบ่าย ต่างจากพวกเขาที่เรียนอีกช่วงประมาณบ่ายสองซ้ำยังต้องมีแลปพิเศษอีกช่วงเย็นกว่าจะเลิกราวๆหกโมง

“กลับไปได้แล้ว..” แคปไม่ตอบแต่หันไปดุใส่อีกครั้ง เอสส่ายหัวจับช้อนในจานข้าวตักออกมาหนึ่งคำแล้วบอกจะป้อนถ้าไม่ยอมกิน

“ไอ้สัสแม่งกวนตีนฉิบ มึงจะไปไหนก็ไปเลยไป!” แคปหันไปฟาดมือมันบอกให้วางช้อนลง

“ถ้างั้นมึงก็กินอย่ามัวแต่เล่น”

“กูไม่ได้เล่นไอ้สัส”

“จะกินไม่กิน”เอสกดเสียงต่ำๆ มือหนาสอดเข้าไปที่ท้ายทอยเล็ก แคปตกใจจนตาเหลือก กลัวว่ามันจะทำในสิ่งที่ชอบทำ

“เดี๋ยวกูจะกินเอง มึงกลับไปได้แล้ว..” แคปจับมือมันออกจากต้นคอ เอสก้มลงมามองหน้าใกล้ ๆ แคปจึงส่ายหัวบอกห้ามมอง เขายิ่งกลัวพี่ชายเห็นอีกคนก็ประเจิดประเจ้อสุด

“นั่งอยู่โต๊ะนั้นไม่เห็นมึงหรอก”

“ไอ้สัส กูเชื่อมึงก็ควายแล้วสิ..” แคปแหวใส่อีกครั้ง เอสขำ

“โอเคงั้นเย็นๆเจอกัน..” มือใหญ่สอดเข้าไปจับท้ายทอยแคปแล้วเล่นผมนิ่มๆอย่างที่ชอบทำอีกครั้งก่อนลุกขึ้นทำท่าจะเดินออกไป แคปรีบเอียงหลบบอกไม่ให้ทำ เอสจึงเปลี่ยนมาผลักหัวเล็กแทน

“อ้อ...” ขายาวๆหยุดขาเอาไว้เหมือนนึกอะไรบางอย่างออก

“อะไรของมึงอีก?” แคปหันไปเงยหน้าถาม

“เมื่อกี้ยังไม่ได้บอกเลยว่าจะไปไหนกันต่อ”

“กูก็กลับห้องสิไอ้วะ การบ้านเป็นภูเขากูจะไปไหนได้”

“มึงโกหกแล้วแคป  จะไปไหนกันต่อวะอาร์..” คราวนี้เขาหันไปถามอาร์ รายนั้นทำหน้าตาตื่น ๆ เหมือนตั้งตัวไม่ทัน เจอเอสจ้องทีเดียวทำอะไรไม่ถูก

“ว่าไงนะ...” เสียงทุ้มดุดันน่ากลัว เขาจ้องหน้าอาร์นิ่ง ๆ รอฟังคำตอบอยู่

“ปะ...ไปเดินห้าง ตากแอร์เย็นๆ ดูหนัง ช็อปปิ้ง อาจจะกินไอติมกันต่อ การบ้านหาได้มีไม่” แคปเตะโครมเข้าที่ใต้โต๊ะทันที อาร์เบ้หน้าบอกเจ็บๆๆ เอสนี่หันไปมองแคปแล้วทำหน้าคาดโทษไว้เลย

“นิสัยไม่ดีนะมึง”

“เรื่องของกู” แคปพูดหน้ายุ่ง ๆ ผลักเอสบอกให้กลับไปได้แล้ว แต่เจอมือใหญ่จับลงที่บ่าเล็กของเขาจากนั้นก้มลงไปกระซิบเอ่ย

“อย่าทำอะไรให้กูหึงนะครับเมีย”

เพี๊ยะ!

“กูไม่กลัวมึงหรอกไอ้สัส กลับไปโต๊ะมึงโน่น..” แคปปัดมือเอสออกแรง ๆ คนถูกตีก็แค่ยืนขำ ก่อนวางมือลงที่หัวเล็กแล้วขยี้เบา ๆ

“อ่ะเอานี่ไปใช้ เดี๋ยวจะโทรหาอีกทีเย็นๆค่อยเจอกัน..” เอสล้วงเอากระเป๋าตังค์ขึ้นมาหยิบบัตรเครดิตสีดำสวยวางลงให้แคปหนึ่งใบจากนั้นเขาก็เดินกลับไปที่โต๊ะของตัวเอง แคปเมียงๆมองๆตาม เห็นมันนั่งลงที่เดิมแต่ตอนนี้เมี่ยงย้ายมานั่งข้าง ๆ ส่วนผู้หญิงย้ายไปนั่งอีกโต๊ะรวมกลุ่มกับเพื่อนของเธอแทน

“โหหหหหไอ้เอสแม่งใจดีว่ะ” อาร์มองบัตรตาลุกวาว

“มันน่ะไอ้ตัวอันตราย ไม่เห็นใจดีตรงไหนเลยเหอะ” แคปหยิบบัตรขึ้นมาดูพลิกหน้าพลิกหลัง  บอกให้เขาเอาไปใช้งั้นเรอะ? ใครจะบ้าไปใช้วะไม่ใช่เงินตัวเองแม่งเอามาวางต่อหน้ากูเท่าไหร่กูก็ไม่สนหรอกเว้ย

“มึงโชคดีมากนะไอ้แคป กูล่ะอิจฉา”

“กูซวยสุดๆล่ะสิไม่ว่า”

“กินข้าวเหอะ สายแล้วเดี๋ยวต้องออกไปทำงานต่ออีก..” แบงค์ที่นั่งเงียบอยู่นานขยับเก้าอี้เข้ามาคืน ขณะที่แคปเก็บบัตรเข้ากระเป๋าแล้วหยิบใบสคริปต์ขึ้นมาอีกครั้ง แบงค์ตักข้าวในจานแคปกินต่ออีก

“นี่มึงจะกินข้าวจานกูไปอีกนานไหมวะ..” แคปหันไปถาม ไม่ใช่อะไรนะจานที่แล้วมันกินของเขาไปแล้ว จานมันมาแทนที่จะให้เขากินมันยังมีหน้ามากินด้วยอีก

“ก็กินด้วยกันไง เมื่อกี้มึงกินไปครึ่งนึงแล้วกูกินแค่ครึ่งเดียวมันจะอิ่มได้ยังไง”

“ตกลงว่าจะกินจานนี้”

“อือ มึงก็กินด้วยดิอ่ะ กูตักให้” แบงค์ตักไข่เจียวมาใส่ช้อนแคปไว้พร้อมกับข้าวสองสามเม็ด แคปมองดูแล้วส่ายหัวอย่างเหนื่อยใจ

“ไม่ต้องมายุ่งเลย กูกินของกูเองได้” เขาว่าแล้วดึงจานตัวเองขึ้นมา พุ้ยข้าวแบบเร็วๆด่วนๆไม่กี่คำก็หมดจาน สองแก้มกลมเคี้ยวข้าวตุ้ยๆ

“มึงทำอะไรแคป ตลกว่ะ”

“เรื่องของกู” แคปตอบอู้อี้ทั้งที่ข้าวเต็มปาก แบงค์หัวเราะร่วน เขาหยิบแก้วกาแฟขึ้นมาดูดบ้าง ขณะนั้นเองที่อาร์สะกิดบอกว่าเอสมองมาอีกแล้ว แคปมองตามไปเห็นไอ้เตี้ยเพื่อนมันลุกขึ้นเดินไปสั่งอะไรสักอย่างที่เคาน์เตอร์จากนั้นเดินกลับมาแต่ยังไม่ยอมเข้าที่นั่งกลับไปยืนกอดคอมันอยู่ทางด้านหลัง แคปนี่ปรี๊ดขึ้นเลย

“ไอ้เตี้ยนั่นแม่งทำไมทำแบบนั้นวะ” อาร์เป็นคนทักขึ้นมายิ่งสะกิดใจแคปไปกันใหญ่ ปอหันไปมองตามไม่เว้นกระทั่งแบงค์เองก็มองตามไปด้วย

“เหมือนแฟนกันเลย..” แบงค์พูดขึ้นมาอาร์เลยถีบขามันแรง ๆ หนึ่งที “อะไรเล่าก็แค่พูดไปตามที่เห็น”

“อย่าปากมากไอ้หนู..” แคปว่าออกมาเรียบๆพยายามข่มอกข่มใจ คำพูดเมื่อกี้ของไอ้ตัวดีแบงค์ช่างเหมือนเชื้อเพลิงชั้นดี ถึงภายนอกเขาจะดูเฉยๆไม่อะไรเท่าไหร่นะ แต่ข้างในนี่เดือดสุดๆ

“ไอ้เอสลุกแล้วเว้ย มันหนีมานั่งที่ฝั่งตรงข้ามแล้วเพื่อนมันไอ้หล่อๆนั่นไปนั่งแทนที่” อันนี้ปอรายงาน แต่แคปหมดอารมณ์ไม่อยากจะฟังต่อแล้ว เขายกมือเรียกเช็คบิล

“มึงจะเข้าไปกี่โมง” แคปหยิบสคริปต์งานขึ้นมาดูอีกรอบ พร้อม ๆ กับดูเวลาที่ข้อมือก่อนหันไปถามแบงค์

“กี่โมงก็ได้ ตามใจกูไม่มีเรียนบ่ายแล้ว”

“ตามใจใคร”

“ตามใจมึงไง”

“หมายความว่ายังไง”

“เดี๋ยวเราออกไปพร้อมกันเลย บ่ายกูว่าง เข้าไปตอนนี้เลยไหมล่ะ” พนักงานเข้ามาเก็บตังค์ ปอเป็นคนควักจ่าย พวกเขาส่วนใหญ่สลับกันจ่ายแต่กับปอ แคปจะเอาเงินทิ้งไว้ให้เป็นรายเดือนสำหรับค่าอาหารค่าใช้จ่ายในห้อง เพราะงั้นอาหารเที่ยงของแคปปอจึงทำหน้าที่จ่ายให้ตลอดอยู่แล้ว

“ไอ้แคปมึงจะไปไหนวะ แล้วไหนว่าเราจะไปดูหนังแล้วช้อปปิ้งกันไงล่ะ มึงสัญญาจะพากูไปเลือกฮาร์ดดิสก์ตัวใหม่ไง” อาร์โวยวายขึ้นมา ทำหน้าตื่นๆ

“วันนี้กูไม่ว่าง มึงให้ไอ้ปอมันพาไปนะ เดี๋ยวกูจะเข้าไปที่ตึกไพร์ม ทำงานนิดหน่อยเย็นๆจะกลับ”

“จะไปยังไง..” ปอถามขึ้น พวกเขาทั้งหมดลุกขึ้นแล้ว

“มึงไปส่งไง..”แคปบอก

“แล้วตอนกลับ”

“แท็กซี่ไงครับพี่ปอ ไม่งั้นก็บีทีเอสใกล้ ๆ”  แคปเดินผ่านออกมา เต้เห็นเข้าพอดีเขาลุกขึ้นแล้วเดินเข้ามาหา

“นั่งอยู่นานยังเนี่ย ทำไมไม่เข้ามาหากูวะคาปู มึงเห็นกูป่ะ”พี่ชายจับไหล่เล็กดึงให้หันมา เขาพูดเสียงดุๆด้วย

“เห็นตั้งแต่เข้ามาแล้วเหอะ”

“เดี๋ยวเหอะมึง ไม่เข้ามาทักกูเลยนะ”

“ไม่อยากทักว่ะ เพื่อนเฮียเยอะขี้เกียจทัก” คือมันเยอะจริง ๆ แทบจะครึ่งนึงของร้าน ถ้าทักต้องไหว้เรียงตัวเลยอ่ะ นั่นคือเหตุผลที่แคปหลบ

“แล้วกินข้าวยังหนิ”

“กินแล้วดิ ไม่กินจะลุกออกจากร้านทำไม”

“ปากดีนัก” เต้เอามือมาบีบแก้มแคปแรง ๆ เจอฝ่ามือเล็กฟาดเพี๊ยะเสียงดัง เอสที่นั่งมองอยู่ยังต้องหันมอง

“จะไปไหนกันวะ ไม่มีเรียนบ่ายนี่”

“เที่ยว” แคปตอบตอบสั้นๆ

“เที่ยวที่ไหน”เต้ถามแทรกขึ้นมาทันทีแคปหันมองตาขวาง ๆ

“พี่เต้ถามมากว่ะ ถอยไปได้แล้วจะออกไปกันแล้วนี่ไง” แคปดันพี่ชายตัวเองบอกจะเดินออกไป อาร์กับปอและแบงค์แทรกตัวเดินออกไปรออยู่ที่หน้าร้านแล้ว แคปกับเต้เดินตามไป

“จะไปเที่ยวไหนกันวะพวกมึง เดินห้าง?” เต้หันไปถามปอ แดดแรงจนเขาต้องหยีตา ทั้งกลุ่มจึงเดินมาแถวใต้ต้นไม้ใหญ่ร่ม ๆ หน่อย

“ไม่ใช่หรอกครับเฮีย ไอ้แคปมันต้องไปทำงานดีเจอะไรของมันน่ะ” ปอทำหน้าดุบอกแคปว่าห้ามโกหก

“ทำไมถึงเป็นวันนี้ล่ะวะ”เต้ซักไซ้น้องชายตัวเอง วันนี้มันวันพฤหัส แต่แคปมันจัดรายการทุกคืนวันศุกร์ เขาไม่มีทางจำผิดแน่นอน

“อัดสปอร์ตเพิ่ม ไม่มีอะไรแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็เสร็จ”

“อ้อ..”  เต้พึมพำพยักหน้าเข้าใจ สองพี่น้องคุยอะไรบางอย่างกันนิดหน่อย ขณะที่แบงค์แยกออกมาสูบบุหรี่รอเอสก็เดินออกมายืนอยู่ข้างเต้แล้ว

“จะกลับแล้ว?” เอสถามขึ้น แคปพยักหน้าบอกใช่ เขาพยายามทำท่าทางให้ปกติที่สุดเพื่อไม่ให้พี่ชายผิดสังเกตแม้ว่าจะรู้สึกเคือง ๆ เรื่องเพื่อนมันเมื่อกี้อยู่ก็ตาม

“มึงขับรถดีๆนะไอ้ปอ ตึกไพร์มไม่ใกล้แล้วแถวนั้นรถเยอะด้วย ติดฉิบหายเลยล่ะ ไปช่วงนี้ตอนเย็นมึงจะกลับยังไง ทำไมไม่ขับรถมาเองวะคาปูเพื่อนต้องเสียเวลาไปส่งเนี่ย” เต้ดุน้องชาย  แคปนี่เซ็งเลย ก็ตอนเช้าไอ้น้องรหัสเฮียนั่นแหละที่เป็นคนบังคับลากเขาขึ้นรถมัน เป็นไงล่ะพอจะใช้รถขึ้นมาจริง ๆ ต้องอาศัยรถคนอื่น

“จะไปทำไมตึกไพร์ม” คราวนี้เป็นเอสที่ถามขึ้นเสียงเย็นเฉียบเลย เพราะว่าก่อนหน้านี้แคปบอกเอาไว้ว่าจะไปช้อปปิ้งเขาจึงทิ้งบัตรเครดิตไว้ให้ แต่นี่จู่ ๆ เฮียเต้บอกว่าแคปมันจะไปตึกไพร์ม ตกลงคืออะไร?

