Monday, November 24, 2014

ดอกฟ้ากับหมาวัด (Out Of Reach) ตอนที่ 45 The End.





#45  จากวันนั้นจนถึงวันนี้(The End.)




หลายเดือนผ่านไป

เย็นย่ำแบบนี้ที่ออฟฟิศของยูเซย์ ผมยืนทอดสายตาผ่านบานกระจกใส มองเม็ดฝนที่ตกกระทบลงที่พื้นซีเมนต์แล้วกระเด็นกระดอนขึ้นมานิดๆ จะผ่านหน้าฝนไปอีก แล้วขณะที่หลายสิ่งหลายอย่างในหน้าที่การงานของผมเริ่มขยับขยายและเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น

เมื่อต้นเดือนที่แล้วผมกับพี่เชนได้สมัครและสอบไปอบรมเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานไอทีและโปรแกรมมิ่งที่โมนาช ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่พี่เชนเคยเรียน มันเป็นคอร์สสั้นๆแค่สิบกว่าวัน แต่นั่นทำให้ผมที่ไม่เคยเรียนการเขียนโปรแกรมอย่างจริงจังมาก่อนสามารถจับทิศทางและรายละเอียดของงานที่ตัวเองทำได้ดียิ่งขึ้นไปอีก

ผมคิดว่าตัวเองมีทักษะที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่พี่เชนเองมุ่งเน้นไปที่การวิเคราะห์และวางระบบ เราอยู่ที่นั่นแค่ไม่กี่วันก็จริงแต่คุณก็รู้อยู่แล้วพี่เอย์มันจะปล่อยผมอยู่กินกับพี่เชนสองต่อสองนานขนาดนั้นคงไม่ได้ พี่เขาจัดการเคลียร์งานแล้วตามพวกผมไปตั้งแต่วันที่สองโน่น พอเห็นหอพักที่ผมกับพี่เชนไปเช่าอยู่รวมๆกับพวกเด็กจากเกาหลีและเมืองจีน คุณชายวีนแตกแล้วบอกให้ผมหาที่พักใหม่ทันที สรุปคือได้บ้านพักใกล้มหาวิทยาลัยยิ่งขึ้นไปอีก

เราสามคนตื่นแต่เช้าแล้วออกไปขึ้นรถเมล์พร้อมกัน ในช่วงเวลาที่ผมกับพี่เชนเข้าเรียน พี่เอย์มันจะไปนั่งรออยู่ที่สวนสาธารณะไม่ไกล ถ่ายรูปดูโน่นดูนี่ของมันไป ผมนี่ถึงกับขำมีสาว ๆ เข้ามาทักคุณชายด้วย มันเลยอำพวกเธอไปว่าเป็นลูกครึ่งจีนอเมริกันมาจากนิวยอร์ก แล้วพ่นสำเนียงหลอกลวงไป สาว ๆ ออสซี่ทิ้งเบอร์ไว้ให้หลายคนมาก ยังมีการเอาออกมาอวดผมอีก

“ปิง!” เสียงเรียกจากด้านหลังทำเอาผมตกใจ ละสายตาออกจากสายฝนที่บานหน้าต่าง หันไปมองคนเรียก

“ยืนเหม่ออะไรวะ  พิมเขาเรียกมึงนานแล้ว”

“อ้าวเหรอ พี่พิมว่าไงครับ” ผมเดินเข้าไปที่โต๊ะ เย็นๆแบบนี้พนักงานกลับกันหมดแล้ว วันนี้พี่พิมเรียกผมกับพี่เชนประชุมงานกัน ผมเลยต้องอยู่ยาวจนถึงเย็น

“ปิงเอาแฟ้มนี้ไปสีเขียว ส่วนเชนแฟ้มนี่สีฟ้านะ” พี่พิมแจกงานให้ ผมกับพี่เชนเปิดพลิกดู

“มันจะมีกำหนดการต่างๆและตารางงานคร่าว ๆ ตอนนี้บริษัทของเรามีพนักงานเยอะขึ้นมาก งานปลีกย่อยต่าง ๆ ปิงสอนเด็กรุ่นน้องได้ดีพี่เองก็คอยดูช่วยอยู่ ส่วนเชนเด็กที่ทำช่วยเกี่ยวกับงานวางระบบก็เริ่มมีประสบการณ์เพิ่มมากขึ้น เพราะฉะนั้นตอนนี้มันมีการยื่นคำขอมาที่บริษัทของเรา”

พี่พิมดูอึดอัดใจนิดๆที่จะพูด ทั้งผมทั้งพี่เชนต่างเงยหน้ารอฟัง

“พูดมาดิวะ เป็นอะไรของมึงอีก”

“มันอาจจะทำให้ทั้งเชนและปิงลำบากเพิ่มขึ้นแต่พิมก็คิดว่าอยากจะให้บริษัทของเราสนับสนุนงานในส่วนใหม่นี้”

“งานอะไร” พี่เชนถามขึ้น

“เป็นวิทยากรบรรยายพิเศษตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ตอนนี้เกือบๆยี่สิบมหาวิทยาลัยทั่วประเทศยื่นจดหมายเชิญมาที่เรา พิมเองก็เกรงใจเพราะมันไม่ได้อยู่เฉพาะแค่ในกรุงเทพ ทั้งภาคเหนือภาคอีสานภาคใต้ พอเขาเห็นว่าเรามีโปรแกรมเมอร์และนักวางระบบมือโปรก็อยากจะเชิญเราไปบรรยายให้กับนักศึกษาของเขา เชนกับปิงไปผ่านการอบรมที่โมนาชมา ยิ่งเพิ่มดีกรีการันตีบริษัทของเราเข้าไปอีก”

“เป็นวิทยากร เหมือนที่ผมไปบรรยายพิเศษที่ ม.บูรพาเมื่อสัปดาห์ที่แล้วน่ะเหรอครับ”

“ใช่จ๊ะปิง แบบนั้นแหละแต่ตอนนี้จะเป็นมหาลัยใหญ่ ๆ ทั้งของรัฐบาลและเอกชน นี่คือจดหมายที่ส่งมาขอตัวเชนกับปิงไป” พี่พิมโชว์จดหมายปึกใหญ่ ๆ ในมือให้พวกเราดู

“เชน มึงคิดเห็นว่ายังไง จะรับต่อไหมงานแบบนี้” พี่พิมหันไปขอความคิดเห็นจากพี่เชน จริง ๆ ก่อนผมไปบรรยายที่ ม.บูรพา พี่เชนถูกเชิญไปบรรยายครั้งแรกที่เอแบค ภาควิชาไอที ตั้งแต่นั้นมายูเซย์ดังกระหึ่มในหมู่นักศึกษามาก

“ก็ตามใจ ถ้ามึงคิดตกลงใจยังไงก็แค่บอกพวกกูมา กูกับปิงไม่มีปัญหา”

“ใช่ครับพี่พิม พี่ไม่ต้องเกรงใจถ้าพี่พิมบอกให้ทำ ผมกับพี่เชนไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว”

“งั้นก็ขอบใจมาก”

หลังจากนั้นผมรับเอกสารมาแล้วตรวจดูต่ออีกหน่อยพี่เชนก็ไล่ให้กลับเพราะฝนด้านนอกเริ่มจะตกหนัก ผมจึงตัดสินใจอยู่ว่าจะขับมอไซด์ฝ่าฝนกลับดีหรือไม่ จริง ๆ หลายคนบอกว่าผมควรจะออกรถได้แล้ว แต่ผมยังดึงดันไว้ ไม่ใช่ว่าขี้เหนียวหรืออะไร เพราะว่ารถของแม่จริง ๆ ก็ไม่ค่อยได้ใช้ถ้าวันไหนฝนตกหรือผมต้องเดินทางไกลๆผมจะขับคันนั้น และถ้าหากพี่เอย์ไม่ได้มีคิวออกไปไซท์งานที่ไหนมันจะบังคับให้ผมขับรถมันออกมา แต่วันนี้ก็อย่างที่คุณรู้ คุณชายไปไซท์งานที่ระยอง ช่วงนี้บริษัทพี่เขาบูมมาก รับสร้างรีสอร์ทเป็นว่าเล่น ขนาดหน้าฝนที่งานก่อสร้างทำได้ยากเย็นมันยังมีคิวต้องไปติดต่องานกับลูกค้านายทุนหลายราย คุณภีมเลขามันนี่วิ่งหน้าวิ่งหลังจนผมคิดว่าพี่เขาผอมลงหลายกิโลเหมือนกันนะ

พี่เอย์ร่ำๆจะหาผู้ช่วยออกไซท์มาไว้อีกสักคน

“ไปดิ่ เดี๋ยวกูไปส่ง” พี่เชนเดินมาดันหลัง คงเห็นผมยืนคิดอยู่ที่ประตูนานแล้ว

“ไม่เป็นไรพี่ เดี๋ยวผม...