“มันจะไปอัดสปอร์ต”เต้หันไปบอกเสียงเรียบ ๆ โดยที่ไม่รู้เลยว่าอีกคนคุกรุ่นแค่ไหน

“อัดสปอร์ต?” เอสถามทวนคำสีหน้าและแววตาเหวี่ยงเอาเรื่อง ปอรีบขยับเข้าไปดึงเสื้อมันไว้ “ใจเย็นๆไอ้สัสเดี๋ยวกูอธิบายให้ฟัง” ปอกระซิบด้านหลังเบา ๆ เวลานั้นเองแบงค์ที่เพิ่งทิ้งก้นบุหรี่ลงเดินเข้ามาสมทบกัน แต่ปอไหวพริบดีมากเขาแก้สถานการณ์ได้ก่อน

“เดี๋ยวผมไปส่งมันเองครับเฮียเต้ ไอ้แบงค์มึงล่วงหน้าไปก่อนไปเดี๋ยวกูกับไอ้อาร์จะพาแคปมันไปเอง” ปอนำเสนอทางออกที่ดีที่สุดให้เอสได้ยินโดยพูดเหมือนกับว่ากำลังรายงานเฮียเต้ แต่ไอ้แบงค์มันกลับหาเรื่องจริง ๆ เพราะจู่ๆเดินเสือกเข้าไปยืนข้างแคปแล้วพูดคำพูดต้องห้ามขึ้นมา

“ไม่เป็นไรนี่ ไปรถกูก็ได้จะได้ไม่เสียเวลา แถวนั้นรถติดไปมอไซด์ถึงเร็วดี ง่ายด้วยกูไปทางลัดชินแล้ว” เสียงทุ้มของแบงค์ที่ยื่นข้อเสนอมาทำให้เอสยืนนิ่งเงียบไปเลย อาร์ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เงยหน้ามองมันเช่นเดียวกับปอที่รู้ระดับความมาคุของอารมณ์มันแล้วแน่ ๆ  ส่วนแคปนี่อย่าถามเลยยืนช็อคไปแล้วหลายวิฯ

“รถมึงคันไหน” เฮียเต้ถามขึ้นมา ทั้งหมดมองแบงค์เป็นตาเดียว

“คันนั้น” แบงค์ชี้บอก

“เอาไงแคป ไปกับมันเลยก็ดีนะไม่ต้องเสียเวลาไอ้ปอมันด้วย รถเยอะแถวนั้นตอนที่พวกมึงไปคงไม่เท่าไหร่แต่ตอนกลับกูว่าไอ้ปอแม่งถึงห้องสามทุ่มแหงเลยว่ะ”

“ไม่เป็นไรครับเฮีย เดี๋ยวผมไปส่งแคปมันเองได้ หน้าที่ผม ผมไปเอง” ปอรีบแทรกตัวเข้ามาขวางเอสไว้ เห็นแล้วว่ามันกำลังจะขึ้น ถ้าแคปมันก้าวขึ้นรถไปกับไอ้แบงค์เรื่องแตกตรงนี้แน่นอน

“เดี๋ยวกูไปเอารถมา มึงถืออันนี้ไว้” แบงค์ยื่นสคริปในมือยัดส่งให้แคปก่อนเดินไปที่รถ อาร์รีบเข้าไปประกบเอสอีกคน ปอดึงใบสคริปปึกนั้นมาถือไว้เองเลย

“อย่านะมึงกูขอร้อง” เสียงอาร์บอกเอสเบา ๆ แต่ปอที่ยืนอยู่ใกล้มากๆได้ยินชัดแจ๋ว เขามองแคปที่ถูกเต้ดึงตัวไปคุยอะไรบางอย่าง สองพี่น้องพูดกันเบามากจริง ๆ

“ไปกันได้แล้วแคป..” แบงค์เคลื่อนมอไซด์คันใหญ่เข้ามาจอดลงตรงหน้าพร้อมยื่นหมวกกันน็อคส่งให้ เอสนี่กัดฟันกรอดๆจนเสียงดังลอดออกมา เขาจ้องหน้าแคปนิ่งวัดใจ อาร์ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ดึงเสื้อด้านหลังมันไว้อย่างแน่นจนมือขึ้นเส้นเอ็น

“มึงไปก่อนเลยเดี๋ยวไอ้ปอมันไปส่งกูเอง” แคปบอกออกมา

“แต่กูก็ต้องไปที่ตึกนั่นเหมือนกันไปกับกูเลยจะได้ไม่ต้องให้เพื่อนมึงยุ่งยากไง” แบงค์พยักหน้าเรียกอีก ปอรีบเอาตัวเข้ามาบังมุมเอสกับเต้ไว้

“ไม่ยุ่งยากสักนิดกูเต็มใจไปส่งมัน มึงล่วงหน้าไปก่อนเลยกูจัดการเพื่อนกูเอง” ปอบอกแล้วรีบเดินเข้ามาดึงแขนแคปบอกให้ขึ้นรถ หันไปมองเอสที่ยืนนิ่งเพราะโดนอาร์ประกบเอาไว้  แต่เฮียเต้ที่ไม่รู้อะไรเลยจริง ๆ ดันพูดขึ้นอีก

“คาปูกูว่ามึงไปกับไอ้แบงค์มันเลยก็ดีว่ะ ไหนๆก็จะไปที่เดียวกันอยู่แล้ว มอไซด์คันใหญ่ปลอดภัยดีด้วย มึงขับรถไม่มีปัญหานะ” แคปพยักหน้าบอกโอเคไม่มีปัญหา เต้จึงจับไหล่แคปแล้วบอก

“มึงไปกับมันไป”

“ไม่เอา ผมจะไปกับไอ้ปอ” แคปก็แค่ส่ายหัว เขาจับตัวเต้รุนๆหลังพี่ชายบอกเข้าไปข้างในได้แล้วเพื่อนรอ เต้จึงหันมาจับแคปคุยดี ๆ

“ตกลงจะไปกับไอ้ปอ?”

“ครับใช่”

“ตามใจมึง แล้วก็.......”

“เฮียเต้หายออกมานานเลยว่ะ” เสียงที่ดังขึ้นทางด้านหลังทำให้แคปมองข้ามไหล่พี่ชายไป เมี่ยงและชิพเดินเข้ามาพูดกับเต้ก่อนที่เมี่ยงจะมองไปที่เอสแล้วเดินเข้าไปยืนอยู่ข้าง ๆ

“ไอ้เอสมึงเข้าไปข้างในกับกูได้แล้วปะ อย่าประเจิดประเจ้อนักสิวะเฮียเต้ฉลาดนะมึง”เมี่ยงเขย่งตัวไปกระซิบ ดวงตากลมโตเหลือบมองแคปนิดหน่อย ก่อนที่มือเล็กจะดึงแขนเอสบอกให้เดินตามเขาเข้าไป

“มึงเข้าไปก่อนเลย” เอสชักแขนตัวเองออกมาอย่างไม่ใส่ใจ เขาเดินแทรกผ่านเมี่ยงเข้าไปหาแคปที่ยืนอยู่กับเต้

“ไอ้ปอมันรอมึงนานแล้ว ไปขึ้นรถแคป” เสียงทุ้มเรียบๆแต่แฝงไปด้วยคำสั่งบอกออกมา แคปมองคนตัวเล็กที่ตามมายืนอยู่ข้าง ๆ มัน แล้วก็นึกถึงภาพที่มันโดนไอ้เตี้ยนี่คล้องคอตอนนั่งอยู่ที่โต๊ะเมื่อตะกี้ เขาปรี๊ดขึ้นมาอีก คิดอยู่เหมือนกันว่าจะกระโดดเกาะท้ายรถไอ้แบงค์แล้วบอกให้มันขับออกไปได้เลย แต่เฮียเต้ดันยืนอยู่ตรงนี้แคปด้วยเลยไม่อยากจะมีเรื่อง

“เฮียเต้ผมไปแล้วครับ” แคปหันไปบอกพี่ชาย พอมองไปที่เอสอีกครั้งก็อดที่จะเห็นไอ้เพื่อนตัวดีของมันยืนชิดอยู่ด้วยกันไม่ได้

“หลีกทาง!” มือเล็กผลักเอสบอกให้หลีกทางแรงมาก สองคนเซจนเกือบจะล้ม เป็นเวลาเดียวกับที่ชิพเข้ามากอดคอเมี่ยงล็อคพาเดินกลับเข้าไปด้านใน ตอนนี้เอสจึงยืนอยู่กับเต้แค่สองคน แคปเดินไปขึ้นรถปอเรียบร้อยแล้ว แบงค์เองก็ขับแยกออกไป

“เข้าไปข้างในเว้ย” เต้ตบหลังชวน เอสบอกขอสูบบุหรี่อยู่ตรงนี้ก่อน กลุ่มควันสีเทาหม่นลอยคลุ้ง ร่างสูงยืนดูดบุหรี่ดับอารมณ์จนเกือบหมดมวนถึงได้ทิ้งไป แล้วเขาก็เดินกลับเข้าไปนั่งลงข้างเต้

“อ้าวไอ้เอสโน่นที่มึงโว๊ยมานั่งอะไรที่กูวะ” รัฐที่เพิงเดินกลับมาจากห้องน้ำชี้บอก มองเอสที่จู่ๆเดินมานั่งลงตรงที่เขา

“มานั่งนี่มาไอ้เหี้ย มึงเมาบุหรี่เหรอวะเหล้าก็ไม่ได้แดกอย่าบอกนะว่าเมาแดดน่ะ” ชิพพูดกลบเกลื่อนให้ เขาลุกขึ้นไปนั่งข้างเมี่ยงแล้วบอกให้เอสไปนั่งข้างบุ้งแทน

“อันนี้อร่อย มึงกินสิยังไม่ได้กินข้าวเลย” เมี่ยงตักกุ้งทอดกระเทียมส่งให้ เอสที่กำลังจะตักข้าวกินได้แต่จับช้อนขึ้นมาแล้วจ้องหน้า

“อะไรเล่าก็มึงชอบ กูก็แค่ตักให้” เมี่ยงยู่ปากบ่นเอสนี่ถึงกับเอามือขึ้นมากุมขมับ ปวดหัวสุด

“กินๆอย่าเสียเวลาเดี๋ยวบ่ายสองกูมีประชุมคณะต่ออีก เรื่องของมึงกับคนสวยที่ต้องถือช่อดอกไม้กับพานพุ่มคู่กันอีกเรื่อง ทำใจหน่อยไอ้เพื่อนยาก เกิดมาหล่อก็วุ่นวายแบบนี้อ่ะ” บุ้งตักกับข้าวอีกอย่างวางส่งให้แล้วค่อนแคะเปลี่ยนเรื่อง ขณะที่เอสถอนหายใจเฮือกใหญ่ ๆ ก่อนก้มหน้าก้มตากินๆๆๆ

.

.

“กูว่ากูรอรับมึงเลยดีกว่าแถวนี้ช่วงเย็นรถติด..” พอรถจอดลงได้ปอก็หันมาบอก ส่วอาร์นั่งอ้าปากมองตึกสูงอยู่เบาะหลัง แคปเอากระเป๋าพาดขึ้นบ่าแล้วเปิดประตูรถ

“ไม่ต้องรอหรอกกูยังไม่รู้ว่าจะเสร็จตอนไหนเลย เดี๋ยวกลับเองบีทีเอสอยู่ใกล้ๆนี่เอง”

“เออแบบนั้นก็ได้แต่ถ้าดึกมากมึงต้องโทรเรียกกูนะหรือจะโทรเรียกแฟนมึงก็ได้กูว่าเลิกเรียนมันต้องรีบมารับมึงแน่ๆ”

“อย่าพูดถึงมันเลย เมื่อกี้กูเสียวเกือบตายเฮียเต้ก็อยู่มันก็เสือกเดินมาพูดเรื่องไม่เป็นเรื่อง พี่กูมึงก็รู้ดุขนาดไหนเกิดสงสัยขึ้นมาเรื่องใหญ่แน่ ๆ”
“ดีแล้วที่มึงไม่ไปกับไอ้เด็กนั่น”

“กูไม่หาเหาใส่หัวหรอกเว้ย”

“หน้าตามันโคตรเอาเรื่อง..” อาร์นึกถึงหน้าตาเครียดๆของเอสตอนที่ตกลงกันเรื่องรถ เจานี่ยังรู้สึกขนลุกอยู่เลย

“ไม่ใช่แค่หน้าหรอก ถ้ามันโกรธขึ้นมามันทำได้ทุกอย่างนั่นแหละ กูไปนะเดี๋ยวยังไงถ้าดึกมากจะโทรเรียก” แคปบอกกับปอและอาร์ไว้ก่อนที่จะลงจากรถไป เขาซอยเท้าขึ้นบันไดด้านหน้าตึก ก่อนค้อมหัวทักทายน้ายามที่เฝ้าประจำอยู่ที่ประตูนี้

“ช้าว่ะ...” เสียงทุ้มๆทักขึ้นมาแคปหันไปมองก็เจอแบงค์ยืนพิงเสากลมๆรออยู่แล้ว แคปเอาม้วนสคริปต์ตีลงที่หัวทุยๆนั่นหนึ่งทีก่อนสองคนจะพากันเดินไปรอลิฟต์เพื่อขึ้นไปที่ชั้นบน

“ทำไมช้าวะ”

“รถเยอะไง”

“เยอะที่ไหน กูขับมาถนนโคตรโล่ง บ่ายแบบนี้รถไม่เยอะหรอกเดี๋ยวเย็นอ่ะติดแน่”

“ไอ้ปอมันหลงทางดิ กูปวดหัวเลย”

“หึหึ กูบอกแล้วให้มากับกูไม่เชื่อ”

“อย่ามาพูดมาก ไหนเอามาดูดิ๊ ทำไมของมึงมีอีกใบวะ ไหนว่าไม่ได้ถ่ายเอกสารไว้ไง..” แคปดึงสคริปอันใหม่ในมือแบงค์มาดู คนตัวสูงกว่าหัวเราะร่าก่อนดึงสายกระเป๋าแคปที่หล่นลงมาที่แขนให้กับขึ้นไปพาดที่บ่าเหมือนเดิม

“โกหกมึงไง”

“ไอ้เด็กไม่ดี มึงโกหกผู้ใหญ่ระวังจะสอบตก”

“ตรรกะไหนของมึง”

“ตรรกะที่กูเพิ่งคิดขึ้นมาเองนี่แหละ” สองคนขึ้นมาถึงชั้นบน แคปเปิดเข้าไปในห้องบันทึกเสียง เจอพี่หนึ่งกับบรรดาเจ้าหน้าที่หลายฝ่ายนั่งอยู่ เขากับแบงค์ยกมือไหว้แบบเรียงตัว หนึ่งเอาสคิปที่แก้ไขเพิ่มเติมอันใหม่ส่งให้จากนั้นให้เวลาซักซ้อมประมาณหนึ่งชั่วโมงก่อนเริ่มอัดจริง

“พวกมึงไปซ้อมกันที่ห้องออนแอร์ก็ได้ ตอนนี้ห้องนั้นว่าจะได้มีสมาธิต่อบทเดี๋ยวสักชั่วโมงกูจะตามไปเทสท่อนอัดจริง ซาวด์ดนตรีเดี๋ยวมีน้องอีกคนเข้ามาทำให้ช่วงดึก สปอตตัวนี้ต้องเสร็จภายในวันนี้นะพวกมึงท่องไว้เลย”
พอรับคำสั่งเสร็จเขาสองคนก็เดินไปที่ห้องออนแอร์ ซึ่งวันนี้ห้องนี้ปิดไม่ได้ถูกใช้งาน แบงค์เข้าไปกดเปิดแอร์ก่อนอย่างอื่น ขณะที่แคปโยนกระเป๋าลงที่เก้าอี้แล้วทิ้งตัวนั่งลง
“มาเลยมึงรีบซ้อมกัน” เขาเงยหน้าบอกแบงค์ให้นั่งลงมาด้วยกัน ที่โซฟามันก็นิ่มดีปกติเอาไว้นอนรอช่วงพักเบรคบางทีเหนื่อย ๆ ก็จะมานั่งแถวนี้กัน เป็นมุมหลบกล้องชั้นเลิศที่แบงค์มันชอบมานอนเล่นเสมอ

“ของมึงตัวหนังสือสีชมพู ของกูสีเขียวอย่าอ่านผิดล่ะ” แบงค์ชี้ให้แคปดูสคริปตัวใหม่ที่เพิ่งได้มา

“รู้แล้ว”

“ทำไมของมึงต้องเป็นสีชมพูวะ” แบงค์เงยหน้าถาม แคปที่กำลังก้มเข้าไปอ่านมองขึ้นพอดี ใบหน้าสองคนห่างกันแค่นิดเดียว

“นั่นดิ เปลี่ยนกันไหมล่ะ”

“เรื่องดิ ขี้เกียจโดนบ่นหูชาตายเลย” แบงค์ทำหน้าแหยง ๆ พี่หนึ่งบ่นน้อยซะที่ไหน

“เริ่มเลยไหมวะ” แคปก้มเข้ามาอีก เขาสายตาสั้นเวลาอ่านหนังสือต้องใช้แว่น วันนี้ไม่ได้ติดมาด้วยเซ็งเลย

“มึงก้มเข้ามาทำไมนักหนาเนี่ยอยากใกล้ชิดกูขนาดนั้นหรือไง”

“ใกล้ชิดหัวมึงสิ! กูมองไม่ชัดไอ้เด็กบ้า สายตาสั้นกูไม่ได้เอาแว่นมาโว๊ย”แคปผลักหัวมันออกห่างจนเงิบ แบงค์ยกมือบอกโทษๆ

“ก็แล้วทำไมไม่ใส่คอนแท็กเล่า”

“ไม่เอาแบบนั้นกูก็ไม่ชอบอีก”

“เรื่องมาก ทีหลังก็พกแว่นสิ”

“นี่มึงด่ากูเหรอ”

“เปล่า”

“เรื่องอะไรจะใส่แว่น มันไม่เท่เลยสักนิด กูไม่อยากดร็อปตัวเองลงเพราะแว่นใสๆแค่อันเดียวหรอกเว้ย”

“แล้วมึงทำยังไงกับตามึง”

“ก็แค่ใช้ตอนทำการบ้านอ่านหนังสืออยู่ที่ห้อง” แบงค์ได้ยินคำตอบแล้วถึงกับเงียบและอึ้งไป เขาพิจารณามองหน้าแคปดี ๆ ขณะที่คนถูกมองไม่ได้รู้เนื้อรู้ตัวเลย แคปยังคงก้มอ่านสคริปต์ที่วางอยู่บนตักเขาอยู่แบบนั้น

“มึงเอาลงไปถ่ายเอกสารไป” แคปหยิบขึ้นมาเสนอความคิดเห็น จะให้ก้มใช้หัวจุ่มกันแบบนี้มันก็ลำบากมาก สายตาเขายิ่งไม่ค่อยดี

“ไม่เป็นไรมึงเอาไปอ่านเลยก็ได้”แบงค์ผลักคืนใส่อก

“ทำไม”

“เออเอาเหอะน่า สลับกันเอา..” แบงค์บอก

“อือๆเอาแบบนั้นก็ได้วะ เริ่มเลยนะ”

“มึงทำเสียงให้เหมือนอัดจริงเลยนะแคป กูไม่อยากซ้อมหลายรอบ”

“เออน่า.....”

แล้วเขาสองคนก็ซ้อมต่อบทตามสคริปต์กันไปเรื่อยๆ

ผั๊วะ!

“ไอ้สัสแบงค์มึงอย่าเล่นดิวะไหนว่าให้กูพูดเหมือนอัดจริง มึงอ่ะมัวแต่เล่นแม่ง”

“ก็เสียงมึงตลกอ่ะ”

“เสียงกูเพราะเหอะ”

“มันก็เพราะอยู่ แต่ว่าตอนมึงดัดเสียงทำเป็นเด็กๆมันตลกว่ะ โคตรจะเด็ก กูขำ”

“ขำตรงไหน กูก็ยังไม่แก่นะมึง”

“มึงลดฟีลลิ่งลงมาอีกนิด นอกนั้นดีหมดแล้ว”

“ยังมีหน้ามาสอนกู ตัวมึงรอดหรือยัง เสียงคุณปู่น่ะทำให้มันแก่กว่านี้อีกหน่อยสิวะ”

“งั้นมาเอาใหม่กันอีกรอบ สุดท้ายล่ะนะ สาม สอง หนึ่ง....แอ๊คคคคคคช่านนนน!” แบงค์แกล้งทำเสียงแอคชั่นแบบดัดจริตแคปฟาดกะโหลกมันไปอีกรอบ พอซักซ้อมกันจนโอเคแน่แล้ว สองคนก็ลุกขึ้น แบงค์แกล้งทำเสียงล้อเลียนในแบบที่แคปต้องทำเป็นเสียงเด็กเรียกเขา แคปหันมามองตาเหลือกๆพร้อมกับมือที่ยกขึ้นจะฟาดเข้าที่หัวมันอีกแต่คราวนี้แบงค์ที่เร็วมากลับคว้าจับข้อมือขาวเนียนนั้นไว้ได้

“ตีกูจนเจ็บไปหมดแล้วแคป นั่งอยู่ด้วยกันแค่ชั่วโมงเดียวกูเขียวช้ำไปทั้งตัว”

“ไอ้เด็กไม่ดีกูตีมึงแค่สองทีอย่ามาทำเป็นบ่น มึงกวนกูเอง” ไม่ใช่แค่เถียงกันยังลงไม้ลงมือกันด้วย บางทีแคปก็คิดไปว่าความรู้สึกตอนอยู่กับแบงค์มีหลายครั้งที่ทำให้เขานึกถึงเอสอยู่เหมือนกัน
ในที่สุดช่วงเวลาบันทึกเสียงก็ผ่านไป พี่หนึ่งพอใจมาก เขาชมแบงค์กับแคปว่าเข้ากันได้ดี เรตติ้งรายการแค่วันออกอากาศครั้งแรกก็นำโด่งมาเลย ถือว่าเป็นรายการน้องใหม่ที่เปิดตัวได้อย่างงดงาม

“เอาล่ะแยกย้ายกันเลยก็ได้ เดี๋ยวต่อจากนี้ก็จะมีคนมาทำซาวด์ให้ พรุ่งนี้สปอตตัวเต็มออกอากาศพร้อมพวกมึงนี่แหละเจอกันพรุ่งนี้นะ แล้วนี่ อ่ะสคริปของวันพรุ่งนี้เพิ่มเติมอีกนิดหน่อย” หนึ่งยื่นปึกสคริปอันใหม่ให้แคปสำหรับงานดีเจคืนพรุ่งนี้ เขากับผู้ช่วยบอกไว้แค่นั้นแล้วก็ออกจากห้องไปเหลือแคปที่กำลังจะเก็บกระเป๋ากับแบงค์ที่นอนยืดแข้งยืดขากอดหมอนแล้วมองดูคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาอ่านงานในมือ

“มีของกูป่ะวะแบ่งออกมาให้ดิ” แบงค์แบมือขอ แคปแกะกระดาษที่ถูกคลิปหนีบเอาไว้แบ่งออกเป็นสองส่วน เสียงโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋าดังขึ้นพอดี เขาหยิบเอาขึ้นมาดู เมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์ของใครรีบยัดคืนไว้ที่เดิมปล่อยให้มันสั่นเรียกต่อไป

“อะไร? แฟนโทรมาแล้วดิ..” แบงค์ถามยิ้ม ๆ

“ยุ่ง” แคปเอากระดาษฟาดมือมันแรง ๆ หนึ่งทีก่อนยัดส่งให้  เขาปล่อยให้มือถือดังต่อไปพาดกระเป๋าใส่บ่าแล้วเตรียมตัวจะกลับ แบงค์ลุกขึ้นก้าวขาขวางเอาไว้

“กลับพร้อมกูไหมเดี๋ยวไปส่ง”

“ไม่!  หลีกไป” แคปบอกให้หลีกทาง มือเล็กผลักคนที่ขวางเขาออก แบงค์แกล้งไม่ยอมปล่อยให้ไป แคปจึงเตะขามันหนักๆหนึ่งที

“โอ๊ยยยยย!! เล่นแรงฉิบหายขากูหักแล้วไหมเนี่ย”

“โดนแค่นั้นทำสำออย เห่อะ มึงเจอกูกระทืบมาแล้วนะอย่าลืม”

“ใครจะไปลืมลง มือหนักตีนหนักเป็นบ้า”

“ปากดีนัก เย็นมากแล้วกูหิวข้าวมึงถอยเดี๋ยวนี้ไอ้เด็กน้อย ขวางทางเดี๋ยวเจอตีนกูอีกพรุ่งนี้ไม่ต้องมาจัดนะ รายการน่ะ”

“เดี๋ยวดิ...

“อะไรของมึงอีกวะ!”  แคปหันไปถามอย่างโมโห พูดใส่หน้ามันเสียงดัง ๆ แบงค์ทำหน้าหวาดกลัว เขายกมือทำสัญลักษณ์ว่ายอมแล้วๆ

“ยุ่งกูนัก

ก๊อกๆ

เสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดจังหวะ ทำให้สองคนหยุดเถียงกันไปก่อน พี่สตาฟคนนึงเข้ามาตามแคปกับแบงค์ไปลองฟังซาวด์ที่ใช้ประกอบสปอตตัวเมื่อตะกี้ที่ห้องอัดซาวด์ห้องเล็ก แคปมองหน้าแบงค์ทันที

“อะไร! เสร็จแล้วเหรอพี่”

“ยังหรอกแต่พี่หนึ่งให้มาตามกลัวว่าพวกมึงจะกลับกันก่อน ลองไปฟังให้แกหน่อยชอบไม่ชอบจะได้ช่วยกันตัดสินใจ”

“โอเค/โอเค” สองคนโอเคขึ้นมาพร้อมกัน ราวๆเกือบชั่วโมงทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อย หนึ่งไล่ให้สองคนกลับไปกันได้ แคปจึงเดินแยกลงมาที่ลิฟต์อีกตัวตอนที่แบงค์มันไปเข้าห้องน้ำอะไรสักอย่างของมัน

“โหหหหห หนีลงมาไม่มีรอกันหรอก” แบงค์วิ่งหน้าตื่นๆหอบแห่กๆเข้ามาหา แคปกำลังจะเดินพ้นประตูทางออกด้านหน้าพอดิบพอดี

“มึงช้าเอง”

“ก็รอนิดดิวะ ปวดฉี่ไปเข้าห้องน้ำอ่ะ”

“แล้วทำไมกูต้องรอมึงด้วย บ้านอยู่คนล่ะทางเลย”

“ไปเที่ยวห้องกูไหมล่ะ มึงรู้ยังกูอยู่คอนโดไหน”

“ไม่อยากรู้เลย ขอร้องว่าอย่าบอก”

“ใจร้าย”

“หึ”

“ก็อยู่ใกล้ๆคอนโดมึงอ่ะ กูจะไม่บอกหรอกแต่จะพาไปเลยไปป่ะล่ะ”

“............” แคปส่ายหน้าไม่อยากจะเสวนาด้วยแล้ว เขาซอยขาลงบันไดเดินออกมาด้านหน้าของตึก แบงค์เดินตามลงมาอย่างไว พอจะถึงถนนใหญ่แบงค์คว้าสายกระเป๋าแคปไว้แล้วดึงเข้าหาตัว

“เฮ้ย!ไอ้เด็กบ้า ดึงทำเชี่ยมึงเรอะ” แคปแหวใส่

“ไปกินข้าวกันก่อนดิ แล้วเดี๋ยวกูไปส่ง”

“ไม่เอา” แคปแกะมือมันออก แต่แบงค์ยังไม่ยอมปล่อย

“ไปด้วยกันน่าดื้อทำไมวะแคป”

พลั่ก!

“อย่ามาเรื่องมากกับกูบอกไม่ไปมึงจบไหมห๊ะ!

“งั้นบอกเหตุผลมา”

“ทำไมกูต้องบอกมึง ก็แค่ไม่อยากไปด้วย หลีกทาง!

“แคป แค่กินข้าวน่า อะไรวะทำงานด้วยกันแท้ ๆ กูยังไม่ได้เลี้ยงต้อนรับมึงเลยนะ”

“กูไม่อยากถูกมึงเลี้ยง”

“งั้นมึงเลี้ยงกูสิ”

“ไอ้ตัวยุ่งยาก”

“ถ้ามึงยอมเลี้ยงข้าวกูนะเดี๋ยวจากวันนี้ไปกูไม่กวนมึงเลยเอาดิ”

“กูไม่เลี้ยง”

“แสดงว่าอยากถูกกูกวน”

“ไม่เกี่ยว กูก็แค่ไม่อยากกินข้าวกับมึง”

“งั้นขอเหตุผล”

“ไม่มี หลีกทางได้แล้ว” แคปจะเดินแทรกตัวออกไปแต่แบงค์จับสายกระเป๋าดึงเขาเอาไว้อีก คนตัวเล็กกว่าถลึงตาใส่อย่างโกรธๆ

“อะไรวะไม่มีเหตุผลเลย คนไร้เหตุผล คนไม่ดีนะรู้ยัง”

“ไอ้เด็กบ้า! กูก็แค่ไม่อยากถูกมึงแย่งกูกินแค่นั้นแหละ เมื่อตอนเที่ยงหมาใช่ไหมที่มันมากินข้าวในจานกูจนหมด พอจานตัวเองมาก็เสือกมาตักกินอีกแทนที่จะให้กูกินเต็มๆจาน”

“โถ่เอ๊ยที่แท้ก็เรื่องนี้ อ่ะงั้นสัญญาเดี๋ยวมื้อนี้ไม่แย่งแล้ว จะพาไปกินอาหารอร่อย ๆ เลยชดเชยมื้อเที่ยงให้มึงดีไหมล่ะ”

“................” แคปชะงักไปนิด พูดถึงเรื่องอาหารมันก็น่าสนใจมากอยู่  เขาทำท่านึก จริง ๆ แล้วเขาก็หิวมากอยู่เหมือนกัน มองซ้ายมองขวาร้านใกล้ ๆ แถวนี้รองท้องก่อนกลับก็ไม่เลว

“ก็ได้”

“จริงดิ!?” แบงค์ทำหน้าไม่อยากเชื่อ เพราะกว่าจะกล่อมมันได้นานโคตรๆ

“แต่กินร้านนี้นะ” แคปชี้ไปที่ร้านเพิงเก่าๆเล็กๆข้างรั้วสังกะสีที่ซ่อนตัวอยู่ในซอกๆหนึ่งข้างตึก ก็จะไม่เห็นได้ยังไงวินมอไซด์นั่งตรึม

“จะกินอะไรที่ร้านนั้น”

“ไม่รู้”

“มึงนี่แปลกเนาะ กินแบบนั้นไม่เป็นยังจะแกล้งกูอยู่อีก มานี่มา..” แบงค์ดึงแขนแคปให้เดินตามมาด้วยกันไม่กี่ก้าวก็ถึงรถ เขายื่นหมวกกันน็อคแบบเต็มใบสีตะกั่วส่งให้แต่แคปไม่รับ

“กูไม่ไปกับมึงนะ”

“แค่กินข้าวเดี๋ยวกูส่งลงที่บีทีเอสสักแห่งมึงก็ค่อยกลับเอาเอง แบบนั้นได้ใช่ไหม”

“เดินไป”

“อะไรเล่าใครจะเดิน ไปมอไซด์แป๊ปเดียวก็ถึงแล้ว”

“งั้นไม่ไป” แคปทำท่าจะเดินหนีออกมาอีกแบงค์นี่รีบขวางทางไว้แทบไม่ทัน

“เฮ้ยๆๆๆๆ มึงนี่ใจร้อนเป็นบ้าเลย ไหนว่าจะยอมไปดีๆไง”

“กินใกล้ ๆ” แคปบอกย้ำอีก

“โอเค ไม่เกินห้านาทีจากตรงนี้”

“..........”