“อย่าพูดมากเดินลงไป เอ้าร่ม กางซะ” เพราะรถจอดอยู่ฝั่งตรงข้าม ผมกับพี่เชนเดินลุยออกมาภายใต้ร่มคันใหญ่ ถึงอย่างนั้นก็เปียกกันนิดๆอยู่ดี

“ส่งที่บ้านเลยไหม มึงจะไปไหนก่อนรึเปล่า”

“ไม่ครับ ส่งที่บ้านเลย”

เป็นเพราะฝนที่เทหนักลงมาตั้งแต่บ่ายด้วยรึเปล่า การจราจรที่ติดมากอยู่แล้วยิ่งฝืดเข้าไปใหญ่ ผมนี่เจอแอร์เย็นๆอยู่บนรถกับบรรยากาศฝนพรำถึงกับอ้าปากหาวเลย พี่เชนหันมาผลักหัวผมเบา ๆ

“ง่วงก็นอนดิวะ เดี๋ยวถึงแล้วจะปลุก”

“พี่เชนลำบากมาส่งผมทำไมไม่รู้ ที่จริงกลับเองได้เหอะ”

“ไม่ต้องมาหลงตัวเองเลย ใจจริงก็ไม่อยากมาส่งเท่าไหร่นักหรอก”

“อ้าว!” ผมหันไปมองหน้าคนขับเลย พี่เชนขำเบา ๆ ผมนึกสงสัยบางอย่างอยู่แล้วเพราะเมื่อกี้มีสายโทรเข้าเครื่องพี่เขา น่าจะเป็นพี่ซ่าร์ผมเห็นรูปแวปๆแต่พี่เชนคุยเร็วมากวางสายไปก่อน

“จริง ๆ แล้วพี่มีธุระต้องไปแถว ๆ บ้านผมใช่ป่ะละ”

“ไม่มี๊” พี่เชนร้องปฏิเสธเสียงสูง

“อย่า....อย่ามาโกหก ผมรู้จักพี่ดีที่สุดโกหกทีไรหูพี่กระดิกทุกที”

“เฮ้ยจริงดิ!?” พี่เชนรีบจับหูตัวเองทันที ผมนี่ถึงกับขำกร๊ากเลย เจอโบกหัวมาอีก ผมได้แต่ยกมือลูบอย่างเจ็บช้ำ

“สารภาพมาเลย ที่มาส่งผมนี่คือจะไปรับพี่ซ่าร์กับน้องอันวาอ่ะดิ” ผมหรี่ตาเหมือนคนรู้ทัน หันไปจ้องหาความจริงเลย พี่เชนอึกอักไปนิดหน่อยก่อนยักไหล่ตอบ

“ก็....นะ....

“อะไรคือก็นะ” ผมถามย้ำไปอีก

“ก็นัดกับเจ้าเด็กแสบนั่นไว้ ขืนไม่ไปมึงก็รู้เจ้าอ้วนนั่นจะร้องไห้งอแงแค่ไหน”

“อะไรครับ แล้วพี่ไปสนิทสนมกับน้องอันวาตั้งแต่เมื่อไหร่ ตอนนั้นยังเห็นเรียกยักษ์อยู่เลย”

“โอ๊ยยย มึงจะพูดอะไรล่ะ เรื่องตั้งหลายเดือนมาแล้ว เด็กๆลืมไวออก”

“พี่อย่ามาเบี่ยงประเด็นตอบผมมาก่อน น้องอันวาเลิกกลัวพี่แล้วอ่อ??”

“กูมีวิธีของกูเหอะ”

“พี่เชนครับ” ผมเค้นเสียงดุเมื่อเห็นพี่เขาเล่นตัวไม่ยอมบอก

“อะไรของมึงนักหนาวะ กูกับอันวาดีกันแล้วมึงจะอยากรู้อะไรเนี่ย ถึงแล้ว ลงๆ” รถจอดลงที่หน้าบ้านพอดี พี่เชนไล่ผมลงพร้อมกับผลักหัวส่งมาอีก

“ไปแล้วก็ได้ ขอให้สนุกกับภรรยาและลูกชายนะครับพี่ชาย”

“เชี่ย! มึงรีบลงไปเลย”

พี่เชนผู้เป็นสุภาพบุรุษวิ่งลงมาพร้อมกับร่ม เปิดประตูฝั่งผมพร้อมรับผมลงไปส่งถึงหน้าประตูบ้าน ผมกำลังปลื้มใจที่พี่เขาช่างเป็นคนแสนดีและสุภาพบุรุษ แต่แล้วต้องหุบยิ้มแทบไม่ทันเมื่อพี่เชนดันบอกออกมาว่า

“กูจะใช้ร่มไง ถ้าให้มึงกางลงมาแล้วกูจะเอาอะไรไปรับลูกกับเมียกูล่ะวะ”

ผมนี่อยากจะทึ้งผมตัวเองมากครับ รีบไล่ไอ้พี่บ้าให้รีบ ๆ กลับไปเลย





คืนนั้นพี่เอย์กลับมาถึงบ้านดึกมาก ผมชวนคุณภีมให้นอนค้างด้วยกันเพราะเห็นว่าท่าทางพี่เขาเหนื่อยมาก แต่แกบอกภรรยาโทรตามหลายรอบแล้ว นี่เหยียบสุดตีนเลยจากระยองยิงตรงเข้ากรุงเทพ ผมเลยไม่อยากจะขัด

“พี่เอย์ลุกเลยครับ ไปอาบน้ำก่อนแล้วค่อยมานอนนะ”

“ไม่ไหวแล้วว่ะ กูเหนื่อย” พี่เอย์มันนอนคว่ำซุกใบหน้าอยู่ที่โซฟาพร้อมกับคว้าน้องหมียักษ์เข้ามากอด  ผมดึงแขนมันขึ้นมาลากให้ไปอาบน้ำ แรงผมก็เยอะอยู่นะพี่เอย์นี่ถูกผมลากไปทั้งชุดทำงานมันนั่นแหละ

“อึ๊บ  พี่เอย์ครับไปอาบน้ำก่อน จะได้นอนสบายๆไง”

“ไม่เอาอ่ะ กูจะนอนตรงนี้” มันไม่สนผมเลย ล้มตัวนอนลงที่พรหมเอาตุ๊กตาหมีที่ลากติดมือลงมาด้วยรองหัว ผมนี่ได้แต่อ่อนใจ จัดการปลดกระดุมเสื้อมันออก ถอดทุกอย่างแล้วเช็ดตัวให้แทน คุณชายนอนนิ่งปล่อยผมทำ

“เสียวว่ะปิง มึงอย่าเช็ดแถวนั้นนานดิ่วะ” พี่เอย์มันบอกทั้งที่ยังหลับตา ผมเลยแกล้งไปจับๆๆลูกชายมัน มันรีบปัดมือผมออก

“กูเหนื่อยนะวันนี้ ไม่ไหวแล้วนะเว้ย อย่าไปทำให้มันตั้งขึ้นมาเชียวล่ะ”

“ก็แล้วพี่ไปทำอะไรมากันครับเนี่ย เหนื่อยอะไรนักหนา ไหนว่าไปแค่ระยอง ทำอย่างกับขับรถไปสตูล”

“ก็แค่ระยองนั่นแหละแต่กูตระเวรดูงานตั้งหกไซท์ มึงคิดดูดิ เจอเพื่อนเก่าที่เป็นเจ้าของรีสอร์ทอีก มันจองตัวไว้ทำให้โรงแรมมันอีก กู....โอ๊ยยยย.....กูเหนื่อยเหี้ยๆเลย”

ผมเช็ดตัวให้มันเสร็จ ใส่เสื้อผ้าชุดนอนให้เรียบร้อย พี่เอย์มันชูแขนขึ้นมาบอกผมอุ้มๆ ท่าทางเหมือนเจ้าหนูอันวาไม่มีผิด ผมเลยเตะมันไปเบา ๆ พี่เขาหัวเราะแล้วดึงแขนผมเลย

“วันนี้กูจะใจดีนอนกอดมึงเฉย ๆ เพราะงั้นอุ้มกูขึ้นเตียงเร็วเข้า”

“ไม่ไหวหรอกครับ พี่เอย์พูดอะไรน่ะ”

“อุ้มหน่อย อุ้มท่าเจ้าหญิงนะ”

“เพี้ยนไปแล้วเหรอพี่ ไปเจออะไรมาเนี่ย” ผมยืนเกาหัวเลย พี่เอย์หลับตาแล้วทิ้งตัวลงนอนที่พรหมอีกครั้ง มือมันกอดน้องหมีไว้แน่นมากใช้ต่างหมอนหนุนนอน ผมจนใจได้แต่ลากมันขึ้นเตียงกว่าจะได้นอนนี่คือเกือบ ๆ ตีสอง ผมทุลักทุเลมาก ห่มผ้าให้มันจนชิดอกปิดไฟแล้วปีนขึ้นเตียงประจำที่ตัวเอง

“ปิง” เสียงเรียกงึมงำที่ด้านหลัง ผมหันไปมอง พี่เอย์ดึงผมเข้าไปกอดไว้ชิดอกมัน

“วันนี้กลับมาบ้านยังไง กูไม่เห็นรถมึงเลย”

“วันนี้ฝนตกหนักตลอดทั้งเย็นเลยครับ พี่เชนเลยมาส่ง ผมจอดมอไซด์ไว้ที่ออฟฟิศ”

“อ่อ มันมาส่งมึงให้จริง ๆ ด้วย”

“อะไรอ่ะพี่ หมายควาวว่าไง”

“กูโทรบอกมันไว้ไง ห่วงว่ะไม่อยากให้ขับรถตากฝนถ้าฝนตกก็อยากให้มันเป็นคนมาส่งมึงเอง”

“โหยพี่เอย์ครับ ผมกลับแท็กซี่ได้เหอะ” ผมไม่รู้มาก่อนเลยนะว่าพี่เอย์โทรคุยกับพี่เชน รายนั้นถ้าไม่ถามคือไม่พูดอยู่แล้ว

“คนอื่นกูไม่ไว้ใจ”

พี่เขาพูดไว้แค่นั้นก่อนที่เราสองคนจะหลับตามกันไป คืนนั้นอุ่นนะ ทั้งที่อากาศเย็น ๆ เพราะฝนพรำลงมาทั้งคืน








เสียงนกร้องจิ๊บ ๆ ดังแทรกเข้ามา แสงของวันใหม่แยงสายตาเล็กน้อย  ผมขยับตัวออกจากวงแขนใหญ่ลุกขึ้นมาล้างหน้าล้างตานั่งทำงานของผมต่อตั้งแต่หกโมงเช้า เพราะวันนี้เป็นวันอาทิตย์ พี่เอย์มักจะตื่นสายแล้วชอบอ้อนเรียกผมไปนอนกอดดูหนังด้วยกัน เราใช้ช่วงเวลาแบบนั้นด้วยกันบ่อย ๆ เพราะงั้นเช้านี้ผมจะสะสางงานให้เสร็จๆก่อนคุณชายจะตื่น เดี๋ยวนี้โต๊ะทำงานลากมาตั้งติดไว้กับเตียง ขนาดนั่งบนเก้าอี้มันยังไม่ยอม ผมเลยต้องใช้พื้นที่นิดหน่อยของเตียงแทนเก้าอี้นั่ง พี่เอย์หรี่ตามองมาที่ผมพอเห็นว่าผมนั่งทำงานอยู่ใกล้ ๆ คุณชายก็หลับลงต่อทั้งที่มือนี่ยังคว้าเอาเอวผมกอดไว้ไม่ยอมปล่อย