“คิดทำไมวะแคป ก็แค่นั่งกินข้าวกัน” 

“ไม่ได้  กูต้องคิดหลายอย่าง..” แคปทำหน้าคิดจริงจัง คือจริงจังจนแบงค์แปลกใจ

“ทีมึงไปกับเพื่อนมึงไม่เห็นจะต้องเสียเวลาคิด นี่คิดไรกับกูป่ะเนี่ยกูชวนกินข้าวถึงต้องคิดอะไรให้มากมาย”

“ไอ้เด็กนรก อย่ามาพูดซี้ซั๊ว”

“โอเคๆขอโทษครับ ขึ้นรถป่ะ ห้านาทีกูจะบิดให้หัวตั้งเลย”

“กินใกล้ๆ” แคปย้ำอีกเป็นครั้งที่เท่าไหร่จำไม่ได้

 “ได้เลย ข้าน้อยรับบัญชา” แบงค์พยักหน้าตกลง เขาดึงให้แคปเดินเข้ามาหา คร่อมขาขึ้นมอไซด์คันใหญ่ก่อนทำท่าสวมหมวกกันน็อคให้อีกคนแต่โดนแคปหลบออกก่อน “จะมาใส่ให้กูทำไมล่ะวะ! มึงก็ใส่ไว้เองดิ”

“มึงใส่อ่ะดีแล้ว อย่าดื้อน่า”

“ไม่เอา”

“โอเคกูใส่เอง” แคปขยับตัวจะขึ้นซ้อน แบงค์ใช้โอกาสนั้นสวมกันน็อคแบบเต็มใบครอบลงที่ศีรษะให้ทันที แคปหันมาแว๊ดใส่แต่ด่าไม่ได้เพราะหน้าหมวกยังไม่เปิด เขาจับหมวกจะถอดออกแล้วเขวี้ยงคืนให้แต่เจอแบงค์บอกไว้ก่อนว่ายิ่งเถียงกันยิ่งช้าแคปจึงไม่อยากจะเรื่องมาก

“ขึ้นมาเร็ว รีบกินรีบกลับอยู่ใกล้มึงนานๆกูเขียวช้ำไปหมดแล้ว”

“ไอ้เด็กนรก ปากมากนัก” แคปขึ้นคร่อมแล้วทิ้งตัวนั่งแรง ๆ จนรถขย่ม แบงค์บอกยางแตกขึ้นมาล่ะน่าดูจะให้แคปเข็น แคปจึงโบกกะบาลทุยๆมันไปหนึ่งที


.

.



“มันไม่รับเหรอวะ”

หลังวิชาบรรยายที่ยาวนานจบลง เอสเอาโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายหาแคปทันที เขารอสายอยู่นานแต่ทางนั้นกลับปล่อยสายทิ้งไร้การตอบรับใดๆ เอสะกดเรียกไปอีกครั้ง ก่อนที่เสียงถอนหายใจหนักๆจะดังยาว ชิพส่งสัญญาณให้บุ้งมันลากเมี่ยงออกไปหาซื้อขนมไว้รองท้องเพราะว่าเดี๋ยวต้องเข้าแลปต่ออีกสองชั่วโมง ตอนนี้จึงเหลือแค่ชิพที่รอเอสเดินออกไปพร้อมกัน

“ลองอีกทีไหมล่ะ” เขาเอ่ยขึ้นพลางมองไปที่หน้าจอโทรศัพท์มือถือของเอส ไม่อยากจะเชื่อว่ามันตั้งแบคกราวด์เป็นรูปไอ้แคปใส่แว่นนั่งอ่านหนังสือ น่าจะถ่ายกันที่ไหนสักแห่งหน้าแคปใหญ่เต็มจอมาก ซึ่งเข้าข่ายเสี่ยงต่อความปลอดภัยเป็นอย่างสูงเพราะเอสกับเฮียเต้เจอกันบ่อย เกิดพี่แกเจอรูปน้องชายตัวเองมาอยู่ในเครื่องน้องรหัสตัวเองมีหวังเรื่องแดงแน่นอน

“ลองอีกไหมมึง..” ชิพถามขึ้นอีกรอบแต่เอสส่ายหน้าบอกไม่แล้ว เขาเก็บมือถือเข้ากระเป๋ากางเกง ก่อนจะตบลงที่บ่าเล็กของเพื่อนเป็นการบอกว่าไปเข้าเรียนต่อได้แล้ว เขาโอเค 

“กูว่าคงทำงานอยู่มั้ง..” ชิพหันไปบอก เอสพยักหน้าก่อนหยิบเอากล่องบุหรี่ขึ้นมาดึงออกหนึ่งตัวส่งเข้าปากแล้วจุดไฟสูบ หยุดยืนหันออกไปพ่นควันสีเทาหม่นเป็นทางยาวที่ระเบียงด้านหลัง  “คงงั้น..”

“มึงไม่ลองโทรอีกจะดีเหรอวะ กว่าแลปจะเลิกก็หกโมงเย็นนะเว้ย เผื่อมันจะได้รอมึงไง”

“ส่งข้อความไปบอกแล้ว”

“มันจะรู้ไหมล่ะ”

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูจะโทรบอกเพื่อนมันไว้ด้วย”

“มึงกลัวว่ามันจะไปกับไอ้เด็กคณะวิทย์นั่นเหรอ”

“.........”

“เขาเป็นเพื่อนร่วมงานกันนะเว้ย แล้วไม่ใช่ว่าผู้ชายทุกคนจะคิดกับแฟนมึงแบบนั้นสักหน่อย ไอ้ห่าขี้หึงฉิบหาย”

“นี่กูแสดงออกขนาดนั้น?” เขาหันไปจ้องหน้าถาม ชิพมองซ้ายมองขวาขยับเข้าไปพูดใกล้ ๆ พูดแบบที่ให้ได้ยินกันแค่สองคน

“แล้วมึงคิดว่าไอ้แคปมันโกรธมึงเรื่องอะไรล่ะวะ ก็มึงเล่นแสดงออกเดินมาหามันขณะที่พี่ชายมันยืนอยู่ด้วยแบบนั้น เป็นกูๆก็โกรธวะ คนยิ่งไม่อยากให้พี่รู้แต่อีกคนเล่นอยากจะเปิดเผยเปิดตัวหึงเลือดขึ้นหน้าซะขนาดนั้น ดีนะที่มึงยังสกัดกั้นตัวเองไว้ได้อยู่ มึงลองคิดดูให้มันดีๆ”

“อะไรเนี่ยตกลงมึงเพื่อนใคร”

“กูก็แค่อยากให้มึงได้คิด เวลาที่มันอยู่กับเฮียเต้มึงต้องเว้นที่ว่างให้พี่น้องเขาบ้าง แคปมันก็คงอึดอัดทำอะไรไม่ถูก”

“ไม่เกี่ยวหรอก กูว่ามันโกรธกูเรื่องอื่นมากกว่า”

“เรื่องอะไร”

“.........”เอสไม่ได้ตอบอะไรออกมาแต่สีหน้าลำบากใจซ่อนไว้ไม่มิดอีกแล้ว เขาเพียงแค่อัดบุหรี่เข้าปอดหนักๆแล้วเงยหน้าขึ้นมองดูท้องฟ้ากว้างก่อนที่ริมฝีปากสวยจะค่อยๆเผยอออกแล้วปล่อยควันสีเทาหม่นรูปร่างแปลกๆออกมา ชิพมองเห็นเพื่อนตัวเองแสดงออกมาแบบนั้นเขาวางมือไว้บนบ่าแกร่งแล้วบีบเบา ๆ

“ถ้าเรื่องไอ้เมี่ยงกูเองก็จนปัญญาเว้ย กูกับไอ้บุ้งพยายามสุดได้แค่นี้ มึงก็รู้มันแสดงออกกับมึงมากกว่าคนอื่นแบบนี้อยู่แล้ว ถ้ามึงยิ่งตีตัวออกห่างมากไปกว่านี้กูว่ามันรู้สึกตัวแน่ ๆ ถึงตอนนั้นจะมองหน้ากันไม่ติดเลยนะ”

“กูไม่เข้าใจว่ะเมื่อก่อนทำไมมันไม่เคยมีปัญหาเลยวะ ไม่เคยแสดงตัวอะไรแบบนี้เลยสักครั้ง กูคบผู้หญิงมาแล้วกี่สิบคนมึงก็รู้”

“ผิดแล้วมึง เมี่ยงมันแสดงตัวว่าเป็นเจ้าของมึงอยู่ตลอดเวลาแต่มึงไม่เคยสังเกตเลยต่างหาก” เอสเลิกคิ้วแปลกใจกับคำพูดของชิพ

“เพราะไอ้เมี่ยงมันรู้ว่ากับผู้หญิงพวกนั้นมึงก็แค่รู้สึกดีด้วย บางคนผ่านมาวันไนท์แล้วก็ผ่านไป บางคนเดือนสองเดือนยังไม่เคยจะถึง แต่พอมึงเจอคนที่มึงคิดว่าน่าจะคบกันได้นาน เมี่ยงมันเลยรู้สึกไม่ปลอดภัยในสถานภาพของมันขึ้นมากลัวว่าจะโดนมึงทิ้งกลัวว่าจะถูกมึงลดความสำคัญลง มันเลยยิ่งแสดงออกกับมึงมากขึ้นไง”

“กูกลุ้มใจฉิบหายมึงรู้ไหม” นิ้วเรียวยาวที่คีบบุหรี่ออกมาจากปากเท้าเข้าที่ขอบระเบียง

“มึงอย่าเกลียดมันนะกูขอร้อง” เอสส่ายหัวตอบสายตามองไปในที่ๆแสนไกล  เขาไม่มีทางเกลียดเพื่อนตัวเองอยู่แล้ว แต่ความลำบากใจไม่เข้าใครออกใครเลย

“กูจะไปเกลียดมันได้ไงวะ ไม่งั้นจะกลุ้มอยู่แบบนี้?”

“มันก็แค่อิจฉาคนที่มึงรัก มันก็แค่อยากเป็นคนพิเศษของมึง ก็แค่นั้นแหละ มันไม่ผิดหรอกนะ ถ้าจะผิดก็ผิดที่มันรู้สึกดีๆกับมึงเกินเพื่อนนี่แหละวะ”
สองคนยืนคุยกันอีกสักพัก จนบุ้งและเมี่ยงที่เดินขึ้นมาจากบันไดทางขึ้นเดินเข้ามาสมทบ คนตัวเล็กยื่นขนมในมือส่งให้เอสด้วยแววตาและสีหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความจริงใจ

“ทำหน้าอะไรของมึงวะไอ้เอส หิวข้าวแล้วดิ?” เมี่ยงเงยหน้าถามอย่างไร้เดียงสา ขยับไปยืนอยู่ข้างๆเอสไว้รอเวลาเข้าเรียน เพื่อนคนอื่นๆที่ลงเซคชั่นเดียวกันเดินเข้ามาหาทักทายกันตามปกติ รอเวลาเข้าห้องแลปแต่ละคนสวมเสื้อกาวด์แล้วเรียบร้อย และพอคลาสก่อนหน้าเลิกพวกเขาทั้งหมดก็เข้าไปเตรียมตัวนั่งประจำที่เป็นกลุ่ม ๆ ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงถึงเวลาพักเบรคชิพชวนเมี่ยงไปห้องน้ำ สองคนลุกขึ้นเอสเองก็ลุก เขาล้วงเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมา

“ไอ้เอสมึงเองก็จะไปเหรอวะ”

“เปล่า” เอสบอกพลางชูโทรศัพท์ในมือให้ดู เพื่อนๆก็รู้กันว่ามันจะโทรหาแคปแน่ ๆ ชิพเดินมาตบลงที่บ่าบอกใจเย็นๆ

“อีกชั่วโมงเดียวก็เลิกแล้ว”

“กูกลัวมันกลับก่อน”

“กลัวว่าไอ้เด็กนั่นจะไปส่งมันด้วยใช่ไหม”

“.....หึ....” เสียงทุ้มแค่นหัวเราะออกมาจากลำคอ ยืนรอเพื่อนอยู่หน้าห้องน้ำ พลางต่อสายหาอีกคนที่เรียกแบบไหนเรียกยังไงก็ไม่ยอมกดรับสายสักที

หลังแลปเลิก

“อ๋อยยยยยยยยยย กูหิวข้าวอิ๋บอ๋ายเลยว่ะแม่ง” เมี่ยงลุกขึ้นบิดขี้เกียจเขาคว้าเอาแขนเอสขึ้นมาดูเวลาที่ข้อมือ หกโมงเย็นไม่หิวให้ทำยังไงอยู่ได้

“เดี๋ยวเราออกไปกินอะไรกันดีวะไอ้เอส ไปกินที่ร้าน....ดีไหมเสร็จแล้วก็ไปช้อปปิ้งแล้วไปดูหนังกันต่อสักเรื่อง พรุ่งนี้ไม่มีเรียนตอนเช้ากลับดึกๆได้หายห่วง” เขาเงยหน้าพูดจ้อ ขณะที่เอสพาดสายกระเป๋าใส่บ่า รวบเอาหนังสือเล่มใหญ่บนโต๊ะขึ้นมาถือไว้

“กูไม่ว่างเลยเมี่ยง มึงให้ไอ้ชิพกับไอ้บุ้งมันพาไปก็แล้วกันนะ” เอสดึงแขนตัวเองออกจากมือเล็ก พวกเขาทั้งหมดเดินออกมาจากห้อง

“เฮ้ย..แต่ว่าวันก่อนกูก็บอกมึงไว้แล้วนี่ว่าวันนี้กูจะไปซื้อดิกฯเล่มใหม่อ่ะ มึงยังบอกเองเลยว่าของมึงก็ขาดแล้วจะไปดูเล่มใหม่มาไว้เหมือนกันไง”

“แต่ว่าวันนี้กูไม่ว่าง ไว้วันหลังถ้ามึงอยากได้หนังสือเราค่อยไปที่ศูนย์หนังสือกัน พวกเราทั้งหมดนี่แหละ” เอสเอื้อมมือไปคว้าแขนบุ้งพยักหน้าให้มาเดินแทรกระหว่างตัวเขากับเมี่ยงให้ที ชิพก็มองแล้วส่ายหัว รีบเดินไปประกบเมี่ยงแล้วบอกวันนี้จะพาไปเองอยากกินอะไรก็ให้บอก

“ไม่เอาอ่ะพวกเราต้องไปกันทั้งกลุ่มสิวะ ทุกทีเวลาเลิกแลปเหนื่อยๆแบบนี้มึงต้องพาไปกินไอติมไม่ก็นั่งกินกาแฟเย็น ๆ ถ้าไงเหล้าปั่นก็ดีนะ หลังมอร้านเดิม มึงว่าไงวะไอ้เอส” เมี่ยงแทรกตัวเข้าไปเกาะแขนเอสไว้ได้อีก ปากเล็กพูดเจื้อยแจ้วเอสหันมองใบหน้าที่พยายามอ้อนเขาสูงแค่หัวไหล่ ปกติแล้วถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงเอามือเข้าไปวางบนหัวมันแล้วขยี้เล่นตอบตกลงไม่ก็ล๊อคคอเข้ามากอด แต่ตอนนี้เขากลับเลือกที่จะเดินห่างออกมาอีกหน่อย ชิพเองก็เห็นสีหน้าลำบากใจของเพื่อนเขาขยับเข้ามาเรียกเมี่ยงวานให้ดูหน้าจอโทรศัพท์มือถือช่วยดึงความสนใจของมันออกมาจากอีกคน

“แยกกันตรงนี้พรุ่งนี้มึงส่งงานที่ฝากไว้ให้กูด้วย อาจจะเข้ามาช้าหน่อย” เอสบอกชิพ พวกเขาเดินมาถึงรถของเอสกับบุ้งที่จอดไว้ข้างกัน เมี่ยงรีบเดินเข้าไปหาเอส

“มึงไปส่งกู”

“กูมีธุระเมี่ยง”

“ส่งกูก่อนแป๊ปเดียวรถคันใหม่ของมึงกูก็อยากนั่งนะ มึงต้องผ่านหอกูอยู่แล้วแวะส่งกูก่อนไปรับแฟนมึงคงไม่มีปัญหาอะไรหรอกใช่ไหมล่ะ”

“............”

“อย่าบอกนะว่าแค่แวะส่งกูลงหน้าทางเข้าหอมึงก็ไม่ยอมให้ กูเพื่อนมึงนะ เราคบกันมากี่ปี กับคนที่มึงเพิ่งรู้จักได้แค่ไม่กี่เดือนมึงเลือกที่จะทิ้งกูขนาดนี้เลยเหรอวะไอ้เอส เกินไปไหมมึงคิดดู..” เมี่ยงหมดความอดทนที่จะเสแสร้งอีกต่อไปแล้วเขาโพล่งสิ่งที่คิดในใจออกมาจนหมด ตลอดบ่ายมานี้เขารู้มาตลอดว่าเอสพยายามกดโทรศัพท์ติดต่อหาใคร แล้วก็รู้มาตลอดว่าช่วงนี้เอสมันทำตัวเหินห่างเขามากขนาดไหน ดวงตากลมโตช้อนมองคนตัวสูงกว่าด้วยแววตาที่สั่นไหว เสียงที่เอ่ยออกมาก็สั่นเทิ้มไม่แพ้กัน เอสจ้องหน้าเมี่ยงนิ่ง

“หรือต้องให้กูบอกว่ากูโกรธมึงเกลียดมึงก่อนไหมล่ะเราถึงจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้..” ขาเล็กก้าวถอยออกมาอย่างน้อยใจ ชิพเข้ามาจับแขนเพื่อนไว้ เมี่ยงตาแดงๆคล้ายคนจะร้องไห้ เอสเองก็เลี่ยงไม่อยากจะมอง เขาแพ้น้ำตาทุกรูปแบบ บ้าฉิบ! เรื่องมันทำไมถึงเป็นขนาดนี้

“ไอ้เมี่ยงไม่เอาเว้ยมึง ไอ้เอสมันติดธุระจริง ๆ น้อยใจเหี้ยไรไปกับพวกกูก็ได้นี่หว่า..” ชิพแทรกขึ้นมาตบลงที่บ่าเล็กเบา ๆ ปลอบแต่เมี่ยงเบี่ยงออกอย่างโกรธๆ

“ไม่เอา! ถ้าวันนี้มึงไม่ไปส่งกูต่อไปกูจะไม่ไปไหนกับมึงอีกเลย ให้มันรู้ไปว่ามึงเลือกทางนั้นมากกว่าพวกกู”

“ไอ้เมี่ยง!” ชิพร้องขึ้นอย่างดัง บุ้งเข้ามาดึงชิพไปยืนอยู่ข้างเอสในทันที สามคนจ้องหน้าเมี่ยงนิ่ง

“มึงถอนคำพูดเดี๋ยวนี้ พูดอะไรออกมารู้ตัวบ้างไหมนั่น กูไม่ได้เข้าข้างไอ้เอสแต่ไม่เห็นด้วยกับคำพูดของมึงอย่างแรง..”บุ้งหมดความอดทน

“ไม่เอากูไม่ถอน พวกมึงก็ดูสิแต่ก่อนเราไม่เคยมีปัญหากันเลยแต่เดี๋ยวนี้ตั้งแต่ไอ้เสมันคบกับไอ้แคปนั่นทุกอย่างระหว่างพวกเราเปลี่ยนไปหมด มันไม่เหมือนเดิมกับกู พวกมึงอาจจะไม่รู้สึกแต่กับกูที่ใกล้ชิดกับมันมากกว่า รู้เลยว่ามันกำลังตีตัวออกห่างจากพวกเรา”

“ไม่ใช่กับพวกเรามึงพูดผิดแล้ว!” บุ้งสวนขึ้นมาทันที

“มึงควรรู้ใหม่นะไอ้เมี่ยง ไอ้เอสน่ะมันเว้นระยะกับมึงแค่คนเดียว มึงรู้ไหมว่าเพราะอะไร มึงรู้คำตอบนั้นอยู่แล้ว มันแค่ไม่อยากจะพูดทำลายความเป็นเพื่อนของพวกเราทั้งหมดแค่นั้นเอง มึงคบกับมันมานานแค่ไหนเรื่องแค่นี้มึงอ่านมันไม่ออกหรือไงวะเมี่ยง” แม้จะเป็นถ้อยคำที่ไม่ควรจะเอ่ยออกมามากที่สุด แม้จะเป็นสิ่งที่ไม่ควรพูดออกมาเลยก็ตาม แต่บุ้งก็จำเป็นต้องพูดออกมา เขาอยากจะให้เมี่ยงรู้ตัวได้สักที
เมี่ยงน้ำตาทะลักออกมาแทบจะทันทีที่จบคำพูดของเพื่อน ชิพดึงเพื่อนตัวเองเข้าหาตัวแล้วกอดปลอบ บุ้งเอาบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบพ่นควันสีหม่นเป็นทางยาว ขณะที่เอสก้าวเข้าไปหาแล้ววางมือลงบนศีรษะเล็กเหมือนอย่างที่เคยทำ เขาจ้องหน้าคนที่ก้มหน้าก้มตาร้องไห้

“ถึงกูจะดีกับพวกมึงทุกอย่าง เทคแคร์ใส่ใจ แต่เมื่อถึงวันนึงที่กูมีคนพิเศษ คนๆนั้นต้องได้มากกว่าคนอื่น..” คำพูดร้ายกาจแต่แฝงไปด้วยความจริงทั้งหมดของหัวใจ เขาเป็นคนแบบนี้ ถ้าเป็นเมี่ยง ถ้าเป็นชิพกับบุ้งฟังแล้วย่อมต้องเข้าใจ แต่ความจริงที่สุดแสนจะเจ็บปวดก็ทำให้ทำนบน้ำตาที่เอ่อล้นอยู่แล้วของเมี่ยงกลับไหลเท หลั่งลงมาอีก

“ฮึกก...”

“นี่คือความจริงที่มึงจะต้องยอมรับให้ได้”

“ฮึกก....ฮือออ....”

“พวกเราสี่คนเป็นเพื่อนกันตลอดไป กูจะไม่ทำตัวแบบนั้นอีกถ้ามึงสัญญาว่าจะรักษาระยะห่างเรื่องความรู้สึกกับกูได้ ไว้ค่อยเจอกันพรุ่งนี้ วันนี้มึงให้ไอ้บุ้งกับไอ้ชิพพากลับไปที่ห้องก่อนนะ”

“ฮืออ....

“อย่าไปคิดมาก พรุ่งนี้ดึงตัวเองกลับมาซะ กูยังเป็นเพื่อนที่หวังดีกับมึงคนเดิม” เสียงทุ้มอ่อนโยนพูดไปด้วยพลางลูบหัวเล็กไปด้วย เช่นกันกับบุ้งเองก็ขยับเข้ามายืนข้างเอส มือใหญ่ลูบลงที่หัวเล็กของเมี่ยงเช่นกัน

“ฮึกก..ขอโทษเอส กูขอโทษ....ฮึกก...”

“ไม่เป็นไร พรุ่งนี้จองที่ให้กูด้วยล่ะ ไว้เจอกัน..” เอสพยักหน้าก่อนตบลงที่บ่าเล็กหนักๆสองทีแล้วบีบให้กำลังใจ ไม่ว่าความรู้สึกของอีกคนจะถลำลึกแค่ไหนแต่อย่างน้อยเขายืนยันจุดยืนของตัวเองแล้ว ได้แต่หวังว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะกลับมาเข้าที่เข้าทางเหมือนเดิม
.
.
ช่วงเวลาโพล้เพล้ท้องฟ้าเปลี่ยนจากแสงสีส้มแดงฉานกลับกลายเป็นเทาหม่น ยานพาหนะสองล้อคันหรูแล่นเข้ามาจอดเทียบริมถนน แคปกระโดดลงจากท้ายรถถอดหมวกกันน็อคส่งคืนเจ้าของก่อนยกมือเสยผมให้เข้ารูป เมฆสีดำก้อนใหญ่เคลื่อนตัวเข้ามาปกคลุม

“ห้านาทีของมึงโคตรนานไม่รักษาเวลาเลยให้ตายเหอะ..”  ปากก็บ่นไปแต่ตากำลังมองดูที่ฟุตบาตปูด้วยอิฐประดับสีเทา ร้านก๋วยเตี๋ยวข้าวมันไก่ริมทางแบบนี้ ทำไมถึงได้มีทางเท้าที่สวยนัก

“ขี้บ่นจริงนะ กินร้านนี้มึงโอเคไหมหนิ..” แบงค์ลงจากรถแล้วเดินเข้ามาถาม แคปพยักหน้าก่อนเดินนำเข้าไปนั่งลงที่โต๊ะเล็กใกล้ ๆ สองคนสั่งอาหารง่ายๆมากินกัน

“มึงไม่กินแตงกวาหรือไง..” แบงค์ถามขึ้นเพราะเห็นแคปเขี่ยแตงกวาไปไว้ด้านข้าง เขาตักเนื้อไก่ในจานตัวเองไปแลกกับแตงกวาในจานของแคปแทนให้

“อะไรล่ะจะยุ่งทำไม..” แคปเงยหน้ามาด่า เอาส้อมจิ้มแตงไว้ไม่ให้มันมาตักเอาไปได้ แบงค์เบะปากแล้วยักไหล่บอกไม่เอาก็ได้

“กูว่าคืนนี้ฝนตกชัวร์ๆ” แบงค์เอ่ยขึ้น เงยหน้ามองท้องฟ้าแคปงับช้อนเอาไว้แล้วมองตาม จะว่าไปได้กลิ่นฝนจริงๆ เมฆดำเชียว

“งั้นมึงก็รีบกินเข้าสิ มัวแต่นั่งชมพระจันทร์อยู่นั่นประสาทดีไหมมึงอ่ะ”

“อ้าว นานๆทีพาคนพิเศษมากินข้าวด้วย มีดวงจันทร์เป็นสักขีพยานแบบนี้กูก็ต้องดื่มด่ำบรรยากาศหน่อยสิวะ”

“บรรยากาศพ่องมึงสิไอ้เด็กเวร พูดจาปากดีนัก รีบกินรีบเสร็จกูจะกลับแล้ว ฝนตั้งเค้าขนาดนี้มีที่ไหนพระจันทร์บ้านมึง”

“โน่นไง” แบงค์ตีคิ้วบอกให้ดู แคปเตะขามันไปหนึ่งที

“กวนประสาท”

“แล้วมึงจะกลับยังไงวะ”

“ยากอะไรโน่นไงบีทีเอส” แคปโบ้ยหน้าบอก มองดูเวลาเขาคิดว่าบางทีอาจจะใช้บริการรถแท็กซี่

“กูไปส่งไม่ดีเหรอ”

“ไม่ดี กินซะอย่าพูดมาก” แคปว่าจบก้มหน้าก้มตากินๆๆแล้วก็กิน สุดท้ายแบงค์กินเสร็จก่อน หยิบแก้วน้ำขึ้นมาดูดมองดูแคปที่เคลียร์จานตัวเองจนสะอาดเกลี้ยงเกลา

“แคป..”

“นี่ถามจริงมึงพูดมากๆแบบนี้แฟนมึงไม่รำคาญเหรอวะ” แคปวางช้อนลงแล้วตั้งใจถามตัดบท เขาทำหน้าเซ็ง ๆ มองคนตรงหน้า

“กูไม่มีแฟน”

“แล้วผู้หญิงที่มึงแย่งกับไอ้อาร์ล่ะ”

“ทิ้งแล้ว”

“.........” มึงตอบง่ายไปนะไอ้สัส แคปแทบจะด่าออกมาแบบนั้น แต่สถานการณ์แต่ละคนที่พบเจอมักแตกต่างกันเพราะงั้นเขาจะไม่เอาตัวเองเข้าไปตัดสินหรอกว่าใครสมควรทิ้งหรือไม่

“ชั่วร้ายนะมึง” แต่ก็ขอด่าสักหน่อย แบงค์ก็แค่ไหวไหล่แล้วมองออกไปที่ถนนเงียบ ๆ แคปหยิบเอาแก้วน้ำขึ้นมาดูด จนน้ำเย็นๆหมดเกลี้ยง เสียงโทรศัพท์สั่นขึ้นอีกครั้งนี่ยังไม่นับตอนที่นั่งอยู่บนรถมือถือเขาสั่นเรียกตลอด

“ไม่รับอ่ะ?” แบงค์หูดีมากได้ยินแม้กระทั่งเสียงเรียกเข้าแบบสั่น แคปส่ายหัวแล้วดูดน้ำต่อไป

“เอาอีกจานไหมล่ะ” แบงค์ถามดูอีก มองข้าวในจานแคปที่ถูกกินซะหมดเกลี้ยงคงจะถูกปากมาก แต่แคปบอกไม่ เขาลุกขึ้นเดินไปจ่ายตังค์

“กูจ่ายเองสิวะ” แบงค์รีบเดินเข้าไปยื่นเงินจ่ายให้อย่างเร็ว คนขายงงไปเล็กน้อย

“สัญญากันแล้วไง”

“กูไม่ขอบใจล่ะ แต่จะบอกแค่ว่าอาหารเขาอร่อยมากเลย” แคปพูดขึ้นมาลอย ๆ สองคนเดินออกมา แคปมองซ้ายมองขวาอีกไม่กี่ร้อยเมตรก็จะถึงสถานีแต่เขาชั่งใจอยากจะเรียกแท็กซี่ขึ้นมากว่า

“ที่นี่ขายโต้รุ่ง พรุ่งนี้จัดรายการเลิกดึกๆเราค่อยมากินด้วยกันอีกก็ได้”

“ไม่มีทางอ่ะ ใครจะบ้ามานั่งกับมึงดึกๆดื่นๆวะ” เลิกตีหนึ่งเนี่ยนะ ที่สำคัญนึกถึงไอ้เจ้าของเสียงเรียกเข้าแบบสั่นๆเมื่อตะกี้ แค่มานั่งกินข้าวกันแบบนี้กับไอ้เด็กนี่ให้รู้ไม่ได้เด็ดขาดไม่งั้นเรื่องใหญ่เลย แล้วเกิดพรุ่งนี้มันตามมานั่งเฝ้าเขาอีกตอนจัดรายการซวยแน่  แคปหลุบสายตามองดูกระเป๋าที่มีโทรศัพท์มือถือที่กำลังสั่นเรียกอยู่เป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้

“โทรมาหลายครั้งแล้วนี่เนอะ ไม่รับจะดีเหรอวะ”

“อย่ามาทำเป็นรู้ดี ไม่ต้องมายุ่งเรื่องของกู” แคปหันไปดุใส่ล้วงเอาขึ้นมาดูหน้าจอนิดหน่อยเป็นสายจากปอโทรมาหาถามว่าจะให้มารับไหม

“มึงไม่โทรมาตอนสามทุ่มเลยล่ะไอ้หมาปอ” แคปกรอกสายลงไป

(เพิ่งออกมาจากโรงหนัง ตกลงให้กูไปรับไหมวะ)

“ไม่ต้องฝนจะตกแล้วกูจะกลับเอง”

(มึงชัวร์นะ)

“กูไม่ใช่เด็ก ไว้ค่อยเจอกัน”

(แถวนั้นมีตลาดโต้รุ่งแวะแดกข้าวมาก่อนนะมึงวันนี้กูไม่ทำอาหารนะ)

“เออๆ”  แคปบอกไว้แค่นั้นแล้วกดวาง จู่ ๆ ลมโกรกเข้ามาแรงมากๆ แรงถึงขนาดเขาที่ยืนอยู่ยังเหมือนจะเซ ฝุ่นจากท้องถนนตลบอบอวล ต้นไม้ที่เกาะกลางไหวลู่จนกิ่งเล็กๆเอนเกือบจะแตะลงที่พื้นดิน ฟ้าร้องคำรามน่ากลัว ประกายสายฟ้าแลบเข้ามาจากที่ไหนสักแห่งเขารีบยัดโทรศัพท์คืนลงในกระเป๋า ไฟฟ้าฝั่งถนนที่พวกยืนดับลงเป็นทางยาว