ช่วงสายๆของวัน เราสองคนเดินไปทานข้าวที่บ้านของแม่ คุณนายกำลังคั้นมะพร้าวเห็นว่าจะทำขนมอะไรสักอย่าง

“เอย์กินบวดฟักทองเป็นไหมลูก”   แม่เงยหน้าถามขึ้นขณะที่พี่เอย์มันกำลังสนอกสนใจกับวิธีการคั้นมะพร้าวด้วยมือ ส่วนผมไม่สนหรอกผมเห็นจนชินแล้ว ถึงปกติแม่จะทำแต่อาหารอีสานขายก็เถอะ แต่ก็มีบ้างที่ใช้กะทิสดๆทำของหวานไว้ขายด้วย

“ผม.....เอ่อ....” พี่เอย์มันยิ้มอย่างเดียว ผมมองแล้วก็ขำคิดว่าคุณชายคงไม่รู้จักหรอก บวชฟักทองอะไรนั่น

“อ่า ไม่เป็นไร งั้นเอย์กินกล้วยบวดชีได้ไหม เมื่อเช้าพี่ขมไปตลาดมาได้กล้วยกำลังน่าอร่อยแม่เลยว่าจะทำให้เอย์ทาน”

“กล้วยบวดชีเหรอครับ?”

“ใช่จ๊ะ ที่มีกล้วยผสมกับน้ำกะทิน่ะ”

“อ๋อกินเป็นครับ เอย์กินแต่น้ำ กินกล้วยแบบนั้นไม่ค่อยเป็น”

“อ้าว แล้วกินกล้วยแบบไหนถึงจะเป็น”

“แม่ใส่กล้วยหอมได้ไหมครับ แบบนั้นเอย์กินได้”

พี่ขมที่กำลังกินน้ำอยู่นี่ถึงกับสำลัก หน้าดำหน้าแดงไปหมดผมขยับเข้าไปลูบหลังให้ แม่นี่หน้าเหวอไปแล้ว ส่วนพี่เอย์มันหันมามองผมคงอยากจะถามเหลือเกินว่ามันพูดอะไรผิดไปตรงไหน

“พี่เอย์ครับ กล้วยบวดชีเขาไม่ใช้กล้วยหอมทำหรอก” ผมไขข้อข้องใจให้มัน

“อ้าวเหรอ ไม่รู้นี่ก็เห็นมันเป็นกล้วยเหมือนกัน”

แม่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ พี่เอย์มันเลยอาสา “แม่ครับให้เอย์ช่วยทำไหม เอย์อยากเล่นคั้นมะพร้าว”

“เอาสิลูก เอย์ไปล้างมือมาก่อนนะ เดี๋ยวแม่สอน เจ้าปิงด้วยไปล้างมือเลยเดี๋ยวมาคั้นช่วยกันกับพี่เขา”

“แม่ครับปิงขี้เกียจ ปิงจะช่วยพี่ขมล้างผัก”

“ช่วยที่ไหนกัน เจ้าปิงจอมขี้เกียจเอาแต่นั่งดู” พี่ขมเสริมขึ้นมา แม่มองหน้าผมดุๆ  ขณะพี่เอย์กำลังจะลุกขึ้น เสียงรถจอดลงที่รั้วหน้าบ้าน เราทั้งหมดที่นั่งเล่นกันอยู่ที่ระเบียงเลยหันไปมอง

“ใครมาน่ะลูก ปิงลงไปดูซิมาหาพี่เอย์เขารึเปล่า” พี่เอย์เองก็ชะโงกออกไปดู ผมก้าวลงบันไดเจอมันดึงแขนไว้ พี่เอย์สีหน้าเครียดขึ้นมากขณะที่สายตายังจ้องไปที่รถคันนั้นไม่ยอมละออก

“พี่เอย์ครับ?”

“เดี๋ยวกูลงไปเอง มึงรออยู่นี่”

“พี่เอย์?” เพราะว่าพี่เขาสีหน้าไม่ค่อยดี ผมจึงไม่อยากปล่อยให้มันลงไปคนเดียว เรียกถามพี่เขาอีกครั้ง รั้งแขนมันไว้ ส่งสายตาบอกว่าผมจะลงไปด้วย แต่พี่เอย์ยกมือขึ้นลูบหัวผม พร้อมกับพยักหน้าให้เบา ๆ

“รถของที่บ้านมา ไม่เป็นไรมึงรออยู่ที่นี่”

พี่เขาเดินลงไปแล้ว ผมมองตามแผ่นหลังกว้างไปตลอด จนแม่ต้องเดินเข้ามาหาแล้วกอดลงที่บ่าผม ผมเห็นคุณแม่พี่เอย์ประคองคุณย่าพี่เอย์เดินลงมา คุณย่ามันเหมือนกำลังร้องไห้โผเข้ากอดมันอย่างน่าสงสาร แม่ที่ดูอยู่ด้วยถึงกับบีบไหล่ผมไว้ ผมบอกไม่ถูกนะว่ากำลังรู้สึกแบบไหน หลากหลายอารมณ์มาก ทั้งเป็นห่วงทั้งสงสารทั้งกลัว ที่มากที่สุดคืออยากจะลงไปดูแต่ในเมื่อพี่เอย์บอกให้ผมรออยู่ที่นี่ผมก็จะรอมัน ตอนนี้บรรดาแขกเหรื่อกำลังเดินตามหลังมันเข้ามา พี่เอย์เดินอยู่ข้าง ๆ คุณแม่ของมัน ส่วนคุณหญิงย่ามีคนดูแลอีกคนประคองมาด้วย พี่เอย์ขยับเข้าไปจูงท่านในตอนที่ทุกคนต้องทยอยขึ้นบันได แม้จะแค่ไม่กี่ขั้นแต่สำหรับคนสูงอายุก็ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ  

แม่หันมามองหน้าผม “ปิงลูก...”

“แม่ครับปิงอยู่กับแม่ตรงนี้ พี่เอย์เองก็อยู่เพราะงั้นแม่ไม่ต้องกลัวนะ” พี่ขมเดินเข้ามาหาแม่ทันที

“ขม พวกเขากำลังขึ้นมา”

“ไม่เป็นไร เราไปเตรียมน้ำท่ามาไว้ให้แขกเถอะ อย่างน้อยเขาก็เป็นญาติของเอย์ ไปปิงเข้าไปยกน้ำออกมาให้ครอบครัวพี่เขา”

ผมเดินตามพี่ขมเข้าไปอย่างว่าง่าย ตั้งสติสูดลมหายใจจากนั้นถือถาดน้ำออกมา แม่กับพี่ขมเลือกเอาแก้วใบใหม่ที่คิดว่าสวยและสะอาดเอี่ยมที่สุด ผมมองแม่แล้วก็สงสาร แม่ทำเพื่อผมมากมายจริง ๆ สิ่งที่ผมกลัวแม่เองก็กำลังกลัวเช่นเดียวกัน ท่านคงกำลังคิดว่าบ้านพี่เอย์จะมาเอาตัวพี่เขากลับไปแล้วผมที่เหลืออยู่จะอยู่แบบไหน แต่ผมมั่นใจในตัวพี่เอย์ วันนี้ไม่เหมือนเมื่อวันวานอีกแล้วพี่เอย์สามารถยืนหยัดด้วยตัวเองผลงานทุกอย่างเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมาการันตีความสามารถพี่เขาได้เป็นอย่างดี

แน่นอนว่ารวมไปถึงเรื่องของเรา ความรักที่มั่นคงของเราสองคน

“คุณย่าครับคุณแม่ครับ นี่น้าศรีแม่ของปิง ส่วนนี่พี่ขมญาติอีกคนของปิงเหมือนกัน” พี่เอย์แนะนำคุณย่ากับคุณแม่ของพี่เขาให้รู้จักครอบครัวของผม แม่กับพี่ขมยกมือขึ้นไหว้ และไหว้ผ่านไปถึงป้าอีกคนที่ยืนอยู่ด้านหลังคุณย่าของพี่เอย์ด้วย ถ้าจำไม่ผิดเธอเป็นแม่บ้านที่ดูแลเรื่องอาหารอยู่ที่บ้านสวนของคุณย่าพี่เอย์ ผมเห็นเธอเมื่อตอนไปที่นั่นแค่ครั้งเดียวแต่จำได้เพราะหน้าตาเธอคล้ายชาวเหนือเหมือนกับคุณแม่ของผม

“ศรี!” เสียงเธออุทานขึ้นมา คุณแม่พี่เอย์ยังหันไปมอง

“ศรี ลูกลุงสร้างกับแม่จุ๋มใช่ไหม ฉันพี่แพมไง จำกันได้รึเปล่า”

แม่นิ่งไปนิดนึง คิดว่าคงกำลังทบทวนอะไรบางอย่างอยู่ ก่อนที่ดวงตาสวยจะเปลล่งประกาย แม่ยืนขึ้นแล้วยิ้มอย่างดีใจ

“พี่แพม?!  ศรีเอง ไม่รู้เลยว่าพี่ทำงานอยู่กับคุณท่าน”

สองคนเหมือนลืมอะไรไปบางอย่างแม่ผมทำท่าจะเดินเข้าไปคว้าป้าแม่บ้านคนนั้นเข้ามาคุยแต่ผมดึงเสื้อแม่ไว้ก่อนกลัวว่าคุณท่านกับคุณหญิงแม่พี่เอย์จะว่า แต่ผิดคาด คุณหญิงย่ามันยิ้มกว้างแล้วบอกให้สองคนเขาคุยกัน

“ดีใจจริง ๆ ที่รู้จักกัน แบบนี้เห็นทีย่าจะไม่ต้องห่วงอะไรแล้ว”