“ฝนมาแล้วแคป รีบไปขึ้นรถเร็ว” แคปตั้งท่าจะวิ่งไปที่บีทีเอสใกล้ ๆ หากแต่แบงค์จับแขนเขาแล้วดึงไปที่รถมอไซด์ก่อนจับหมวกกันน็อคสวมให้ด้วยความเร็ว

“เดี๋ยวกูไปส่งให้ ฝนตกฟ้าร้องด้วยอย่าวิ่ง” แคปไม่มีเวลาจะคิดอะไรแล้ว ฝนเริ่มลงเม็ดมาพร้อมกับสายลมกรรโชกดุ รถมอไซด์คันใหญ่ทะยานออกสู่ท้องถนนสายมืดมิดด้วยความรวดเร็ว

“ทำไมมึงไม่จอดวะไอ้แบงค์..” เมื่อรถขับเตลิดบีทีเอสออกมา แคปรีบคว้าไหล่แบงค์ไว้แล้วร้องถาม เขาลืมเปิดหน้าหมวกออกเลยต้องถามใหม่เสียงดังๆ ลมฝนลงเม็ดหนักจนแสบหน้า แบงค์หันมามองแวปนึงจากนั้นดึงหน้าหมวกปิดลงให้

“จับแน่นๆจะพาออกไปจากตรงนี้..” มือใหญ่ดึงข้อมือแคปให้เกาะเอวเขาไว้ให้แน่น เสียงลมกรรโชกคำรามดังจนน่ากลัว แคปมองซ้ายมองขวาขณะที่เหมือนกับตัวเองเพิ่งจะนึกได้เขาละมือมาถอดกันน็อคออกแล้วเรียกแบงค์ให้รับเอาไปใส่

“บ้าเอ๊ย มึงถอดออกทำไมวะลมแรงฝนก็เม็ดใหญ่เดี๋ยวก็เจ็บหน้าหรอก..” แบงค์หันมาดุ รถใช้ความเร็วสูงมาก แบงค์ตะคอกบอกให้แบงค์ใส่กลับเอาไว้คืน ตัวมันเองยกมือลูบหน้าที่เปียกโชกไปด้วยเม็ดฝนลูบแล้วลูบอีก

“กูอุตส่าห์หวังดีไอ้เด็กบ้า มึงไม่ใช่รึไงที่โดนเม็ดฝนกระแทกหน้าน่ะ”

“เรื่องของกูเหอะมึงใส่กลับเข้าไปเลยอย่าทำให้กูต้องห่วงได้ไหมล่ะห๊ะ!

“เออกูไม่สนใจแล้ว เจ็บก็เรื่องของมึง..” แคปว่าจบสวมหมวกกลับคืนก่อนคว้าจับเสื้อคนขับไว้อย่างไว้เพราะจู่ ๆ รถเอียงหลบรถคันใหญ่ที่วิ่งไปในช่องทางเดินรถเดียวกัน

“ไอ้สัส กูตกใจ” แคปร้องออกมา

“กอดกูไว้ดีๆแล้วหมอบลง กูจะเอาให้เร็วกว่านี้”

“ไม่เอาแค่นี้เร็วแล้ว เปียกก็ช่างมันไหนๆก็เปียกแล้วมึงมันบ้าไม่ยอมจอดให้กูลงเอง”

“เงียบน่า ก้มลงมา กอดกูไว้”

“อ่ะ!!” แคปตกใจสะดุ้งเฮือกเมื่อรถที่นั่งอยู่เอียงตัวหลบวูบออกจากช่องทางเดินรถเปลี่ยนเลนตัดไปที่อีกฝั่ง เขากอดเข้าที่เอวคนขับแล้วหลับตาปี๋เลย รถใช้เวลาสักพักก็ออกมาถึงจุดที่ฝนซาจนกระทั่งตกลงมาไม่ถึง แคปยืดตัวขึ้นมองถนนทั้งสองฝั่ง นี่มันขับมาถึงแถวๆคอนโดเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ตัวเลย ถนนทางด้านนี้แห้งสนิทไม่มีร่องรอยของฝนเลยแม้แต่นิด รถชะลอตัวลงแล้ว แคปถอดหมวกกันน็อคออกแล้วเสยผมก่อนสะบัดๆขณะที่แบงค์เองก็ขับรถแค่มือเดียวอีกมือเสยผมแล้วสะบัดหัวไล่ละอองน้ำออกให้หมดเช่นกัน

“อะไรวะฝนตกแบบไหนกันเนี่ย..” แคปบ่นไปพลางส่องดูภายในหมวกใบใหญ่ที่ถืออยู่ คิดว่ามันคงไม่เปียกอะไรเท่าไหร่นัก

“มึงจอดแถวนี้ก็ได้เดี๋ยวกูเดินเข้าไปเอง”

“ได้ไงวะมาส่งแล้วก็ส่งให้มันถึงที่เลยสิ”แบงค์ยังขยี้หัวตัวเองอยู่ไม่หยุด คือปัดผมจนแคปมองว่ามันกะจะเอาลมถนนเป่าให้แห้งเลยหรือยังไง

“โน่นใช่ไหมคอนโดมึงอ่ะ”

“เออ เลี้ยวเข้าไปดิ”รถขับผ่านรปภ.แคปพยักหน้าบอกให้รู้ว่าเป็นเขาเอง น้ายามจึงปล่อยให้เข้าไปได้ แบงค์เองก็ค้อมหัวลงให้

“ส่งตรงไหนวะ”

“ตรงไหนก็ได้มึงจอดปุ๊ปกูลงเลย”

“ได้ไงวะ ส่งตรงนั้นก็แล้วกัน” รถเลี้ยวมาจอดตัวลงเกือบ ๆ ถึงฝั่งทางเข้าห้องล็อบบี้ และตอนนั้นเองที่เมอเซเดสสีขาวคันสวยปาดเข้ามาจอดอยู่ที่ช่องจอดไม่ไกลจากจุดนี้ด้วยความเร็วสูง เสียงล้อครูดกับพื้นซีเมนต์ดังลั่นเมื่อรถถูกเบรกตัวตั้งลำจะถอยเข้าซอง แต่แล้วจู่ ๆ รถคันนั้นกลับชะงักนิ่งไปเหมือนคนขับเกิดเปลี่ยนใจอะไรสักอย่าง แคปมองเห็นป้ายทะเบียนแล้วตาเหลือกโตขึ้นมา เขาตกใจจนหน้าซีดเมื่อรู้แล้วว่ารถคันนั้นที่กำลังตั้งลำถอยเป็นรถของใคร มองจากตรงจุดนี้จะว่าไม่ใกล้นักก็คงจะได้หากแต่เหมือนกับว่าเขามองเห็นสายตาคมกริบที่นั่งจ้องกระจกมองหลังโฟกัสมาที่พวกเขา

...ตายห่าแล้วกู...

แคปกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ นิ่งไปขนาดที่แบงค์ยังต้องหันมอง มือเล็กเริ่มสั่นและเปียกชุ่ม ไม่ใช่ว่ากลัวแต่ไม่อยากมีเรื่องอยู่ตรงนี้ เกิดคนเดินผ่านไปผ่านมา บ้าเอ๊ยทำไมมันถึงต้องมาจอดรถเวลาเดียวกับที่ตัวเขากลับมาถึงห้องด้วยวะ

“ไอ้แบงค์มึงกลับไปสิวะไอ้เด็กนรก! จะมัวยืนอยู่ทำซากอ้อยมึงเหรอห๊ะ!!” แคปพูดกัดฟันหันไปด่าไล่ คิดว่าจะขยับไปด่ามันให้ใกล้กว่านี้แต่เมื่อคิดดูดีๆอีกทีไม่เสี่ยงจะดีที่สุด

 “กูกลับได้เหรอ..” เสียงทุ้มของแบงค์ดังขึ้นมาข้างหู แคปนี่แทบจะหันไปบีบคอมันแล้วเตะโด่งครั้งเดียวกระเด็นออกพระรามสามไปเลย

“รีบเลยมึง สตาร์ทรถแล้วมึงก็บึ่งออกไปเลยนะไม่ต้องกลับมาอีก..” ประตูรถถูกเปิดผั๊วะออกมาแล้ว แคปขยับถอยออกมาอีกหนึ่งก้าวแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว ขณะที่แบงค์เห็นชัดๆแล้วว่าเป็นใครที่ก้าวลงมา

“ถ้ากูชิ่งไปแบบนั้นมันก็เหมือนกับกูกับมึงลักลอบทำความผิดกันเลยนะ เราก็แค่...”

“ไอ้สัส! กูบอกให้มึงรีบขับออกไป ไปให้ไวๆเลยไป!!” แคปหันไปมองมันแวปเดียวเท่านั้นที่ปลายหางตาเห็นเอสก้าวเข้ามาแล้วหน้าตาขึงขังเหมือนโกรธใครมาเป็นล้านปีมันก้าวเข้ามาเรื่อย ๆ   เหลืออีกเพียงไม่กี่ก้าวของมันก็จะถึงตัวพวกเขาสองคนแล้ว แบงค์เพิ่งจะกดปุ่มสตาร์ทรถ แต่ทว่า ช้าไปแค่วินาทีเดียวจริงๆเพราะมือใหญ่และรวดเร็วกว่ายื่นเข้ามาคว้าเอาคอเสื้อเปียกโชกของแบงค์ลากออกมาจากรถแล้วเหวี่ยงคนทั้งคนลงที่พื้น เสียงรถคันใหญ่ล้มโครมลงที่ถนน

“ไอ้เอส!” แคปร้องตะโกนขึ้นมา เขาวิ่งเข้าไปกอดเอวมันไว้แต่โดนคนตัวใหญ่กว่าสลัดออกอย่างไม่ไยดีเหี้ยไรทั้งสิ้น ขายาว ๆ ก้าวเข้าไปหาแบงค์แล้วกระทืบใส่ท้องหนักๆหนึ่งทีก่อนที่เอสจะหิ้วคอเสื้อแบงค์แล้วดึงขึ้นมาหาตัว  ใบหน้าสองคนใกล้กันจนได้ยินเสียงลมหายใจ

“กูเคยบอกมึงหรือยัง คนที่กล้ามายุ่งกับเมียกูจะต้องเจอกับอะไร..”เสียงทุ้มดุดันเอ่ยลอดไรฟันออกมา เอสโกรธจนกล้ามเนื้อใต้ตากระตุก ขณะที่คนโดนอย่างแบงค์จุกที่ท้องจนพูดไม่ออก เขาปวดซี่โครงจนเหมือนมันจะร้าวไปถึงไหนต่อไหน เบ้หน้ามองคนที่หิ้วคอเสื้อเขาอยู่ด้วยความเจ็บ หมัดที่จะปล่อยออกไปเพื่อปกป้องตัวเขาเองกลับโดนคว้าจับแล้วบิดไพล่

“บ้าฉิบ!” แบงค์สบถ ย้ายจากซี่โครงมาเป็นที่แขน ซึ่งตอนนี้เจ็บปวดเหมือนมันจวนจะหลุดออกมา

“ไอ้เอสมึงพอได้ไหมห๊ะ! เป็นบ้าอะไรของมึง พอได้แล้ว!!” แคปที่โดนสลัดออกไปมองซ้ายมองขวา เขาเข้าไปคว้าจับแขนเอสแล้วกระชากแรง ๆ ให้แบงค์มันหลุดออกมาได้ ดวงตาคมกริบหันมามองที่แคปแค่แวปเดียวก่อนที่มันจะทอประกายโกรธขึ้นอีกไม่รู้กี่สิบเท่า เอสวิ่งเข้าใส่แบงค์ที่ยืนกุมแขนตัวเองอีกครั้งแต่แคปก้าวเข้าไปสวมกอดเอวมันไว้จากด้านหลังอีกครั้งแล้วบอกขอร้องให้หยุด!

“ห่วงมันทำเชี่ยมึงเหรอห๊ะ!” เอสหันไปพูดเสียงดังใส่ หลุดเข้าไปคว้าคอเสื้อแบงค์ได้อีก

“พอแล้วไอ้สัส มึงมันบ้าไปแล้ว!” แคปรีบถลาเข้าไปจับแขนมันแล้วเงยหน้ามอง ดวงตากลมโตไหวระริก กำท่อนแขนแกร่งไว้แน่น

“พอได้แล้ว!!

“กูจะเอามันให้ตายไปตรงนี่เลย มึงรอดู!” เอสส่งเสียงลอดไรฟันออกมา หน้าตาน่ากลัวเหมือนคำพูดของมันไม่มีผิด

“พอได้แล้วไอ้เอส กูบอกให้พอ!

“หลีกไป!

“ไอ้สัส! มึงจะบ้าไปถึงไหนกูบอกว่าให้พอไง บ้าเอ๊ยแม่ง”

“หลีกไป!

“ไม่หลีก!

“แคป!!หลีกไป!!!

“กูขอร้อง...”

“แคป!!!”  

“แค่กินข้าวกัน!!!” แคปหมดหนทางแล้ว เขาตะโกนขึ้นมา  เสียงสั่นเหมือนคนจะร้องไห้จนเอสต้องชะงักแล้วหันมอง

“กูก็แค่หิวข้าว! พอทำงานเสร็จกูไปกินข้าวกับมันฝนตกลงมาพอดีมันเลยต้องมาส่งกูแบบนี้ พวกกูก็แค่กินข้าวข้างทางแค่นั้น!” แคปทั้งพูดทั้งตะโกนละล่ำละลัก เขาจ้องมองดวงตาคมกริบที่เบนกลับมาจ้องลงที่แบงค์อีกครั้ง

“กูขอ..” เพราะเห็นท่าทางแบบนั้นของอีกคน เพราะเสียงที่สั่นเครือแบบนั้นของอีกคน มือใหญ่ของเขาจึงเหวี่ยงแบงค์ออกอย่างแรงจนเซไปเกือบจะชนกับมอไซด์ตัวเอง
พลั่ก!
ก่อนที่เสียงทุ้มพร่าแหบของคนทำจะเอ่ยคำขู่โหดๆออกมา “ถ้ามีครั้งที่สองอีก กูเอามึงตาย” เอสชี้นิ้วใส่หน้ามันเยี่ยงซาตานร้าย แบงค์ที่ว่าแน่ ๆ เจอเอสโหมดนี้เข้าไปเขาถึงได้เข้าใจว่าเขากับมันอารมณ์คนล่ะระดับ ไม่แปลกใจทำไมใครๆในมอต่างพูดกันถึงความโหดของคู่หูพี่รหัสน้องรหัสเต้เอสแห่งภาคโยธา ที่แม้แต่เด็กวิศวะมหาลัยอื่นยังนึกกลัวคงมีแต่พี่ชายแคปเท่านั้นที่จะปราบมันลงได้  แต่สิ่งที่เข้าใจยิ่งไปกว่าก็คือ ทำไมแคปถึงได้ดื้อดึงนักตอนที่เขาชวนขึ้นรถมาด้วยกัน

“มึงมานี่!” แคปที่กำลังยืนอึ้งทำอะไรไม่ถูก เจอเอสคว้าทั้งแขนแล้วลากเข้าไปยัดไว้ที่รถ

“กูไม่ไป! มึงจะพากูไปที่ไหน ปล่อยสิวะ!” มือเล็กคว้าเอากรอบประตูรถไว้ ขืนตัวไม่ยอมโดนผลักเข้าไปด้านในง่าย ๆ มองไปที่ด้านนอกแวปนึงเห็นแบงค์ยืนมองเขาสองคนอยู่ แคปนี่อยากจะตะโกนบอกมันนักว่าจะไปตายห่าที่ไหนก็ไป ยืนมองอยู่ได้เกิดไอ้เหี้ยเอสมันขึ้นๆมาอีกคนที่จะตายน่ะคือกูคนนี้

“กูเจ็บไอ้สัส มึงเบามือหน่อยได้ไหมล่ะ!” แคปตะโกนใส่หน้าเมื่อเอสกระชากแขนเขาจนมือหลุดออกจากรอบประตูที่คว้าจับเอาไว้ เนื้อครูดจนเป็นรอยแดง

“มึงผิดเอง”

“กูผิดเหี้ยไรห๊ะ! มึงปล่อยก่อนกูไม่เข้าไปน่ะ อื้ออออ ไม่เอาไอ้สัสกูไม่เข้าไป!” แคปดิ้นแถกจนสุดแรง ดิ้นๆๆๆเจอเอสรวบกอดเอาไว้แล้วยัดตัวคนทั้งคนเข้าใส่ในรถ

“ปล่อยกู! ไม่เอาไอ้เอสกูไม่ไปได้ยินไหมวะ โฮ้ยยยยยยยกูไม่ไป๊!!!!!!!!!!!