“คุณท่านคะ ดิฉันรับรองเลย ศรีเป็นเด็กดีมาก ดิฉันเห็นน้องตั้งแต่เด็กก่อนที่จะเข้ากรุงเทพมาทำงานกับคุณท่าน คนๆนี้แหละที่ดูแลพ่อแม่ไม่เคยห่าง แม้กระทั่งเดี๋ยวนี้ถึงแม้จะไม่มีญาติมิตรที่ไหนแล้วก็ยังส่งเงินกลับไปให้พี่สาวแม่ของเขาอยู่ตลอด แม่ของหนูปิงเป็นคนดีมากค่ะดิฉันขอรับรอง”

“พี่แพม.....” แม่เรียกเธอเสียงสั่นเครือ ยกมือไหว้ครั้งแล้วครั้งเล่า

“เอาล่ะๆไม่ต้องมาโพทะนาความดีอะไรแล้ว แค่เห็นว่าเลี้ยงดูหลานฉันดีฉันก็พอจะรู้แล้วล่ะนะ” ท่านพูดพร้อมกับมองไปที่กะละมังเล็กๆที่แม่กำลังคั้นกะทิค้างไว้อยู่ มุมปากเปื้อนรอยยิ้ม

“กำลังจะทำอะไรกินกันล่ะหืม” เธอถามออกมา มองหน้าผมกับแม่

“น้าศรีกำลังจะทำกล้วยบวชชีให้ผมทานครับคุณย่า” พี่เอย์ชิงตอบให้แทน

“เอย์กินเป็นเหรอลูก” คราวนี้แม่มันแทรกขึ้น

“คิดว่าจะลองครับคุณแม่ เมื่อกี้ผมกำลังจะลองคั้นกะทิดู คุณแม่มาก่อนเลยวิ่งลงไปเปิด ปิงมานี่มา” พี่เอย์ตอบคุณแม่มัน แล้วหันมาเรียกผม

“ไหว้คุณย่ากูกับแม่กูรึยัง” ที่จริงผมไหว้แล้วนะแต่ไหว้ใหม่อีกรอบก็ไม่มีปัญหา  
ผมยกมือไหว้แบบหล่อๆ เอาให้อ่อนน้อมที่สุดเลย คุณย่าพี่เอย์กับคุณแม่มันเงยหน้ามองผม คุณย่ากวักมือเรียก พี่เอย์พยักหน้าบอกให้ผมย่อตัวนั่งลงข้างมัน เราสองคนคุกเข่าอยู่ข้าง ๆ กัน มือเล็กที่เต็มไปด้วยริ้วรอยประดับกำไลหยกสวยงามเก่าแก่ยกขึ้นมาลูบลงที่หัวผมเบา ๆ

“เรามาเริ่มต้นกันใหม่ได้ไหม ขอโอกาสให้ย่าสักครั้งนะลูก” ท่านมองหน้าผม แววตาอ่อนโยนกว่าครั้งไหน ๆ ที่ผมเคยได้เจอ คุณแม่ของมันเองก็ลูบลงที่หลังของพวกเรา

“ที่ผ่านมาแม่รับรู้แล้วว่าการที่สูญเสียลูกไปมันช่างทรมานมากมาย แม่ได้แต่เฝ้าดูไม่กล้าแม้แต่จะเข้ามาหา ขอโอกาสให้แม่ได้ทำหน้าที่แม่ที่ดี ทำทุกอย่างเพื่อลูกจริง ๆ ไม่ใช่แค่ความต้องการของตัวเองแบบแต่ก่อนนะลูกนะ”

คุณแม่พี่เอย์ร้องไห้ออกมาแล้ว เธอซับน้ำตาด้วยกระดาษทิชชู่สีขาวที่ถือติดมือมาด้วย ป้าแพมรีมเดินเข้ามาหาลูบแผ่นหลังเล็กเพื่อปลอบใจ

“คุณหญิงกับคุณรันมาจอดรถแอบดูคุณเอย์ทุกอาทิตย์เลยนะคะ แล้วทุกครั้งก็ร้องไห้กลับไปตลอด ”

“แม่กลัวเอย์ลำบากลูก แม่ทำทุกอย่างเพื่อลูก หาเงินหาทองไว้ให้ ถ้าไม่มีลูกแล้วแม่จะหาของเหล่านั้นไว้เพื่อใครกัน น้องเอย์ให้โอกาสแม่สักครั้ง หนูปิงขอโอกาสให้ฉันคนนี้ด้วย ฉันรู้ว่าตัวเองทำผิดมามาก ทั้งเห็นแก่ตัว นึกถึงแต่ตัวเอง ลืมความต้องการของลูกไปจนหมด ต่อไปนี้ขอให้ฉันได้แก้ตัว เราทุกคนมาเป็นครอบครัวเดียวกันนะ มาเป็นญาติกัน”

“ย่ารักเอย์นะลูก ยอมรับคนที่เอย์รักและจะรักคนรักของเอย์รวมไปถึงครอบครัวของหนูปิงด้วย เรามาเป็นครอบครัวเดียวกันนะหลานย่า อย่าได้แยกออกไปแบบนี้ ย่าคิดถึงเอย์ใจจะขาด รักมากนะลูกนะ”

พี่เอย์หันมามองหน้าผม ตามันแดง ๆ ขณะที่ผมเองก็มองหน้ามันอยู่  ไม่รู้พี่เอย์จะตัดสินใจแบบไหน มันก้าวเดินออกมาจากอัศวแล้ว เหมือนกับนกที่โผบินออกจากรัง ถ้าผมมองไม่ผิดผิดสายตาพี่เอย์นั้นแน่วแน่และเด็ดเดี่ยวมาก  มันหันมามองหน้าผมส่งสายตาบอกให้รู้แม้ว่าจะไม่ได้เอ่ยเป็นคำพูดออกมาผมก็รู้ว่ามันคิดจะให้ผมทำอะไร

เราสองคนก้มกราบลงไปที่ตักคุณย่ามันพร้อมกัน

“เอย์ไม่เคยโกรธคุณย่าเลย เอย์มีคุณย่าแค่คนเดียว คนที่ใจดีกับเอย์มาตลอดตั้งแต่เล็ก ทุกวันนี้เอย์ก็ยังรักและเคารพคุณย่าอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง”

“หลานเอย์ของย่า” คุณย่ามันร้องไห้สะอื้น มือเล็กลูบแล้วลูบอีกอยู่ที่หัวพี่เขา   พี่เอย์หันมาหาคุณแม่มันบ้าง ก้มกราบลงที่ตักเล็ก ผมเองก็กราบลงข้าง ๆ ไม่กล้าสัมผัสตักเธอกลัวว่าจะไม่เหมาะสมเธออาจจะถือตัวอะไรแบบนั้น ตรง ๆ เลยคือผมเกรงใจเธอมาก กิริยาแบบผู้ดีของเธอยังคงตราตรึงในหัวใจผมอยู่

แต่ครั้งนี้แม่พี่เอย์ลูบเข้าที่หัวผมแล้วกดลงให้สัมผัสกับตักเธอได้ เธอตบหลังผมเบา ๆ พอเงยหน้าขึ้นมองเธอร้องไห้ออกมาอีก

“ทำไมแม่ถึงไม่คิดให้เร็วกว่านี้นะ ทั้งๆที่เอย์ก็บอกแม่ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งว่าหนูปิงเป็นเด็กดี ทั้ง ๆ ที่แม่เองก็รับรู้มาตลอด”

“แม่ครับ เอย์ขอบคุณมาก”

คุณรันเธอส่ายศีรษะเบา ๆเอ่ยคำพูดสุภาพแล้วหันไปหาคุณแม่ของผม “แม่ต่างหากที่ต้องขอบคุณ ขอบคุณเธอมากนะศรี ขอบคุณที่ดูแลเอย์ตั้นให้ฉัน ขอบคุณที่รักลูกฉันเหมือนกับลูกของเธอเอง ฉันเฝ้ามองมาตลอด ทุกครั้งที่ได้มาจอดเฝ้าดู เธอดีกับน้องเอย์มากจริง ๆ ไม่เคยมีสักครั้งที่ฉันเห็นเธอตำหนิหรือด่าว่าเขา ฉันไม่รู้จะพูดอะไรไม่รู้จะตอบแทนเธอยังไงดีเท่าคำพูดนี้ ฉันขอโทษและขอบคุณ”

“ไม่เป็นไรค่ะคุณหญิง” แม่ผมโบกมือพลางพูดอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ คุณรันถึงกับระบายรอยยิ้มออกมา

“อย่ากลัวฉัน เราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ศรีอายุน้อยกว่าฉัน มาเป็นน้องสาวฉันเถอะนะ ฉันเองก็ไม่มีพี่น้องที่ไหน เห็นเธอดีกับลูกชายฉันแบบนี้แล้วฉันละอายแก่ใจมากจริง ๆ ที่ทำกับหนูปิงไปมากขนาดนั้น”

“อะ...อะ..เอ่อ...คะ... คือ...อ..” แม่ผมละล่ำละลักพูดไม่เป็นศัพท์ คุณแม่พี่เอย์จึงลุกขึ้นไปจับมือแม่ไว้ ผมเห็นทั้งสองคนส่งยิ้มให้กัน แม่ผมน้ำตาคลอ

แล้ววั้นนั้นเราทั้งหมดก็ช่วยกันทำอาหาร แม่กับป้าแพมช่วยกันทำน้ำพริกปลาทู ต้มยำกุ้งและไข่ยัดไส้ พี่เอย์มันตั้งอกตั้งใจฝึกคั้นน้ำกะทิเพื่อทำกล้วยบวดชีของมันต่อ ส่วนผมพี่ขมบอกให้บึ่งมอไซด์ไปตลาดซื้อผักสดถั่วพลูมายำเสริมเข้าไป พอถึงเวลาอาหารพี่เอย์มันบอกให้ผมไปทอดไข่เพิ่มเพราะมันกินไข่ยัดไส้ไม่เป็น แต่แม่ผมรู้ใจทำเสริมไว้ให้คุณชายเรียบร้อย

เย็นวันนั้นเราทั้งหมดทานข้าวด้วยกัน คุณเชื่อไหม...ผมเพิ่งจะเห็นว่าพี่เอยืมีความสุขแบบสุขมากๆเป็นครั้งแรก มันอมยิ้มตลอดเวลา นั่งใกล้ผมไม่ยอมห่าง จนคุณแม่กับคุณย่ามันยังแซว นึกว่าเราสองคนกลายเป็นฝาแฝดกันไปแล้ว

“แล้วแวะไปหาย่าบ่อย ๆ นะลูก กลับไปทำงานของบ้านเรา บริษัทรถนั่นเป็นของเอย์เจ้าซ่าร์เขาดูแลให้เราอยู่ ย่ารอให้เอย์กลับมานะลูก”

“คุณย่าครับ เรื่องนั้น......”

“ไม่เป็นไร ค่อยเป็นค่อยไป เอย์อยากจะกลับไปทำต่อตอนไหนก็ได้ ย่าเข้าใจว่าหลานคงกำลังภูมิใจกับบริษัทใหม่ของตัวเอง แต่เอย์ต้องไม่ลืมว่าที่นั้นก็เป็นบริษัทของเอย์เหมือนกัน ย่าติดตามข่าวนะ รู้มาว่างานของเอย์เติบโตขึ้นมากจริง ๆ ลูก”

“ไม่หรอกครับคุณย่า ผมกำลังเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ คงต้องหาประสบการณ์อีกเยอะ”

“เอาล่ะๆอย่าเพิ่งคุยเรื่องงานกันเลย เอาเป็นว่าว่างเมื่อไหร่ เอย์กับหนูปิงต้องแวะไปหาย่านะลูก แวะไปบ่อย ๆ เลย” คุณหญิงย่าท่านโบกไม้โบกมือพาคุยออกนอกเรื่องงาน พี่เอย์เองก็ยิ้มรับ

“เดี๋ยวอาทิตย์หน้าช่วงเย็นเอย์กับปิงว่าง เราจะแวะเข้าไปทานข้าวกับคุณย่าครับ” เราทุกคนเดินออกมาส่งคุณหญิงท่านที่รถ ป้าแพมล่ำลากับแม่ผมใหญ่เลย คงอยากจะคุยกันต่อ ผมเห็นเธอขอเบอร์โทรศัพท์ที่บ้านไปด้วย คุณแม่พี่เอย์ขยับออกมาเตรียมพาคุณย่ามันขึ้นรถ

“ถ้าอย่างนั้นอาทิตย์หน้าแม่จะนัดคุณพ่อเรากับเจ้าซ่าร์ไว้ เดี๋ยวพอไปรับอันวาจากที่เรียนพิเศษแล้วเราไปเจอกันที่บ้านคุณย่าเลยนะลูก นะปิง ไปด้วยกันนะศรี ขมด้วย ฉันเชิญนะ” คุณแม่พี่เอย์ส่งยิ้มอ่อนโยน แววตาเธอดูจริงใจกว่าครั้งไหน ๆ แม่ผมกับพี่ขมนี่ไหว้แล้วไหว้อีกคล้ายคนทำอะไรไม่ถูก

“ครับแม่แล้วเจอกัน” พี่เอย์ตอบรับคุณแม่มันเบา ๆ หากแต่ถ้อยคำนั้นหนักแน่น และมันคงจะทำจริง ๆ ผมเองก็พลอยอมยิ้มไปด้วย

ในที่สุดครอบครัวพี่เขาก็ออกรถไป แม่ผมนี่ผลักหัวผมเลยมีการบอกแม่ตื่นเต้นแทบแย่ ถ้าหัวใจวายไปจะทำไง ผมกับพี่เอย์รีบวิ่งขึ้นไปช่วยเก็บจานไปล้างจากนั้นเราสองคนก็แยกกลับไปนอนบ้าน

พี่เอย์ฮัมเพลงตลอดทาง ผมรู้มันมีความสุขมาก อะไรจะดีเท่าครอบครัวของเราเข้ากันกับคนที่เรารักได้ เราสองคนยืนดุปลาด้วยกัน ผมย่อตัวนั่งลงไปกวักมือเล่นสายน้ำเย็น ๆ พี่เอย์เองก็นั่งลงด้วยมันชี้บอกว่าผมหน้าเหมือนปลาตัวสีเหลือง ผมเลยบอกมันนั่นแหละหน้าเหมือนปลาช๊อกเกอร์สีดำ คุณชายงอนใหญ่วิ่งไล่ผมจนเข้าถึงในบ้าน

คืนนั้นไม่มีฝนตกลงมาเลยแม้แต่เม็ดเดียว แต่ผมกลับมีความรู้สึกว่าหัวใจผมชุ่มชื่นอย่างบอกไม่ถูก เรานอนอยู่ในอ้อมกอดของกันและกัน


“ปิง ศุกร์หน้ามึงว่างไหม”

“หืม? พี่เอย์จะไปไหนครับ”

“ว่างป่ะละ ไปเที่ยวค้างคืนกันสักวัน”

“ที่ไหนพี่”





“อัมพวา”






วันนี้ไม่เหมือนวันนั้น สี่ปีที่แล้วผมเคยคิดในใจว่าถ้าได้มาเที่ยวที่นี่ในช่วงกลางคืนคงจะสวยงามน่าดู ตอนนี้ผมยืนอยู่ท่ามกลางดวงไฟสีส้มมากมายพอๆกับผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปมา พ่อค้าแม่ขายทั้งในน้ำทั้งบนบกต่างเรียกลูกค้าให้เขามาซื้อหาของกินของที่ระลึกของตัวเอง

จำได้ว่าวันนั้นผมตื่นตาตื่นใจมาก เดินมองซ้ายมองขวาตลอดทาง ตัวปลิวไม่สนใจใครทั้งนั้น เงินในกระเป๋ามีแค่ร้อยกว่าบาท

แต่วันนี้มือหนึ่งของผมจับจูงกับมือใหญ่และเย็นของใครอีกคน ตลกไหมที่ว่าใครคนนั้นคือคนเดิมที่เคยมากับผมเมื่อสี่ปีที่แล้ว

วันนั้นผมกับมันเป็นแค่ นายจ้างกับลูกจ้าง

แต่วันนี้ เราสองคนใช้ชีวิตร่วมกันแล้วในฐานะ.....คนรัก

ผมคิดว่าจุดเริ่มต้นของความรู้สึกและอะไรหลายๆอย่างของเรา เริ่มมาจากที่นี่

“พี่เอย์กินไอติมไหมครับ”

คุณชายพยักหน้า ผมเดินเข้าไปต่อคิวสั่ง เป็นมันที่ยืนรอผมอยู่ไม่ไกล พอผมหันไปเห็นคุณชายชูโทรศัพท์จิ้มกดชัตเตอร์รู้เลยว่ามันกำลังถ่ายรูป แต่ผมไม่ส่งยิ้มให้หรอก มีสาว ๆ หลายคนกำลังมองพวกเราอยู่ด้วยดูเหมือนพวกเธอจะเห็นว่ามันเพิ่งปล่อยมือผมออกไปตะกี้นี้เอง

“อ่ะ ถ้วยนี้ของพี่”

พี่เอย์อมยิ้มทันที ผมส่งถ้วยที่ไม่มีถั่วให้มัน จำได้ว่าตอนมาที่นี่ครั้งแรกพี่เอย์บอกว่ามันไม่กินถั่ว

“อร่อยไหมครับ”

“ก็ใช้ได้ เคยกินแล้วนี่เจ้านี้”

“พี่จำได้?”

“กูไม่มีทางลืมหรอก”

คำพูดแค่นั้นของมันก็ทำเอาผมอิ่มอกอิ่มใจมากแล้ว เราเดินผ่านขนมครกชาววังเจ้าอร่อยกัน พี่เอย์ชี้ให้ผมดูท่าทางคุณชายจะอยากกินแน่ ๆ ผมเลยไปต่อคิวซื้อให้อีก คราวนี้นานพอสมควรเห็นพี่เอย์เดินไปสนอกสนใจเรือขายผลไม้สดด้านล่าง มันนั่งลงไปที่พื้นห้อยขาผ่อนคลาย ยกมือถือขึ้นมาบันทึกภาพเหล่าบรรดาเรืออาหารในลำน้ำ ผมซื้อเสร็จเดินไปนั่งลงข้าง ๆ มันพี่เอย์ขยับนิดๆ เพราะเป็นช่วงหัวค่ำคนเลยค่อนข้างเยอะ เราเบียดๆกันกับคนอื่นแต่ก็พอจะนั่งได้ กินขนมครกไปชมวิวแม่ค้าพ่อค้าพายเรือขายของไป ลมโชยโกรกเข้ามาเบา ๆ เรียกเอารอยยิ้มและความรู้สึกสบายใจของเราเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัว

“ผมยาวแล้วมึงอ่ะ” พี่เอย์ชี้ๆบอกให้ผมเหน็บปลายผมเข้าหลังหู ผมเลยชี้บอกมันว่า พี่เอย์ก็ยาวเหมือนกัน พี่เอย์ก้มหน้าแล้วแอบยิ้ม ผมรู้มันอาย จริง ๆ คนเยอะนะแต่ผมคิดว่าช่างเหอะจะแคร์อะไรล่ะไม่มีใครรู้จักผมกับมันหรอกน่า ผมจึงเอามือเช็ดๆเข้าที่เสื้อก่อนเอื้อมไปเสยเส้นผมนุ่ม ๆ ที่ปลิวระใบหน้าออกให้คุณชาย พี่เอย์คงตกใจที่เห็นผมกล้าทำ มันเงยหน้าจ้องผมตาโต แก้มนี่แดงขึ้นนิดๆ ผมยักคิ้วส่งไปให้มัน อะไรวะนี่ผมกำลังจีบมันอยู่งั้นดิ่ พี่เขาก้มหน้าใหญ่เลย ผมก็แกล้งไม่สนใจมองนั่นนี่ไป

พอขนมหมดเราสองคนลุกขึ้น พี่เอย์สอดมือเข้ามาที่ผม เราเดินกันไปจนสุดทางเจอกับร้านอาหารร้านเดิมที่เราเคยมานั่งด้วยกันเมื่อครั้งนั้น ผมและมันต่างมองหน้ากันไม่ต้องบอกอะไรมากหรอกครับ เราทั้งคู่ต่างเดินเข้าไปที่โต๊ะเดิม เก้าอี้ตัวเดิม โชคดีมากที่ที่นั่งตรงนี้ยังคงว่างอยู่ทั้งที่เป็นจุดชมวิวที่ดีที่สุดในร้าน ผมเดินเข้าไปก่อน แต่วันนี้พี่เอย์ไม่นั่งฝั่งตรงข้ามผมเหมือนวันนั้นอีกแล้ว มันเดินตามเข้ามานั่งข้างๆกัน

“เมนูค่ะ” น้องพนักงานยื่นเมนูส่งให้ พี่เอย์เลื่อนเข้ามาให้ผม ปกติเวลาไปทานอาหารนอกบ้านเดี๋ยวนี้ผมเป็นคนสั่งตลอด คุณชายทานได้ทุกอย่างที่ผมออเดอร์ไป

“พี่เอย์กินอะไรดีครับ เอาผัดไทไหม หรือยากกินข้าวผัดกุ้ง ข้าวผัดปู” ผมหันไปถาม พี่เขาเอียงหัวเข้ามาใกล้ ๆ ดูเมนูด้วยกัน

“ผัดไทก็ได้มั้ง มึงกินไรอ่ะ?”