“........”

“ปล่อยกู!!”

“..............”

“ปล่อยกูสิไอ้สัส ปล่อยกู!!”

“ดิ้นให้ตายไปเลยนะ”

“กูเกลียดมึง!

โครม!ๆๆๆๆ

แคปถีบเท้าย่ำรัวๆเข้าที่คอนโซลหน้า ตอนที่รถเคลื่อนตัวจะขับออกมา เขาพยายามเอื้อมตัวมาปลดล็อคประตูที่อีกฝั่ง ฟาดทั้งหมัดทั้งตีนประเคนใส่คนขับจนเอสที่เอาแขนขึ้นกันอดทนต่อไปไม่ไหว ต้องชะลอรถจอดลงเพราะไม่สามารถขับต่อไปได้อีก

“แคป!!!!!!” เอสตะคอกใส่เสียงดังมาก หลบมือที่ทั้งทุบทั้งตีเขาเป็นพัลวัน

“กูไม่ไปกับมึง!!” แคปตะคอกกลับไม่ยอมแพ้ มือใหญ่คว้าเอาข้อมือขาวเอาไว้แล้วบีบเข้าแรง ๆ

“มึงไม่ไปกับกูแต่มึงยอมนั่งรถมากับมันไม่ให้กูหึงมึงให้กูไปหึงหมาที่ไหนห๊ะแคป!

“ปล่อยกูเอสแคปดิ้นขึ้นมาอีกครั้ง พยายามให้ตัวเองหลุดออกจากพันธนาการร้ายแต่มือที่ทั้งใหญ่ทั้งเหนียวแน่นของเอสกดน้ำหนักบีบหนักๆขึ้นเรื่อยๆ

“กูเจ็บ....” เอสกำราบคนพยศด้วยการดึงแคปเข้าหาตัวแล้วรวบกอดเอาไว้กับอกก่อนปล่อยมืออีกข้างออกมาล็อคเข้าที่ต้นคอขาวผ่องดันตัวมันแนบชิดแล้วมือใหญ่ก็เปลี่ยนมาบีบลงที่สันกรามสวยก่อนประกบจุมพิตร้อนแรงลงไป

“อื๊อออออออออออออออออออออออออ” แคปดิ้นจนตาเหลือก กลอกตามองซ้ายมองขวาทั้งที่โดนเรียวลิ้นหยาบคายของอีกคนจ้วงจูบ ที่ตรงนี้ใกล้เสาไฟมากเขากลัวว่าจะมีคนขับรถผ่านหรือเดินมาเห็น แต่เมื่อยิ่งดิ้นเอสยิ่งรัดตัวเขามากขึ้น

“อย่า.....!!”แคปร้องห้ามทั้งที่ปากยังโดนบดขยี้ มือเล็กทั้งทุบทั้งฟาด ใบหน้าที่พยายามจะหลบหนีแต่ทำยังไงก็ไม่หลุดออกได้จากพันธนาการแน่นหนาของอีกคนได้ จุมพิตร้ายกาจที่ซาตานร้ายกำลังมอบให้กับคนที่เขารักมันช่างเผาผลาญราวกับเชื้อเพลิงที่กำลังเผาไหม้ เอสไล่ปลายลิ้นกวาดต้อนทั่วโพรงปากอิ่มก่อนที่เขาจะถอนจูบออกมาแล้วดูดหนักๆเข้าที่มุมปากเล้กอีกหนึ่งครั้ง

“มึงจะทำให้กูเป็นบ้า มึงรู้ไหม!” เสียงทุ้มพร่าแหบเอ่ยสั่น ดวงตาคมกริบที่จ้องลงมาแฝงไปด้วยความเจ็บปวด

“ปล่อยกูเอส!! กูไม่ไปกับมึงนะ ปล่อยกูลง

“อย่าทำแบบนี้อีก กูขี้หึงมากเคยบอกแล้ว” เอสละลำตัวออกมาก่อนกระชากเกียร์กระทืบคันเร่งออกรถไปอย่างแรง เสี้ยวหน้าคนขับที่เต็มไปด้วยความเครียดทำเอาแคปต้องหยุดร้องหยุดแหกปากแล้วนั่งอยู่เฉย ๆ รอดูว่ามันจะพาไปที่ไหน

“กูเกลียดมึงที่สุด!” แคปทุบหนักๆลงที่คอนโซนหน้าอย่างคนที่ไม่รู้จะทำอะไรได้ เขาอยากจะตะโกนใส่หน้ามันให้ดังจนสุดแรง แต่คนฟังยังคงขับรถตรงไปเรื่อย นิ่งเฉยเสียจนคนมองดูอีกครั้งยังรู้สึกเหน็บหนาว

“คืนนี้ค้างที่ห้องกูก็แล้วกัน..” แคปหันขวับไปหาคนพูด ตากเฉี่ยวๆถลึงขึ้นอีก “กูไม่ไป!! มึงจอดรถ!!!

“มึงทำความผิดเองแคป”

“กูไม่ได้ทำอะไรเลย มึงมันอันธพาล บ้าเอ๊ย!!” แคปมองมันเลี้ยวรถยูไปถนนอีกฝั่ง คอนโดเอสกับเขาอยู่แค่ฝั่งตรงข้ามกันแค่นั้น

“..............”

“ไอ้เอสมึงจอดสิวะ! กูไม่ไปกับมึงได้ยินไหมห๊ะ!!

“..........”

“กูบอกว่ากูไม่ไป! มึงหูหนวกไหมห๊ะ!!!!” แคปหันไปฟาดผั๊วะๆๆเข้าที่พวงมาลัยเอสใช้แขนกันไว้แล้วมองหน้าดุๆก่อนจะเลี้ยวรถเข้าคอนโดฝั่งตรงข้ามเยื้องกันแค่ไม่กี่ร้อยเมตร รถถูกจอดเทียบเข้าช่องจอดอย่างแรง

“กูไม่ลง! ปล่อยกูสิวะ” แคปดิ้นทั้งที่โดนลาก รปภ. เดินเข้ามาหาถามว่ามีอะไรต้องให้ช่วย เอสยกมือบอกว่าเป็นเพื่อนตัวเอง

“ผมไม่ใช่....อื้ออออ” เอสรีบเอามืออุดปากแล้วลากคนตัวเล็กกว่าเข้าลิฟต์

“อ่ะ!!” และพอเข้าไปถึงในลิฟต์ได้เท่านั้น เอสเหวี่ยงแคปติดผนังก่อนคร่อมตัวลงมาแล้วกักคนตัวเล็กไว้ในอกอย่างไม่มีให้ตั้งตะว มือหนาบีบเข้าที่ปลายคางเพื่อเปิดริมฝีปากสวยให้เปิดออก ก่อนที่หน้าขาใหญ่จะเบียดชิดเข้ามาแล้วกดแคปจมมิดอยู่ในอ้อมกอด

“ปล่อยกู บ้าเอ๊ย อะ.อื๊มมมมม~” แคปพูดอู้อี้ก่อนที่จะพูดต่อไปไม่ได้เพราะว่าโดนลิ้นสากๆสอดควานเข้ามาดูดดึงความหอมหวานภายในโพรงปาก ดวงตากลมมองดูที่หมายเลขชั้น เสียงติ๊งดังขึ้นพร้อมๆกับประตูลิฟต์ที่เปิดออก  เอสถอนริมฝีปากออกมาแรงๆก่อนกระชากแขนคนตัวเล็กกว่าให้ทั้งวิ่งทั้งเดินตามเขาไป

“ไม่เอา! ปล่อยกู..” แคปเพิ่งสังเกตวันนี้เองว่าคอนโดชั้นนี้ทำไมถึงมีห้องพักอยู่แค่สองห้องใช้ลิฟต์ตัวเดียวกัน เอสลากแคปไปฝั่งทางขวาแค่มันถึงหน้าห้องประตูก็ถูกผลักเข้าไป ไฟสีส้มดวงเล็กๆเปิดขึ้นมาแบบอัตโนมัติเหมือนๆกับความเย็นจากเครื่องปรับอากาศที่เปิดขึ้นมาด้วยแล้ว

ปัง!

เมื่อบานประตูถูกปิดลง แคปเหลียวซ้ายแลขวา เขานึกได้ว่าทางเลือกสุดท้ายที่สุดแสนจะโง่เง่าที่เขาไม่ได้นึกถึงเลยตั้งแต่นั่งรถมาก็คือโทรศัพท์หาปอ พอคิดได้แบบนั้นแคปล้วงเข้าไปที่กระเป๋ากางเกงเอามือถือขึ้นมาจะกดโทร แต่คนที่เร็วกว่าอย่างไรเสียก็ยังเร็วกว่าอยู่ดี เอสตรงเข้าคว้าโทรศัพท์ในมือแคปแล้วโยนทิ้งไป

“ไอ้สัส! มึงกำลังทำให้กูกลัวมึงรู้บ้างไหม” แคปแหกปากขึ้นมา ยอมรับว่ากลัวมาก กลัวท่าทางที่แสนร้ายกาจแบบนั้นของมัน

“เข้าไปในห้อง อาบน้ำด้วยกัน” เอสออกคำสั่ง

“ไม่ไป!” แคปพูดดังๆใส่  คนถูกตะคอกไม่สนใจคว้าเอาข้อมือของคนที่ทำท่าจะวิ่งสวนออกไปที่ประตูหน้ากระชากเข้ามาแล้วกอดรัดเลย

“ปล่อยกูไอ้เอส!” แคปดิ้นจนขาลอย เอสรวบตัวคนทั้งตัวเปิดห้องแล้วโยนร่างแคปขึ้นเตียงกระแทกเสียงดังอั่ก

“มึงรู้ไหม คนดื้อมากๆพยศหนักๆกูจะกำราบยังไง” เอสปลดกระดุมเสื้อลงแล้วเดินหน้าเข้าหาด้วยแววตาที่ลุกโชน แคปที่ตั้งหลักได้ลุกขึ้นนั่งมองซ้ายมองขวาอยู่ที่กลางเตียงกว้าง

“มะ..มึงคิดจะทำอะไรไอ้โรคจิต!” เขาถามทั้งที่แค่มองตามันก็รู้อยู่แล้ว พรึ่บ! เสื้อถูกเหวี่ยงทิ้งอย่างไม่ไยดี มันต่อด้วยการปลดหัวเข็มขัดออกเลย

“ไอ้สัสเอส มึงอย่าบ้าไหนว่ารอได้ไง ไหนว่าไม่เต็มใจมึงจะไม่ทำ ไหนว่ามึงจะรอไงห๊ะ อึ๊ก!! หนักเชี่ย!!” ร่างสูงใหญ่ทั้งร่างโถมทับลงมา แคปพลิกตัวหนีออกมาไม่ทันเขาโดนกดข้อมือสองข้างจมเตียง

“ไม่เอานะเว้ย!” เสียงเล็กสั่นเทา เงยหน้าจ้องมองคนที่คร่อมทับร่างกายตัวเองอยู่

“มึงผิดสัญญาก่อนเองใช่ไหม”

“กูไม่ได้ทำอะไรผิด!

“มึงไปกับมัน!

“กูแค่ไปกินข้าว กูบอกมึงไปแล้วว่าฝนตกกูรีบมาก มันเองก็รีบพากูขับออกมาจากตรงนั้นแล้วฝนมันก็เพิ่งมาหยุดก่อนถึงทางแยกนิดเดียว กูทำอะไรผิดตรงไหนมึงถึงต้องรุนแรงกับกูมากขนาดนี้วะห๊ะ กูเจ็บโว๊ยยยยย”

“กูโทรไปมึงไม่รับ มึงซ้อนท้ายรถมัน แค่นี้ผิดมากพอแล้วแคป”

“กูเคยซ้อนท้ายรถเพื่อนกูตั้งหลายคนกูทำอะไรผิดไปตรงไหนล่ะวะห๊ะ!  เอสกูเจ็บปล่อยสักที กูเจ็บมึงได้ยินไหมวะ!!!  กูเจ็บไอ้สัสหนิ เจ็บมากก....ฮึกก..” หางเสียงที่สั่นเครือ หายไปกับคำว่าเจ็บมาก ข้อมือเล็กถูกตรึงแล้วกดลงสุดแรงเทาที่คนบนร่างจะมี เอสแค่ได้ยินน้ำเสียงแบบนั้นของแคปความรู้สึกเจ็บปวดแล่นริ้วขึ้นมา เขาจ้องมองคนใต้ร่างที่มองหน้าเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความน้อยใจปะปนกับความโกรธ ความรู้สึกแบบนี้มันคืออะไร เขาเหมือนคนบ้าที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ เขาไม่เคยเป็นแบบนี้อารมณ์โกรธและหึงที่ปะทุขึ้นมา มันพุ่งขึ้นไปแตะเพดานแห่งอารมณ์ของเขามากมายจริง ๆ

“ปล่อยกู!!” แคปรวบรวมกำลังกายทั้งหมดที่มีเฮือกสุดท้ายดิ้นพราดขึ้นสุดแรง เอสคว้าจับเอาไว้แล้วโถมร่างกดลงกอด

“ปล่อยกู!!ไม่เอา!!!” ปลายจมูกโด่งกดซุกลงมาแล้ว มือหนาตรงเข้าบีบคางเล็กให้เปิดอ้าออกก่อนกดจุมพิตร้ายเข้าไปควานเอาความหอมหวานในโพรงปากสวยที่ดิ้นหนี  ยิ่งแคปขัดขืนมากเท่าไหร่เหมือนยิ่งเป็นเชื้อเพลิงชั้นดีราดเทลงบนกองเพลิงแห่งความปรารถนา เอสรัดร่างเล็กๆไว้ทั้งตัวเขาสอดมือเขาที่กลุ่มผมนุ่มแล้วล็อครั้งให้ใบหน้าเล็กแหงนเงยเปิดรับจูบเขาได้ถนัดถนี่ เรียวปากร้อนบดขยี้ครั้งแล้วครั้งเล่าก่อนลากเรียวลิ้นร้ายแต้มลงมาตามลำคอระหง มือหนาละขึ้นมากระชากเสื้อนักศึกษาสีขาวแหวกสาบเสื้อให้เปิดออกโดยไม่แยแสว่ากระดุมมันจะฉีกขาดหลุดลุ่ยแค่ไหน กลิ่นกายที่เย้ายวนคุ้นเคยทำเอาชายวันกำหนัดอารมณ์แตกกระเจิง แต่สิ่งที่ทำให้เขาต้องหยุดแล้วละสายตาขึ้นมองกลับเป็นท่าทีที่เงียบหายไป เงียบจนผิดปกติจากร่างเล็กที่เขากอดรัดอยู่

“แคป...” เอสพึมพำออกมาเมื่อมองเห็นชัดๆแล้วว่านัยน์ตาที่จ้องมองทุกการกระทำของเขาสั่นไหวแค่ไหน แคปนิ่งเกินไปจนผิดปกติ จากคนที่พยศจนเกินกำราบ กลับแน่นิ่งไปแล้วจ้องหน้าเขาแบบนั้น

“อย่ากอดกูทั้งที่มึงโกรธ อย่ากอดกูถ้ามึงไม่ได้รัก อย่ากอดกูทั้งที่มึงยังมีความรู้สึกครึ่งๆกลาง ๆ กูไม่เอาอ้อมกอดแบบนี้..” 