“งั้นเอาผัดไทกุ้งสดแล้วก็กระเพราไก่ไข่ดาวครับ” ผมสั่งน้องเขาไป ขณะที่ตอนนี้คุณชายกำลังยกมือถือขึ้นถ่ายรูปคุณป้าคนหนึ่งที่พายเรือผ่านไป แกขายอะไรสักอย่างสีหน้ายิ้มแย้มมาก

“แล้วน้ำล่ะคะ”

“ขอเป็นน้ำเปล่าครับ” ผมตอบ

น้องเขารับเมนูไปแล้วยิ้มให้  พี่เอย์เซลฟี่ภาพเราสองคนเยอะมาก พอผมเอามาดูแล้วบอกขี้เหล่ มันไม่ยอมลบบอกรูปผมขี้เหล่ๆมันชอบ เก็บไว้เป็นไดเร็กทอรี่ลับ ผมก็ปล่อยมันไปไม่อยากจะสน อย่าให้ผมค้นเลย คุณก็รู้มือแฮกอ่ะ  ผมค้นเจอหมดแหละมันอยากเก็บความสุขของมันก็ทำไป

พักเดียวน้องเขาก็เอากับข้าวมาเสิร์ฟ อาหารน่ากินมากๆ เราลงมือทานกันแบบค่อยเป็นค่อย ๆ พี่เอย์ชี้ให้ผมดูนั่นดูนี่พร้อมกับรอยยิ้มที่ผุดขึ้นมาบนใบหน้ามันตลอด

ผมอยากให้ความสุขแบบนี้อยู่กับเราสองคนไปนาน ๆ ตราบใดที่ผมยังมั่นคง ผมคิดว่าพี่เอย์เองก็จะมั่นคงกับผมเช่นกัน

“มื้อนี้ผมจ่ายใช่ไหม”

ผมถามขึ้นแบบนั้น ทำเอาพี่เขาหันมามองผมแบบงง ไม่ใช่อะไรนะทุกวันนี้ผมเป็นคนถือเงิน เรื่องค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ภายในบ้านพี่เอย์ให้ผมรับผิดชอบ มันมีหน้าที่หาเงินแล้วโอนเข้าบัญชีผม เพราะงั้นเดี๋ยวนี้เวลาไปซื้อของอะไรผมเป็นคนจ่ายทุกอย่าง ยกเว้นของใช้ชิ้นใหญ่ ๆ คุณชายจะแบ่งเงินเก็บไว้ส่วนหนึ่ง ในจุดนั้นผมจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับมัน พอทำแบบนี้แล้วเราจะไม่มีปัญหากันเลย

“จำได้ว่าตอนนั้นผมเอาเงินมาแค่ไม่กี่ร้อย ยังมีหน้าขอเลี้ยงข้าวพี่อีกเนอะ” ผมว่ายิ้ม ๆเมื่อนึกถึงเรื่องของเราเมื่อครั้งก่อน  พี่เอย์ยื่นมือมาบิดจมูกผม

“หมาจริงๆมึงน่ะ” มันผลักหัวผม พอดีกับที่น้องเขาเดินผ่านมาผมเลยเรียกให้เก็บตังค์ พอพวกผมจะลุกออกจากโต๊ะน้องพนักงานเสนอตัวบอกเดี๋ยวถ่ายรูปคู่ให้ พวกผมต้องการไหม?

พี่เอย์ยื่นมือถือส่งให้เธอทันทีไม่ต้องให้ถามซ้ำซาก  มันกอดคอผมไว้แล้วเก็กหน้าหล่อขณะที่ผมแกล้งกัดริมฝีปากแล้วหรี่ตาใส่กล้อง ในที่สุดน้องเขาจิ้มกดชัตเตอร์ถ่ายให้เรากันพลาดอีกสองรูป พี่เอย์ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ บอกร้านนี้บริการดีสุภาพมันประทับใจวันหลังจะมาอีก

ดึกขึ้นมากแล้ว เราเดินย่อยอาหารกันในขากลับ ผ่านร้านรวงต่าง ๆ มากมายทั้งของฝากของที่ระลึกชิ้นเล็กๆน่ารักไปจนถึงชิ้นใหญ่โต  ผมได้ที่รองแก้วรูปช้างไปฝากแม่กับพี่ขม พี่เอย์มันกำลังเลือกดูพวงกุญแจน่ารักๆอะไรของมัน

เราเดินออกมาเรื่อย ๆ ในที่สุดผ่านร้านที่ผมเฝ้ารอมานาน ตอนแรกยังคิดอยู่นะว่าร้านนี้ยังจะมาตั้งขายอยู่ไหม ปรากฏว่าขายครับ เธอคนขายคนนั้นยังนั่งร้อยและถักเชือกข้อมือหนังสีสันต่าง ๆ อยู่ ผมจำเธอได้ในทันที

“เส้นนี้เท่าไหร่ครับ” ผมเดินเข้าไปถาม พี่เอย์เดินตามเข้ามาด้วย

“สองร้อยห้าสิบบาทค่ะ จะให้เขียนชื่อไหมคะ” เธอตอบกลับมาพร้อมส่งรอยยิ้มสวยมาก ผมเลยยิ้มตอบกลับไปเป็นมารยาท

“เอ่อ....” จริง ๆ ก็อยากจะได้นะ มาคราวนี้ก็พอมีตังค์จ่ายอยู่หรอก แต่ติดที่ว่าตอนนี้คุณชายตาเขียวใส่แล้ว มันจ้องผมใหญ่  ผมลองแกล้งส่งสายตาอ้อนมัน จริง ๆ ก็อยากให้มันซื้อให้เหมือนวันนั้นแหละ แต่จะให้บอกยังไงแบบไหนอ่ะ เจอมันทำตาเขียวส่ายหัวแล้วเดินแทรกคนออกไปเลยคงโมโหที่ผมไปยิ้มตอบเธอแน่ ๆ  ผมรีบค้อมหัวให้เธอแสดงความขอโทษที่ถามแล้วไม่ซื้อ  จากนั้นรีบเดินตามมันออกมาเห็นแค่หลังคุณชายไวๆเลี้ยวเข้าร้านกาแฟไปแล้ว ผมเลยรีบเดินตาม

“เอาเหมือนเดิม”

เสียงพี่เขาออเดอร์ขึ้นพลางเลื่อนเก้าอี้ออกมาแล้วนั่งลง  ผมนี่ตาโตเท่าไข่ห่าน ตายห่า...จะไปจำได้ไหมวันนั้นมันสั่งกาแฟอะไร ยอมรับจริง ๆ ว่าลืมไปแล้วมันเป็นชื่อภาษาแปลกๆ แต่ตอนที่ไปสั่งผมก็บอกแค่กาแฟเย็นธรรมดา มันก็ไม่เห็นจะว่าอะไรเพราะงั้นวันนี้ก็สั่งแบบเดิมละกัน

“มึงสั่งไปนะ กูปวดท้องว่ะขอไปเข้าห้องน้ำแปป” มันเดินเข้ามาบอก ยัดมือถือส่งให้ผมถือไว้ เห็นเดินเลี้ยวซ้ายออกไป ผมกลับไปนั่งรอกาแฟไม่นานพอได้ก็เดินไปจ่ายตังค์แล้วยกแก้วของเราสองคนมาที่โต๊ะ ระหว่างรอหมาบาสมันไลน์มาแซว มันรู้ได้ไงว่าวันนี้ผมกับพี่เอย์มาเที่ยวกัน ผมถามไป มันเลยบอกว่าพี่เชนบอก ผมคาดคั้นไปอีกว่าพี่เชนรู้มาจากใคร ไลน์จากพี่เชนเลยเด้งขึ้นมาว่าตอนนี้พี่เชนพี่ซ่าร์น้องอันวาหมาบาสและไอ้วุฒิ มานั่งกินข้าวกับแม่และพี่ขม เห็นบอกว่าแม่ทำสุกี้เลี้ยง ผมนี่อิจฉาขึ้นมาเลยสิครับ ใช้อีโม่ด่ามันไปเยอะมาก

“คุยกับใคร” พี่เอย์เดินกลับมา มันจับหัวผมแล้วนั่งลงข้าง ๆ ผมเลยโชว์ไลน์ให้มันดู ไอ้บาสแม่งทุเรศสุดมันถ่ายรูปชูสองนิ้วกับแม่ผมและน้องอันวาหน้าระรื่น รูปถัดไปเป็นพี่เชนพี่ซ่าร์นั่งคู่กัน แล้วอีกรูปเป็นมันกับไอ้วุฒิกำลังชนกระป๋องโค้กกันอยู่  มีรูปน้องอันวาทำหน้าทะเล้นเดี่ยว ๆ พี่เอย์เลยบอกขอคุยกับอันวา เปลี่ยนเป็นโหมดโทรคุย เจ้าหนูแยกเขี้ยวทำหน้ายักษ์แล้วบอกให้มันรีบกลับมา สรุปไลน์ไปไลน์มากว่าจะมีใครยอมลงให้กันก่อนนี่ปาเข้าไปเกือบครึ่งชั่วโมง

พอออกจากร้านกาแฟ เราเดินดูของกันมาเรื่อย ๆ จนเกือบจะถึงทางออก พี่เอย์ถามว่าจะเอาขนมอะไรไปกินที่ห้องไหมผมเลยบอกไม่เอา อิ่มแล้ว มันยิ้มแล้วบอกกินน้อยๆไว้อ่ะดี ทำอะไรจะได้สะดวกไม่หนัก ผมงี้เปรี๊ยะเลยสิครับ มันพูดเรื่องสิบแปดบวกรึเปล่าวะ?  พอหันไปทำหน้ายักษ์ถาม คุณชายยังมีการมายักไหล่ใส่อีก ผมเลยยกขาใส่มันเจอมันผลักหัวกลับมา

เรากลับถึงห้องกันดึกๆ อย่าถามนะว่าโรงแรมไหน เพราะคุณพี่ตั้งใจพาผมกลับไปพักที่รีสอร์ทเล็กๆที่มีบ้านเป็นหลัง ๆ ทาสีสดใส มีระเบียงที่ยื่นไปด้านหลังติดแม่น้ำแม่กลอง

บรรยากาศของที่นี่ยังเงียบสงบดีเหมือนเดิมทุกอย่าง

แล้วโชคก็เข้าข้างเราอีกครั้งเมื่อบ้านพักหลังสุดท้ายสีส้มๆ นั้นยังว่างอยู่ พี่เอย์รับกุญแจมาแล้วเดินนำผมไป เรามีแค่กระเป๋าสะพายเล็กๆใบเดียวใส่ชั้นในของผมและมัน ส่วนเสื้อผ้าพรุ่งนี้ค่อยลงมาเอาพี่เอย์จัดการแขวนไว้ที่รถ

“โห คิดว่าจะไม่ว่างซะแล้ว เหลือเชื่อเลยโชคเข้าข้างชะมัด” ผมทิ้งตัวนั่งลงที่เตียงนุ่ม กวาดตามองไปทั่วห้อง เช็คสภาพโดยรวมด้วยสายตา

“พูดอะไรของมึง” พี่เขาปลดกระดุมเสื้อลง ถอดแล้วพาดไว้ที่โต๊ะ มันหยิบชุดคลุมอาบน้ำสีขาวมาใส่ เดินมานั่งลงข้าง ๆ แต่คุณชายทำไมไม่ผูกสายชุดวะ เดินมาทั้งๆแบบนั้นเผยให้เห็นแต่ท่อนบนที่เปลือยเปล่ากับชั้นในชายสีขาวที่ห่อหุ้มอะไรบางอย่างตุง ๆ ไว้ แบบนี้มันตั้งใจยั่วผมชัดๆเลยนี่

ผมกลืนน้ำลายเอื๊อก!

“ก็ทั้งโต๊ะเก่าที่ร้านอาหารนั้นยังว่าง ทั้งที่คนเต็มร้าน แล้วก็ยังรีสอร์ทสีส้มหลังนี้ แบบนี้มันเหมือนกับวันนั้นของเราเลยนี่ครับ”

ผมนั่งบ่นพึมพำของผมไป พี่เอย์พิงหลังเข้าที่หัวเตียงยกขาข้างหนึ่งแยกออก เอามือถือขึ้นกดดูรูปอะไรของมันไป สาบชุดคลุมที่ไม่ได้ปิด เปิดเผยให้เห็นแทบทุกอย่าง คือโชว์หมดอ่ะกล้ามเนื้อหน้าท้องเป็นมัดสวยงามกับไอ้นูนๆที่เป้า ผมคิดว่าตัวเองกำลังหน้าร้อนฉ่าขึ้นมา อายนิดๆแต่พี่เอย์ดูเหมือนจะไม่รู้ มันยังจ้องมองหน้าจอมือถือของมันอยู่

“มันจะไม่ว่างได้ไงวะ กูจัดการโทรจองก่อนทุกอย่างเรียบร้อย มึงรู้ไหม ค่าจองน่ะแพงกว่าค่าอาหารของเราวันนี้อีกไม่รู้ตั้งกี่เท่า ส่วนที่ห้องนี้ภีมเขาเป็นคนจัดการจองให้ตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว ดีหน่อยที่ไม่ต้องจ่ายเพิ่มอีก เขาคิดราคาเดิมเพราะชื่อกูเคยเป็นลูกค้าไว้ตั้งแต่ตอนนั้น”

ผมถึงกับหันไปมองมันแล้วเบะปาก “อะไรจะลงทุนขนาดนั้น” ไม่อยากจะเชื่อ

“ที่จริงก็ไม่อยากทำหร๊อกกกก  กลัวหมาบางตัวมันโวยวายเดี๋ยวก็บ่นโน่นบ่นนี่อีก กูรำคาญไงเลยรีบทำตัดหน้าไปเลย”

ผมหรี่ตามองมันแล้วยกยิ้ม เอื้อมตัวไปจุ๊บแก้มหนึ่งทีแล้วบอกขอบคุณ พี่เอย์ทำท่าจะกัดจมูก ผมเลยรีบหลบ มันดึงผมเข้าไปอาบน้ำด้วยกัน ผมถูหลังให้มันขณะที่มันก็ขัดหลังให้ผม เราเล่นกันเบา ๆ ไม่มีอะไรมากนะ พอออกมาพี่เอย์ดึงผมออกไปดูแม่น้ำที่ระเบียงด้านหลัง ดึกๆแบบนี้เสียงจิ้งหรีดจั๊กจั่นและเหล่าแมลงตัวเล็กตัวน้อยต่างฮัมเพลงไปกับสายลมคล้ายเสียงดนตรีจากธรรมชาติกำลังบรรเลงมากจริง ๆ

แต่สิ่งที่งดงามแปลกตา ชวนให้ผมประทับใจมิรู้ลืมก็คือ....

พี่เอย์ค่อย ๆ ช้อนฝ่ามือขึ้นไปในอากาศ เพราะว่าเราปิดไฟที่ระเบียงจนมืดเราจึงเห็นสิ่งนี้กันชัดเจนมาก หิ่งห้อยเปล่งแสงสีสวยลอยอยู่เหนือฝ่ามือของมัน คุณชายยิ้มจนตาเป็นประกายเมื่อต้องกับแสงของหิ่งห้อย ขณะที่มืออีกข้างของมันสอดเข้ามาจับเอามือผมไปช้อนอีกตัวมาไว้ข้าง ๆ กัน

แม้กระทั่งหิ่งห้อยยังเป็นใจ เราสองคนหัวเราะออกมาตอนที่เจ้าหิ่งห้อยแสนสวยสองตัวบินเข้าหากันแล้วค่อย ๆ ลอยออกไปบนลำน้ำ แสงระยิบระยับสวยงามมากๆ พี่เอย์เอื้อมมือมาสวมกอดผมไว้เบา ๆ กดคางลงที่ไหล่

“เข้านอนไหม มึงง่วงหรือยัง” ผมเอนหัวไปหามัน พี่เขาจูบลงที่ขมับผมเบาๆ ก่อนที่เราสองคนจะเดินกลับเข้ามา 

ไฟในห้องก็ปิดไปแล้ว ไฟที่ระเบียงก็ปิดไปแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมสำหรับการนอนแล้ว ได้ยินแต่เสียงลมหายใจของใครบางคนที่เป่ารดอยู่ที่ซอกหู

ไม่ต้องบอกคุณก็รู้ใช่ไหมว่าพี่เอย์มันกำลังคิดจะทำอะไร สี่ปีที่แล้วผมถูกไล่ลงมานอนที่หน้าเตียงแต่มาวันนี้ผมกลับนอนอยู่ในอ้อมกอดอบอุ่นนั้น

ใจผมกำลังอมยิ้ม ในขณะที่ปลายจมูกโด่งซุกซนกำลังเริ่มทำหน้าที่ ผมนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

“พี่เอย์ครับ” ผมเรียกขึ้น เสียงพี่เขาครางรับอยู่แถว ๆ ซอกคอ ยังไม่ยอมเอาหน้าออกมา ลิ้นร้อนกำลังเริ่มทำงานผมดิ้นหนีนิดๆเพราะเริ่มจักจี้

“พี่เอย์ เดี๋ยวก่อนครับ” ผมเรียกมันขึ้นมาอีก

“อะไร” มันผละออกมาแล้วจ้องหน้าผม ร่างกายส่วนล่างร้อนฉ่า คิดว่าคงอยากทำเต็มที่แล้ว

“พี่รักผมจริง ๆ ใช่ไหม” มันนิ่งไปเลย มือไม้ที่กำลังลูบกำลังขยำนี่แบบ หยุดการกระทำทุกอย่าง ผมเองก็จ้องหน้ามัน เอาวะมาถึงขนาดนี้แล้วผมจะต้องเดินหน้าต่อ ผมเองก็มีความนึกคิดของผมอยู่

ไม่ขอมันวันนี้จะไปขอวันไหน!!!