เสียงเล็กพร่าแหบเอ่ยออกมาอย่างยากลำบาก แคปจ้องหน้าคนบนร่างตัวเองด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยการร้องขอ  อ้อมกอดที่ไม่เหมือนเดิม อ้อมกอดที่ไม่เหมือนกับทุกๆคืนที่มันนอนกอดเขา จุมพิตร้ายที่ช่วงชิงความรู้สึกทั้งหมดออกไป จุมพิตแผดเผาหัวใจของเขาเนื่องเพราะมันมาจากความโกรธเกรี้ยวที่เจ้าของมันกำลังโถมเข้าใส่

“แคป.....”

“กูขออย่างเดียว อย่ากอดกูถ้ามึงยังรู้สึกโกรธ ฮึกก..”

“..........” เอสหัวใจหล่นวูบเมื่อเสี้ยวหนึ่งของใบหน้าก่อนที่แคปจะหันหลบปรากฏเหมือนหยดน้ำตาหล่นมาที่หางตาสวยนั่น

“มึงร้องไห้?” ร่างใหญ่ละลำตัวขึ้นมาด้วยความตกใจ เขาแพ้น้ำตาผู้หญิงแต่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ากระทั่งน้ำตาผู้ชายเขาเองก็รู้สึกทนไม่ได้ จริง ๆ ควรจะสรุปได้แล้วว่าเขาแพ้น้ำตาคนที่เขารัก ไม่เกี่ยวว่าคนๆนั้นจะเป็นชายหรือหญิง

“กูไม่ได้ร้องไห้ไอ้สัส!” แคปหันมาแว๊ดใส่ ดูเหมือนคำพูดและการละลำตัวออกมาของเขาจะทำให้อีกคนดึงสติสตังกลับคืนมาได้เช่นกัน แคปลุกขึ้นนั่งแล้วดึงคอเสื้อที่ขาดลุ่ยของตัวเองขึ้นมาจากลาดไหล่ขาวเนียน

พลั่ก!

“มองหาพ่องมึงเหรอไอ้โรคจิต!

“...............” เอสอึ้งไปได้อีก เขามองคนที่เพิ่งจะผลักตัวเขาให้ออกห่างแล้วทำท่าจะลุกขึ้นจากเตียง มือหนาคว้าเอาตัวแคปกระชากเขาหาตัวเขาแล้วนั่งกอดไว้แบบนั้น

“อะไรของมึงเล่า!”แคปดิ้น

“ไหนบอกกูมาก่อน เมื่อกี้มึงร้องไห้ใช่ไหม”

“ไม่ใช่!

“แต่กูว่ากูเห็น”

“ประสาท ปล่อยกู”

“พูดให้รู้เรื่องซิแคป”

“อะไรเล่า!

“มึงไปไหนกับมันมาบ้าง”

“ก็แค่กินข้าว มึงมันโรคจิตหึงบ้าหึงบอ  อาการหนักนะมึงอ่ะ หึงปรอทแตกแบบนี้กูซวยฉิบหายเลย เกิดหน้ามืดฆ่าคนขึ้นมากูไม่ตายคนแรกเลยหรือไงวะห๊ะ!

“กูจะเอาให้ไอ้เหี้ยนั่นตายก่อน ส่วนมึงเอาไว้จัดการทีหลัง”

“โหดไปแล้วมึงพูดอะไรให้มันน้อย ๆ หน่อย”

“ทีหลังห้ามทำอีกสัญญามาก่อน” มือหนาขยับเข้าลูบแก้มแต่โดนแคปปัดออกแรง ๆ เสียงดัง

“ไม่!

“เอองั้นไม่ต้องไปทำแล้วไอ้งานดีเจนั่น ลาออกเลยพรุ่งนี้กูพาไปลาออกเองค่าปรับเท่าไหร่เดี๋ยวกูจัดการได้”

“ไอ้ตัวโรคจิตเรื่องอะไร มึงมีสิทธิ์อะไรมาสั่งให้กูทำหรือไม่ทำล่ะห๊ะ”

“อย่ามาถามหาสิทธิ์แคป เพราะถ้ากูให้รอบสองแล้วมึงจะหนาวเลย อยากเหมือนกันนะนี่อุตส่าห์ใจดียอมให้มากขนาดนี้ มึงบอกมาเร็ว ๆ ว่าจะไม่ไปไหนมาไหนกับมันสองคนแบบนั้นอีก”

“........อึกก........”

“แคป!

“เออ!!!!” แคปตะโกนใส่หน้าอย่างดัง เอสหมั่นเขี้ยวล็อคท้ายทอยเล็กดึงเข้ามาบดขยี้ริมฝีปากลงไป แคปตาเหลือกเพราะหายใจไม่ออก เขาเหมือนโดนอีกคนแกล้งจูบช่วงชิงอากาศ

“อื๊ออออออ ไอ้สัส! อ่ะ..!!

“ไหนๆมึงก็สัญญามาแล้วเพราะงั้นวันนี้กูจะให้รางวัลก็แล้วกัน”

“รางวัลเหี้ยไร๊” แคปตาโตทั้งที่ยังโดนจูบบดบี้ลงมาอีกครั้ง เขาแทบจะร้องไห้เมื่อโดนผลักแล้วกดจมลงที่เตียงกว้างอีกครั้ง

“รางวัลที่หนึ่ง”

“ไม่อ๊าวววววววววววววววววววววววววววววว”

“ดิ้นทำไมนักหนาวะ”

“ไม่อ๊าวววววววววววววววววววววววววววววว”

“แคป นิ่งๆ”

“ไม่อ๊าววววววววววววววววววววววววววววววววว”

“บ้าเอ๊ย”

“ไม่อ๊าวววววววววววววววววววววววววววววววววว”

“เฮ้อ!!!” เสียงถอนหายใจหนักๆดังขึ้น เอสจ้องหน้าคนใต้ร่างแล้วส่ายหัวอย่างระอาใจ

“เมื่อไหร่? มึงบอกมา”

“อะ....อะไรคือเมื่อไหร่” แคปสำลักคำพูดตัวเองแทบไม่ทัน

“บอกลิมิตของมึงมา เมื่อไหร่กูจะเอามึงได้”

“.....อึกก......”

“แคป!

“ตะโกนทำไมเล่า!” แคปพูดเสียงดังใส่ เอสคว้าหมับเอาคางเล็กปีบจนปากจู๋ก่อนปล่อยออกมาแล้วบีบจมูกรั้นแรงๆ

“ก็แล้วเมื่อไหร่ล่ะวะ!

“เรื่องอะไรกูจะให้มึงเอา!

“แคป”

“ไม่เอา!”

“........” เอสจ้องหน้าใช้ดวงตาขู่ แคปส่ายหัวจนปากสั่นหลับตาปี๋ ก่อนโพล่งคำพูดไม่นึกไม่ฝันออกมาจนแม้แต่ตัวเองยังตกใจ

“สองเดือน!

“ไม่มีทาง!”เอสตอบกลับแทบจะทันที

“งั้นสามเดือน!” แคปพูดใหม่

“อย่ามาตลก”

“สะ.สะ..สะ..สักสิบสัปดาห์กูว่ากำลังดี”

“ไอ้แคป!

“กะ...กู.....

“สองสัปดาห์กับคืนนี้เลยมึงเลือกเอา”

“.........” อารมณ์ประมาณถูกค้อนหนักๆทุบใส่หัว

“ถ้าทำคืนนี้เลยกูทำเอง แต่ถ้าสองสัปดาห์มึงต้องเป็นคนทำ กูจะนอนเฉยๆดูมึงเทคแคร์กู ขี่ม้า กินไอติม ละ....”

“ไอ้สัส! สี่สัปดาห์แล้วมึงก็ต้องเป็นคนทำ!” แคปสวนขึ้นมาแทบจะทันที ตากลมๆเหลือกขึ้นอย่างโมโหแม่งมันพูดเรื่องเห้อะไร

“ก็แค่นั้น”

“ห๊ะ!!” แคปที่ชะงักไปครู่หนึ่งพลันคิดออกและรู้สึกตัวแล้วว่าเขาโดนเอสหลอกจนพูดเองออกมาหมดเปลือก

“ไอ้สัสเอส!!ไอ้คนบ้าโรคจิตวิปลาสมึงแม่งมันที่สุดของความแย่แก้ไขยากไอ้ ฟหกดสวพรนยบลยฟหกดเงวสาลบยนรพมทอแปยฟนกนวสฟ่าด็ กูเกลียดมึงที่สุด!”

“พูดคำนี้อีกแล้ว เกลียดกูจริงป่ะเนี่ย”

“อย่างน้อยกูก็ไม่เคยพูดคำว่ารักกับคนอย่างมึง!

“.......!!!!!.........”
คราวนี้เป็นเอสที่เงียบและชะงักไป เขาจ้องหน้าแคปนิ่ง ดวงตาคมกริบเต็มไปด้วยความหมายที่อ่านไม่ออกคู่นั้นทำเอาแคปต้องรีบหลบสายตามันอย่างไว

“กะ........

“ก็ดีเหมือนกัน คบกันไปแม่งแบบนี้ไม่ต้องมีคำว่ารัก ไม่ต้องมีเซ็กส์ ไม่ต้องมีห่าเหวอะไรทั้งนั้น มึงไม่ได้รักกู กูเองก็ไม่ได้รักมึงแบบนั้นใช่ไหมที่มึงต้องการ”

“..........อึ่กก.........”

คราวนี้กลับเป็นแคปที่นิ่งไป เขาหันกลับมาจ้องตาเอสแน่นิ่ง ถ้อยคำนับพันนับหมื่นที่ต้องการจะสื่อกลับสื่ออกไปไม่ถึง เพราะว่าคำพูดของเอสที่ดังก้องสะท้อนซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหู

มึงไม่ได้รักกู กูเองก็ไม่ได้รักมึง

พลั่ก!!

“ไอ้คนชั่ว! กูเกลียดมึงที่สุด!!

“โอ๊ย! แคป เป็นอะไรขึ้นมาอีก” เอสหลบหมัดที่จู่ ๆ รัวทุบรัวๆลงมาที่เขา แคปทั้งฟาดทั้งผลักหน้าตานี่งอขึ้นมาจนถึงที่สุด พอเขากอดห้ามเอาไว้ก็โวยวายทั้งทุบทั้งถีบ

“ก็มึงแม่งปากหมา ปากไม่ดีไอ้คนปากเสีย กูเกลียดมึงที่สุด ปากหมาเชี่ยๆ ปากเสียโคตรๆ ไอ้ห่ารากไอ้โรคจิตไอ้คนเลวคนนิสัยแย่ๆๆๆๆๆมึงมีสิทธิ์บอกว่ามึงไม่ได้รักกูด้วยหรือไงห๊ะ! กูไม่รักมึงแล้วกูบอกเลย กูเกลียดๆๆๆๆ ไอ้คนสารเลว!!

เอสนั่งฟังแคปด่าจนต้องทิ้งตัวนอนลงที่หมอนมอง นี่เขามันเลวร้ายขนาดที่คำด่าทั้งหมดของมันกราดลงใส่ไม่ต่างจากรัวกระสุนปืนขนาดนั้นเลยเหรอวะ 

“กูเหนื่อยไอ้สัส!” พอด่าจบก็บอกว่าตัวเองเหนื่อย เขายกยิ้มที่มุมปากเพราะอดขำกับท่าทางแบบนั้นของมันไม่ไหวแล้วจริง ๆ เอสเอื้อมขึ้นมาดึงแขนแคปบอกให้นอนลงมาได้แล้ว

“ด่าจบแล้วดิ?”

“อย่ามาถามมาก!

“อือ งั้นก็นอนลงมาเร็ว” เขาขยับตัวไปคว้าเอารีโมทขึ้นมากดปิดแสงไฟแล้วโยนทิ้งไปแบบมั่ว ๆ ก่อนที่จะดึงแคปเข้ามานอนในอ้อมกอดเขาได้

“นอนซะ อย่าละเมอด่าขึ้นมาอีกล่ะ”

“กูไม่ชินที่นอนมึงเลยให้ตายเหอะ มึงขยับออกไปอีกหน่อยสิวะ กอดเหี้ยไรนักหนา”

“กอดมึงไม่ได้กอดเหี้ย”

เพี๊ยะ!

“ปากเสีย”

“ขยับออกไปกูไม่ชินที่นอนมึง”

“มานอนบ่อยๆดิเดี๋ยวก็ชินไปเอง”

“ไอ้สัสใครจะไปทำแบบนั้นวะ”


“หึหึ มึงโทรบอกไอ้ปอยังว่ามาค้างที่ห้องกู”
“เออจริงด้วย”  เอสถอนหายใจอย่างดังมองคนที่ลุกพรวดขึ้นแล้วก้มๆมองๆ เดินหาหาโทรศัพท์ที่ตกอยู่แถวพื้นที่ไหนสักแห่ง

“โทรศัพท์กูหาย”แคปเงยหน้าขึ้นมาบอกเดินไปแถวๆผนังควานหาสวิทไฟทำไมถึงไม่เจอ เอสส่ายหัสอย่างจนใจ ไฟห้องเขาใช้รีโมทควบคุมแล้วสวิทฉุกเฉินก้อยู่ที่หัวเตียง แคปมันไปลูบๆคลำๆอยู่แถวนั้นไม่มีทางเจออยู่แล้ว

“ไอ้สัสเอส กูบอกว่าโทรศัพท์กูหาย” แคปพูดโวยวายขึ้นมาอีกครั้งเดินเข้าไปที่ข้างเตียงลูบๆคลำๆในที่สุดมันก็เจอปุ่มเปิดไฟหรี่ขึ้นมา

“กูโยนไว้ข้างนอกโน่น”

“งั้นก็ลุกไปเอามาให้กูเลยไอ้เหี้ย! มึงแม่งทำลายข้าวของกูทุกอย่าง” แคปว่าอย่างโมโห เขาดึงแขนแกร่งแล้วพาดใส่บ่าจะลากเอสให้ลุกออกไปหาของให้ คนตัวใหญ่ที่นอนมองคนแคระที่กำลังพยายามลากเขาทั้งตัวให้ลุกขึ้น อดที่จะยิ้มขำออกมาไม่ได้

ในที่สุดเขาก็ลุกขึ้น

“ไปนอนรอไป” วางฝ่ามือลงที่หัวเล็กแล้วขยี้ แคปรีบหลบออก

“แน่อยู่แล้วล่ะเว้ยเหนื่อยจนจะตายน้ำก็ไม่ได้อาบกูก็ต้องนอนแน่อยู่แล้วล่ะ บลาๆๆๆๆๆ”
ปากเล็กๆไม่รู้จะพูดจะบ่นอะไรกันนักหนา เอสที่เดินผลักประตูออกไปหันกลับมามองคนที่กระโดดขึ้นเตียงแล้วห่มผ้ามิดชิดมีชี้นิ้วมาที่เขาทำปากสั่งๆๆอีกด้วย เขาส่ายหัวอย่างระอาใจเดินออกมาด้านนอกแล้วพ่นรอยยิ้มเมื่อนึกถึงหน้าตาหงุดหงิดแบบนั้นของมัน


น่า..................รัก


ไม่ๆๆๆ ไม่ใช่คำนั้นสิ  คำแบบนั้นจะไปใช้กับผู้ชายมันดูยังไงอยู่ เอสทำหน้านึกๆเดินไปเดินมายังไม่ยอมเข้าห้อง  เสียงเล็กๆจากด้านในจึงร้องเจื้อยแจ้วดังลอดออกมาอีก 


“ไอ้เอส! ชักช้านะมึงเดี๋ยวไอ้ปอมันก็หลับก่อนหรอก รีบเอาโทรศัพท์กูเข้ามาเร็วเข้า..”



เอสส่ายหัวอย่างสุดเซ็ง กว่าคืนนั้นจะผ่านพ้นไปได้...ยากเย็นเหลือเกิน...หูชาไปหมด







Tbc.