“พูดอะไรของมึง อยู่ด้วยกันมาจนขนาดนี้แล้ว” พี่เขาเริ่มเสียงเครียดๆ มันเริ่มขยำขยี้ต่อ

“ก็...ถามดูไง”

“ไร้สาระ ต่อเลย” มันว่าแล้วซุกหน้าลงไปต่อ ผมนี่ขนลุกไปหมด แต่ยังเบี่ยงตัวหลบ

“หมาปิง อะไรของมึงอีก”

“ก็ถ้าพี่รักผมจริง ๆ ผมขออะไรพี่อย่างได้ป่ะล่ะ”

“อ้อ ที่แท้อยากได้ของ ได้สิวะมึงอยากได้อะไรรีบบอกมาเลยวันนี้กูใจดี น้องปิงขออะไรพี่เอย์ยกให้หมดเลย” มันพูดเจ้าเล่ห์แล้วยิ้ม ผมนี่หยิกขาตัวเองไว้เลยครับ  ขอให้มันพูดจริงทำจริงด้วยเถอะว๊า สาธุ แม่งจะบนเอาดีสคนที่เกลียดขึ้นเปลี่ยนในเฮดทวิตเลยเหอะ

“ว่าไงล่ะมึงอยากได้อะไร รีบบอกกูมาเร็วเข้า”

“เอ่อ...คือ..ถ้าผมขอแล้วพี่จะให้แน่นะครับ”

“ก็เออสิวะ อย่าลีลาอยากได้อะไรรีบบอก”

“จริงนะ” ผมถามย้ำลงไปอีก  มันกดปลายจมูกลงมาที่ปลายจมูกผมแล้วแกล้ง  ผมเลยยกสองมือประคองแก้มมันไว้

เราจ้องตากัน

เอาวะ...บรรยากาศแบบนี้ถ้าขอแล้วมันอาจจะอยากลองให้ผมดูสักครั้งจริง ๆ ล่ะ ผมสูดลมหายใจหลับตาแน่นๆ ท่องนะโมๆๆ

“บอกมาเร็ว”

“ครับจะบอกเดี๋ยวนี้แหละ”

“ว่า.......”


“ผมขอเป็นฝ่ายเอาพี่บ้างได้ไหมครับ”  


หนักแน่นและชัดเจน ผมกลั้นใจพูดออกมารวดเดียว....................................จอด

พี่เอย์เงียบไปทันที ผมว่าหน้ามันเริ่มบิดเบี้ยว คล้ายกับว่าโกรธผมมาสักสามชาติ ขณะที่ผมเริ่มสำนึกแล้วว่าตัวเองคงจะพูดอะไรผิดไป กำลังจะอ้าปากบอก คุณชายยกขาขึ้นในท่าตั้งรับสวยงามโชว์ของรักของสงวนพร้อมทั้งบรรจงถีบผมลงจากเตียงอย่างงดงาม

“โอ๊ยยยยยยยยยยยยยยยยย!!!!  ผมร้องลั่น ไม่คิดว่ามันจะเล่นรุนแรงแบบนี้ ผมรีบใช้แขนเกาะขอบเตียง กำลังจะปีนขึ้นไปใหม่  แต่เจอมันปาหมอนลงมาใส่หน้าพร้อมกับเรียวนิ้ว ที่ชี้ลงมาที่ผม

“นอนตรงนั้นไปเลย อย่าขึ้นมาเชียวนะมึง!

พี่เขาว่าจบห่มผ้ามิดชิดแล้วหลับตานอนในทันที ผมนี่สิ นั่งคิ้วมุ่นกอดหมอนอยู่หน้าเตียง  อะไรกันวะ สี่ปีผ่านมานึกว่าจะได้นอนอยู่ในอ้อมกอดอุ่น ๆ ของมัน ที่ไหนได้โดนไล่ลงมานอนในตำแหน่งเดิม ที่เดิมเปี๊ยบเลย

ผมล้มตัวนอนลงไปอย่างเซ็ง ๆ คืนนั้นจำไม่ได้ว่าหลับไปตอนไหน ตื่นมาอีกทีเหมือนมีอะไรบางอย่างมาซุกเข้าที่อกแล้วขยับยุกยิก ผมค่อย ๆ หรี่ตาตื่น

รอยยิ้มแรกแห่งวันถูกจุดขึ้นมาเมื่อเห็นชัดๆว่าเป็นใครคนนั้นคนเก่าที่ไล่ผมลงจากเตียงเมื่อคืนนี้ซุกหน้าอยู่กับอก  ผมพยายามยกหัวขึ้นมาจูบลงที่กลุ่มผมนุ่ม ๆ ของมัน พี่เอย์เหมือนจะรู้สึกตัวมันรีบลุกขึ้นนั่งแล้วขยี้ตา

“เหี้ย! มึงทำอะไรกูรึเปล่าเนี่ย!?

ผมงงเลยสิ จะทำอะไรตอนไหนกันวะ ยังไม่ได้ทำอะไรเลยเหอะก็แค่จูบเส้นผม แค่นั้นจะเป็นไรไป

“อย่านะมึง” มันชี้หน้าผมไว้ก่อนค่อย ๆ เดินเข้าไปอาบน้ำ ผมนอนแผ่ลงอย่างมีความสุข ถึงแม้เมื่อคืนเราจะไม่ได้ทำอะไรกันเลยแต่ผมกลับรู้สึกดีนะ

พักเดียวพี่เอย์เดินผิวปากออกมา มันยิ้มแล้วยักคิ้วให้ท่าทางมีความสุขมากมายจริง ๆ ต่างกับก่อนเข้าไปลิบลับ  คงเข้าไปสำรวจล่ะสิว่าตัวเองเสียหายที่ตรงไหน อย่างว่ามันไม่เคยโดนคงไม่รู้หรอกว่าถ้าโดนผมทำจริง ๆ อย่าว่าแต่ต้องสำรวจอะไรเลย แค่ตื่นมาพี่ท่านก็เดี้ยงแล้วล่ะครับ

ตุ๊บ!!!

“ยิ้มเหี้ยไร ไปอาบน้ำได้แล้ว”

จู่ ๆ ถุงอะไรสักอย่างตกลงมาที่หัว พี่เอย์มันล้วงออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วปาใส่หัวผม  ผมนี่โมโหเลยเหอะ  ก็ไม่ได้เจ็บอะไรหรอกแต่คือ มันโดนหัวพอดีเลยตกใจ ผมหยิบขึ้นมาดูพอคลำๆถุงชักเริ่มแปลกๆ เงยหน้ามองมัน

“จิ๊! น่ารำคาญเป็นบ้า แทนที่จะอยากได้อะไรหรูๆกว่านี้ ต้องให้กูเดินไปซื้อเชือกหนังเส้นละไม่กี่บาท”

ผมตาโต แทบจะกระโจนกอดมัน ความรู้สึกตื้นตันตีขึ้นมาจนเต็มอก ก็แอบคิดนะเมื่อตอนที่มันบอกว่าปวดท้องที่ร้านกาแฟ แต่คุณชายเดินเลี้ยวออกไปอีกทาง ผมเลยคิดว่าไม่น่าใช่

แต่ในที่สุดพี่เอย์ก็ซื้อเจ้าของสิ่งนี้มาให้ผมจริง ๆ

เหมือนกับวันนั้นไม่มีผิด

เชือกร้อยข้อมือ ที่มีเมล็ดข้าวสารลอยน้ำอยู่หลอดแก้วเล็กๆ เขียนไว้ว่า    P&A  forever

“พี่เอย์ขอบคุณครับ” ผมเดินเข้าไปกอดมันแล้วหอมแก้ม พี่เอย์คงอายนิดๆมันผลักหัวผมออกเบา ๆ

“เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้ไหมละ”

“อะไรอ่ะ” ผมรีบถอยหลังเลย คุณชายยกยิ้มร้ายสุดแสนเจ้าเล่ห์เดินหน้าเข้าหา กระดุมเสื้อเชิ้ตที่ติดจนเสร็จแล้วกลับถูกปลดออกอีกครั้ง พร้อมกับมือใหญ่ที่เอื้อมมากระชากแขนผมแล้วเหวี่ยงไปที่เตียง

ผมรู้แล้วแน่ๆว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับผม

ตรงๆนะ.....โคตรไม่คุ้มเลยกับเชือกเส้นเดียว

และในตอนนั้นเองความคิดอันบรรเจิดของผมก็ลั่นเปรี๊ยะขึ้นมาจากมันสมองอันชาญฉลาด  ผมรีบเสนอขึ้นมาทันที

“เอางี้ป่ะล่ะพี่ วันนี้ถ้าใครกดใครได้ คนนั้นก็เป็นฝ่ายได้ไป  พี่เอย์จะยอมเล่นกับผมไหม”

มันหยุดชะงักอีกครั้งเหมือนกำลังคิดพิจารณา  ในที่สุดผมเห็นรอยยิ้มร้ายผุดขึ้นที่มุมปากมัน ก่อนที่เสียงหัวเราะหึหึจะตามมา

พี่เอย์จ้องหน้าผมนิ่ง ดวงตาคมวูบไหว

“เอางั้นก็ได้ ลองดูกันสักตั้งต่อไปมึงจะได้ไม่ต้องพยายามกับเรื่องไร้สาระอีก”

ณ ตอนนั้น ความรู้สึกผมไม่รู้ว่าคืออะไร ผมคิดว่าผมอาจจะมีโอกาสกดมันได้ ความรู้สึกหน้ามืดตามัวไปกับรสรักของมัน มากจนกระทั่งท้ายที่สุดแล้วได้ยินแต่เสียงครางน่าเกลียดของตัวเองดังสะท้อนซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัว



“อื้ม...แรงๆเลย พี่เอย์ครับแรงอีก...แรงๆเลย อื้มม...ม....”



พระเจ้า! ไม่น่าเชื่อว่าผมจะสามารถพูดอะไรแบบนี้ออกมา




พี่เอย์คร้าบบบบบปล่อยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย




ขอบคุณที่รักกัน....

ขอบคุณทุกครั้งที่คอยกอดฉัน

ในวันที่ปัญหา ถาโถมเข้ามาใส่

จะตอบแทนความรัก ที่ฉันได้จากเธออย่างไร

ก็รู้ดีว่าไม่พอ แต่ขอทำให้ดีที่สุด


ขอบคุณในความรัก ที่หาไม่ได้จากที่ไหน

จะรักเธอให้มากพอ และขอทำให้ดีที่สุด.








The End.



***จบแล้วค่าาาา ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านนะคะ มีตอนแถมให้ตอนหน้าเป็นบทสัมภาษณ์ตัวละคร พิเศษให้ค่ะ รออ่านนะ